ประชาไท | Prachatai3.info |
- บารมีเปรม VS บารมีประวิตร
- นิธิ เอียวศรีวงศ์: ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
- ใบตองแห้ง: อ้าซ่า ‘สามัคคีธรรม’
- กวีประชาไท: หมุดหมายที่หายไป
- ศาลไม่รับฝากขัง 41 คนอยากเลือกตั้งกรณีชุมนุมหน้ากองทัพบก
- พวงทอง ภวัครพันธ์ุ: บันทึกการตามหา The Chair Man
- เอกชัย-โชคชัยจ่อฟ้องตร. สร้างมาตรฐาน ต่อให้ "นายสั่ง" ก็ทำเรื่องนอกกฎหมายไม่ได้
- ร้องไห้ไม่หยุด หลังจับได้ใบแดง ถาม 'ใครจะดูแลยาย'
- กสทช. แจ้ง 'ทรู' รับผิดชอบ-เยียวยาทั้งทางแพ่ง-อาญา ปมข้อมูลบัตรประชาชนลูกค้าหลุด
- แกนนำเพื่อไทยตีกอล์ฟตระกูลสะสมทรัพย์ ชวน 'ไชยยศ' เข้าพรรค
- หัวกระไดไม่แห้ง: ผอ.ซีไอเอพบผู้นำเกาหลีเหนือ ปธน.จีนจ่อเยือนตาม
- องค์กรสิทธิฯ ขอศาลยกฟ้อง 7 หญิง ที่ชุมนุมโดยสงบค้านเหมืองแร่ทองคำ จ.เลย
- ส.วิจัยระบบสาธารณสุข จับมือ สาธารณสุขน่าน พัฒนาเครือข่ายสร้างวิจัยพื้นที่
- ประชากรโลกร้อยละ 95 สูดมลพิษเสี่ยงคร่าชีวิต โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา
- สิทธิ เสรีภาพ และวันสงกรานต์
Posted: 18 Apr 2018 08:41 AM PDT ช่วงเทศกาลสงกรานต์ เปรม ติณสูลานนท์ จะเปิดบ้านพักให้เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงเข้ารดน้ำอวยพรเพื่อแสดงถึงบารมีของตนเอง ธรรมเนียบนี้สืบทอดมานานหลายสิบปี แม้นักการเมือง-เจ้าหน้าที่รัฐหลายคนปฏิบัติธรรมเนียมแบบเดียวนี้ แต่ไม่มีผู้ใดเต็มเปี่ยมด้วยบารมีเท่ากับ เปรม ติณสูลานนท์ แต่เหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในธรรมเนียมนี้เกิดขึ้นเมื่อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เบอร์ 2 ของ คสช. ที่ดูเหมือนจะมีบารมีมากกว่าเบอร์ 1 ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการรดน้ำ เปรม ติณสูลานนท์ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อ เปรม ติณสูลานนท์ ถามถึง ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในงานรดน้ำในครั้งนั้น ประยุทธ จันทร์โอชา พยายามแก้ตัวด้วยการอ้างถึงปัญหาสุขภาพ ขณะที่ ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่แคร์การแก้ตัวนี้ด้วยการออกข่าวถึงการเดินทางเยือนสิงคโปร์ และเปิดบ้านให้เจ้าหน้ารัฐระดับสูงเข้ารดน้ำแบบเดียวกันในวันที่ 16 เมษายน ประวิตร วงษ์สุวรรณ แสดงให้เห็นถึงการไม่แคร์บารมีของ เปรม ติณสูลานนท์ ที่กำลังถดถอยลงเรื่อยๆตามอายุขัย ผม-โชคชัย ไพบูลย์รัชตะ ได้รับการแจ้งข่าวถึงเวลาการรดน้ำนี้ที่บ้านพักของ ประวิตร วงษ์สุวรรณ ใน ซ.ลาดพร้าว 71 ใน 8.00 น. พวกเราต้องการทดสอบบารมีของว่าที่ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญที่กำลังจะมาแทนที่จึงประกาศที่จะเข้าร่วมงานรดน้ำนี้ในเวลา 8.30 น. บททดสอบบารมีตอบสนองต่อการประกาศของพวกเราอย่างรวดเร็วจนทำให้พวกเราหายสงสัย - งานรดน้ำนี้เลื่อนเวลาเร็วขึ้นเป็นเวลา 6.00 น. เร็วกว่ากำหนดเดิมถึง 2 ชั่งโมง โดยอ้างว่า ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีภารกิจต่อที่อื่น - ตำรวจนอกเครื่องแบบกว่า 10 คนมาดักรอที่ด้านหน้าของบ้านพักของผมเพื่อห้ามปรามการร่วมงานรดน้ำนี้ของพวกเราตั้งแต่ก่อน 6.00 น. ทั้งที่ตำรวจเหล่านี้เพิกเฉยต่อการเยือนงานรดน้ำ เปรม ติณสูลานนท์ ของพวกเราในสัปดาห์ที่ผ่านมา - เมื่อการห้ามปรามไม่สำเร็จ "รองโจ๊ก" ลูกรักของ ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้เพิกเฉยต่อ เปรม ติณสูลานนท์ ก็แสดงอาการเหี้ยนกระหือรือสั่งให้ตำรวจเหล่านี้ใช้กำลังรุนแรงกับพวกเราทันที สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจนอกกฎหมายปกป้องนายของตนเอง แม้การร่วมงานรดน้ำนี้ของพวกเราจะล้มเหลว แต่ผลกระทบที่ตามมากลับทำให้พวกเราเห็นภาพการแข่งบารมีระหว่าง เปรม ติณสูลานนท์ - ประวิตร วงษ์สุวรรณ ชัดเจนยิ่งขึ้น
เผยแพร่ครั้งแรกใน: เฟสบุ๊ค เอกชัย หงส์กังวาน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
นิธิ เอียวศรีวงศ์: ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง Posted: 18 Apr 2018 08:18 AM PDT
แต่ในความขบขันนี้แฝงไว้ด้วยความสะท้อนใจอยู่ด้วย นั่นคือทำไมจึงต้องท่องจำ สื่อบางแหล่งกล่าวด้วยว่า หัวหน้าคณะรัฐประหารสั่ง ครม. ของเขาทุกคน ให้ท่องจำหนังสือหลักภาษาไทยชื่อจินดามณีด้วย วรรณคดีคืองานประเภทที่เรียกในปัจจุบันว่า "สร้างสรรค์" หรือ creative เราจะเรียนรู้งานประเภทนี้ผ่านการท่องจำคงไม่ได้ผลอะไรนัก เพื่อนคนหนึ่งบอกผมว่า น่าเศร้าที่ทหารเรียนรู้วรรณคดีจากการท่องจำ ผมบอกเขาว่า ถ้าทหารเรียนรู้วรรณคดีจากการท่องจำเพียงอย่างเดียวคงไม่เป็นไร ที่น่าเศร้าจริงก็คือคนไทยปัจจุบันล้วนเรียนรู้วรรณคดีจากการท่องจำทั้งนั้นต่างหาก เพราะนั่นคือเหตุผลที่ทหารสามารถขึ้นมานั่งอยู่บนหัวประชาชนได้ เพียงเพราะมีปืน ในพระนิพนธ์คำนำหนังสือ สามก๊ก ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าว่า นายทหารระดับท่านขุนและคุณหลวงในกองทัพอ่านวรรณคดีเรื่องนี้อย่างแตกฉาน ทั้งสร้างบทวิจารณ์ในเชิงยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของการรบและสงครามในสามก๊กไว้มาก ชี้ข้อบกพร่องของนายทัพนายกองของสามก๊กนอกเหนือจากที่ปรากฏในหนังสือ ที่ขัดแย้งกับความเห็นของผู้เขียนหนังสือก็มีไม่น้อย พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นายทหารรุ่นนั้นเรียนรู้วรรณคดี (อย่างน้อยก็เรื่องสามก๊ก) ในเชิงวิพากษ์ ไม่ได้ท่องจำ อันที่จริงในกระบวนการเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ของไทย ทหารหรือกองทัพนับได้ว่าเป็นหน่วยราชการที่ก้าวหน้ามาก ผมอยากเดาว่า เป็นเพราะการศึกษาด้านการทหารของไทยนั้น ต้องรับของใหม่จากตะวันตกล้วนๆ แทบไม่สามารถเอาไปเชื่อมโยงกับความรู้ด้านการทหารของไทยโบราณได้เลย เปรียบเทียบกับการเรียนครูหรือเรียนแพทย์ ในระยะแรกๆ ยังเชิญ "ครู" รุ่นเก่ามาช่วยสอนด้วย เช่น การแพทย์แผนไทยเป็นส่วนหนึ่งของศิริราชพยาบาลมาแต่ต้น แต่จะว่าไปแล้ว ทรรศนะเชิงวิพากษ์ต่อวรรณคดีคงมีมา (อย่างน้อย) ตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์แล้ว ไม่อย่างนั้นเราคงไม่มีวรรณคดีเรื่องพระมะเหลเถไถ, อุณรุทร้อยเรื่อง และระเด่นลันได แต่ทรรศนะวิพากษ์เช่นนี้มาหายไปในช่วงที่ผู้นำไทยกำลังเปลี่ยนประเทศมาสู่ความทันสมัยในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 นี่เอง ทั้งนี้เพราะในช่วงเดียวกันนี้ เราเพิ่งรับคติฝรั่งที่ว่า มีการใช้ภาษาที่ดีสุดยอดในรูปต่างๆ ทั้งที่เป็นงานเขียนหรือมุขปาฐะ ซึ่งรวมเรียกว่า "วรรณคดี" อันเป็นคำที่เราบัญญัติขึ้นให้ตรงกับภาษาฝรั่งว่า literature ซึ่งมีความสำคัญเพราะแสดงให้เห็นถึงอารยธรรมอันสูงของบ้านเมือง และต่อมาในช่วงปลายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นักปราชญ์ในสมัยนั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชสำนัก จึงประชุมร่วมกันเพื่อกำหนดให้งานเขียนชิ้นใดมีคุณค่าสูงส่งสมเป็นวรรณคดีได้บ้าง (สมัยนั้นยังไม่ค่อยคำนึงถึงงานที่ไม่ได้เขียน หรืองานประเภทมุขปาฐะ) พูดสั้นๆ ก็คือ เราได้สร้างลำดับชั้นของวรรณกรรมในภาษาไทย (กรุงเทพฯ) ขึ้น (hierachicalization of Thai writings) ในขณะเดียวกันก็เห็นความสำคัญในการนำเอาวรรณคดีเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษา (แบบใหม่-ที่ทำกันในโรงเรียน) ของไทย จะสอน "วรรณคดี" อันอยู่ในลำดับขั้นสูงสุดของงานเขียนเหล่านี้ด้วยความเคารพอันสมควรแก่สถานะของมันได้อย่างไร คำตอบคืออ่านมันให้รู้เรื่อง ด้วยการแปลศัพท์และสำนวนที่ใช้ในวรรณคดีเรื่องนั้น อธิบายเกี่ยวกับผู้เขียนและประเภทของรูปแบบที่ใช้ในการเขียน (โดยไม่มีแม้แต่การตรวจสอบต้นฉบับตัวเขียนซึ่งมีหลาย "ฉบับ" หรือ versions) แต่เพื่อให้สมควรแก่สถานะอันสูงของวรรณคดี ก็ควรจดจำบางช่วงบางตอนของงานเขียนนั้นได้ด้วย และนี่คือที่มาของการท่องจำ ซึ่งผู้นำคณะรัฐประหารได้แสดงความสามารถให้ปรากฏ ความสามารถที่จะจำบางบทบางตอนซึ่งเป็นที่ประทับใจในวรรณคดีนั้น ที่จริงแล้วก็เป็นความสามารถหรือเป็นแนวโน้มธรรมดาที่คนโบราณทำได้ แม่ผมจำบางบทบางตอนเช่นนี้ได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ไม่ได้มาจากการท่องจำ หากมาจากวิถีชีวิตของท่านเอง เช่น ต้องอ่านหนังสือให้ยายฟังมาแต่เล็ก ได้ดูการแสดงซึ่งนำเอาบทเหล่านี้มาร้องเป็นเพลงอยู่บ่อยๆ ได้ฟังเพลงที่เอาบางบทของวรรณคดีมาเป็นเนื้อร้อง ได้สนทนากับเพื่อนฝูงที่ผ่านชีวิตแบบเดียวกันมา ก็ย่อมอ้างถึงหรือท่องให้ฟังได้อยู่เสมอ พูดง่ายๆ ก็คือ วิถีชีวิตต่างหากที่ทำให้จดจำบางบทบางตอนในวรรณคดีไทยได้ แต่คนสมัยหลังโดยเฉพาะในปัจจุบัน แทบไม่ได้ดูโขนดูละคร ไม่ฟังเพลงไทย และไม่มีเพื่อนซึ่งสามารถว่ากลอนตอนดังๆ ให้ฟังในการสนทนา จะทำอย่างเดียวกับคนโบราณได้อย่างไร หากไม่ท่องจำ ปัญหาอยู่ที่ว่าจะไปมีความสามารถอย่างคนโบราณทำไม เพราะที่น่าจะทำตามมากกว่าคือทรรศนะเชิงวิพากษ์ต่อวรรณคดี ซึ่งคนโบราณก็มีต่างหาก แต่เพราะเราเรียนวรรณคดีกันด้วยความเคารพอย่างสูงเช่นนี้ต่างหาก ที่ทำให้วรรณคดีกลายเป็นเรื่องแค่ท่องจำ เราเรียนวรรณคดีก็เพื่อฝึกฝนการประเมิน คือประเมินความงาม, คุณค่า, ความหมาย, ความจริง และความสัมพันธ์ (เอาเข้าจริง ไม่ว่าจะเรียนอะไรก็เพื่อประเมิน 5 อย่างนี้) ต่างคนต่างประเมิน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เพราะไม่มีคำตอบสำเร็จรูปที่ถูกสำหรับทุกคน เพียงแต่ว่า ไม่ว่าประเมินอย่างไร ก็สามารถให้เหตุผลที่ฟังขึ้นว่าเหตุใดจึงประเมินเช่นนั้น แม้ว่าการประเมินวรรณคดีต้องอาศัยความรู้สึกอยู่มาก แต่ก็เป็นความรู้สึกที่คนอื่นก็มีหรือสามารถจินตนาการไปได้เหมือนกัน ไม่ใช่ความรู้สึกเฉพาะของผู้ประเมินเท่านั้น แต่การศึกษาวรรณคดีแบบให้ความเคารพอย่างสูงในการศึกษาไทย ทำให้ความสามารถอย่างหลังเหล่านี้ไม่ได้รับการส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาขึ้นจนงอกงามเต็มที่ เสียเวลาและความเอาใจใส่ไปกับการท่องจำ จนไปเข้าใจผิดว่า การรู้วรรณคดีคือการท่องจำบางบทบาทตอนได้คล่อง แม้จะอยู่ผิดเล่ม และผิดยุคสมัยอย่างไร ก็ยังดีกว่าท่องจำอะไรไม่ได้เลย ผิดจากนายทหารรุ่นต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งอ่านสามก๊กด้วยทรรศนะเชิงวิพากษ์ และประเมินเรื่องต่างๆ ในสามก๊กเป็นที่เลื่องลือจนสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงนำมาเล่าไว้ในคำนำ อันที่จริง นอกจากนายทหารที่ได้ผ่านโรงเรียนทหาร (ซึ่งเริ่มรับตั้งแต่ชั้นประถม) ผมเข้าใจว่า นักเรียนในรุ่นนั้นต่างก็มีความสามารถในการศึกษาวรรณคดีเชิงวิพากษ์ทั้งสิ้น นักเขียนกลุ่ม "สุภาพบุรุษ" หลายคน (ส่วนใหญ่คือนักเรียนเก่าของโรงเรียนเทพศิรินทร์) กล่าวอ้างถึงวรรณคดีเก่าในเชิงวิพากษ์ (อย่างจริงจังหรืออย่างล้อเลียน) ที่รู้จักกันดีคือ "ยาขอบ" ซึ่งเขียนสามก๊กฉบับวนิพกทั้งชุด ด้วยการสร้างความเป็นคน (ไทย?) ให้แก่ตัวละครเด่นๆ ในเรื่อง ทําไมนักเรียนรุ่นนั้นจึงศึกษาวรรณคดีด้วยวิธีที่แตกต่างจากนักเรียนรุ่นหลัง ผมคิดว่าเกิดขึ้นจากความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ผมคิดว่ายุคสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาจนถึงปี 1947 (หรือ พ.ศ.2490) คนไทยที่มีการศึกษาต่างสำนึกดีว่าตัวต่างมีชีวิตอยู่ในช่วงที่บ้านเมืองกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่ อนาคตข้างหน้าที่กำลังมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั้น จะไม่เหมือนเก่า จนทำให้คำตอบของสมัยโบราณอาจไม่ตอบคำถามของยุคใหม่ไปได้ทุกเรื่องอีกแล้ว สำนึกแบบนี้ทำให้กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ทดลอง กล้าเสี่ยงมากเป็นพิเศษ เป็นผลให้การศึกษาวรรณคดีมีลักษณะเชิงวิพากษ์ ทั้งการศึกษาของนักปราชญ์และคนธรรมดา แม้ว่าตัวบทที่ใช้ศึกษายังไม่มีคุณภาพมากนักก็ตาม (เช่น ขาดการสอบค้นอย่างทั่วถึงพอ) บางคนอาจยกสาเหตุให้แก่ "ครูฝรั่ง"ในระบบการศึกษาของกรุงเทพฯ เพราะในช่วงนั้น ราชการมีอัตราจ้างครูชาวต่างประเทศมาสอนในโรงเรียนที่หลวงตั้งขึ้นอยู่ไม่น้อย ฝรั่งบางคนได้เป็นผู้บริหารโรงเรียนด้วย และส่วนใหญ่เป็นคนจากบริเตนใหญ่ แต่ผมสงสัยว่า "ครูฝรั่ง" ไม่ใช่แรงบันดาลใจสำคัญเท่ากับสำนึกของนักเรียนเอง ในปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 การศึกษาของยุโรปเองก็ยังไม่ก้าวมาถึงการ "ถอดรื้อ" อุดมคติและความรู้อะไรมากนัก มีความรู้ที่นักปราชญ์ได้สร้างเอาไว้ซึ่งถูกต้องแน่นอน นักเรียนจึงควรจดจำสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ แม้ไม่ใช่ด้วยการท่องจำก็ตาม ความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้นั้น ผมคิดว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาทีเดียว ไม่ว่าจะไปลอกรูปแบบการศึกษาจากฟินแลนด์หรือประเทศอะไรที่ประสบความสำเร็จจนมีชื่อเสียง หากนำมาใช้ในสังคมที่ปราศจากความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ก็คงทำได้แต่รูปแบบ แต่ไม่อาจทำไปถึงหัวใจสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาได้ เงื่อนไขทางสังคมในแง่นี้ ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากนักปฏิรูปการศึกษาภาครัฐสักเท่าไร เพราะไปให้ความสำคัญแก่เทคนิควิธี (สอนอย่างไร) มากกว่า ความคิดว่า "ครูฝรั่ง" ทำให้นักเรียนไทยในรุ่นเก่ามีความกระตือรือร้นใครเรียนรู้มาก ก็มาจากการมองเทคนิควิธีเป็นเงื่อนไขสำคัญสุดเพียงอย่างเดียวในการศึกษาที่ดี แต่หากมองเงื่อนไขทางสังคม หรือสำนึกของผู้เรียนเองว่ามีส่วนสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน บรรยากาศ – ทั้งที่กระทบต่อตัวผู้เรียนโดยตรงและโดยอ้อม – ของความตื่นตัว กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ เป็นเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ ของการศึกษาในเชิงวิพากษ์ คนไทยในปัจจุบันก็รู้ดีว่า เรากำลังเผชิญกับความเปลี่ยน-แปลงครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง อันเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกและภายใน บางคนกลัวว่าคำตอบเก่าที่เคยใช้ได้ดีในสังคมไทยมาก่อน จะใช้ไม่ได้อีกแล้ว แต่บางคนไม่กลัว และพร้อมจะเรียนรู้เพื่อค้นหาคำตอบใหม่ให้แก่ปัญหาใหม่ ซึ่งไม่มีวันจะเหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่จำเป็นที่การรัฐประหารในเมืองไทยทุกครั้งจะต้อง "ย้อนอดีต" เช่นนี้เสมอไป หากไม่นับการรัฐประหารของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาในการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราใน พ.ศ.2476 แล้ว การรัฐประหารครั้งอื่นล้วนเป็นคำสัญญาว่าจะมุ่งสู่อนาคตที่ไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะการรัฐประหารของสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในบรรยากาศที่มุ่งกลับไปใช้คำตอบที่มีมาแต่อดีต ความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ก็ไม่จำเป็น จึงไม่แปลกที่การปฏิรูปการศึกษาที่ทำกันภายใต้อำนาจทางการเมืองที่ "ย้อนอดีต" เช่นนี้
ที่มา: www.matichonweekly.com/column/article_95209
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ใบตองแห้ง: อ้าซ่า ‘สามัคคีธรรม’ Posted: 18 Apr 2018 08:03 AM PDT
ทั้งนายกฯ และสนธยา ยืนกรานว่านี่ไม่ใช่ "ดีลการเมือง" ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งหน้า (รวมทั้งไม่น่าจะเกี่ยวกับที่กำนันเป๊าะได้พักโทษเป็นกรณีพิเศษ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา) หวังว่าประชาชนจะเชื่อฟัง ในขณะที่ดึงหัวหน้าพรรคพลังชลมาเป็น "ติวเตอร์" นายกฯ กลับเตือนแกนนำพรรคเพื่อไทยที่ไปตีกอล์ฟกับตระกูลสะสมทรัพย์ว่า ระวังผิดคำสั่ง คสช. ตลกไหม เพราะตระกูลสะสมทรัพย์มีภาพหลุดกับท่านผู้นำ แล้วไม่ไปยืนยันตนเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย จนแกนนำต้องไปเกลี้ยกล่อมเพราะกลัว "ถูกดูด" แต่ท่านกลับขู่เขาว่า "อย่าทำผิดกฎหมาย" การเมืองหลังสงกรานต์ไม่เพียงร้อนแรง แต่ยังเล่นกันดื้อๆ ทั้งที่อีกเดือนเดียวก็จะครบ 26 ปีพฤษภาทมิฬ ที่ "ม็อบมือถือ" คนชั้นกลางชาวกรุงลุกฮือไล่ รสช."เสียสัตย์เพื่อชาติ" รวบรวมนักการเมืองที่ถูกตรวจสอบทรัพย์สินมาตั้งพรรคสามัคคีธรรมสืบทอดอำนาจ ขำๆ นะครับ 26 ปีผ่านไป ละครฉากเดิมย้อนกลับ ตัวละครบางคนก็หน้าเดิม บางคนก็สลับ แต่คนดูเปลี่ยนไป คือคนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมีกลับเชียร์ให้เกิดการสืบทอดอำนาจโดยไม่ต้องเหนียม กระแสสังคมที่คนชั้นกลางเสียงดัง ไม่ยักรู้สึกรู้สาเมื่อเห็นการ "ผสมพันธุ์" พรรคพลังชล เห็นข่าวสมคิดทาบทาม"กลุ่มบ้านริมน้ำ" สุชาติ ตันเจริญ หรือปฏิบัติการล้วงอดีต ส.ส.ปชป. ไปเป็นรองผู้ว่า กทม. เปล่า ไม่ได้ว่านักการเมืองอย่างสนธยาเลวร้าย ส่วนตัวอัธยาศัยดี ตระกูลคุณปลื้มก็มีผลงานบริหารท้องถิ่น ในทางการเมืองร่วมรัฐบาลกับใครก็หนักแน่นมั่นคงแต่ขำที่สังคมเคยมองเขาภาพลบ เมื่อคบประยุทธ์ได้กลับกลายเป็นดี ไม่ต่างจากอภิสิทธิ์กอดเนวิน เราอยู่ในยุคที่ถ้ามีนักการเมืองหน้าตาเหมือนตือโป๊ยก่าย เปิดบ้านให้ข้าราชการทหารตำรวจพ่อค้ามาอวยพร สังคมคงเอาตาย แต่ถ้าไม่มาจากเลือกตั้ง ไม่เป็นไร มองไปข้างหน้า เราอาจเห็นพรรคสามัคคีธรรม 2 เพราะสมคิดจะให้ "ลูกน้อง" ตั้งพรรค โดยชี้ไปที่อุตตม สาวนายน สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ซึ่งก็ไม่ยักมีคนข้องใจ ว่า 2 คนนี้เป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรมกับพาณิชย์ มีอำนาจให้คุณให้โทษให้ผลประโยชน์พ่อค้านักธุรกิจ แล้วจะเอาอำนาจหน้าที่มาเอื้อต่อการตั้งพรรคการเมืองไหม อย่าลืมนะครับ รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐมนตรีต้องลาออกใน 90 วันหากจะลง ส.ส. แต่นี่พวกท่านกลับจะ "เล่นการเมือง" คาตำแหน่ง โดยเลี่ยงบาลีว่าแค่ตั้งพรรคไม่ได้สมัครเป็น ส.ส.ซะหน่อย แบบเดียวกับนายกฯ สมัคร ส.ส.ไม่ได้ แต่ยอมให้พรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นนายกฯ ได้ ถือเป็น "นายกฯ คนใน" ไม่ทับซ้อนกับการใช้อำนาจหน้าที่และ ม.44ไม่ผิดกติกาแม้แต่น้อย? นี่ถามด้วยความสงสัย เพราะยุค รสช. พล.อ.สุจินดา คราประยูร ยังไม่ทำถึงเพียงนี้ ถ้าพรรคสามัคคีธรรม 2 ทำสำเร็จ กวาดต้อนนักการเมืองตั้งแต่ กปปส.ไปถึงกลุ่ม 16 มาหนุนสืบทอดอำนาจ แล้วคนชั้นกลางไชโยโห่ร้อง แซ่ซ้องว่า "สู้เพื่อแผ่นดิน" เพื่อให้คนจนหมดประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต บ้านเมืองสงบมั่นคง ก็คงเป็นบุญโข ที่จะได้เห็นและได้หัวร่อว่าสังคมไทยไร้ยางอายกันถึงเพียงนี้ที่มา: https://www.kaohoon.com/content/226457
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 18 Apr 2018 07:47 AM PDT
ปกติประตูปิดมิดทุกบาน วันนี้งานอะไรหนอจ่อเข้าไป เขาไปไหนกันหนาออหน้าบ้าน ชุดทหารเห็นแล้วไม่แคล้วใหญ่ พากันมาเนืองแน่นแห่แหนใคร เป็นผู้ใดใคร่รู้แอบดูพลัน อ๋อบิ๊ก จุดๆๆ สุดร้อนฉ่า คนหน้าหนานาฬิกาเพื่อนดังเลื่อนลั่น รับอวยพรเทศกาลเปิดบ้านกัน เหมือนแข่งขันอยู่ในทีบารมีดู
ทุกกระทรวงทบวงกรมชื่นชมชู พ่อค้าผู้อู้ฟู่อยู่เต็มงาน มีคนบ้ามาสีซอเพลง คลอให้ เขามาในเพลง "ออเจ้า" เฝ้าหน้าบ้าน อยากจะมอบนาฬิกามาช้านาน ถูกอุ้มฐานทำท่านอายขายหน้าคน
วาสนาบารมีที่เวียนวน ท่านนายพลดลบันดาลบ้านเมืองเรา ลุงเด่น คำแหล้แกเป็นแค่ชาวบ้าน อ.คอนสาร ชัยภูมิ ปูมทุกข์เศร้า โคกยาว ทุ่งลุยลายกลายลำเนา ผีเฝ้าซำผักหนามยืนยามประตู ประตูเปิดมาตั้งนานบ้านโคกยาว ตัวแทนความแหลกร้าวเหล่านักสู้ ต้องการปฏิรูปที่ดินถิ่นที่อยู่ เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีเสรีไทย
เหลือหัวตัวหายไป ร่อนเร่ไร้แหล่งพักพิง เปิดบ้านตำนานวิปริต มากมายมิตรคิดช่วงชิง ตักตวง ใครท้วงติง ก็อุ้มทิ้งให้หายทุกข์ คลาคล่ำคำอวยพร จ้องย้อนศรกันสนุก มีดสั้นพลันขนลุก เบื้องหลังซุกในสูทหรู เปิดบ้านตำนานคน ใครยากจนอย่าปนกู ราษฎรปักหมุดรู้ ใครคือผู้ทรยศ !
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ศาลไม่รับฝากขัง 41 คนอยากเลือกตั้งกรณีชุมนุมหน้ากองทัพบก Posted: 18 Apr 2018 07:45 AM PDT ศาลแขวงดุสิตยกคำร้องขอฝากขังของพนักงานสอบสวน เนื่องจากเห็นว่ากลุ่มคนอยากเลือกตั้งทั้งหมดมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและมาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก จึงไม่มีเหตุที่จะต้องควบคุมตัวไว้ ให้ปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข ตำรวจนัดส่งตัวให้อัยการอีกครั้ง 30 เม.ย. ภาพการเดินขบวน จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปยังกองบัญชาการกองทัพบก เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2561 / ภาพจาก Banrasdr Photo 18 เม.ย. 2561 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ผู้ต้องหากลุ่มคนอยากเลือกตั้ง 41 คน เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาชุมนุมทางการเมืองที่ สน.นางเลิ้ง ก่อนตำรวจนำตัวไปขอผัดฟ้องฝากขังที่ศาลแขวงดุสิต แต่ศาลให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาโดยไม่มีเงื่อนไข เนื่องจากผู้ต้องหามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและมาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ประมาณ 10.50 ผู้ต้องหา 41 ราย ได้แก่ 1.เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล, 2.ศศวัชร์ คมนียวนิช, 3.รัฐพล ศุภโสภณ, 4.สุวรรณา ตาลเหล็ก, 5.หนึ่ง เกตุสกุล, 6.มัทนา อัจจิมา, 7.สุรศักดิ์ อัศวเสนา, 8.นิตยา ภาณุทัต, 9.นภัสสร บุญรีย์,10.ยุภา แสงใส, 11.ประนอม พูลทวี, 12.อภิสิทธิ์ ทรัพย์นภาพันธ์, 13.อนุรักษ์ เจนตวนิชย์ (ฟอร์ด เส้นทางสีแดง), 14.สมบัติ ทองย้อย, 15.กิตติธัช สุมาลย์นพ, 16.อ๊อด แอ่งมูล (ไผ่ เคแมน), 17.ฉัตรมงคล วัลลีย์, 18.กมลวรรณ หาสารี, 19.นฤมล วรุณรุ่งโรจน์, 20.โชคดี ร่มพฤกษ์, 21.พรวลัย ทวีธนวาณิชย์, 22.วาสนา กองอุ่น, 23.วลี ญาณะหงสา, 24.ยุพา พวงทองดี, 25.บริบูรณ์ เกียงวรางกูร, 26.พรนิภา งามบาง, 27.กองมาศ รัศมิทัต, 28.เทวินทร์ พูลทวี, 29.สุชาดา แช่เบ๊, 30.กุลวดี ดีจันทร์ (เปิ้ล), 31.เนาวรัตน์ หนูขวัญแก้ว, 32.มนัส แกล้ววิกย์กิจ, 33.กลวัชร ดอกลําเจียก, 34.กิ่งกนก ธนจิโรภาส, 35.โกวิทย์ ชมมิน, 36.บุญสม เทพจันทร์, 37.สมพิณ ศรีสุข, 38.รักษิณี แก้ววัชระรังษี, 39.ทรงชัย วิมลภัตรานนท์, 40.สุเทพ สุริยะมงคล, และ 41.พยงค์ ศิริงามเพ็ญ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ตามหมายเรียก พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาทั้ง 41 คน ใจความว่า เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2561 ในการปราศรัย "รวมพลังถอนราก คสช." ที่สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีรังสิมันต์ โรม และ สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ กล่าวชักชวนและนัด หมายให้กลุ่มมวลชนมารวมตัวกันอีกครั้งในวันที่ 24 มี.ค. 2561 เวลา 16.00 น., เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2561 กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย Democracy Restoration Group – DRG มีการโพสต์ข้อความว่า "รวมพลังกันอีกครั้ง เดินหน้าถอนราก คสช. วันเสาร์ 24 มี.ค. 2561 เวลา 16.00 น. รวมตัวที่สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) แล้วเดินหน้าสู่กองทัพบก มาเดินหน้าทวงสิทธิกําหนดอนาคตประเทศด้วยกัน" เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2561 น.ส.ขลธิชา แจ้งเร็ว ได้ทําหนังสือแจ้งการชุมนุมต่อ ผกก.สน.ชนะสงคราม, ก่อนวันนัดชุมนุม รังสิมันต์, สิรวิชญ์, อานนท์ นําภา, โชคชัย ไพบูลย์รัชตะ, ฉัตรมงคล วัลลีย์, อภิสิทธิ์ ทรัพย์นภาพันธ์, และณัฏฐา มหัทธนา ได้โพสต์ข้อความเชิญชวนให้มาร่วมชุมนุม ต่อมาในวันที่ 24 มี.ค. 2561 เวลาประมาณ 16.10 น. ที่สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ รังสิมันต์ขึ้นอ่านแถลงการณ์เปิดการปราศรัยชุมนุมบนรถ 6 ล้อเครื่องขยายเสียงซึ่งติดแผ่นป้ายไวนิล "รวมพลังถอนราก คสช." โดยมีกาณฑ์ ทําหน้าที่เป็นพิธีกรผู้ดําเนินรายการ ประกาศเรียกชักชวนมวลชนให้รวมตัวกันมาฟังคําปราศรัย ต่อมามีผู้สลับกันขึ้นพูดปราศรัยโจมตีการทํางานของรัฐบาลและ คสช. ว่ามีการทุจริต ใช้อํานาจโดยไม่เป็นธรรม และมีการโจมตีรัฐบาลและ คสช. เกี่ยวกับเรื่องที่มีการเลื่อนการเลือกตั้งพร้อมกับชักชวนให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลและ คสช. ต่อมาเวลาประมาณ 17.30 น. รังสิมันต์ได้ประกาศเรียกแถวกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อเคลือน กําลังไปยังกองบัญชาการกองทัพบก ต่อมาเวลาประมาณ 17.40 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินไปตามทางเท้าริมถนนหน้าพระธาตุ มีรถยนต์กระบะเข้ามาร่วมขบวนที่หน้าโรงละครแห่งชาติ แกนนํากลุ่มผู้ชุมนุม คือ สิรวิชญ์, รังสิมันต์กับพวก ได้ขึ้นบนรถกระบะดังกล่าว ปราศรัยโจมตีขับไล่รัฐบาล ปลุกระดมมวลชนไปตลอดเส้นทางโดยมียอดผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 350 คน จากการสืบสวนสอบสวน ปรากฏว่ามีกาณฑ์ พงษ์ประภาพันธ์, สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์, รังสิมันต์ โรม, ณัฎฐา มหัทธนา, ธนวัฒน์ พรมจักร, เอกชัย หงส์กังวาน, โชคชัย ไพบูลย์รัชตะ, อานนท์ นําภา, ปกรณ์ อารีกุล, ศรีไพร นนทรี, เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล, ชลธิชา แจ้งเร็ว, กรกช แสงเย็นพันธ์, ศศวัชร์ คมนียวนิช, รัฐพล ศุภโสภณ, สุวรรณา ตาลเหล็ก, หนึ่ง เกตุสกุล, มัทนา อัจจิมา, สุรศักดิ์ อัศวเสนา,นิตยา ภาณุทัต, ภัสสร บุญรีย์, ยุภา แสงใส, ประนอม พูลทวี, ภัทรพล ธนเดชพรเลิศ (ไก่ บิ๊กแมน), อภิสิทธิ์ ทรัพย์นภาพันธ์, วิศรุต อนุกูลการย์, อนุรักษ์ เจนตวนิชย์ (ฟอร์ด เส้นทางสีแดง), สมบัติ ทองย้อย, กิตติธัช สุมาลย์นพ, อ๊อด แอ่งมูล (ไผ่ เคแมน), ยุกติ มุกดาวิจิตร, ฉัตรมงคล วัลลีย์, มัญจา หม่องคํา, กมลวรรณ หาสารี, นฤมล วรุณรุ่งโรจน์, โชคดี ร่มพฤกษ์, พรวลัย ทวีธนวาณิชย์, วาสนา กองอุ่น, วลี ญาณะหงสา, ยุพา พวงทองดี, บริบูรณ์ เกียงวรางกูร, พรนิภา งามบาง, กองมาศ รัศมิทัต, เทวินทร์ พูลทวี, สุชาดา แช่เบี้, กุลวดี ดีจันทร์ (เปิ้ล), เนาวรัตน์ หนูขวัญแก้ว, มนัส แกล้ววิกย์กิจ, กลวัชร ดอกลําเจียก, กิ่งกนก ธนจิโรภาส, โกวิทย์ ชมมิน, บุญสม เทพจันทร์, สมพิณ ศรีสุข, รักษิณี แก้ววัชระรังษี, ทรงชัย วิมลภัตรานนท์, สุเทพ สุริยะมงคล, และพยงค์ ศิริงามเพ็ญ รวม 57 คน เดินเป็นขบวนบนพื้นผิวการจราจรในลักษณะกีดขวางการจราจร โดยตลอดเส้นทางมีเจ้าพนักงานผู้ดูแลการชุมนุมเข้าเจรจาโดยใช้รถเครื่องขยายเสียงประกาศว่า การกระทําของผู้ชุมนุมเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ซึ่งจากการตรวจสอบมีการปราศรัยชุมนุมอย่างรุนแรงและยุยงปลุกปั่นให้เกิดการขับไล่รัฐบาล/คสช. อย่างชัดเจน และการชุมนุมยุติลงเมื่อเวลา 20.45 น. การกระทําของผู้ต้องหาเป็นการร่วมกันชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจํานวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปในที่สาธารณะ อันเป็นการฝ่าฝืนคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบและความมั่นคงของชาติ ลงวันที่ 1 เม.ย. 2558 ข้อ 12 ร่วมกันเป็นผู้ชุมนุมก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะอันเป็นที่ชุมนุม หรือทําให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนเกินที่พึงคาดหมายตามเหตุอันควร เดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายการชุมนุมระหว่างเวลา 18.00-06.00 น.ของวันรุ่งขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต, ไม่เลิกการชุมนุมสาธารณะภายในระยะเวลาที่ผู้จัดการชุมนุมได้แจ้งไว้ ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 มาตรา 16 (1) (2) และ มาตรา 18, เดินเป็นขบวนในลักษณะการกีดขวางการจราจร หรือกระทําการด้วยประการใดๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 108, 114 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เมื่อผู้ต้องหารับทราบข้อกล่าวหาแล้วจึงให้การปฏิเสธ พนักงานสอบสวนนัดผู้ต้องหาเพื่อไปขอผัดฟ้องฝากขังที่ศาลแขวงดุสิตเวลา 14.00 น. อย่างไรตาม ศาลแขวงดุสิตยกคำร้องของพนักงานสอบสวน เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งหมดมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและมาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก จึงไม่มีเหตุที่จะต้องควบคุมตัวไว้ ให้ปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข พนักงานสอบสวนจึงนัดผู้ต้องหาเพื่อส่งตัวให้อัยการวันที่ 30 เม.ย. 2561 ทั้งนี้ อภิสิทธิ์ ทรัพย์นภาพันธ์ ไม่ได้เดินทางไปศาลเนื่องจากเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินหน้าที่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
พวงทอง ภวัครพันธ์ุ: บันทึกการตามหา The Chair Man Posted: 18 Apr 2018 07:29 AM PDT ในเดือนกันยายน 2560 ฉันเขียนสรุปเรื่อง "ปริศนาความตายกรณี 6 ตุลา" ให้กับโครงการ "บันทึก 6 ตุลา" ประเด็นหนึ่งที่กล่าวถึงคือภาพชายที่ถือเก้าอี้ฟาดใส่ร่างของเหยื่อที่ถูกแขวนคอ ณ ท้องสนามหลวง ซึ่งได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในปี 2520 ถ่ายโดยนีล อูเลวิช เป็นภาพเกี่ยวกับ 6 ตุลาที่มีคนเห็นมากที่สุดภาพหนึ่งจนทำให้ "เก้าอี้" ในมือของเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของความรุนแรง แต่ 40 ปีผ่านไป เรายังไม่รู้ว่าเขาคือใคร และมีน้อยคนที่สนใจถามว่าเขาคือใคร เราจึงขอเรียกเขาว่า the Chair Man ไปก่อน ที่จริงความคิดที่จะตามหา the Chair Man (และผู้คนที่หัวร่ออยู่ในภาพ) เริ่มจาก อ.ธงชัย วินิจจะกูล ซึ่งได้เสนอไอเดียนี้ให้กับเดวิด นักทำหนังสารคดีชาวออสเตรเลียคนหนึ่ง แต่ความพยายามตามหาก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ส่วนตัวฉันเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หลังจากคิดจะทำหนังสารคดีรำลึกเหยื่อ 6 ตุลาสำหรับงาน 40 ปี 6 ตุลา ซึ่งก็ได้ปรากฏออกมาเป็นภาพยนตร์ "ด้วยความนับถือ" (Respectfully yours) มีคุณภัทรภร ภู่ทอง หรืออ้อ เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการตามหาญาติ ภัทรภรยังช่วยเดวิดสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ ด้วย ในระหว่างที่ภัทรภรกับฉันพยายามตามหาญาติ เราจำเป็นต้องทำการบ้านด้วยการดูรูปและข้อมูลของเหยื่อให้มากที่สุด เปรียบเทียบรูปกับข้อมูลเพื่อให้รู้ว่าใครเป็นใคร เพราะสำคัญต่อการตั้งคำถาม ยิ่งดูมากก็ยิ่งค้นพบรายละเอียดอื่น ๆ มากขึ้น และนำไปสู่ข้อสรุปที่ยืนยันได้ว่าในเช้าวันนั้นมีคนถูกแขวนคอที่สนามหลวงอย่างน้อย 5 คน และยังมีคำถามเพิ่มขึ้นอีกมากมาย <ดู https://doct6.com/archives/2665> ทำให้เราตระหนักว่าต้องทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง แน่นอนว่าเรามองหา the Chair Man ด้วย เพราะอ.ธงชัย เคยบอกกับเราว่าชายผู้นี้ปรากฏอยู่ในฉากความรุนแรงหลายฉาก ภาพที่แนบมานี้ชี้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับความตายอย่างน้อย 3 จุด คือในภาพของอูเลวิช, ภาพแขวนคอวิชิตชัย อมรกุล (นิสิตปี 2 รัฐศาสตร์ จุฬา) และภาพเผาศพ 4 คน อ.ธงชัยบอกว่าเคยเห็นภาพที่เขานั่งอยู่บนร่างของผู้หญิงที่ถูกเปลือยกายด้วย แต่เราหาไม่เจอ (หากท่านใดมีภาพดังกล่าว ขอความกรุณาช่วยส่งให้ทางโครงการด้วย) คำถามสำคัญก็คือ การที่คนๆเดียวกันปรากฏตัวเป็นผู้ร่วมก่อเหตุในการกระทำอัปลักษณ์ที่สุดหลายอย่างของเช้าวันนั้น หมายความว่าอะไร นับตั้งแต่ต้นปี 2559 ที่ฉันเข้ามาเกี่ยวข้องกับโครงการ 6 ตุลา ฉันจำได้ว่าเมื่อปี 2554 ลูกชายของฉันซึ่งอยู่ชั้นม.2 เคยเล่าว่าครูสอนโขนที่โรงเรียนเล่าให้นักเรียนในชั้นฟังด้วยความภาคภูมิใจว่าตนเคยเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงต่อนักศึกษาเมื่อวันที่ 6 ตุลา ลูกบอกว่าครูคนนี้ก้าวร้าวหยาบคาย ชอบลงโทษด้วยการตี เด็กกลัวมาก ฉันฟังแล้วไม่ชอบเลย บวกกับลูกก็ไม่มีความสุขกับโรงเรียนนี้ ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนชื่อดัง เด็กส่วนใหญ่เป็นลูกคนมีเงิน แต่เขาอยู่แค่เทอมเดียว ก็ลาออก ฉันจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก แต่เมื่อฉันเข้ามาเกี่ยวข้องกับการสืบค้นเรื่อง 6 ตุลาตั้งแต่ปี 2559 พวกเราสนใจตามหาและสัมภาษณ์มวลชนฝ่ายขวาที่เกี่ยวข้องหรือเห็นความรุนแรงที่ท้องสนามหลวง ฉันจึงถามลูกว่าจำชื่อครูโขนได้ไหม เผื่อเขาจะยินดีให้สัมภาษณ์ และเราอยากรู้ว่าทำไมเขาจึงเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น เขาทำเอง หรือเป็นสมาชิกของกลุ่มไหน ฯลฯ ลูกจำชื่อครูได้ เขาช่วยหาในอินเตอร์เน็ต แต่น่าเสียดายเมื่อพบว่าครูคนนั้นเพิ่งเสียชีวิตจากโรคร้ายเมื่อปี 2558 ข้อมูลที่ลูกหาให้ยังมีภาพใบหน้าของครูคนนั้นด้วย ฉันเอารูปให้คนในบ้านและภัทรภรช่วยดู ไม่มีใครยืนยันได้ว่าเขาคือ the Chair Man แม้ว่าจะมีโครงหน้าเหลี่ยม จมูกแบน กรามเป็นสันนูนคล้ายกัน ฉันเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจและย้อนกลับไปดูรูปบ่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนนำรูปที่เก็บไว้มามอบให้ภัทรภรเพื่อให้กับโครงการบันทึก 6 ตุลา หนึ่งในนั้นเป็นรูปหน้าตรงของ the Chair Man ซึ่งทำให้เห็นว่าโครงหน้าของครูคล้าย the Chair man มาก ฉันกับภัทรภรจึงหันมาตามเรื่องนี้กันอย่างจริงจังอีกครั้ง แต่ในที่สุด เราก็ได้ข้อสรุปว่าเป็นคนละคนกัน อย่างไรก็ตาม ฉันอยากบันทึกกระบวนการตามหาไว้ เพราะมันชี้ให้เห็นความเจ็บป่วยของคนอยู่ไม่น้อย ฉันบอกกับภัทรภรว่าเราต้องตามหาข้อมูลจากโรงเรียน โชคดีมากที่ภัทรภรมีเพื่อนรุ่นน้องที่เพิ่งได้รับโปรเจคให้เขียนประวัติโรงเรียน เขาจึงเข้าถึงข้อมูลของโรงเรียนได้ เพื่อนของภัทรภรคนนี้เป็นศิษย์เก่าของโรงเรียน เขาเล่าว่าครูคนนี้เคยถูกไล่ออกเพราะทำร้ายครูด้วยกันเอง แต่โรงเรียนก็รับกลับเข้ามาใหม่ ตัวเขาเองและรุ่นพี่รุ่นน้องหลายคนจำได้ดีว่าครูคนนี้ได้เล่าวีรกรรมของตนเองในวันที่ 6 ตุลาในห้องเรียน เช่น เขาเป็นคน "เปิด" (ริเริ่ม) การแขวนคอที่สนามหลวง, เขาได้ช่วยสงเคราะห์นักศึกษาคนหนึ่งที่ถูกยิงแต่ยังไม่ตายให้พ้นทุกข์ ด้วยการใช้ก้อนอิฐทุบหัวจนตาย เป็นต้น ฉันเชื่อว่าเด็กทุกรุ่นที่ได้เรียนกับครูคนนี้จะต้องได้ยินวีรกรรมนี้ของเขา เพื่อนของภัทรภรอายุมากกว่าลูกเราประมาณ 10 ปีแต่พวกเขาก็มีประสบการณ์นี้ร่วมกัน ภัทรภรยังได้เบอร์โทรศัพท์ของครอบครัวของครูคนนี้ เราสองคนช่วยกันโทรไปคุย ภรรยาของครูคนนี้บอกว่าสามีเคยเล่าให้ตนและลูกฟังเช่นกันว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลา เรา crop รูปหน้า the Chair man ส่งไปให้เขาดู เขายืนยันว่าไม่ใช่สามีเขา ในที่สุด เราได้รูปครูคนนี้ในวัยหนุ่ม ซึ่งยืนยันว่าเป็นคนละคนกัน การติดตามจึงยุติลง สิ่งที่พวกเราช็อคและเศร้ากับเรื่องนี้ก็คือ สังคมแบบไหนกันที่ทำให้คนยังรู้สึกภาคภูมิใจกับการกระทำอันโหดเหี้ยมของตนได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเกือบ 40 ปีแล้ว อายุที่มากขึ้นไม่ได้ช่วยทำให้มนุษย์สามารถกลับมาใคร่ครวญการกระทำในอดีตของตนได้เลย เป็นการกระทำต่อ"ศัตรูทางการเมือง" ที่เขาไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวแต่ทำให้เขาภาคภูมิใจในตนเองได้ตลอดมา
เผยแพร่ครั้งแรกใน: Facebook Puangthong R. Pawakapan ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เอกชัย-โชคชัยจ่อฟ้องตร. สร้างมาตรฐาน ต่อให้ "นายสั่ง" ก็ทำเรื่องนอกกฎหมายไม่ได้ Posted: 18 Apr 2018 07:03 AM PDT นักกิจกรรมเผยเหตุการณ์ควบคุมตัวนอกกฎหมาย ยันเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ร้องเรียกความรับผิดชอบ พร้อมจ่อฟ้องสร้างมาตรฐาน ต่อให้นายสั่ง ก็ไม่สามารถทำเรื่องนอกกฎหมายได้ ด้านสมาคมทนายความฯ พร้อมช่วยเหลือด้านคดี 18 เม.ย. 2561 ที่สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ณัฏฐา มหัทธนา ,เอกชัย หงส์กังวาน, โชคชัย ไพบูลย์รัชตะ นักกิจกรรมทางการเมือง และนรินทร์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันจัดงานแถลงข่าวกรณี การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นกับ เอกชัย และโชคชัย จากการเข้าควบคุมตัวนักกิจกรรมทั้งสองโดยไม่มีข้อกล่าวหา ก่อนหน้าที่จะเดินทางไปร่วมกิจกรรมรดน้ำดำหัว พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อวันที่ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา จับตัวเอกชัย-โชคชัย นอกกฎหมาย ขณะเตรียมไปทำกิจกรรมสงกรานต์บ้านประวิตร ศูนย์ทนายสิทธิฯ ชี้ จนท.คุมตัว 'เอกชัย-โชคชัย' มิชอบด้วยกฎหมาย ขัดกับกติการะหว่างประเทศ ประยุทธ์ ยันคุมตัวนักกิจกรรมยึดความถูกต้อง
ณัฏฐา เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงเหตุการณ์การควบคุมตัวเอกชัย และโชคชัย ในช่วงเช้า ของวันที่ 16 เม.ย. ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเริ่มออกเดินทางไปยังหน้าบ้านของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์รดน้ำดำหัว พร้อมมอบพวงมาลัยนาฬิกา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งคู่กลับถูกจำกัดอิสรภาพ และเสรีภาพ โดยปราศจากการตั้งข้อกล่าวหาใดๆ ซึ่งตามปกติดแล้วการดำเนินการจับกุมของเจ้าหน้าที่จะต้องมีหมายจับที่ออกโดยศาล หรือในอีกกรณีหนึ่งคือดำเนินการจับกุมเนื่องจากพบเห็นการกระทำผิดซึ่งหน้า แต่ในขณะที่เอกชัย และโชคชัยถูกจับกุมนั้น พวกเขาเพียงยืนรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์เท่านั้น "ข้อสังเกตแรกของเรา อันนี้เป็นปฏิบัติการนอกกฎหมาย ไม่ต่างอะไรกับมาเฟียเลย จึงทำให้เกิดความสงสัยว่าปกติเช้าตรูขนาดนั้นยังไม่หกโมงเลย มีแรงจูงใจอะไรที่ทำให้เจ้าหน้าที่จำนวนเกือบ 20 นายจะต้องขยะตื่นเช้าออกจากบ้านไปที่ซอยบ้านเอกชัยซึ่งอยู่ที่ลาดพร้าว แรงจูงนั้นอยู่ในประโยคที่บอกว่า นายสั่งวันนี้ให้ไปไม่ได้ ประโยคนี้เองที่ผู้เสียหายทั้งสองท่านได้ยินมาตลอดเวลาของการพยายามที่จะจับกุม ส่วนนายที่สั่งเป็นใครก็อาจจะไม่เอ่ยชื่อแล้วกัน แต่บอกได้ว่าเป็นนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นคนจัดโผ่ตำรวจ และเป็นคนสนิทของรองนายกรัฐมนตรี" ณัฏฐา กล่าวต่อไปว่ากิจกรรมที่เอกชัย และโชคชัยจะทำนั้นเป็นกิจกรรมที่ทำมาโดยตลอด และเป็นกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ไม่มีความจำเป็นที่ทั้งคู่จะต้องถูกกระทำขนาดนี้ ซึ่งทำให้เกิดความสงสัยว่าเจ้าหน้าที่กำลังปกป้องอะไร กำลังปกป้องชื่อเสียงของใครหรือไม่ โดยใช้ทรัพยาการในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด อย่างไรก็ตามกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดในช่วงเวลา 4 ปีของ คสช. แต่กรณีนี้เป็นการยกระดับความรุนแรง เทียบเท่ากับกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับ จ่านิว สิริวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ซึ่งเคยถูกเจ้าหน้าที่ทหารอุ้มกลางดึก ขณะที่เดินกลับเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต แล้วถูกทหารผลักเข้าไปในป่า ก่อนที่จะมีปล่อยตัวออกมาหลังจากมีภาพจากกล้องวงจรปิดของมหาวิทยาลัยเปิดออกมา "การกระทำในลักษณะอุกอาจเหมือนการกระทำของมาเฟียเช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก ช่วงสงกรานต์นี้ก็มีเจ้าหน้าที่กระจายตัวไปเยี่ยมบ้านนักกิจกรรมทั้งที่สมุทรปราการ เชียงใหม่ กรุงเทพฯ ไปเยี่ยมบ้าน ไปคุยกับพ่อแม่ลูกเมีย แล้วบอกว่าอย่าออกไปทำกิจกรรมเลยนะ มันไม่ดี สิ่งเหล่านี้ผู้นำรัฐบาลกลับไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ... ที่ยกตัวอย่างมานี่เพื่อจะบอกว่าการละเมิดไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแต่ครั้งนี้รุนแรงจริงๆ" ณัฏฐา กล่าวต่อว่า เมื่อวานนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เอกชัย และโชคชัยที่เจ้าหน้ากระทำอย่าง สิ่งที่นักกิจกรรมทั้งสองทาเป็นการรบกวนและละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้อื่น ซึ่งถือเป็นอีกครั้งที่พล.อ.ประยุทธ์และคณะแสดงความขาดความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน ถามว่าครั้งละเมิดอย่างไรในเมื่อยังเดินทางไปไม่ถามบ้านของพลเอกประวิตรด้วยซ้ำ "พล.อ.ประยุทธ์อาจจะต้องทำความเข้าใจว่า สิทธิมนุษยชนคืออะไร ในฐานะบุคคลสาธารณะพลเอกประวิตร และพลเอกประยุทธ์ จะต้องมีวุฒิภาวะมากกว่านี้ ในการรับมือกับการวิพากษ์วิจารณ์ และการแสดงออกของประชาชน" ณัฏฐา กล่าวด้วยว่า สิ่งที่เอกชัย และโชคชัยทำนั้นไม่ใช่การละเมิดสิทธิของใคร แต่เป็นการให้รื่องข่าวฉาวนาฬิกาหรูของพลเอกประวิตรไม่หายไปจากหน้าสื่ ด้วยการกระทำที่ใช้ต้นทุนต่ำ แต่ใช้ความเสี่ยงส่วนตัวมาก แต่สิ่งที่เจ้าหน้าที่ทำคือการพยายามทำให้เรื่องนี้หายไปจากหน้าสื่อด้วยการสกัดการเคลื่อนไหวทุกอย่าง "เราขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย โดยเฉพาะคนที่สั่งการให้ออกมาแสดงควารับผิดชอบ รับผิดชอบอย่างไรถึงจะเหมาะในมุมมองของเรา ท่านลองไปคิดดู เราไม่ต้องการเล่นเจ้าหน้าที่ตัวเล็กตัวน้อยในระดับปฎิบัติงาน เรามีความคุ้นเคยและเห็นอกเห็นใจกันเสมอ แต่เมื่อมาถึงจุดที่ท่านใช้คำว่า ต้องทำตามคำสั่งนาย และเส้นของการทำตามคำสั่งนายนั้นมันเลยเถิดไปเรื่อยๆ จนถึงวันนี้โบว์รู้สึกว่า ถ้านายสั่งให้เจ้าหน้าที่สักสองสามคนมาอุ้มโบว์หายออกไปจากสังคมนี้เลย คุณก็จะบอกเราว่าจำเป็นต้องทำ เพราะทำตามคำสั่งนายหรือเปล่า โบว์ขอเรียกร้องให้คนที่ออกคำสั่งแบบนั้นออกมาแสดงความรับผิดชอบ และถ้าไม่มีการแสดงความรับผิดชอบ และไม่มีการให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำการละเมิดอย่างนี้กับประชาชนอีก เราก็คงต้องใช้สิทธิตามกฎหมายของผู้เสียหายทั้งสองคนในการฟ้องร้องดำเนินคดีตามสิทธิให้เป็นการยืนยันว่า ความยุติธรรมต้องได้รับความเคารพต่อไป" ด้านโชคชัย ผู้ถูกอุ้มจนได้รับบาดเจ็บที่หน้าอกและหูข้างซ้ายกล่าวว่า อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นคือมีอาการเจ็บหน้าอกจากการกดทับ และหูข้างซ้ายมีการได้ยินผิดปกติ ซึ่งแพทย์ได้ตรวจและวินิจฉัยว่าแก้วหูอักเสบจากการกดทับเป็นเวลานาน ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่าตนทำลายข้าวของในห้องที่ถูกกักตัวนั้น ยอมรับว่าหลังจากถูกทาให้เจ็บพร้อมกักขังหน่วงเหนี่ยวทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเป็นเวลาหลายชั่วโมง แล้วเจ้าหน้าที่ยังยึดโทรศัพท์ไปไม่ยอมคืน อีกทั้งยั่วยุให้ทาลายข้าวของได้ ตนจึงเกิดอาการบันดาลโทสะและทาให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่อยู่ในห้องที่ใช้กักขังตนจริง และพร้อมรับผิดชอบความเสียหายต่อทรัพย์สินหากเจ้าหน้าที่จะเอาผิด แต่อยากถามกลับว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหลายโดยเฉพาะผู้สั่งการพร้อมรับผิดชอบต่อการกระทำผิดกฎหมายหลายข้อและความรุนแรงที่ได้กระทำต่อตนตลอดเช้าวันนั้นหรือไม่ ส่วนเอกชัย หงส์กังวาน ได้กล่าวถึงรายละเอียดกิจกรรมที่ตั้งใจทำเมื่อวันจันทร์ว่า ตามที่ได้ประกาศผ่านทางเฟสบุ๊คไปเมื่อวันที่ 15 เมษายน ตั้งใจเดินทางไปที่บ้านพักของประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อร่วมรดน้ำสงกรานต์ โดยกิจกรรมที่เตรียมไว้คือ จุดธูป 36 ดอกเพื่อเป็นสิริมงคล มอบพวงมาลัยนาฬิกาให้ และสีซอให้ฟังด้วยเพลง "ออเจ้าเอย" ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีการกระทาใดที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย สิ่งที่ตนทำก็เพื่อรักษากระแสของเรื่องนาฬิกาหรูให้ยังอยู่ในความสนใจของสื่อและคนในสังคม จนกว่าปปช.จะทาหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาในคดีนาฬิกายี่สิบกว่าเรือนให้เป็นที่ประจักษ์ นอกจากนี้เอกชัยยังตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดการจัดการกับตนและโชคชัยในครั้งนี้จึงเกินเลยจนถึงขั้นที่เจ้าหน้าที่ย่อมทำผิดกฎหมายไปได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยทำกิจกรรมในลักษณะเดียวกันที่หน้าทาเนียบและหน้าบ้านพล.อ.เปรม แม้จะถูกละเมิดก็ยังไม่มีการกระทำรุนแรงเท่าครั้งนี้ที่มาดักถึงหน้าบ้านและปฏิบัติต่อโชคชัยจนได้รับบาดเจ็บ นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ในฐานะทนายความที่ได้รับการประสานเพื่อขอคำแนะนาในข้อกฎหมายและความช่วยเหลือทางคดี กล่าวว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้ เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา เกี่ยวกับเสรีภาพ และ การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ตารวจ รวมทั้งข้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวพันกับพฤติการณ์ต่างๆ ของเจ้าหน้าที่ตารวจในการกระทาดังกล่าว คือทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ และทำร้ายร่างกาย โดยร่วมกันกระทำตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ดังรายละเอียดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309, 310, 157 เป็นต้น นอกจากนี้ เนื่องจากการกระทำดังกล่าว เป็นไปเพื่อปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกด้วย จึงขัดกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และสิทธิเสรีภาพของพลเมืองไทยตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้กลุ่มนักกิจกรรมได้ยื่นคาขาด หากภายในวันศุกร์นี้ไม่มีผู้บังคับบัญชาระดับสูงแสดงความรับผิดชอบผ่านสื่ออย่างเป็นทางการ และให้คามั่นว่าจะหยุดละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน ผู้เสียหายทั้งสองคนจาเป็นต้องใช้สิทธิตามกฎหมายในการดาเนินคดีฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการโดยตรงต่อศาลอาญา เนื่องจากไม่มีความไว้วางใจในต้นทางของกระบวนการยุติธรรมอีกต่อไป
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ร้องไห้ไม่หยุด หลังจับได้ใบแดง ถาม 'ใครจะดูแลยาย' Posted: 18 Apr 2018 06:07 AM PDT ผู้ใช้เฟสบุ๊คเล่าเรื่องราวของชายจับได้ใบแดง ร 18 เม.ย.2561 ผ่านไปแล้วสำหรับการตรวจเลือกทหารกองประจำการในปีนี้ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 1 – 12 เม.ย. 2561 โดยปีนี้มีผู้เข้ารับการตรวจเลือก 532,277 นาย กองทัพคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติครบ ไว้เป็นทหารกองประจำการ 104,734 นาย โดย มีผู้ร้องขอหรือสมัครเป็นทหารถึง 44,797 นาย คิดเป็นร้อยละ 42.77 วันนี้ (18 เม.ย.61) ผู้ที่ใช้เฟสบุ๊ค ที่ใช้ชื่อว่า 'Art Tua Por' ได้เผยคลิปและเรื่องราวเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหาร เนื่องจากบุคคลที่จับได้ใบแดงมีภาระที่ต้องดูแลยายที่บ้าน โดยระบุว่า "คนนี้พีคสุดตั้งแต่มาคัดเลือกทหาร น้องคนนี้ร้องไห้หนักมาก หลายคนเห็นก็ขำบ้าง หัวเราะบ้าง แต่ใครจะรู้บ้างว่าที่เขาร้ ผมเลยถามน้องไปว่ามีภาระอะ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กสทช. แจ้ง 'ทรู' รับผิดชอบ-เยียวยาทั้งทางแพ่ง-อาญา ปมข้อมูลบัตรประชาชนลูกค้าหลุด Posted: 18 Apr 2018 05:32 AM PDT สำนักงาน กสทช. มีหนังสือแจ้งทรูให้รับผิดชอบและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อผู้ใช้บริการทั้งทางแพ่งและอาญา กรณีข้อมูลบัตรประชาชนลูกค้าหลุด พร้อมกำชับโอเปอเรเตอร์รายอื่นต้องจัดให้มีมาตรการป้องและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้บริการ 18 เม.ย.2561 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) แจ้งว่า ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากที่สำนักงาน กสทช. ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องกับกรณีที่ปรากฏข่าวผ่านสื่อสารมวลชนว่า ทรูมูฟ เอช ทำข้อมูลบัตรประชาชนลูกค้าหลุดเป็นจำนวนมาก มาชี้แจงข้อเท็จจริง ณ สำนักงาน กสทช. เมื่อวานนี้ (17 เม.ย. 2561) ในวันนี้ สำนักงาน กสทช. ได้มีหนังสือถึงบริษัท เรียล มูฟ จำกัด เรื่อง ให้ปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้บริการโทรคมนาคมเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิในความเป็นส่วนตัว และเสรีภาพในการสื่อสารถึงกันโดยทางโทรคมนาคม โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มีคำสั่งให้ บริษัทฯ ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน แก้ไขปรับปรุง และปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสม ในเรื่องดังต่อไปนี้ 1. จัดให้มีมาตรการป้องกันและรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลทั้งทางด้านเทคนิคและการจัดการภายในองค์กรในรูปแบบที่เหมาะสมกับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยอย่างน้อยต้องปรับระดับรักษาความปลอดภัยให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นตามการพัฒนาทางเทคโนโลยี และให้มีการตรวจสอบระบบการรักษาความปลอดภัยจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของข้อมูล 2. จัดให้มีช่องทางการตรวจสอบจากประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย 3. ให้ บจ. เรียล มูฟฯ รับผิดชอบและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อผู้ใช้บริการที่ได้รับผลกระทบ ทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นในทางแพ่งและทางอาญา 4. ให้รายงานผลการดำเนินการตามคำสั่งตามข้อ 1. 2. และ 3. มายังสำนักงาน กสทช. ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ และรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามคำสั่งนี้เป็นระยะๆ ทุก 15 วัน หากบจ. เรียล มูฟฯ ไม่ดำเนินการตามคำสั่งนี้ เลขาธิการ กสทช. จะใช้มาตรการบังคับทางปกครองกำหนดค่าปรับทางปกครองตามกฎหมายไม่ต่ำกว่าสองหมื่นบาทต่อวัน ตามมาตรา 66 แห่งพ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ทั้งนี้ บจ. เรียล มูฟฯ มีสิทธิโต้แย้งคำสั่ง ดังกล่าวได้โดยยื่นอุทธรณ์ต่อ กสทช. ภายในระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ ตามมาตรา 65 แห่งพ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ฐากร กล่าวว่า พร้อมกันนี้ สำนักงาน กสทช. ได้มีหนังสือถึงผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายอื่นๆ ว่า ต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันและและรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลทั้งทางด้านเทคนิคและการจัดการภายในองค์กรในรูปแบบที่เหมาะสมกับแต่ละบริการโทรคมนาคม ตามข้อ 10 ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้บริการโทรคมนาคมเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิในความเป็นส่วนตัว และเสรีภาพในการสื่อสารถึงกันโดยทางโทรคมนาคมกำหนด โดยผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศอย่างเคร่งครัด และหากเกิดกรณีที่ไม่เป็นไปตามที่ประกาศกำหนด ผู้รับใบอนุญาตต้องควบคุมดูแลให้ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน หรือแก้ไขปรับปรุงหรือปฏิบัติตามให้ถูกต้องเหมาะสม และผู้รับใบอนุญาตต้องผูกพันในการดำเนินการใด ๆ ของบุคคลดังกล่าวเสมือนว่าผู้รับใบอนุญาตเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเอง ตามข้อ 18 ของประกาศดังกล่าวกำหนดไว้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
แกนนำเพื่อไทยตีกอล์ฟตระกูลสะสมทรัพย์ ชวน 'ไชยยศ' เข้าพรรค Posted: 18 Apr 2018 05:11 AM PDT แกนนำเพื่อไทยนัดตีกอล์ฟตระกูลสะสมทรัพย์ ชวน 'ไชยยศ' ไปอยู่พรรคเพื่อไทย ด้าน ประยุทธ์ เผยกำลังตรวจสอบการเคลื่อนไหวแกนนำเพื่อไทย - คนที่ไปพบปะปชช.ในตอนนี้ 18 เม.ย.2561 มติชนออนไลน์ รายานว่า วันนี้ ที่สนามกอล์ฟนิกันติ จ.นครปฐม แกนนำพรรคเพื่อไทยกว่า 20 คน นำโดย สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ชัยเกษม นิติสิริ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล จาตุรนต์ ฉายแสง วราเทพ รัตนากร นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ชูศักดิ์ ศิรินิล และภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค ออกรอบตีกอล์ฟที่สนามกอล์ฟนิกันติ ของตระกูล "สะสมทรัพย์" โดยมี ไชยยศ สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ อนุชา สะสมทรัพย์ อดีต ส.ส. นครปฐม ให้การต้อนรับ มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า ระหว่างการพูดคุยส่วนตัว สมชาย และภูมิธรรม ได้เอ่ยปากชวนไชยยศ ให้ไปอยู่พรรคเพื่อไทยด้วยกัน ซึ่งไชยยศได้แต่หัวเราะโดยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ทั้งนี้ การออกรอบตีในวันนี้ ไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข อยู่ระหว่างการรักษาตัว และ เผดิมชัย สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ติดภารกิจไปต่างประเทศ จึงไม่ได้มาร่วมออกรอบด้วย อนุชา กล่าวว่า สนามกอล์ฟนี้เปิดรับทุกคน โดยไม่รู้ล่วงหน้าว่าใครจะเดินทางมา ซึ่งในฐานะเจ้าของสนามก็ให้การต้อนรับทุกคน เหมือนเช่น กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เเละหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางมาก่อนหน้านี้ ซึ่งวันนี้จะไม่มีการพูดคุยเรื่องการเมือง และไม่ส่งสัญญาณให้แกนนำพรรคเพื่อไทย ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงการยืนยันสมาชิกภาพพรรคเพื่อไทยของคนในตระกูลสะสมทรัพย์ อนุชา ระบุเพียงสั้นๆ ว่า "เมื่อชาติต้องการ" ภูมิธรรม กล่าวว่า จะไม่สอบถามเรื่องการเป็นสมาชิกสภาพกับอดีต ส.ส.ในตระกูลสะสมทรัพย์ เพราะถือว่าเป็นการพบปะเพื่อออกกำลังกายและพูดคุยเรื่องทั่วไป ซึ่งพรรคยังมีเวลาจนถึงวันที่ 30 เมษายน ที่จะให้สมาชิกแสดงตัวตน และเคารพการตัดสินใจของอดีต ส.ส.ทุกคน ประยุทธ์ เผยกำลังตรวจสอบการเคลื่อนไหวแกนนำเพื่อไทย - คนที่ไปพบปะปชช.ในตอนนี้ขณะที่วานนี้ (17 เม.ย.61) โพสต์ทูเดย์ รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคเพื่อไทยนัดกินข้าวและตีกอล์ฟกับนักการเมืองตระกูลสะสมทรัพย์ ที่สนามนิกันติ จ.นครปฐม วันนี้ ว่าจะผิดคำสั่ง คสช.หรือไม่ยังไม่ทราบ แต่กำลังตรวจสอบอยู่ โดยเฉพาะบุคคลที่ไปเคลื่อนไหวพบปะประชาชนในตอนนี้ว่าผิดคำสั่งอะไรหรือไม่ เนื่องจากคำสั่งเขียนชัดเจนว่า อะไรได้หรือไม่ได้ ดังนั้นขอให้ระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ทั้งนี้ เมื่อปลายปีที่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ก็เคยมาตีกอล์ฟที่สนามนี้ พร้อมกับตระกูลสะสมทรัพย์ นั้น ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ ถึงกรณีดังกล่าวว่า สำหรับตนไปไหนมาไหนก็ได้ในทุกจังหวัด ตนพร้อมไปทุกที่ หรือใครจะมาพบตนก็พร้อมพบ แต่มาแล้วไม่ใช่มองว่าพบเพื่อการเมือง เรื่องดีลต่างๆ "ยืนยันว่าผมไม่ได้ดีลอะไรกับใคร ทุกวันนี้ผมมีหน้าที่ในการทำให้ประเทศมีความมั่นคงแข็งแรง วันข้างหน้าใครจะอยู่พรรคไหน อย่างไรก็เป็นเรื่องของท่าน เลือกตั้งก็ไปเลือกของท่าน เมื่อท่านเข้ามาท่านจะอยู่กับใครก็เป็นเรื่องของท่าน จะอยู่ฝ่ายรัฐบาลหรืออยู่กับฝ่ายค้านผมไม่รู้ เพราะผมยังไม่ได้เข้าไปอยู่ตรงนั้นเลย แล้วผมจะไปดีลอะไรกับใครใช่หรือไม่" ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
หัวกระไดไม่แห้ง: ผอ.ซีไอเอพบผู้นำเกาหลีเหนือ ปธน.จีนจ่อเยือนตาม Posted: 18 Apr 2018 04:33 AM PDT บรรยากาศการทูตบนคาบสมุทรเกาหลีดูเป็นมิตรขึ้นหลังมีข่าวว่าจะมีการจัดประชุมสุดยอดผู้นำระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ และสหรัฐฯ ในอีก 2-3 เดือน ล่าสุด ผอ.ซีไอเอเดินทางเยือนผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือเพื่อเตรียมการ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนมีแผนเยือนเกาหลีเหนือเพื่อตอบแทนที่ผู้นำสูงสุดโสมแดงไปเยือนก่อน ไมค์ ปอมเปโอ (ที่มา:flickr/Gage Skidmore) สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้รายงานว่า ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองกลางแห่งสหรัฐฯ หรือซีไอเอ ไมค์ ปอมเปโอ ได้เดินทางไปเยือนเกาหลีเหนืออย่างลับๆ ในฐานะตัวแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเมื่อช่วงวันหยุดเทศกาลอีสเตอร์ที่ผ่านมา วอชิงตันโพสท์รายงานว่า ปอมเปโอบินไปยังเกาหลีเหนือเพื่อพูดคุยกับคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ในประเด็นการจัดประชุมสุดยอดผู้นำกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ที่จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือน พ.ค. หรือต้นเดือน มิ.ย. ปีนี้ การไปเยือนครั้งนี้ถือเป็นการพูดคุยในระดับสูงที่สุดที่เคยมีมาระหว่างรัฐบาลวอชิงตันกับรัฐบาลเปียงยางนับแต่ปี 2543 ซึ่งสมัยนั้นมีการพบกันระหว่างมาเดลีน ออลไบรท์ รมว.กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ในสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน กับคิมจองอิล บิดาของคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ณ ขณะนั้น คลินตันเองมีความต้องการที่จะเยือนเกาหลีเหนือเช่นกัน แต่ว่าหมดวาระดำรงตำแหน่งเสียก่อน แต่ในปี 2552 คลินตันได้เดินทางไปเกาหลีเหนือ เข้าประชุมกับคิมจองอิล และทำให้นักข่าวชาวอเมริกันสองคนที่ถูกคุมขังในเกาหลีเหนือได้รับการปล่อยตัว นอกจากคลินตันแล้ว จิมมี คาร์เตอร์ เป็นอีกหนึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีโอกาสไปเยือนเกาหลีเหนือในปี 2537 โดยมีเป้าหมายเพื่อหาทางออกในประเด็นโครงการนิวเคลียร์ร่วมกันกับผู้นำสูงสุดและผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ คิมอิลซุง ผู้ที่ต่อมาถูกสถาปนาเป็นประธานาธิบดีตลอดกาล ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทางการสหรัฐฯ ได้มการเยือนเกาหลีเหนืออยู่สองครั้ง ได้แก่การไปเยือนของอดีต ผอ.หน่วยข่าวกรองแห่งชาติ และอดีตรองผู้ช่วย รมว.กระทรวงต่างประเทศในปี 2557 และ 2560 ตามลำดับ หลังจากการเยือนของ ผอ.ซีไอเอ มีรายงานของยอนฮัปอีกตอน ใจความว่า ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีน มีแผนจะเดินทางไปยังเกาหลีเหนือเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือไปเยือนกรุงปักกิ่งด้วยรถไฟเมื่อวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งจะถือเป็นการเยือนเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการครั้งแรกของประธานาธิบดีจีนคนนี้ โดยยอนฮัปอ้างรายงานของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า การไปเยือนจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดขึ้นหลังประชุมสุดยอดผู้นำระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือที่จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือน พ.ค. หรือต้น มิ.ย. คิมจองอึนได้พูดคุยกับสีจิ้นผิงมาก่อนเมื่อปลายเดือน มี.ค. และได้พูดถึงความพยายามที่จะล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์ โดยมีความพยายามมาอย่างเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่สมัยคิมอิลซุงผู้เป็นปู่ ชุงอืยยอง ประธานสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของเกาหลีใต้กล่าวว่า รัฐบาลเกาหลีใต้และสหรัฐฯ มีการพูดคุยเชิงลึกเกี่ยวกับหนทางที่จะทำให้การประชุมสุดยอดระหว่างสองเกาหลีและสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จ แนวทางที่จะทำให้ความกังวลเรื่องความมั่นคงของเกาหลีเหนือหมดไป และรับรองว่าเกาหลีเหนือจะมีอนาคตที่สดใสหากตัดสินใจยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ เมื่อวานนี้ (17 เม.ย.) ประธานาธิบดีมูนแจอิน ของเกาหลีใต้แสดงความต้องการที่จะสร้างสันติภาพอย่างถาวรบนคาบสมุทรเกาหลี โดยการล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือจะเป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายในการสร้างการอยู่ร่วมกันและความเจริญร่วมกันระหว่างสองเกาหลี ปธน. เกาหลีใต้คาดหวัง 'สันติภาพถาวร' นัดคุย 'คิมจองอึน' ศุกร์หน้า คณะผู้แทนเกาหลีใต้เยือนเกาหลีเหนือครั้งประวัติศาสตร์ ดันประเด็นปลดนิวเคลียร์ มูนแจอินมีกำหนดพบกับผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือในวันศุกร์หน้า ซึ่งจะเป็นการพบปะระหว่างผู้นำสองเกาหลีครั้งที่สาม และหลังจากนั้นจะเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำของสองเกาหลีกับสหรัฐฯ ที่อาจมีขึ้นในปลายเดือน พ.ค. หรือต้นเดือน มิ.ย. ตามที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าว แปลและเรียบเรียงจาก Peace treaty with N. Korea possible following denuclearization: official, Yonhap, Apr. 18, 2018 Pompeo trip marks latest in history of N. Korea visits by U.S. statesmen, Yonhap, Apr. 18, 2018 Xi to visit N. Korea, news report says, Yonhap, Apr. 18, 2018 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
องค์กรสิทธิฯ ขอศาลยกฟ้อง 7 หญิง ที่ชุมนุมโดยสงบค้านเหมืองแร่ทองคำ จ.เลย Posted: 18 Apr 2018 02:12 AM PDT องค์กรฟอร์ติฟายไรท์ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้ยกฟ้องข้อกล่าวหาต่
18 เม.ย.2561 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า วันนี้ องค์กรฟอร์ติฟายไรท์ (Fortify Rights) ซึ่งเป็นองค์กรทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้ยกฟ้องข้อกล่าวหาต่ โดยมีเนื้อหาดังนี้ ประเทศไทย: ยกฟ้องข้อกล่าวหาต่อผู้หญิงนั |
ส.วิจัยระบบสาธารณสุข จับมือ สาธารณสุขน่าน พัฒนาเครือข่ายสร้างวิจัยพื้นที่ Posted: 18 Apr 2018 01:47 AM PDT สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดน่านร่วมบันทึกความร่วมมือพัฒนาเครือข่ายสร้างวิจัยพื้นที่ ส่งเสริมสุขภาพ-ป้องกันโรคอย่างมีส่วนร่วม 18 เม.ย.2561 สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) แจ้งว่า สวรส. และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดน่าน (สสจ.น่าน) ร่วมบันทึกความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเครือข่ายประชาคมสุขภาพจังหวัดน่าน ในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคอย่าง มีส่วนร่วม โดยให้ความสำคัญกับการใช้ความรู้ ควบคู่กับการระดมประสบการณ์ในพื้นที่และภูมิปัญญาของประชาชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบการจัดการงานวิจัยที่สามารถสร้าง สื่อสาร และใช้ประโยชน์จากความรู้ มาจัดการและพัฒนาสุขภาพของประชาชนน่าน เมื่อเร็วๆนี้ ที่โรงแรมเทวราช จ.น่าน นพ.พีรพล สุทธิวิเศษศักดิ์ ผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวว่า เรารู้กันดีว่าเรื่องสุขภาพ ไม่ใช่เป็นเรื่องของกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของทุกคน และ จ.น่านก็มีประชาคมและเครือข่ายที่เข้มแข็งมาโดยตลอด ที่ผ่านมา สวรส. ได้เรียนรู้จากการทำงานวิจัยร่วมกันกับประชาคมเมืองน่านค่อนข้างมาก จึงทำให้เกิดเป็นความร่วมมือในครั้งนี้ที่ไม่ได้เป็นเพียงความร่วมมือของ สวรส. กับ สสจ.น่าน เท่านั้น หากแต่ภายใต้การทำงานของ สสจ.น่าน จะมีประชาคมน่านมาทำงานร่วมด้วย เพื่อให้ความรู้ที่ได้จากการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ส่งผลให้ประชาชนเมืองน่านมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี "น่าน น่าจะเป็นจังหวัดแรกที่สามารถประยุกต์ข้อจำกัดในระบบราชการมาทำเรื่องการบริหารจัดการงานวิจัยเพื่อให้เกิดประโยชน์ในพื้นที่ได้จริง โดยไม่ได้เอาอุปสรรคเป็นตัวตั้งต้น แต่เอางานเป็นตัวตั้ง ควบคู่กับการทำงานร่วมกับประชาคมน่านอย่างต่อเนื่องและเข้มแข็ง สอดคล้องกับแผนการพัฒนาประเทศที่มีสาระหลักเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคม สนับสนุนให้สังคมทำงานแบบมีส่วนร่วม ซึ่ง จ.น่าน ดำเนินการไปในทิศทางนั้นอยู่แล้ว" ผอ.สวรส. กล่าว นพ.นิพนธ์ พัฒนกิจเรือง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดน่าน กล่าวว่า จังหวัดน่านมีประชาคมที่เข้มแข็ง และมีการทำงานด้านสุขภาพที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายต่างๆอยู่แล้ว แต่ขาดการบันทึกและจัดการความรู้ให้เป็นข้อมูลทางวิชาการที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเรื่องต่างๆ ได้ ที่ผ่านมาจังหวัดน่าน มักจะเป็นพื้นที่ที่มีนักวิชาการภายนอกเข้ามาทำงานในประเด็นต่างๆ จำนวนมาก แต่สุดท้ายนักวิชาการก็หอบข้อมูลไปหมด ทั้งฐานข้อมูล ข้อสรุป การเรียนรู้แล้วไม่กลับมาต่อยอดงานวิจัยนั้น เช่นเดียวกับอีกหลายจังหวัด ส่งผลให้พื้นที่บอบช้ำกับนวัตกรรมและวิชาการ ไม่ได้รับประโยชน์และไม่สามารถต่อยอดเพื่อการพัฒนาได้ นพ.นิพนธ์ กล่าวด้วยว่า คนน่านและประชาคมน่าน จึงให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาหรือพัฒนาเรื่องต่างๆ ด้วยตนเอง เพื่อความยั่งยืนในอนาคต การพัฒนาด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในครั้งนี้ สวรส. ได้ส่งเสริมและสนับสนุน เพื่อให้เกิดการเสริมความรู้ที่พื้นที่สามารถพึ่งตนเองได้ นับเป็นการกระจายอำนาจอย่างหนึ่ง เนื่องจากพื้นที่สามารถกำหนดทิศทางงานวิจัย และเลือกได้เองว่าอะไรสำคัญ ดังนั้นการบันทึกความร่วมมือถือเป็นความตั้งใจจริง โดย สวรส. จะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพทั้งด้านการทำวิจัย และการจัดการงานวิจัย เพื่อการพัฒนาด้านสุขภาพที่ประชาคมน่านจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ด้าน พญ.วัชรา ริ้วไพบูลย์ ผู้จัดการสำนักจัดการงานวิจัยและประสานโครงการ สวรส. กล่าวว่า ความร่วมมือกันในครั้งนี้ เกิดจากการทำงานร่วมกันเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา และเป็นความร่วมมือกันในการสร้างความรู้เพื่อการพัฒนาสุขภาพของประชากรในเมืองน่าน โดย สวรส. ได้สนับสนุนทุนวิจัยให้กับตัวแทนนักวิจัยจาก สสจ.น่าน และใช้ทุนทั้งของ สวรส. และ สสจ.น่าน โดยมีภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เพื่อให้เกิดการกำหนดนโยบายด้านการสร้างเสริมสุขภาพให้กับประชาชนเมืองน่านได้มีสุขภาพที่ดี ซึ่งเป็นการดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ในระดับพื้นที่ นอกจากนี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ ทำให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า นโยบายจะให้ดีแค่ไหน แต่ถ้ากระบวนการที่นำลงไปสู่การปฏิบัติ ไม่มีส่วนร่วม ไม่มีกระบวนการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่แล้ว นโยบายก็ไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้ ผลลัพธ์ทางสุขภาพของประชาชนก็ไปไม่ถึง ขณะเดียวกัน เห็นพลังของชาวเมืองน่านที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ไปสู่การพัฒนานโยบายที่ตอบสนองโจทย์ของพื้นที่มากยิ่งขึ้น "สวรส. จึงเล็งเห็นว่า ควรมีระบบหรือกลไกในพื้นที่ ที่สามารถช่วยสนับสนุนและส่งเสริม ทั้งในเรื่องการสร้างความรู้ พัฒนาความรู้ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ และนำไปสู่การมีข้อเสนอเชิงนโยบาย หรือการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับบริบทในพื้นที่เมืองน่าน ซึ่งการบันทึกความร่วมมือฯ จะเป็นการสานต่อความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง" พญ.วัชรา กล่าว อนึ่ง การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้มีผลบังคับใช้เป็นเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2561 เป็นต้นไป โดยความร่วมมือดังกล่าว นอกจากจะเป็นกลไกสนับสนุนการพัฒนาด้านสุขภาพ และระบบการจัดการงานวิจัยในพื้นที่เมืองน่านแล้ว ยังส่งเสริมให้เกิดโอกาสในการพัฒนาขีดความสามารถในการทำวิจัยและการจัดการงานวิจัยของประชาคมเมืองน่าน ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการวิจัย และการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันต่อไปในอนาคตอีกด้วย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ประชากรโลกร้อยละ 95 สูดมลพิษเสี่ยงคร่าชีวิต โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา Posted: 18 Apr 2018 01:34 AM PDT รายงานสถาบันผลกระทบด้านสุขภาวะ (Health Effect Institute) จากสหรัฐฯ ระบุว่ามีประชากรมากกว่าร้อยละ 95 ของโลกต้องสูดอากาศเสียซึ่งส่งผลร้ายต่อสุขภาพ ผู้เผชิญปัญหาหนักสุดคือคนจน ช่องว่างระหว่างประเทศที่มีมลพิษน้อยที่สุดกับประเทศที่มีมลพิษมากที่สุดมีช่องว่างห่างกันมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาพควันจากปล่องโรงงานอุตสาหกรรม (ที่มา:Maxpixel) 17 เม.ย. 2561 ในรายงานชื่อ "สถานภาพของอากาศโลก" (State of Global Air) ปี 2561 ระบุว่าประชากรราวร้อยละ 95 ของโลกอยู่ในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นละอองสูงเกินกว่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดคือมากกว่า 10 ไมโครกรัมต่อตารางเมตร ประชากรเกือบร้อยละ 60 อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ค่าฝุ่นละอองในอากาศมากกว่า 35 ไมโครกรัมต่อตารางเมตร สถาบันผลกระทบด้านสุขภาวะระบุว่า มลภาวะทางอากาศมาจากทั้งฝุ่นละอองและก๊าซที่ผสมปนเปกัน ในการวัดมลภาวะภายนอกมีการวัดตามขนาดฝุ่นละอองระดับละเอียดคือเล็กกว่าหรือเท่ากับ 2.5 ไมโครเมตร หรือที่เรียกว่า PM 2.5 นอกจากมลภาวะทางอากาศภายนอกแล้ว ในประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะในเขตชนบทมีความเสี่ยงต่อมลภาวะทางอากาศในครัวเรือนด้วยซึ่งมักจะมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงหุงต้มต่างๆ เช่น ถ่าน ฟืนหรือเชื้อเพลิงชีวมวล ซึ่งเผาไหม้แล้วเกิดเขม่าควัน ผนวกกับการที่ครัวเรือนขาดระบบระบายอากาศและเขม่าควัน มีผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าการเผชิญมลภาวะทางอากาศกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้คน 6 ล้านคนเสียชีวิตในปี 2560 เพราะมลภาวะเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ, หัวใจวาย, มะเร็งปอด และโรคปอดเรื้อรัง ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากมลภาวะครึ่งหนึ่งคือประชากรของจีนกับอินเดีย บ็อบ โอคีฟ รองประธานของสถาบันผลกระทบด้านสุขภาวะกล่าวว่า ช่องว่างระหว่างประเทศที่อากาศดีกับประเทศที่อากาศเป็นพิษอยู่ในระดับที่ห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ มีประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากที่ทำให้มลภาวะแย่ลงไปเรื่อยๆ ในช่วงที่พยายามทำให้เศรษฐกิจเติบโต โดยในตอนนี้มีช่องว่างระดับมลภาวะระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนามากขึ้นเป็น 11 เท่า เทียบกับในปี 2533 ที่วัดได้ 6 เท่า เนื่องจากประเทศกำลังพัฒนายังไม่มีระบบควบคุมมลภาวะที่ดีพอ อย่างไรก็ตามในประเทศที่ดูมีปัญหาหนักๆ อย่างจีนกับอินเดียก็กำลังพยายามพัฒนาตัวเองในเรื่องนี้ โอคีฟระบุว่าถึงแม้จะยังต้องแก้ไขปัญหาอีกยาวไกล แต่จีนก็พยายามปรับปรุงอย่างจริงจังด้วยการลดถ่านหินในประเทศตัวเองและพยายามควบคุมมลภาวะมากขึ้น ขณะที่อินเดียก็พยายามลดปัญหามลภาวะภายในครัวเรือนด้วยการให้หันมาใช้ก๊าซ LPG และการเข้าถึงไฟฟ้า ขณะที่ในประเทศพัฒนาแล้วก็ยังคงมีปัญหามลภาวะซึ่งหลักๆ มาจากการจราจรบนท้องถนนโดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงดีเซล ขณะที่ในประเทศกำลังพัฒนาฝุ่นละอองขนาดเล็กเป็นปัญหาที่ทำให้มีคนเสียชีวิตหลายล้านคนต่อปี อย่างไรก็ตาม โอคีฟบอกว่ารัฐบาลหลายประเทศถูกกดดันให้ต้องแก้ปัญหานี้มากขึ้นส่วนหนึ่งมาจากความสามารถในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชาชนที่มากขึ้นด้วย โดยโอคีฟมองว่าการเรียกร้อง การให้ข้อมูลและปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องปัญหามลภาวะทางอากาศในอินเทอร์เน็ตส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อเรื่องนี้ นอกจากความเป็นห่วงเรื่องปากท้องแล้วประชาชนมีวิธีการหารือในที่สาธารณะกันมากขึ้น รายงานสถานภาพของอากาศโลกที่ออกมาเมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ผ่านมามีปริมาณข้อมูลเพิ่มขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีการเก็บข้อมูลทั้งจากการสำรวจผ่านดาวเทียมและการสังเกตการณ์บนภาคพื้นดิน รวมถึงรวบรวมการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องผลกระทบของมลภาวะซึ่งอาจจะส่งผลกระทบร้ายแรงถึงแก่ชีวิตได้ในระยะยาว เรียบเรียงจาก More than 95% of world's population breathe dangerous air, major study finds, The Guardian, Apr. 17, 2018 How clean is the air you breathe?, State of Global Air ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 18 Apr 2018 01:34 AM PDT
ภาพด้านลบที่โดนกล่าวถึงเรื่อยๆทุกๆปีเช่นนี้ น่าจะทำให้หลายๆคนตั้งคำถามว่ารากของปัญหาที่แท้จริงมันอยู่ที่อะไรกันแน่ ส่วนตัวผมเองคิดว่าปัญหาของวันสงกรานต์นั้นมีอยู่หลากหลายรูปแบบ และแต่ละรูปแบบก็มีต้นเหตุของปัญหาแตกต่างกันไป แต่ในบทความนี้ผมจะขอพูดถึงเฉพาะเรื่องวัฒนธรรมของคนไทยที่ยังไม่ค่อยตระหนักถึงความสำคัญเรื่องสิทธิเสรีภาพ และปัญหาการใช้สิทธิเสรีภาพในสังคมเมื่อต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยผมจะวิเคราะห์ค่านิยมของคนในสังคมไทยผ่านกระแสสังคมที่เกิดขึ้นหลังกรณีขัดแย้งระหว่างพ่อลูกเล่นสงกรานต์กับเจ้าของรถป้ายแดง ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมามีผู้ใช้เฟสบุคจำนวนมากแชร์คลิปวิดีโอของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังต่อว่าพ่อลูกที่กำลังเล่นสงกรานต์อยู่ข้างถนน ลำดับเหตุการณ์คร่าวๆที่ปรากฎในคลิปคือ มีพ่อลูกคู่หนึ่งกำลังเล่นสงกรานต์อยู่ริมถนน เมื่อรถป้ายแดงของผู้หญิงคนหนึ่งขับผ่านมาและเห็นว่ามีคนเล่นสงกรานต์อยู่ ผู้ที่อยู่ในรถจึงลดกระจกลงพร้อมบอกว่าอย่าสาดน้ำ แต่เด็กเล็กที่เล่นสงกรานต์อยู่ก็สาดน้ำใส่ไปแล้ว ผู้หญิงที่อยู่บนรถจึงไม่พอใจและลงมาต่อว่าพ่อลูกคู่นั้นอย่างรุนแรง[1] บางคนวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะการสื่อสารของผู้ขับรถเกิดขึ้นช้าเกินไป เด็กได้สาดน้ำออกไปแล้วและไม่สามารถยั้งมือได้ทัน แต่ผมคิดว่าไม่ว่าเบื้องหลังของเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม กระแสสังคมที่เกิดขึ้นหลังจากคลิปนี้ได้ถูกเผยแพร่ลงอินเตอร์เน็ตนั้นมีความน่าสนใจกว่าเบื้องหลังของเหตุการณ์มากนัก เพราะกระแสสังคมนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยให้ความสำคัญกับสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล (freedom and individual rights) มากน้อยขนาดไหน (ผมขออนุญาตชี้แจงตั้งแต่ตรงนี้ว่าเป้าหมายหลักของบทความนี้ไม่ใช่เพื่อตัดสินว่าคู่กรณีในคลิป ฝ่ายใดเป็นฝ่ายที่ถูกและฝ่ายใดเป็นฝ่ายที่ผิด แต่ต้องการที่จะวิเคราะห์ค่านิยมและวัฒนธรรมของคนในสังคมผ่านมุมมองของผู้ใช้เฟสบุคมากกว่า เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญจึงไม่ใช่ว่าเบื้องหลังคลิปเกิดอะไรขึ้น แต่เป็นกระแสสังคมที่เกิดขึ้นหลังเห็นคลิปต่างหาก)
จากรูปภาพด้านบน จะเห็นได้ว่าความคิดเห็นของผู้ใช้เฟสบุคหลังจากดูคลิปแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเห็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยผมขออนุญาตสรุปรวมหลายๆความเห็นมาเป็นข้อความสั้นๆดังนี้ "ผู้หญิงเจ้าของรถไม่ควรแล้งน้ำใจและต่อว่าเด็ก เพราะวันสงกรานต์จะต้องโดนสาดน้ำเป็นธรรมดา ถ้าหากไม่อยากให้รถเปียกก็ไม่ควรนำออกมาขับ" ซึ่งทิศทางการแสดงความเห็นเช่นนี้ไม่ได้อยู่บนฐานคิดที่ให้ความสำคัญกับสิทธิของปัจเจกบุคคลเท่าใดนัก แนวคิดเรื่องสิทธิของปัจเจกบุคคลมองว่ามนุษย์มีอิสระและเป็นเจ้าของร่างกายของตนเอง เพราะฉะนั้นเราจะเลือกทำอะไรกับร่างกายของเราก็ได้ เช่น เรามีสิทธิในการเลือกนับถือศาสนา มีสิทธิในการแสดงความเห็น มีสิทธิในการเดินทาง เลือกอาหารกิน เลือกงานทำ ฯลฯ อย่างไรก็ดีแนวคิดเรื่องสิทธิส่วนบุคคลมีเงื่อนไขใหญ่อยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือ การใช้สิทธิเสรีภาพของเรานั้นจะต้องไม่ได้ไปละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น เมื่อใดก็ตามที่การกระทำของเรานั้นไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น แนวคิดสิทธิของปัจเจกบุคคลจะถือว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรมทันที เช่น การใช้สิทธิและดื่มแอลกอฮอลล์อยู่ในบ้านคนเดียวถือว่าไม่ใช่สิ่งผิด แต่ถ้าหากดื่มแอลกอฮอลล์แล้วขับรถถือว่าผิดเพราะอาจสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น นอกจากนี้ แนวคิดสิทธิของปัจเจกบุคคลนั้นมองว่า เมื่อเราเป็นเจ้าของร่างกายของตนเอง เราก็ย่อมเป็นเจ้าของแรงงานของเราเอง และเมื่อเราเป็นเจ้าของแรงงานของเราเอง เราก็ย่อมเป็นเจ้าของสิ่งที่เราแลกมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราด้วย หรือพูดง่ายๆก็คือ เราย่อมมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่เราทำงานแลกมาด้วยนั่นเอง และเราย่อมสามารถจะทำอะไรก็ได้กับทรัพย์สินที่เราเป็นเจ้าของ ตราบเท่าที่การใช้ทรัพย์สินนั้นไม่ได้ก่อความเดือดร้อนให้คนอื่น เช่น ถ้าหากผมใช้น้ำพักน้ำแรงของผมทำงานแลกเงินเพื่อไปซื้อลำโพงมาฟังเพลง ผมย่อมมีสิทธิจะใช้ลำโพงนั้นฟังเพลงอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพลงของบรูโน มาร์ส หรือเพลงของลำไย ไหทองคำ เพื่อนบ้านของผมไม่สามารถมาบังคับให้ผมไปฟังเพลงของ BNK48 ได้ แต่ในขณะเดียวกันผมก็ไม่มีสิทธิเปิดเพลงของลำไยดังจนรบกวนเพื่อนบ้านที่ชอบฟังเพลงของ BNK48 เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น แนวคิดสิทธิของปัจเจกบุคคลยังมองว่าเมื่อผมเป็นเจ้าของร่างกายของผมและทรัพย์สินของผมแล้ว ผมจะสามารถใช้ร่างกายและทรัพย์สินของผมอย่างไรก็ได้ แม้ว่าการกระทำนั้นจะเป็นโทษต่อตัวผมเองหรือการกระทำนั้นจะดูไร้สาระเท่าไหร่ก็ตาม (แน่นอนว่าตราบเท่าที่การกระทำของผมไม่กระทบผู้อื่น) เช่น ผมมีสิทธิจะเลือกกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารหลักสามเวลาในทุกวันก็ได้ ตราบเท่าที่ผมไม่ได้ขโมยเงินคนอื่นมาซื้อบะหมี่ หรือผมจะซื้อรถมาเก็บไว้จุดธูปบูชาโดยไม่เอาออกไปขับบนถนนเลยก็ได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าหากมีคนมาใช้กำลังข่มขู่บังคับให้ผมเลิกกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือมีคนมาขโมยรถของผมออกไปขับโดยไม่ได้รับอนุญาต แนวคิดสิทธิของปัจเจกบุคคลจะถือว่าการบังคับและการขโมยรถของผมเป็นสิ่งที่ผิดทันที เช่นเดียวกับการเล่นสงกรานต์ แนวคิดสิทธิส่วนบุคคลจะมองว่าเราเป็นเจ้าของร่างกายและทรัพย์สินของเราใครจะมาปะแป้งหรือฉีดน้ำใส่เราโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อนไม่ได้อย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ทั้งนั้นมีเหตุผลมากมายที่จะทำให้ปัจเจกคนหนึ่งปฏิเสะที่จะถูกฉีดน้ำหรือปะแป้ง เช่น ปัจเจกคนนั้นอาจมองว่าการฉีดน้ำและปะแป้งเป็นการลวนลาม กลัวว่าการฉีดน้ำจะทำให้ชุดหรือสิ่งของที่พกมาด้วยเสียหาย หรือต่อให้สิ่งของไม่เสียหายแต่ปัจเจกคนนั้นก็อาจมีเหตุผลที่ต่างออกไป เช่น ไม่ชอบให้น้ำเข้าตา กลัวโป๊ หรือในกรณีสุดโต่ง เช่น ปัจเจกคนนั้นต้องการต่อต้านวันสงกรานต์ หรือชอบอากาศร้อนๆ ไม่ว่าในกรณีใดๆเราก็ไม่ควรฉีดน้ำ/ปะแป้งใส่ก่อนได้รับอนุญาตอยู่ดี เพราะฉะนั้นการอ้างว่า "เล่นสงกรานต์แล้วสนุกกว่านะ" "โดนน้ำหน่อยจะได้เย็นๆ" หรือ "ถ้ารู้ว่าจะเปียกแล้วจะมาเดินทำไม" จึงไร้ซึ่งความชอบธรรมในมมุมองของแนวคิดสิทธิของปัจเจกบุคคล เพราะตามแนวคิดนี้สิ่งสำคัญไม่ใช่ "เหตุผล" หรือ "ข้ออ้าง" แต่คือ "การยินยอม" ฉะนั้น หากนำแนวคิดสิทธิของปัจเจกบุคคลมาใช้เพื่ออธิบายความขัดแย้งระหว่างพ่อลูกเล่นสงกรานต์กับเจ้าของรถป้ายแดงแล้วจะเห็นว่า พ่อลูกเล่นสงกรานต์ไม่ควรจะสาดน้ำใส่รถก่อนได้รับอนุญาต (ไม่ใช่แค่เฉพาะรถป้ายแดงเท่านั้น แต่ไม่ควรสาดใส่รถทุกคันก่อนได้รับอนุญาต) เพราะเจ้าของรถมีสิทธิที่จะปกป้องทรัพย์สินของเขา (แม้ว่าการปกป้องจะดูไร้สาระเท่าไหร่ก็ตาม) (ท่านผู้อ่านควรตระหนักว่า ผมไม่ได้โต้แย้งว่าการเหยียดพ่อลูกเล่นสงกรานต์ของเจ้าของรถป้ายแดงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่อย่างใด) เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านหลายคนอาจจะเกิดข้อถกเถียงในใจขึ้นมา 2 ข้อ คือ 1) ที่พ่อลูกเล่นสงกรานต์ตัดสินใจสาดน้ำใส่รถป้ายแดงอาจเป็นเพราะไม่รู้ว่าเจ้าของรถจะอนุญาตรึเปล่า? และหากคิดต่อว่าเจ้าของรถป้ายแดงมาขับรถในวันสงกรานต์เอง พ่อลูกเล่นสงกรานต์อาจอนุมานเอาเองได้ว่าเจ้าของรถป้ายแดงยอมรับว่าจะต้องถูกสาดน้ำอยู่แล้วหรือเปล่า? 2) ถ้าหากต้องมานั่งเปิดกระจกถามรถทุกคันเพื่อถามว่าจะอนุญาตหรือไม่ ก็คงไม่ต้องเล่นสงกรานต์กันพอดี ผมขออนุญาตโต้แย้งข้อถกเถียงทั้ง 2 ข้อนั้น ดังนี้ สำหรับข้อถกเถียงแรก ผมคิดว่าการอนุมานเอาเองไม่สามารถนำมาใช้ได้กับการละเมิดสิทธิของปัจเจกบุคคล ถ้าเราลองจินตนาการถึงกรณีคล้ายๆกันก็น่าจะทำให้เราเข้าใจประเด็นนี้มากขึ้น เช่น ถ้ามีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวโป๊และนอนหลับอยู่ข้างถนนเปลี่ยวๆ คุณมีสิทธิจะแอบจับหน้าอกเธอหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ คุณไม่ควรละเมิดสิทธิเหนือร่างกายและทรัพย์สินของใครก่อนที่คุณจะได้รับอนุญาตโดยการอ้างว่าคุณไม่รู้ว่าเค้าจะอนุญาตรึเปล่า และแน่นอนว่าการอนุมานว่าผู้หญิงยินยอมให้ลวนลามเพราะเธอแต่งตัวโป๊และมานอนในที่เปลี่ยวเองก็ฟังไม่ขึ้น เช่นเดียวกันการสาดน้ำใส่ก่อนได้รับอนุญาตแล้วอนุมานเอาเองว่าเจ้าของทรัพย์สินน่าจะอนุญาตจึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เพราะถ้าคุณไม่แน่ใจว่าเขาจะยินยอมให้กระทำหรือไม่ คุณก็ไม่ควรกระทำสิ่งนั้นตั้งแต่ต้น สำหรับข้อถกเถียงที่ว่าถ้าหากต้องมานั่งขออนุญาตคนที่ผ่านไปผ่านมาทุกคนก็คงไม่ต้องเล่นสงกรานต์กันแล้ว ข้อนี้โดยส่วนตัวผมมองว่าก็คงต้องเป็นเช่นนั้น สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือเราจำเป็นต้องยอมรับก่อนว่าในสังคมไทยมีผู้คนอยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่ชอบเล่นสงกรานต์ (และอาจจะยังมีคนอีกจำนวนมากที่อยากเล่นสงกรานต์แต่ไม่ได้อยากเล่นตลอดเวลา) ดังนั้นสิ่งสำคัญคือเราควรเคารพสิทธิของเขาที่จะเลือกว่าจะเล่นหรือไม่เล่น ดังนั้นการขออนุญาตก่อนจึงเป็นสิ่งจำเป็น การเล่นสงกรานต์ที่ยุ่งยากมากขึ้นเพราะต้องเคารพสิทธิคนอื่นเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้น ในทางทฤษฎีแล้ว หากเราเล่นสงกรานต์อย่างเคารพสิทธิคนอื่นไม่ได้ การเลิกเล่นไปเลยอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าก็ได้ เราอาจจะต้องมาพิจารณากันอีกครั้งว่าความหรรษาชั่วครั้งชั่วคราวกับสิทธิของปัจเจกบุคคลอะไรคือสิ่งที่สำคัญกว่ากันแน่? (แน่นอนว่าในทางปฏิบัติทางเลือกไม่ได้มีแค่สองทางแค่เล่นกับไม่เล่น ยังมีทางเลือกอื่นๆด้วย เช่น การจัดระบบโซนนิ่ง (zoning) แต่บทความนี้ไม่ขอพูดถึง เนื่องจากผมแค่ต้องการให้ท่านผู้อ่านลองชั่งน้ำหนักในใจดูอีกครั้งเท่านั้นว่าความสนุกหรือสิทธิของปัจเจกชนกันแน่ที่สำคัญกว่ากัน) การสาดน้ำใส่รถป้ายแดงอาจจะดูเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่กรณีนี้กลับสะท้อนให้เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่าสังคมไทยให้ความสำคัญกับการรักษาสิทธิของปัจเจกบุคคลน้อยเพียงใด และความตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิของปัจเจกที่ต่ำเช่นนี้นี่เองที่อาจเป็นรากฐานรองรับให้กับปัญหาอื่นๆอีกมากมายที่เกิดขึ้นในวันสงกรานต์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กๆอย่างเช่น ไม่สามารถเดินทางไปข้างนอกได้ การเปิดเพลงเสียงดัง การเบิ้ลเครื่องจักรยานยนต์รบกวนผู้อื่น การปิดถนนทำให้การจราจรติดขัด ตลอดจนถึงปัญหาใหญ่ๆ เช่น การล่วงละเมิดทางเพศ และการทะเลาะวิวาท The Matter เคยทำสกู๊ปสัมภาษณ์ประชาชนที่เคยถูกละเมิดสิทธิในด้านต่างๆในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งมีผู้ถูกสัมภาษณ์คนหนึ่งให้คำจำกัดความของเทศกาลสงกรานต์ไว้อย่างน่าสนใจว่า "มันเหมือน The Purge [2] ของประเทศไทย [3]" ผมคิดว่าคำจำกัดความนี้ให้ภาพสรุปของเทศกาลสงกรานต์ได้ดี เพราะช่วงนี้ของปีเป็นช่วงที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้ได้ เป็นเสมือนเทศกาลที่มอบสภาวะยกเว้นอะไรบางอย่างให้แก่สังคม ให้ผู้คนสามารถออกมาทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการเพื่อระบายความเก็บกดตลอดปีที่ผ่านมา สิ่งที่น่ากังวลใจก็คือภายใต้สภาวะที่กฎหมายไม่ทำงานเช่นนี้ สิ่งที่เหลือพอจะควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ได้ก็มีเพียงแค่วัฒนธรรมเท่านั้น ดังนั้นตามความเห็นของผม วัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับสิทธิของปัจเจกบุคคลและการใช้เสรีภาพโดยไม่ไปละเมิดผู้อื่นจึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากที่น่าจะช่วยลดปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงสงกรานต์ได้ น่าเศร้าที่ในประเทศไทย (ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสิทธิและเสรีภาพอยู่แล้ว) พอเทศกาลสงกรานต์เวียนมาถึง ไม่ใช่แค่การบังคับใช้กฎหมายเท่านั้นที่ได้รับการยกเว้น แม้แต่สำนึกเรื่องสิทธิของปัจเจกก็ได้รับการยกเว้นไปด้วย
[1] สามารถสืบค้นวิดีโอได้จาก: https://www.thairath.co.th/content/1257244 [2] The Purge เป็นแฟรนไชส์หนังสยองขวัญที่พูดถึงประเทศอเมริกาในจินตนาการ ที่รัฐบาลกำหนดให้ในทุกๆปีจะมีคืนหนึ่งที่ประชาชนสามารถก่ออาชญากรรมอะไรก็ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนระบายความเก็บกดและช่วยลดปัญหาสังคมต่างๆในอีก 364 วันที่เหลือ [3] อ่านเพิ่มเติมจาก https://thematter.co/pulse/sexual-harassment-in-songkran-festival/49554
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น