โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

กสทช.โชว์ผลงานเด่น 6 เดือน ตั้งเป้าประมูล 3G ก.ย.นี้

Posted: 02 May 2012 12:10 PM PDT

กสทช.โชว์วิสัยทัศน์ ตั้งเป้าหมายสู่การพลิกสังคมไทยสู่ระบบดิจิตอลเต็มรูปแบบ ในปี 2558 สอดรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ยันคนไทยมี 3จี ใช้ปีนี้แน่นอน พร้อมระบบทีวีดิจิตอลเริ่มแล้วปีนี้

(2 พ.ค.55) พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ ประธาน กสทช. แถลงผลการดำเนินงานใน 6 เดือน ว่า หลังจาก กสทช. ได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งฯ ให้ปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแลกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา กสทช.ได้เดินหน้าวางรากฐานการกำกับดูแลกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม โดยมีเป้าหมายในการก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงการสื่อสารครั้งสำคัญของประเทศไทยภายในปีนี้ ซึ่งจะประมูลคลื่น 3 จี ภายในเดือนกันยายน เริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านโทรทัศน์ระบบดิจิตอลในปีนี้ และจะสมบูรณ์ภายใน 4 ปี การจัดระเบียบเคเบิ้ลทีวี การแก้ปัญหาวิทยุชุมชน การกำหนดมาตรการป้องกันคลื่นรบกวนการบิน และเน้นการดูแลคุ้มครองผู้บริโภค

ผลงานชิ้นสำคัญของ กสทช. ในการวางรากฐานไปสู่เป้าหมายดังกล่าว คือ การจัดทำ 3 แผนแม่บทหลัก ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา ได้แก่ แผนแม่บทบริหารคลื่นความถี่ แผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม และแผนแม่บทกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ซึ่งจะเปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบธุรกิจด้านการสื่อสาร ด้านอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนในการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือในภาคประชาชนได้เตรียมความพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น และเดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยตั้งเป้าหมายสู่การพลิกสังคมไทยสู่ระบบดิจิตอลเต็มรูปแบบ ในปี 2558

พล.อ.อ.ธเรศ กล่าวว่า สาระสำคัญของแผนแม่บทแต่ละฉบับจะมีเป้าหมายที่ชัดเจน โดยแผนแม่บทบริหารคลื่นความถี่ จะขอเรียกคืนไลเซ่นที่ได้รับตามสัมปทานของโอเปอเรเตอร์ทุกราย ซึ่งจะต้องส่งคืนคลื่นที่ถือครองอยู่กลับมายัง กสทช. เพื่อจัดสรรใหม่ทันทีที่สัญญาสัมปทานสิ้นสุดลง และนำคลื่นที่ได้รับคืนดังกล่าวมาจัดสรรในรูปแบบใบอนุญาตใหม่ เพื่อผลักดันให้เกิดการแข่งขันเสรีและปฏิรูปกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม โดยผลักดันให้เกิดรูปแบบการตั้งบริษัทให้บริการเสาโทรคมนาคม สถานีฐาน (Tower Co) บริการเช่าโครงข่าย (Network Co) และบริการเช่าไฟเบอร์ออปติค (Fiber Co) ซึ่งจะเป็นการเช่าใช้โครงข่ายพื้นฐานระหว่างกัน (Infrastructure Sharing) โดยออกหลักเกณฑ์ หรือใบอนุญาตให้เอกชนทุกราย โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีโครงข่ายของตัวเองเข้ามาเช่าใช้เพื่อลดต้นทุน และสร้างตลาดให้เกิดผู้ประกอบการหน้าใหม่

ด้านแผนแม่บทกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ มีเป้าหมายพลิกระบบทีวีอนาล็อกสู่ระบบทีวีดิจิตอล เพื่อให้ใช้คลื่นความถี่ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในเบื้องต้นจะนำคลื่นความถี่ที่มีอยู่ และไม่ได้ใช้งาน เช่น ช่อง 2, 4, 6, 8 มาจัดสรรเพื่อทดลองออกอากาศ ซึ่งจะสามารถแพร่ภาพได้มากกว่า 50 ช่อง โดยมีเป้าหมายเริ่มทดลองการแพร่ภาพในอีก 6 เดือนข้างหน้านี้ และจะเริ่มเปิดประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิตอลได้ภายในต้นปี 2556 และคาดว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า กิจการโทรทัศน์ของประเทศไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก

สำหรับกระบวนการออกใบอนุญาตทีวีดิจิตอล ช่วงที่ 1 จะเริ่มตั้งแต่ปีนี้จนถึงปี 2557 จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงที่ 2 จนเสร็จสมบูรณ์ในปี 2559 โดยมีเป้าหมายการยกเลิกการออกอากาศทีวีอนาล็อคในต้นปี 2558 สำหรับด้านกระบวนการออกใบอนุญาตทีวีมือถือ หรือโมบายทีวีจะเริ่มในกลางปี 2556 ถึงกลางปี 2557

ประธาน กสทช. กล่าวต่อไปว่า กสทช. ยังอยู่ในระหว่างการจัดระเบียบโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม และเคเบิ้ลทีวี โดยการร่างกฎเกณฑ์การออกใบอนุญาตสำหรับการประกอบกิจการโทรทัศน์ทั้ง 2 ประเภท และให้ผู้ประกอบการที่ไม่ได้อยู่ในระบบมาเข้าระบบใบอนุญาตฯ โดยเฉพาะทีวีดาวเทียม

ที่สำคัญระบบบนทีวีดิจิตอล จะเอื้อต่อการเผยแพร่ระบบเตือนภัยพิบัติ เพื่อประกาศให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลโดยเฉพาะภัยธรรมชาติ ซึ่งจะเผยแพร่ได้แม่นยำ เที่ยงตรง เข้าถึงทุกครัวเรือน โดยเรื่องของการเตือนภัยนั้นจะกำหนดไว้ในเงื่อนไขหลักเกณฑ์ใบอนุญาตที่ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ทุกรายจะต้องปฏิบัติ

สำหรับแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม มุ่งเดินหน้าเปิดให้บริการโทรศัพท์มือถือ 3 จี บนคลื่นความถี่ย่าน 2.1 กิกะเฮิรตซ์ รองรับการให้บริการอินเตอร์เน็ตบนมือถือได้อย่างมีประสิทธิภาพที่ความเร็วสูงสุด 100 Mbps โดยมีเป้าหมายเปิดประมูลภายในเดือนกันยายน

กสทช. ยังให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิในการใช้บริการ และเข้าถึงข่าวสารอย่างเท่าเทียมกันของผู้บริโภค โดยได้กำหนดกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุดจากบริการด้านโทรคมนาคม อาทิ การโฆษณาเกินจริงทางทีวีดาวเทียม การกำหนดอัตราขั้นสูงของค่าบริการโทรศัพท์มือถือประเภทเสียงให้เก็บได้ไม่เกิน 0.99 บาทต่อนาที และการออกประกาศอัตราค่าบริการขั้นสูงของข้อมูล เช่น เอสเอ็มเอส (SMS) เอ็มเอ็มเอส (MMS) รวมถึงการใช้อินเทอร์เน็ตบนคลื่นความถี่เดิมที่ไม่ใช่ 3G ซึ่งคาดว่าจะสามารถออกประกาศได้ในปีนี้ โดยประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นและส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมโทรคมนาคมหลายประการ อาทิ ประชาชนจะสามารถเข้าถึงและใช้บริการได้มากขึ้น โดยคาดว่าผู้บริโภคจะมีความต้องการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นกว่า 60% จากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และจะทำให้ต้นทุนในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ลดลงกว่า 13%

นอกจากนี้ กสทช. ยังได้ร่วมกับบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด กำหนดมาตรการป้องกันการรบกวนวิทยุสื่อสารที่มีคลื่นแทรก เพื่อให้การติดต่อสื่อสารระหว่างนักบินและผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศเป็นไปอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางการบิน ซึ่งหลังจากการกวดขันอย่างเข้มงวดทำให้สามารถลด อัตราการรบกวนคลื่นวิทยุลดถึง 65%

“กสทช. กำลังเดินหน้าผลักดันงานด้านการกำกับต่างๆ ให้เกิดผลสำเร็จ ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนชาวไทยทุกคนได้รับประโยชน์จากทรัพยากรคลื่นความถี่ของชาติอย่างสูงสุด ทั้งในด้านการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อให้อนาคตของชาวไทยทุกคนมีความสุขร่วมกันอย่างยั่งยืน” ประธาน กสทช. กล่าว

 

 

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ชาวบ้านอุดรฯ ชุมนุมหน้า กพร.ถามความคืบหน้า 5,800 ชื่อ ยื่นค้านประทานบัตรเหมืองโปแตช

Posted: 02 May 2012 11:40 AM PDT

ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ชุมนุมหน้า กพร.จี้ชี้แจงกรณียืนรายชื่อคัดค้านโครงการเหมืองแต่เงียบหาย หลังร่วมประชุม กพร.ได้ข้อสรุปตั้งคณะกรรมการตรวจสอบปัญหา-พิสูจน์ข้อเท็จจริงร่วมกัน กรณีใบไต่สวนที่เป็นเท็จ
 
 
 
2 พ.ค.55 เวลา 08.00 น.ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี จำนวนกว่า 300 คน เดินทางมาชุมนุมกันบริเวณหน้ากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม กรุงเทพฯ เพื่อทวงถามถึงกรณีที่กลุ่มชาวบ้านจำนวนกว่า 5,800 รายชื่อ ยื่นหนังสือคัดค้านการประกาศเขตคำขอประทานบัตร โครงการเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรธานี ตามมาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว แต่ระยะเวลาผ่านไปกว่า 4 เดือน ยังไม่ได้รับตอบคำจาก กพร.ตามประเด็นที่คัดค้าน
 
ขบวนของชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ฯ ได้เดินทางมาถึง กพร.ในตอนเช้ามืด ซึ่งชาวบ้านทุกคนได้จัดการสถานที่ หุงหาอาหาร และปฏิบัติภารกิจส่วนตัวแล้วเสร็จ หลังจากนั้นการชุมนุมจึงได้เริ่มขึ้นในภาคเช้า โดยแกนนำชาวบ้านได้สลับกันขึ้นปราศรัยให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โปแตชฯ และทำความเข้าใจกับสาธารณชนที่ผ่านไปมาให้รับรู้ถึงที่มาของการเข้ามาชุมนุมในวันนี้
 
หลังจากนั้นในตอนบ่ายกลุ่มชาวบ้านจึงได้รับการประสานงานจากตัวแทน กพร.ในการจัดเวทีเจรจาระหว่าง กลุ่มชาวบ้าน กับ อธิบดี กพร.และเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการเหมืองแร่โปแตชฯ ของ กพร.เพื่อหาทางออกของการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
 
 
นางมณี บุณรอด แกนนำชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ชี้แจงถึงการที่ชาวบ้านต้องมาร่วมกันปักหลักชุมนุมที่ กพร.ในครั้งนี้ว่า เมื่อ 4 เดือนที่แล้วชาวบ้านได้ยื่นรายชื่อชาวบ้านจำนวนกว่า 5,800 รายชื่อ และหนังสือคัดค้านการประกาศเขตคำขอประทานบัตรโครงการเหมืองแร่โปแตชที่ จ.อุดรธานี เพราะในใบไต่สวนของทั้ง 4 แปลงข้อมูลคลาดเคลื่อนและไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในพื้นที่ ทางกลุ่มชาวบ้านจึงได้ทำการคัดค้านตามกรอบของกฎหมายที่กำหนดไว้
 
“แต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 4 เดือนชาวบ้านไม่ได้รับคำตอบหรือการชี้แจงในประเด็นการคัดค้านของชาวบ้านแต่อย่างใด ชาวบ้านจึงได้พากันมาทวงถาม และขอคำชี้แจงจาก กพร.ในวันนี้” แกนนำชาวบ้านกล่าว
 
ด้าน นายสมเกียรติ ภู่ธงชัยฤทธิ์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ได้ชี้แจงและตอบข้อคำถามของชาวบ้านถึงประเด็นการคัดค้านการประกาศเขตคำขอประทานบัตรว่า ประเด็นในการตอบคำถามต่างๆ ของชาวบ้านที่ส่งมาเพื่อคัดค้านการขอประทานบัตรนั้น เพิ่งจะทำแล้วเสร็จในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา จึงนำมาชี้แจงเป็นรายประเด็นในวันนี้
 
“ในส่วนการปิดประกาศเขตคำขอประธานบัตรเหมืองแร่ฯ นั้นเมื่อมีคนมาคัดค้านก็ต้องมีการตรวจสอบ ซึ่งการที่ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ฯ มีการโต้แย้งใบไต่สวนว่ามีข้อมูลผิดพลาดไปจากสภาพข้อจริงในพื้นที่ ก็จำต้องมีการพิสูจน์ความจริงให้เกิดขึ้น ถ้าหากว่าเป็นการกระทำผิดจริงโดยเจ้าหน้าที่ก็ต้องว่ากันไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ถ้าหากว่าผิดจริงก็ว่ากันไปตามความผิด” นายสมเกียรติกล่าว
 
ส่วนนายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ ที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี กล่าวว่า ข้อเท็จจริงจากการคัดค้านการประกาศคำขอประทานบัตรของชาวบ้าน กพร. ต้องยุติการดำเนินการทุกกระบวนการ เพื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกรณีใบไต่สวนที่เป็นเท็จก็ต้องมีคนรับผิด จะต้องมีการหารือกันทางกฎหมายในกรณีที่มีการโกหกในใบไต่สวน ซึ่งเจ้าหน้าที่ราชการที่มีส่วนรู้เห็นจะต้องได้รับโทษ ทั้งนี้ในความเป็นจริงข้าราชการน่าจะปฏิบัติหน้าที่เพื่อยึดผลประโยชน์ของชาวบ้านเป็นหลัก ไม่ใช่เข้าข้างฝ่ายนายทุน
 
นายสุวิทย์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาร่วมกันระหว่างฝ่ายชาวบ้าน นักวิชาการ กพร. และ ตัวแทนจากหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น จะเป็นชุดที่จะมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงการขอประทานบัตรโครงการเหมืองแร่โปแตช ซึ่งถ้าหากการดำเนินการข้อพิสูจน์จบกระบวนการจะทำให้เกิดการขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ถ้าหากข้อพิสูจน์ไม่เสร็จสิ้นการขับเคลื่อนโครงการก็ไม่สามารถดำเนินการไปได้ และหากคณะกรรมการพิสูจน์ตรวจสอบข้อเท็จจริงออกมาเสร็จสิ้นก็จะเกิดประโยชน์ต่อพื้นที่อื่น เช่น พื้นที่โครงการเหมืองแร่โปแตช จ.สกลนคร
 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อบรรลุข้อตกลงในเวทีเจรจาระหว่างกลุ่มชาวบ้านกับ กพร. จึงได้มีมติและจัดทำบันทึกข้อตกลงในการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบปัญหาการดำเนินโครงการเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรธานี และพิสูจน์ข้อเท็จจริงร่วมกันในกรณีใบไต่สวนที่เป็นเท็จ ชาวบ้านจึงพึงพอใจต่อผลที่ออกมาตามข้อเรียกร้อง
 
ทั้งนี้ ในช่วงค่ำ ได้มีกลุ่มเยาวชนคนฮักถิ่น ได้อาสาในการเดินตระเวนแจกใบปลิวในบริเวณรอบกระทรวงอุตสาหกรรม ให้กับเจ้าหน้าที่ข้าราชการ และผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาเพื่อให้ความรู้ และสร้างความเข้าใจต่อการมาชุมนุมของกลุ่มชาวบ้านในวันนี้ด้วย
 
บัญทึกการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาโครงการเหมืองแร่โปแตช มีดังนี้
 
 
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ป่าไม้รุกหนัก บุกรื้อบ้าน “ซาไก” ในเขตป่าเทือกเขาบรรทัด

Posted: 02 May 2012 10:31 AM PDT

วันนี้ (2 พ.ค.55) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อประมาณ 11.00 น.หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด ได้นำกำลังไปรื้อถอนขนำ (ที่พักชั่วคราว) ของซาไกในพื้นที่ อ.ปะเหลียน จ.ตรัง

เมื่อเวลา 14.00 น. มีความชัดเจนว่า ที่เกิดเหตุคือ บ้านท่าเขา ม.5 ต.ลิพัง อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ซึ่งถูกเขตรักษาพันธุสัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัดประกาศทับซ้อนพื้นที่ และมีหน่วยงานป่าไม้อยู่ในหมู่บ้าน

หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด นำกำลัง 50 นาย ปิดทางเข้าหมู่บ้าน และทำการรื้อถอนสะพานทางเข้าหมู่บ้าน พร้อมทั้งขนำ 2 หลัง เป็นขนำชาวบ้าน 1 หลัง และเป็นขนำของซาไกที่มาช่วยทำงานให้ชาวบ้าน 1 หลัง

ทั้งนี้ ชนเผ่าซาไก หรือมันนิ ที่อาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาบรรทัดในพื้นที่ จ.ตรัง จ.พัทลุง และ จ.สตูล ถือเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิม สำหรับ จ.ตรัง ชนเผ่าซาไกที่อาศัยในพื้นที่ อ.ปะเหลียน จากการสำรวจเมื่อปี 2552 มีจำนวน 99 คน อยู่ใน 4 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มคลองตง หมู่ 2 ต.ปะเหลียน กลุ่มควนไม้ดำ หมู่ 2 ต.ปะเหลียน กลุ่มเจ้าพระ หมู่ 14 ต.ปะเหลียน และกลุ่มท่าเขา หมู่ 5 ต.ลิพัง อ.ปะเหลียน

วิถีชีวิตของชนเผ่าซาไก ชอบความเป็นอิสระ มีการอพยพย้ายถิ่นฐานบ่อยครั้งไม่ชอบคบหาสมาคม ยอมรับหรือแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับคนกลุ่มอื่น ส่งผลให้กลุ่มเผ่าซาไกตกหล่นจากการสำรวจการจัดทำทะเบียนราษฎรของหน่วยงานรัฐ และขาดซึ่งสิทธิในสวัสดิการสังคม

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ปิยบุตร-สุดสงวน อาจารย์มธ.เบิกความ คดี “สมยศ”

Posted: 02 May 2012 09:29 AM PDT

 

2 พ.ค.55 การสืบพยานในคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ตามมาตรา112 ของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตบรรณาธิการนิตยสาร Voice of Taksin  ในช่วงเช้า มีพยานฝ่ายจำเลยเข้าเบิกความ 2 ปาก คือ
ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล กลุ่มนิติราษฎร์ และอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ .) รศ.สุดสงวน สุธีสร อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ.

ปิยบุตร เบิกความกับทนายจำเลยว่า ตนกับอาจารย์อีก 5 คน เริ่มก่อตั้งคณะเพื่อทำงานด้านกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2543 โดยมีจุดประสงค์เพื่อจะรณรงค์ ขยายความคิดด้านกฎหมายแก่ประชาชนให้สอดคล้องกับหลักนิติรัฐและ ประชาธิปไตย เรื่องกฎหมายหมิ่นฯ เป็นสิ่งหนึ่งที่ให้ความสนใจมามากกว่า 1 ปีแล้ว  พบว่ากฎหมายนี้มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในลักษณะที่การกำหนดโทษรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 เพราะคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้เพิ่มโทษกฎหมายหมิ่นฯ ทั้งระบบเพื่อจะกำจัดสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของนักศึกษา

ในส่วนของการตีความกฎหมาย ปิยบุตรเห็นว่า คำว่าหมิ่นประมาท ดูหมิ่น  แสดงความอาฆาตมาดร้าย ในมาตรา112 ก็มีความหมายเช่นเดียวกับกฎหมายหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาในมาตรา 326  ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท และมาตรา392 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท จึงเห็นได้ว่าแม้การตีความจะไม่ต่างกันแต่การกำหนดโทษกลับรุนแรงกว่ามาก (มาตรา112 มีโทษจำคุก3-15ปี) ทั้งที่จริงแล้วก็ไม่มีการนิยามลักษณะความผิดของมาตรา112 ไว้เป็นพิเศษแต่อย่างใด  นอกจากนี้มาตรา112 ยังไม่มีเหตุยกเว้นความผิดในกรณีที่วิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตใจ และยังถูกจัดไว้ในหมวดความมั่นคง ซึ่งถือว่าขัดกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ และไม่รักษาสิทธิเสรีภาพของผู้ถูกกล่าวหา เพราะผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว

ปิยบุตรขยายความในประเด็นการจัดมาตรา112 ไว้ในหมวดความมั่นคงว่า  การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไม่เกี่ยวกับความมั่นคง เพราะทำให้พระมหากษัตริย์เสื่อเสียชื่อเสียงเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ เนื่องจากประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์มีอำนาจมากที่สุด อย่างไรก็ตาม การกำหนดโทษหมิ่นพระมหากษัตริย์ให้สูงกว่าบุคคลทั่วไป เป็นสิ่งที่สามารถทำได้แต่ไม่ควรสูงมากเกินไป หรือมากเท่าปัจจุบัน ซึ่งในต่างประเทศก็มีกฎหมายในลักษณะเดียวกับมาตรา112 แต่มีโทษน้อยกว่า ที่สำคัญยังมีการยังมีการดำเนินคดีและลงโทษน้อยมาก อาจลงโทษแค่ปรับ ตัวกฎหมายนี้แม้ว่ามีอยู่แต่ก็เสมือนตายไปแล้ว ซ้ำเมื่อศาลมีคำพิพากษาก็สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้

ทนายถามถึงนิตยสาร Voice of Taksin  ปิยบุตรเห็นว่า มีบทความที่เนื้อหาก้าวหน้ากว่านิตยสารเล่มอื่นๆ ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การเมือง การปกครองในเอเชีย  ส่วนในเนื้อหาบทความที่พบการกระทำความผิด  ปิยบุตรเห็นว่า คนที่ผู้เขียน คือจิตร พลจันทร์ ต้องการกล่าวถึงอำมาตย์  ซึ่งหมายถึงบุคคลชนชั้นหนึ่งที่อยู่คู่กับการเมืองไทยมาตลอด ในบทความแผนนองเลือดที่กล่าวถึงการวางแผนฆ่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรี  ปิยบุตรเข้าใจว่าผู้เขียนต้องการเตือนว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นอีก และเตือนว่าอำมาตย์อย่าทำแบบนี้เลย โดยเมื่ออ่านบทความทั้งหมดแล้ว ไม่ได้ทำให้นึกถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด และบทความ 6ตุลา แห่ง2553 นั้น หลวงนฤบาลเป็นสัญลักษณ์แทนอำมาตย์ ไม่ใช่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ปิยบุตรให้ความเห็น เกี่ยวกับมาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ทางใดๆ มิได้ โดยเขาเห็นว่า คำว่า”เคารพสักการะ” เขียนขึ้นมาเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่ไว้บังคับให้ประชาชนทำ และ “ละเมิดมิได้” หมายถึง ห้ามฟ้องร้อง ไม่ใช่ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ สำหรับ พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 มาตรา48 ที่บัญญัติให้ บก.หนังสือต้องรับผิดชอบต่อบทความที่ตีพิมพ์ ปิยบุตรทราบว่าได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ปัจจุบันใช้ พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 แทน ซึ่งระบุว่าบก.และผู้พิมพ์โฆษณาไม่ต้องรับผิดชอบเนื้อหาบทความ แม้ว่าจะเป็นผู้เผยแพร่บทความที่มีเนื้อหาหมิ่นก็ตาม

พนักงานอัยการโจทย์กล่าวถึงประวัติศาสตร์รอยต่อของกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ ว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีสติฟั่นเฟือน จึงถูกรัชกาลที่1 ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ ปิยบุตรเห็นว่านำมาเชื่อมโยงกับบทที่ถูกกล่าวหาไม่ได้ และผู้เขียนบทความก็ไม่มีเจตนาอาฆาตมาดร้าย เพียงแต่เล่าเรื่องไปตามปกติ

ทนายจำเลยถามติงอีกครั้ง  ปิยบุตรเห็นว่า การดำเนินคดีนี้ คนที่มีหน้าที่หาผู้กระทำผิดมาลงโทษก็คือเจ้าพนักงานตำรวจ ไม่ใช่หน้าที่ของจำเลยซึ่งเคยเป็น บก. และในประเด็นการบันทึกประวัติศาสตร์ เขาเห็นว่าประวัติศาสตร์ที่อยู่ในกระแสหลักและเป็นที่รับรู้กันทั่วไปก็อาจไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป

ต่อมา รศ.สุดสงวน สุธีสร เบิกความถึงชื่อนิตยสาร Voice of Taksin ว่าเป็นชื่อที่ตั้งมาเพื่อกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ตนอ่านTaksin ว่าตากสิน ไม่ใช่ทักษิณ ในส่วนเนื้อหาบทความ สุดสงวนเห็นว่าทั้งสองบทความเขียนไปในลักษณะการเล่า เป็นวรรณกรรมทางการเมืองที่ไม่ได้อิงกับหลักวิชาหรือประวัติศาสตร์ เขียนตามใจผู้เขียน ไม่เกี่ยวกับเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และเห็นว่า หลวงนฤบาล หมายถึงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์

ทนายถามถึงสถาบันกษัตริย์กับรัฐธรรมนูญ สุดสงวนทราบว่าพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ไม่ทราบว่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีคดีนี้เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน แต่ทราบว่ากฎหมายนี้มีความร้ายแรงต่อความรู้สึกและกำหนดโทษหนักมาก สุดสงวนเห็นว่าการถูกดำเนินคดีตามาตรา112 ถือเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เสวนา ‘ผลกระทบคนงานลำพูนกับค่าจ้าง 300 บาท’ ระบุนายจ้างใช้เรื่องการขึ้นค่าแรงตัดลดสวัสดิการ

Posted: 02 May 2012 09:25 AM PDT

 
 
เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา สมาคมส่งเสริมสิทธิแรงงาน, สหภาพแรงงานอัญมณีและเครื่องประดับสัมพันธ์ (สอส.)  และสหภาพแรงงานอิเล็คทรอนิคส์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าสัมพันธ์ (สออส.) ได้จัดงานเสวนา “ผลกระทบคนงานลำพูนกับค่าจ้าง 300 บาท” ณ ห้องประชุม โรงแรมเดอะรีเจ้นท์ จังหวัดลำพูน 
 
วิสิษฐ์ ยาสมุทร ประธานสหภาพแรงงานอัญมณีและเครื่องประดับสัมพันธ์ กล่าวว่าผลกระทบต่อคนงานลำพูนกับนโยบายการขึ้นค่าแรง 40% ทั่วประเทศ ได้ส่งผลกระทบต่อคนงานคือถูกนายจ้างตัดสวัสดิการเพื่อแลกเปลี่ยนกับการขึ้นค่าแรง โดยบริษัทใช้วิธีการแนบเนียนทำให้พนักงานยินยอมตัดสวัสดิการ เช่นที่บริษัทที่ตนทำงานอยู่ ทั้งนี้การต่อรองกับนายจ้างยังไม่มีพลังพอเพราะการรวมตัวของสหภาพยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร แต่ในอนาคตสหภาพก็จะมีการยื่นข้อเรียกร้องต่อไป 
 
อัครเดช ชอบดี ประธานสหภาพแรงงานอิเลคทรอนิคส์และอุปกรณ์ไฟฟ้าสัมพันธ์ กล่าวถึงสถานการณ์ของบริษัทโฮยาฯ โดยประมาณ 2-3 เดือนแล้ว ที่โรงงานเลิกจ้าง เพราะอ้างขาดทุนจากน้ำท่วม ผู้บริหารใช้เทคนิคการเลิกจ้าง ให้หยุดอยู่บ้านก่อน ถ้าใครยินยอมจะได้เงินเพิ่ม 2 เดือน เป็นเทคนิคที่จูงใจให้คนงานยินยอมเอง ดูเหมือนไม่ได้บังคับ แต่และล่าสุดบริษัทได้เลิกจ้างตน ซึ่งเป็นประธานสหภาพฯ เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยบริษัทอ้างว่าตนขาดงาน ทั้งที่ตนลางานถูกต้องตามระเบียบ 
 
ทั้งนี้อัครเดชวิเคราะห์ว่าอาจเป็นการที่ตนออกมาเคลื่อนไหวกดดันให้บริษัทรับพนักงานที่ถูกเลิกจ้างได้กลับเข้ามาทำงาน จึงถูกเลิกจ้างในที่สุด
 
สุชาติ ตระกูลหูทิพย์ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวถึงประเด็นการต่อสู้ของคนงานว่าการสู้กับทุนด้วยวิธีทางกฎหมายส่วนใหญ่จะทำได้ยาก การฟ้องศาลเพื่อให้รับแรงงานกลับเข้าไปทำงาน แต่ท้ายสุดแล้วอำนาจการตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับคนงานกลับเข้าทำงานกลับไปอยู่ที่นายจ้าง ไม่ใช่อยู่ที่ศาลหรือผู้พิพากษา ทั้งนี้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่ามีน้อยมากที่คนงานจะได้กลับเข้าไปทำต่อ การต่อสู้ของคนงานจึงจะใช้เรื่องกฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่ได้ 
 
เจษฎา โชติกิจภิวาทย์ สมาคมส่งเสริมสิทธิแรงงาน กล่าวว่างานของสหภาพแรงงานเรื่องการจัดตั้งทางความคิดสำคัญมาก โดยเฉพาะสหภาพแรงงานในนิคมอุตสาหกรรม ต้องมีจิตสำนึกเป็นผู้นำ มีวุฒิภาวะ เรียนรู้เรื่องเศรษฐกิจการเมืองเสริมสร้างองค์ความรู้ต่างๆ ไว้ ค้องสร้างความเข้มแข็งให้สหภาพแรงงานของตนรวมทั้งขยายเครือข่ายจัดตั้งไปยังโรงงานอื่นๆ
 
รศ.ดร.วรวิทย์ เจริญเลิศ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงตัวอย่างการรวมกลุ่มของคนงานที่ได้รับความเจ็บป่วยที่ฮ่องกงที่เข้าไปสู้ในกระบวนการของศาล นอกจากนี้แล้วยังมีการเคลื่อนไหวรณรงค์เป็นประเด็นสาธารณะ 
 
“ที่สำคัญคุณต้องมีจิตใจ คุณต้องออกมาเดินขบวน คุณต้องอยู่ในสื่อตลอดเวลา สร้างพื้นที่ และจิตสำนึกการต่อสู้ คุณต้องรักผู้นำ คุณต้องรักสหภาพฯ โดยให้ทุกคนมีวิธีคิดกระบวนการ ใช้ทุกวิธีการให้คนเกิดจิตสำนึก เคลื่อนต่อสู้ตลอดเป็นข่าวให้ได้” วรวิทย์กล่าว
 
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

บทความ ‘แด่กรมทรัพย์สินทางปัญญา ในวาระครบรอบวันเกิดปีที่ 20’

Posted: 02 May 2012 03:28 AM PDT

เนื่องในวันพรุ่งนี้ เป็นวันครบรอบ 20 ปีการสถาปนากรมทรัพย์สินทางปัญญา คงไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่าการให้สติแก่กันฉันกัลยาณมิตร

“ภาคประชาสังคมเรียกร้องให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาอย่าตื่นตระหนกกับรายงานมาตรการพิเศษ 301 ของสหรัฐฯ จนยอมตามข้อเรียกร้องที่ไม่ธรรมและสร้างปัญญาให้กับการสาธารณสุขของประเทศในระยะยาว แนะกรมฯ ตั้งสติควรยึดหลักความสมดุลย์ระหว่างการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของภาคธุรกิจและคุ้มครองสาธารณประโยชน์ของประชาชน”

ทุกๆ ปี ก่อนวันเกิดของกรมฯ สำนักผู้แทนการค้าสหรัฐฯจะออกรายงานมาตรการพิเศษ  301 (Special 301 Report) ประจำปี ปรากฎว่า ปีนี้ประเทศไทยยังคงถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องจับตามอง หรือ  PWL (Priority Watch List) เช่นเดียวกับอีก 12 ประเทศ

ประเทศไทยถูกกล่าวหาและขึ้นบัญชีว่าเป็นประเทศที่ “ด้อยประสิทธิภาพ” ในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ มาหลายวาระหลายโอกาส และด้วยข้อหารุนแรงที่ต่างระดับกันไป  ในปีนี้ไทยถูกจัดกลุ่มเป็น “ประเทศที่ต้องจับตามอง” เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 หลังจากที่ไทยนำมาตรการใช้สิทธิ์ตามสิทธิบัตร หรือมาตรการซีแอล มาใช้เพื่อลดราคายาจำเป็น เช่น ยารักษาเอชไอวี โรคหลอดเลือดตีบตัน และโรคมะเร็ง โดยนำเข้ายาชื่อสามัญในราคาที่ถูกกว่าแต่มีคุณภาพเทียบเท่ามาจากอินเดีย มาใช้ระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศ โดยยื่นข้อเสนอจ่ายค่าใช้สิทธิ์ให้กับเจ้าของสิทธิบัตร   ในครั้งนั้น สหรัฐฯ แจ้งเหตุผลชัดเจนว่า จัดให้ไทยเป็นประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษเพราะไทยนำมาตรการยืดหยุ่นนี้มาใช้ ทั้งๆ ที่มาตรการนี้อยู่ในข้อตกลงสากลว่าด้วยการค้าที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทาง ปัญญา หรือข้อตกลงทริปส์ และกฎหมายสิทธิบัตรของไทย และประเทศที่พัฒนาแล้วต่างๆ ก็นำมาใช้เช่นกันเป็นเรื่องปกติ ไม่เว้นแม้แต่สหรัฐฯเอง

หลังจากนั้น ไทยก็ถูกแขวนอยู่ในบัญชี PWL เรื่อยมา ด้วยข้อหาเดิมๆ ที่นิยมถูกขุดขึ้นมากล่าวอ้างอยู่เนืองๆ เมื่อต้องการกดดันประเทศไทย ข้อหาเดิมๆ ก็ไม่พ้นเรื่องของลิขสิทธิ์เทปผีซีดีเถื่อน แต่สหรัฐฯ ไม่กล้าอ้างเรื่องการใช้มาตรการซีแอลกับยาจำเป็นในรายงานมาตรการพิเศษ 301 อีก เพราะเรื่องซีแอลของไทยกลายเป็นกระแสทั่วโลกและเกิดแรงกดดันประนามสหรัฐฯ จึงทำให้อเมริกาจำต้องละไม่เอ่ยถึงเรื่องซีแอล แต่หันมาใช้ข้อกล่าวหาเรื่องอื่นแทน

ในปีนี้มีข้อเรียกร้องใหม่ที่เพิ่มเติมขึ้นมา และดูเหมือนว่า จะเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการจริงๆ คือ ต้องการให้ประเทศไทยต้องลงนามในสนธิสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาสากลหรือ WIPO (World Intellectual Property Organization) ซึ่งจะมีผลทำให้ไทยต้องเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเข้มงวดเกินกว่าข้อตกลงทริปส์ หรือที่เรียกว่า ข้อตกลงแบบทริปส์พลัส และไทยไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น เนื่องจากไทยเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลกและปฎิบัติตามข้อตกลงต่างๆตามมาตรฐานสากลอยู่แล้ว

สหรัฐฯ ต้องการให้ไทยลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการต่อต้านการค้าสินค้าปลอมแปลง หรือ ACTA (Anti-counterfeiting Trade Agreement) สหรัฐฯ ไม่ได้พูดตรงๆ ในรายงาน แต่พูดว่าไทยต้องปรับปรุงเรื่องสินค้าปลอมแปลง  นัยสำคัญของเรื่องนี้ คือ ยาชื่อสามัญที่ปลอดภัยและมีคุณภาพจะถูกเหมารวมว่าเป็นยาที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ไม่ว่าจะเป็นสิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า และลิขสิทธิ์ ได้ง่ายๆแม้เพียงแค่ต้องสงสัย และจะถูกยึด ส่งกลับ หรือทำลาย โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากร ซึ่งไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องยาหรือทรัพย์สินทางปัญญา  นอกจากนี้ ยังให้อำนาจสามารถยึดจับยาที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง ทั้งๆ ที่ยาดังกล่าวไม่มีสิทธิบัตรในประเทศต้นทางและปลายทาง  ทั้งหมดทั้งมวลเป็นการละเมิดข้อตกลงทริปส์และขัดขวางการเข้าถึงยาจำเป็นของประชาชนในประเทศกำลังพัฒนา

สหรัฐฯ เรียกร้องให้ไทยมี  “การผูกขาดข้อมูลทางยา” หรือ  Data Exclusivity (DE) ซึ่งจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับการสาธารณสุขของไทย เพราะจะเป็นการกีดกันการแข่งขันของยาชื่อสามัญ โดยจะให้มีการผูกขาดตลาดเพิ่มขึ้นได้อีก 5-13 ปี ทั้งๆ ที่จะได้รับการคุ้มครองสิทธิบัตรอยู่แล้ว 20 ปีตามกฎหมายสากลและไทย  เช่นเดียวกัน อเมริกาไม่ได้อ้างตรงๆ ว่าเป็น DE แต่สามารถอ่านออกได้ไม่ยากว่าอะไรคือวาระซ่อนเร้น ทั้งนี้ ทางนักวิชาการจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ เคยทำวิจัยประเมินพบว่า หากไทยต้องยอมให้มีการผูกขาดข้อมูลทางยา 5 ปี และ 10 ปี จะส่งผลให้ใน 20 ปีข้างหน้า จะเกิดผลกระทบ คือ ราคายาเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์พื้นฐาน ร้อยละ 13 และ 27 ตามลำดับ, ค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์พื้นฐาน 190,682.94 และ 325,264.49 ล้านบาท ตามลำดับ, ส่วนแบ่งตลาดของอุตสาหกรรมยาในประเทศลดลง คิดเป็นมูลค่า 38,800.30   และ 94,586.44 ล้านบาท ตามลำดับ และนี่ทำให้ข้อสรุปของงานวิจัยผลกระทบของทริปส์พลัสชิ้นนี้ระบุว่า “การผูกขาดข้อมูลทางยา” คือข้อเรียกร้องแบบทริปส์พลัสที่ร้ายแรงที่สุด

นอกจากนี้ สหรัฐฯยังเรียกร้องให้บรรษัทหรือหน่วยงานในอาณัติของตนต้องมีส่วนร่วมในการพิจารณานโยบาย หรือกฎหมายในทุกขั้นตอน โดยอ้างเรื่อง “ความโปร่งใส” ทั้งๆ เรื่องนี้เป็นอธิปไตยของประเทศและรัฐควรจะมีสิทธิและอำนาจจัดการได้เอง ขณะที่ขั้นตอนต่างๆในการจัดทำรายงานของสหรัฐฯ ไม่มีความโปร่งใส

มาตรการพิเศษ 301 เป็นมาตรการที่เรียกได้ว่าเป็นการ “กระทำฝ่ายเดียว” นั่นหมายความว่า “ข้าดูเอง พิจารณาเอง กล่าวหาเอง และตัดสินเอง”  ประเทศคู่ค้าไม่สิทธิโต้เถียง เพียงแต่ทำตามที่สั่งเท่านั้นพอ  ถึงแม้จะมีการแก้ไขให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาสังคมและภาครัฐใน 2 ปีที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนเป็นเพียงละครสร้างภาพความใจกว้างและความชอบธรรมให้สหรัฐฯ เท่านั้นสิ่งที่รัฐบาลของแต่ละประเทศที่เป็นคู่ค้ากับอเมริกามักเป็นกังวล  จนบางครั้งสติแตกเหมือนกับประเทศไทยในหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา คือ เกรงว่า มาตรการพิเศษ 301 จะนำไปสู่การตอบโต้ทางการค้าที่รุนแรงขึ้น ที่สหรัฐฯ มักจะขู่นำมาใช้ “ลงโทษ” แบบศาลเตี้ย เช่น การตัดสิทธิพิเศษด้านการส่งออก หรือ GSP  หลายรัฐบาลยอมที่จะถูกกดขี่และทำตามสิ่งที่อเมริกาเรียกร้อง เพื่อแลกกับผลประโยชน์ด้านการส่งออกและเสียสละประโยชน์ของคนบางกลุ่มใน ประเทศ ซึ่งไม่พ้นคนยากจนและไร้อำนาจต่อรอง

ทั้งๆ ที่ทั้งโลกมีข้อตกลงด้านการค้าหลายๆ ฉบับอยู่ภายใต้องค์การการค้าโลก ซึ่งเป็นเวทีสากลที่ประเทศเกือบทั้งโลกเป็นสมาชิกอยู่  แต่เนื่องจากเวทีองค์การการค้าโลกเป็นเวทีแบบพหุภาคี และข้อตกลงใดๆ ก็ตามต้องเป็นเอกฉันท์ของประเทศสมาชิกทั้งหมด  จึงไม่ง่ายสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วจะเรียกร้องสิ่งต่างๆ ได้ตามอำเภอใจในเวทีนี้ และหันมาใช้วิธีไล่บี้เป็นรายประเทศโดยถือว่าตนเองมีอำนาจทั้งทางการเมือง และเศรษฐกิจที่เหนือกว่า ดังเช่นมาตรการพิเศษ 301 และข้อตกลงเขตการค้าเสรีต่างๆ

รัฐบาลไทยควรจะกล้าหาญและเท่าทันมากขึ้น และกรมทรัพย์สินทางปัญญาควรทำหน้าที่ทางปัญญาให้แก่ผู้กำหนดนโยบายว่า ไม่จำเป็นต้องไปตื่นตระหนกไปกับรายงานฯ ควรคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศเป็นสำคัญ ไม่ใช่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มีผลประโยชน์เกี่ยวพันกับนักการเมืองหรือข้าราชการ 

ผ่านมาหลายยุคหลายสมัยแล้วที่ประเทศไทยถูกกดดันเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาควรสรุปบทเรียนเรื่องมาตรการพิเศษ 301 เสียทีว่า แท้จริงแล้วเราเสีย “ค่าโง่” ยอมให้สหรัฐฯ ไปแบบได้ไม่คุ้มเสียหรือเปล่า ควรสนับสนุนให้เกิดงานวิจัยที่เป็นกลางที่ศึกษาและพิสูจน์ผลกระทบและประโยชน์ต่างๆ ที่ได้และที่ต้องเสียให้กับสหรัฐฯ จากมาตรการพิเศษ 301 รวมทั้งกลับไปยึดมาตรฐานความตกลงขององค์การการค้าโลกที่ไทยเป็นสมาชิกอยู่ และที่สำคัญที่สุด ขอให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาตระหนักในพันธกิจของตัวเองในฐานะหน่วยราชการที่ดูแลด้านทรัพย์สินทางปัญญานั้น มีหน้าที่ทั้งรักษาผลประโยชน์ของผู้ทรงสิทธิและด้านรักษาประโยชน์ของสาธารณะซึ่งกรมฯมีหน้าที่ทำทั้งสองด้านให้สมดุลย์กัน

 

 

สามารถดูรายงานมาตรการพิเศษ  301 ปีปัจจุบันได้ที่ http://www.ustr.gov/sites/default/files/2012%20Special%20301%20Report_0.pdf

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ครม.เคาะงบเหมาจ่าย สปสช. ปี 56 ลดลง 4.9%

Posted: 02 May 2012 03:24 AM PDT

แพทย์ชนบทเผยเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีของระบบบัตรทองที่งบเหมาจ่ายรายหัวลดลง ชี้กระทบระบบ 30 บาทครั้งใหญ่ 

คณะรัฐมนตรีประชุมเมื่อวันที่ 1 พค.ที่ผ่านมา  เห็นชอบตั้งงบเหมาจ่ายรายหัวระบบสปสช.ปีงบ 2556 อยู่ที่ 2,755.60 บาทต่อหัว  ลดจากปีนี้ 141 บาทต่อหัว  หรือลดลง 4.9 % และลดงบส่งเสริมป้องกันโรคเบาหวาน  ความดันโลหิตสูง   6.3%  แพทย์ชนบทชี้เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีของระบบบัตรทองที่งบเหมาจ่ายรายหัวลดลง  จะสร้างปัญหาให้กับหน่วยบริการและทำให้เป็นระบบสำหรับผู้ป่วยอนาถาเหมือนในอดีตสวนทางกับนโยบายรัฐบาล

ก่อนหน้านี้บอร์ดสปสช.มีมติเห็นชอบให้เสนอรัฐมนตรีตั้งงบเหมาจ่ายรายหัวปี 2556  อยู่ที่ 2,939.73 บาทต่อคน  และในอดีตที่ผ่านมามีการเพิ่มงบเหมาจ่ายรายหัวตามการเพิ่มของอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยปีละ 3%  และเงินเดือนเพิ่มเฉลี่ย 6% โดยปี 2553 งบเหมาจ่ายรายหัวเพิ่มขึ้น 9%   ปี 2554 เพิ่มขึ้น 6%  และปี 2555 สมัยรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ อนุมัติให้เพิ่ม 13.8%

นพ.เกรียงศักดิ์  วัชรนุกูลเกีรยติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ชี้ว่า  การอนุมัติงบเหมาจ่ายรายหัวปี 2556  ลดลงประมาณ 5% รวมทั้งลดงบส่งเสริมป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงอีกกว่า 6% จะทำให้กระทบต่อฐานะการเงิน  และการให้บริการของหน่วยบริการเพราะมีค่าใช้จ่ายจากเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ป่วย สปสช.เข้าไม่ถึงการบริการ การบริการมีคุณภาพต่ำลง กลายเป็นผู้ป่วยอนาถา เพราะผู้ป่วยในระบบสวัสดิการข้าราชการ และประกันสังคม  รัฐบาลให้งบประมาณต่อหัวมากกว่า  คือเป็นการตั้งงบประมาณที่สวนทางกับที่รัฐบาลประกาศว่าจะสร้างความเท่าเทียมระหว่างกองทุนทั้งสามกองทุน   โดยเพิ่มคุณภาพการบริการของระบบ 30 บาท  และให้ความสำคัญกับการสร้างสุขภาพและป้องกันโรค

“นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. ต้องตอบคำถามสังคมและคนไทยว่า  ในยุคสมัยของรัฐบาลนี้ที่ต้องการสร้างความเท่าเทียมของสามกองทุน  ต้องการให้ระบบ 30 บาทมีคุณภาพมากขึ้นต้องการเน้นป้องกันมากกว่าการรักษา  ทำไมกลับตัดงบเหมาจ่ายรายหัวและงบส่งเสริมป้องกันโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงลง และเป็นการลดลงเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีส่งสัญญาณล้มระบบบัตรทอง”  ประธานชมรมแพทย์ชนบทกล่าว

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

May Day 2012 : ขบวนการแรงงานไทย ‘นับถอยหลังสู่จุดจบ’

Posted: 02 May 2012 02:09 AM PDT

ผู้เขียนเขียนบทความชิ้นนี้ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ‘ขบวนการแรงงาน’ ซึ่งไม่ใช่เป็นมุมมองของตัวคนงาน นักสหภาพ หรือนักกิจกรรมด้านแรงงาน อาจจะมองประเด็นไม่ครบถ้วน และพร้อมแลกเปลี่ยนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อขบวนการแรงงานไทย

โดยทรรศนะของผู้เขียนคิดว่า  ขบวนการแรงงานไทยกำลัง ‘นับถอยหลังสู่จุดจบ’ โดยมีปัจจัยดังต่อไปนี้

ความอ่อนแอของสหภาพแรงงานเอง

ปัจจุบันพบว่าการริเริ่มรวมตัวก่อตั้งสหภาพแรงงาน มักจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่คนงานพบปัญหาก่อน เช่น นายจ้างไม่จ่ายโบนัส หรือนายจ้างปรับลดสวัสดิการต่างๆ และเมื่อตั้งสหภาพแล้ว นายจ้างยังใช้มาตรการโต้กลับต่างๆ เช่น การเลิกจ้างแกนนำ ไม่ให้ความร่วมมือในการเจรจาต่อรองกับสหภาพแรงงาน สิ่งเหล่านี้มักจะทำให้คนงานเกิดอาการ ‘ถอดใจ’

รวมถึงปัญหาด้านเศรษฐกิจและความเข้าใจต่อสหภาพแรงงานในแง่ลบ ก็เป็นปัจจัยที่ทำคนงานไม่ค่อยให้ความสนใจที่จะเข้าร่วมกิจกรรมสหภาพแรงงาน

ทั้งนี้หากจะมีการตั้งสหภาพแรงงาน จะต้องคำนึงถึงการดำเนินการระยะยาว รวมถึงการประคองให้สหภาพแรงงานคงอยู่และดำเนินกิจกรรมได้เท่านั้น ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักที่แท้จริง ไม่ใช่แค่เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างในปัจจุบัน

การรุกคืบของ ‘ลัทธิเอ็นจีโอ’

การรุกเข้ามาขององค์กรให้ทุนต่างๆ เช่น ทุนทางด้านสุขภาพ (ที่เรียกรวมๆ ว่าเรื่อง ‘สุขภาวะ’ ) ทุนด้านการเมืองต่างๆ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ได้สร้างวัฒนธรรมการเขียนขอทุนให้กับองค์กรแรงงานหรือนักสหภาพแรงงานแทน

ทั้งนี้วัฒนธรรม ‘การจ่ายเงินเพื่อสร้างความเข้มแข็ง’ ของสหภาพแรงงาน ถูกกลับหัวกลับหางมาเป็น วัฒนธรรม ‘การขอเงินเพื่อสร้างความเข้มแข็ง’ แทน ซึ่งจะเป็นผลเสียในระยะยาวขององค์กรสหภาพแรงงาน ละเลยการจัดการบริหารองค์กรที่สำคัญ เช่น การจัดตั้งสมาชิกใหม่ๆ การจัดการศึกษา และการเก็บค่าสมาชิกเป็นต้น

รวมถึงความต่อเนื่องในการให้ทุนการต่อทุนโครงการปีต่อปี (หรือมากกว่านั้น) ซึ่งหากองค์กรแรงงานแขวนชีวิตไว้กับการขอทุนก็อาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้เมื่อ ‘แหล่งทุนไม่ต่อโครงการ’

ทั้งนี้องค์กรสหภาพแรงงานเป็นองค์กรที่ต้องมีเป้าหมายในระยะยาว ดำเนินกิจกรรมด้วยลำแข้งตนเอง การเพิ่มปริมาณสมาชิกและการจัดเก็บค่าสมาชิกเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ทรัพยากร ‘นักสหภาพแรงงาน’ ถูกดึงเข้าสู่ภาค ‘เอ็นจีโอ’

ผู้นำสหภาพและแกนนำคนงาน ถูกดึงไปร่วมโครงการต่างๆ ของเอ็นจีโอ เช่น การปฎิรูปกฎหมายในภาพกว้าง เวทีเสวนาในส่วนกลาง ทำให้ผู้นำสหภาพและแกนนำคนงานทิ้งพื้นที่ปัญหา ละเลยการจัดตั้งในพื้นที่ของตัวเอง ละเลยการทำงานให้กับสหภาพแรงงานหรือกลุ่มแรงงานฐาน เป็นต้น

เล่นบทบาทที่ผิดฝาผิดตัว

ตัวอย่างเช่น บทบาทของสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ที่มาเล่นบทบาทการช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติ ผลักดันนโยบายเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติ ส่วนปัญหาหลักของคนงานในภาครัฐวิสาหกิจไทยคือการแปรรูป และประสิทธิภาพขององค์กรรัฐวิสาหกิจ และการเข้ามาของคนงานจ้างเหมาช่วงในกิจการรัฐวิสาหกิจ ซึ่งควรขับเคลื่อนปัญหาหลักขององค์กรก่อน

ทั้งนี้องค์กรสหภาพแรงงานควรทำการจัดตั้งเอาแรงงานข้ามชาติเข้าสู่สหภาพแรงงาน เช่นเดียวกับคนงานจ้างเหมาช่วง คนงานสัญญาระยะสั้นต่างๆ ส่วนบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ควรให้องค์กรสิทธิมนุษยชนด้านแรงงานข้ามชาติทำแทน (ร้องเรียนเรื่องปัญหาปัจเจกต่างๆ)

หรือประเด็นการนำองค์กรแรงงานเข้าไปทำงานร่วมในประเด็นที่กว้างเกินไป เช่น ปัญหาสุขภาพ หรือปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆ เป็นต้น

ไม่มีการสร้างองค์ความรู้ด้าน ‘สหภาพแรงงาน’

สถาบันการศึกษาต่างๆ ไม่มีหลักสูตรการสอนเรื่องสหภาพแรงงานอย่างชัดเจน มีแต่เป็นหัวข้อในวิชารัฐศาสตร์ หรือในวิชาบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์

ปัญหาการจ้างงานไม่มั่นคง

เทรนด์ในระดับโลกสำหรับเรื่องการจ้างงานในภาคธุรกิจอุตสาหกรรม คือการจ้างงานที่มีความยืดหยุ่น การทำให้ต้นทุนในการจ้างเป็นต้นทุนที่ไม่คงที่ นายจ้างสามารถปรับลดคนงานออกได้ตลอดเวลา การจ้างงานแบบประจำจะหายไป เนื่องจากการทำงานในระยะเวลาที่นานขึ้น สวัสดิการต่างๆ ก็จะสูงขึ้น

การจ้างงานไม่มั่นคงแบบนี้เป็นผลเสียต่อองค์กรสหภาพแรงงานเนื่องจากมีการเปลี่ยนคนงานเข้าออกตลอดเวลา ส่งผลกระทบให้จำนวนสมาชิกสหภาพแรงงานลดลง และความเข้มแข็งของสหภาพแรงงานก็จะหายไป 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

TDRI ชี้ 300 บาท ช็อกโครงสร้างรายได้ทั้งประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ

Posted: 02 May 2012 01:44 AM PDT

ชัดเจนว่าการนโยบายค่าแรงไม่น้อยกว่า 300 บาทต่อวันและเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาทของรัฐบาลครั้งนี้ มีผลกระทบมาก เกิดการปรับในขนานใหญ่ของฝ่ายนายจ้าง เพื่อลดภาระต้นทุน รักษาส่วนต่างกำไรไม่ให้น้อยลง แต่หากไม่วิตกกับผลกระทบด้านลบจนเกินไป การช็อกโครงสร้างค่าจ้าง ก็มีผลในด้านดีที่คาดไม่ถึงเช่นกัน เพราะเป็นการยกโครงสร้างรายได้ทั้งประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของผู้ใช้แรงงาน ขณะเดียวกันการปรับตัวให้รอดของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะช่วยเพิ่มศักยภาพทางการค้าการลงทุน ให้กับเขาในโลกการค้าเสรีที่กำลังเกิดขึ้นได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผอ.วิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า การช็อกค่าจ้างไปอย่างรุนแรงนี้ มีผลทำให้ทุกคนตื่นตัวและเห็นว่าค่าจ้างเป็นส่วนที่สำคัญทางด้านเศรษฐกิจในอันที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจของคนกลุ่มต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนขายแรงงาน ขณะเดียวกันโครงสร้างแรงงานในฝ่ายต้องการใช้แรงงานซึ่งไม่ได้ปรับตัวมานานก็เกิดการปรับตัว จากปัจจัยนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงและมาตรการฟื้นฟูจากปัญหาอุทกภัย ทำให้ผู้ประกอบการตัดสินใจปรับปรุงกิจการครั้งใหญ่

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้มีผู้ประกอบการหรือนายจ้างบางกลุ่มที่ปรับตัวไม่ได้ก็ต้องเลิกกิจการ โดยเฉพาะในกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งแต่ละอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบแตกต่างกันไป โดยอุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตประกอบอย่างเดียวจะได้รับผลกระทบมากที่สุด นายจ้างจึงต้องตื่นตัวและเร่งปรับตัวจึงจะอยู่รอด แต่บางส่วนที่ปรับตัวไม่ได้หรือปรับปรุงกิจการใช้เทคโนโลยีคู่แรงงาน ปรับโครงสร้างภายในแล้วยังไม่สามารถลดต้นทุนได้เพียงพอและยังเป็นกิจการที่ใช้แรงงานเป็นหลัก มีเรื่องค่าจ้างเป็นปัจจัยสำคัญ ก็อาจพิจารณาการย้ายฐานการผลิตไปในประเทศใกล้เคียงที่มีต้นทุนแรงงานถูกกว่า เช่น พม่า กัมพูชา ฯลฯ

มีข้อมูลที่รับรู้กัน(ไม่เป็นทางการ) เกี่ยวกับค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศเพื่อนบ้านคือ พม่า 30-45 บาทต่อวัน กัมพูชา 50-60 บาท เวียดนาม 67-96 บาท อินโดนีเซียอยู่ที่ 90-230 บาท ไทยเฉลี่ย 250 บาทต่อวัน ขณะที่การสำรวจค่าจ้างรายเดือนของภาคอุตสาหกรรมจริง ๆ (จัดทำโดยบริษัทที่ปรึกษาต่างประเทศแห่งหนึ่งในปี 2555) เฉลี่ยต่อเดือนพบว่า สิงคโปร์สูงกว่าไทย 11 เท่า มาเลเชียสูงกว่าไทย 1.7 เท่า ฟิลิปปินส์ใกล้เคียงกับไทยโดยต่ำกว่าเล็กน้อยที่ 0.3% อินโดนีเซียต่ำกว่า 47% เวียดนามต่ำกว่า 44% จีนสูงกว่าไทย 68% เป็นต้น

แต่การตัดสินใจลงทุนยังต้องอาศัยปัจจัยอื่น ๆ ประกอบอีกมาก เอสเอ็มอีไทยต้องเรียนรู้และเอาตัวรอด เปิดโลกทัศน์การลงทุน (มีความรู้เกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่ น การเงิน การปกครอง กฏหมายให้มากกว่านี้) ไม่ควรจำกัดตัวเองอยู่เฉพาะการลงทุนในประเทศเท่านั้น เนื่องจากต่อไปจะเป็นการค้าเสรีภายใต้ชุมชนเศรษฐกิจอาเซียนมากขึ้น เราต้องคิดการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านเป็นอีกทางเลือกที่มีค่าจ้างต่ำกว่าไทยอีกมากดังสุภาษิตจีนที่ว่า “ขาขวายังอยู่เมืองไทยแต่ขาซ้ายก้าวไปประเทศอาเซียน” ถ้าจะพลาดก็คงไม่ถึงตาย

ดร.ยงยุทธ กล่าวว่า หากมองในแง่แรงงานอย่างเดียว ส่วนตัวคิดว่าการปรับค่าจ้างสูง (มาก)จะไม่มีผลเลวร้ายอย่างที่คิด เนื่องจากผู้ใช้แรงงานจะเกิดการปรับตัวอย่างมากเช่นกัน โดยหน่วยงานรัฐเข้ามาสนับสนุนมีการจัดฝึกอบรมหรือรีเทรนด์นิ่งครบวงจร เอสเอ็มอีกลุ่มเสี่ยงอาจเน้นเป็นการอบรมเพื่อเปลี่ยนอาชีพไปเลย ขณะที่ฝ่ายแรงงานซึ่งบางส่วนถูกเลิกจ้าง เกิดการว่างงานเฉพาะกลุ่ม ขณะที่นายจ้างเมื่อปรับปรุงก็ต้องการแรงงานที่มีความสามารถเฉพาะเช่นกัน หน่วยงานที่รับผิดชอบ อาทิ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ฯลฯ ต้องมีความเข้มข้นในการจัดฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพแรงงานตามที่ต้องการ ซึ่งจะช่วยทั้งตัวแรงงานและนายจ้างปรับตัวให้รอดได้ โดยมีเงื่อนที่นายจ้างกลุ่มเสี่ยงก็ต้องให้ความร่วมมือในการทำงานร่วมกันด้วย และการอบรมควรเน้นไปที่คนที่จะเข้ามาแทนคนที่ขาดหรือถูกปรับออก

ในสถานการณ์นี้ลูกจ้างเมื่อตกงานก็ยังสามารถไปทำงานที่อื่นหรือกลับไปสู่ภาคเกษตรที่รองรับได้ แต่ผลกระทบกับนายจ้างที่ปรับตัวไม่รอด การตกงานของนายจ้างจึงเป็นการเปลี่ยนสถานะจากนายจ้างไปเป็นลูกจ้างในสถานประขนาดใหญ่หรือมาฝึกอบรมเพื่อเปลี่ยนอาชีพไปเลย ซึ่งในแง่หนึ่งก็เป็นการสร้างโอกาสเช่นกัน.

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

CORE Respondence : จอม เพชรประดับ – จักรภพ เพ็ญแข

Posted: 02 May 2012 01:16 AM PDT

จอม เพชรประดับ ผู้ดำเนินรายการจาก Voice TV ให้เกียรติเป็นพิธีกรรับเชิญเพื่อ สัมภาษณ์จักรภพ เพ็ญแข ถึงมุมมองต่อการเมืองไทยในช่วงที่มีความขัดแย้งและการเข้าสู่บรรยากาศปรองดอง คุยกันถึงมุมมองต่อกฎหมายอาญามาตรา 112 และบทบาทสถาบันกษัตริย์กับการเมืองและขบวนการประชาธิปไตยไทย การปฏิรูปกองทัพ การปฏิรูประบบยุติธรรม และฟังการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของคณะนิติราษฎร์กับคนเสื้อแดงและขบวนการประชาธิปไตย

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ครูเบน แอนเดอร์สัน: ราชาธิปไตยสมัยใหม่ในมุมมองเปรียบเทียบระดับโลก

Posted: 02 May 2012 01:04 AM PDT

เมื่อวันศุกร์ที่ ๙ มีนาคมศกนี้ ครูเบน หรือ เบเนดิคท์ แอนเดอร์สัน ศาสตราจารย์ Aaron L. Binenkorb ด้านการศึกษาระหว่างประเทศและศาสตราจารย์กิตติคุณแห่งคณะการปกครอง มหาวิทยาลัยคอร์แนล(Department of Government, Cornell University) สหรัฐอเมริกา ได้รับเชิญมากล่าวปาฐกถานำเรื่อง “Modern Monarchies in a Global Comparative Perspective” (ราชาธิปไตยสมัยใหม่ในมุมมองเปรียบเทียบระดับโลก) ในการประชุมวิชาการเรื่อง Democracy and Crisis in Thailand จัดโดยมหาวิทยาลัย McGill ของแคนาดา ร่วมกับศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้องประชุมจุมภฏ พันธุ์ทิพย์ ชั้น 4 อาคารประชาธิปกรำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ปาฐกถานำของครูเบนมีเนื้อหากว้างขวางเจาะลึกชวนคิดน่าสนใจยิ่ง ผมขออนุญาตถอดความเรียบเรียงมาเสนอต่ออีกทีตามที่ถ่ายทอดบันทึกไว้ในเว็บยูทูบตามลิงค์ด้านล่างนี้:

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

“ก่อนอื่นผมใคร่ขอแสดงความขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งที่ได้รับเชิญมากล่าวปาฐกถานำที่นี่ และผมอยากขอบคุณเป็นพิเศษต่อคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ อาจารย์ศุภชัย ยาวะประภาษ, ผู้จัดการประชุมคุณอีริค ซึ่งผมรู้จักมาตั้ง ๑๐ - ๑๒ ปีแล้วกระมัง, อาจารย์เวียงรัฐ เนติโพธิ์และท่านอื่น ๆ , ผมยังอยากขอบคุณเป็นพิเศษต่อผู้ช่วยออกแบบภาพพาวเวอร์พอยท์ประกอบซึ่งคงจะขึ้นจอให้ท่านได้ชมดูด้วยความทรมานสายตาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เขาผู้นั้นก็คือนายวุฒิที่ยืนอยู่ข้างหลัง ผมคอยช่วยเหลือเผื่อผมเดินเครื่องผิดพลาดยุ่งเหยิงขึ้นมา เขาเก่งเหมือนพ่อมดเลยทีเดียวในเรื่องทำนองนี้

“ผมขอเริ่มโดยพูดบางอย่างที่คงจะเป็นที่แจ่มแจ้งชัดเจนอยู่แล้วสำหรับท่านทั้งหลายแต่ผมคิดว่าควรจะกล่าวย้ำเพื่อให้มั่นใจจะดีกว่า ท่านคงเห็นได้ว่าในบัญชีรายชื่อระบอบราชาธิปไตยที่ดำรงอยู่ปัจจุบัน ๒๗ ประเทศนั้นมีบางอย่างแปลกพิกลอยู่ตอนท้ายบัญชี กล่าวคือมีจักรพรรดิในญี่ปุ่นแม้ว่าพระองค์หาได้มีจักรวรรดิไม่ และยังมีเจ้าชาย, เจ้าผู้ครองนคร, และเจ้าแคว้นอีกบางองค์ (princes, grand dukes, emirs) ซึ่งเอาเข้าจริงก็ดูไม่เหมือนกษัตริย์ในความหมายเดิมสักเท่าไหร่

“แต่ทว่าราชาธิปไตยนั้นหมายถึงการปกครองโดยคน ๆ เดียว ต่างจากคณาธิปไตยซึ่งหมายถึงการปกครองโดยคนไม่กี่คน และประชาธิปไตยซึ่งหมายถึงการปกครองโดยคนจำนวนมาก ดังนั้นบรรดารัฐนคร (principalities) ที่ผมกำลังคิดถึงอย่างเช่น โมนาโก, ลิกเตนสไตน์, ลักเซมเบิร์ก แม้จะเล็กมากเสียจนกระทั่งจริง ๆ แล้วก็ไม่จัดเข้าข่ายราชอาณาจักร แต่เอาเข้าจริงรัฐนครเหล่านี้ล้วนสร้างขึ้นตามหลักราชวงศ์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับราชาธิปไตย กล่าวคือการที่วงศ์ตระกูลหนึ่งได้ควบคุมการนำเชิงสัญลักษณ์ของรัฐไว้ ดังนั้นก็อย่าแปลกใจนะครับถ้าท่านมีจักรพรรดิที่ปราศจากจักรวรรดิ, และเจ้าชายบางองค์ในบัญชีรายชื่อนี้

“ทีนี้ถ้าท่านดูบัญชีรายชื่อนี้ ทางซ้ายมือท่านจะเห็นการจัดอันดับประเทศราชาธิปไตยทั้ง ๒๗ ประเทศตามขนาดพื้นที่จากใหญ่ด้านบนไปสู่เล็กด้านล่าง และท่านจะเห็นว่ามันมีแง่มุมบางอย่างที่น่าสงสัยนิดหน่อยเกี่ยวกับตารางนี้ อันหนึ่งก็คือซาอุดีอาระเบียเป็นราชอาณาจักรขนาดใหญ่ที่สุด ทว่าภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายที่อยู่อาศัยไม่ได้ ดังนั้นมันจึงดูใหญ่กว่าที่เป็นจริงมากและในกรณีโมร็อกโก ผมเชื่อว่าท่านย่อมตระหนักว่าสาเหตุที่ประเทศนี้มีอาณาเขตใหญ่ปานนั้นก็เพราะกษัตริย์ฮัสซันที่สองรุกรานและยึดครองพื้นที่ผืนใหญ่ในคริสต์ทศวรรษที่ ๑๙๗๐ และจนถึงทุกวันนี้ทางสหประชาชาติก็ยังสอบสวนเรื่องนี้อยู่ไม่แล้วเสร็จในความพยายามจะสร้างสภาวการณ์ที่เปิดโอกาสให้ชาวซาฮาราตะวันตกได้ก่อตั้งประเทศของตัวเองขึ้นมาในอนาคต ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าโมร็อกโกอาจจะหดเล็กลงเหลือแค่ใกล้เคียงกับนอร์เวย์หรือสวีเดนเท่านั้น

“ทางขวามือ ท่านก็จะเห็นบางอย่างที่น่าสงสัยเล็กน้อยด้วยเหมือนกัน อาทิเช่นชั่ว ๔ ปีหลังนี้ประชากรของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้พุ่งสูงขึ้นจาก ๔ ล้านเป็น ๘ ล้านคน และผมค้นพบว่าเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะทุกวันนี้ ๘๘ % ของประชากรของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นชาวต่างชาติที่อพยพเข้ามา นั่นแปลว่าประชาชนจริง ๆ ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีแค่ราว ๑๒%

“ผมยังคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านที่จะลองพิจารณาดูกรณีกรุงเทพฯเปรียบเทียบกับรัฐจริง ๆ ทั้งหลายด้วย และท่านจะพบว่าถ้าหากกรุงเทพฯเป็นรัฐอิสระ - และเราน่าจะยอมรับความจริงว่าบ่อยครั้งกรุงเทพฯเองก็ชอบประพฤติตัวราวกับเป็นรัฐแยกต่างหากออกมาด้วย - กรุงเทพฯ จะจัดอยู่ประมาณอันดับที่ ๑๐ หรืออยู่ในครึ่งบนของบรรดาประเทศราชาธิปไตยของโลก

“สิ่งสำคัญยิ่งเกี่ยวกับบรรดาประเทศราชาธิปไตยเหล่านี้คือทั้งหมดรวมกันแล้วจัดเป็นกลุ่มข้างน้อยที่เล็กมากในองค์การสหประชาชาติ คือ ๒๗ จากจำนวนทั้งสิ้นประมาณ ๒๐๐ ประเทศ คิดสะระตะแล้วเรากำลังพูดถึงราว ๑๓% ท่านจึงพึงตระหนักว่า ๘๗ หรือ ๘๘% ของบรรดาชาติทั้งหลายในสหประชาชาติไม่ใช่ราชาธิปไตย และนี่นับเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างพิเศษยิ่งจากเมื่อราวร้อยปีก่อนตอนจวนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สมัยนั้นเกือบทุกประเทศในโลกที่มีฐานะอิสระอยู่บ้างแล้วต่างก็ปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยกันทั้งสิ้น

“สุดท้าย ผมอยากชวนท่านลงไปดู...ด้านล่างสุดของตารางนี้คือยอดจำนวนประชากรของบรรดาประเทศราชาธิปไตยทั้งหมดรวมกัน เราจะได้ต่ำกว่า ๕๐๐ ล้านคนเล็กน้อย และอาณาเขตภูมิศาสตร์ประมาณ ๒.๕ ล้านตารางไมล์ แต่ถ้าท่านมองต่ำลงมาอีกหน่อย ท่านจะพบว่าต่อให้เอาพื้นที่ทั้งหมดของบรรดาประเทศราชาธิปไตยในโลกมารวมกันก็จะได้แค่ ๒ ใน ๓ ของขนาดพื้นที่ประเทศบราซิลเท่านั้น และถ้าท่านดูจำนวนประชากรอินเดีย ท่านจะพบว่าประชาชนทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การปกครองระบอบราชาธิปไตยในโลกรวมกันก็ยังไม่ถึงครึ่งของประชากรอินเดียทุกวันนี้ไม่มีประเทศขนาดใหญ่จริง ๆ ประเทศใดที่ปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเข้าใจว่านี่เป็นกลุ่มที่เล็กจริง ๆ และเมื่อเทียบกับส่วนอื่นของโลกแล้ว ก็จัดเป็นประเทศแคระทั้งในทางประชากรและภูมิศาสตร์

“ประการสุดท้าย เราอาจดูแบบแผนการกระจายตัวของบรรดาประเทศราชาธิปไตยว่าไปอยู่ในภูมิภาคไหนกันบ้าง และท่านจะพบว่าในจำนวน ๒๗ ประเทศนี้ อยู่ในยุโรปตะวันตก ๑๐ ประเทศเกือบทั้งหมดยกเว้นสเปนล้วนอยู่เหนือเทือกเขาแอลป์ขึ้นไป นั่นคือไม่มีประเทศราชาธิปไตยอยู่ในยุโรปใต้และยุโรปตะวันออกเลย กลุ่มประเทศราชาธิปไตยใหญ่ที่สุดอันดับสองมาจากตะวันออกกลาง ทั้งหมดล้วนเป็นประเทศอาหรับและมุสลิม และถ้าจะนับรวมโมร็อกโกซึ่งอันที่จริงอยู่ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยแล้ว คุณก็จะได้รวม ๘ ประเทศ แต่ผมเองชอบที่จะจัดให้โมร็อกโกอยู่ในทวีปแอฟริกามากกว่า ถัดไปคือเอเชียอาคเนย์ซึ่งมี ๔ ประเทศ แอฟริกามีอยู่ ๓ ประเทศ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ๑ ประเทศได้แก่จักรวรรดิแห่งจักรพรรดิญี่ปุ่น เอเชียใต้มี ๑ ประเทศได้แก่ภูฏานและโอเชียเนีย ๑ ประเทศคือตองกา ส่วนอเมริกาเหนือ, กลางและใต้นั้น ไม่มีประเทศราชาธิปไตยอยู่เลยและไม่มีมานานกว่าศตวรรษแล้ว ดังนั้นซีกโลกตะวันตกจึงปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐล้วน ๆ แอฟริกาและเอชียก็ไม่ได้มีระบอบราชาธิปไตยมากนัก มีแต่ตะวันออกกลางและยุโรปนั่นแหละที่เป็นแหล่งรวมหลักของประเทศราชาธิปไตย“พูดดังนี้แล้ว ท่านคงได้ข้อคิดเชิงสถิติบางอย่างเกี่ยวกับการกระจายตัว, ขนาด, ความสำคัญ ฯลฯลฯลฯ ของราชาธิปไตยในโลกทุกวันนี้ ก่อนจะว่าต่อไป ผมอยากชวนให้ท่านสังเกตว่าเอาเข้าจริงประเทศไทยจัดอยู่เกือบอันดับยอดของบรรดาประเทศราชาธิปไตยทั้งหลายทั้งในแง่ประชากรและพื้นที่ภูมิศาสตร์ และแน่นอนนั่นทำให้หัวข้อเรื่องราชาธิปไตยไทยค่อนข้างน่าสนใจ

“ภาระหน้าที่ของผมตอนนี้คือหันไปพูดถึงการเปลี่ยนแปลงอันพิเศษยิ่งที่พลิกเปลี่ยนโลกซึ่งปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย ไปเป็นโลกที่ปกครองด้วยระบอบที่ไม่ใช่ราชาธิปไตยในรอบเกือบร้อยปีที่ผ่านมา และผมอยากพูดถึงมันเป็นขั้นเป็นตอน โดยหวังว่าท่านจะอนุญาตให้ผมเริ่มจากตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙

Screen Shot 2555-05-01 at 9.33.15 PM

ภาพวาดพระราชพิธีปราบดาภิเษกเป็นจักรพรรดิของนโปเลียน โบนาปาร์ต“นี่เป็นจังหวะก้าวเริ่มแรกของช่วงเวลาที่โดยพื้นฐานแล้วอยู่ภายใต้การครอบงำของจักรวรรดิอันกว้างใหญ่, การปกครองโดยจักรพรรดิและมหากษัตริย์ ในแง่หนึ่งในช่วงเวลาที่ว่านี้กล่าวได้ว่าระบอบราชาธิปไตยมั่นคงทีเดียว อย่างน้อยจนกระทั่งถึงเสี้ยวสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษดังกล่าว หลักหมายสำคัญแห่งระยะเริ่มแรกของช่วงนี้ได้แก่กระบวนการที่นโปเลียน โบนาปาร์ต ผู้เป็นสามัญชนจากเกาะคอร์สิกาและนักการสงครามที่ปราดเปรื่อง ได้กลายเป็นจอมเผด็จการของฝรั่งเศสหลังการปฏิวัติในตอนแรก และต่อมาในปี ค.ศ. ๑๘๐๔ ก็ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ ระหว่างที่เขาขยายอำนาจด้วยแสนยานุภาพไปทั่วยุโรปนั้น ในที่สุดเขาก็สถาปนาน้องชายของตนเป็นกษัตริย์แห่งฮอลแลนด์, อิตาลีทางใต้, และสเปน ฯลฯ ความสำคัญของโบนาปาร์ตอยู่ตรงนี่เป็นครั้งแรกในช่วงเวลาอันยาวนานที่สามัญชนคนหนึ่งและมิหนำซ้ำยังมีเชื้อสายอิตาเลียนด้วยสามารถเรืองอำนาจขึ้นและตั้งตนเป็นจักรพรรดิได้จริง ๆ ภายในเวลาชั่วไม่กี่ปี ในบางด้านท่านอาจเปรียบเขาเหมือนกับพระเจ้าตากสินมหาราช - ไม่ใช่ทักษิณคนปัจจุบันนะครับ แต่เป็นคนก่อนนู่น - ผู้เริ่มจากตัวเปล่าแล้วกลายมาเป็นกษัตริย์องค์สำคัญของไทย เพียงแต่โบนาปาร์ตจัดอยู่ในระดับที่ใหญ่โตกว่า

“นโปเลียนทำให้ประเทศมหาอำนาจราชาธิปไตยต่าง ๆ ของยุโรปหวาดกลัวมากเสียจนกระทั่งในที่สุดเขาถูกจับไปปล่อยเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกจนสิ้นชีวิต อย่างไรก็แล้วแต่ในระยะที่เหลือของศตวรรษนั้น บรรดากษัตริย์ยุโรปทั้งหลายก็ปักใจเด็ดเดี่ยวที่จะปราบปรามสิ่งที่กำลังอุบัติตามมาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ อันได้แก่มรดกตกทอดจากการปฏิวัติฝรั่งเศส, ความเป็นปฏิปักษ์ต่ออภิชนาธิปไตยยุโรป, และเหนืออื่นใดคือชาตินิยมที่กำลังขึ้นสู่กระแสสูงในจักรวรรดิอันใหญ่โตทั้งหลายไม่ว่าจักรวรรดิรัสเซีย, ออสเตรีย-ฮังการี, เยอรมัน, อังกฤษ, และออตโตมัน ซึ่งล้วนแต่กอปรด้วยคนหลากชาติพันธุ์หลายประชาชาติทั้งสิ้น

“ทีนี้เราอาจมองปฏิบัติการดังกล่าวจากมุมอนุรักษ์นิยมว่าเป็นฝีมือของพวกราชาธิปัตย์ปฏิปักษ์ปฏิวัติทั่วโลกซึ่งลงมือกันทันทีหลังนโปเลียนสิ้นอำนาจ ตัวอย่างที่ดีอันหนึ่งซึ่งจะเห็นได้จากตารางข้างบนนี้คือการตัดสินใจบังคับกะเกณฑ์ให้ฮอลแลนด์ยอมมีกษัตริย์ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วอังกฤษเป็นผู้เลือกให้ เนเธอร์แลนด์เป็นกรณีค่อนข้างผิดปกติวิสัยของยุโรปตรงที่ไม่เคยมีกษัตริย์ของตนเองมาก่อน หากเป็นสาธารณรัฐมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ หรือคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ อังกฤษเห็นว่าไม่เข้าที จึงจัดแจงเอากระทาชายชาวดัตช์นายหนึ่งขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นกษัตริย์วิลเลียมที่หนึ่งแห่งเนเธอร์แลนด์และแสดงความเอื้อเฟื้อโดยยกเบลเยียมซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีให้ในทำนองว่า...ใช่ ท่านจะเอาเบลเยียมไปก็ได้ เชิญเลย...แต่ปรากฏว่าชาวเบลเยียมไม่ชอบใจก็เลยพากันก่อกบฎต่อกษัตริย์วิลเลียมที่หนึ่ง อังกฤษจึงบอกชาวเบลเยียมว่า... เอาล่ะตกลง พวกเอ็งจะเอาราชาธิปไตยของตัวเองก็ได้ นี่อีตาคนนี้เป็นชาวเยอรมันนิสัยดีซึ่งนับญาติได้กับกษัตริย์ของเรา เขาจะมาเป็นกษัตริย์ของพวกเอ็ง

“สิ่งที่น่าหลากใจเกี่ยวกับทั้งสองกรณีนี้คืออังกฤษเป็นตัวการสำคัญในการผลักดันให้เกิดระบอบราชาธิปไตยเล็ก ๆ ขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้พี่เบิ้มปรัสเซียหรือนัยหนึ่งเยอรมนีและพี่เบิ้มฝรั่งเศสเข้าควบคุมอาณาเขตที่ทางลอนดอนคิดว่าสำคัญมากทางยุทธศาสตร์ต่อผลประโยชน์ของอังกฤษ

“ขณะเดียวกันจักรวรรดิออตโตมันทางตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรปซึ่งทุกวันนี้เรียกกันว่าคาบสมุทรบอลข่านก็กำลังตกต่ำเสื่อมทรุดลงตลอดคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ มันสะใจดีที่จะหวนระลึกว่าจักรวรรดิออตโตมันถูกขนานนามว่า “คนป่วย” ไม่ใช่ของเอเชียหรือตะวันออกกลางนะครับ แต่“ของยุโรป” และในขณะที่อำนาจของจักรวรรดิแห่งนี้เสื่อมทรุดลงและประชากรท้องถิ่นที่ไม่ใช่มุสลิมทั้งหลายอย่างเช่นชาวกรีซ บัลแกเรียและอื่น ๆ เริ่มก่อหวอดขึ้น บรรดามหาอำนาจก็เคลื่อนตัวเข้ามาแล้วบอกตามแบบฉบับเลยว่า...พวกเอ็งจะมีราชอาณาจักรของตัวเองก็ได้ และใช่แล้วเราจะจัดหากษัตริย์ดี ๆ มาให้พวกเอ็งจากเดนมาร์กเอย เยอรมนีเอย ฯลฯ กล่าวคือกลายเป็นแบบฉบับเลยว่ากษัตริย์ที่เอามานั่งบัลลังก์นั้นไม่ใช่คนท้องถิ่น ผมไม่ได้รวมกษัตริย์บอลข่านเหล่านี้ไว้ในตารางด้วย ก็เพราะล้วนอยู่ได้ไม่ยืดนักและเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ช่วยเผยให้เห็นอะไรสักเท่าไหร่

“ในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เรื่องราวก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างน่าสนใจมากทีเดียว ก่อนอื่นเลยก็คือในปี ค.ศ. ๑๘๗๐ - ๗๑ ระบอบราชาธิปไตยในฝรั่งเศสก็ถูกโค่นเป็นการถาวรเนื่องจากความโง่เขลาของหลานของนโปเลียน อันได้แก่นโปเลียนที่สามผู้ดันไปประกาศสงครามกับปรัสเซียหรือเยอรมนีซึ่งมีกำลังทหารดีที่สุดเมื่อเทียบกับที่ใดก็ตามในยุโรป เขารบแพ้ราบคาบกระทั่งถูกจับเป็นเชลยด้วยซ้ำแล้วก็ถูกเนรเทศ จากนั้นมาฝรั่งเศสก็ไม่มีกษัตริย์อีกเลย และนี่เป็นเรื่องสำคัญมากเพราะนับเป็นมหาอำนาจยุโรปประเทศแรกที่ได้ปกครองในระบอบสาธารณรัฐอย่างมีเสถียรภาพนับแต่สิ้นสุดระบอบสาธารณรัฐในฮอลแลนด์เป็นต้นมา

Screen Shot 2555-05-01 at 9.33.28 PM

จักรพรรดิเปโดรที่สองแห่งบราซิล

“สิ่งน่าสนใจประการที่สองซึ่งท่านจะเห็นได้จากตารางข้างบนก็คือการล้มของระบอบจักรพรรดิในบราซิล และบราซิลในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ นั้นเป็นแห่งเดียวในซีกโลกตะวันตกที่มีระบอบราชาธิปไตยอันมีเสถียรภาพ เจ้านายเหล่านี้ไม่ใช่ชาวอเมริกาใต้หรือบราซิลท้องถิ่น หากมาจากราชวงศ์ของโปรตุเกส ตลกร้ายก็คือจักรพรรดิเปโดรที่สองซึ่งอันที่จริงเป็นคนดีมากและเล็งการณ์ไกลทีเดียวนั้นทรงละอายพระทัยยิ่งที่บราซิลเป็นประเทศเดียวในโลกที่ยังมีระบบทาสโดยถูกกฎหมายเป็นฐานรองรับระเบียบสังคมและเศรษฐกิจอยู่ ดังนั้นในปี ค.ศ. ๑๘๘๘ พระองค์จึงตรัสว่าเราต้องหยุดสิ่งนี้และทรงเลิกทาสทั้งหมดในบราซิลรวมทั้งปลดปล่อยพวกเขาเป็นอิสระ ปีถัดมาเจ้าที่ดินใหญ่ผู้โกรธแค้นกับนายทหารผู้มักใหญ่ใฝ่สูงก็บอกว่าเราไม่ต้องการจักรพรรดิแบบนี้ และดังนั้นพระองค์ก็เลยถูกโค่นด้วยรัฐประหารและต้องเสด็จกลับยุโรป ฉะนั้นจึงเป็นอันว่ามีสองประเทศใหญ่ที่กลายเป็นสาธารณรัฐในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙

“แต่ยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าและในบางแง่ก็น่าสนใจกว่านี้อีก กล่าวคือในตอนปลายเสี้ยวสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ระบอบราชาธิปไตยโดยเฉพาะในยุโรปตกเป็นเป้าประทุษร้ายทางกายภาพโดยตรงเนื่องจากการปรากฏขึ้นของขบวนการที่ต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างขุดรากถอนโคนโดยเฉพาะขบวนการอนาธิปไตยรวมทั้งขบวนการชาตินิยมที่พิโรธโกรธแค้นมาก ผมใคร่เตือนความจำท่านว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันดำเนินมาอย่างไรเพื่อที่ท่านจะเห็นได้ว่ามันเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมากมายขนาดนั้นมาก่อนในยุโรป

“ค.ศ. ๑๘๘๑ นักอนาธิปไตยขว้างระเบิดปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สองแห่งรัสเซีย
“ค.ศ. ๑๘๙๘ นักอนาธิปไตยชาวอิตาเลียนแทงจักรพรรดินีอลิซาเบ็ธแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีสิ้นพระชนม์
“ค.ศ. ๑๙๐๐ กษัตริย์อุมแบร์โตแห่งอิตาลีถูกนักอนาธิปไตยชาวอิตาเลียนอีกคนยิง 8
“ค.ศ. ๑๙๐๓ กษัตริย์อเล็กซานเดอร์แห่งเซอร์เบียถูกทหารชาตินิยมนายหนึ่งยิง
“ค.ศ. ๑๙๐๘ กษัตริย์คาร์ลอสแห่งโปรตุเกสถูกสังหารโดยผู้นิยมสาธารณรัฐหัวรุนแรงชาวโปรตุเกส
“ค.ศ. ๑๙๑๔ เจ้าชายฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ มกุฎราชกุมารแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีถูกนักชาตินิยมชาวเซอร์เบียยิง และเราก็ทราบว่าการกระทำครั้งนั้นโดยพื้นฐานแล้วนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

“เพื่อทำความเข้าใจวิกฤตระดับโลกที่กำเริบร้ายแรงซึ่งแสดงออกในยุโรปเป็นหลักนี้ เราต้องเข้าใจบางอย่างที่เป็นเรื่องพื้นฐานมาก กล่าวคือกษัตริย์ทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรียกตนเองเป็นอภิมหากษัตริย์หรือจักรพรรดินั้นมิได้ถือตนเป็นประมุขของชาติ ในหลายศตวรรษที่ผ่านมา พวกเขาทำสงครามกันไม่หยุดหย่อนเพื่อแย่งยึดดินแดนและประชาชนมากขึ้น ๆ และด้วยเหตุนี้เอง ถึงตอนนั้นพวกเขาจึงล่อแหลมต่อการถูกต่อต้านและการเคลื่อนไหวของนักปฏิวัติเพื่อปลดปล่อยประชาชาติเฉพาะเจาะจงหนึ่ง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชาวโปแลนด์, ชาวเช็ก, ชาวฮังการี, ชาวฟินแลนด์, ชาวยูเครน เป็นต้น

“นั่นคือความโลภโมโทสันอยากได้ใคร่มีอำนาจมากขึ้นและมากขึ้น ความโลภโมโทสันอยากได้ใคร่มีดินแดนมากขึ้นและมากขึ้น ซึ่งเป็นธรรมเนียมปกติวิสัยของบรรดามหาอำนาจสำคัญในยุโรปนั้น ได้ถูกบ่อนทำลายหรือเริ่มถูกบ่อนทำลายลงโดยพลังชาตินิยมแล้ว

“และเหตุมูลฐานของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอันหายนะนั้นก็คือการปักใจแข่งขันช่วงชิงกันในหมู่อภิมหาราชาธิปไตยทั้งหลายซึ่งได้แก่ลอนดอน, เวียนนา, เบอร์ลิน, อีสตันบูล, และมอสโก...”

“ที่นี้เราก็หันไปดูตอนเริ่มต้นของระยะที่สองได้แล้ว.....
“ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งนาน ๑๒ ปีระหว่าง ค.ศ. ๑๙๑๑ ถึง ๑๙๒๓ นั้นประสบกับบางอย่างที่ไม่เคยมีใครอาจคาดเดาได้ล่วงหน้ามาก่อน
“ก่อนอื่นเลยก็คือราชวงศ์ชิงในจีนล้มลงใน ค.ศ. ๑๙๑๑ ด้วยน้ำมือพวกชาตินิยม
“ค.ศ. ๑๙๑๗ ราชาธิปไตยรัสเซียก็ล่มจมด้วยฝีมือของคนอย่างเลนินและคนอื่น ๆ อีกมากหน้าหลายตา
“ค.ศ. ๑๙๑๘ เมื่อท้ายที่สุดเยอรมนีปราชัยในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งแล้ว ระบอบจักรพรรดิก็มีอันสลายหายวับไปและองค์จักรพรรดิก็ต้องเสด็จหนีไปฮอลแลนด์
“ค.ศ. ๑๙๑๙ จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีล้มลง
“และใน ค.ศ. ๑๙๒๓ ก็ถึงคราวจักรวรรดิออตโตมันล้มลงบ้าง

“ประเทศทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ลงเอยกลายเป็นสาธารณรัฐในท้ายที่สุดและหดเล็กลงกว่าเก่าเอามาก ๆ เมื่อเทียบกับสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชีวิตผู้คนทุกฝ่ายต้องสูญเสียไปนับล้าน ๆ ทำให้สงครามโลกครั้งที่หนึ่งน่าจะเป็นสงครามที่ก่อหายนะภัยร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติจวบจนถึงตอนนั้น และบรรดาจักรพรรดิผู้แพ้สงครามทั้งหลายก็ไม่เคยได้อโหสิกรรมจากอาณาประชาราษฎร์เลย ดังนั้นประเทศมหาอำนาจราชาธิปไตยที่อยู่รอดมาได้ก็คือพวกที่เป็นฝ่ายชนะสงครามทั้งนั้น ได้แก่อังกฤษและญี่ปุ่น

Screen Shot 2555-05-01 at 9.33.52 PM
ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันแห่งสหรัฐอเมริกา

“จากความล่มสลายลงของจักรวรรดิเหล่านี้ ก็บังเกิดประดารัฐชาตินิยมขนาดเล็กที่ส่วนใหญ่แล้วปกครองในระบอบสาธารณรัฐผุดขึ้นมาเยอะแยะมากมาย ซึ่งการปรากฏขึ้นของรัฐต่าง ๆ เหล่านี้ก็กลายเป็นสาเหตุสำคัญให้ก่อตั้งสันนิบาตชาติขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๒๐ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีอเมริกัน วูดโรว์ วิลสัน

“ความคิดเรื่องสันนิบาตชาตินับว่าแปลกใหม่อย่างน่า ประหลาดใจในตอนนั้น ทั้งนี้ก็เพราะในสมัยก่อน ท่านไม่อาจจินตนาการว่าจะมี “สันนิบาตจักรพรรดิ” หรือ “______________สันนิบาตราชา” ขึ้นมาได้, เหมือนที่ทุกวันนี้ ท่านก็ไม่อาจจินตนาการว่าจะมี “สันนิบาตศาสนา” หรือ “สหศาสนา” ได้เช่นกัน ชาติเป็นหน่วยชนิดเดียวเท่านั้นที่ทำให้เป็นไปได้ในอันที่จะมีตัวแทนของหน่วยดังกล่าวในบางแบบจากทั่วโลกมาอยู่ในองค์การหนึ่งเดียว และอันที่จริงการก่อตัวของสหประชาชาติรวมทั้งสันนิบาตชาติก็แสดงให้เห็นชัดยิ่งว่าบัดนี้ชาตินิยมเป็นพลังมูลฐานที่สุดและได้เข้าแทนที่ราชาธิปไตยในระดับรากฐานแล้ว

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

“จากนี้เราก็เดินเรื่องต่อในช่วง ๒๐ ปีถัดไประหว่างสิ้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่งไปจนเริ่ม

สงครามโลกครั้งที่สอง มี ๒ เรื่องที่ผมควรกล่าวไว้ตอนนี้ คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสเปนและประเทศไทยนั้นเอาเข้าจริงแสดงให้ท่านเห็นผลจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและลางร้ายว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองในภายภาคหน้า

“ในสเปนต้นคริสต์ทศวรรษที่ ๑๙๓๐ กษัตริย์อัลฟองโซถูกบังคับให้สละราชสมบัติโดยพวกนิยมสาธารณรัฐ, สังคมนิยม, เสรีนิยม ฯลฯ เนื่องจากพระองค์สัมพันธ์ใกล้ชิดกับจอมเผด็จการทหาร 10 พรีโม เดอ รีเวรา ในปี ค.ศ. ๑๙๓๖ พวกอนุรักษ์นิยมและขวาจัดพยายามก่อรัฐประหารซึ่งในที่สุดนำไปสู่การเริ่มสงครามกลางเมือง ฝ่ายขวาภายใต้การบังคับบัญชาของจอมพลฟรังโกที่ได้อาวุธและเงินสนับสนุนจากผู้นำฟาสซิสต์ของเยอรมนีและอิตาลีเป็นฝ่ายชนะในที่สุด

“ระหว่างนั้น ญี่ปุ่นก็เข้ายึดแมนจูเรียและรุกรานจีน แล้วตั้งเจ้านายเชื้อสายแมนจูขึ้นเป็นหุ่นเชิดปกครองรัฐแมนจูกัวเอกราชที่จอมปลอม

“ในคริสต์ทศวรรษเดียวกัน มุสโสลินีก็รุกรานเอธิโอเปียและขับไล่จักรพรรดิไฮเลเซลัสซีไปลี้ภัยในอังกฤษ

“ช่วงเดียวกันนั้น ในสยาม ระบอบกษัตริย์ซึ่งจนแล้วจนรอดก็ยังบัญญัติรัฐธรรมนูญไม่เสร็จเสียที ได้ถูกโค่นโดยแนวร่วมอันประกอบไปด้วยสามัญชน, นายทหารและพลเรือนชาตินิยม ซึ่งปกครองประเทศอยู่จนกระทั่งปี ค.ศ. ๑๙๔๔ - ๑๙๔๕ ในหลวงรัชกาลที่ ๗ เสด็จนิราศไปอังกฤษ อันเป็นที่ซึ่งกษัตริย์ผู้ประสบความเดือดร้อนทั้งหลายมักจะไปกัน แล้วสละราชสมบัติตอนกลางคริสต์ทศวรรษที่ ๑๙๓๐

“ผู้นำสำคัญที่สุด ๒ คนของคณะราษฎรอันได้แก่ปรีดี พนมยงค์และแปลก พิบูลสงครามล้วนได้รับการศึกษาในประเทศสาธารณรัฐชาตินิยมฝรั่งเศส ไม่ใช่ในอังกฤษหรือรัฐราชาธิปไตยแห่งอื่นในยุโรป ท่านอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกนับแต่ช่วงหลังพม่าเข้ายึดครองหมาด ๆ เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต้นมาที่เอาเข้าจริงไม่มีกษัตริย์ทรงปกครองอยู่ในประเทศไทยเอง

“มีอีก ๒ ระยะที่เราอยากพิจารณา ก่อนจะสรุปจบโดยอภิปรายเกี่ยวกับบทบาทของอังกฤษในเหตุการณ์เหล่านี้ทั้งหมดโดยสังเขป

Screen Shot 2555-05-01 at 9.34.04 PM

ท่านผู้นำ อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์

“สงครามโลกครั้งที่สองและสภาพหลังจากนั้นก็เหมือนกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งตรงที่นำมาซึ่งการล่มสลายของระบอบราชาธิปไตยจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้ผมคิดว่าสงครามใหญ่ล้วนแต่อันตรายมากเสมอสำหรับราชาธิปไตย อยู่อย่างสันติจะดีกว่า ตัวละครหลักตอนนั้นได้แก่อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์ และน่าตื่นใจว่าเวลาเขาเอ่ยอ้างถึงที่ ๆ อยู่ภายใต้การปกครองของเขานั้น เขาพูดถึง “อาณาจักรไรช์ที่สาม” ซึ่งแปลว่า “ราชอาณาจักรที่สาม” หรือ “จักรวรรดิที่สาม” และเขาบรรยายว่ามันเป็นทายาทสืบต่อจาก “จักรวรรดิที่สอง” ซึ่งล่มสลายลงใน ค.ศ. ๑๙๑๘ เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และจาก “จักรวรรดิที่หนึ่ง” เมื่อครั้งปรัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจสำคัญของยุโรปภายใต้พระอัจฉริยภาพทางทหารของเฟรเดอริคมหาราช

“ความหมายนัยของการเรียกหน่วยภายใต้การรับผิดชอบของตนว่า “จักรวรรดิที่สาม” บ่งชี้ว่าฮิตเล่อร์ตั้งใจจะให้เยอรมนีขยายดินแดนไปครอบคลุมยุโรปกลางและตะวันออกทั้งหมด แต่เขาไม่มีเจตนาจะฟื้นฟูราชวงศ์ฮอเฮนซอลเลินเก่า และเขาก็ไม่มีแนวคิดใด ๆ ที่จะปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิอย่างนโปเลียนเลย แทนที่จะทำเช่นนั้น เขากลับเรียกตัวเองว่า “ท่านผู้นำ” หรือ“ฟูเรอห์” อันเป็นสมญานามใหม่ที่มีแง่มุมประชานิยมและเชื้อชาตินิยมอย่างแรงกล้า

“ในกรณีฮิตเล่อร์นี้ ผมคิดว่าเราอาจเห็นบางอย่างที่สำคัญมาก กล่าวคือถึงตอนนั้น แนวคิดที่ว่าจะมีใครสร้างระบอบราชาธิปไตยใหม่ขึ้นมากำลังกลายเป็นเรื่องเหลือเชื่อ นั่นคือเราอาจบอกได้จริง ๆ เลยว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งมรณกรรมของระบอบราชาธิปไตย ณ จังหวะที่ธรรมเนียมเก่าแก่ที่ว่ามีคนหน้าใหม่เข้ามาทำลายราชวงศ์เก่าแล้วสร้างราชวงศ์ใหม่ของตนขึ้นนั้นได้สิ้นสุดยุติลง

“เราอาจเห็นประเด็นนี้ได้ชัดเจนยิ่งในกรณีประเทศจีนภายหลังราชวงศ์ชิงถูกโค่น นายพลภาคเหนือจีนผู้ทรงอำนาจนามหยวนซีไขจัดแจงแต่งตั้งให้ตัวเองเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐจีนใน ค.ศ. ๑๙๑๒ แต่แล้วเขาก็รื้อคิดว่าเป็นจักรพรรดิของจีนด้วยจะมิดีกว่าหรือ? เขาจึงเริ่มจัดตั้งการรณรงค์ให้ตนเองได้เป็นผู้นำราชวงศ์ใหม่ แต่มันล้มเหลวไม่เป็นท่า เกิดกบฎขึ้น เขาถูกบีบให้เลิกล้มแผนนั้นไปและกระทำอัตวินิบาตกรรมใน ค.ศ. ๑๙๑๖

Screen Shot 2555-05-01 at 9.34.15 PM

จักรพรรดิโบกัสซาแห่งจักรวรรดิแอฟริกากลาง

“ระบอบราชาธิปไตยหนึ่งเดียวที่น่าสนใจแถมเอาเข้าจริงยังแปลกพิลึกที่สุดด้วยซึ่งท่านจะเห็นได้อย่างรวบรัดต่อไปเป็นดังนี้ ใน ค.ศ. ๑๙๗๖ จอมเผด็จการทหารโหดผู้กุมอำนาจมายาวนานแห่งสาธารณรัฐแอฟริกากลางอันกระจิริดซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๖๐ ได้ตัดสินใจว่าเป็นแค่ประธานาธิบดีของประเทศนี้ยังไม่พอ ชายผู้นี้มีภูมิหลังอันน่าสนใจ เขาชื่อ ฌอง เบเดล โบกัสซาเคยเป็นนายสิบในกองกำลังฝรั่งเศสที่พยายามกลับเข้ามายึดครองเวียดนามในอินโดจีนหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ดังนั้นว่าไปแล้วเขาก็เป็นแค่ทหารรับจ้างของฝรั่งเศสเท่านั้นเอง

“เมื่อประเทศของเขาได้เอกราช เขาได้เลื่อนยศเป็นพันเอกทันที และหลังจากนั้นไม่นานก็เข้ารวบอำนาจขึ้นเป็นประธานาธิบดีเสียเอง แต่ใน ค.ศ. ๑๙๗๖ เขาก็บอกว่า... เฮ้ยข้าอยากเป็นจักรพรรดิโว้ย... ดังนั้นเขาก็เลยสั่งตัดฉลองพระองค์แพงหูฉี่สำหรับพิธีราชาภิเษกซึ่งลอกแบบมาโดยตรงจากภาพวาดของนโปเลียน การณ์จึงกลายเป็นว่าในทวีปแอฟริกาที่ร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลไคลย้อยนั้น โบกัสซากลับใส่ชุดเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวสำหรับฤดูหนาวแบบที่นโปเลียนเคยใส่ และเขายังสั่งร้านอัญมณีราคาแพงในปารีสให้ทำมงกุฎประดับเพชรงามวิเศษแพรวพราวมาด้วย แล้วจัดเดินขบวนแห่แหนเฉลิมฉลองใหญ่กลางเมืองหลวงบังกีโดยมีวงดนตรีออเคสตร้าจากฝรั่งเศสคอยบรรเลงเพลงของโมสาร์ตตามประกบ

“แน่ล่ะครับว่าพอกลายเป็นจักรพรรดิแล้ว โบกัสซาก็ยิ่งเลวร้ายกว่าเก่าอีกและเรียกประเทศของตนว่าจักรวรรดิแอฟริกากลาง นี่ทำให้ผู้คนหัวร่อเย้ยไยไพไปทั่วแม้กระทั่งในฝรั่งเศสเอง และสามปีต่อมา ผู้คนอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาก็เลยถูกโค่นแล้วก็หายหน้าหายตาไป

“ความหมายนัยของเรื่องนี้ก็คือคุณทำแบบนี้ไม่ได้แล้ว ถ้าหากราชวงศ์หนึ่งถูกโค่นลง ก็จะไม่มีราชวงศ์ในรัฐนั้นอีกต่อไป”

“ที่นี้ถ้าท่านมองดูยุโรประหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านต้องระลึกว่าตอนนั้นฮิตเล่อร์ก็กำลังยุ่งกับการยึดครองและผนวกกลืนออสเตรีย, เช็กโกสโลวาเกีย, และพิชิตโปแลนด์ ฯลฯ อยู่แล้วต่อมาแสนยานุภาพเยอรมันก็บุกยึดฮอลแลนด์, เบลเยียม, ยูโกสลาเวีย, กรีซ ฯลฯ และฮิตเล่อร์ยังกำลังดำเนินการร่วมกับพันธมิตรได้แก่มุสโสลินีในอิตาลีและระบอบทหารในญี่ปุ่นด้วย

“ที่แห่งเดียวที่เขาไม่ประสบความสำเร็จอย่างน้อยในตอนเริ่มแรกก็คือความพยายามในอันที่จะรุกรานและพิชิตสหราชอาณาจักร ซึ่งเคราะห์ดีที่เป็นเกาะอันมีทัพเรือเข้มแข็ง

“ทว่าในภาคพื้นทวีปยุโรป ระบอบราชาธิปไตยที่ยังดำรงอยู่ต้องเผชิญทางเลือกที่ไม่น่าอภิรมย์ยิ่ง ทางหนึ่งก็คือหนีไปเสียภายหลังเยอรมนีเข้ายึดครอง ทางนี้ถูกเลือกโดยราชินีเนเธอร์แลนด์, เจ้าผู้ครองนครลักเซมเบิร์ก, กษัตริย์นอร์เวย์ซึ่งเสด็จไปลอนดอนโดยเรือดำน้ำอังกฤษ และกษัตริย์กรีซ เจ้านายทั้งหลายนี้ล้วนไปประทับอยู่ในอังกฤษและกลับขึ้นครองราชย์ได้หลังสงครามอย่างน้อยก็ชั่วระยะหนึ่ง

“แต่กษัตริย์องค์อื่น ๆ ทรงรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกนอกจากเข้ากับฮิตเล่อร์ไม่ว่าจะอย่างเอาจริงเอาจังหรือเพียงเพราะไม่เห็นทางเลือกอื่นก็ตาม ได้แก่กรณีกษัตริย์เบลเยียม, โรมาเนีย, บัลแกเรีย, ยูโกสลาเวีย, และอิตาลี เจ้านายเหล่านี้ต่างประสบเคราะห์กรรม กล่าวคือหลายองค์ถูกโค่นอย่างถาวรโดยประชาชน, กลุ่มกู้ชาติติดอาวุธ, หรือบางแห่งก็โดยกองทัพแดงของสตาลินที่ยาตรามาถึงตอนสิ้นสงคราม กษัตริย์เบลเยียมถูกบังคับให้สละราชสมบัติแก่โอรส สวีเดนพยายามเป็นกลางระหว่างสงคราม จึงหลีกเลี่ยงการถูกยึดครองไปได้ แต่ก็ผ่านประสบการณ์นี้มาอย่างไม่ราบรื่นนัก

“น่าสนใจว่าสตาลินซึ่งมีโอกาสและแสนยานุภาพที่จะผนวกรวมอาณาดินแดนทั้งปวงในยุโรปตะวันออกเข้ามาเป็นรัฐสมาชิกของสหภาพโซเวียต กลับตัดสินใจว่ามันจะเป็นการผิดพลาดถ้าขืนทำเช่นนั้น ดังนั้นท่านผู้ฟังก็เลยได้เห็นบรรดารัฐบาลคอมมิวนิสต์แห่งชาติทั้งหลายแหล่เป็นครั้งแรก แน่ล่ะว่าพวกเขาล้วนอยู่ใต้การควบคุมของสตาลิน แต่ก็ส่งผลให้ไม่มีระบอบราชาธิปไตยเหลืออยู่ในยุโรปตะวันออกอีกต่อไป

“แต่เอาเข้าจริงการคลี่คลายขยายตัวของสถานการณ์ที่น่าสนใจที่สุดซึ่งเกิดขึ้นกลับไม่ใช่อยู่ในยุโรป หากอยู่ในเอเชีย จากกฎเกณฑ์ทั่วไปที่ผมได้อภิปรายมา ท่านทั้งหลายอาจคาดหมายว่าความย่อยยับอัปราชัยของญี่ปุ่นเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๔๕ หลังจากที่ได้รุกรานจีนอย่างป่าเถื่อน รุกรานเอเชียอาคเนย์หลายแห่งอย่างโหดเหี้ยม ฯลฯ จะทำให้องค์จักรพรรดิถูกโค่นโดยมหาอำนาจสัมพันธมิตรผู้พิชิตศึก

Screen Shot 2555-05-01 at 9.34.28 PM

จักรพรรดิฮิโรฮิโตแห่งญี่ปุ่น

“ทว่าสิ่งนี้ไม่บังเกิดขึ้นแม้ว่าฮิโรฮิโตเองจะได้สนับสนุนการรุกรานจีน การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ และการพิชิตเอเชียอาคเนย์ส่วนใหญ่อย่างแข็งขันก็ตาม มีคนญี่ปุ่นต้องสละชีวิตเพื่อการนี้หลายล้าน และยังประชาชนท้องถิ่นที่ถูกรุกรานซึ่งต้องสูญเสียชีวิตไปหลายต่อหลายล้านอีกเล่ายังไม่ต้องพูดถึงการทิ้งระเบิดปรมาณูใส่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิอันน่าอเนจอนาถซึ่งส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะองค์จักรพรรดิไม่ยอมจำนนทั้งที่ไม่มีความหวังว่าจะเหลือรอดอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว

“แต่อเมริกาโดยผ่านตัวนายพลแม็คอาเธอร์ได้ตัดสินใจที่จะกอบกู้และปกป้องเจ้าหมอนี่ไว้ในที่สุดเขาก็ได้รับการปล่อยตัวพ้นโทษผิดทั้งปวง และคนที่ถูกแขวนคอหรือประหารชีวิตฐานก่ออาชญากรรมสงครามได้แก่ผู้นำสุดยอดทางทหารและการเมืองแต่ไม่รวมองค์จักรพรรดิเองด้วย

“ท่านผู้ฟังอาจลองถามตัวเองดูว่าทำไมชาวอเมริกันที่มีประวัติศาสตร์การปกครองในระบอบสาธารณรัฐมายาวนานจึงตัดสินใจสนับสนุนและธำรงรักษาสถาบันจักรพรรดิไว้เล่า? เราต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่ว่านี้กำลังเกิดขึ้นตอนช่วงเริ่มต้นสงครามเย็น กล่าวคือสองวันหลังการทิ้งระเบิดเมืองฮิโรชิมา รัสเซียก็ตัดสินใจละเมิดข้อตกลงไม่รุกรานกันกับญี่ปุ่น แล้วรีบรุกรานแมนจูเรียและกำลังมุ่งหน้าสู่เกาหลีรวมทั้งอาจบุกญี่ปุ่นด้วยในที่สุด

“ฝ่ายอเมริกาก็ปักใจเด็ดเดี่ยวจะควบคุมญี่ปุ่นโดยปลอดการก้าวก่ายแทรกแซงใด ๆ ให้จงได้และการปรากฏตัวขึ้นของรัสเซีย รวมทั้งการก่อตั้งบรรดาสหภาพแรงงานและพรรคการเมืองเอียงซ้ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างขุดรากถอนโคนในประเทศญี่ปุ่นซึ่งประสบความเสียหายอย่างหนักนั้น ก็ทำให้อเมริกาได้คิดว่า... จะว่าไปแล้วสถาบันกษัตริย์ก็ใช้ได้ถนัดมือดีในการปราบปรามไอ้พวกนี้นี่นา... และคนจำนวนมากที่เอาเข้าจริงเป็นอาชญากรสงครามก็เลยถูกอเมริกาเกณฑ์ไปเป็นสมัครพรรคพวกเพื่อถล่มสหภาพแรงงานและองค์กรอื่น ๆ ให้ราบคาบ จากนั้นญี่ปุ่นจึงกลายเป็นพันธมิตรที่ซื่อตรงจงรักของอเมริกาเรื่อยมา

“มันน่าสนใจว่าอันที่จริง “เทนโน” (คำเรียกขานจักรพรรดิญี่ปุ่น แปลว่าเจ้าสวรรค์) ซาบซึ้งตื้นตันใจเรื่องนี้อย่างยิ่ง พระองค์ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ทรงบอกอาณาประชาราษฎร์ว่าพระองค์ไม่ใช่เทพศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็น่าจะเห็น ๆ กันได้อยู่ และทรงยอมรับรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่โดยพื้นฐานแล้วอเมริกาบังคับยัดเยียดให้ประชาชนญี่ปุ่น ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่เลวนัก

“ดังนั้นสถานการณ์ซึ่งผิดแปลกแตกต่างกันนี้จึงแสดงให้ท่านผู้ฟังเห็นว่ากฎเกณฑ์ที่ว่าระบอบราชาธิปไตยที่ล้มเหลวย่อมถูกโค่นนั้นใช่ว่าจะถูกต้อง ๑๐๐ เปอร์เซนต์เสียทีเดียว ถ้าเผื่อท่านมีอเมริกาในยุคสงครามเย็นคอยหนุนหลังละก็ ท่านอาจแพ้สงครามแต่ก็ยังอยู่รอดได้

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

“ระยะสุดท้ายที่ท่านเห็นได้จากตารางข้างบนนี้โดยพื้นฐานแล้วยังเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านจะเห็นว่าราชาธิปไตยเวียดนาม, ราชาธิปไตยอิตาลี, ราชาธิปไตยยูโกสลาเวีย ฯลฯ ต่างถูกทำลายลง

“ผลของสงครามโลกครั้งที่สองก็คือบรรดามหาอำนาจจักรวรรดิตัวหลัก ๆ แต่เดิม ต่อให้เป็นฝ่ายชนะสงครามก็ตาม ล้วนตกอยู่ในภาวะพิการทางเศรษฐกิจและอ่อนแอกว่าสมัยคริสต์ทศวรรษที่ ๑๙๒๐ และ ๑๙๓๐ มาก เนเธอร์แลนด์ เบลเยียมและฝรั่งเศสได้ถูกฮิตเล่อร์ยึดครองและจริง ๆ แล้วประเทศเหล่านี้ก็ไม่มีวัตถุปัจจัยที่จะไปสงวนรักษาจักรวรรดิโพ้นทะเลของตนไว้อีกต่อไป ส่วนบรรดาประเทศมหาอำนาจใหม่อันได้แก่สหรัฐฯและสหภาพโซเวียตนั้นพูดกันอย่างเคร่งครัดแล้วก็ไม่ใช่มหาอำนาจอาณานิคมหรือจักรวรรดิ

“ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ขบวนการชาตินิยมในเอเชียและแอฟริกาเติบใหญ่แข็งกล้าขึ้น และเมื่อสิ้นสงคราม ก็เป็นที่แจ้งชัดแล้วว่าการยกเลิกระบบอาณานิคมขนานใหญ่จะต้องเกิดขึ้นแน่ และเราก็สามารถเห็นสิ่งนี้ได้แต่เนิ่นเมื่ออาณานิคมที่ใหญ่โตที่สุดในโลกอันได้แก่อินเดียของอังกฤษถูกแบ่งออกเป็นรัฐเอกราช ๒ รัฐ คืออินเดียที่มีขนาดเล็กลงและปากีสถาน ส่วนศรีลังกาและพม่าก็ได้สถานะรัฐเอกราชเช่นเดียวกันนั้นในเวลาเดียวกัน

“นี่มิได้หมายความว่าอังกฤษไม่พร้อมจะเล่นบทโหดถ้าสามารถเล่นได้ ตัวอย่างเช่นมีความพยายามใช้การปราบปรามอย่างรุนแรงในเคนยาและประสบความสำเร็จที่จำกัดระดับหนึ่ง และอังกฤษยังใช้ความพยายามมหาศาลในการปราบปรามกบฎพรรคคอมมิวนิสต์มลายาและในการสร้างประเทศมลายาที่เป็นเอกราชขึ้นหลังจากนั้นในปี ค.ศ. ๑๙๕๗ ภายใต้ระบบการปกครองอันแปลกประหลาดยิ่งที่ให้ราชาท้องถิ่นเล็ก ๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นครอง

“ประเทศบรูไนซึ่งอุดมด้วยน้ำมันถูกลอนดอนเก็บเอาไว้ควบคุมต่อไป แต่เอาเข้าจริงแล้วก็อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทน้ำมันเชลล์มากกว่าจนกระทั่งปี ค.ศ. ๑๙๘๔ ฝรั่งเศสส่งกองทัพมหึมาเพื่อพยายามยึดอินโดจีนคืนแต่กลับรบแพ้อย่างราบคาบในปี ค.ศ. ๑๙๕๔ สงครามปราบปรามพวกต่อต้านอาณานิคมอันน่าสยดสยองอีกกรณีหนึ่งในแอลจีเรียก็ล้มเหลวในที่สุดด้วย ฝรั่งเศสถูกบีบบังคับให้จำต้องรับรองประเทศแอลจีเรียที่เป็นเอกราช และในปี ค.ศ. ๑๙๖๐ นายพลเดอโกลล์ก็บอกกล่าวกับบรรดาประเทศแอฟริกันใต้การปกครองของฝรั่งเศสทั้งหลายโดยพื้นฐานว่า... บัดนี้พวกท่านเป็นเอกราชแล้ว แต่ท่านต้องเข้าเป็นสมาชิกเครือจักรภพนานาชาติอันน่ารักของฝรั่งเศสนะ

“พวกดัตช์พยายามกอบกู้สถานะของตนในอินโดนีเซียแต่ล้มเหลวและต้องยอมเลิกราไปในปลายปี ค.ศ. ๑๙๔๙ และท้ายที่สุดจักรวรรดิของโปรตุเกสในแอฟริกาก็สลายหายไปในปี ค.ศ.๑๙๗๕ ภายหลังดำเนินสงครามจักรวรรดินิยมที่วิบัติหายนะและไม่ประสบความสำเร็จครั้งต่าง ๆ กันถึง ๓ ครั้ง”

“ผมอยากจะหยุดตรงนี้สักครู่เพื่อเน้นย้ำผลลัพธ์สำคัญประการหนึ่งของการยกเลิกระบบอาณานิคม เรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็นมากนักและน่าจะเป็นสิ่งที่ปลุกขวัญกำลังใจระบอบราชาธิปไตยที่เหลือรอดอยู่ทั้งหลาย นั่นคือการยกเลิกระบบอาณานิคมและการขยายตัวอย่างใหญ่โตของสหประชาชาติหมายความว่าอาณาเขตของชาติกลายเป็นสิ่งที่มีเสถียรภาพและศักดิ์สิทธิ์ขึ้นกว่าก่อนมาก

“นับแต่ราว ค.ศ. ๑๙๔๗ เป็นต้นมาไม่มีสมาชิกองค์การสหประชาชาติประเทศใดสามารถเพิ่มเติมอาณาดินแดนทางภูมิศาสตร์ของตนให้มากขึ้นอย่างเป็นกอบเป็นกำเลย และนี่หมายความว่าสาเหตุที่ทำให้ระบอบราชาธิปไตยจำนวนมากถูกทำลายลงก่อนหน้านี้ อันได้แก่ความหิวกระหายที่จะขยายราชอาณาจักรและหมกมุ่นอยู่แต่กับศึกสงครามนั้น ได้จบสิ้นลงแล้วโดยพื้นฐาน

“ฉะนั้นเราจึงกล่าวได้ว่าถ้าหากกษัตริย์ทรงปรีชาและมีสายพระเนตรยาวไกล พระองค์ก็อาจทรงช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดที่นำไปสู่ลัทธิแบ่งแยกดินแดน อันเป็นลัทธิที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจยิ่งสำหรับคนบางกลุ่ม ทว่าน่าสยดสยองสำหรับคนกลุ่มอื่น ๆ ได้ ดังที่ท่านผู้ฟังจะสังเกตเห็นได้จากการแตกแยกตัวของยูโกสลาเวีย, การแตกแยกตัวของเอธิโอเปีย, การแตกแยกตัวของปากีสถาน,การแตกแยกตัวของจักรวรรดิ โซเวียต ฯลฯ และบางทีอาจรวมถึงการแตกแยกตัวของจีนแผ่นดินใหญ่ในอนาคตด้วย

“ดังนั้นพึงระลึกไว้นะครับว่าอาณาเขตแห่งชาตินับวันแต่จะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น ดังนั้นท่านก็ไม่จำต้องมีกองทัพใหญ่โต เพราะระบบโลกจะไม่ปล่อยให้ท่านถูกยึดครองโดยรัฐอื่น”

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

Screen Shot 2555-05-01 at 9.35.04 PM

นัสเซอร์ กัดดาฟี ลอนนอล

“ผลลัพธ์ประการหนึ่งของความเสื่อมทรุดแห่งระบอบอาณานิคมและการปรากฏตัวขึ้นของรัฐบาลแห่งชาติเอกราชทั้งหลายถือเป็นสิ่งแปลกใหม่น่าสนใจ และนั่นก็คือในสภาพที่ไม่มีเจ้าอาณานิคมอีกต่อไป พลังการเมืองสำคัญที่สุดในหลายต่อหลายที่ได้แก่กำลังทหารในท้องถิ่นซึ่งแรกเริ่มเดิมทีมักได้รับการฝึกอบรมจากสหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศสและอังกฤษ ทว่ากลับอวดอ้างว่าเป็นปากเสียงแท้จริงของประชาชน

“ในช่วงนี้นี่เองที่เราได้พบเห็นกำลังทหารท้องถิ่นพากันล้มเจ้าในที่ต่าง ๆ:
“ เริ่มด้วยอียิปต์ใน ค.ศ. ๑๙๕๒ เมื่อกษัตริย์ฟารุคถูกขับไล่ไสส่งโดยนัสเซอร์และเพื่อนพ้อง
“ค.ศ. ๑๙๕๘ เจ้าผู้ปกครองที่อังกฤษยัดเยียดให้อิรักถูกปลงพระชนม์โดยการลุกฮือของทหาร
“สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นที่ลิเบียใน ค.ศ. ๑๙๖๙ ด้วยฝีมือทหารนำโดยกัดดาฟี
“ที่กัมพูชาใน ค.ศ. ๑๙๗๐ โดยลอนนอล
“อัฟกานิสถานใน ค.ศ. ๑๙๗๓
“และเอธิโอเปียใน ค.ศ. ๑๙๗๔
“นั่นนับเป็นการทำลายระบอบราชาธิปไตยอย่างขนานใหญ่เลยทีเดียว
“เฉพาะในลาวและเวียดนามเท่านั้นที่เรากล่าวได้ว่าคอมมิวนิสต์เป็นผู้ทำลายระบอบการปกครองของราชวงศ์ท้องถิ่น
“ในการมองหาสาเหตุหรือผู้ก่อการโค่นระบอบราชาธิปไตย สิ่งที่น่าตื่นใจคือทหารเป็นตัวการสำคัญกว่าพวกมีความคิดจะเปลี่ยนแปลงอย่างขุดรากถอนโคนที่มาจากคนชั้นล่าง”

“เวลาใกล้จะหมดแล้ว ผมใคร่ขอหันไปพูดเรื่องที่ผมคิดว่าสำคัญมากโดยสังเขปอย่างรวดเร็ว

"ถ้าท่านดูบนตาราง ท่านจะพบสิ่งที่น่าสนใจมาก นั่นคือขอให้ดูการปรากฏขึ้นของบรรดาระบอบราชาธิปไตยเอกราชซึ่งแต่ก่อนไม่ได้เป็นระบอบนั้นในจังหวะเฉพาะเจาะจงราว ค.ศ. ๑๙๖๘

“และตรงนี้ผมคิดว่าเราต้องทำความเข้าใจบางสิ่งบางอย่างซึ่งน่าสนใจมากกล่าวคือราชาธิปไตยอังกฤษไม่เหมือนราชาธิปไตยอื่น ๆ ในยุโรปหรือญี่ปุ่นเอาเลยทีเดียว อังกฤษนั้นถูกปกครองมานับพันปีโดยชาวนอร์มัน, เวลส์, สก๊อต, ดัตช์, และเยอรมัน หากมิใช่โดยชาวอังกฤษเอง และแบบแผนของการมีสถาบันกษัตริย์ต่างชาติต่างภาษาทั้งหลายแหล่มาปกครองตลอดช่วงเวลานี้หมายความว่าระบอบราชาธิปไตยของอังกฤษมีลักษณะยืดหยุ่นพลิกแพลงที่เป็นไปได้ต่าง ๆ นานามากกว่าในที่อื่น ๆ ไม่เหมือนอย่างของฝรั่งเศส, เยอรมนีและโดยเฉพาะอย่างยิ่งญี่ปุ่น มันเป็นประโยชน์มากทีเดียวที่ได้ราชวงศ์ต่างชาติมาปกครอง นั่นหมายความว่าเอาเข้าจริงคนท้องถิ่นที่เป็นขุนนางและอภิสิทธิ์ชนต่างหากที่เป็นผู้บริหารจัดการระบบ

Screen Shot 2555-05-01 at 9.35.33 PM

พระเจ้าจอร์จที่ห้าแห่งอังกฤษ พระอัยกาเจ้าของพระราชินีอลิซาเบ็ธปัจจุบัน ผู้ทรงเปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็นวินด์เซอร์

“อันที่จริงมันน่าสนใจที่ราชวงศ์อังกฤษปัจจุบันนี้ยังคงเรียกตนเองว่า “ชาวฮาโนเวอร์” อันเป็นรัฐเยอรมันเล็ก ๆ ที่ซึ่งพวกเขาจากมาเพื่อรับเชิญไปเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษใน ค.ศ. ๑๗๑๔ พวกเขาดำรงตนเป็นชาวเยอรมันอย่างอยู่ดีมีสุขสมบูรณ์สืบมาจนกระทั่งระหว่างสงครามกับเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ระหว่างสงครามนั้นเอง พระอัยกาเจ้าของพระราชินีอลิซาเบ็ธก็ตรัสด้วยความขวยพระทัยว่า...เราจะเปลี่ยนชื่อของเรา เราจะเรียกชื่อตัวเองใหม่ว่าราชวงศ์วินด์เซอร์... ซึ่งเป็นชื่อปราสาทแห่งหนึ่งนอกกรุงลอนดอน และเอาเข้าจริงสมาชิกราชวงศ์นี้รุ่นแรก ๆ พูดอังกฤษไม่ได้ด้วยซ้ำไป หากพูดแต่ภาษาเยอรมัน

“นับแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ราว ค.ศ. ๑๘๗๐ เป็นต้นมา อังกฤษเป็นมหาอำนาจจักรวรรดิเดียวที่มีผลประโยชน์ผูกพันขนานใหญ่กับระบอบราชาธิปไตยในเอเชียและแอฟริกา ตอนนั้นฝรั่งเศสกลายเป็นสาธารณรัฐเรียบร้อยแล้ว เยอรมนีไม่ได้มีจักรวรรดิโพ้นทะเลมากเท่าไรนักและเท่าที่มีก็สูญเสียไปอย่างรวดเร็วในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อเมริกาก็สาละวนอยู่ในฟิลิปปินส์และไม่มีอะไรมากกว่านี้เท่าไหร่ และรัสเซียก็อยู่ในฐานะคล้ายกัน ญี่ปุ่นเป็นจักรวรรดิใหญ่อีกเพียงประเทศเดียวที่พยายามขยายอำนาจอย่างรวดเร็ว แต่ยกเว้นกรณีแมนจูเรียแล้ว ชาวญี่ปุ่นก็หมกมุ่นอยู่แต่กับราชวงศ์อายุ ๓,๐๐๐ ปีอันน่ามหัศจรรย์ของตนเกินไปจนลงมือกวาดล้างราชาธิปไตยเกาหลีทิ้งอย่างเหี้ยมเกรียมและยึดเอาเกาหลีเป็นเมืองขึ้นโดยไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนปรนใด ๆ ให้กับราชธรรมเนียมประเพณีของประเทศเก่าแก่แต่โบราณแห่งนั้นเลย

“แต่อังกฤษนั้นแตกต่างออกไป กล่าวคืออังกฤษเห็นแต่เนิ่นทีเดียวว่ามันเป็นประโยชน์ที่จะมีระบอบราชาธิปไตยที่ยอมสวามิภักดิ์คอยปกป้องผลประโยชน์ทั่วโลกของตน สาเหตุง่าย ๆ ๒ ประการเรื่องนี้ก็คือ: -

“ประการแรกก่อนอื่นใด จักรวรรดิอังกฤษนั้นใหญ่โตมโหฬารเสียจนกระทั่งจริง ๆ แล้วตนเองก็ไม่มีประชากรมากพอจะไปปกครองหลายพื้นที่ได้โดยตรง มันต้นทุนย่อมเยาว์และเข้าทีกว่ามากที่จะปกครองผ่านราชาธิปไตยท้องถิ่นที่เชื่อฟังสั่งได้รายย่อย ๆ หรือไม่ย่อยเท่าใดนัก และปกติหรือบ่อยครั้งทีเดียวระบบดังกล่าวไม่ได้ถูกเรียกว่าอาณานิคม หากเรียกว่ารัฐในอารักขา โดยมีตัวเราเป็นผู้อารักขาท่านไว้นั่นเอง แต่ระบบรัฐในอารักขานี้เอาเข้าจริงเปิดช่องให้อังกฤษสร้างระบอบราชาธิปไตยขึ้นได้หากต้องการ และอังกฤษก็ได้ทำเช่นนั้นในอิรัก, ซาอุดีอาระเบีย, อียิปต์, จอร์แดน ฯลฯ

“ขณะเดียวกันก็ดำเนินการให้มั่นใจว่ากษัตริย์ทั้งใหม่และเก่าเหล่านี้ควบคุมประชากรท้องถิ่นได้ แต่ยอมปล่อยให้อังกฤษตัดสินใจเรื่องนโยบายเศรษฐกิจพื้นฐาน, นโยบายความมั่นคงและป้องกันประเทศพื้นฐาน, และเหนือสิ่งอื่นใดคือยอมให้อังกฤษเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งในตะวันออกกลางเห็นได้ชัดว่านี่ย่อมหมายถึงน้ำมัน

“ดังนั้นสิ่งที่ท่านเห็นในกระบวนการใช้การปกครองโดยอ้อมแทนที่จะเป็นโดยตรงซึ่งผมจะบรรยายผ่าน ๆ อย่างรวบรัดตามตารางโดยเน้นบางประเด็น ก็คือ:

“จอร์แดนซึ่งเป็นราชอาณาจักรที่อังกฤษสร้างขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๒๑ ในที่สุดก็ได้เอกราชใน ค.ศ. ๑๙๔๖
“อียิปต์ในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญจอมปลอมซึ่งอังกฤษสร้างขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๒๒ หลังจากเคยเป็นรัฐในอารักขาอยู่ระยะหนึ่ง ก็มีอันสูญสลายไปใน ค.ศ. ๑๙๕๒
“เราได้พูดถึงมาเลเซียใน ค.ศ. ๑๙๕๗, เราได้พูดถึงราชาธิปไตยที่อังกฤษสร้างขึ้นในอิรักซึ่งล้มไปใน ค.ศ. ๑๙๕๘
“จากนั้นก็มีสิ่งอื่น ๆ ที่เกิดตามมาในระยะหลังนี้ซึ่งผมจะอธิบายสาเหตุของมันให้ฟังในอึดใจข้างหน้า
“ค.ศ. ๑๙๖๑ คูเวตซึ่งเคยเป็นรัฐในอารักขามาตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๑๔ กลายเป็นแคว้นเอกราชภายใต้รัฐธรรมนูญ
“ค.ศ. ๑๙๗๐ ตองกากลายเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญภายหลังเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษมา ๙๐ ปี
“ค.ศ. ๑๙๗๑ หลังจากบาห์เรนเป็นรัฐในอารักขามาร่วมร้อยปีก็ได้เอกราช และในที่สุดก็ได้รัฐธรรมนูญมาใน ค.ศ. ๒๐๐๒
“กาตาร์พ้นสภาพรัฐในอารักขาแล้วได้เอกราชในเวลาเดียวกัน แต่ยืนกรานปฏิเสธไม่เอารัฐธรรมนูญใด ๆ
“สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้งบรูไนที่ซึ่งสุลต่านได้เอกราชจากกรุงลอนดอน, เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ, แต่แน่ล่ะว่าหาได้เป็นอิสระจากบริษัทน้ำมันเชลล์ไม่, และกระบวนการเดียวกันก็เกิดขึ้นในเลโซโทและสวาซิแลนด์ด้วย

“ฉะนั้นสิ่งที่ท่านเห็นตรงนี้จึงชวนตื่นใจยิ่งกล่าวคือการปรากฏตัวขึ้นอย่างน่าจับตาของบรรดารัฐขนาดจิ๋วซึ่งเป็นรัฐในอารักขาและปกครองโดยวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ซึ่งไม่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อันเป็นผลผลิตของนโยบายที่ยืนนานของอังกฤษในอันที่จะปกครองผ่านระบอบราชาธิปไตยซึ่งอนุรักษ์นิยมและเชื่อฟังสั่งได้ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

Screen Shot 2555-05-01 at 9.35.43 PM

นายฮาโรลด์ วิลสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษสังกัดพรรคแรงงาน ค.ศ. ๑๙๖๔-๗๐ และ ๑๙๗๔-๗๖

“และเหตุผลที่จู่ ๆ รัฐเหล่านี้ก็เริ่มได้เอกราชกันในคริสต์ทศวรรษที่ ๑๙๗๐ และ ๑๙๘๐ นั้นก็เพราะในปลายคริสต์ทศวรรษที่ ๑๙๖๐ รัฐบาลอังกฤษใต้การนำของฮาโรลด์ วิลสันตอนนั้นได้ประกาศต่อโลกว่าอังกฤษไม่มีปัญญาความสามารถที่จะธำรงรักษาแสนยานุภาพที่ตนเคยมีโดยเฉพาะในเอเชียอีกต่อไป

“เดิมทีอังกฤษมีผลประโยชน์เหนืออื่นใดในอันที่จะธำรงรักษาการควบคุมช่องทางเดินเรือทะเลทั้งหลาย อันได้แก่จากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผ่านทะเลแดง มหาสมุทรอินเดีย ช่องแคบมะละกา ต่อไปยังทะเลจีนและลงไปออสเตรเลีย สิ่งนี้สำคัญคับขันยิ่งต่อจักรวรรดิอังกฤษ และถึงค.ศ. ๑๙๖๘ อังกฤษก็ไม่มีสมรรถนะและแสนยานุภาพหรือความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจที่จะทำสิ่งนี้อีกแล้ว และท่านก็อาจกล่าวได้ว่า ณ จุดนี้เองที่อเมริกาก้าวเข้ามาแทน

“แต่บรรดารัฐเอกราช/ราชาธิปไตยใหม่ที่โผล่ขึ้นมาเหล่านั้น - ซึ่งท่านย่อมทราบว่าผู้ปกครองบางรายก็ไม่ได้เป็นกษัตริย์มาก่อนจนกระทั่งอังกฤษจัดแจงให้ได้เป็นนั้น - มันเป็นมาตรการตอบรับความล่มสลายของจักรวรรดิอังกฤษในบั้นปลายอย่างหนึ่ง ฉะนั้นถ้าท่านแปลกใจว่าไฉนจู่ ๆจึงเกิดมีระบอบราชาธิปไตยใหม่โผล่ขึ้นมาเป็นทิวแถวละก็ นี่คือสาเหตุที่มาของมัน ทว่าระบอบดังกล่าวจะอยู่ยืนนานเพียงใดในระยะของการเคลื่อนไหวลุกขึ้นสู้ของมวลชนแผ่กว้างขนานใหญ่ที่เรียกว่าฤดูใบไม้ผลิในโลกอาหรับปัจจุบัน นั่นเป็นเรื่องที่เราต้องรอดูต่อไป

“ดังนั้นประเด็นที่ผมใคร่จะเตือนให้ท่านระลึกไว้ก็มีเพียงว่าในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของราชาธิปไตยโลกนั้น ตัวการใจกลางคือสหราชอาณาจักร อันเป็นมหาอำนาจจักรวรรดินิยมเดียวที่มีผลประโยชน์ในอันที่จะสร้าง ค้ำชู ฯลฯ รัฐในอารักขาหรือราชาธิปไตยในพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของโลกแล้วรัฐเหล่านั้นก็เข้าสู่องค์การสหประชาชาติในที่สุด

“ผมหยุดแค่นี้ดีกว่า ผมไม่ได้พูดถึงประเทศไทย แต่ใคร่จะเสนอแนะว่าถ้าท่านสนใจใคร่รู้ว่าประเทศไทยสอดรับกับแบบแผนที่กล่าวมาตรงไหนละก็ ที่ ๆ ควรเริ่มดูคือลอนดอน ขอบคุณครับ”_

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กรณีไทยรัฐฟ้องหมิ่นประมาท "สนธิ" ยอมความได้แล้ว เตรียมประกาศขออภัย 3 วันติด

Posted: 02 May 2012 12:54 AM PDT

 "สนธิ ลิ้มทองกุล" ไกล่เกลี่ย-ตกลงกับ “ไทยรัฐ” ได้แล้วในคดีฟ้องหมิ่นประมาท หลังกล่าวโจมตีไทยรัฐออกเอเอสทีวีช่วงเดือน ก.ค. ปี 2550 โดยเตรียมประกาศขออภัยตีพิมพ์ลงในไทยรัฐ-เอเอสทีวีผู้จัดการเป็นเวลา 3 วัน

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ รายงานว่าเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ห้องพิจารณาคดี 909 ศาลนัดสืบพยานโจทก์หรือทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ในคดีหมายเลขดำ อ.3680/2550 ที่ บริษัท วัชรพล จำกัด โดยนายกมล ศรีวัฒนา ผู้รับมอบอำนาจที่ 1 และนายไพฑูรย์ สุนทร โดยนายกมล ศรีวัฒนา ผู้รับมอบอำนาจที่ 2 เป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ บริษัทไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด นายปัญจภัทร อังคสุวรรณ นายขุนทอง ลอเสรีวาณิช และบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

คดีดังกล่าวโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้กล่าวข้อความอันเป็นเท็จ หมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ทั้งสอง ระหว่างวันที่  13  ก.ค. 50 ถึงวันที่ 15 ก.ค. 50 โดยนายสนธิได้กล่าวในรายการด้วยว่าให้ประชาชนเลิกซื้อหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ โดยกล่าวหาว่าเป็นอัปมงคล ต่อมาจำเลยที่ 2 นำไปเผยแพร่โฆษณาในทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม จำเลยที่ 3 นำไปเผยแพร่ในเว็บไซต์ จำเลยที่ 4 นำไปเผยแพร่บทความในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ซึ่งมีจำเลยที่ 5 เป็นเจ้าของนั้น เป็นการแสดงเจตนาที่จะมุ่งร้ายใส่ความโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง เสื่อมเสียต่อเกียรติยศชื่อเสียง ฐานะทางสังคม และส่งผลกระทบต่อการประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างร้ายแรงรวม 3 ครั้ง ขอให้ศาลลงโทษตามกฎหมายและลงโฆษณาคำพิพากษา

โดยในวันนัดดังกล่าว ทั้งนายสราวุธ วัชรพล หัวหน้ากองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และนายสนธิ ลิ้มทองกุล มาพร้อมกันที่ห้องพิจารณาแล้วแถลงต่อศาลว่า โจทก์จำเลยตกลงกันได้แล้ว ต่อมาศาลจึงมีคำสั่งรายงานกระบวนพิจารณาว่า นัดสืบพยานโจทก์หรือนัดทำสัญญาประนีประนอมยอมความวันนี้ โจทก์จำเลยมาศาล นายสราวุธ วัชรพล ผู้บริหารระดับสูงของโจทก์ และจำเลยที่ 1 มาศาล แถลงร่วมกันว่าสามารถตกลงยอมความกับจำเลยทั้ง 5 ได้แล้ว โดยจำเลยจะลงโฆษณาประกาศขออภัยรายละเอียดตามประกาศที่ยื่นต่อศาลทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 3 วัน และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ 3 วัน และไม่ประสงค์ดำเนินคดีต่อไป ศาลจึงสอบจำเลยทั้ง 5 แล้วแถลงไม่คัดค้านการถอนฟ้อง ศาลเห็นว่าคู่ความสามารถตกลงกันได้แล้ว และขอถอนฟ้องแล้ว จึงอนุญาตให้ถอนฟ้อง ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความต่อไป

สำหรับข้อความประกาศขออภัยของนายสนธิ ลิ้มทองกุล มีใจความว่า ตามที่ตนได้เคยพูดออกอากาศในรายการยามเฝ้าแผ่นดินทางเอเอสทีวี และกล่าวหาว่า “หนังสือพิมพ์ไทยรัฐอยู่ในขบวนการล้มล้างระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือเปล่า” และข้อความว่า คอลัมนิสต์ไทยรัฐกินเงินเดือนพรรคไทยรักไทย กับมีข้อความกล่าวหาคุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล กล่าวหานายสราวุธ วัชรพล กับข้อความอื่นๆ บัดนี้ตนยอมรับว่าข้อความดังกล่าวคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ข้อความดังกล่าวทำให้คุณหญิงประณีตศิลป์และ นสพ.ไทยรัฐ ได้รับความเข้าใจผิดจากสังคมอย่างมาก ตนเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงขออภัยต่อคุณหญิงประณีตศิลป์ และ นสพ.ไทยรัฐ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น