โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ชาวแม่อายร้องโดน "ขึ้นบัญชีแดง" ในระบบทะเบียนราษฎร์จนต้องพิสูจน์สัญชาติใหม่

Posted: 31 May 2018 09:32 AM PDT

วิบากกรรมชาวแม่อายถูกอำเภอถอนสัญชาติยังไม่จบ แม้ชนะคดีศาลปกครองสูงสุดจนได้คืนสัญชาติเมื่อปี 2548 แต่ล่าสุดชาวบ้าน 154 รายร้องเรียนว่ายังถูกอำเภอ "ขึ้นบัญชีแดง" ออกหนังสือว่าเป็นบุคคลเฝ้าระวัง ต้องไปติดต่อขอพิสูจน์ตัวตน-จะได้ยกเลิกรายการแจ้งเตือนในสารบบ ชาวบ้านเผยลูกสาวทำงานกรุงเทพฯ ไปต่ออายุบัตรประชาชน กลับถูกสำนักงานเขตแจ้งว่าโดน "ขึ้นบัญชีแดง" ต้องเสียเวลากลับมาทำเรื่องถึงแม่อาย ด้านนักกฎหมายชี้การออกหนังสือและขึ้นบัญชีแดงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เรียกร้องกรมการปกครองยกเลิกวิธีปฏิบัติดังกล่าว

ชาวบ้าน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เดินทางมาที่ศาลปกครอง จ.เชียงใหม่ เมื่อ 8 กันยายน 2548 รอฟังคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีที่ชาวบ้าน อ.แม่อาย ฟ้องกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และนายอำเภอแม่อาย ที่จำหน่ายชื่อชาวบ้าน 1,243 คน ออกจากทะเบียนบ้าน ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุด ตัดสินว่าประกาศดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้ชาวบ้านได้สัญชาติไทยคืน แต่ล่าสุดยังมีกรณีชาวบ้านถูก "ขึ้นบัญชีแดง" ต้องเสียเวลากลับมาพิสูจน์ตัวตนที่อำเภอ ด้านกฎหมายชี้วิธีปฏิบัติของราชการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เรียกร้องกรมการปกครองเลิกวิธีดังกล่าว (ที่มา: พันทิพ/แฟ้มภาพ)

31 พ.ค. 2561 จากกรณีเมื่อปี 2545 ชาวบ้านแม่อาย โดย น.ส.ผ่องศรี อินหลู่และพวก ได้ยื่นฟ้องกรมการปกครอง จังหวัดเชียงใหม่ และนายอำเภอแม่อาย ที่ออกคำสั่งในการจำหน่ายรายการบุคคลชาวบ้านแม่อาย จำนวน 1,243 คน ออกจากรายการทะเบียนบ้านคนมีสัญชาติไทย โดยมีประกาศในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2545 ทำให้ชาวบ้านทั้งหมดกลายเป็นคนไร้สัญชาติ ต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2548 ว่าคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้ชาวบ้านแม่อายทั้ง 1,243 คนได้รับเอกสารและรายการเป็นคนมีสัญชาติไทยเช่นเดิม

ต่อมานางสุ ดวงใจ อายุ 54 ปีชาวบ้านแม่อายเปิดเผยว่า ตนและครอบครัวเป็นชาวบ้านแม่อายที่เคยถูกสำนักทะเบียนแม่อายจำหน่ายชื่อออกจากการมีสัญชาติไทย แต่ได้กลับคืนมาตั้งแต่ปี 2548 เมื่อไม่นานมานี้ลูกสาวของตนที่ไปทำงานที่กรุงเทพ ไปติดต่อขอต่อบัตรประจำตัวประชาชนซึ่งหมดอายุ ทางสำนักงานเขตแจ้งว่า โดนขึ้นบัญชีแดงในระบบฐานข้อมูล (Caution Sign) ให้ไปติดต่อกับทางสำนักทะเบียนอำเภอแม่อาย ทำให้ต้องเสียเวลาเดินทางกลับมาและหาพยานไปยืนยันตนเอง ทั้งที่เดิมสามารถต่อบัตรประจำตัวประชาชนที่ไหนก็ได้ โดยไม่ต้องมีพยาน เพราะในรายการมีรูปถ่ายยืนยันตนอยู่แล้ว

นางสุกล่าวว่า ทางอำเภอแม่อายได้มีหนังสือถึงชาวบ้านแม่อาย 154 คน ซึ่งลูกของตน 3 คนก็ได้รับหนังสือด้วย ในหนังสือบอกให้นำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ต่อเจ้าพนักงานอำเภอแม่อาย เพื่อยืนยันตัวบุคคล หากยืนยันได้จึงยกเลิกการแจ้งเตือนในโปรแกรมของกรมการปกครอง ซึ่งทำให้ตนและลูกๆ มีความกังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากตนและลูกๆ รวมไปถึงบรรพบุรุษเป็นคนไทยที่เกิดและทำมาหากินในอำเภอแม่อายตลอดมา ไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมาย แต่ต้องมาโดนขึ้นบัญชีแดง เมื่อไปติดต่อกับทางอำเภอก็ไม่สามารถใช้สิทธิอย่างคนไทยสมบูรณ์ได้

นายสุรพงษ์ กองจันทึก อดีตประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ ซึ่งให้ความช่วยเหลือชาวบ้านแม่อายในการฟ้องศาลปกครองตั้งแต่ปี 2545 กล่าวว่า ชาวบ้านแม่อายกลุ่มนี้มีทั้งสิ้น 1,243 คน ศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้คงมีสัญชาติไทย เนื่องจากคำสั่งของอำเภอแม่อายสมัยนั้นในการจำหน่ายรายการชาวบ้านออกจากรายการสัญชาติไทย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง มาตรา 30 ที่ต้องเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้ทราบข้อเท็จจริงและโต้แย้งแสดงหลักฐานก่อน ต่อมาได้มีการแก้ไขกฎหมายการทะเบียนราษฎรในปี 2551 ได้เพิ่มเติมแก้ไขอย่างชัดเจนว่า กรณีที่มีข้อมูลหลักฐานเชื่อได้ว่ารายการทะเบียนราษฎรไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือผิดจากความเป็นจริง ให้อำนาจนายทะเบียนสั่งระงับความเคลื่อนไหวทางทะเบียนไว้ก่อน เพื่อรอการชี้แจงหรือโต้แย้ง

สุรพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีนี้ทางกรมการปกครองขึ้นบัญชีแดง ชาวบ้านแม่อาย 154 คนเป็นบุคคลเฝ้าระวัง โดยยังไม่มีข้อมูลหลักฐานว่าเป็นผู้กระทำผิด เป็นการกระทำที่ไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอเรียกร้องให้กรมการปกครองยกเลิกบัญชีแดงเฝ้าระวังในระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรในทันที และให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร คือ ถ้ามีหลักฐานชัดเจนว่าชาวบ้านคนใดมีรายการโดยมิชอบหรือผิดจากความเป็นจริง ก็ให้ระงับความเคลื่อนไหวทางทะเบียน และแจ้งเหตุที่มิชอบหรือผิดจากความจริงให้ชาวบ้านมาชี้แจงหรือโต้แย้งต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: คำขอโทษพันคอ

Posted: 31 May 2018 08:32 AM PDT



นักสิทธิมนุษยชนควรปรบมือชื่นชมลุงตู่ลุงป้อม ขอโทษแทนตำรวจกองปราบฯ ที่บุกจับอดีตพระพุทธะอิสระ แบบกระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ ทั้งที่เป็นเขตวัด ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งเสียความรู้สึก

แหม่ ลูกศิษย์ชี้แจงว่า ท่านกำลังเข้าฌานระดับลึก ขนาดเกวียน 500 เล่มผ่านไปยังไม่รู้สึกตัว พอตำรวจมาเคาะประตู เลยไม่ได้ขานตอบ ตำรวจก็ไม่รอสักนิด ทุบประตู 2 ชั้น กระโชกโฮกฮากตวาดลั่น ทั้งที่ท่านเป็นพระ ทำยังกะบุกจับหัวหน้าอั้งยี่ซ่องโจร สั่งสมุนซ้อมคน พาลูกน้องไปกรรโชกทรัพย์

อันที่จริงไม่ว่าจะจับใคร ข้อหาอะไร ถ้าไม่ต่อสู้ขัดขืน ตำรวจควรพาคุณละม่อมไปด้วย แม้กรณีนี้ฟังตำรวจชี้แจงก็มีเหตุผล ที่เคยเห็นท่านมีการ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง เป็นถึงราชสีห์ ตั้งหัวกรวยศักดิ์สิทธิ์ปิดถนน ปิดศูนย์ราชการ ภาพอดีตยังฝังจำ จึงต้องใช้กำลังจู่โจม

แต่เมื่อคลิปเผยแพร่ออกไป ทำให้สื่อ นักการเมือง และประชาชน ที่เคยร่วมอุดมการณ์ปิดถนน ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ขัดขวางเลือกตั้ง บีบคอคนไปเลือกตั้ง ไชโยโห่ร้องที่มือปืนป๊อปคอร์นยิงคนแก่ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามฯลฯ โวยวายว่าตำรวจ "ละเมิดสิทธิมนุษยชน"

ก็น่าชื่นชมที่ 2 ผู้นำออกมาขอโทษ เป็นเรื่องดีงามใน สามโลก ไม่เคยพบเคยเห็น ผู้นำรัฐบาลทหารขอโทษแทนตำรวจละเมิดสิทธิมนุษยชน

แต่ก็น่าสงสาร ขอโทษแล้วกลับขว้างไม่พ้นคอ สังคมตั้งคำถาม สี่ปีที่ผ่านมา มีคนโดนละเมิดสิทธิมนุษยชนมากมาย ทำไมไม่ยักมีใครขอโทษ ว่ากล่าวตักเตือนเจ้าหน้าที่ บางคนโดนแบบเดียวกันนี้ อย่าง บ.ก.ลายจุด บางคนโดนหนักกว่านี้ อย่างทีมทำเพจเรารักพลเอกประยุทธ์ ทหารบุกบ้านทั้งที่ไม่มีหมายค้นหมายจับ เอาตัวไปกักในค่าย 7 วัน เมื่อ 3 ปีก่อน รังสิมันต์ โรม ก็โวยว่าถูกซ้อม ผู้ต้องหาที่ถูกโยงคดีระเบิดหน้าศาลอาญาก็โวยว่าถูกไฟฟ้าจี้ ฯลฯ

เอกชัย หงส์กังวาน, โชคชัย ไพบูลย์รัชตะ แค่จะไปสีซอหน้าบ้านวันเกิดลุงป้อม ก็ถูกตำรวจอุ้มขึ้นรถ ใช้เข่ากด เอาผ้าคลุมหน้า ทั้งที่ไม่มีหมายจับ แทนที่จะขอโทษ ท่านกลับว่ารบกวนคนอื่น

หรือกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ขอเดินโดยสงบไปอ่านคำแถลง 4 ปี คสช. กลับเอาตำรวจ 3 พันนายมาสกัด จับกุม ตั้งข้อหารุนแรงเกินกว่าเหตุ แล้วยังไปว่าเขาก่อมลพิษ

สังคมก็เลยตั้งคำถาม เพราะพวกที่โวยเป็นกองหนุนสุดจิตสุดใจใช่หรือไม่ เพราะ กปปส. พุทธะอิสระ ชัตดาวน์ขัดขวางเลือกตั้งจนเกิดรัฐประหารใช่หรือไม่ เพราะหลายคนก็พร่ำพรรณนา ไม่มีคุณงามความดีของราชสีห์แจ้งวัฒนะ ก็ไม่มี วันนี้ (4 ปีแล้วนะ)

แถมยังมีคนขุดภาพพิธีปลุกเสก เจิมหน้า มาแชร์ว่อนเน็ต ทำ 3 ป.ร้อนตัวชี้แจงพัลวัน ไม่เคยซี้กัน เห็นแก่ผ้าเหลือง เชิญมาก็ไป เป็นแค่พิธีปลุกเสกพระ ซึ่งพุทธะอิสระคิดว่าเชิญ 4 ผบ.ทบ. แล้วจะ "ขลัง"

คำขอโทษนอกจากถูกตั้งข้อกังขา ยังมีผลให้มิตรร่วมนกหวีดของ ข.ช.สุวิทย์ฮึกเหิม ได้ใจ รุกไล่ เช่นคุณหมอเหรียญทองผู้ประกาศว่าควายไม่มารักษาก็รวยได้ จี้ให้ใช้ ม.44 ปลด ผบ.ตร. ขณะที่หลายคนก็ให้เอาผิดตำรวจ

คำถามคือกระแสสังคมคิดอย่างไร กับพุทธ(ไม่)อิสระ เข้าใจตรงกันนะ สังคมไทยไม่ได้ตระหนักเรื่องสิทธิมนุษยชนซักเท่าไหร่ เพราะถูกทำลายไปเยอะแล้ว (ใครทำลายล่ะ ทักษิณมั้ง)

ขณะที่เรื่องทำกับพระ เขตวัด เหย! ก็เพิ่งใช้ ม.44 กับธรรมกาย เมื่อมีสาวกฆ่าตัวตาย ไม่รู้ฝ่ายไหนกดไลก์เย้ยหยันกันสนั่น

พุทธะอิสระยังเป็นพระไหม ว่าตามหลักการ ศาลยกฟ้องก็กลับมาบวชได้ แต่เอาไปเทียบพระพิมลธรรมยุคสฤษดิ์ ไม่อายเลยหรือไง ความรู้สึกคนไทย พระต้องอยู่วัดปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ตั้งหัวกรวยปิดถนนปิดศูนย์ราชการ คนผ่านไปมาทั้งชาวบ้าน ทหาร ตำรวจ โดนซ้อมปางตาย

ฉะนั้นเข้าใจตรงกันนะ ในอารมณ์สังคมทั่วไป ที่ไม่ใช่พวกชัตดาวน์ เมื่อเห็นพุทธะอิสระโดนเสียบ้าง ก็รู้สึกว่า "สมควร" แม้อาจเห็นว่าตำรวจกระโชกโฮกฮาก ก็ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่พอเห็นผู้นำขอโทษ เห็นสาวกได้ใจ จะรู้สึกอย่างไร (นี่ยังไม่พูดถึงข้อหาปลอมแปลงพระปรมาภิไธย)

อย่าลืมสิ อาการรัฐบาลวันนี้อยู่ในขั้นไหน เพจเชียร์ท่านผู้นำแท้ๆ ขอล้านไลก์ให้อยู่ต่อ โหวต 5 แสนยังมีคนไม่เห็นด้วย 90% ไม่เห็นพวกกองหนุนเข้าไปช่วยโหวตกันมั่งเลย

 

 

ที่มา: www.khaosod.co.th/politics/news_1153291

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลอุทธรณ์ตัดสิน ‘อภิชาติ’ ชุมนุมต้านรัฐประหารมีความผิด อ้าง ICCPR ไม่ได้

Posted: 31 May 2018 05:39 AM PDT


แฟ้มภาพ

"ไม่ยอมรับอำนาจเถื่อน"

คือข้อความที่อภิชาติ พงษ์สวัสดิ์ นักกฎหมายที่ทำงานอยู่กับคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ปริ๊นท์ใส่กระดาษ A4 จากที่ทำงานเอาใส่กระเป๋ามาร่วมประท้วงกับประชาชนคนอื่นๆ ที่นัดหมายกันกว้างๆ ทางโซเชียลมีเดียว่าจะมาต่อต้าน คสช. 1 วันหลังคสช.ยึดอำนาจ (23 พ.ค.2557)

บรรยากาศที่เกิดขึ้นเองจากมวลชนไร้การจัดตั้ง การจับกุมที่ชุลมุนวุ่นวาย สามารถดูได้ในคลิปวิดีโอนี้

ในวันนั้นเจ้าหน้าที่จับกุมคนประท้วงไป 5 คนเพื่อคุมตัวในค่ายทหารแห่งไหนไม่มีใครทราบแน่ชัด ในจำนวนนั้นมีอภิชาติ และธนาพล อิ๋วสกุล บก.วารสารฟ้าเดียวกัน ธนาพลได้เล่าถึงช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันกับอภิชาติ อ่านที่นี่

เขาถูกคุมตัวอยู่ในค่ายทหาร 7 วันก่อนส่งตัวให้ตำรวจและถูกตั้งข้อกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่งคสช.ในการชุมนุมเกิน 5 คน ประชาชนหลายคนที่ออกมาต่อต้านรัฐประหารในช่วงนั้นถูกจับกุมและตั้งข้อกล่าวหาเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่นั้นรับสารภาพและศาลมักลงโทษจำคุก 6 เดือนและโทษนั้นให้รอการลงโทษ (รอลงอาญา) แต่อภิชาติกลับต่อสู้คดี

เขาเคยเขียนความในใจไว้เมื่อราวสองปีก่อนว่า "ผมไม่ได้หวังว่าศาลไทยจะพิพากษาคดีให้ผมชนะได้อย่างง่าย เพราะข้อต่อสู้ของผมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่แค่เรื่องผมกับ คสช. แต่เป็นเรื่องหลักการแนวคิดประชาธิปไตย เป็นข้อต่อสู้เพื่อล้มล้างอำนาจเผด็จการและทำลายหลักการกฎหมายจากปลายกระบอกปืนทั้งหมด ผมตั้งใจที่จะให้ข้อต่อสู้ในคดีนี้สร้างบรรทัดฐานต่อสังคมทั้งในปัจจุบันและอนาคต"

คดีของเขานั้นต่อสู้กันยาวนานถึง 2 ปี และมีความซับซ้อน คือ ศาลชั้นต้นเคยพิพากษายกฟ้องเมื่อ 11 ก.พ.2559 โดยให้เหตุผลว่ากระบวนการสอบสวนไม่ถูกต้องเนื่องจากเหตุเกิดในท้องที่ สน.ปทุมวัน แต่ตำรวจกองปราบเป็นผู้สอบสวนและโจทก์ไม่ได้นำสืบให้ศาลเห็นถึงเขตอำนาจสอบสวน ต่อมาอัยการอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อ 11 ต.ค.2559 ว่า พนักงานสอบสวนของกองบังคับการปราบปรามมีอำนาจสอบสวน การสอบสวนนั้นชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้ใหม่ จนวันที่ 19 ธ.ค.2559 ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีอีกครั้ง ให้ลงโทษจำคุก 2 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี และปรับเป็นเงิน 6,000 บาท (อ่านรายละเอียดคำพิพากษา)

ยาวนานมาถึงวันนี้ 31 พ.ค.2561 หรือประมาณ 4 ปีหลังเกิดเหตุ ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานชุมนุมทางการเมือง ขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 (ก่อนหน้านี้คือประกาศ คสช.ที่ 7/2557)

แต่ให้ลงโทษเฉพาะโทษปรับ 6,000 บาท โดยไม่ลงโทษจำคุก เพราะเป็นการชุมนุมโดยสงบ  

ผู้สังเกตการณ์คดีระบุว่า การอ่านคำพิพากษาเป็นไปโดยเข้มงวด ศาลไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปเข้าฟังคำพิพากษา รวมทั้งยึดโทรศัพท์มือถือของผู้สังเกตการณ์ไว้ระหว่างฟังคำพิพากษาโดยอ้างว่าเป็นนโยบายใหม่ของศาลแขวงปทุมวันตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ผ่านมา

เหตุผลสำคัญที่น่าสนใจยิ่งของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตามที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานไว้ก็คือ

"จำเลยอุทธรณ์ในประเด็นที่ว่า ประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557 ไม่มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย เนื่องจาก คสช. ได้อำนาจการปกครองมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นนี้ศาลอุทธรณ์โดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้การกระทำของ คสช. ในเบื้องต้นจะมีลักษณะเป็นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่บังคับใช้อยู่ในขณะนั้น แต่เมื่อ คสช. เข้าควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศ ไม่มีการต่อต้านขัดขืนจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ตลอดจนหน่วยงานหรือองค์การใดๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน แม้แต่คณะรัฐบาลรักษาการก็ไม่อาจโต้แย้งขัดขวางการยึดอำนาจและบริหารราชการของ คสช. ถือเป็นการใช้กำลังยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตามนัยของระบอบแห่งการรัฐประหารได้เป็นผลสำเร็จแล้ว"

ส่วนประเด็นที่จำเลยเห็นว่า พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ไม่ได้ห้ามมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นภายหลังและเป็นคุณแก่จำเลย ศาลเห็นว่า พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ไม่ได้บัญญัติว่า การมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ไม่เป็นความผิดตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557 อีกต่อไป อุทธรณ์ในประเด็นนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

นอกจากนี้ จำเลยยังอุทธรณ์ว่าการชุมนุมดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 69 และ 70 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตาม แต่รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ได้บัญญัติให้ประกาศและคำสั่ง คสช. ชอบด้วยกฎหมาย ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และเป็นที่สุด ซึ่งยังถูกรับรองต่อมาในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 อีกด้วย ส่วนสิทธิในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญไม่มีผลบังคับเป็นกฎหมายนับตั้งแต่ คสช. ออกประกาศให้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 สิ้นสุดลง ขณะที่เสรีภาพในการชุมนุมตาม ICCPR นั้น ศาลเห็นว่าสถานการณ์ของประเทศไทยก่อน คสช. ทำรัฐประหารอยู่ในสภาพที่มีความไม่สงบเรียบร้อย จึงเข้าเงื่อนไขข้อยกเว้น

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานชุมนุมทางการเมือง ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557 แต่มีคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ออกมาภายหลังเป็นคุณแก่จำเลย ทั้งนี้ จำเลยเข้าร่วมชุมนุมโดยสงบ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษที่หนักเกินไป จึงพิพากษาแก้ไม่ลงโทษจำคุก และยกฟ้องข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 นอกนั้นให้เป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา คือปรับ 6,000 บาท

อ่านคำพิพากษาฉบับเต็มที่นี่

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กกต.ชงศาลรัฐธรรมนูญชี้ 'ดอน'ขาดคุณสมบัติ นั่ง รมว.ต่างประเทศหรือไม่

Posted: 31 May 2018 05:15 AM PDT

มติเสียงข้างมาก กกต. 3:2 ฟัน ดอน ปรมัตถ์วินัย ขาดคุณสมบัตินั่ง รมว.ต่างประเทศ เหตุภรรยาถือหุ้นเกินไม่แจ้ง ป.ป.ช. รอศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตา ขณะที่อีก 3 รัฐมนตรี คสช.กับอีก 90 สมาชิก สนช. จ่อคิวขึ้นเขียง จากผลงานการร้องเรียนของเกรียงไกร พรรคเพื่อไทย

31 พฤษภาคม 2561 ข่าวสด รายงานว่าในการประชุมกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุม กกต.ได้มีมติเสียงข้างมากเห็นว่า การถือครองหุ้นของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ เข้าลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 264 ประกอบมาตรา 187 ที่บัญญัติไม่ให้รัฐมนตรีถือครองหุ้นใน หจก.หรือบริษัท หรือในกรณีประสงค์จะได้รับประโยชน์จากหุ้นที่ถือครองให้แจ้งประธาน ป.ป.ช.ทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งและให้โอนหุ้น และได้มอบหมายให้สำนักกฎหมายของทาง กกต. ดำเนินการยกร่างคำร้องเพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป 

มติข้างต้นอาจเป็นเหตุ ดอน ให้ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 

กรณีดังกล่าวเกิดจากการที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องขอให้ กกต.ตรวจสอบการถือครองหุ้นสัมปทานของ 9 รัฐมนตรีในรัฐบาล คสช.ที่ประกอบไปด้วย นายอดิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง, นายพิเชฐ ดุรงคเวโรรจน์ รมว.ดิจิทัล,นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม,นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงส์ รมว.พานิชย์,นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี,นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาในขณะนั้น,ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการในขณะนั้น,พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงานในขณะนั้น และนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ว่า หลังรัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้เมื่อ 6 เมษายน 2560 ว่าการถือครองหุ้นของรัฐมนตรีทั้ง 9 คนเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดหรือไม่ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 

จากนั้น กกต.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นตรวจสอบ และรายงานว่าคณะอนุกรรมการได้เสนอรายงานผลการตรวจสอบต่อ กกต.ว่า การถือครองหุ้นของรัฐมนตรี 8 คนนั้นไม่มีปัญหาเห็นควรที่ กกต.จะยุติเรื่อง ที่ประชุม กกต.จึงได้มีมติตามที่อนุกรรมการตรวจสอบเสนอให้ยุติเรื่องในส่วนของ 8 รมต. 

ในส่วนข้อร้องเรียนของนายดอนที่อาจมีปัญหาขัดรัฐธรรมนูญเนื่องจากคู่สมรสถือครองหุ้นในธุรกิจอยู่เกินกว่าร้อยละ 5 และไม่มีการแจ้งต่อ ป.ป.ช.ภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด ที่ประชุมมีความเห็นแบ่งเป็น 2 ฝ่าย และโดยมีผลการลงมติออกมาเท่ากัน 2 ต่อ 2 ทำให้นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. ต้องออกเสียงชี้ขาดอีก 1 เสียง จึงกลายเป็นมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 ว่าการถือครองหุ้นของนายดอนเข้าข่ายทำให้ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และให้เสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

นอกจากนี้ กกต.ยังเหลือคำร้องของนายเรืองไกรกรณีการถือครองหุ้นของ 3 รัฐมนตรีในคณรัฐมนตรีของ คสช.อันประกอบด้วย นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ และการถือครองหุ้นของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อีก 90 คน ที่ยังดำเนินการตรวจสอบไม่แล้วเสร็จ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กานดา นาคน้อย: มืออาชีพ

Posted: 31 May 2018 04:20 AM PDT



ฉันติดตามบทบาทของแพทย์ไทยบางกลุ่มในฐานะ"ผู้นำสังคม"ท่ามกลางวิกฤตการเมืองไทยในทศวรรษที่ผ่านมาอย่างสนใจ พบว่าใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้ทำให้พวกเขาฉุกคิดว่าเขาต้องศึกษาด้านสังคมก่อนเสนอนโยบายทางสังคมที่ไม่ใช่นโยบายสาธารณสุข ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้นคือบางคนเคยศึกษาที่สหรัฐอเมริกา แต่สมาคมแพทย์ศาสตร์อเมริกันจำกัดข้อเสนอแนะด้านนโยบายไว้เพียงแค่นโยบายสาธารณสุขเท่านั้น  

อะไรทำให้แพทย์กลุ่มนี้เชื่อมั่นว่าตนรอบรู้ในศาสตร์ที่ตนไม่ได้รับการฝึกฝนมา? อะไรทำให้คนในสังคมเชื่อพวกเขา? 


นักวางนโยบายไซด์ไลน์

เมื่อลองค้นคว้าประวัติการสอนแพทย์ในไทยพบว่าโรงเรียนแพทย์ถือกำเนิดก่อนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย โรงเรียนแพทย์แห่งแรกของไทยก่อตั้งในยุครัชกาลที่ 5 ในขณะที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก่อตั้งในยุครัชกาลที่ 6  

ดังนั้นฉันจึงเดาว่าความเก่าแก่ของโรงเรียนแพทย์อาจทำให้แพทย์กลุ่มนี้เชื่อมั่นว่าใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมช่วยรับรองความรู้ในศาสตร์อื่นๆครอบจักรวาล และอาจทำให้คนในสังคมพลอยเชื่อพวกเขาไปด้วยทั้งๆที่จริงแล้วไม่มีอะไรรับรองว่าพวกเขารอบรู้ในศาสตร์อื่นมากกว่าคนอาชีพอื่น เรียกง่ายๆว่าที่จริงแล้วพวกเขาเป็น"นักวางนโยบายไซด์ไลน์"

ฉันไม่ได้หมายความว่านโยบายที่พวกเขานำเสนอเป็นนโยบายที่ผิดพลาดแน่นอน 100% แต่ฉันหมายความว่าพวกเขาไม่ใช่"มืออาชีพ" 


ทำอย่างไรจะได้เป็นมืออาชีพ?

ก็ทำอย่างที่พวกเขาทำก่อนประกอบอาชีพ อยากแนะนำนโยบายด้านไหนก็เข้าศึกษาร่วมกับนักศึกษาในวิชาชีพนั้นๆ ไม่มีกฎหมายห้ามคนจบแพทย์ศาสตร์ไม่ให้เรียนสาขาอื่น  

ยกตัวอย่าง วิชาชีพเศรษฐศาสคร์เปิดกว้างให้คนจบปริญญาตรีหรือโทสาขาอะไรก็ได้สมัครเรียนเศรษฐศาสตร์ ที่สหรัฐฯ คนจบแพทย์ศาสตร์ที่หันมาเรียนเศรษฐศาสตร์ในระดับปริญญาเอกก็มี เรียนจบแล้วเป็นอาจารย์คณะแพทย์ศาสตร์ก็ได้ เป็นอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ก็ได้ ไม่เป็นอาจารย์ก็ได้ 

ฉันไม่ได้หมายความว่าแพทย์ต้องเรียนเศรษฐศาสตร์ก่อนนำเสนอนโยบาย แต่ฉันหมายความว่าแพทย์ต้องเรียนศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานของนโยบายที่อยากนำเสนอ ถ้าอยากนำเสนอนโยบายด้านนิติศาสตร์ก็ต้องเรียนนิติศาสตร์ ถ้าอยากนำเสนอนโยบายด้านรัฐศาสตร์ก็ต้องเรียนรัฐศาสตร์  

ประเด็นคือว่าความเชี่ยวชาญหรือความเป็นมืออาชีพไม่ใช่ของฟรีและมีต้นทุน ถ้าอยากลงทุนศึกษาด้านแพทย์ศาสตร์เท่านั้นก็ต้องจำกัดการเสนอนโยบายไว้ที่นโยบายสาธารณสุข  

นโยบายระดับชาติต้องการมืออาชีพไม่ใช่มือสมัครเล่น
 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยอมถอย คลังระงับระเบียบจ้างลูกจ้างนอกงบฯ-แพทย์ชนบทยกเลิกนัดประท้วง

Posted: 31 May 2018 04:12 AM PDT

หลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก รมว.สาธารณสุข ปิดห้องถกกับ รมว.คลัง ชะลอการบังคับใช้ระเบียบการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้เงินนอกงบไปก่อน พร้อมเชิญหน่วยงานทุกกระทรวงทำประชาพิจารณ์เพื่อรู้แผนอัตรากำลังที่ตรวจสอบได้ ด้านชมรมแพทย์ชนบทออกแถลงการณ์จับตา 1 เดือนไม่ทำจะมาประท้วงใหม่

ที่มา: เพจแพทย์ชนบท

31 พ.ค.2561 ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังร่วมหารือกับรมว.การคลัง เรื่องระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้เงินนอกงบประมาณ 2561 ว่า ระเบียบดังกล่าวทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนของหลายๆ ฝ่าย ดังนั้น รมว.การคลัง จึงขอระงับการใช้ระเบียบดังกล่าวไปก่อน โดยในช่วงบ่ายของวันที่ 31 พ.ค.นี้ ก็จะมีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง ทุกหน่วยงานทุกกระทรวง เข้ามาเพื่อทำประชาพิจารณ์ก่อนจะทำการปรับเปลี่ยนระเบียบดังกล่าวเพื่อให้เกิดความเข้าใจในระเบียบมากขึ้น ส่วนในแต่ละกระทรวงจะมีข้อตกลงอย่างไรกับกระทรวงการคลังก็สามารถทำได้ตามความต้องการ

"สิ่งสำคัญคือต้องรู้และมีแผนเรื่องของอัตรากำลังที่ชัดเจน ทำให้เกิดการมีวินัย มีการวางแผนที่ชัดเจนเพื่อให้เกิดความคล่องตัว อย่างไรก็ตามการสั่งระงับระเบียบดังกล่าวนั้นก็ไม่ได้มีผลกระทบกับการจ้างงานของ สธ. เพราะยังใช้ระเบียบเดิมอยู่ ทุกอย่างสมารถทำได้เหมือนเดิม"รมว.สาธารณสุข

เมื่อถามถึงกรณีระเบียบเงินบำรุงของ สธ.จะต้องมีการปรับแก้ด้วยหรือไม่ ศ.นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ต้องมีการหารือร่วมกันว่า สิ่งใดที่ทำให้เกิดความคล่องตัว และสามารถตรวจสอบได้ก็ปรับ ซึ่งเราต้องดูในรายละเอียด และอาจมีการปรับระเบียบเงินบำรุงได้ตามสิ่งที่ควรจะเป็นตามหลักการ

ด้านชมรมแพทย์ชนบท ออกแถลงการณ์ระบุว่าชมรมแพทย์ชนบทได้เข้าร่วมประชุมกับรมต.กระทรวงการคลัง และรมต.สธ. และคณะทั้ง 2 กระทรวง ผลการเจรจาได้ข้อสรุปดังนี้ 1.กระทรวงการคลังจะสั่งชะลอระเบียบการจ้างฯปี2561 ภายในวันนี้ไปก่อน จากนั้นบ่ายวันนี้จะเชิญทุกส่วนมาปรับปรุงระเบียบ จนกว่าจะได้ข้อยุติ 2.ส่วนระเบียบเงินบำรุง ในข้อ 10 เรื่องการจ้างและการจ่ายค่าตอบแทน ในส่วนที่กระทรวงการคลังเพิ่มขึ้นมาที่ต้องขอทำการตกลงกับกระทรวงการคลังก่อนและเงินบริจาคที่มีวัตถุประสงค์ ที่ควรตัดออกจากระเบียบเงินบำรุงปี 2561 นั้นกระทรวงการคลังให้กระทรวงสาธารณสุขเสนอแก้ไขมาด่วน ดังนั้นจึงถือได้ว่ากระทรวงการคลังและกระทรวงสาธารณสุข ได้แก้ปัญหาตามข้อเรียกร้องของพวกเราในระดับหนึ่งแล้ว ในส่วนของระเบียบเงินบำรุงปี 2561 ชมรมแพทย์ชนบทยังคงเห็นว่าเรื่องนี้ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จอย่างช้าไม่เกิน 1 เดือน และจะติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

"พี่น้องที่ยังไม่เดินทางเข้ามากระทรวงการคลังหากชะลอได้ทันก็ขอให้ชะลอไว้ก่อน หากทั้ง 2 กระทรวงไม่ดำเนินการตามที่ตกลงไว้ ภายใน 1 เดือน ค่อยมาทวงถามคำมั่นสัญญาที่ทำเนียบรัฐบาลแทน" เพจชมรมแพทย์ชนบทระบุ
 

 

ที่มาบางส่วน:ไทยรัฐออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง ‘อานดี้ ฮอลล์’ เปิดข้อมูลละเมิดสิทธิแรงงานเป็นประโยชน์สาธารณะ

Posted: 31 May 2018 03:17 AM PDT

เป็นบรรทัดฐานสำคัญอีกคดีที่นานาชาติจับตา เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำตัดสินของศาลชั้นต้น ยกฟ้องนักวิจัยชาวอังกฤษที่เปิดข้อมูลบริษัทสับปะรดกระป๋องไทยละเมิดสิทธิแรงงาน ศาลชี้ติชมด้วยความเป็นธรรม เป็นประโยชน์สาธารณะเข้าข้อยกเว้นกฎหมาย ด้าน iLaw เข้าฟังคำพิพากษา สรุปละเอียดยิบน่าสนใจยิ่ง


ภาพจากเฟสบุ๊ค Andy Hall

31 พ.ค. 2561 เพจ iLaw ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีที่อานดี้ ฮอลล์ (Andy Hall) นักวิจัยชาวอังกฤษที่ถูกบริษัทเนเชอรัลฟรุต จำกัด ผู้ผลิตสับปะรดกระป๋องฟ้องในความผิดฐานหมิ่นประมาทและความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากกรณีจัดแถลงข่าวและเผยแพร่รายงาน "Cheap Has a High Price" กล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิแรงงานข้ามชาติชาวพม่าในบริษัทโจทก์ ก่อนหน้านี้ในวันที่ 24 เมษายน 2561 ศาลอุทธรณ์เคยนัดอานดี้ฟังคำพิพากษามาครั้งหนึ่งแล้วแต่อานดี้ไม่มาศาลเนื่องจากอยู่ต่างประเทศ (อ่านสาเหตุที่จำเลยไม่อยู่ไทย)  ศาลจึงสั่งให้ออกหมายจับและนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้งในวันนี้ แต่เนื่องจากจำเลยยังคงไม่มาศาล ศาลจึงอ่านคำพิพากษาลับหลัง โดยในวันนี้มีผู้สังเกตการณ์จากสถานทูตอังกฤษ ฟินแลนด์ และสถานทูตอียูมาด้วย

ศาลอุทธรณ์พิพากษา ยกฟ้องจำเลย โดยสรุปใจความได้ว่า ข้อความที่โจทก์นำมาฟ้องว่าจำเลยเผยแพร่นั้น เป็นการกล่าวหาโจทก์ทำนองว่าละเมิดสิทธิแรงงาน ค้ามนุษย์ จ้างแรงงานเด็ก ยึดหนังสือเดินทางลูกจ้าง ไม่ทำประกันสังคมให้ลูกจ้าง ไม่จ่ายค่าจ้างให้ถูกต้อง เป็นการทำผิดต่อกฎหมายแรงงาน เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ ซึ่งข้อความเหล่านี้ล้วนเป็นข้อเท็จจริง แม้โจทก์จะมีพยานที่เป็นพนักงานบัญชีของบริษัทมาเบิกความว่า ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง แต่เมื่อพิจารณาแล้วโจทก์เป็นผู้ประกอบการธุรกิจย่อมต้องมีเอกาสารรายละเอียดเกี่ยวกับลูกจ้างแต่ละคนของโจทก์ แต่ฝ่ายโจทก์กลับไม่ได้นำสำเนาเอกสารมาส่งศาลประกอบการเบิกความ จึงถือว่าเป็นการเบิกความลอยๆ

ศาลวินิจฉัยต่อว่า ฝ่ายโจทก์ยังมีพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มาเบิกว่าความ เคยตรวจสอบโรงงานของบริษัทโจทก์ 4 ครั้ง เคยสัมภาษณ์แรงงาน 3 คนและแรงงานไม่ได้กล่าวหาว่าโจทก์ทำผิดกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ประกันสังคมมาเบิกความว่า บริษัทโจทก์ไม่เคยถูกลูกจ้างร้องเรียนเรื่องสิทธิประกันสังคม ด้านฝ่ายจำเลยได้สัมภาษณ์แรงงานของบริษัทโจทก์ โดยให้คนพาออกมาสัมภาษณ์ที่หัวหินและให้ค่าเดินทาง 300 บาทต่อคน เห็นว่าข้อเท็จจริงที่พยานโจทก์ได้จากการไปตรวจสอบ เป็นลักษณะการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่การสืบหาข้อเท็จจริง บริษัทโจทก์ย่อมต้องส่งเอกสารที่ไม่ผิดกฎหมายให้ตรวจสอบอยู่แล้ว จึงยากที่จะเข้าถึงข้อมูลเรื่องการปฏิบัติต่อแรงงานตามความเป็นจริงได้

เมื่อข้อเท็จจริงที่ทั้งสองฝ่ายโต้แย้งกัน ศาลอุทธรณ์รับฟังแล้วเชื่อว่า ฝ่ายโจทก์จ่ายเงินสมทบประกันสังคมให้กับลูกจ้างไม่ครบทุกคน มีการจ้างแรงงานที่ไม่มีหนังสือเดินทางซึ่งเป็นการจ้างที่ผิดกฎหมาย โจทก์ยึดหนังสือเดินทางของลูกจ้าง หลังจากจำเลยได้สัมภาษณ์ลูกจ้างแล้วจึงคืนให้ภายหลัง ในวันที่ไม่มีงานทำโจทก์จ่ายค่าจ้างให้แรงงานตามเวลาเท่าที่ทำงานจริง ลูกจ้างบางส่วนทำงานล่วงเวลาเกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ซึ่งผิดต่อกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ไม่ปรากฎว่า โจทก์มีบันทึกความยินยอมของลูกจ้างที่ให้หักค่าถุงมือ ปลอกแขน เสื้อผ้า หมวก ฯลฯ ที่ใช้ในการทำงาน โจทก์มีห้องน้ำให้ไม่เพียงพอแก่ลูกจ้าง และมีการหักค่าเข้าห้องน้ำหากนานเกิน 10 นาที ส่วนการที่โจทก์ไม่เคยถูกร้องเรียนก็ไม่ได้หมายความว่า โจทก์ปฏิบัติถูกต้อง พยานของฝ่ายโจทก์ที่มาเบิกความเป็นลูกจ้างของโจทก์ที่โจทก์อาจให้คุณให้โทษได้ จึงต้องเบิกความอย่างระมัดระวัง ไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟัง

ศาลอุทธรณ์เชื่อว่า จำเลยได้สัมภาษณ์แรงงานในบริษัทโจทก์จริง โดยมีคนพามาให้ แม้ฝ่ายจำเลยจะไม่สามารถนำคนที่ให้สัมภาษณ์มาเบิกความต่อศาลได้เพราะเดินทางกลับประเทศไปแล้ว แต่ก็มีอดีตลูกจ้างในบริษัทโจทก์อีก 3 คนที่มีเอกสาiรับรองการเป็นลูกจ้างจริง ไม่มีส่วนได้เสียและมาเบิกความต่อศาลได้ โดยให้ข้อเท็จจริงไปทำนองเดียวกันว่า โจทก์กระทำผิดกฎหมายแรงงาน ยากที่จะแต่งเรื่องขึ้นเองซึ่งสอดคล้องกันและเจือสมกัน

หลังจากจำเลยทำรายงานเสนอให้องค์กร Finnwatch โรงงานแห่งอื่นที่จำเลยศึกษาข้อมูลได้เชิญจำเลยและองค์กร Finnwatch ไปเยี่ยมชมโรงงานและพูดคุย แต่จำเลยพยายามติดต่อกับบริษัทโจทก์แล้ว ไม่ได้รับการตอบกลับเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง เจ้าหน้าที่ของ Finnwatch จึงส่งรายงานไปยังหน่วยงานต่างๆ และนำขึ้นเว็บไซต์ ต่อมาก็จัดแถลงข่าวโดยจำเลยร่วมแถลงด้วย พยานโจทก์รับว่าได้ใช้อีเมล์ที่จำเลยส่งหาจริง เนื่องจากจำเลยก็เคยติดต่อและเยี่ยมชมโรงงานอื่น จึงเชื่อว่า จำเลยได้พยายามติดต่อโจทก์แล้วจริง และตั้งใจที่จะรับฟังข้อเท็จจริงให้รอบด้านในการทำวิจัยแล้วจริง

องค์กร Finnwatch ถือเป็นตัวแทนของผู้บริโภคในการตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อได้รับข้อเท็จจริงจากจำเลยก็ได้พยายามติดต่อกับโจทก์แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ จึงนำข้อมูลออกเผยแพร่จึงเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เป็นการกระทำที่ผู้เกี่ยวข้องมีสิทธิเผยแพร่ข้อมูลได้เพื่อปกป้องส่วนได้เสียของตนเพื่อความชอบธรรม เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 329 (1) (3) ของประมวลกฎหมายอาญา ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท คำอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกับองค์กร Finnwatch ร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลหรือไม่

สำหรับข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ปรากฏตามที่จำเลยอุทธรณ์มาว่า ระหว่างการอุทธรณ์คดีนี้ กฎหมายได้ถูกแก้ไขเมื่อปี 2560 การที่จำเลยจะมีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ได้ ต้องมีเจตนาพิเศษโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง และความผิดฐานนี้ไม่รวมกับความผิดฐานหมิ่นประมาทตามกฎหมายอาญา ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์อ้างเพียงว่า จำเลยเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ และหมิ่นประมาทโจทก์ จึงเป็นกรณีที่กฎหมายที่ออกมาภายหลังกำหนดให้การกระทำไม่เป็นความผิด ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องจำเลย

อนึ่งที่มาที่ไปของคดีนี้คือ Finnwatch เผยแพร่รายงานในปี 2556 และบริษัทโจทก์ยื่นฟ้อง คดีใช้เวลาในกระบวนการต่างๆ ค่อนข้างนาน ศาลประทับรับฟัองในปี 2558 และทั้งสองฝ่ายนำพยานเข้าสืบต่อสู้กัน โดยก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายน 2559 ศาลอาญากรุงเทพใต้เคยมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิด สั่งจำคุกสี่ปี ปรับ 200,000 บาท อานดี้ให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาจึงลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุกสามปีและปรับเป็นเงิน 150,000 บาท อย่างไรก็ดี เนื่องจากอานดี้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน เคยทำประโยชน์ต่อสังคม และไม่ปรากฏว่าเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกสามปีจึงให้รอลงอาญาไว้มีกำหนดสองปี รวมทั้งให้ลงโฆษณาคำพิพากษาบนสื่อตามกำหนด ต่อมาอานดี้อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง ส่วนฝ่ายโจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษโดยไม่ต้องรอลงอาญา

นอกจากคดีนี้แล้วอานดี้ยังถูกเนเชอรัลฟรุตฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาทจากการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอัลจาซีราอีกคดีหนึ่ง และถูกฟ้องเป็นคดีแพ่งอีกสองคดี บริษัท ธรรมเกษตร ผู้เลี้ยงไก่ในจังหวัดลพบุรี ก็ฟ้องร้องในคดีหมิ่นประมาทและพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ต่ออานดี้ ฮอลล์ ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้เป็นอีกคดีหนึ่งด้วย
 

ด้านสุธารี วรรณศิริ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนประเทศไทย องค์กรฟอร์ติฟายไรท์ ให้ความเห็นต่อกรณีนี้ว่า

"คำพิพากษาในวันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่รับรองสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก และการทำงานที่ชอบธรรมของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่ศาลตระหนักถึงการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และผู้ที่เปิดเผยข้อมูลเพื่อรายงานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจ

การตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ใช่อาชญากรรมและจะไม่มีวันเป็น คำพิพากษาของศาลในวันนี้ส่งสัญญาณในทางบวกให้กับประชาคมระหว่างประเทศว่าประเทศไทยจะไม่ยอมรับการที่กลุ่มธุรกิจใช้กระบวนการดำเนินคดีอาญาคุกคามการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน

กระบวนการดำเนินคดีอาญาประเภทนี้มักมีจุดประสงค์เพื่อปิดปากบุคคลที่ลุกขึ้นเปล่งเสียงคัดค้านการละเมิดสิทธิ กระบวนการนี้ทำให้เกิดบรรยากาศแห่งความกลัวในกลุ่มนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบในประเทศไทย ทางการไทยและภาคธุรกิจควรยุติการดำเนินคดีอาญาทุกคดีต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและผู้ที่เปิดเผยข้อมูลการละเมิดสิทธิ โดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข

รัฐบาลไทยควรเร่งดำเนินการเพื่อยกเลิกการเอาผิดทางอาญาในคดีหมิ่นประมาท จนกว่าจะถึงวันนั้น ประเทศไทยยังไม่สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศได้อย่างเต็มที่"



หมายเหตุ มีการเพิ่มเติมข้อมูล เวลา 21.30 น.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรมจัดหางานแนะสมัครกองทุนใหม่ คุ้มครองแรงงานไทยในต่างประเทศ

Posted: 31 May 2018 01:59 AM PDT

กรมจัดหางานแนะคนงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศทุกคนสมัครสมาชิกกองทุนใหม่เพื่อรับการคุ้มครองกรณีเสียชีวิต พิการ หรือเกิดปัญหาในต่างประเทศ จ่าย 300-500 ครั้งเดียวคุ้มครองตลอดสัญญาจ้างงาน ช่วยแล้ว 108 ราย 3.7 ล้านบาท

31 พ.ค.2561 นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จากกรณีที่มีคำถามมามากว่า แรงงานไทยประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่ต่างประเทศแล้วจะได้รับสิทธิประโยชน์หรือความคุ้มครองหรือไม่นั้น ขอแจ้งให้ทราบว่ากรมการจัดหางานได้จัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศขึ้นตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยเหลือคนหางานซึ่งถูกทอดทิ้งอยู่ในต่างประเทศให้เดินทางกลับประเทศไทย ให้การสงเคราะห์แก่แรงงานไทยซึ่งไปหรือจะไปทำงานในต่างประเทศหรือทายาทโดยธรรมของสมาชิกกองทุนฯ รายละเอียดมีดังนี้

ผู้ที่มีสิทธิสมัครเป็นสมาชิกกองทุนฯ ได้แก่ คนหางานที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยบริษัทจัดหางาน หรือกรมการจัดหางานจัดส่ง ส่วนคนหางานที่แจ้งการเดินทางไปทำงานด้วยตนเองสามารถสมัครเป็นสมาชิกกองทุนฯ ได้ตามความสมัครใจ โดยจ่ายค่าสมาชิกฯ ในอัตรา 300 – 500 บาทต่อคนตามอัตรากำหนดของประเทศที่เดินทางไปทำงาน ซึ่งจ่ายเพียงครั้งเดียวแต่คุ้มครองตลอดระยะเวลาสัญญาจ้าง และคุ้มครองต่อไปอีก 5 ปีหากยังทำงานอยู่ในต่างประเทศ โดยสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับการช่วยเหลือมีหลายกรณี เช่น กรณีถูกทอดทิ้งในต่างประเทศจะช่วยเหลือให้กลับประเทศไทย กรณีทุพพลภาพ

กรณีประสบอันตรายทั้งก่อนไปและทำงานแล้ว สงเคราะห์เป็นค่ารักษาพยาบาล หรือประสบปัญหาต่างๆ ในต่างประเทศตามที่กฎหมายกำหนด สงเคราะห์เป็นค่าพาหนะ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็น โดยจะได้รับการสงเคราะห์ไม่เกินคนละ 30,000 บาท

ส่วนกรณีเสียชีวิตในต่างประเทศ สงเคราะห์เงินจำนวน 40,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการจัดการศพเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 40,000 บาท

กรณีถูกเลิกจ้างจากสาเหตุการประสบอันตราย สงเคราะห์คนละ 15,000 บาท 

หากต้องเดินทางกลับประเทศไทยก่อนสิ้นสุดการเป็นสมาชิกกองทุนฯ เนื่องจากเป็นโรคต้องห้าม โดยทำงานไม่ถึง 6 เดือน สงเคราะห์คนละ 25,000 บาท ทำงานมากกว่า 6 เดือน สงเคราะห์ 15,000 บาท

นอกจากนี้ยังคลอบคลุมถึงปัญหาความไม่สงบ ภัยธรรมชาติ โรคระบาด ซึ่งทางการของประเทศนั้นๆ ประกาศกำหนดแล้ว หรือค่าจ้างทนายความเนื่องจากถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดซึ่งมิได้กระทำโดยเจตนา เป็นต้น

ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 – พฤษภาคม 2561 กรมการจัดหางานได้ ช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศแล้ว  108 ราย คิดเป็นเงิน    3,745,000   บาท  เป็นการสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต จำนวน 60 ราย เป็นเงิน 2,380,000 บาท กรณีตรวจโรคไม่ผ่าน จำนวน 13 ราย เป็นเงิน 315,000 บาท กรณีทุพพลภาพ จำนวน 35 ราย เป็นเงิน 1,050,000 บาท

นายอนุรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่า รวมทั้งมีความมั่นใจในการไปทำงานต่างประเทศ โดยมีกองทุนฯ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับตนเองและครอบครัว หากต้องประสบปัญหาที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ จึงขอเชิญชวนคนงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศด้วยวิธีแจ้งการทำงานด้วยตนเองสมัครเป็นสมาชิกกองทุนฯ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ฝ่ายกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ ชั้น 10 อาคารสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 3 บริเวณกระทรวงแรงงาน โทร. 0 2245 6710 -11 หรือโทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สิทธิประกันตัวของผู้ต้องหาที่เป็นพระสงฆ์

Posted: 31 May 2018 01:18 AM PDT

 

ปัจจุบันศาลยุติธรรมได้พัฒนาระบบการจัดการคดีให้มีประสิทธิภาพและเป็นสากลมากขึ้นในหลายเรื่อง เช่น การพิจารณาคดีที่มีความรวดเร็วมากขึ้น ส่วนใหญ่คดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นจะแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกิน 1 ปี ส่วนคดีที่เข้าสู่ชั้นศาลอุทธรณ์จะแล้วเสร็จไม่เกิน 6 เดือน ที่สำคัญก็คือการลดความเหลื่อมล้ำในการปล่อยชั่วคราวหรือการประกันตัวจำเลยในระหว่างการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีในศาล ซึ่งส่วนใหญ่ศาลจะอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ความก้าวหน้าของกระบวนการยุติธรรมยังรวมไปถึงสิทธิในการได้รับประกันตัวกรณีที่ผู้ต้องหาไม่มีหลักทรัพย์วางประกัน เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำดังกล่าวศาลยุติธรรมได้นำระบบประเมินความเสี่ยงในการปล่อยชั่วคราวมาทดลองใช้ในระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญาและยกเลิกการเรียกหลักประกันที่เป็นตัวเงินและหลักทรัพย์ โดยมีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการหลบหนีของจำเลยเพื่อให้ศาลพิจารณาก่อนสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวและไม่ต้องใช้หลักประกันเฉพาะคดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี โดยทดลองกับทุกฐานความผิดซึ่งขยายอัตราโทษมากขึ้น ยกเว้นความผิดในคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญและคดียาเสพติดที่มีการครอบครองและจำหน่ายจำนวนมาก

สิทธิในการได้รับประกันตัวเป็นสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องหาและผู้ต้องขังซึ่งเป็นกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองหรือ ICCPR ซึ่งมีหลักการว่า สิทธิประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดี จะต้องเป็นหลักการที่ได้รับความคุ้มครอง การมิให้ประกันตัวถือเป็นข้อยกเว้นหรือจะกระทำได้ต่อเมื่อไม่มีวิธีการที่เบากว่านี้ การปฏิเสธไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยระหว่างการพิจารณา ถือว่าเป็นการละเมิดข้อ 9(3) ของ ICCPR ซึ่งกำหนดว่า "การควบคุม คุมขังบุคคลระหว่างการพิจารณาคดี ไม่ควรเป็นกฎที่ใช้ทั่วไป" การคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีนานเกินระยะเวลาที่สามารถยกเหตุผลอันเหมาะสมมากล่าวอ้างได้ เป็นการกระทำโดยไม่มีกฎเกณฑ์และละเมิดข้อ 9(1) ของ ICCPR ที่ว่า "บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัยของร่างกาย บุคคลจะถูกจับกุมหรือควบคุมโดยอำเภอใจมิได้ บุคคลจะถูกลิดรอนเสรีภาพของตนมิได้" และบ้านเรามีกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตราที่ 39 วรรคสองว่าด้วยเรื่องของการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ โดยหลักการก็คือก่อนจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดจะปฏิบัติต่อผู้นั้นเสมือนผู้กระทำความผิดมิได้ และไม่ควรมีบุคคลใดต้องติดคุกก่อนศาลพิพากษาหรือระหว่างพิจารณาคดี

โดยทั่วไปศาลมักจะไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาโดยเฉพาะในคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐหรือคดีที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108 ประกอบมาตรา 108/1 ที่มีสาระสำคัญสรุปได้ว่า ในการวินิจฉัยคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราว ต้องพิจารณาประเด็นเหล่านี้ประกอบด้วย ได้แก่ (1) ความหนักเบาแห่งข้อหา (2) พยานหลักฐานที่ปรากฎแล้วมีเพียงใด (3) พฤติการณ์ต่างๆ แห่งคดีเป็นอย่างไร (4) เชื่อถือผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันได้เพียงใด (5) ผู้ต้องหาหรือจำเลยน่าจะหลบหนีหรือไม่ (6) ภัยอันตรายหรือความเสียหายที่จะเกิดจากการปล่อยชั่วคราวมีเพียงใดหรือไม่ (7) ในกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องขังตามหมายศาล ถ้ามีคำคัดค้านของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ โจทก์หรือผู้เสียหาย ศาลพึงรับประกอบการวินิจฉัยได้ มาตรา 108/1 การสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราวจะกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อเหตุใดเหตุหนึ่ง คือ (1) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี (2) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน (3) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น (4) ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ (5) การปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล

แม้สิทธิในการได้รับการประกันตัวของผู้ต้องหาจะพัฒนาไปมาก แต่ที่ยังเป็นคำถามของสังคมในขณะนี้ก็คือสิทธิในการได้รับการประกันตัวในกรณีผู้ต้องหาเป็นพระสงฆ์ คดีเงินทอนวัดที่มีพระผู้ใหญ่ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบในคดีร่วมกันฟอกเงิน ศาลไม่ให้ประกันตัวโดยอ้างเหตุว่าเนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นรวมถึงเกรงว่าจะยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน เนื่องจากเอกสารของกลางพยานหลักฐานอยู่ในการครอบครองของผู้ต้องหาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งพฤติการณ์มีการทำเป็นขบวนการและคดีมีอัตราโทษสูงหากปล่อยตัวเกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าพนักงานสอบสวนยังมีความจำเป็นต้องสอบปากคำพยาน จึงอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาเป็นเวลา 12 วัน ฝ่ายรัฐบาลเองเมื่อถูกถามกรณีพระสงฆ์ถูกดำเนินคดีและถูกถอดสมณศักดิ์ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การถอดสมณศักดิ์กับการบวชไม่เกี่ยวกันต้องแยกจากกัน ความผิดทางโลกเป็นเรื่องหนึ่ง ความผิดทางธรรมเป็นเรื่องหนึ่ง การจะสึกนั้น ทางกฎหมายบังคับให้สละสมณเพศ แต่จะด้วยความสมัครใจหรือไม่สมัครใจ ต้องไปว่ากันภายหลังเมื่อคดีทางโลกจบแล้ว

คำถามก็คือการมิให้พระสงฆ์ได้รับสิทธิประกันตัวซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานสามารถกระทำได้เพียงใด สิทธิในการได้รับการประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวในกรณีผู้ต้องหาเป็นพระสงฆ์ควรมีขอบเขตแค่ไหน และข้อคำนึงถึงการใช้ดุลพินิจในการไม่อนุญาตให้ประกันตัวนั้นเป็นไปตามหลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมายหรือไม่ หลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมายถือเป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติธรรมในเรื่องระบบการพิจารณาคดีที่ว่ากระบวนการใช้อำนาจรัฐทุกรูปแบบต้องมีการคุ้มครองให้กระบวนวิธีพิจารณาทางอาญาต้องทำด้วยความเป็นธรรม ปราศจากอคติ ไม่เลือกปฏิบัติ และพอสมเหตุสมผล การที่ศาลอ้างเหตุของการไม่ให้ประกันตัวว่าเนื่องจากเอกสารของกลางพยานหลักฐานอยู่ในการครอบครองของผู้ต้องหาเป็นจำนวนมาก ศาลได้ไต่สวนถึงเหตุที่ว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานอย่างไร ซึ่งการอ้างว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานนี้เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐาน จึงต้องให้พนักงานสอบสวนหรือศาลมีภาระในการพิสูจน์ว่าหากปล่อยตัวไปแล้วผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงหรือไปทำลายพยานหลักฐานอย่างไรจนทำให้ศาลพอใจ และฝ่ายผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องสามารถคัดค้านหลักฐานของพนักงานสอบสวนได้ ที่มักพบก็คือข้ออ้างของพนักงานสอบสวนต่อศาลมักเป็นการอ้างลอยๆ โดยขาดพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือและศาลอาจไม่ได้ทำการไต่สวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงตามที่มีการกล่าวอ้าง ซึ่งประเด็นเหล่านี้ล้วนต้องมีการดำเนินการให้เป็นไปตามหลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย หากไม่มีการดำเนินการเช่นนี้ย่อมทำให้กระบวนพิจารณาคดีไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อหลักสิทธิการประกันตัว ยิ่งเป็นกรณีผู้ต้องหาที่เป็นพระสงฆ์ที่มีอายุพรรษาเข้ามาเกี่ยวข้องควรดำเนินการอย่างรอบคอบ  และเมื่อพิจารณาตามระเบียบข้อ 8 ศาลสามารถกําหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับที่อยู่ของผู้ต้องหาหรือจําเลยหรือเงื่อนไขอื่นใดให้ผู้ต้องหาหรือจําเลยปฏิบัติเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือเพื่อป้องกันภัยอันตราย หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการปล่อยชั่วคราวก็ได้ เช่น ให้รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานหรือบุคคลตามที่ศาลเห็นสมควร วางข้อจํากัดเกี่ยวกับสถานที่อยู่อาศัยหรือการเดินทางออกไปนอกสถานที่อยู่อาศัย วางข้อจํากัดเกี่ยวกับการประกอบอาชีพหรือการงานบางอย่าง หรือวางข้อจํากัดเกี่ยวกับการเข้าไปในสถานที่บางแห่งที่อาจก่อให้เกิดการกระทําความผิดอีก ในกรณีผู้ต้องหาที่เป็นพระสงฆ์สามารถดำเนินการได้เรื่องนี้ได้พอสมควร

และเมื่อพิจารณาดูกฎหมายปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ควบคุมพฤติกรรมของพระภิกษุที่ละเมิดพระวินัยและอาศัยกฎหมายบ้านเมืองมาช่วย  แม้สามารถให้พนักงานสอบสวนมีอํานาจจัดดําเนินการให้พระภิกษุสละสมณเพศเสียได้ตามมาตรา ๒๙ และ ๓๐ แต่มาตรา 25 ภายใต้บังคับมาตรา 24 ก็ให้อำนาจมหาเถรสมาคมว่า มหาเถรสมาคมก็อํานาจตรากฎมหาเถรสมาคมกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติเพื่อให้การลงนิคหกรรมเป็นไปโดยถูกต้องสะดวกรวดเร็วและเป็นธรรม และให้ถือว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายที่มหาเถรสมาคมจะกําหนดในกฎมหาเถรสมาคมให้มหาเถรสมาคมหรือพระภิกษุผู้ปกครองสงฆ์ตําแหน่งใดเป็นผู้มีอํานาจลงนิคหกรรมแก่พระภิกษุผู้ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย กับทั้งการกําหนดให้การวินิจฉัยการลงนิคหกรรมให้เป็นอันยุติในชั้นใด ๆ นั้นด้วย  นอกจากนั้นการปกครองคณะสงฆ์ยังมีสังฆาณัติและระเบียบคณะวินัยธรซึ่งกำหนดให้มีคณะวินัยธรชั้นต้น คณะวินัยธรชั้นอุทธรณ์ และคณะวินัยธรชั้นฎีกา มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์อันเกิดขึ้นในเขตที่กำหนดตามประกาศแต่งตั้ง เมื่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และสังฆาณัติและระเบียบคณะวินัยธรให้อำนาจคณะสงฆ์ไว้  แต่ในทางปฏิบัติหลายกรณี เมื่อพระสงฆ์ต้องอาญาแผ่นดินมหาเถรสมาคมและพระวินัยธรแทบไม่ได้มีส่วนในกระบวนการยุติธรรมใดๆ ซึ่งมีคำถามว่าเป็นธรรมสำหรับผู้ต้องหาที่เป็นพระสงฆ์หรือไม่ และเป็นไปตามหลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมายหรือไม่

การดำเนินคดีผู้ต้องหาที่เป็นพระสงฆ์ควรเปิดช่องให้มีกลไกคณะสงฆ์เข้าไปมีส่วนร่วมทุกขั้นตอนซึ่งเป็นการชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และสอดคล้องกับกระบวนการยุติธรรมที่เคารพหลักการสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรมในเรื่องสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องหาหรือจำเลย และกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นธรรม อันจะเป็นการยกระดับกระบวนการยุติธรรมบ้านเราให้เป็นสากล เป็นประเทศที่ดำเนินการสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากลที่นานาประเทศให้การรับรอง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อนาคตใหม่ อนาคตไทย

Posted: 31 May 2018 01:05 AM PDT

พลันที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ขึ้นกล่าวปราศรัย แนะนำตัว และแสดงวิสัยทัศน์ในนามหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในการประชุมจัดตั้งพรรคครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมานั้น ข้อความที่หนักแน่นและสัญญาณที่ชัดเจนได้ถูกส่งต่อและกระจายไปยังพื้นที่สาธารณะของทุกกลุ่มการเมือง ถึงความพร้อมในการก้าวเดินในเส้นทางนี้อย่างมุ่งมั่นตั้งใจ และพร้อมจะเป็นแนวร่วมแถวหน้า เป็นผู้จุดประกายแห่งความหวัง ให้สังคมตื่นขึ้นจากความมืดมิดทางการเมืองและความมืดบอดทางปัญญา ทั้งนี้เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตใหม่ที่ดีกว่าเก่า และเพื่อส่งต่อไปยังลูกหลานคนไทยในอนาคต

ธนาธร ได้เล่าถึง ความฝันที่ยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ที่เป็นเพียงคนจีนอพยพธรรมดาคนหนึ่งจากซัวเถาที่อยากให้ลูกๆ เติบโตขึ้นมาในสภาพสังคม สภาพแวดล้อมที่ดีกว่าคนรุ่นก่อน อีกทั้งยังสอนลูกๆ ทุกคนให้เป็นคนมัธยัสถ์ อดออม รักความเป็นธรรม และไม่เอาเปรียบผู้อื่น

ถึงแม้ว่าจะเกิดมาในครอบครัวที่ไม่เคยเจอกับความลำบาก มีชีวิตที่สุขสบาย แต่สิ่งใดที่จะทำให้ตี๋ลูกจีนคนนี้จะเข้าใจชีวิตคนยากไร้ เข้าใจคนจนได้อย่างไร นี่เป็นคำถามที่หลายคนยังคลุมเครือและเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งธนาธรก็ได้ให้คำตอบว่า

"…ผมในฐานะเป็นคนโชคดีกว่าคนอื่น ที่เกิดมามีอันจะกิน ทำให้รู้สึกว่า ภายใต้สังคมที่มันมืดมิดอย่างนี้ ถ้าผมในฐานะคนที่มีทรัพยากรมากกว่าคนอื่น ไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรเลยให้กับสังคม ผมจะตอบลูกหลานได้อย่างไรว่า วันที่มืดมิดที่สุดของสังคม ผมทำอะไรอยู่ ผมจะมีความสุขได้อย่างไร ในขณะที่พี่น้องประชาชนกำลังเดือดร้อนอยู่ทุกหย่อมหญ้า…"

"…ปัจจุบันคือเริ่มต้นการเดินทาง การเดินทางที่จะนำการเมืองไทยออกจากความขัดแย้ง ด้วยการสร้างฉันทามติของการอยู่ร่วมกันใหม่ การเมืองไทยที่จะหาฉันทามติร่วมกัน คือฉันทามติแห่งการกลับมาสู่วิถีประชาธิปไตย นี่คือการเริ่มต้นของการเดินทางที่จะพาสังคมไทยออกจากอนาคตเก่า ด้วยการเมืองแห่งความหวัง…"

ธนาธร ได้แสดงเจตนารมณ์ว่า "…ในด้านการมีส่วนร่วม พรรคของเราพูดในสิ่งที่ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนสังคมไม่พร้อมจะรับฟัง ดูเหมือนสิ่งที่พูดตอนที่ก่อตั้งพรรค ดูเหมือนจะก้าวร้าวและทำให้สังคมหวาดกลัว แต่ทุกวันนี้วาระที่เราพูด ใครๆ ก็พูดกัน เช่น การไม่เอารัฐธรรมนูญปี 60 , การลดอำนาจทหาร , การทำให้รัฐประหารที่ผ่านมาเป็นครั้งสุดท้าย ทุกวันนี้ประชาชนพูดเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ พวกเรามีส่วนร่วมในการปักวาระที่ก้าวหน้านี้ให้กับสังคม แต่ทั้งหมดนี่คือพวกเรา ทุกคนที่มาที่นี้และอีกหลายคนที่ไม่ได้มา แสดงให้เห็นว่า ในสังคมไทยยังมีพลังที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ท่ามกลางความมืดมิดยังมีกองไฟอีกหลายกองที่ส่องสว่างอยู่ บางกองอาจกำลังจะมืดมิด บางกองกำลังหาแรงบันดาลใจใหม่ มาร่วมกันเป็นฟืนแห่งกำลังใจให้แก่กันและกัน หน้าที่ของเราคือ นำกองไฟเหล่านี้มารวมกันแล้วโหมกระพือ ทำให้เป็นกองไฟที่ใหญ่โตและเจิดจรัส ส่องแสงท่ามกลางสังคมที่มืดมิดอีกครั้งหนึ่ง…"

จุดยืนที่ชัดเจนเช่นนี้ได้สื่อสารเพื่อบอกสังคมและประชาชนว่า การปฏิวัติสังคมสามารถทำได้ทุกวัน อย่าเพิ่งเบื่อหน่ายที่ต้องทะเลาะ ถกเถียง หรือโต้แย้งทางความคิดกับคนที่เห็นต่างทางการเมืองในสื่อออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นในอินเทอร์เน็ทหรือเฟซบุ๊ค หากคุณมีสิ่งที่เชื่อและศรัทธาอย่างบริสุทธิ์ใจแล้ว จงเริ่มพูดคุยหรือจัดวงเสวนากับคนรอบข้างอย่างมีเหตุผล รณรงค์ในสิ่งที่คุณเชื่อและศรัทธาด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้ใครมารณรงค์ให้คุณ สิ่งสำคัญคือ ต้องทำให้ทุกคนเห็นว่า "…การเมืองเป็นเรื่องปกติของประชาชน ทำให้ทุกคนเห็นว่า คนที่มีส่วนร่วมทางการเมืองไม่ใช่คนที่สกปรก ไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัว อย่างที่พวกเขาต้องการให้เราเชื่อ เราสามารถทำให้การเมืองเป็นเรื่องที่สร้างสรรค์ สนุกสนาน และมีชีวิตชีวาได้อย่างที่เราทำกันในวันนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็หนักแน่นและเต็มไปด้วยอุดมการณ์ได้เช่นกัน และนั่นคือการเมืองที่พรรคนี้อยากจะสร้างขึ้น บางครั้งในการทำสิ่งเหล่านี้อาจจะสำเร็จ แต่มากครั้งเราจะล้มเหลว และการล้มเหลวจะทำให้เราได้ประสบการณ์และเติบโต แต่เมื่อเราทำสำเร็จ มันจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอีกหลายคนที่อยู่รอบข้างเรา มาทำให้การเมืองเป็นเรื่องของคนธรรมดา มาทำให้การปฏิวัติสังคมเป็นเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันด้วยกัน…"

แต่ความกังวลใจก็ยังมีอยู่ เพราะการประชุมจัดตั้งพรรคนี้ถือเป็นก้าวแรกของการเริ่มต้นเดินทาง และก้าวต่อไปจะเป็นการเดินทางที่หนักกว่าสาหัสกว่านี้ เพราะมีอุปสรรคขวากหนามมากมายที่รออยู่ข้างหน้า แต่สิ่งหนึ่งที่ยังมั่นคงในอุดมการณ์ในการสร้างอนาคตใหม่ให้สังคมไทยก็คือ "…เพื่อกรรมกรที่ได้รับค่าแรงเพียงค่าแรงขั้นต่ำ แต่กำลังจะเกษียณอายุโดยไม่มีเงินเก็บ , เพื่อคนที่มีความคิดสร้างสรรค์และอยากนำความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองมาสร้างธุรกิจใหม่ แต่ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อค่าใบอนุญาต แต่ต้องจ่ายเงินค่าคุ้มครองให้กับเจ้าพ่อ , เพื่อเยาวชนที่เกิดมาในครอบครัวที่เป็นหนี้ เราจะต้องไม่ให้เขาถูกกักขังด้วยชาติกำเนิด , เพื่อคนที่มีความฝันทุกคน ไม่ว่าความฝันนั้นจะเรียบง่ายหรือทะเยอทะยาน ให้มีโอกาสได้ไล่ตามความฝันของตัวเอง…"

สิ่งที่ธนาธรได้เน้นย้ำและพูดถึง ก็คือ "…การเมืองแห่งความหวัง อยากให้ใคร่ครวญสักนิดว่า ทำไมเราต้องพูดถึงการเมืองแห่งความหวัง คนที่มาที่นี่รู้อะไรบางอย่างที่ทหาร สื่อกระแสหลัก และคนชั้นนำไม่รู้และไม่มีทางจะรู้ นั่นคือ ประชาชนรู้สึกเบื่อระอาเต็มทีกับการเมืองที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนกลุ่มน้อย ทุกคนถามคำถามเดียวกันทั่วประเทศว่า เมื่อไหร่ชีวิตความเป็นอยู่จะดีขึ้น ประชาชนทั้งประเทศถามว่า ทำไมคนที่รวยที่สุดในประเทศเพียง 5 คน ถึงมีความมั่งคั่งถึง 3 ล้านล้านบาท , ทำไมคนที่รวยที่สุดเพียง 1% ถึงมีความมั่งคั่งมากกว่าคนอีก 60 กว่าล้านคนรวมกัน , ทำไมคนเพียงแค่ 10% ถึงถือครองที่ดินในการทำกินมากกว่า 90% ของที่ดินทั้งประเทศ , ทำไมประเทศไทยถึงมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเยอะเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซียและอินเดีย ไม่เคยมีคำตอบต่อคำถามเหล่านี้จากคนชั้นนำ ไม่มีคนตอบคำถามนี้ แต่ผมจะตอบให้ดู..."

"…ทุกโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในทุกวันนี้ มันออกแบบมาเพื่อคนกลุ่มเดียว และคนกลุ่มนี้ต้องการที่จะเยื้อไว้ หยุดประเทศไทยไว้ ไม่ให้ก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่ให้เปลี่ยนแปลง เพราะการก้าวหน้าหรือการเปลี่ยนแปลง หมายถึงการทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่พวกเขาได้ประโยชน์อยู่ ดังนั้นเขาจึงต้องการรักษามันไว้ ให้อยู่ในสภาพปัจจุบันให้นานเท่านาน..."

ธนาธร ได้ฉายภาพว่า กลุ่มคนชั้นนำที่เป็นคนส่วนน้อยในสังคมนั้นได้พยายามสร้างภาพ ผลิตซ้ำวาทกรรม พร้อมทั้งเล่านิทานก่อนนอน เพื่อหลอกลวงประชาชนให้เชื่อว่า ที่ผ่านมาประชาชนนั้นโง่เขลา เกียจคร้าน และพร้อมจะขายสิทธิ์ขายเสียงหรือขายความเป็นมนุษย์เพื่อเงิน การที่คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้จน ไม่ใช่เรื่องความเกียจคร้านหรือความโง่ แต่เป็นเรื่องสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ถูกกีดกัน สิ่งเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถหลุดพ้นจากความจนได้ ประชาชนไม่มีสิทธิและเสรีภาพอย่างที่พลเมืองคนหนึ่งพึงมี 

อีกทั้งยังอธิบายเพิ่มเติมในหลักการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปยังส่วนภูมิภาค พร้อมทั้งเสนอให้ลดอำนาจรวมศูนย์ของคนชั้นนำในกรุงเทพฯ ลง เพราะเชื่อว่า "…เพียงแค่รัฐยอมปล่อยอำนาจให้ท้องถิ่นจัดการตัวเองบ้าง เพียงแค่จัดความสำคัญของการใช้งบประมาณแบบอื่น หรือใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เด็กๆ ทุกคนก็สามารถมีอาหารกลางวันกินได้ และมีรถโรงเรียนที่ปลอดภัยได้ กลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงสร้างปัจจุบัน นอกจากจะเกลี้ยกล่อมให้ประชาชนเชื่อว่าตัวเองโง่แล้ว ยังพยายามเกลี้ยกล่อมให้พวกเราเชื่ออีกว่า พวกเราเป็นคนส่วนน้อยของสังคม คนส่วนน้อยที่ต้องพอเพียงกับความจนเพื่อการพัฒนาของคนส่วนใหญ่..."

"…พวกเราคือ คนจนเมือง พวกเราคือ แรงงานนอกระบบส่วนน้อยที่ยอมเสียสละสิทธิ์ในการเข้าถึงสวัสดิการรัฐเพื่อรักษาวินัยทางการคลังของคนส่วนใหญ่…"

"…พวกเราคือ เกษตรกร , ชาวนาที่ยอมทำนาจนผิวไหม้เกรียม เส้นเอ็นปูดโปน เพื่อให้คนส่วนใหญ่มีกิน…"

"…พวกเราคือ กรรมกร กลุ่มคนส่วนน้อยที่ต้องเสียสละยอมรับค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อให้คนส่วนใหญ่ส่งออกได้…"

"…พวกเราคือ กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ คนส่วนน้อยที่ต้องเสียสละสิทธิ์ในเพศสภาพตัวเอง เพื่อรักษาจารีตประเพณีของคนส่วนใหญ่…"

"…พวกเราคือ นักเรียน , นักศึกษาที่ต้องยอมเสียตัวตนของเราเพื่อรักษาระเบียบของคนส่วนใหญ่…"

"…พวกเราคือ กลุ่มคนชาติพันธุ์ที่ต้องเสียวิถีชีวิตของตัวเองเพื่อรักษาป่าให้กับคนส่วนใหญ่…"

"…พวกเราถูกหลอกให้เชื่อว่า เราเป็นคนส่วนน้อย แต่ในข้อเท็จจริง พวกเราคือ คนส่วนใหญ่ในสังคมที่ยอมเสียสละให้คนส่วนน้อยเสมอมา คนส่วนใหญ่เหมือนคนที่ทำผิด เหมือนนักโทษที่ถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนอยู่ในคุก และสิทธิ์เดียวที่ได้รับอนุญาตจากผู้คุมให้เรามี ก็คือ สิทธิ์ในการเลือกผู้นำนักโทษ..."

ความหวังของการทำพรรคการเมืองที่ธนาธรคาดหวังไว้ ก็คือ การส่งเสียงและสัญญาณไปถึงวิธีการทำการเมืองแบบเก่า ว่าพอกันทีสำหรับการเอื้อประโยชน์ให้กับคนกลุ่มน้อย และได้ชักชวนประชาชนคนรุ่นใหม่ให้มาร่วมกันทำลายโซ่ตรวนที่พันธนาการความก้าวหน้าของสังคมออก ด้วยมือเปล่าๆ ของคนส่วนใหญ่ พรรคอนาคตใหม่จะทำการเมืองแบบใหม่ที่ไม่ใช้คำโกหก ไม่ใช้วิธีใส่ร้ายป้ายสีหรือการสาดโคลน หรือผลิตวาทกรรมเพื่อสร้างความแตกแยกและความเกลียดชัง เพื่อแบ่งแยกประชาชนออกจากกัน 

อุดมการณ์ของพรรคนั้น ต้องการสร้างสังคมแบบใหม่ที่เป็นการเมืองแห่งความหวัง "…เพราะสิ่งที่แบ่งแยกประชาชนอยู่ทุกวันนี้ ก็คือ กลุ่มคนชั้นนำที่ได้ผลประโยชน์จากโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมแบบนี้ กับคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ในการลืมตาอ้าปาก คนส่วนน้อยที่ถือปืนและกดหัวประชาชนไว้ กับคนส่วนใหญ่ที่ถูกปิดหู ปิดตา และปิดปาก เราต้องการการเมืองแห่งความหวัง หวังถึงการมีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบายน้ำของคนอยุธยาที่โดนน้ำท่วมปีละ 3 เดือน , เราต้องการการเมืองแห่งความหวัง หวังถึงสิทธิ์ในการมีส่วนร่วมพัฒนาทรัพยากรชายฝั่งของชาวประมงพื้นบ้าน , เราต้องการการเมืองแห่งความหวัง หวังถึงงานให้กับคนตกงาน ความหวังถึงบ้านให้กับคนที่ไม่มีบ้าน ความหวังถึงสังคมที่คนเท่ากันที่ 'นวมทอง ไพรวัลย์' ไม่มีโอกาสได้เห็น…"

ทั้งนี้ธนาธรยังได้กล่าวกับผู้ที่มาเป็นสักขีพยานในการประชุมจัดตั้งพรรคว่า "…มาร่วมกันขยับประเทศไทย มาร่วมกัน disrupt การเมืองไทย เพื่อบอกว่า การเมืองที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนชั้นนำเพียงไม่กี่คน มันหมดไปแล้ว เพื่อที่คนไทยทุกคนจะได้สิทธิ์และเสรีภาพที่พวกเขาพึงมีกลับคืนมา เพื่อที่คนไทยทุกคนจะได้สิทธิ์ในการไขว้คว้าความฝันของตัวเองกลับคืนมา เริ่มทำตั้งแต่วันนี้ และเริ่มทำทุกวัน ไม่ต้องรอใคร…"

"…สุดท้ายนี้ ถ้าความหวังของทุกท่าน เป็นความหวังเดียวกับของผม ผมอยากชักชวนทุกท่านให้มาร่วมกันสร้างพรรคนี้ให้เป็นพรรคของประชาชน ให้เป็นพรรคที่ยืนเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศด้วยกัน หยุดกลัว ลุกขึ้นยืนด้วยความกล้าหาญ และเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่เป็นธรรมอยู่ในสังคมนี้ร่วมกัน มาร่วมขีดเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยหวังว่า เราจะสามารถส่งต่อสังคม ส่งต่อสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่มากขึ้นให้กับลูกหลานของเราต่อไป อย่างที่ครั้งหนึ่งพ่อกับแม่ผมเคยฝันและเคยทำให้ผม เพื่ออนาคตใหม่ที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน..."

วิสัยทัศน์บนเวทีในวันนั้น เปรียบเสมือน เป็นการจุดไฟท่ามกลางสายฝน , เป็นอิฐก้อนแรกที่ก่อขึ้นเป็นกำแพง , เป็นคนจุดประกายไฟในกองฟืนที่เริ่มโรยราและรอวันมอดไหม้ให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง , เป็นคนแรกที่พร้อมจะนำทุกคนวิ่งไปหาแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ถึงแม้ว่ามันจะมืดมิดและไม่รู้ว่าต้องวิ่งไปอีกไกลเท่าไหร่ ทั้งนี้ธนาธรได้ปลุกเร้าพลัง ความหวัง และความฮึกเหิมขึ้นในใจคน เพราะเชื่อว่า หากมีความมุ่งมั่นและมีศรัทธาที่แน่วแน่แล้ว การสร้างความหวังและกำลังใจให้กับคนส่วนใหญ่จะทำให้สังคมตื่นรู้ , ตาสว่าง และลุกขึ้นยืนตรง พร้อมที่จะเผชิญหน้าท้าทายกับรัฐบาลเผด็จการทหารอย่างกล้าหาญ เพราะความหวังเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ และเป็นสิ่งเดียวที่จะนำพาประชาชนให้มุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ เพื่อร่วมสร้างอนาคตใหม่ด้วยกัน สำหรับลูกหลานคนไทยทุกคน

  

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ก้าวสำคัญของนอนไบนารี ศาลเนเธอร์แลนด์อนุญาตให้คนแก้เพศในสูติบัตรตนเองเป็น 'ไม่กำหนดเพศ' ได้

Posted: 31 May 2018 01:02 AM PDT

ศาลในจังหวัดลิมบูร์กของเนเธอร์แลนด์ อนุญาตให้บุคคลชื่อลีออนน์กลับไปเปลี่ยนสูติบัตรของตัวเองให้กลายเป็น "ไม่กำหนดเพศ" (no determined sex) ได้เนื่องจากเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นชายหรือเป็นหญิง เรื่องนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับนอนไบนารีในเนเธอร์แลนด์ที่จะแผ้วถางไปสู่การแก้กฎหมายอย่างเป็นทางการในเรื่องนี้ได้

ธงนอนไบนารี ออกแบบโดย Kye Rowan อายุ 17 ปี ในเดือน ก.พ.2014

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา สื่อดัชท์นิวส์รายงานว่า ศาลในจังหวัดลิมบูร์กของประเทศเนเธอร์แลนด์ตัดสินอนุญาตให้บุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเพศใดก็ตามสามารถขอสูติบัตรของตัวเองใหม่เป็น "ไม่กำหนดเพศ" (no determined sex) ได้ ซึ่งสื่อ Pink news ระบุว่าเรื่องนี้ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในแง่ที่เป็นการยอมรับผู้ไม่อยู่ในระบบสองเพศหรือ 'นอนไบนารี' (Non-Binary) 

คดีในเนเธอร์แลนด์เป็นกรณีของบุคคลที่เกิดในปี 2504 และถูกแจ้งเกิดว่า "เป็นชาย" เพราะทางพ่อแม่คิดไปเองว่ามัน "ง่ายกว่าสำหรับเด็ก" แต่โจกท์ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นชายจึงเปลี่ยนแปลงตัวเอง "เป็นหญิง" ในปี 2544 แต่ต่อมาบุคคลผู้นี้ก็ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ยกเลิกเพศหญิงของตนเองแล้วเปลี่ยนเป็น "ไม่กำหนดเพศ" และศาลครอบครัวประจำลิมบูร์กในเมืองรอมองด์ก็ให้อนุญาตในเรื่องนี้ จนทำให้กลายเป็นการแผ้วถางแนวทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมายอย่างเป็นทางการให้กับนอนไบนารีได้

สำหรับเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมาผู้คนสามารถเลือกระบุไม่กำหนดเพศทารกในใบแจ้งเกิดได้ แต่ตัวเด็กเองเมื่อโตขึ้นแล้วกลับไม่สามารถกลับไปแก้เพศในใบแจ้งเกิดของตัวเองได้ จนกระทั่งมีการตัดสินจากศาลในคดีล่าสุดนี้ได้เปลี่ยนแปลงให้คนสามารถกลับไปแก้สูติบัตรตัวเองได้แล้ว 

ก่อนหน้านี้ในปี 2550 เคยมีคดีที่ศาลสูงสุดของเนเธอร์แลนด์ปฏิเสธไม่ยอมรับคำร้องขอเปลี่ยนเพศตนเองในใบสูติบัตรให้ระบุว่า "เป็นกลางทางเพศ" (gender neutral)

อย่างไรก็ตามสำหรับคดีล่าสุดศาลในลิมบูร์กระบุว่า พัฒนาการทางสังคมและทางกฎหมายในประเด็นเรื่องความเป็นกลางทางเพศก็เปิดทางให้ระบุเป็นเพศอื่นในใบสูติบัตรได้นอกเหนือจากหญิงหรือชาย พวกเขายกตัวอย่างพัฒนาการทางสังคมดังกล่าวเช่นเรื่องการที่บริษัทรถไฟของเนเธอร์แลนด์เริ่มพูดถึงผู้โดยสารด้วยภาษาเป็นกลางทางเพศแทนคำว่า "สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี" แบบในอดีต อีกตัวอย่างหนึ่งคือการที่เนเธอร์แลนด์มีห้องน้ำเป็นกลางทางเพศเพิ่มมากขึ้น

ศาลในลิมบูร์กให้เหตุผลถึงการตัดสินในครั้งนี้ว่า การบีบให้บุคคลนอนไบนารีระบุถึงเพศตัวเองเป็นชายหรือหญิงแทนที่จะเป็น "ไม่กำหนดเพศ" นั้นถือเป็นการขัดกับหลักการเรื่องสิทธิในชีวิตส่วนตัว ในการเลือกตัดสินใจ และอิสรภาพของบุคคลนั้นๆ (right to a private life, self determination and autonomy) ศาลกล่าวอีกว่าถ้าหากบุคคลไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเพศชายหรือเพศหญิง พวกเขาก็ควรจะสามารถระบุไว้ในเอกสารทางการเช่นนั้นได้

ลิออนน์โจทก์ในคดีนี้ให้สัมภาษณ์ต่อโทรทัศน์ RTL ว่ามันเป็นคำตัดสินที่ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด เขารู้สึกมีความสุขมากไม่ใช้แค่กับตัวเองเท่านั้นแต่เขาได้ทำเพื่อคนข้ามเพศจำนวนหลายพันคนที่เคยพูดคุยกับเขาในฐานะที่เขาเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาด้วย ในมุมทางเพศสภาพของตัวเองลีออนน์กล่าวว่าเขาไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นชายหรือเป็นหญิงแต่เป็น "อะไรที่อยู่ตรงกลางพอดี"

นอกจากเนเธอร์แลนด์แล้ว รัฐรัฐซัสแคตเชวันของแคนาดาก็เพิ่งจะตัดสินอนุญาตให้มีการออกสูติบัตรโดยไม่ต้องระบุเพศเด็กได้ จากกรณีที่มีพ่อคนหนึ่งชื่อ ฟราน ฟอร์สเบิร์ก เป็นตัวแทนลูกหญิงข้ามเพศของตัวเองในการร้องเรียนต่อศาลขอเปลี่ยนใบสูติบัตรของลูกเขาจากชายเป็นหญิง ซึ่งฟอร์สเบิร์กไม่ได้หยุดแค่นั้น เขายังดำเนินการเผื่อลูกหลานของคนอื่นๆ ด้วยการร้องเรียนขอให้ยกเลิกการใส่เพศในสูติบัตร และเมื่อศาลตัดสินออกมาเขาก็กล่าวแสดงความยินดีกับเด็กคนอื่นๆ รวมถึงชาวนอนไบนารีด้วย

 

เรียบเรียงจาก

Adult wins case to have Dutch birth certificate changed to 'undetermined gender', Dutch News, 28-05-2018

Netherlands allows person to identify as non-binary for the first time, Pink News, 28-05-2018

Canadian province told by court to allow people to remove gender from birth certificates, Pink News, 28-05-2018

 

ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง Non-binary

'นอน-ไบนารี่' สำนึกทางเพศที่ไม่ใช่ชาย-หญิง หรือความเรื่องมากของคนที่ไม่เข้าพวก?

https://prachatai.com/journal/2018/01/74982

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พล.อ.ประวิตรยัน เลือกตั้งกุมภา 62 แน่นอน

Posted: 31 May 2018 12:58 AM PDT

หลังมีกระแสกังวลว่าคำนวณไปคำนวณมาอาจได้เลือกตั้งเดือนเมษาแทนกุมภา ผู้สื่อข่าวถาม ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้คำยืนยันว่า เลือกตั้ง ก.พ.62 ไม่มีเลื่อน และจะมีการหารือกับพรรคการเมืองกำหนดวันเลือกตั้งปลายมิ.ย.

31 พ.ค.2561 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ และหลังจากนั้นมีความกังวลของหลายฝ่ายว่าอาจจะต้องเลื่อนโรดแมปตามกรอบเวลาเดิมที่ประกาศไว้ว่า ขอยืนยันว่าโรดแมปการเลือกตั้งไม่เลื่อน และจะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 นี้อย่างแน่นอน ส่วนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะสบายใจหรือไม่ที่ทุกอย่างเดินหน้า พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็สบายแล้ว หาก คสช.หมดหน้าที่ก็หมดหน้าที่ ซึ่งเป็นไปตามโรดแมป และตนเองหวังให้เลือกตั้งออกมาเรียบร้อย

ส่วนกรอบเวลา 150 วันก่อนการเลือกตั้งจะปรับเวลาเป็น 90 วัน เพื่อให้ทันเดือนกุมภาพันธ์ปี 2562 หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ปรับเพราะต้องเป็นไปตามกฎหมาย นอกจากนี้เขายังกล่าวถึงการหารือพรรคการเมืองก่อนกำหนดวันเลือกตั้งว่า การหารือน่าจะไม่เลื่อน คาดว่าจะหารือประมาณปลายเดือนมิถุนายนนี้

ก่อนหน้านี้นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า หากคำนวณกระบวนการต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเต็มเวลาแล้ว จะต้องใช้เวลาอีก 11 เดือน ซึ่งเท่ากับจะมีการเลือกตั้งในเดือน เมษายน 2562 (อ่านที่นี่)

 

 



ที่มา: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แอมเนสตี้ชวนทั่วโลกส่งจดหมายเรียกร้องไทยยุติคดีกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง

Posted: 31 May 2018 12:38 AM PDT

31 พ.ค.2561 สำนักเลขาธิการใหญ่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ออกปฏิบัติการด่วน เชิญชวนสมาชิก นักกิจกรรมและผู้สนับสนุนกว่า 7 ล้านคนทั่วโลกร่วมกันส่งจดหมายเรียกร้องทางการไทยให้ยุติการดำเนินคดีต่อกลุ่มคนอยากเลือกตั้งจำนวน 15 คน และภายหลังมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมรวมทั้งหมด 62 คน ซึ่งการรณรงค์นี้จะมีไปถึงวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 (อ่านที่นี่)

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 กลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มคนอยากเลือกตั้งจำนวน 15 คนถูกพนักงานสอบสวนควบคุมตัวและแจ้งข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ในหลายฐานความผิด จากการเข้าร่วมการประท้วงอย่างสงบในโอกาสครบรอบสี่ปีรัฐประหาร (อ่านที่นี่)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายจับคนกัมพูชาทำข่าวปลอม “นายกฯ ให้เติมน้ำเปล่า” 6 คนไทยแชร์โดนด้วย

Posted: 31 May 2018 12:08 AM PDT

ตร.แถลงข่าว หาต้นตอ-ออกหมายจับคนทำข่าวปลอม นายกฯ ไล่ประชาชนไปเติมน้ำเปล่าแทนน้ำมัน ได้แล้ว รายงานข่าวแจ้งว่าทางการไทยประสานกัมพูชาจนสามารถจับตัวได้แล้วกำลังตรวจสอบ ส่วนคนไทยแชร์ข่าวโดนแจ้งข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ด้วย

เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.) ศูนย์ราชการฯ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (รองผบช.ทท.) แถลงว่า พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผกก.3 บก.ปอท. สืบสวนทราบว่า นายรัตนะ เฮง อายุ 21 สัญชาติกัมพูชา เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 30 พ.ค.2561 ในความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน เนื่องจากตรวจสอบพบว่านายรัตนะเป็นบุคคลนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยโพสต์บทความลงในอินเตอร์เน็ต กล่าวหาบิดเบือน พาดหัวข่าวว่า "ฟิวขาด ด่ากราดปปช. ไล่ให้เติมน้ำเปล่าแทนดีเซล อย่าโง่ วอนประชาชนอย่าเรื่องมาก" โดยการโพสต์ข้อความมาจากประเทศกัมพูชา

นอกจากนั้นตำรวจยังออกหมายเรียกและเชิญตัวผู้ต้องหาจำนวน 6 ราย ซึ่งเป็นผู้แชร์ต่อข้อมูลข่าวอันเป็นเท็จดังกล่าว ประกอบด้วย นายธนวัชร์ อ้อนวอน นายรุ่งโรจน์ ปรีชา นางสาวปภาศร สระอุบล นางสาวจิตาภา บุญทวี นางสาวประภัสสร วันชูชิต และนายรฐนนท์ ชัยชนะ มาพบพนักงานสอบสวน บก.ปอท. และแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า กระทำความผิดฐานเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย ต่อการรักษาความมั่งคงปลอดภัยของประเทศหรือความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน โดยจากการสอบปากคำเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดรับสารภาพแต่ไม่ได้มีเจตนา

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับนายรัตนะ มีที่อยู่ที่ประเทศกัมพูชาที่สำนักงานปรินติ้ง และทำบิทคอยน์มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ และมีแนวคิดต่อต้านรัฐบาล เว็บไซต์ ratstas มักนำเสนอข่าวที่มีเนื้อหาและข้อมูลอันเป็นเท็จ

รายงานว่าแจ้งว่า  พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ได้ประสานข้อมูลทางการสืบสวนกับทางพล.อ.เซาเซาะคา ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการรักษาความสงบภายในกัมพูชา ให้ตรวจสอบ เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่จากกองกำลังรักษาความสงบภายในกัมพูชาได้ลงพื้นที่สืบสวนจนสามารถคุมตัวนายรัตนะ ได้ที่บ้านพักแห่งหนึ่งใจกลางกรุงพนมเปญ โดยในวันนี้ทางพล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบช.ทท. พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รองผบก.ทท.1 พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รองผบก.ทท.2 และพ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์ รองผบก.สปพ. พร้อมคณะตำรวจไทย จะเดินทางไปร่วมตรวจสอบว่าเป็นบุคคลเดียวกันตามหมายจับหรือไม่ ซึ่งหากเป็นบุคคลตามหมายจับจริงก็จะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อดำเนินการตามกฏหมายต่อไป

ทั้งนี้ ความผิดฐานนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคง ในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ตามมาตรา 14 (3) ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่มา: เว็บไซต์มติชน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กทม.ชวนประชาชนใส่ “เสื้อเหลือง” ตลอด ก.ค.

Posted: 30 May 2018 11:05 PM PDT

เพื่อเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 66 พรรษา กทม.ชวนประชาชนใส่เสื้อสีเหลืองตลอดเดือน ก.ค. ทุกหน่วยงานรัฐเอกชนประดับธงประปรมาภิไธย พระบรมฉายาลักษณ์ และเตรียมจัดงานใหญ่ 27-29 ก.ค.

31 พ.ค.2561 Springnews รายงานว่า นายภัทรุตม์ ทรรทรานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดกิจกรรมเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 66 พรรษา 28 กรกฎาคม 2561 โดยมีรองปลัดกรุงเทพมหานคร หัวหน้าหน่วยงาน ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม โดยกรุงเทพมหานครได้มอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายให้เรียบร้อยตามกำหนดระยะเวลา อาทิ

สำนักการโยธา ดำเนินการประดับพระฉายาลักษณ์และภาพพระราชกรณียกิจ ประดับธงชาติไทย ร่วมกับธงพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. และประดับไฟตกแต่งบนถนนสายหลัก ได้แก่ ถนนราชดำเนินนอก ราชดำเนินกลาง ราชดำเนินใน และบริเวณโดยรอบท้องสนามหลวง รวมทั้งการประดับตกแต่งบริเวณอาคารศาลาว่าการ กทม. 1 และ กทม. 2 ด้วย

ในส่วนของพื้นที่การจัดกิจกรรมบริเวณสนามหลวง ซึ่งมีกิจกรรมระหว่างวันที่ 27 – 29 ก.ค. 61 นั้น สำนักพัฒนาสังคมจัดกิจกรรมฝึกอาชีพ 10 อาชีพ บริเวณเต็นท์ฝึกอาชีพ ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น. ในวันที่ 27 ก.ค. ฝึกสอน สานชะลอม ขนมทองเอก พานบายศรี ร้อยมาลัย (มาลัยข้อมือ) และของชำร่วย (พัดบุหงา) วันที่ 28 ก.ค. ฝึกสอน ช่อม่วง งานปั้นดิน (ตะกร้าผัก – ผลไม้) งานเพ้นท์ประยุกต์ งานผ้าต่อ (กระเป๋าเก็บกุญแจ) และของชำร่วย (เครื่องหอม)

นอกจากนี้สำนักอนามัยและสำนักการแพทย์ยังจัดทีมให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข อาทิ จัดหน่วยแพทย์พร้อมรถฉุกเฉิน และจัดหน่วยปฐมพยาบาลให้บริการผู้เข้าร่วมกิจกรรม

นอกจากนี้ในวันที่ 26 ก.ค.เวลา 09.00 น. กรุงเทพมหานคร ยังได้จัดกิจกรรม "ทำความดี ด้วยหัวใจ"พัฒนาพื้นที่ริมคลองเปรมประชากร ริมคลองผดุงกรุงเกษม และพัฒนาทำความสะอาดวัดเบญจมบพิตร วัดมกุฎกษัตริยาราม และวัดโสมนัส เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยในพื้นที่ 50 สำนักงานเขตของกรุงเทพมหานครก็จะจัดกิจกรรมพัฒนาทำความสะอาดคู คลอง วัดและโรงเรียน ในวันและเวลาเดียวกัน อีกทั้งกรุงเทพมหานครจะจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ณ บริเวณห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่ากทม. ด้วย

ในวันที่ 27 ก.ค. เวลา 09.00 น. จะมีพิธีปล่อยขบวนไมโครคาร์พาเหรดเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากลานคนเมือง เลี้ยวซ้ายไปถนนบำรุงเมือง ผ่านเสาชิงช้า วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร แยกสำราญราษฎร์ เลี้ยวซ้ายผ่านวัดราชนัดดา เลี้ยวซ้ายผ่านลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ถนนราชดำเนินกลาง เข้าสู่ท้องสนามหลวง

เนื่องในโอกาสมหามงคลครั้งนี้ กรุงเทพมหานครขอเชิญชวนหน่วยงานราชการ เอกชน และประชาชน ประดับพระบรมฉายาลักษณ์ และธงชาติไทย ร่วมกับธงพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. ตามอาคาร สถานที่ทำการ และบ้านเรือน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เป็นต้นไป รวมทั้งสวมใส่เสื้อสีเหลืองตลอดเดือน ก.ค. นี้ 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น