โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

วุฒิสภาแคลิฟอร์เนียผ่านร่าง กม. ฟื้นคืน 'ความเป็นกลางทางเน็ต'

Posted: 01 Jun 2018 10:37 AM PDT

วุฒิสภารัฐแคลิฟอร์เนียผ่านร่างกฎหมายความเป็นกลางทางเน็ต (Net Neutrality) ของตัวเอง หลังจากที่รัฐบาลกลางยกเลิกกฎหมายคุ้มครองความเป็นกลางทางเน็ตในระดับประเทศ ซึ่งกฎหมายของแคลิฟอร์เนียนั้นนอกจากจะมีการคุ้มครองแบบเดียวกับกฎหมายสมัยโอบามาแล้ว ยังเพิ่มข้อห้าม 'ซีโร่เรทติง' (zero-rating) หรือให้บริการฟรีแต่เฉพาะกับการใช้งานของผลิตภัณฑ์ตัวเองด้วย

ที่มาของภาพประกอบ: Max Pixel/สัญญาอนุญาต CC0 Public Domain

1 มิ.ย. 2561 - จากที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารสหรัฐฯ (Federal Communications Commission หรือ FCC) เคยสั่งยกเลิกกฎหมายความเป็นกลางทางเน็ต (Net Neutrality) ในระดับประเทศ เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมา วุฒิสมาชิกของแคลิฟอร์เนียก็ลงนามอนุมัติให้มีการใช้กฎหมายความเป็นกลางทางเน็ตอีกครั้ง

กรณีความเป็นกลางทางเน็ตถูกนำมาพูดถึง หลังจากที่เมื่อปลายปีที่แล้ว FCC ของสหรัฐฯ พยายามจะยกเลิกกฎหมายนี้ซึ่งออกมาในช่วงสมัยรัฐบาลบารัก โอบามา การพยายามยกเลิกของ FCC ทำให้เกิดเสียงคัดค้านจากหลายกลุ่ม เพราะเกรงว่าการขาดกฎหมายกำกับดูแลความเป็นกลางทางเน็ตจะทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารหรือเว็บไซต์ต่างๆ

อย่างไรก็ตามในแคลิฟอร์เนียมีการเสนอร่างกฎหมาย S.B. 822 โดยวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครต สก็อตต์ วีนเนอร์ ตั้งแต่เมื่อเดือน มี.ค. เป็นต้นมา ซึ่งในการโหวตล่าสุดมีการอนุมัติด้วยคะแนนเสียง 23 ต่อ 12 สนับสนุนให้ร่างกฎหมายที่จะกำกับดูแลความเป็นกลางทางเน็ตกลับมาอีกครั้ง ซึ่งจะมีการนำเข้าที่ประชุมสภารัฐแคลิฟอร์เนียต่อไป

วีนเนอร์กล่าวว่าภายใต้รัฐบาลโอบามาประเทศสหรัฐฯ มาถูกทางในแง่การรับประกันอินเทอร์เน็ตที่เปิดกว้าง แต่ FCC ในสมัยทรัมป์กลับทำเรื่องน่าประหลาดใจอย่างการยกเลิกการคุ้มครองความเป็นกลางทางเน็ต

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ในระดับประเทศมีการยกเลิกกฎหมายความเป็นกลางทางเน็ต แต่ในระดับรัฐก็มีการพยายามออกมาตรการในเรื่องนี้ในแบบของตัวเอง มีอัยการสูงสุดมากกว่า 20 ราย ที่เคยยื่นฟ้องร้อง FCC ในเรื่องนี้ มีผู้ว่าการรัฐบางแห่งที่ถึงขั้นพยายามออกคำสั่งพิเศษเพื่อคุ้มครองความเป็นกลางทางเน็ตออกมา ส่วนบางรัฐก็ทำงานร่วมกับฝ่ายนิติบัญญัติในการตอบโต้ ซึ่ง The Verge ระบุว่าการโหวตร่างกฎหมายความเป็นกลางทางเน็ตคืนมาในรัฐแคลิฟอร์เนียถือเป็นการโต้ตอบที่แข็งข้อที่สุดต่อการยกเลิกคุ้มครองของ FCC

กฎหมายของแคลิฟอร์เนียจะมีลักษณะคล้ายกับ 'คำสั่งอินเทอร์เน็ตที่เปิดกว้าง' (Open Internet Order) ที่ออกมาในปี 2558 คำสั่งดังกล่าวห้ามไม่ให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISPs) จำกัดจำนวนการเข้าถึงเว็บไซต์หรือบล็อกเว็บไซต์ เป็นให้ความเท่าเทียมกันในการสัญจรเข้าออกเว็บ (ทราฟฟิก) ต่างๆ

อย่างไรก็ตามกฎหมายของแคลิฟอร์เนียนี้ไปไกลกว่านั้นด้วยการสั่งห้ามไม่ให้ผู้ให้บริการดำเนินการแบบ 'ซีโรเรทติง' (zero-rating) คือให้บริการฟรีแต่เฉพาะกับการใช้งานของบางบริษัท เช่น เฉพาะเฟสบุ๊กที่ฟรีหรือเฉพาะกูเกิลที่ฟรี โดยไม่มีการจำกัดปริมาณข้อมูลสูงสุดต่อเดือนของบริการจากบริษัทนั้นๆ

องค์กรด้านเสรีภาพอินเทอร์เน็ตอิเล็กโทรนิคฟรอนเทียร์ฟาวเดชัน (EFF) แถลงว่ากฎหมายของแคลิฟอร์เนียฉบับนี้ถือเป็นมาตรฐานชั้นดีสำหรับรัฐต่างๆ ที่ต้องการคุ้มครองความเป็นกลางทางเน็ต

กฎหมาย S.B. 822 ของแคลิฟอร์เนียยังได้รับการสนับสนุนจากทอม วีลเลอร์ อดีตประธาน FCC ผู้เป็นหัวหอกในการนำเรื่องความเป็นกลางทางเน็ตเข้าพิจารณาสมัยรัฐบาลโอบามา วีลเลอร์บอกว่า การคุ้มครองนี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและประชาธิปไตยของชาวอเมริกัน

ถ้ามีการผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้จากสภารัฐแคลิฟอร์เนียจะทำให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตไม่สามารถต่อสัญญากับรัฐบาลได้ถ้าหากไม่ทำตามระเบียบการให้ความเป็นกลางทางเน็ต รวมถึงทำให้แคลิฟอร์เนียกลายเป็นรัฐแห่งที่ 3 ที่ออกกฎหมายเช่นนี้ ตามหลังรัฐวอชิงตันและรัฐโอเรกอน

"ในแคลิฟอร์เนีย พวกเราสามารถเป็นผู้นำความพยายามเก็บกวาดความยุ่งเหยิงนี้ แล้วดำเนินการคุ้มครองอินเทอร์เน็ตอย่างครอบคลุม ที่จะให้ความสำคัญกับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของแคลิฟอร์เนียและผู้บริโภคมาก่อนเป็นอันดับแรก" วีนเนอร์กล่าว

เรียบเรียงจาก

California Senate votes to restore net neutrality,  The Verge, 30-05-2018

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คิงส์เกตฯ ฟ้องอนุญาโตฯ แล้ว ม.44 ปิดเหมืองทอง

Posted: 01 Jun 2018 06:02 AM PDT

คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแล้ว อุตฯ เผยตลอดกระบวนการยังสามารถหารือเพื่อหาทางออกร่วมกันได้


ภาพประกอบจากเว็บไซต์ http://www.akararesources.com

 

มติชนออนไลน์ รายงานการเปิดเผยของนายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และประธานคณะกรรมการดำเนินการระงับข้อพิพาทระหว่างราชอาณาจักรไทยกับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ว่า บริษัท คิงส์เกตฯ ได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาท (สเตทเมนท์ ออฟ เคลม) ในกรณีพิพาทกับราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับการประกอบกิจการเหมืองทองของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย-ออสเตรเลีย หรือ ทาฟต้า แล้วเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ในกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นขั้นตอนปกติขั้นแรกของกระบวนการอนุญาโตตุลาการ โดยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมระบุว่า ถือเป็นเพียงการใช้สิทธิของบริษัท คิงส์เกตฯ ภายใต้ทาฟต้า เท่านั้น ยังไม่มีการตัดสินชี้ขาดแต่อย่างใด หลังจากนี้ไทยจะยื่นคำคัดค้านกลับไปที่อนุญาโตตุลาการในเร็วๆ นี้ ขณะที่คณะอนุญาโตตุลาการจะต้องรวบรวมข้อมูลและพิจารณาพยานหลักฐานโดยละเอียดจากทั้งสองฝ่ายก่อนจะมีคำตัดสินชี้ขาดต่อไป โดยตลอดกระบวนการอนุญาโตตุลาการ คู่กรณียังสามารถหารือเพื่อหาทางออกร่วมกันได้

กรณีพิพาทดังกล่าวเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่ง (มาตรา 44) ที่ 72/2559 เรื่องการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำที่ให้ระงับการอนุญาตให้สำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 ทำให้เหมืองทองอัคราต้องหยุดดำเนินการ โดยก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ตัวเลขที่รัฐบาลไทยอาจจะต้องชดเชยความเสียหายจากการปิดกิจการ โดยประเมินจากผลประกอบการที่สูญเสียตลอดอายุสัมทานของบริษัทบริษัท คิงส์เกตฯ เป็นเงินถึง 30,000 ล้านบาท หากอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศชี้ขาดให้รัฐบาลไทยต้องชดใช้

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กกต. สรุป 54 พรรคเดิม ได้สมาชิกคืนมาแค่ 2.90%

Posted: 01 Jun 2018 05:35 AM PDT

1 มิ.ย. 61 พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง แถลงว่า เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่พรรคการเมืองที่มีอยู่เดิมต้องแจ้งยืนยันสมาชิกพรรคการเมืองต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อันเป็นผลจากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 53/2560  เรื่องการดำเนินการตามกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองนั้น มีพรรคการเมืองเดิมแจ้งยืนยันสมาชิกทั้งสิ้น 54 พรรค จำนวนสมาชิกทุกพรรครวมกันทั้งสิ้น 137,479 คน จากจำนวนสมาชิกในระบบบริหารฐานข้อมูลเดิม 4,745,695 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 2.90 โดยมีรายละเอียด ปรากฏอยู่ในเอกสารของ กกต. ดังนี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปรับยุทธศาสตร์ชาติ ผูกมัดรัฐบาลหน้าน้อยลง เข้าครม. 5 มิ.ย.

Posted: 01 Jun 2018 12:46 AM PDT

พล.อ.ประยุทธ์ อยากให้ยุทธศาสตร์ชาติ คล่องตัวไม่ผูกมัดรัฐบาลหน้า ให้ "สศช." ปรับแก้ร่างยุทธศาสตร์ชาติเรื่องตัวชี้วัด จ่อชง "ครม." 5มิ.ย.นี้ ก่อนส่ง "สนช." พิจารณาภายใน 1 เดือน ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ

1 มิ.ย.2561 เวลา 11.15 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นานยกฯและหัวหน้าคสช. เป็นประธานการประชุม ว่า ร่างยุทธศาสตร์ชาติเข้าสู่ที่ประชุมครม.มาแล้ว เมื่อวันที่ 22พ.ค.ที่ผ่านมา แต่มีหลายกระทรวงตั้งข้อสังเกตในร่างยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อแก้ไขไม่ให้เป็นอุปสรรคการทำงาน ครม.เลยมอบให้คณะกรรมการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ (สศช.) ปรับแก้ หนังสือพิมพ์หลายฉบับพาดหัวว่าครม.ปฏิเสธไม่รับร่างยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งไม่จริงเพราะครม.เห็นชอบเพียงให้ปรับแก้ สศช.

เมื่อนำมารายงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ แต่มีบางประเด็นต้องปรับเช่นตัวชี้วัดที่อาจมีผลต่อรัฐบาลหน้า นายกฯต้องการให้ปรับแก้ให้คล่องตัว วันนี้เห็นชอบยุทธศาสตร์ แต่อะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้ผูกมัดรัฐบาลหน้า ขอให้ดึงออกจากยุทธศาสตร์ชาติไปใส่ไว้ในแผนแม่บท เพราะแผนแม่บทมีเวลาดำเนินการและสามารถปรับได้ ทั้งนี้ เมื่อสศช.ปรับแก้แล้วไม่จำเป็นต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติอีก เพราะเป็นเพียงการปรับแก้เพียงเล็กน้อยสามารถนำเข้าสู่การพิจารณาในครม. ในวันที่ 5มิ.ย. นี้ได้เลย แล้วจะส่งให้ สนช. พิจารณาภายใน 1เดือนก่อนเข้าสู่ขั้นตอนนำขึ้นทูลเกล้าฯ

 

ที่มา : เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

#BabaeAko ต้านอำนาจนิยมและการเหยียดเพศของ 'ดูเตอร์เต' ในฟิลิปปินส์

Posted: 01 Jun 2018 12:08 AM PDT

ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในฟิลิปปินส์โต้ตอบกับโวหารและการกระทำเชิงเหยียดเพศหญิงของประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตอร์เตด้วยแฮ็ชแท็ก #BabaeAko รวมถึงใช้เป็นส่วนหนึ่งในการประท้วงเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึก ปล่อยตัวนักโทษการเมือง และยกเลิกการสังหารโดยละเมิดสิทธิมนุษยชน

1 มิ.ย. 2561 กลุ่มผู้รณรงค์ต่อต้านความรุนแรงในครอบครัวและผู้สื่อข่าวเปิดเผยว่าการรณรงค์ #BabaeAko ที่แปลว่า "ฉันคือผู้หญิง" นั้น เป็นแคมเปญออนไลน์เพื่อโต้ตอบกับการเหยียดเพศหญิงของประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต และเป็นการส่งสัญญาณว่าผู้หญิงจะต่อสู้กลับ

กลุ่มด้านสิทธิสตรีในฟิลิปปินส์รณรงค์ในเรื่องนี้หลังจากการใช้โวหารเหยียดเพศครั้งล่าสุดจากประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ที่เปรียบเทียบการมีเมียน้อยว่าเป็นการเตรียม "ยางอะไหล่" ไว้หลังรถ รวมถึงมีกรณีที่ดูเตอร์เตพูดออกสื่อพาดพิงถึงรัฐมนตรีหญิงกระทรวงการท่องเที่ยวในทำนองชักชวนทางชู้สาว

โนเอมี ดาโด นักกิจกรรมประเด็นของผู้หญิงกล่าวว่าการใช้โวหารออกสื่อในแบบของดูเตอร์เตมีความน่าเป็นห่วงเพราะมีผู้ชายฟังเขาอยู่และเป็นการเพาะวัฒนธรรมความรุนแรงต่อผู้หญิง

นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ดูเตอร์เตเคยพูดพาดพิงถึง คริสตีน ลาการ์ด ประธานไอเอ็มเอฟว่า "แค่ดึงเธอมาจูบซะ ...แล้วเธอก็จะเปลี่ยนใจเอง" หลังจากที่มีรายงานจากไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าฟิลิปปินส์จะเกิดภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ในปีนี้ และร้อยละ 3.7 ในปี 2562 และยังมีกรณีที่เคยพูดถึงเจ้าหน้าที่หญิงของทั้งศาลอาญาระหว่างประเทศกับหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติในเชิงวิพากษ์วิจารณ์เนื้อตัวร่างกายหลังจากที่สองหน่วยงานนี้ตรวจสอบเรื่องสงครามยาเสพติดในฟิลิปปินส์

ทั้งนี้ ดูเตอร์เตยังแสดงการกีดกันโดยบอกว่าไม่ควรแต่งตั้งผู้หญิงเป็นอัยการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันหลังจากที่อัยการหญิงคนเดิมกำลังจะเกษียณอายุในเดือน ก.ค. นี้ เขายังเคยจองล้างจองผลาญผู้หญิงในรัฐบาลที่วิพากษ์วิจารณ์เขาเรื่องนโยบายสงครามยาเสพติด กรณีการสั่งคุมขังวุฒิสมาชิกฝ่ายค้านไลลา เดอ ลิมา และสั่งปลดประธานศาลสูงสุด ลัวเดส เซเรโน ออกจากตำแหน่ง

อย่างไรก็ตามนักข่าว อินเดย์ เอสปินา-วาโรนา กล่าวว่าการกระทำของดูเตอร์เตแสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้วเขารู้สึกหวั่นเกรงผู้หญิงที่แข็งข้อต่อเขา เช่นคนที่พร้อมจะตรวจสอบและดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมต่อกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนของดูเตอร์เต วาโรนากล่าวอีกว่า ถึงแม้ดูเตอร์เตทำเป็นชอบพูดจาเหยียดคนอื่น แต่ลึกๆ แล้วเขากลัวว่าผู้หญิงจะต่อต้านความปรารถนาในอำนาจ กลัวว่าผู้หญิงจะต่อต้านแนวทางอำนาจนิยมของเขา

วาโรนาเป็นหนึ่งในคนที่รณรงค์เรื่อง #BaBaeAko อย่างจริงจัง และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้หญิงที่ถ่ายคลิปวิดีโอสั้นๆ ของตัวเองไว้เพื่อพูดสื่อไปถึงดูเตอร์เตโดยตรง "ไม่ว่าจะเป็นสื่อ หรืออัยการ หรือสมาชิกสภานิติบัญญัติ หรือสมาชิกฝ่ายบริหาร ดูเตอร์เตก็มองว่าผู้หญิงไม่ยอมเล่นตามเกมของเขา หรือไม่ยอมร่วมมือกับการลักลอบทำข้อตกลงเบื้องหลังที่ดูจะเป็นเครื่องหมายการค้าของรัฐบาลนี้"

อาร์ลีน โบรซัส หนึ่งใน ส.ส. หญิงร่วมการรณรงค์ในครั้งนี้ด้วย ด้วยการอัดวิดีโอบอกว่าดูเตอร์เตว่า "ฉันต่อต้านการอวดเบ่งข่มคนอื่นด้วยความเป็นชาย ต่อต้านฟาสซิสต์ ชายเป็นใหญ่ และวัฒนธรรมแบบศักดินาของรัฐบาลนี้ ฉันจะสู้"

คริสโตเฟอร์ โก ผู้ช่วยของดูเตอร์เตกล่าวว่าข้อกล่าวหาต่อรัฐบาลจากกระแสการเคลื่อนไหว #BabaeAko นั้น "ไม่แฟร์" และ "เป็นการเมืองอย่างเห็นได้ชัด" โกบอกอีกว่าดูเตอร์เตเป็นคนที่ผลักดันกฎหมายและโครงการที่ส่งเสริมสิทธิสตรีในตอนที่เขาเป็นนายกเทศมนตรีเมืองดาเวา

เรียบเรียงจาก

#BabaeAko: Philippines' Duterte 'intimidated by strong women', Aljazeera, May 31, 2018

#BabaeAko rips Duterte; Palace disputes claims, Philstar, May 24, 2018

การรณรงค์ในทวิตเตอร์

https://twitter.com/stevenbesana/status/1000316657590398976

https://twitter.com/hashtag/babaeako

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘ยมทูตการศึกษา’ บุกหน้ากระทรวงชูป้ายตั้งคำถามโครงการ “คูปองครู”

Posted: 31 May 2018 11:27 PM PDT

1 มิ.ย.2561 ผู้ใช้เฟสบุ๊คในนามเพจยมทูตการศึกษาปรากฏตัวหน้ากระทรวงศึกษาธิการ ชูป้ายตั้งคำถามถึงการศึกษาไทยพร้อมอ่านแถลงการณ์เกี่ยวกับโครงการพัฒนาครูแบบครบวงจร (คูปองครู) ซึ่งดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 2 แล้วว่า ยังมีความสับสนในเรื่องหลักเกณฑ์ในการอบรมและการประเมินหลักสูตร พร้อมกับตั้งคำถาม 3 ข้อไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องว่า หลักสูตรที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับในสากลแต่ขาดวิทยากรที่เป็นครูชำนาญการพิเศษ (ค.ศ.3) ยังถือว่าหลักสูตรนั้นใช้ได้หรือไม่ เนื้อหาในหลักสูตรจะถือเป็นลิขสิทธ์ของผู้เสนอหรือไม่ และหากมีการบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ครูไปอบรมในหลักสูตรที่ไม่สนใจจะมีความผิดหรือไม่และหากครูร้องเรียนจะร้องเรียนที่ไหนและมีความปลอดภัยหรือไม่

 ทั้งนี้ "คูปองครู" เป็นอีกหนึ่งนโยบายของ "หมอธี - นพ.ธีระเกียรติ  เจริญเศรษฐศิลป์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีทั้งปัญหาและเสียงวิจารณ์อย่างมากมาย โดยมีที่มาจากความต้องการในการ"แก้ปัญหาคุณภาพการศึกษา" ไม่ว่าจะเป็นผลการทดสอบการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน(O-Net) หรือการทดสอบระดับนานาชาติ PISA ซึ่งมีคะแนนตกต่ำ รวมถึงการประเมินเข้าสู่"วิทยฐานะ" แบบเดิมที่ครูต้องทำ"ผลงานวิชาการ" ซึ่งเชื่อว่าเป็นเหตุให้ "ครูละทิ้งห้องเรียน" เป็นสาเหตุให้ผลการสอบดังกล่าวของผู้เรียนตกต่ำ จึงเป็นที่มาของโครงการ "คูปองครู" โดยการจัดสรรเงินให้ครูคนละ 10,000 บาท/คน/ปี เพื่อใช้ในการอบรมเพิ่มพูนความรู้ ซึ่งการอบรมดังกล่าวนำไปผูกกับการประเมินเข้าสู่วิทยฐานะ โดยครูต้องผ่านการอบรม 50 ชั่วโมง/ปี 250 ชั่วโมง/ 5ปี และมีชั่วโมงสอน 800 ชั่วโมง/ปี ต่อการเลื่อนวิทยฐานะหนึ่งระดับ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ก้าวอีกขั้นดันกระทรวงใหม่ “การอุดมศึกษา” รมว.วิทย์ยันสำเร็จรัฐบาลนี้

Posted: 31 May 2018 11:00 PM PDT

สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ปลื้มที่ประชุม ทปอ. สกว. สกอ. วช. เห็นด้วย ได้ชื่อ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม โครงสร้างมี 4 กลุ่มงานเพื่อบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ-ไทยแลนด์ 4.0

เมื่อวันที่ 31 พ.ค.2561 นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยหลังร่วมประชุมกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และผู้บริหารสำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย (สกว.) กรณีการจัดตั้งกระทรวงใหม่ที่เกิดจากการควบรวมระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ , สกว.,สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช) ว่า เป็นการร่วมประชุมเพื่อสร้างความเข้าใจ เพื่อให้ได้ภาพรวมของการจัดตั้งกระทรวงใหม่ที่ชัดเจน โดยมีการรับฟังความคิดเห็นและข้อกังวลใจที่เกิดขึ้น

นายสุวิทย์กล่าวว่า ในภาพรวมจากการพูดคุยได้ผลเป็นที่น่าพอใจ มีเพียงเรื่องช่วงเวลาเท่านั้นที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังกังวล แต่ได้สร้างความเชื่อมั่นและทำความเข้าใจในเบื้องต้นแล้วว่า กระทรวงใหม่สามารถดำเนินการจัดตั้งได้ตามกำหนดเวลาแน่นอน คือ ภายในรัฐบาลนี้ เนื่องจากมีความคืบหน้าในหลายส่วน ทั้ง พ.ร.บ.สำคัญที่เกี่ยวข้อง ใช้เวลาอีกไม่นานก็จะแล้วเสร็จ ส่วนโครงสร้างการทำงานของกระทรวง ทุกฝ่ายเข้าใจร่วมกันเป็นอย่างดี ในเรื่องการสร้าง ส่งเสริมกำลังคน ด้วยงานวิจัยที่ครอบคลุมทุกเรื่อง ทั้งเศรษฐกิจ สังคม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ให้ตอบโจทย์ตามยุทธศาสตร์ชาติ ก้าวสู่ยุค 4.0

รมว.วิทยาศาสตร์ฯ กล่าวต่อว่า สำหรับกระทรวงใหม่จะชื่อ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม โครงสร้างของกระทรวง เบื้องต้นประกอบไปด้วย 4 กลุ่มงาน ได้แก่ กลุ่มนโยบายและยุทธศาสตร์ กลุ่มสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมไทย กลุ่มมหาวิทยาลัยเชิงวิจัย กลุ่มมหาวิทยาลัยเชิงพื้นที่ ที่หลายฝ่ายกังวลว่า กระทรวงใหม่เน้นเรื่องวิทยาศาสตร์จนลืมภาคสังคม ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เน้นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างเศรษฐกิจ สังคม เชิงนวัตกรรม ให้มหาวิทยาลัยสร้างและพัฒนาคนขึ้นมาเพื่อตอบสนองไทยแลนด์ 4.0 โครงสร้างกระทรวงใหม่ จะมีการตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม ประกอบด้วยกองทุนย่อย 3 กองทุน คือ 1.กองทุนพัฒนาการอุดม-ศึกษาและการวิจัย 2.กองทุนวิจัยเพื่อพัฒนาสังคมและพื้นที่ 3.กองทุนวิจัยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ซึ่งจะทำให้งานวิจัยของประเทศไทยได้รับการพัฒนาขึ้นและมีความเป็นเอกภาพ

นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในฐานะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ที่เข้าร่วมประชุมด้วย กล่าวว่า การจัดตั้งกระทรวงใหม่นั้น เห็นด้วยเป็นอย่างมากในหลายประเด็น เนื่องจากกระทรวงใหม่ถือเป็นการสร้างกำลังคน ผลักดันงานวิจัย เพื่อพัฒนาประเทศ ให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี สู่การก้าวเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยจะส่งผลให้ภาคการศึกษาระดับอุดมศึกษามีเสรีภาพทางวิชาการมากขึ้นเป็นการใช้งานวิจัย ส่งเสริมกำลังคน สร้างผลงานเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ อีกทั้งการควบรวมยังเป็นการบูรณาการทำงานจากหลายภาคส่วน ที่ยังคงลักษณะงานเดิมไว้ เพื่อบรรลุเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน

 

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: คนเท่ากัน!

Posted: 31 May 2018 10:25 PM PDT



ทุกคนต่างมีหลายชีวิตต้องดูแล
ไร้ข้อแม้ ต้องดูแล ร้อยเหตุผล
คนเกิดจากคน จึงต้อง ดูแลคน
เอาแค่ ตนรอดได้ ไม่ใช่คน

นอกจากนั้น ยังต้อง มีเรื่องเยอะ
บานเบอะ มากมาย ต้องอดทน
จิตใจ ต้องแข็งแกร่ง อึดและทน
จนกว่าจะ พ้นหรือตาย จากกันไป

ลูกหลาน พ่อแม่ เหลนโหลน ญาติ
เราไม่อาจ เลี่ยงหลีก ทอดทิ้งได้
อาจห่างกัน สักพัก ต้องกลับไป
ดูแล เยียวยาใจ ประคับประคอง

อีกประการ ก็เรื่อง ความฝันงัวงาน
การมีบ้าน มีรถ ตามครรลอง
นี่ก็ใช้ เวลา เรี่ยวแรงจนจิตหมอง
ไหนจะเรื่อง ปากท้อง ทุกวี่วัน

ทุกคน ต่างก็มี เส้นทางเดิน
มองผิวเผิน ทุกก้าวเดิน สวยดั่งฝัน
ความจริง ยากยิ่งนัก ต้องบากบั่น
นี่แหละ คนเท่ากัน ประชาธิปไตย.

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วัฒนา เมืองสุข: นับถอยหลัง คสช.

Posted: 31 May 2018 09:47 PM PDT



ในที่สุดกฎหมายสองฉบับที่จำเป็นสำหรับการเลือกตั้งประกอบด้วย (1) พรป. วุฒิสมาชิก และ (4) พรป. สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ก็ได้ผ่านการตีความว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขั้นตอนต่อไปคือการนำขึ้นทูลเกล้าเพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธย จากนั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้ นับจากนี้เป็นต้นไปหลายฝ่ายเชื่อว่าจะเป็นการนับถอยหลังเพื่อสิ้นสุดความอัปยศของประเทศที่ถูกปกครองโดยรัฐบาลทหาร

ผมไม่เคยเชื่อว่า คสช. อยากจะคืนอำนาจให้ประชาชน แต่ด้วยความด้อยสติปัญญาคนพวกนี้จึงไม่สามารถบริหารประเทศให้เจริญก้าวหน้าเป็นที่ยอมรับของประชาชน การถอยลงจากอำนาจจึงมิได้เกิดจากความเต็มใจแต่ไม่อาจยื้อต่อเพราะกลัวจะถูกประชาชนออกมาขับไล่

ก็ขนาดโพลในเพจที่ตั้งขึ้นเพื่อเชียร์ตัวเองยังมีคนโหวตไม่ให้อยู่ต่อถึง 90% แม้แต่คนกันเองที่เคยเป่านกหวีดเรียกให้มายึดอำนาจและแสดงตัวตลอดมาว่าจะสนับสนุนให้เป็นนายกต่อไปยังต้องออกมาปฏิเสธแบบไม่อายว่าไม่เคยพูด

เข้าตำราหมาตายเห็บโดดหนีทุกประการ

สิ่งที่ คสช. จะต้องกระทำจากนี้ไปคือการเตรียมประเทศเข้าสู่การเลือกตั้ง ด้วยการยกเลิกบรรดาประกาศและคำสั่งอัปยศทั้งหลายที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพประชาชน เช่น คำสั่งห้ามชุมนุมทางการเมือง หรือคำสั่งที่ห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรม รวมทั้งคำสั่งตามมาตรา 44 เป็นต้น หากยังไม่สำเหนียกก็คงเป็นหน้าที่ของผู้รักประชาธิปไตยทุกคนที่ต้องแสดงพลังออกมาขับไล่เผด็จการเพื่อทวงคืนอำนาจ

ประชาชน สื่อมวลชนหรือพรรคการเมืองอย่าเพิ่งวางใจว่าเผด็จการจะยอมคืนอำนาจโดยง่าย แต่ทุกคนต้องเชื่อมั่นในศักยภาพและศักดิ์ศรีของเจ้าของประเทศ ดูจากวันครบรอบ 4 ปีของการรัฐประหารที่ทุกภาคส่วนได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เมื่อพวกเรายืนขึ้นพร้อมกันเผด็จการก็ไม่อาจต้านกระแสของประชาชนได้ หรืออยากจะท้าทายอำนาจของประชาชนก็ลองดู

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: Facebook Watana Muangsook

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปัญหาใหญ่และความโกลาหล: กรณีการจ้างพนักงานและลูกจ้างนอกงบประมาณ

Posted: 31 May 2018 09:37 PM PDT



ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ้างพนักงานและลูกจ้างโดยใช้เงินนอกงบประมาณ กำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่และคงหนีไม่พ้นที่จะต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง การออกระเบียบนี้

สะท้อนถึงส่วนหนึ่งของปัญหาการใช้เงินนอกงบประมาณและการจ้างพนักงานและลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐทั้งระบบ ที่ยังไม่มีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณากันในภาพรวม

ที่ผ่านมา หน่วยงานของรัฐจำนวนมากต้องดิ้นรนหารายได้ เพราะได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ การใช้เงินนอกงบประมาณในเรื่องต่างๆ นั้น นอกจากไม่มีใครห้ามแล้ว หลายหน่วยงานยังถูกตั้งเงื่อนไขในการของบประมาณให้ใช้เงินนอกงบประมาณสมทบในโครงการต่างๆ ด้วย

มีหน่วยงานของรัฐจำนวนมากในหลายกระทรวงที่ใช้เงินนอกงบประมาณในการจ้างพนักงานและลูกจ้างกันอยู่ ที่มากเป็นพิเศษได้แก่โรงพยาบาลต่างๆ มหาวิทยาลัยต่างๆ โรงเรียนต่างๆ เป็นต้น เมื่อมีระเบียบออกมาบอกว่าให้หน่วยงานของรัฐหลีกเลี่ยงการใช้เงินนอกงบประมาณจ้างพนักงานและลูกจ้าง และถ้าจำเป็นต้องจ้างก็ให้ทำความตกลงกับกรมบัญชีกลางเสียก่อน ก็ย่อมเกิดความโกลาหลขึ้นแน่

เพราะหลายหน่วยงานจะอยู่ในสภาพที่ไม่รู้จะเอางบประมาณที่ไหนมาใช้แทนและถ้ารอทำความตกลงกับกรมบัญชีกลางก็อาจจะต้องเข้าคิวรอความเห็นของกรมบัญชีกลางนาน จนกระทั่งเสียหาย เพราะขาดแคลนคนทำงาน ถ้าเป็นอย่างนั้นขึ้นมา ก็ย่อมจะกระทบผู้รับบริการทั้งหลาย จนทำให้มีองค์กรของผู้รับบริการอีกจำนวนมากกำลังจะเคลื่อนไหวคัดค้านการออกระเบียบนี้

ผมเชื่อว่า อย่างไรเสียระเบียบนี้คงใช้ต่อไปอย่างนี้ไม่ได้ คงจะต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแน่

แต่ทางออกในเรื่องนี้ ควรเป็นยังไง ถ้ายกเลิกระเบียบนี้แล้วจะใช้อะไรมาแทน หรือถ้าจะแก้ไขปรับปรุงระเบียบนี้ จะแก้เป็นอย่างไร

ความจริงปัญหาเกี่ยวกับเงินนอกงบประมาณและปัญหาเกี่ยวกับพนักงานและลูกจ้างมีอีกหลายแง่มุม ไม่ใช่แค่ปัญหาที่กรมบัญชีกลางและกระทรวงการคลังกำลังพยายามจะแก้ด้วยการออกระเบียบในครั้งนี้

ผมจำได้ว่า ในตอนที่เป็นกรรมาธิการงบประมาณอยู่หลายครั้ง เคยมีการหยิบยกประเด็นว่า หน่วยงานจำนวนมากมีเงินนอกงบประมาณอยู่และในบางโครงการใช้เงินนอกงบประมาณ บางโครงการใช้เงินงบประมาณและบางโครงการใช้เงินทั้งสองประเภท

แต่กรรมาธิการมักไม่ได้ดูหรือดูไม่ได้ว่า เงินนอกงบประมาณที่ใช้ในโครงการต่างๆ ไม่เฉพาะการจ้างพนักงานและลูกจ้างนั้น ใช้อยู่อย่างไร ทั้งๆ ที่เงินนอกงบประมาณของบางหน่วยงาน นอกจากได้มาจากการบริจาคแล้ว ก็ได้มาจากใช้งบประมาณของรัฐไปทำกิจกรรมหรือการใช้ทรัพย์สินของทางราชการไปหาประโยชน์หรือรายได้เข้ามา

นอกจากนี้ เมื่อไม่ทราบว่า มีการใช้เงินนอกงบประมาณไปอย่างไร ก็ทำให้วิเคราะห์ไม่ได้ว่า จำเป็นที่ต้องให้งบประมาณมากน้อยเพียงใด เข้าใจว่าถึงวันนี้ เรื่องนี้ก็ยังไม่ลงตัว ยังคงเป็นปัญหาอยู่

ส่วนเรื่องพนักงานและลูกจ้างก็มีปัญหาอยู่ เช่น สวัสดิการ สิทธิประโยชน์ความมั่นคงในอาชีพและเส้นทางความก้าวหน้าควรจะปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างไร นอกจากนั้นยังมีปัญหาในเชิงระบบ คือ ไม่มีใครดูภาพรวมได้ว่าประเทศกำลังมีพนักงานลูกจ้างมากหรือน้อยเกินไปหรือไม่อย่างไร จะเพิ่มหรือลด กลายเป็นแต่ละหน่วยงานตัดสินใจกันเอง ยิ่งมีเงินนอกงบประมาณมากและสามารถใช้จ้างพนักงานและลูกจ้างกันได้ตามอัธยาศัย ก็ยิ่งไม่มีทางที่ใครจะดูแลภาพรวมในเรื่องนี้ได้

การมีพนักงานและลูกจ้างมาก ยังเชื่อมโยงกับการที่รัฐจะต้องดูแลในเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ ซึ่งก็ต้องใช้งบประมาณ นอกจากนี้ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐบางหน่วยงานก็ต้องการได้รับบรรจุเป็นข้าราชการเพื่อความมั่นคงทางอาชีพที่สูงขึ้น ในกรณีที่หน่วยงานขาดแคลนบุคลากรที่จะมาเป็นข้าราชการ การปรับจากลูกจ้างมาเป็นข้าราชการก็อาจช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนได้ แต่ในกรณีที่มีคนต้องการเข้ารับราชการมาก แต่มีตำแหน่งน้อย การปรับพนักงานหรือลูกจ้างเป็นข้าราชการ ก็อาจจะขัดแย้งกับการรับคนเข้าเป็นข้าราชการ ซึ่งมีหลักเกณฑ์คุณสมบัติที่ต่างกัน เรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับการบริหารงานบุคคลด้วย

จะเห็นว่า เรื่องเงินนอกงบประมาณกับพนักงานและลูกจ้างนี้มีปัญหาที่จะต้องพิจารณาในหลายมิติและเกี่ยวข้องกับหน่วยงานหลายหน่วยงาน การจับประเด็นแบบเฉพาะเจาะจงลงไปที่เรื่องการจ้างพนักงานและลูกจ้างโดยใช้เงินนอกงบประมาณเพียงเรื่องเดียวและดำเนินการโดยกรมบัญชีกลางและกระทรวงการคลังเพียงลำพัง จึงไม่อาจแก้ปัญหาที่อีนุงตุงนังได้ และย่อมเกิดปัญหาตามมาแน่นอน

ทางออกในเรื่องนี้ คงไม่ใช่ยกเลิกระเบียบแบบแล้วก็แล้วกันไป เพราะนอกจากเป็นการเก็บสะสมปัญหาต่างๆ ต่อไปแล้ว ยังจะทำให้กระทรวงการคลังขาดความน่าเชื่อถือไปด้วย ทางที่ดีรัฐบาลจึงควรเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่ได้รับผลกระทบทั้งหลายได้ให้ข้อมูลและแสดงความเห็นอย่างเต็มที่ และเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหลายมาหารือกัน เพื่อดูแลปัญหาในภาพรวมและแก้ปัญหาที่เป็นเรื่องเฉพาะ

หน่วยงานที่ควรจะมาหารือกัน นอกจากกรมบัญชีกลางและกระทรวงการคลัง แล้ว ก็น่าจะมีสำนักงบประมาณ สำนักงานกพ. กพร.และหน่วยงานที่มีเงินนอกงบประมาณอยู่มากหรือใช้เงินนอกงบประมาณจ้างพนักงานและลูกจ้างอยู่มากๆ เป็นต้น

การออกระเบียบกระทรวงการคลังครั้งนี้ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการแก้ปัญหาเป็นจุดๆ โดยไม่มองภาพรวม ขาดการปรึกษาหารือฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จนกลายเป็นสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา เรื่องลักษณะนี้ดูจะเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภายใต้การบริหารของรัฐบาลนี้ รัฐบาลที่ท่องคาถาปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้งแบบนกแก้วนกขุนทองมา 4 ปีแล้ว

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดึง ‘แรมโบ้อีสาน’ ร่วมพรรคพลังพลเมืองไทย

Posted: 31 May 2018 08:10 PM PDT

แรมโบ้อีสาน ร่วมงานพรรคพลังพลเมืองไทย วางให้ดูแลเกษตรกรอีสาน แย้มเล็งทาบอดีต ส.ส.อีกหลายคนร่วมงาน  "โสภณ เพชรสว่าง" เห็นด้วยพรรคอนาคตใหม่รื้อรัฐธรรมนูญหนุนโมเดล สสร.ปี 40

เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 61 นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ หัวหน้าพรรคพลังพลเมืองไทย กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของพรรคในการหาตัวผู้สมัครลงเลือกตั้งว่า ขณะนี้พรรคได้ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย และอดีตแกนนำ นปช. หรือ แรมโบ้อีสาน ตอบรับมาร่วมงานกับเรา หลังจากก่อนหน้านี้ได้พูดคุยกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม จะให้นายสุภรณ์ดูแลเกษตรกรภาคอีสาน เพราะมีประสบการณ์ อาทิ เรื่องอ้อย และน้ำตาล ในสัปดาห์หน้าจะมีการแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องราคาสินค้าเกษตร ระบบการเกษตรของคนไทยร่วมกันด้วย นอกจากนายสุภรณ์แล้ว พรรคกำลังเดินหน้าพูดคุยกับบุคคลที่จะมาร่วมงานกับเรา มีอดีต ส.ส.เกือบทุกภาคที่คุยกันอยู่ บรรยากาศราบรื่นเป็นไปด้วยดี แต่ต้องรอหลังจากกฎหมายลูกการเลือกตั้ง ส.ส.ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ พรรคจะเริ่มทยอยเปิดตัวอดีต ส.ส.ที่จะมาร่วมงานกับเราในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้

นายโสภณ เพชรสว่าง รองหัวหน้าพรรคพลังพลเมืองไทย และอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงพรรคอนาคตใหม่ ชูประเด็นแก้รัฐธรรมนูญโมเดลเดียวกับ สสร.ปี 40 หลังการเลือกตั้งว่า เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ควรแก้เฉพาะประเด็นที่เป็นปัญหา อาทิ การให้ ส.ว.มามีส่วนโหวตคนเป็นนายกฯ และคนที่จะมาเป็นนายกฯ ควรกลับไปใช้แบบเดิม คือ ต้องเป็น ส.ส.เท่านั้น การตัดสิทธิสมัครรับราชการสำหรับผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และการลงคะแนนแทนผู้พิการเหล่านี้มีไว้ไม่เหมาะสม บางเรื่องจะเกิดข้อครหานินทา อย่างไรก็ตาม ถ้าเทียบตอนนี้กับสมัยปี 2540 ในฐานะที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ ถือว่าบรรยากาศขณะนี้เอื้อแล้วที่จะแก้รัฐธรรมนูญหลังการเลือกตั้ง แต่สำคัญอยู่ที่ผู้นำว่าจะเอาอย่างไร แน่นอนด้านการทหารเราจะไปสู้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. คงไม่ได้ แต่ด้านการเมืองต้องให้การเมืองแก้กันเอง เอาทุกพรรคการเมือง นักวิชาการ กลุ่มสตรี เกษตรกร ชาวนา และคนรุ่นใหม่มาร่วม ต้นแบบไม่ยากมีโมเดลปี 40 ไว้เป็นตุ๊กตาแล้ว ถ้าเร่งทำกันจริงๆ ไม่เกิน 3 เดือนน่าจะแล้วเสร็จ

 

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หนุ่มกัมพูชาผู้ต้องหาทำข่าวปลอมนายกฯ ยอมเดินทางกลับมารับข้อกล่าวหา

Posted: 31 May 2018 07:57 PM PDT

ตามนโยบายรัฐบาลและการปฏิบัติการโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำการปราบปรามองค์กรอาชญากรรมที่ทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาลและเศรษฐกิจของประเทศ กรณีมีการโพสต์บทความลงในอินเตอร์เน็ต พาดหัวข่าวว่า "บิ๊กตู่" ฟิวขาด ด่ากราดปปช. ไล่ให้เติม "น้ำเปล่า" แทนดีเซล อย่าโง่ วอนประชาชนอย่าเรื่องมาก" ต่อมาศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับ นายรัตนะ เฮง (Mr.Ratanak Heng) สัญชาติกัมพูชา ในความผิดฐาน "นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน" อันเป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาชาวไทยจำนวน 6 ราย ซึ่งเป็นผู้แชร์ต่อข้อมูลข่าวอันเป็นเท็จดังกล่าว

ต่อมา 31 พ.ค. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. หัวหน้าชุดปฏิบัติการพร้อมด้วยพร้อมทีมเจ้าหน้าที่ได้เดินทางไปยังกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อเข้าพบ นาย เซา ซก คา รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการหน่วยรักษาความปลอดภัยฝ่ายพลเรือนของกัมพูชา เพื่อร่วมหารือแนวทางการทำงาน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชาได้เชิญตัวนายรัตนะ เฮง มาพูดคุย และทำความเข้าใจ โดยนายรัตนะ เฮง ยินยอมเดินทางพร้อมกับ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ไปยังประเทศไทยเพื่อเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ปอท. ต่อไป

จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่านายรัตนะ จบการศึกษาด้านไอที และทำงานด้านการค้าอัญมณี รวมถึงบิทคอยด์ ซึ่งเป็นสกุลเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยพบว่าได้มีการโพสต์ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับรัฐบาลไทย และนายกรัฐมนตรี ถึงสามครั้ง ซึ่งอยู่ในระหว่างการสืบสวนว่านายรัตนะ เฮงมีส่วนพัวพันกับการยุยงปลุกปั่นให้เกิดปัญหาความมั่นคงในประเทศไทยหรือไม่ และมีใครอยู่เบื้องหลังในการจ้างวานให้โพสต์ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือไม่

 

 

ที่มา: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รอบโลกแรงงานพฤษภาคม 2018

Posted: 31 May 2018 07:02 PM PDT

แรงงานฟิลิปปินส์เรียกร้องยกเลิกสัญญาจ้างระยะสั้น

เมื่อวันที่ 1 พ.ค. กลุ่มแรงงานในฟิลิปปินส์เดินขบวนเนื่องในวันแรงงานสากล เรียกร้องให้ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ทำตามที่หาเสียงเลือกตั้งไว้เมื่อสองปีก่อนว่าจะยกเลิกสัญญาจ้างงานระยะสั้น สหภาพแรงงานในฟิลิปปินส์ระบุว่าแม้ประธานาธิบดีดูเตอร์เตขู่หลังเข้ารับตำแหน่งว่าจะปิดบริษัทที่จ้างงานระยะสั้น แต่ปัจจุบันก็ยังคงมีพฤติกรรมเช่นนี้อยู่ โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารจานด่วนที่จ้างงานระยะสั้นเพื่อเลี่ยงการให้สิทธิประโยชน์

ประมาณว่ามีแรงงานและนักเคลื่อนไหวร่วมเดินขบวนมากถึง 10,000 คน ส่วนทางการส่งทหารและตำรวจร่วม 8,000 คน ดูแลความเรียบร้อย

ที่มา: businessinsider.com, 1/5/2018

แรงงานสหรัฐฯ ประท้วงนโยบายกวาดล้างคนเข้าเมือง

กลุ่มแรงงาน สหภาพแรงงาน และนักสิทธิแรงงานได้เดินขบวนต่อต้านนโยบายกวาดล้างคนเข้าเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐว่าเป็นการทำร้ายแรงงานด้อยโอกาสผู้ได้รับค่าจ้างต่ำที่สุดในประเทศ โดยจุดที่มีคนเดินขบวนมากที่สุดคือนครลอสแอนเจลิส

การเดินขบวนหลายแห่งตำหนิรัฐบาลทรัมป์ที่จะยุติการคุ้มครองผู้เข้าเมืองจากประเทศที่เผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือความขัดแย้งอย่างนิการากัว เฮติ เอลซัลวาดอร์ ซูดาน และเนปาล อีกทั้งยังพยายามจะยกเลิกโครงการคุ้มครองผู้ลอบเข้าเมืองขณะยังเป็นเยาวชนที่ริเริ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลบารัค โอบามา นโยบายเหล่านี้จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่แรงงานไร้เอกสารที่ทำงานค่าแรงต่ำและไม่มีสหภาพแรงงาน เช่น ร้านฟาสต์ฟูด งานดูแลเด็ก งานในภาคการเกษตร

ที่มา: Daily Mail, 1/5/2018

ฝรั่งเศสจับ 200 ผู้ประท้วงวันแรงงาน

เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ตำรวจกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จับกุมผู้ชุมนุมที่สวมหน้ากากปกปิดใบหน้าราว 200 คน หลังพังกระจกร้านค้าและวางเพลิงรถยนต์ในระหว่างชุมนุมประท้วงเนื่องในวันแรงงาน กลุ่มอนาธิปไตยฝ่ายซ้ายซึ่งรู้จักในนาม "กลุ่มดำ" (Black Blocs)ได้ใช้ความรุนแรงและทำลายการชุมนุมอย่างสันติวิธีของคนกลุ่มใหญ่ที่มุ่งต่อต้านการปฏิรูปแรงงานของนายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส

ตำรวจกล่าวว่า ผู้ประท้วงประมาณ 1,200 คนสวมหน้ากากและหมวกโม่งเข้าร่วมการชุมนุมประจำปีเนื่องในวันแรงงาน จัดโดยสหภาพแรงงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลได้เข้าควบคุมสถานการณ์ด้วยการฉีดแก๊สน้ำตาและปืนฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อสลายการชุมนุม แต่ผู้ชุมนุมพยายามเคลื่อนขบวนต่อ ก่อนพังกระจกร้านค้าที่อยู่ข้างทาง และจุดไฟหน้าร้านแมคโดนัลด์ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ ออสแตร์ลิตซ์ ทำให้รถหลายคันที่จอดอยู่บริเวณดังกล่าวถูกเผาไหม้

นายเบนจามิน กรีโวลล์ โฆษกรัฐบาลฝรั่งเศส ได้ออกมาวิจารณ์การปกปิดใบหน้าของกลุ่มผู้ประท้วง โดยระบุว่า "ถ้าคุณเชื่อมั่นและบริสุทธิ์ใจจริง ๆ คุณต้องเปิดหน้าชุมนุม" และว่า "บรรดาคนที่สวมหมวกโม่งถือเป็นศัตรูของระบอบประชาธิปไตย"

ความไม่พอใจอย่างกว้างขวางเกิดขึ้นต่อแผนปฏิรูปแรงงานของประธานาธิบดีมาครง พนักงานการรถไฟ SNCF เริ่มหยุดงานทั่วประเทศและหยุดเดินรถสามเดือน หลังรัฐบาลวางแผนยกเครื่องการรถไฟ ขณะเดียวกัน ครู พยาบาล และแรงงานอื่น ๆ หลายหมื่นคนได้เข้าร่วมการชุมนุมกับพนักงานการรถไฟเมื่อเดือน มี.ค. ทว่าประธานาธิบดีมาครงระบุว่าเขาจะไม่ทบทวนวาระปฏิรูปนี้

สหภาพแรงงานกล่าวว่า ตัวเลขผู้ชุมนุมอย่างสันติเมื่อวันอังคารอยู่ที่ 55,000 คน แต่ตำรวจประเมินว่ามี 20,000 คนเท่านั้น อย่างไรก็ดีจำนวนดังกล่าวยังถือว่าเป็นตัวเลขที่น้อย หากเทียบกับการชุมนุมต่อต้านแผนปฏิรูปเมื่อเดือน ก.ย. 2017 ซึ่งมีผู้เข้าร่วม 223,000 คน

ที่มา: BBC, 2/5/2018

สวีเดนขาดแคลนแรงงานภาครัฐ ส่งผลกระทบต่อระบบสวัสดิการในประเทศ

รัฐบาลสวีเดนกำลังเผชิญกับการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ แม้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แรงงานในตลาดแรงงานสวีเดนจะเพิ่มขึ้นถึง 488,000 คน แต่มีเพียงแค่ 1 ใน 3 เท่านั้นที่ทำงานกับภาครัฐ ในแต่ละปีจะให้งบประมาณแก่ท้องถิ่น 5 พันล้านโครน เพื่อนำไปเป็นงบประมาณของโรงเรียน โรงพยาบาลและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ขณะเดียวกัน มีการคาดการณ์ว่าในทศวรรษหน้าประชากรสวีเดนจะเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10 หรือเพิ่มเป็น 11 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากผู้อพยพที่เข้ามาก่อนปี 2015 ขณะที่จำนวนผู้สูงอายุยังเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะทำให้รัฐต้องเพิ่มงบประมาณในการดูแลสวัสดิการของประชาชนเพิ่มขึ้น

ที่มา: bloomberg.com, 15/5/2018

โรงงาน Kellogg ยุติการผลิต-ลอยแพคนงานในเวเนซุเอลา

โรงงาน Kellogg ในเมืองมาราไก เวเนซุเอลา ยุติการผลิตและลอยแพคนงาน 300 คน ในขณะที่เวเนซุเอลากำลังเผชิญวิกฤติขาดแคลนอาหาร โดยให้เหตุผลว่าสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศกำลังเสื่อมโทรมอย่างหนัก

ที่มา: fortune.com, 15/5/2018

ชาวอเมริกันเกือบกึ่งหนึ่งกังวลเกี่ยวกับการเงินหลังเกษียณ

ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนของบริษัทแกลลัพ (Gallup) พบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของชาวอเมริกันบอกว่า ชีวิตจะไม่สะดวกสบายนักหลังเกษียณอายุจากการทำงาน เพราะจะไม่มีเงินพอใช้จ่าย จำนวนชาวอเมริกันที่กังวลในเรื่องนี้มีจำนวนลดลง เมื่อเทียบกับผลการสำรวจความคิดเห็นเรื่องเดียวกันนี้ซึ่งจัดทำขึ้นทันทีภายหลังเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2551 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ก็ถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากการสำรวจจากปี พ.ศ. 2545 กับ พ.ศ. 2547 ซึ่งในตอนนั้น ชาวอเมริกันร้อยละ 32 และร้อยละ 36 บอกว่าชีวิตจะไม่สุขสบายหลังเกษียณ เพราะรายได้อาจจะไม่พอจ่าย

และที่สำคัญกว่านั้น ผลการสำรวจล่าสุดพบว่าจำนวนชาวอเมริกันที่มีความกังวลเกี่ยวกับการมีเงินไม่เพียงพอสำหรับชีวิตหลังเกษียณ เพิ่มมากขึ้นกว่าจำนวนคนที่กังวลว่าจะมีเงินไม่พอจ่ายค่ารักษาพยาบาล หากเกิดเจ็บป่วยฉุกเฉิน ชีวิตหลังเกษียณอายุจากการทำงานยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่สร้างความกังวลในสหรัฐฯ ในห้วงที่มีจำนวนชาวอเมริกันที่เกิดในช่วง "เบบี้บูม" กำลังเริ่มเกษียณอายุกันอย่างต่อเนื่อง

และจากตัวเลขทางสถิติจากหน้าเว็บไซท์ FiveThirtyEight ชี้ว่า ชาวอเมริกันเกือบ 25 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ ทั้งหมด เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1946 และ 1964 ซึ่งเป็นปีที่ใช้เรียกว่าเป็นคนรุ่นเบบี้บูม และหากคำนวณเเล้ว คิดเป็นจำนวนมากกว่า 75 ล้านคน และยิ่งไปกว่านี้ ในขณะที่คนเหล่านี้เกษียณอายุไป สหรัฐฯ จะมีจำนวนคนทำงานลดลงในการช่วยพยุงอนาคตของคนวัยเกษียณรุ่นต่อไปในอนาคต

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ยังมีแรงกดดันอีกอย่างหนึ่งต่อระบบเกษียณอายุของสหรัฐฯ นั่นก็คือคนในสหรัฐฯ มีอายุยืนกันมากขึ้นในปัจจุบัน โดยตัวเลขจากทางการสหรัฐฯ ชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนาน 20 ปีหลังเกษียณอายุ

ชาวอเมริกันมักเก็บออมเพื่อชีวิตหลังเกษียณหลายวิธีด้วยกัน รวมทั้งการเก็บออมเงินเข้ากองทุนเกษียณที่บริษัทผู้ว่าจ้างงานให้การสนับสนุน เงินออมในธนาคาร ตลอดจนการลงทุนเเละระบบประกันสังคมของสหรัฐฯที่เรียกว่า Social Security

ผลการสำรวจของบริษัทแกลลัพครั้งนี้ สะท้อนผลการวิจัยของศูนย์การวิจัยพิว (Pew Research Center) เมื่อปี พ.ศ. 2555 ที่พบว่าชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ 38 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่าไม่มั่นใจมากนัก หรือ ไม่มั่นใจเลย ว่าจะมีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ อย่างไรก็ตาม บริษัทแกลลัพพบว่าชาวอเมริกันกลุ่มที่เกษียณอายุไปแล้ว มีความเห็นทางบวกมากกว่า โดยกล่าวว่า ในระหว่างปี พ.ศ. 2548 กับ 2561 มีชาวอเมริกันเกษียณอายุเเล้วประมาณ 72 - 79 เปอร์เซ็นต์ที่บอกว่า มีชีวิตที่สะดวกสบายดีเพราะมีเงินพอใช้จ่าย

บริษัทแกลลัพชี้ว่ามีเหตุผลหลายประการที่ทำให้เกิดความเเตกต่างกันอย่างมากนี้ ทางบริษัทชี้ว่าเป็นไปได้ว่าผู้เกษียณอายุเเล้วอาจมีเงินบำนาญมากกว่าคนที่ยังทำงานอยู่ หรือได้เก็บออมเงินไว้ได้มากกว่าในช่วงที่ยังอายุน้อย เเละอาจได้รับเงินสวัสดิการจากระบบเงินประกันสังคมยังเหมือนเดิมมานานหลายสิบปี

บริษัทแกลลัพชี้ว่า เมื่อเกษียณอายุ ชาวอเมริกันอาจจะรู้จักประหยัดมากขึ้นเพื่อให้มีเงินพอใช้จ่าย และอาจจะจำเป็นต้องใช้เงินน้อยกว่าที่คาดเอาไว้ก่อนเกษียณ ในขณะเดียวกัน คนที่ยังไม่เกษียณที่อาจจะคาดว่าระบบประกันสังคมจะมีปัญหาทางการเงินในอนาคตหรืออาจจะกังวล เพราะไม่ได้เก็บออมเพื่อการเกษียณอายุส่วนตัวอื่นๆ หรือรู้สึกไม่มั่นใจในเศรษฐกิจของประเทศ เเละได้รับคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงินอยู่ตลอดเวลาว่าชาวอเมริกันไม่เก็บออมเงิน

ผลการสำรวจปี พ.ศ. 2559 พบว่า ชาวอเมริกัน 66 ล้านคนไม่มีเงินเก็บเลยแม้เเต่ดอลลาร์เดียว เพื่อใช้จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน บริษัทแกลลัพ รายงานว่าชาวอเมริกันที่รู้สึกมั่นใจน้อยที่สุดเกี่ยวกับการเงินหลังเกษียณ เป็นกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีหรือน้อยกว่า ในขณะที่ 80 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มีรายได้ระหว่าง 30,000 กับ 75,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ต่อปี รู้สึกดีกับการเก็บออมเพื่อการเกษียณ

ที่มา: VOA, 16/5/2018

สำนักงานตรวจสอบมาตรฐานแรงงานญี่ปุ่นรับรองกรณีชายหนุ่มทำงานหนักจนเสียชีวิตเมื่อปี 2017

สำนักงานตรวจสอบมาตรฐานแรงงานในกรุงโตเกียว ได้ประกาศรับรองให้กรณีการเสียชีวิตของชายหนุ่มวัย 28 ปีเมื่อปี 2017 เป็นการเสียชีวิตจากการทำงานหนักเกินกว่าเหตุ โดยได้รับรองสาเหตุการเสียชีวิตจากการทำงานเกินกว่าเหตุ จากการตรวจสอบบันทึกการทำงานพบว่าผู้เสียชีวิตได้ทำงานล่วงเวลาเฉลี่ยมากกว่า 87 ชั่วโมง ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายก่อนเสียชีวิตจากภาวะเลือดออกในสมอง เป็นผลให้พิจารณารับรองว่าความตายของเขาเกิดจากอุบัติเหตุในที่ทำงานเป็นเหตุสมควรที่จะได้รับการชดเชย ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์พิจารณาสาเหตุการเสียชีวิตในที่ทำงานอันเกิดจากการทำงานล่วงเวลาเกินกว่า 80 ชั่วโมงต่อเดือน

ที่มา: Japan Times, 17/5/2018

พระญี่ปุ่นฟ้องวัด ฐานทำงานหนักเกินไป

ในญี่ปุ่นพระสามารถประกอบอาชีพและมีเงินเดือนได้ ล่าสุดพระญี่ปุ่นรูปหนึ่งอายุประมาณ 40 ปี ได้ฟ้องวัดแห่งหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่ตนทำงานอยู่ตั้งแต่ปี 2008 เรียกร้องค่าชดเชยโดยระบุว่าตนอยู่ในสภาวะกดดันและหดหู่จากการทำงานหนักในปี 2015 เนื่องจากถูกบังคับให้ทำงานโหดเกินไปและไม่ได้พักโดยต้องคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาอย่างไม่ขาดสาย

ที่มา: South China Morning Post, 17/5/2018

บริษัทผลิตผมปลอมเกาหลีในพม่ามีข้อพิพาทกับคนงาน

เมื่อต้นเดือน พ.ค. 2018 ที่ผ่านมา มีกรณีคนงานพม่านัดหยุดงานและไม่ต้องการกลับเข้าทำงานในโรงงานผลิตวิกของเกาหลี โดยเจ้าหน้าที่ของบริษัท Macdo ผู้ผลิตผมปลอมสัญชาติเกาหลีให้สัมภาษณ์แก่สำนักข่าวเมียนมาร์ไทมส์ ว่าบริษัทฯ ให้สิทธิลางานโดยจ่ายค่าจ้างแก่พนักงานที่กำลังจะนัดหยุดงานทุกคน เนื่องจากบริษัทได้จ้างโรงงานเหมาช่วงอีกแห่งผลิตตามคำสั่งซื้อในช่วงระหว่างที่มีข้อพิพาทแรงงาน

"เราไม่มีออเดอร์ให้พนักงานที่จะกลับเข้ามาทำงาน ดังนั้นเราจึงยอมจ่ายค่าจ้างวันลาเพื่อแสดงความรับผิดชอบ" นาย Cho Seong Wook ที่ปรึกษาบริษัทกล่าว

เจ้าหน้าที่โรงงานกล่าวว่าบริษัทฯ จ้างผู้รับเหมาทำแทนพนักงาน 1,400 คนเพื่อผลิตให้ทันออเดอร์ เจ้าหน้าที่โรงงานยังกล่าวอีกว่าบริษัทฯ ไม่มีงานให้แก่พนักงานที่นัดหยุดงานซึ่งจะกลับมาทำงานเร็ว ๆ นี้ บริษัทฯ จึงขออนุญาตกรมแรงงานเพื่อวางแผนที่จะให้พนักงานลางานโดยจ่ายค่าจ้างจนกว่าบริษัทฯ จะมีออเดอร์ใหม่เข้ามา

คนงานหลายคนกล่าวว่าโรงงานปิดเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2018 และพวกเขายังไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปทำงาน แม้ว่าพวกเขาจะเลื่อนการนัดหยุดงานออกไปแล้วก็ตาม

อดีตผู้นำสหภาพแรงงาน Ma Soe Yu Nwe กล่าวว่าเธอได้สอบถามไปยังกรมแรงงานพบว่าโรงงานปิดโดยไม่ขออนุญาตจากกรมแรงงาน ทั้งนี้บริษัทฯ ต้องขออนุญาตกรมแรงงานล่วงหน้า 2 สัปดาห์ก่อนที่จะปิดโรงงานชั่วคราว เจ้าหน้าที่โรงงานปฏิเสธข้อกล่าวหาข้างต้น และโต้แย้งว่าบริษัทฯ ได้อนุญาตพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการนัดหยุดงานทำงานในโรงงานต่อไป

Ma Soe Yu Nwe ยังกล่าวว่าพนักงานไม่เห็นด้วยกับแผนที่จะให้พนักงานลางาน เนื่องจากเป็นอุบายที่จะเลิกจ้างคนงานอย่างถาวร "พนักงานทุกคนต้องการกลับเข้าไปทำงาน แม้ว่าโรงงานจะปิดหรือไม่ก็ตาม"

ขณะนี้มีพนักงานในโรงงาน 400 คนและบริษัทไม่ยอมให้คนงานที่นัดหยุดงานเข้าโรงงาน ตั้งแต่วันที่ 7-17 พ.ค. 2018 แต่ให้อยู่นอกโรงงาน นาย U Aung Naing ผู้จัดการโรงงานกล่าว คนงานที่ยังทำงานอยู่ตอนนี้ให้สัมภาษณ์ว่า พวกเราไม่เกี่ยวข้องกับการนัดหยุดงานแต่อย่างใด เพราะเราไม่สนับสนุนข้อเรียกร้อง แต่เราพร้อมจะนัดหยุดงาน หากมีการเรียกร้องค่าจ้างเพิ่มขึ้น

Ma Seo Yu แบะ Ko Myo Thiha สมาชิกอาวุโสของสหภาพแรงงานถูกไล่ออกในเดือน ก.พ. 2018 เนื่องจากละเมิดกฎระเบียบสัญญาจ้าง โดยเปิดเผยความลับของบริษัททางสื่อโซเชียลมีเดีย ทว่าบริษัทถูกศาลสั่งปรับเป็นเงิน 2,220 ดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากเพิกเฉยคำสั่งของอนุญาโตตุลาการกลางที่สั่งให้จ้างพนักงานทั้งสองคนเข้ามาใหม่

ที่มา: Myanmar Times, 21/5/2018

ศาลสูงสหรัฐฯ มีคำวินิจฉัยเข้าข้างนายจ้าง

เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2018 ศาลสูงของสหรัฐฯ มีมติด้วยคะแนน 5 ต่อ 4 ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อนายจ้าง โดยเห็นว่านายจ้างสามารถห้ามคนงานไม่ให้รวมตัวกันเพื่อโต้แย้งและร้องเรียนเกี่ยวกับสภาพการทำงานหรือเรื่องค่าจ้างได้

คำวินิจฉัยนี้นับว่าเป็นชัยชนะของฝ่ายนายจ้าง เพราะศาลสูงสหรัฐฯ มีความเห็นว่า ผู้ประกอบธุรกิจสามารถบังคับให้พนักงานต้องใช้วิธีไกล่เกลี่ยเจรจา โดยไม่จำเป็นต้องใช้กระบวนการทางศาลเพื่อแก้ปัญหาขัดแย้งเกี่ยวกับการทำงาน

ถึงแม้คำวินิจฉัยของศาลสูงสหรัฐฯ นี้ จะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงถึงสมาชิกสหภาพแรงงานก็ตาม แต่ขณะนี้มีคนอเมริกันถึงราว 25 ล้านคน ทำงานภายใต้สัญญาจ้างซึ่งห้ามการรวมตัวเพื่อเจรจาต่อรอง เมื่อมีปัญหาข้อพิพาทด้านแรงงานกับนายจ้าง

ที่มา: VOA, 22/5/2018

คนขับรถบรรทุกบราซิลประท้วงน้ำมันแพง

คนขับรถบรรทุกในบราซิล ประท้วงน้ำมันดีเซลขึ้นราคา แต่ได้ยอมนำรถบรรทุกออกจากการปิดกั้นขวางทางหลวงหลายสายแล้วยุติการประท้วงนาน 5 วัน ซึ่งทำให้บราซิลทั้งประเทศต้องกลายเป็นอัมพาต แต่ยังคงเหลือการประท้วงปิดถนนใน 2 รัฐ จากทั้งหมด 26 รัฐของบราซิล ผู้ประท้วงได้ยอมถอย หลังจากประธานาธิบดีมิเชล ทีแมร์ของบราซิล ขู่ที่จะใช้กำลังทหารเข้าจัดการกับผู้ประท้วงส่วนน้อยที่ไม่ยอมยุติการประท้วง หลังจากรัฐบาลอ้างว่าสามารถบรรลุข้อตกลงกับผู้ประท้วงได้แล้วในวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมาโดยรัฐบาลยอมลดภาษีน้ำมันลงและลดราคาน้ำมันลง 10% เป็นเวลานาน 1 เดือน

ที่มา: BBC, 25/5/2018

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ถ่ายทอดสด สนช.พิจารณางบประมาณปี 62 จำนวน 3 ล้านล้าน

Posted: 31 May 2018 06:11 PM PDT

ไต่ระดับจนแตะ 3 ล้านล้านแล้วในปีงบประมาณ 2562 สนช.จะพิจารณาในวันที่ 7 มิ.ย.นี้ กระทรวงศึกษายังได้งบสูงสุด คมชัดลึกสรุป 4 ปี คสช. รวมงบประมาณ 16 ล้านล้าน ส่วนงบกองทัพปี 62 ทิ้งทวนเยอะที่สุดในรอบ 4 ปี 2.2 แสนล้าน

31 พ.ค.2561 นายยุทธนา ทัพเจริญ โฆษกกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) กล่าวว่า สนช.เตรียมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 งบรวม 3 ล้านล้านบาทในวันที่ 7 มิ.ย.นี้ และจะหารือกันว่าการอภิปรายจะแบ่งกันอย่างไร ซึ่งโดยปกติจะให้อภิปรายคนละ 8 นาที และคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาวาระแรกให้เสร็จในวันเดียว ซงบประมาณส่วนใหญ่เป็นงบประมาณที่ใช้สำหรับการปฏิรูปด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการศึกษา ผลักดันระเบียงเศรษฐกิจด้านตะวันออก (อีอีซี) จากนั้นที่ประชุม สนช.จะตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 จำนวน 50 คน เป็นสมาชิก สนช. 40 คน และตัวแทน ครม. 10 คน

นอกจากนี้ยังได้ประสานให้มีการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (ช่อง 11) โทรทัศน์รัฐสภา และเครือข่าย เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบและติดตามการพิจารณาการใช้งบประมาณ

งบดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณปี 2561 จำนวน 1 แสนล้านบาท โดยมีทั้งหมด 61 มาตรา งบรายจ่ายทั้งหมด 3 ล้านล้านบาท ส่วนประมาณการรายได้ อยู่ที่ 2.55 ล้านล้านบาท

งบประมาณรายจ่ายแบ่งเป็น
รายจ่ายประจำ
2.26 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้น 3.4% จากปีที่แล้ว) คิดเป็นสัดส่วน 75.4% ของงบทั้งหมด
รายจ่ายลงทุน
660,305 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.1%) คิดเป็นสัดส่วน 22% ของงบประมาณทั้งหมด
รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้
78,205 ล้านบาท  (ลงลง 10%) คิดเป็นสัดส่วน 2.6% ของงบประมาณทั้งหมด
วงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
450,000 ล้านบาท  (เท่าเดิม) คิดเป็นสัดว่น 2.6% ของจีดีพี
รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง
ไม่มีการตั้งงบประมาณไว้

กระทรวงที่ได้รับงบประมาณสูงสุด คือ
1.กระทรวงศึกษาธิการ 489,789 ล้านบาท
2. งบกลาง 468,032 ล้านบาท
3. กระทรวงมหาดไทย 373,519 ล้านบาท
4.กระทรวงการคลัง 242,000 ล้านบาท

งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 หากจำแนกตามยุทธศาสตร์ 7 ด้านจะแบ่งได้ ดังนี้
1. ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 329,273 ล้านบาท
2. ยุทธศาสตร์การสร้างความสามารถการแข่งขันของประเทศ 406,564 ล้านบาท
3. ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน 560,896 ล้านบาท
4. ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างการเติบโตจากภายใน 397,501 ล้านบาท
5. ยุทธศาสตร์การจัดการน้ำ และการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 117,266 ล้านบาท
6. ยุทธศาสตร์การปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ 838,388 ล้านบาท
7.รายการค่าดำเนินการภาครัฐ 350,109 ล้านบาท

ทั้งนี้ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านกฎหมายงบประมาณไปแล้วกว่า 4 ฉบับ และกำลังเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.จำนวน 1 ฉบับ ประกอบด้วย

งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2558 วงเงิน 2,575,000 ล้านบาท
งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2559 วงเงิน 2,720,000 ล้านบาท
งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2560 วงเงิน 2,733,000 ล้านบาท
งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 วงเงิน 2,900,000 ล้านบาท
งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 วงเงิน 3,000,000 ล้านบาท (อยู่ระหว่างเสนอให้ สนช. พิจารณาลงมติเห็นชอบ)
หากนับปลายปีงบประมาณประจำปี 2557 วงเงิน 2,525,000 ล้านบาทเข้าไปด้วย
รวมแล้วจะทำให้รัฐบาล คสช. ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีไปทั้งหมดกว่า 16 ล้านล้านบาท

สำหรับงบประมาณกองทัพนั้น ตลอดการครองอำนาจ คสช.อนุมัติงบรวมทั้งสิ้น 949,820 ล้านบาท ประกอบด้วย ปี 2558 วงเงิน 192,949 ล้านบาท ปี 2559 วงเงิน 206,461 ล้านบาท ปี 2560 วงเงิน 210,777 ล้านบาท ปี 2561 วงเงิน 111,962 ล้านบาท และปี 2562 วงเงิน 227,671 ล้านบาท


ที่มา: มติชนสุดสัปดาห์  เว็บไซต์ข่าวสด

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น