ประชาไท Prachatai.com |
- แอนโทนี โบร์เดน นักชิมอาหารผู้ล่วงลับ ผู้เปิดมุมมองมนุษยภาพต่อโลกอิสลาม
- เวียดนามฮือประท้วงเขตเช่าต่างชาติ 99 ปี ปะทะตำรวจหนัก-จับอื้อ
- หมายเหตุประเพทไทย #213 I Did Not Kill My Husband อย่าเรียกฉันว่าโมราฆ่าผัว
- ขู่ใช้ กม. ฟันคนปล่อยข่าว 'ประยุทธ์' เป็นมุสลิม
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 4-10 มิ.ย. 2561
- นานาชาติจุดประเด็น 'ค่าตอบแทนบริการล้างไตผ่านช่องท้อง' จูงใจเพิ่มบุคลากรดูแลผู้ป่วย
- ตำรวจกัมพูชาถูกสั่งพักงาน หลังถ่ายรูปเพื่อนตำรวจที่หลับขณะร่วมพิธีกรรมของทางการ
แอนโทนี โบร์เดน นักชิมอาหารผู้ล่วงลับ ผู้เปิดมุมมองมนุษยภาพต่อโลกอิสลาม Posted: 10 Jun 2018 12:01 PM PDT หลังการเสียชีวิตของแอนโทนี โบร์เดน เชฟชื่อดังและพิธีกรทีวีเกี่ยวกับอาหารและการท่องเที่ยว ผู้เคยพาโอบามาตะลุยกิน "บุ๋นจ่า" ที่เวียดนาม นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่ได้รับการยกย่องของโบร์เดน ในฐานะผู้ช่วยสร้างความเข้าใจต่อชาวมุสลิมในตะวันออกกลาง จากการนำเสนอผ่านวัฒนธรรมอาหาร ทั้งยังเคยเป็นปากเสียงให้กับความเจ็บปวดของชาวปาเลสไตน์ นำเสนอภาพชาวปาเลสไตน์ในมุมชีวิตประจำวันทั่วไปที่นอกเหนือไปจากเหตุความขัดแย้ง เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2561 มีผู้พบว่าแอนโทนี โบร์เดน เชฟชื่อดังและพิธีกรด้านอาหารและการท่องเที่ยวเสียชีวิตในห้องพักโรงแรมของตนเอง โดยมีการตั้งปมว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ท่ามกลางการแสดงความเสียใจของเหล่าคนดังทั้งหลายรวมถึง บารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้ที่เคยออกรายการชิมอาหารร่วมกับเขาในเวียดนาม นอกจากนี้ยังมีตัวแทนชาวมุสลิมที่พูดถึงมุมมองชีวิตของโบร์เดน ในฐานะผู้ที่สร้างความเข้าใจและลดความเกลียดกลัวอิสลามอย่างไม่มีเหตุผลผ่านรายการชิมอาหารของเขา นักกิจกรรมด้านสิทธิพลเมือง อิมราน ซิดดีคี ประธานสภาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลามสาขาแอริโซนา สหรัฐอเมริกา กล่าวชื่นชมโบร์เดนในแง่การนำเสนอมุมมองของตะวันตกกลาง "ในยุคสมัยที่สื่อมักจะนำเสนอชาวมุสลิมในแบบที่ทำให้เกิดการเกลียดกลัวอิสลามอย่างไม่มีเหตุผลและทำให้เกิดการสร้างความเป็นอื่นให้อิสลาม แอนโทนี โบร์เดน ใช้ช่องทางสื่อในการทำให้ผู้คนมองชาวมุสลิมในมุมมนุษยภาพผ่านทางวัฒนธรรมและอาหาร" ซิดดีคี กล่าวทางทวิตเตอร์ แอนโทนี โบร์เดน ระหว่างถ่ายทำรายการ Parts Unknown ที่ฉนวนกาซา เมื่อปี 2013 (ชมตัวอย่างรายการ) แอนโทนี โบร์เดน และอาหารปาเลสไตน์ ในรายการ Parts Unknown "Jerusalem" (Season 2, Episode 1) (รับชมเพิ่มเติมใน CNN)
แอนโทนี โบร์เดน และบารัก โอบามา ระหว่างการเยือนฮานอย ประเทศเวียดนาม ก่อนลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อ 23 พฤษภาคม 2016 โดยมีการบันทึกเทปสำหรับออกอากาศใน Parts Unknown ด้วย แอนโทนี โบร์เดน ในรายการ Parts Unknown ปี 2014 ที่ร้าน "หลู้ฮิมตาง" อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ กินหางหมูย่าง ไส้อั่ว แอ็บอ่องออ และหลู้ โบร์เดน เป็นพิธีกรรายการทีวีที่มีการเดินทางชิมอาหารในที่ต่างๆ ทั่วโลก ในช่วงที่เขาเสียชีวิตเป็นช่วงเดียวกับที่เขายังคงอยู่ระหว่างโปรแกรมเดินทางถ่ายทำรายการของช่อง CNN ที่ชื่อ Parts Unknown โดยที่มีอยู่ครั้งหนึ่งโบร์เดนเคยเดินทางไปถ่ายทำรายการที่ฉนวนกาซา ทำให้เขาได้รับรางวัลจากสภากิจการสาธารณะมุสลิมในปี 2557 จากการที่เขาพูดแสดงความคิดเห็นต่อชาวปาเลสไตน์ว่า "โลกนี้นำพาอะไรแย่ๆ มากมายมาสู่ชาวปาเลสไตน์ แต่ก็ไม่มีอะไรที่น่าละอายไปกว่าการฉกชิงสิทธิพื้นฐานความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไป" ในเว็บไซต์เดโมเครซีนาว มูฮัมหมัด เชฮาดา นักเขียนและนักกิจกรรมจากฉนวนกาซา นำเสนอคำพูดของโบร์เดนเกี่ยวกับชาวปาเลสไตน์อีกครั้งในวาระการจากไปของเขา โดยโบร์เดนกล่าวว่าเขารู้สึกปลาบปลื้มจากสิ่งที่ชาวปาเลสไตน์ทำให้ โดยเฉพาะสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติทั่วไปในชีวิตประจำวัน สำหรับโบร์เดนแล้ว "ประชาชนไม่ใช่แค่ตัวเลขทางสถิติ" ในสื่อโซเชียลมีเดียของโบร์เดนก็เคยพูดถึงเด็กในกาซ่าที่เสียชีวิตว่าเป็นเรื่องน่าเศร้า มีผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่ชื่อ Mike Prysner ระบุว่าการถ่ายทำรายการโบร์เดนในปาเลสไตน์เป็นหนึ่งในน้อยครั้งที่จะทำให้ผู้คนได้เห็นวิถีชีวิตของชาวปาเลสไตน์ภายใต้การยึดครองของกองทัพอิสราเอลผ่านทางโทรทัศน์กระแสหลัก ทำให้ผู้คนมองชาวปาเลสไตน์ในฐานะมนุษย์ทั่วไป เรียบเรียงจาก After Trip to Gaza, Anthony Bourdain Accused World of Robbing Palestinians of Their Basic Humanity, Democracy Now!, 08-06-2018 Anthony Bourdain, TV chef and travel host, found dead aged 61, The Guardian, 08-06-2018 ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เวียดนามฮือประท้วงเขตเช่าต่างชาติ 99 ปี ปะทะตำรวจหนัก-จับอื้อ Posted: 10 Jun 2018 08:51 AM PDT เวียดนามเดินขบวนใหญ่หลายเมืองทั่วประเทศ ต่อต้านร่างกฎหมายเศรษฐกิจพิเศษหวั่นประเคนผลประโยชน์ให้นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะการเช่าที่ดิน 99 ปี ผู้ประท้วงบางรายชูคำขวัญต่อต้านจีนอย่างเปิดเผย ขณะที่ล่าสุดเมื่อคืนนี้ผู้ชุมนุมบุกทำลายสำนักงานกรมการเมืองจังหวัดบิ่ญถ่วน ด้านสภาเวียดนามบอกจะเลื่อนการลงมติกฎหมายดังกล่าว โดยขอไปพิจารณาเพิ่มเติม แต่ยังไม่ฟันจะเลิกหรือไม่ ผู้ชุมนุมเวียดนามปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระหว่างเดินขบวนประท้วงแผนการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ 3 แห่ง รวมทั้งเกรงว่านักลงทุนจีนจะมีอิทธิพลในพื้นที่ ทั้งนี้ตามรายงานในบีบีซีภาคภาษาอังกฤษ มีรายงานว่าตำรวจควบคุมผู้ชุมนุมนับสิบคนทั้งที่เมืองหลวงฮานอย และเข้าระงับการชุมนุมในเมืองอื่นๆ โดยบีบีซีรายงานด้วยว่า ผู้ชุมนุมบางรายถือป้ายประท้วงต่อต้านจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเปิดเผย มีข้อความหนึ่งเขียนว่า "อย่ายกแผ่นดินให้เมืองจีนแม้แต่วันเดียว" การชุมนุมต่อต้านร่างกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษที่โฮจิมินซิตี้ เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ก่อนที่ตำรวจจะเข้าสลายการชุมนุม (ที่มา: Dan Lam Bao) การชุมนุมต่อต้านร่างกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษที่กรุงฮานอย เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. (ที่มา: Dan Lam Bao) ชุมนุมที่กรุงฮานอย เมื่อ 10 มิ.ย. (ที่มา: YouTube/VN News) คลิปช่วงสลายการชุมนุมที่ฮานอย เมื่อ 10 มิ.ย. การชุมนุมที่จังหวัดบิ่ญถ่วนซึ่งเมื่อคืนวันที่ 10 มิ.ย. ลุกลามกลายเป็นเหตุจลาจลทำลายอาคารสถานที่ของรัฐบาล (ที่มา: Dam Lam Bao) ชาวเวียดนาม ชุมนุมหน้าสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมเวียดนาม ประจำกรุงไทเป ไต้หวัน (ที่มา: Dan Lam Bao) นอกจากการชุมนุมที่ฮานอย ในรายงานของบล็อกเกอร์อิสระเวียดนาม "Dan Lam Bao" ระบุด้วยว่าเมื่อคืนนี้ผู้ประท้วงได้บุกขว้างปาสิ่งของทำลายที่ทำการกรมการเมืองจังหวัดบิ่ญถ่วน ทางตอนใต้ของเวียดนามด้วย (ชมคลิป) ขณะที่ยังมีภาพการชุมนุมที่จังหวัดญาจาง ดานัง ฯลฯ ส่วนศูนย์กลางชุมนุมใหญ่อยู่ที่นครโฮจิมินซีตี้ หรือไซ่ง่อน เมืองหลักของเวียดนามตอนใต้ ทั้งนี้รัฐบาลเวียดนามเสนอร่างกฎหมายเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งจะอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเช่าที่ดินได้อย่างน้อย 99 ปี โดยร่างกฎหมายดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ให้นักลงทุนเพิ่มขึ้น ลดข้อจำกัดต่างๆ ลง โดยมุ่งสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่เป้าหมาย ผู้ประท้วงเกรงว่ารัฐบาลคอมมิวนิสต์เวียดนามจะยกที่ดินให้นักลงทุนจีนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ 3 แห่งได้แก่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ รวมทั้งเกรงว่าจะเอื้อให้จีนครอบครองเกาะวันดงใกล้กับพรมแดนทางทะเลระหว่างกันด้วย ทั้งนี้เวียดนามในสมัยอาณาจักรไดเวียดเคยชนะทหารมองโกลในยุทธนาวีบักดั่งเมื่อ ค.ศ. 1287 ในขณะที่คนเวียดนามจำนวนหนึ่งเกรงว่ารัฐบาลจะละเลยเรื่องนี้ ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่าง 2 ชาติจีน-เวียดนาม ในพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้ เหวียนซวนฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนามกล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ควรมีการกรอบลดระยะเวลาเช่าที่ดิน 99 ปีลง อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ระบุถึงระยะเวลาที่จะกำหนดขึ้นใหม่ ขณะที่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (9 มิ.ย.) รัฐบาลประกาศว่าการลงมติในร่างกฎหมายดังกล่าวจะเลื่อนเวลาออกไป เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายเพิ่มเติม ในการชุมนุมเมื่อวันอาทิตย์ผู้ประท้วงยังต่อต้านกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ฉบับใหม่ ที่มีกำหนดจะลงมติวันที่ 12 มิ.ย. นี้ โดยฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่ากฎหมายฉบับใหม่จะให้อำนาจรัฐบาลเวียดนามมากขึ้นในการปราบปรามผู้ต่อต้านรัฐบาลในโลกออนไลน์ ทั้งนี้มูลค่าการค้าทางทะเลในเส้นทางทะเลจีนใต้ ทะเลที่มีการอ้างกรรมสิทธิกันหลายชาติรวมทั้งจีน มีมูลค่าการค้าสูงถึง 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ก่อนหน้านี้ในปี 2012 เคยมีชาวเวียดนามเดินขบวนประท้วงกรณีพิพาททางทะเลกับจีนมาแล้ว โดยในครั้งนั้นตำรวจเวียดนามรีบระงับการชุมนุมได้ในเวลาอันรวดเร็ว ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
หมายเหตุประเพทไทย #213 I Did Not Kill My Husband อย่าเรียกฉันว่าโมราฆ่าผัว Posted: 10 Jun 2018 04:35 AM PDT ชวนอ่านวรรณกรรมจีนสมัยใหม่ "อย่าเรียกฉันว่านังแพศยา" แปลจาก I Did Not Kill My Husband (หรือในชื่อภาษาจีน 我不是潘金莲/ฉันไม่ใช่พันจินเหลียน) ผลงานในปี 2012 ของนักเขียนจีนยุคใหม่ Liu Zhenyun สะท้อนเรื่องราวของ "หลี่เสวี่ยเหลียน" สตรีชาวจีนที่นัดแนะหย่ากับสามีหลังจากตั้งท้องลูกคนที่สอง เพื่อเลี่ยงนโยบายลูกคนเดียว แต่แล้วสามีก็หนีไปแต่งงานใหม่ เธอจึงตระเวนฟ้องศาลเพื่อพิสูจน์ว่า การหย่าครั้งนั้นเป็นเรื่องโกหก โดยนิยายไม่เพียงแค่สะท้อนชีวิตที่ลำบากของสตรีจีนแผ่นดินใหญ่ภายใต้นโยบายลูกคนเดียว ยังเปิดเผยสภาพสังคมและระบบเส้นสายตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติอีกด้วย นิยายเรื่องนี้ยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อ "I Am Not Madame Bovary" นำแสดงโดย ฟ่าน ปิงปิง โดยสหมงคลฟิล์มนำเข้ามาฉายโดยใช้ชื่อภาษาไทยว่า "อย่าคิดหลอกเจ้" ทั้งหมดนี้พบกันได้ในหมายเหตุประเพทไทย "I Did Not Kill My Husband" อย่าเรียกฉันว่าโมราฆ่าผัว โดยคำ ผกา และประภาภูมิ เอี่ยมสม ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ขู่ใช้ กม. ฟันคนปล่อยข่าว 'ประยุทธ์' เป็นมุสลิม Posted: 09 Jun 2018 08:22 PM PDT 'สรรเสริญ' เผยกรณีข่าวลือในโซเชียลมีเดียระบุเหตุผลในการจับพระให้เป็นข่าวใหญ่เพื่อกลบข่าว 'ประยุทธ์' เป็นมุสลิมจึงให้ความสำคัญกับศาสนาอิสลามมากกว่าศาสนาพุทธว่าไม่เป็นความจริง หากสืบทราบว่าผู้ใดเป็นต้นตอของการปล่อยข่าวเท็จจะถูกดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2561 MGR Online รายงานว่า พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีการแชร์ข้อความและภาพในโซเชียลมีเดีย ระบุเหตุผลในการจับพระให้เป็นข่าวใหญ่ก็เพื่อกลบข่าวการเปิดทำเนียบฯเลี้ยงละศีลอดเดือนรอมฎอน รวมทั้งรัฐบาลอนุมัติงบประมาณก่อสร้างมัสยิดหลายแห่ง เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นมุสลิม จึงให้ความสำคัญกับศาสนาอิสลามมากกว่าศาสนาพุทธ ว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยมีผู้พยายามจะปล่อยข่าวบิดเบือนสร้างความสับสน ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรก "ยืนยันว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นับถือศาสนาพุทธ จะเห็นได้ว่า นายกฯ เป็นผู้ที่ทำบุญตักบาตรอย่างสม่ำเสมอ และเข้าร่วมพิธีทางศาสนาเมื่อถึงโอกาสสำคัญ เช่น วันวิสาขบูชา ทั้งที่เป็นพระราชพิธี และภายในทำเนียบรัฐบาล และในฐานะผู้นำประเทศก็ดูแลให้ความสำคัญกับทุกศาสนา" ส่วนการจัดงานเลี้ยงละศีลอดเดือนรอมฎอนที่ทำเนียบรัฐบาลนั้นเป็นงานที่รัฐบาลจัดขึ้นเป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ในอดีตมา ไม่ใช่เพิ่งเริ่มในรัฐบาลนี้ เช่นเดียวกับงานเมาลิดกลางที่ผู้นำประเทศจะไปร่วมงานด้วยเช่นกัน นอกจากนี้การสนับสนุนงบประมาณให้แก่ศาสนาใดก็จะมีกฎระเบียบและขั้นตอนที่ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีก็ตาม โดยศาสนาพุทธก็มีเงินอุดหนุนวัด เช่นกัน ดังที่เป็นข่าวอยู่ในปัจจุบันว่ามีบางวัดกำลังมีปัญหาเรื่องการทุจริตอยู่ในเวลานี้ "หากตรวจสอบข้อเท็จจริงจะพบว่า มัสยิดที่มีการก่อสร้างหลายแห่งนั้น ส่วนใหญ่ใช้เงินบริจาค หรืองบประมาณจากท้องถิ่น เช่น มัสยิดที่ จ.นนทบุรี ส่วนที่ จ.นครศรีธรรมราช ก็มีการอนุมัติงบตั้งแต่ปี 2555 ขณะที่ค่าตอบแทนของโต๊ะอิหม่าม อิหม่าม คอเต็บ และ บิหลั่น ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยนั้นอยู่ระหว่าง 1,000 - 3,500 บาท ไม่ใช่ 18,000 บาทต่อเดือน ตามที่มีการกล่าวอ้าง" พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่ารัฐบาลขอให้พี่น้องประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลที่บิดเบือน และขอให้ผู้ไม่หวังดีหยุดพฤติกรรมบ่อนทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างศาสนา หากสืบทราบว่าผู้ใดเป็นต้นตอของการปล่อยข่าวเท็จจะถูกดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 4-10 มิ.ย. 2561 Posted: 09 Jun 2018 07:44 PM PDT
ก.แรงงาน แจง จบ ป.ตรีเตะฝุ่นมีหลายสาเหตุ แนะเรียนสาขาตลาดรองรับมีงานทำ 9 มิ.ย. 2561 นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวตัวเลขของผู้จบปริญญาตรีตกงานสูงกว่าระดับการศึกษาอื่นนั้น พบว่า ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาย้อนหลัง 5 ปี (2556-2560) มีผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีปีละประมาณ 300,000 คน และข้อมูลการจ้างงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าในเดือนพฤษภาคม 2561 ยอดคนตกงานที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีมากถึง 170,900 คนนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีใหม่ และอีกส่วนหนึ่งเป็นผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเดิม ซึ่งในภาพรวมการตกงานมีหลายสาเหตุ เช่น การเลือกเรียนในสายที่ไม่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน แต่เป็นการเลือกตามกระแส ค่านิยม หรือเรียนตามเพื่อน ทำให้เกิดปัญหาตกงาน หรือได้งานทำไม่ตรงกับสาขาที่เรียน หรือทำงานต่ำกว่าวุฒิการศึกษา ผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีบางส่วนยังไม่ต้องการหางานทำ เนื่องจากอยู่ในช่วงการตัดสินใจที่จะศึกษาต่อ หรือพักอยู่กับบ้าน ผู้ที่ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี บางส่วนมีความต้องการเพียงใบรับรองคุณวุฒิเท่านั้น เพราะครอบครัวมีธุรกิจหรืออาชีพที่ต้องการให้บุตรหลานรับช่วงต่อ รวมถึงเป็นผู้ที่ลาออกจากงานเดิม และต้องการเปลี่ยนงานใหม่เพื่อหาประสบการณ์ในการทำงาน นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน ได้ดำเนินการแก้ไขและป้องกันปัญหาการว่างงานในกลุ่มผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยได้ดำเนินโครงการสำรวจความต้องการของผู้สำเร็จการศึกษาในทุกระดับชั้น ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ถึงระดับปริญญาตรี เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวจัดส่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดหางาน อีกทั้ง ยังได้มีบริการแนะแนวอาชีพ แก่นักเรียนที่จะจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาได้ทราบถึงอาชีพและลักษณะอาชีพที่อยู่ในความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อเลือกสาขาที่เรียนต่อระดับปริญญาตรี ที่มีตลาดแรงงานรองรับ ทั้งนี้ปัจจุบันมีตำแหน่งงานว่างทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 180,180 อัตรา ในจำนวนนี้เป็นระดับปริญญาตรี จำนวน 22,345 อัตรา โดยผู้สนใจสามารถเลือกใช้บริการในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 -10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ รถบริการจัดหางานเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ทางเว็บไซต์ http://smartjob.doe.go.th และ Smart Job Center Application By Smartphone หรือโทรสายด่วน 1506 กด 2 ที่มา: กระทรวงแรงงาน, 9/6/2561 เตือนแรงงานต่างด้าวเร่งพิสูจน์สัญชาติ ภายใน 30 มิ.ย.นี้ นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งกำชับให้เร่งประชาสัมพันธ์ให้นายจ้างรีบพาแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมาไปพิสูจน์สัญชาติ และจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ ระยะที่ 2 ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ One Stop Service ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 23 วัน ที่จะต้องปิดศูนย์ภายในวันที่ 30 มิ.ย. นี้ จึงขอย้ำให้เร่งดำเนินการตามกำหนดเวลาดังกล่าวอย่ารีรอจนถึงวันสุดท้าย เพราะอาจไม่ทันเวลา ทั้งยังอาจไม่ได้รับความสะดวก และขอเน้นย้ำชัดเจนว่ารัฐบาลจะไม่มีการขยายเวลาออกไปอีกอย่างแน่นอน โดยขณะนี้คงเหลือแรงงาน 3 สัญชาติที่ต้องพิสูจน์สัญชาติจำนวน 37,414 คน เป็นกัมพูชา 30,122 คน ลาว 6,452 คน เมียนมา 840 คน จากยอดที่ต้องดำเนินการทั้งสิ้น 134,491 คน เป็นกัมพูชา 104,457 คน ลาว 12,327 คน เมียนมา 17,707 คน ส่วนแรงงานคงเหลือที่ต้องเข้าศูนย์ OSS มีจำนวน 93,657 คน เป็นกัมพูชา 61,295 คน ลาว 10,205 คน เมียนมา 22,157 คน จากจำนวนที่ต้องเข้าศูนย์ OSS 360,222 คน อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า หากพ้นกำหนด 30 มิ.ย. นี้ แรงงานต่างด้าวจะไม่สามารถอยู่และทำงานต่อไปได้ ซึ่งกรมการจัดหางานจะได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวอย่างต่อเนื่อง หากพบคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับ 5,000 – 50,000 บาท และเมื่อชำระค่าปรับแล้ว คนต่างด้าวจะถูกส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และห้ามขออนุญาตทำงานภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับโทษ ขณะเดียวกัน นายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับ 10,000-100,000 บาทต่อแรงงานต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี ตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เตือนนายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง ฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมาย นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กฎหมายคุ้มครองแรงงาน ได้กำหนดห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาก่อนได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง ดังนั้นหากนายจ้างมีความจำเป็นที่จะต้องให้ลูกจ้างทำงานเกินเวลาปกติหรือทำงานล่วงเวลาจะต้องให้ลูกจ้างยินยอมก่อนที่จะมีการทำงานล่วงเวลาทุกครั้ง อย่างไรก็ตามกรณีที่ลักษณะหรือสภาพของงานมีความจำเป็นต้องทำติดต่อกันไปหากหยุดจะเสียแก่งานหรือเป็นงานฉุกเฉิน นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาเท่าที่จำเป็นได้โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากลูกจ้าง อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อมีการทำงานล่วงเวลาแล้วนายจ้างจะต้องจ่ายค่าล่วงเวลาให้กับลูกจ้าง ไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวน ที่ทำด้วย และหากเป็นการทำงานล่วงเวลาในวันหยุดจะต้องจ่ายค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 3 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนที่ทำ กสร.จึงขอให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากฝ่าฝืนจะมีความผิดโดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3 ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 8/6/2561 กรมการจัดหางานเผยแรงงานไทยถูกระงับไปเกาหลีใต้มากที่สุด นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สถิติเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีคนหางานถูกระงับการเดินทางเนื่องจากมีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานต่างประเทศ และให้การยอมรับว่าจะไปทำงานในต่างประเทศจำนวน 75 คน ซึ่งมีจำนวนลดลงจากเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยระงับไปเกาหลีใต้มากที่สุด จำนวน 45 คน รองลงมาเป็นบาห์เรน จำนวน 10 คน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จำนวน 9 คน จีน จำนวน 5 คน อินเดีย จำนวน 2 คน ไต้หวัน จำนวน 1 คน มอลโดวา จำนวน 1 คน รัสเซีย จำนวน 1 คน และตุรกี จำนวน 1 คน ขณะที่คนหางานเดินทางไปทำงานและฝึกงานในต่างประเทศผ่านด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ จำนวน 8,379 คน โดยส่วนใหญ่ไปทำงานในแถบทวีปเอเชียมากที่สุด จำนวน 5,504 คน 3 อันดับแรก คือ 1. ไต้หวัน 3,355 คน 2. อิสราเอล 816 คน 3. ญี่ปุ่น 675 คน รองลงมาเป็นประเทศในแถบทวีปตะวันออกกลาง 1,538 คน และประเทศในแถบทวีปยุโรป 711 คน นายอนุรักษ์ กล่าวว่า คนหางานส่วนใหญ่มักจะถูกหลอกให้หลงเชื่อยอมจ่ายเงินเพื่อไปทำงานต่างประเทศผ่านทางสื่อโซเชียล ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว โดยอ้างว่าจะมีรายได้สูง สวัสดิการดี มีการส่งภาพสถานที่หรือผู้ที่ทำงานอยู่ในต่างประเทศมาให้คนหางาน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จึงขอแจ้งเตือนว่าอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างดังกล่าว และขอให้สอบถามข้อมูลให้รอบคอบกับกรมการจัดหางานก่อน โดยติดต่อได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน พนักงาน กฟภ. 3 จังหวัดชายแดนใต้แต่งดำต่อเนื่องค้าน RPS นายสมชาย อักษรภักดิ์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ภาคใต้ เขต 3 กล่าวว่า พนักงาน กฟผ.ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะยังแต่งชุดดำจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อคัดค้านแนวคิดของรัฐบาลในการจัดตั้งบริษัท RPS (Regional Power System) เพื่อบริหารจัดการระบบไฟฟ้าในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะไม่มีความชัดเจนว่าตั้งขึ้นแล้วประโยชน์อยู่กับใคร โดยหากในแง่ผู้ใช้ไฟฟ้า 500,000 รายในพื้นที่จะมีความเสี่ยง เพราะบริษัทนี้จะเข้ามาดูแลไฟฟ้าทั้งระบบ ซึ่งบริษัทจะต้องคำนึงถึงกำไรถึงจะอยู่ได้ แต่ปัจจุบันการจำหน่ายไฟฟ้าใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่มีกำไร มีการนำเงินจากนอกพื้นที่มาช่วยเหลือ ขณะเดียวกันหน่วยงานรัฐในพื้นที่มีการจ่ายค่าไฟฟ้าล่าช้า ทาง กฟภ.ในฐานะรัฐวิสาหกิจก็เอื้อให้จ่ายล่าช้าได้ แต่หากเป็นบริษัทตั้งขึ้นมาแล้วจะดำเนินการรูปแบบนี้ได้หรือไม่ ซึ่งวันที่ 12 มิถุนายนนี้ ทาง สร.กฟภ.ภาคใต้จะพบผู้บริหาร กฟภ.เพื่อรับทราบการชี้แจงในเรื่องนี้ ขณะเดียวกันหากตั้งขึ้นเพื่อรองรับโรงไฟฟ้าชีวมวล หากเชื้อเพลิงมีราคาสูงขึ้นบริษัทรับซื้อต้องมาขายแพง ประชาชนก็ต้องซื้อไฟฟ้าแพงหรือไม่ "ตามแผนที่ตั้ง RPS ตามแผนพัฒนากำลังไฟฟ้าระยะยาวหรือพีดีพีที่ปรับปรุงหม่ ต้องโอนผู้ใช้ผู้ใช้ไฟฟ้า 500,000 ราย ไปบริษัทใหม่ แล้วพนักงาน กฟภ.ในพื้นที่ 500-600 คนจะถูกลอยแพหรือไม่ ผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่จะได้รับการดูแลอย่างไร ก็ยังเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ และเรื่องเช่นนี้ควรให้คนในพื้นที่รับทราบก่อนดีหรือไม่" นายสมชาย กล่าว ด้านนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า พื้นที่ไฟฟ้าใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่พิเศษ การจัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาดูแลก็เพื่อสนับสนุนด้านความมั่นคงและเรื่องเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ขอชี้แจงรายละเอียด ทั้งนี้ เอกสารของกระทรวงพลังงาน แจ้งว่า การจัดตั้งบริษัท RPS จะมีผู้ถือหุ้นประกอบไปด้วย กฟภ.และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หน่วยงานละร้อยละ 24.5 ส่วนอีกร้อยละ 51 ถือหุ้นโดยกองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และในอนาคตวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จะเข้ามาถือหุ้นทดแทนกองทุนอนุรักษ์ฯ โดยทาง กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า และ ศอ.บต.จะเป็นผู้คัดเลือกจัดตั้งขึ้นเพื่อกระจายรายได้และสร้างการเจริญเติบโตในท้องถิ่นกระจายอำนาจให้ชุมชนให้ชุมชนมีความรู้สึกถึงการเป็นเจ้าของและรักษาระบบไฟฟ้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งช่วยเหลือลูกจ้างพนักงานดูแลต้นไม้บริเวณสวนหย่อมศาลากลาง จ.พัทลุง ไม่ได้รับค่าจ้าง นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ติดตามสถานการณ์แรงงานกรณีพนักงานดูแลต้นไม้บริเวณสวนหย่อม และพนักงานทำความสะอาดบริเวณศาลากลาง จ.พัทลุง จำนวน 10 คนเข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนว่า ถูกบริษัทจ้างเหมาแห่งหนึ่งลอยแพ ไม่จ่ายเงินเดือนมา 2 งวดแล้ว พร้อมสั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานลงพื้นที่ตรวจสอบและให้การช่วยเหลือคุ้มครองลูกจ้าง เพื่อให้ได้รับสิทธิตามกฎหมาย ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ.พัทลุง พบว่า หจก.สมบัติทิพย์การก่อสร้างแอนด์ คลีนนิ่ง ตั้งอยู่เลขที่ 16 ม.11 ต.ชัยบุรี อ.เมือง จ.พัทลุง ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง โดยมีนายสมบัติ ชุมทอง เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ได้ทำสัญญารับจ้างทำความสะอาดอาคารสถานที่กับศาลากลาง จ.พัทลุงทั้ง 2 หลัง สำหรับการให้ความช่วยเหลือ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ.พัทลุง ได้มีหนังสือเรียกพบ หจก.ฯ เพื่อสอบข้อเท็จจริง แต่ หจก.ฯ ไม่มาพบพนักงานตรวจแรงงาน ต่อมาสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ.พัทลุง ได้มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อขอกันเงินค่าจ้างให้ลูกจ้าง แต่จังหวัดได้แจ้งบอกเลิกสัญญาจ้างกับหจก.ฯ แล้ว และจังหวัดจะนำเงินริบประกันมาจ่ายให้กับลูกจ้าง แต่ไม่สามารถนำจ่ายได้เนื่องจากนำเงินคืนคลังไปแล้ว พนักงานตรวจแรงงาน จึงได้มีคำสั่งที่ 3/2561 ลงวันที่ 30 พ.ค.61 ให้หจก.ฯ จ่ายค่าจ้างที่ค้างจ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. – 30 เม.ย. 61 เป็นเงิน 118,400 บาท และค่าจ้างขั้นต่ำตั้งแต่เริ่มสัญญาจ้าง 1 ต.ค. 60 – 30 เม.ย.61 เป็นเงิน 229,100 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 347,500 บาท เป็นค่าจ้างให้ลูกจ้างตามสิทธิต่อไป ผู้ประกันตนใช้สิทธิ "ทำฟัน" ไม่ต้องสำรองจ่ายเพิ่มขึ้น เผย 4 เดือน ยอดพุ่ง 7.4 แสนครั้ง สปส.เผยผู้ประกันตนใช้สิทธิทำฟันไม่ต้องสำรองจ่ายเพิ่มขึ้น แค่ 4 เดือน พุ่ง 7.4 แสนครั้ง ประกันสังคมควักจ่ายแล้ว 500 กว่าล้านบาท สะท้อนผู้ประกันตนพึงพอใจ ผู้มีรายได้น้อยเข้ารักษามากยิ่งขึ้น เผยคลินิกเข้าร่วมโครงการไม่ต้องสำรองจ่ายแล้ว 1,504 แห่ง นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีสิทธิประโยชน์ทันตกรรมเบิกจ่ายตรงค่ารักษา ไม่ต้องสำรองจ่าย ว่า ยอดล่าสุด ม.ค. - เม.ย. 2561 มีผู้ประกันตนมาใช้บริการระบบทันตกรรมประกันสังคมแบบไม่ต้องสำรองจ่ายแล้วกว่า 742,950 ครั้ง สปส.จ่ายประโยชน์ทดแทนไปแล้ว 500 กว่าล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการและความพึงพอใจในการเข้ารับบริการกรณีทันตกรรมของผู้ประกันตน และจากข้อมูลตัวเลขผู้ประกันตนที่มาใช้บริการกรณีทันตกรรมดังกล่าว จะเห็นได้ว่าจำนวนการใช้สิทธิของผู้ประกันตนมีปริมาณที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกันตนที่มีรายได้น้อย เมื่อปรับเปลี่ยนเป็นระบบจ่ายตรงแล้ว พบว่า มีผู้ประกันตนที่ไม่เคยไปรับบริการกรณีทันตกรรมเลย เนื่องจากไม่มีเงินสำรองจ่าย สามารถเข้ารับการบริการกรณีทันตกรรมได้เพิ่มมากขึ้น นพ.สุรเดช กล่าวว่าปัจจุบันมีสถานพยาบาลเอกชนหรือคลินิกเข้าร่วมให้บริการแก่ผู้ประกันตนจำนวน 1,504 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงสถานพยาบาลรัฐทั่วประเทศ โดยผู้ประกันตนสามารถสังเกตป้ายสติกเกอร์ที่ระบุว่า สถานพยาบาลแห่งนี้ให้บริการผู้ประกันตนกรณีทันตกรรม "ทำฟัน" ไม่ต้องสำรองจ่าย โดยผู้ประกันตนใช้สิทธิประโยชน์กรณีทันตกรรมในอัตราค่าบริการทางการแพทย์กรณีอุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน ผ่าฟันคุด ให้แก่ผู้ประกันตนโดยไม่ต้องสำรองจ่ายเงิน วงเงินไม่เกิน 900 บาทต่อคนต่อปี สำหรับกรณีผู้ประกันตนเข้ารับบริการกรณีทันตกรรมในสถานพยาบาลที่ไม่ได้ทำความตกลงเรื่องการเบิกจ่าย ผู้ประกันตนสามารถนำหลักฐานคือ ใบเสร็จรับเงิน ใบรับรองแพทย์ พร้อมสำเนาสมุดบัญชีธนาคารของผู้ประกันตนมายื่นต่อ สปส.พื้นที่ จังหวัด หรือสาขาทั่วประเทศ เพื่อขอรับประโยชน์ทดแทนตามกฎหมายประกันสังคมได้ภายใน 2 ปี นับตั้งแต่วันที่เข้ารับบริการที่ระบุไว้ในใบรับรองแพทย์ ผู้ประกันตนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สปส.ทั่วประเทศ หรือศูนย์บริการสายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมงไม่เว้นวันหยุดราชการ ข่าวดี ! รับสมัครไปทำงานด้านการบริการ 13 อัตราที่มาเก๊า รายได้สูงสุดเดือนละกว่า 57,000 บาท กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน รับสมัครพนักงานเพื่อจัดส่งไปทำงานมาเก๊า กับบริษัท Wynn Palace ในงานด้านการบริการ จำนวน 4 ตำแหน่ง 13 อัตรา ค่าจ้างสูงสุดกว่า 57,000 บาทต่อเดือน สมัครตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 7 มิถุนายน 2561 ฟรีไม่มีค่าบริการแต่อย่างใด นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน แจ้งว่า กรมการจัดหางานเปิดรับสมัครพนักงานเพื่อไปทำงานที่มาเก๊า กับบริษัท Wynn Palace จำนวน 4 ตำแหน่ง 13 อัตรา คือ 1. ตำแหน่ง F&B Server Team Leader (หัวหน้างานบริการ) จำนวน 3 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 14,000 PATACA มาเก๊า (MOP) หรือประมาณ 57,312 บาท คุณสมบัติมีอายุ 21 ปีขึ้นไป 2. ตำแหน่ง F&B Hostperson (พนักงานต้อนรับ) จำนวน 3 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 11,000 PATACA มาเก๊า (MOP) หรือประมาณ 45,031 บาท คุณสมบัติ มีอายุ 21 ปีขึ้นไป สูง 168 เซนติเมตรขึ้นไป ทำงานเป็นกะได้ 3. ตำแหน่ง F&B server (พนักงานเสิร์ฟ) จำนวน 4 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 9,000 PATACA มาเก๊า (MOP) หรือประมาณ 36,843 บาท คุณสมบัติ มีอายุ 21 ปีขึ้นไป สูง 160 เซนติเมตรขึ้นไป 4. ตำแหน่ง F&B Busperson (พนักงานบริกร) จำนวน 3 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 8,000 PATACA มาเก๊า (MOP) หรือประมาณ 32,750 บาท คุณสมบัติ มีอายุ 19 ปีขึ้นไป สูง 160 เซนติเมตรขึ้นไป ทั้งนี้ ทุกตำแหน่งรับผู้จบการศึกษาระดับอนุปริญญาขึ้นไป ในสาขาการท่องเที่ยวและการโรงแรม การจัดการงานบริการ หรือภาษาจีนกลาง สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีมากหรือภาษาจีนได้ดี มีทักษะในการสื่อสารดี มีบุคลิกภาพดี และทำงานเป็นทีมได้ นอกจากนี้ หากมีประสบการณ์การทำงานด้านอาหารและเครื่องดื่มจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ เงื่อนไขในการจ้างงาน คือ ทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน วันละ 8 ชั่วโมง สัญญาจ้างงาน 2 ปี นายจ้างจัดหาที่พัก อาหาร ชุดทำงานและรถรับส่งให้ในระหว่างปฏิบัติงาน นายจ้างรับผิดชอบค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับเมื่อสิ้นสุดสัญญาจ้าง นายอนุรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้สนใจยื่นประวัติการทำงาน (Resume หรือ Curriculum Vitae) ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 7 มิถุนายน 2561 สมัครฟรีไม่เสียค่าบริการใดใด สำหรับวิธีการคัดเลือกนั้น นายจ้างจะคัดเลือกจากประวัติของคนหางานในรอบแรก และรอบสองจะคัดเลือกโดยนายจ้างเดินทางมาสอบสัมภาษณ์ด้วยตนเอง ดังนั้น จึงอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างว่าสามารถจัดส่งไปทำงานได้ โดยหลอกให้เสียเงินเป็นค่าสมัคร ค่าบริการหรือค่าใช้จ่าย เพราะอาจเสียเงินฟรีแล้วไม่ได้ไปทำงาน สอบถามข้อมูลและสมัครได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน ชั้น 10 อาคารสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 และทาง E-mail : iom_overseas1@outlook.com หรือโทร. 02-245-1034 และสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ที่มา: กรมการจัดหางาน, 4/6/2561
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
นานาชาติจุดประเด็น 'ค่าตอบแทนบริการล้างไตผ่านช่องท้อง' จูงใจเพิ่มบุคลากรดูแลผู้ป่วย Posted: 09 Jun 2018 07:37 PM PDT เวทีประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อการล้างไตผ่านช่องท้อง ISPD 2018 จุดประเด็น "ค่าตอบแทนบริการล้างไตผ่านช่องท้อง" พัฒนาระบบดูแลผู้ป่วยที่ไม่แข็งแรงล้างไตผ่านช่องท้องเองไม่ได้ หลังคิดคำนวณความคุ้มค่ายังประหยัดกว่าการล้างไตด้วยวิธีอื่น ทั้งสร้างแรงจูงใจเพิ่มบุคลากรดูแลผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้องสู่ระบบ เผยมีหลายประเทศเดินหน้าแล้ว พร้อมเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลวิเคราะห์ความเหมาะสมภายใต้บริบทประเทศไทย 10 มิ.ย. 2561 พล.อ.นพ.ถนอม สุภาพร อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคไต รพ.พระมงกุฎเกล้า กล่าวว่าในการประชุม International Society of Peritoneal Dialysis (ISPD) 2018 ที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นการประชุมวิชาการนานาชาติของสมาคมนานาชาติเพื่อการล้างไตผ่านช่องท้องในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง นั้น Mr.Thierry Lobbedez ผู้เชี่ยวชาญโรคไตในแผนกไตวิทยา จาก Caen University Hospital ประเทศฝรั่งเศส ได้เปิดเผยผลการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายรายปีในการดูแลผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังในประเทศแคนนาดา โดยพบว่าวิธีการล้างไตผ่านช่องท้อง (Continuous Ambulatory Peritoneal Dialysis: CAPD) เป็นการดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุด เมื่อเปรียบเทียบกับการล้างไตด้วยวิธีอื่น ทั้งการล้างไตทางช่องท้องต่อเนื่องด้วยเครื่องอัตโนมัติ (Continuous Cycling Peritoneal Dialysis: CCPD), การล้างไตผ่านเครื่องฟอกไตเทียมที่ทำกลางคืนในโรงพยาบาลทุกวัน และการล้างไตผ่านเครื่องฟอกไตเทียมตามปกติในโรงพยาบาลแบบเช้าไปเย็นกลับ แต่วิธีการล้างไตผ่านช่องท้องสำหรับผู้ป่วยที่ไม่แข็งแรงจะค่อนข้างเป็นปัญหา ต้องมีคนในครอบครัวช่วยเหลือ รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา จึงให้มีการเบิกจ่ายค่าจ้างหรือค่าตอบแทนบริการล้างไตผ่านช่องท้อง (Assisted PD) ทั้งที่เป็นพยาบาลหรือผู้ที่รับการฝึกเพื่อช่วยทำล้างไตผ่านช่องท้องให้กับผู้ป่วย โดยกรณีการดูแลระยะสั้นไม่เกิน 60 วัน ให้เบิกค่าจ้างได้ในวงเงิน 2,752 ดอลลาร์สหรัฐต่อราย แต่หากเป็นการดูแลระยะยาวให้เบิกจ่ายได้ถึง 20,567 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยอัตราค่าจ้างอยู่ที่ครั้งละ 50 ดอลลาร์สหรัฐ เฉลี่ยผู้ป่วยแต่ละคนจะล้างไตผ่านช่อง 118 ครั้งต่อปี ซึ่งค่าจ้างพยาบาลและผู้ดูแลผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้องเพิ่มขึ้นนี้ เมื่อคำนวณความคุ้มทุนการดูแลผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้อง ยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 16,100 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกับการล้างไตผ่านเครื่องไตเทียม พล.อ.นพ.ถนอม กล่าวว่า จากการดูแลผู้ป่วยด้วยวิธีล้างไตผ่านช่องท้องที่ประหยัดกว่ามาก ในหลายประเทศ อาทิ เดนมาร์ก ฝรั่งเศส บราซิล อิตาลี อังกฤษ และไต้หวัน เป็นต้น ได้สนับสนุนค่าบริการล้างไตผ่านช่องท้องให้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถล้างไตเองได้ ไม่แต่เฉพาะพยาบาลหรือคนรับจ้างดูแลผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้องเท่านั้น แต่ยังจ่ายค่าจ้างให้กับคนในครอบครัวที่ล้างไตผ่านช่องท้องให้กับผู้ป่วยด้วย ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น "ในฝรั่งเศสผู้ที่ล้างไตผ่านช่องท้องให้กับผู้ป่วย ไม่ได้ดูแลเฉพาะการล้างไตผ่านช่องท้อง อย่างการใส่สายสวน การปลดสายสวน การดูแลโคนสายเปลี่ยนน้ำยาล้างไต การให้ยากรณีช่องท้องอักเสบ เท่านั้น แต่ยังดูแลสุขภาพผู้ป่วยโดยรวมด้วย ทั้งชั่งน้ำหนัก วัดความดัน ตรวจน้ำตาลในกรณีผู้ป่วยเป็นเบาหวาน รวมถึงการดูแลปัญหาสุขภาพอื่น ทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดี" อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคไต รพ.พระมงกุฎเกล้า กล่าว พล.อ.นพ.ถนอม กล่าวว่า จากการประชุม ISPD 2018 สะท้อนให้เห็นว่าการล้างไตผ่านช่องท้องเป็นแนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่ดีในอนาคต ทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับประเทศได้มาก แต่ควรเพิ่มเติมการสนับสนุนค่าบริการล้างไตผ่านช่องท้องให้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถล้างไตผ่านช่องท้องด้วยตัวเองให้เข้าถึงบริการ แม้ว่าจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการล้างไตด้วยวิธีอื่นยังมีความคุ้มค่าอยู่มาก ทั้งช่วยสร้างแรงจูงใจ ส่งผลให้มีบุคลากรด้านการดูแลผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้องเพิ่มขึ้น ซึ่งภาพรวมทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยมีรายงานการจ่ายค่าจ้างบุคลากรสำหรับการล้างไตผ่านเครื่องไตเทียม แต่ในส่วนการจ่ายค่าจ้างบุคลากรเพื่อบริการล้างไตผ่านช่องท้องยังมีน้อยมากทั้งที่ยังมีปัญหาขาดแคลนอยู่มาก ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่วนประเทศไทยนโยบายการล้างไตผ่านช่องท้องภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ดำเนินมาร่วม 10 ปี จนเป็นที่ยอมรับทั้งในด้านการพัฒนาระบบ ทำให้เกิดการดูแลผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายอย่างครอบคลุมและทั่วถึง ลดอัตราการติดเชื้อจนอยู่ในระดับที่ดีกว่ามาตรฐานสากล จากข้อมูลในการประชุม ISPD นี้ โดยเฉพาะการสนับสนุนค่าจ้างบุคลากรเพื่อบริการล้างไตผ่านช่องท้อง จึงเป็นประเด็นน่าสนใจที่หน่วยงานเกี่ยวข้องจะนำไปวิเคราะห์ความเหมาะสมภายใต้บริบทของประเทศไทย เพื่อให้เกิดการพัฒนาระบบดูแลผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้องได้อย่างมีคุณภาพและมาตรฐานยิ่งขึ้น ทั้งเป็นการจูงใจบุคลากรเพื่อดูแลผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้องที่ยังขาดแคลน นำไปสู่การลดค่าใช้จ่ายดูแลผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายของประเทศในอนาคต ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ตำรวจกัมพูชาถูกสั่งพักงาน หลังถ่ายรูปเพื่อนตำรวจที่หลับขณะร่วมพิธีกรรมของทางการ Posted: 09 Jun 2018 07:21 PM PDT สื่อพนมเปญโพสต์รายงานว่ามีการสั่งพักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ประจำจังหวัดกัมปงจาม ประเทศกัมพูชา หลังจากที่พวกเขาถ่ายภาพตำรวจคนอื่นๆ 3 นาย ที่นอนหลับในช่วงที่มีพิธีกรรมฉลองครบรอบ 11 ปี วันทหารผ่านศึกกัมพูชา ที่มีฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นประธาน ซึ่งตำรวจอีก 3 นายที่นอนหลับในรูปก็ถูกลงโทษด้วยเช่นกัน ที่มาภาพ: Kampong Cham's finest. facebook 9 มิ.ย. 2561 พิธีกรรมครบรอบ 11 ปีวันทหารผ่านศึกกัมพูชามีขึ้นในวันที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีภาพนายตำรวจ 3 นาย นอนหลับในช่วงที่เข้าร่วมพิธีได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโซเชียลมีเดียจนมีการวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนในวงกว้าง ผู้ที่ถ่ายภาพตำรวจหลับในพิธีคือหัวหน้าตำรวจท้องถิ่นที่ชื่อ เกง สเรง เขาบอกว่าเขากำลังถ่ายภาพพิธีกรรมแล้วบังเอิญไปถ่ายติดภาพของเพื่อนตำรวจที่กำลังหลับอยู่พอดี โดยที่รูปดังกล่าวนี้ถ่ายในช่วงก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาถึงในพิธี สเรงบอกว่าภาพนี้เผยแพร่ออกไปเรื่อยๆ หลังจากที่เขาส่งรูปนี้ให้เพื่อนเขาดู เพื่อนของเขาก็ส่งต่อรูปนี้ไปให้กับกรมป้องกันและปราบปรามยาเสพติดผ่านทางกลุ่มในแอพพลิเคชั่น WhatsApp สเรงบอกว่าเขาถ่ายรูปนี้ทำไปเพราะความรักเพื่อน อยากหยอกล้อเล่นๆ กับเพื่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแชร์รูปนี้ออกไปในเฟสบุ๊ค สเรงกล่าวอีกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจให้รูปนี้กลายเป็นไวรัลเผยแพร่ไปทั่วในโซเชียลมีเดียแต่เขาก็ยอมรับการลงโทษด้วยการถูกสั่งพักงาน แต่ถ้าการลงโทษนั้นเป็นการปลดออกจากตำแหน่งนำคงเสียใจไปตลอดชีวิตเพราะเขา "ทำงานช่วยเหลือประชาชน" มาตลอด 31 ปี นอกจากตำรวจที่ถ่ายภาพและตำรวจที่เผยแพร่รูปภาพทางอินเทอร์เน็ตจะถูกลงโทษสั่งพักงานแล้ว ตำรวจทั้ง 3 นายที่อยู่ในภาพก็ถูกลงโทษด้วย โดยมีจดหมายคำสั่งจากผู้กำกับการตำรวจจังหวัดกัมปงจาม ลงวันที่ 5 มิ.ย. 2561 สั่งแต่งตั้งรักษาการฝ่ายปราบปรามยาเสพติดขึ้นมาแทนหัวหน้าหน่วยปราบปรามยาเสพติดคนเดิมชั่วคราวที่ถูกสั่งพักตำแหน่งเพราะแชร์รูปในโซเชียลมีเดีย และจดหมายคำสั่งอีกฉบับหนึ่งมีการแต่งตั้งตำรวจรักษาการแทนฝ่านพิจารณาคดีเข้ามาดำรงตำแหน่งของสเรงชั่วคราว ส่วนเจ้าหน้าที่ที่แชร์ภาพใน WhatsApp ไม่ถูกลงโทษ เรียบเรียงจาก Three naps result in five suspended Kompong Cham cops, The Phnom Penh Post, 08-06-2018 ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น