โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com

Link to ประชาไท

สมยศ พฤกษาเกษมสุข: สมควรลงโทษประหารชีวิตพวกเศษเดนมนุษย์หรือไม่ ?

Posted: 30 Jun 2018 09:00 AM PDT


อาชญากรรมเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในสังคมที่คนไม่เท่าเทียมกัน และต้องเกิดขึ้นในสังคมแบบนี้เช่นเดียวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติเช่น ฝนตก ฟ้าร้อง ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่มุ่งเน้นการสะสมความมั่งคั่งจากการแข่งขันและการเอารัดเอาเปรียบอย่างรุนแรง อัตราการกระทำความผิดทางอาญายิ่งเพิ่มสูงมากขึ้น เพราะอาชญากรรมนั้นเป็นผลผลิตจากสังคมที่ไม่เท่าเทียมและด้อยพัฒนาเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับความรุนแรงและ การเข่นฆ่ากัน ล้วนแล้วแต่เป็นผลผลิตจากสังคมที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ดังนั้นความเข้าใจที่มีต่ออาชญากรรม-ความรุนแรงควรเป็นไปตามสภาพที่เป็นจริงหาใช่เป็นไปตามตัวบทกฎหมายแต่เพียงประการเดียว การนำเสนอยกเลิกโทษประหารชีวิตโดยองค์กรนิโทษกรรมสากล จึงมีที่มาที่ไปจากพัฒนาการความคิดที่มีต่ออาชญากรรมและความรุนแรง จากเดิมเป็นปฏิกิริยาของสังคมต่ออาชญากรรมที่เป็นการแก้แค้นทดแทนต่อผู้ประทุษร้าย กลายมาเป็นการให้โอกาสเพื่อการฟื้นฟูแก้ไข เพื่อเป็นการคืนคนดีกลับสู่สังคมในที่สุด 

แนวคิดดั้งเดิมของการลงโทษแบบแก้แค้นทดแทน เช่น ฆ่าคนตายโดยเจตนาต้องลงโทษด้วยการประหารชีวิต มีมาแต่โบราณกาลแล้วด้วยวิธีการต่างๆกันเช่น แขวนคอ ตัดศีรษะแบบกิโยติน นั่งเก้าอี้ไฟฟ้า รมแก๊ส ฉีดยาพิษฯลฯ เพื่อกำจัดออกไปให้พ้นจากสังคม ประเทศไทยมีกฎหมายลงโทษประหารชีวิตจำนวน 55 ฐานความผิด มีการลงโทษประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าและฉีดยาพิษตั้งแต่ปี 2478 จำนวน 325 รายด้วยกัน ล่าสุดกรมราชทัณฑ์สรุปสถิตินักโทษประหารชีวิต ณ วันที่ 30 เมษายน 2561 ว่ามีทั้งหมด 517 คน ชาย 415 คน หญิง 102 คน แบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาอุทธรณ์ 287 คน ผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาฎีกา 30 คน และนักโทษเด็ดขาดเมื่อคดีถึงที่สุด 200 คน

รายล่าสุดที่ถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 คือ นายธีรศักดิ์ หรือมิ๊ก หลงจิ อายุ 19 ปี ณ ขณะก่อเหตุ แต่ปัจจุบันอายุ 26 ปี กลายเป็นประเด็นร้อนแรงเมื่อองค์กรนิรโทษกรรมสากล เรียกร้องให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตโดยให้เหตุผลว่า โทษประหารชีวิตเป็นโทษที่ละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ในการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ที่ทุกคนมีสิทธิเสมอกันการที่ใช้โทษประหารชีวิตย่อมมีความเสี่ยงที่จะมีการเลือกปฏิบัติ เพราะส่วนใหญ่ของนักโทษที่ถูกประหารคือคนยากจน คนด้อยโอกาส ในขณะที่สังคมจำนวนหนึ่งประณามองค์กรนิรโทษสากล ต่อการเรียกร้องให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต เหราะเห็นว่าเป็นการลงโทษที่ผู้กระทำความผิดสมควรได้รับโทษ 

การลงโทษประหารชีวิตจากการกระทำความผิด มีพื้นฐานความคิดที่ว่าการกระทำความผิดเกิดจากสันดานของคนหรือเป็นผลมาจากพันธุกรรม จึงเป็นความปรารถนาที่จะแก้แค้น เป็นการแสดงออกซึ่งความโกรธแค้นของสังคมต่อพฤติกรรมเหี้ยมโหดของอาชญากร แนวความคิดนี้มีลักษณะอารมณ์ความรู้สึก ไม่ให้ความสนใจต่อแนวคิดศาสนาหรือสิทธิมนุษยชนรวมทั้งไม่ได้มองปัญหาในกรณีที่ว่า อาชญากรรมนั้นเป็นผลมาจากโครงสร้างความไม่เท่าเทียมในสังคม แนวคิดนี้ไม่ใช่เป็นการแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นแต่มุ่งกำจัดให้พ้นไปจากสังคม แนวคิดนี้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่า ไม่สามารถหยุดยั้งอาชญากรรมและความรุนแรงไปได้

หากเรามองไปที่อาชญากรรมและความรุนแรงนั้นจะพบว่าสังคมไทยนั้น รัฐเป็นผู้ก่อความรุนแรงเชิงโครงสร้างขึ้นมา ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในสังคม ช่องว่างทางชนชั้น การว่างงาน ความอดอยากขาดแคลน ตลอดจนกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐานในระบบศาลไทย ในขณะเดียวกันการใช้ความรุนแรงด้วยการฆ่าสังหารหมู่อย่างอำมหิตอย่างเช่น เหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519 พฤษภาทมิฬ 2535 และ พฤษภามหาโหด 2553 โดยไม่มีการลงโทษผู้กระทำความผิด อีกทั้งยัง มีคนในสังคมที่ไปยินดีกับการเข่นฆ่าผู้ที่มีความเห็นแตกต่างไปจากจารีตประเพณีอยู่ทุกครั้ง อาชญากรรม ความรุนแรง และ การเข่นฆ่า จึงเป็นเรื่องปกติสุขของสังคมไทยไปเสียแล้ว กล่าวในอีกด้านหนึ่งนั้น การที่คนกระทำความผิดส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากอิทธิพลของสังคมและสิ่งแวดล้อมของสังคมนั่นเอง ภาพยนตร์ยอดนิยมทั้งไทยและเทศล้วนส่งเสริมการเข่นฆ่าทั้งสิ้น ดังนั้น อาชญากรรมจึงหาใช่เป็นพฤติกรรมทางชีววิทยาเฉพาะบุคคลแต่เป็นผลมาจากโครงสร้างสังคมที่ส่งเสริมการเอารัดเอาเปรียบและนิยมใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาสังคม   

การลงโทษเพื่อการแก้แค้นทดแทนนี้ไม่ได้สนใจต่ออนาคตผู้ถูกลงโทษหรือของสังคม สนใจอย่างเดียวต่อพฤติกรรมหรือการกระทำในอดีตของผู้กระทำความผิด เมื่อมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น สมควรได้รับโทษตามนั้น ในความเป็นจริงพุทธศาสนานั้นคัดค้านการลงโทษประหารชีวิต และไม่เห็นด้วยกับการแก้แค้นกันดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า อเวเรน จ สมฺมนฺติ : เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร การลงโทษแบบแก้แค้นจึงไม่สอดคล้องกับหลักธรรมของพุทธศาสนา แต่ทว่าเพื่อเป็นการป้องกันสังคม การลงโทษโดยมุ่งต่อการฟื้นฟู-แก้ไข-ปรับปรุงเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกจากการใช้เรือนจำเป็นที่ลงโทษ แทนการประหารชีวิต โดยที่ระหว่างการคุมขังนั้น กรมราชทัณฑ์ทำหน้าที่ในด้านการศึกษาอบรมและการพัฒนาจิตใจ จน เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมแล้วจึงปล่อยตัวให้กลับมาใช้ชีวิตปกติสุขในสังคม ตามวิสัยทัศน์กรมราชทัณฑ์ที่ว่า " คืนคนดี มีคุณค่าสู่สังคม " นั่นเอง

ถึงแม้ว่า จะเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมาย แต่พวกเขาเหล่านั้นยังเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นทรัพยากรของสังคมได้เช่นกัน การยกเลิกโทษประหารชีวิต ไม่ได้หมายถึงการช่วยเหลือผู้กระทำความผิดแต่เป็นกระบวนการของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นการให้โอกาสกลับตัวกลับใจและพัฒนาให้เป็นคนใหม่ที่พร้อมจะเป็นคนดีมีคุณค่าและกลับสู่สังคมได้ต่อไป การคุมขังภายในเรือน จำ (penitentiary) เป็นการเพียงพอต่อการลงโทษอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นการคุมขังด้วยเวลายาวนานหรือถึงตลอดชีวิต แต่มีโอกาสได้รับการพิจารณาการอภัยโทษและการพักการลงโทษหากแสดงให้เห็นว่าเป็นคนดี มีคุณค่า หรือมีความก้าวหน้าในด้านการศึกษา การประกอบอาชีพหรือมีศีลธรรมที่ดีได้

การประหารชีวิตจะตอบสนองได้แต่เพียงความสะใจทางอารมณ์ความรู้สึกชิงชังเท่านั้น แต่ไม่ได้มีคุณค่าในด้านทรัพยากรสังคม ภายหลังการปล่อยตัวมีจำนวนไม่ถึงร้อยละ 1 ของนักโทษที่ได้รับการปล่อยตัวแล้วออกไปที่กระทำความผิดซ้ำ ซึ่งศาลจะลงโทษเพิ่มขึ้นในอัตราหนึ่งในสามและครึ่งหนึ่งของโทษที่กระทำความผิดครั้งที่สองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 92-93 แสดงให้เห็นว่า การคุมขังนั้นเพียงพอต่อการทำให้เข็ดหลาบและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้น ดังนั้นหากมุ่งเน้นให้กรมราชทัณฑ์ทำงานให้บรรลุเป้าหมายที่ว่า คืนคนดีสู่สังคม แล้วก็เห็นสมควรยกเลิกโทษประหารชีวิตไปเสีย โดยมุ่งเน้นให้มีการคุมขังในระยะเวลาพอสมควรต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในช่วงระยะภายหลังการปล่อยตัวก็เช่นกันต้องทำให้กรมควบคุมความประพฤติมีความสามารถติดตามผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวให้สามารถใช้ชีวิตตามปกติสุขได้

หากยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้ว การคุมขังในเรือนจำ เป็นระยะเวลาที่แน่นอนตามโทษานุโทษ ต้องกำหนดให้ผู้ต้องขังคคีประทุษร้ายต่อชีวิตได้รับการศึกษาพัฒนาจิตใจและทำงานประกอบอาชีพในเรือนจำ เพื่อนำรายได้มาเยียวยาครอบครัวของผู้เสียหายให้เพียงพอเหมาะสมตามสัดส่วนของโทษ และต้องมุ่งเน้นให้ทำงานบำเพ็ญสาธารณประโยชน์หรืองานบริการสังคมมากขึ้น เช่น การทำงานขุดท่อหรือขุดลอกคูคลอง การช่วยทำไร่นาหรือซ่อมบำรุงครัวเรือน การทำความสะอาดสถานที่ราชการหรือสวนสาธารณะ การซ่อมบำรุงถนนหนทาง การช่วยเหลือคนไข้ตามสถานพยาบาล และอื่นๆอีกมากมายในลักษณะเดียวกับการทำงานแบบจิตอาสา อันเป็นกระบวนการขัดเกลาจิตใจให้ดีงามขึ้นมาได้

เชื่อได้ว่าเมื่อปล่อยตัวออกมาแล้ว ยังมีกรมควบคุมความประพฤติและชุมชนที่จะต้องช่วยกันดูแลและติดตามบุคคลที่ได้รับการปล่อยตัวออกมา กระบวนการเหล่านี้หากทำงานให้มีประสิทธิภาพแล้ว ประเทศไทยจะมีทรัพยากรที่ทรงคุณค่ามากมาย รวมทั้งรัฐบาลเองจะต้องมีหน้าที่สร้างกลไกนิรภัยทางสังคม สัญญาณเตือนภัย และการช่วยเหลือทันท่วงที ตลอดจนการป้องกันการเกิดอาชญากรรมในทุกพื้นที่ จะทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นในเรื่องความปลอดภัยในสังคมโดยที่ไม่ต้องทำลายชีวิตมนุษย์หรือที่เรามักเรียกกันว่าเศษเดนมนุษย์ให้ล้มหายตายจากกันไป          

เมื่อยกเลิกการลงโทษประหารชีวิตจำเป็นต้องมุ่งไปสู่การแก้ไขฟื้นฟู ( Rehabbititative ) ผู้กระทำความผิด ด้วยการศึกษาหาสาเหตุหาปัจจัยของการกระทำความผิด โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เมื่อพบสาเหตุแล้วอาจเป็นไปได้ในแง่เป็นผู้ป่วยทางจิต พฤติกรรมเลียนแบบ ปัญหาครอบครัว ความยากจน อิทธิพลทางวัฒนธรรม สังคม หรือสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ก็กำหนดมาตรการแก้ไขที่สาเหตุหรือปัจจัยก่อความรุนแรง ทั้งการแก้ไขระดับปัจเจกชนรายบุคคลหรือแบบกระบวนการกลุ่ม นอกจากนี้ยังต้องทำงานระดับชุมชนเพื่อการแก้ไขฟื้นฟู เป็นการมุ่งให้ชุมชนมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม การใช้บุคคลให้การรับรองหรือ การมีบุคคลค้ำประกันจะมีส่วนช่วยติดตามภายหลังการปล่อยตัวแล้ว จะช่วยให้บรรลุเป้าหมาย "คืนคนดีกลับสู่สังคม" แนวความคิดแบบประชารัฐจะต้องส่งเสริมการรวมตัวของเครือข่ายหรือองค์กรทางสังคม อย่างเช่น เครือข่ายอาสาสมัครคุมประพฤติ หรืออาสาสมัครทำงานเยี่ยมและอบรมผู้ต้องขัง ดังเช่นที่มูลนิธิกระจกเงาดำเนินการกับผู้ต้องขังสูงอายุที่ เรือนจำพิเศษกรุงเทพเป็นต้น

กระบวนการให้การศึกษาพัฒนาจิตใจแบบนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะเป็นการยอมรับผู้ที่พ้นโทษกลับคืนสู่สังคมได้ ไม่เกิดความแปลกแยกกับสังคม โดยไม่ต้องใช้การลงโทษประหารเพื่อทำลายชีให้สิ้นซากไป แม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นแค่เศษเดนมนุษย์ก็ตาม แต่ก็ยังมีคุณค่าความหมายความเป็นมนุษย์อยู่นั่นเอง 


 

เกี่ยวกับผู้เขียน: สมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตนักโทษการเมืองคดีตามมาตรา 112 ถูกคุมขัง 7 ปีที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ปัจจุบันได้รับการปล่อยตัวแล้ว 

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: แปดสิบหกปีสองสี่เจ็ดห้า

Posted: 30 Jun 2018 08:48 AM PDT

คนถือปืนกลายเป็นพระเจ้า
ใส่บาตรเช้าด้วยเลือดพิราบ
รัฐประหารคือการล้างบาป
เสรีภาพคือมารศาสนา

พระไตรปิฎกไม่เคยกล่าวไว้
เหตุใดพิราบจึงถูกไล่ล่า
ปล่อยเหยี่ยวร้ายสยายปีกเต็มฟ้า
ทหารราชาถือปืนนำไป

สาปให้เราเป็นก้อนหินเสียเถิด, ท่านผู้นำ
ท่องมนต์ดำห้ามสายน้ำมิให้เคลื่อนไหว
ย้ายดวงตะวันไปซุกซ่อนในถ้ำเถื่อนไกล
เสกให้ปลาบินได้...หาญท้าทายเด็ดปีกนก

เปลี่ยนดวงดาวให้เปล่งแสงตอนกลางวัน
เปลี่ยนพงศาวดารให้อาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก
เปลี่ยนตำราเรียนให้บรรพบุรุษของเราคือคางคก
ผลิตซ้ำในชาดก...อีกสักหกร้อยเล่มเกวียน

สาปให้เราเป็นก้อนหินเสียเถิด, ท่านนายพล
หาไม่, ประวัติศาสตร์ของประชาชนมิอาจหยุดเขียน
เสียงป่าวร้องของผู้ทุกข์ทนยังวนเวียน
สามนิ้วจักถูกชูขึ้นกราบเรียน...ด้วยความ(ไม่)เคารพ

(เสียงป่าวร้องของผู้ทุกข์ทนยังวนเวียน
สามนิ้วจักชูขึ้นกราบเรียนจากห้องใจ)

แปดสิบหกปีกิ่งก้านใบไม่ปรากฏ
รถถังบดเบียดขย้ำระส่ำระสาย
แสงดาวเหนือยามรุ่งสางไม่พร่างพราย
ประชาธิปไตยยังไกลห่างร้างลำเค็ญ

ท่านหวาดกลัวอนาคตใช่หรือไม่
จึงถอยหลังร่นไปใกล้ยุคเข็ญ
ปากคืนความสุขทั้งเช้าสายบ่ายเพล
มือถือปืนสาดตระเวนทั้งวันคืน

เมื่อดวงใจไม่อาจทน
การพุ่งเข้าชนจึงเริ่มขึ้น
เมื่อความฝันใฝ่ใหญ่กว่าปืน
กลางคืนจึงสว่างกว่ากลางวัน

(เมื่อความฝันใฝ่ใหญ่กว่าปืน
แสงดาวดื่นจึงสว่างกลางใจคน)

เมื่อดวงใจเราลุกขึ้นยืน
การลุกตื่นอีกครั้งกำลังเริ่มต้น
บ่าไหล่เบียดเสียดท้าทวงค่าคน
การต่อสู้จักเริ่มต้นอีกหนแล้ว!!!

 

หมายเหตุ: อ่านที่ ลานปรีดี ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในงาน 86 ปี 2475 

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: เราคือประชาชนผู้อภิวัฒน์มาจาก "ราษฎร"

Posted: 30 Jun 2018 07:10 AM PDT

86 ปี จะกี่ปีก็เหมือนเดิม?
เงามืดดวงอาทิตย์ดวงเดิมยังห่อหุ้มโลกเช่นเดิม
โลกยามเช้าซึ่งไม่เคยเช้าและไร้ผืนดินให้มนุษย์ปลูกบ้าน
คือโลกใบเดียวกันกับโลกวันนี้ที่ย่อลงอยู่ในมือเด็ก
พวกเขาหยิบโลกวันนี้ไปกับตัวได้ทุกเวลาและทุกสถานที่
ใครคาดคิดได้เล่า?
เช้าของโลกในมือคือเช้าสดสว่าง มิใช่จากดวงอาทิตย์
แต่จากดวงตาพ่อแม่พี่น้องและเพื่อนพ้องพวกเขา
ใครคาดคิดไว้บ้าง?
ด้วยโลกในมือ ห้องน้ำเตียงนอนพวกเขาคือผืนดินปลูกบ้านสร้างโลก

"เรา"
ขออาจหาญใช้สรรพนามนี้เพื่อกล่าวแทนตัวเองและหลายคนในนาม "ประชาชน"
มนุษย์ไร้ผืนดินปลูกบ้านสร้างโลก

นี้มิใช่ชะตาฟ้าลิขิต บุญทำกรรมแต่งแต่ชาติปางไหน
เป็นเรื่องของคน การกระทำของคนชาตินี้
ชาติไทย ที่เกลื่อนกลบด้วยเทพเจ้าพระโพธิสัตว์และยอดมนุษย์
คือชาติเดียวกันกับชาติเลือนลบ "การกระทำครั้งสำคัญ 2475"

เราเป็นคนธรรมดา เป็นประชาชน ผู้อภิวัฒน์มาจาก "ราษฎร"
ด้วยโลกวันนี้ในมือของพวกเราจักปลดเปลื้องเงื้อมเงาดำมืด
ทำรุ่งเช้าเป็นเช้าวาวโรจน์ดวงตาผองเรา

86 ปี ต่อให้อีกกี่ปีจะไม่มีวันเหมือนเดิม

 

หมายเหตุ: อ่านในงานเสวนา 86 ปี อภิวัฒน์สยาม ความหวังบนเส้นทางประชาธิปไตย วันที่ 24 มิ.ย. 2561 ณ มรภ.พระนครศรีอยุธยา

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: พลเมืองชั้นหนึ่ง

Posted: 30 Jun 2018 07:03 AM PDT




เข้าใจผิดกันใหญ่โต ลุงตู่ไม่เคยก้าวล่วงแม้ว-ปู ที่ของขึ้นว่าคนไทยไปอาศัยประเทศคนอื่นอยู่ ไม่ได้หมายถึง 2 อดีตนายกฯ ท่านยัวะคนไทยที่ออกมาประท้วงในยุโรปต่างหาก

อ้าว ไหงเป็นงั้น พวกเกลียดแม้ว-ปูกำลังสะใจก็หงายเงิบไป ท่านไม่ยักโกรธเคือง ที่แม้วบินไปฉลองวันเกิดปูบนแผ่นดินอังกฤษ ในระหว่างท่านนั่งเข่าชิด เยส แทงกิ้ว ยกนิ้ว เลิกคิ้ว สปี๊กกับ เทเรซา เมย์

แหม่ ใครๆ ก็คิดว่าท่านจะโกรธ เพราะเหมือนโดนฉีกหน้า 2 พี่น้องอดีตนายกฯ ผู้ถูกรัฐประหาร แล้วถูกตั้งข้อหา ถูกศาลพิพากษา เป็นหนังม้วนเดียวกัน กลับไปหัวร่อครึกครื้น เย้ยหยันพลังดูด ส.ส. ในช่วงท่านไปเยือนอังกฤษพอดี ไม่แยแสว่าศาลออกหมายจับ 2 วัน 2 คดี ยังกะบ้านนี้เมืองนี้ไม่มีขื่อไม่มีแป

ที่ไหนได้ กลายเป็นเอาจิตใจคนต่ำช้าไปวัดจิตใจวิญญูชน ลุงตู่ไม่ยักโกรธ แต่มาลงที่คนชูป้ายคัดค้าน ว่าท่านไปต่างประเทศ ด้วยศักดิ์ศรีของตัวเอง โดยเอาคนไทยและประเทศไทยไปด้วย ทุกคนควรจะให้เกียรติ อย่าให้เครดิตกับคนทำผิดหนีไปอยู่ต่างประเทศ แล้วไม่สร้างสรรค์ โจมตีประเทศตัวเอง ไปอาศัยประเทศคนอื่นอยู่แบบคนชั้นสอง แล้วเกิดมาเป็นคนไทยทำไม

สรุปว่าท่านหมายถึงพวกหนีไปตอนรัฐประหาร ไม่มารายงานตัวตามคำสั่ง คสช. ซึ่งตอนนี้หลายคนก็ได้สถานะผู้ลี้ภัยแล้ว ได้สิทธิพำนักในยุโรปอเมริกาอย่างถูกต้อง ได้รับความช่วยเหลือคุ้มครองตามอนุสัญญานานาชาติ สามารถออกมาชูป้ายคัดค้าน JUNTA รวมทั้งวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอังกฤษ ฝรั่งเศส ฐานคบค้ารัฐประหาร มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างเต็มที่ ไม่โดนเอาผิดฐานชุมนุม 5 คนขึ้นไป หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

แต่ท่านผู้นำกลับมีเมตตา เห็นว่าคนเหล่านี้ต้องอาศัยประเทศคนอื่นอยู่ มีสถานะเป็นเพียงพลเมืองชั้นสอง น่าจะกลับมาเป็นพลเมืองชั้นหนึ่งของประเทศเรา กลับมาเข้าสู่ครรลองของกฎหมายเสียโดยดี แบบหลายคนที่ตอนนี้ยังต้องขึ้นศาลทหาร โทษฐานไม่รายงานตัวกับ คสช.

ท่านก็เข้าใจพูดเนอะ ถ้าคิดว่าถูกขอให้กลับมาสู้คดี ถูก คสช.ออกคำสั่ง แล้วถูกตั้งข้อหาขัดคำสั่ง ถ้าคิดว่าถูกก็กลับมาขึ้นศาลทหารสิ

ว่าที่จริง การเป็นพลเมืองชั้นหนึ่งในประเทศนี้ก็ดีนะ ถ้าเลิกสนใจการเมือง หันไปรณรงค์ลดโลกร้อน ลดถุงก๊อบแก๊บ ก็อยู่ได้อย่างสุขสงบ ปลอดภัย แต่อย่าเผลอกดไลก์กดแชร์เพจวิจารณ์รัฐบาล ไม่งั้นจะโดนบิ๊กโจ๊กจับ ฐานผิด พ.ร.บ.คอมพ์

คนไทยเยอะแยะไปที่ภาคภูมิใจ ว่าเราได้เป็นพลเมืองชั้นหนึ่ง ดีกว่าเป็นแรงงานต่างด้าว ถ้าไม่มีใบอนุญาตทำงาน ก็ถูกจับถูกไล่ ถึงให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี ก็ยังมีแผ่นดินให้อยู่ รัฐบาลก็ดูแลดี๊ดี แค่ BTS ขัดข้อง นายกฯ ต้องห่วงใยจนนอนไม่หลับ

ถึงแม้ประชาชนจะถูกยึดอำนาจ แต่รัฐประหาร 4.0 ก็มีมารยาท รู้จักขออภัยในความไม่สะดวก รู้จักคืนความสุข ท่านบอกตลอดว่าไม่ได้ใช้อำนาจบังคับใคร แค่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยกฎหมายคือคำสั่ง ออกคำสั่งเป็นกฎหมาย

เข้าใจไว้ด้วยนะ ท่านบอกว่ารักทุกคน รู้ว่าคนไม่ชอบก็มี แต่ไม่โกรธ แค่ไม่สบายใจที่ประชาชนแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย ชอบไม่ชอบก็ต้องสนับสนุนท่าน เพราะท่านทำเพื่อชาติ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง อย่าอ้างว่ารักประชาธิปไตยแล้วทำให้ประเทศวุ่นวาย

นี่คือระบอบที่ผู้นำ ผู้มีอำนาจ รักประชาชนอย่างเหลือล้นไง เหมือนพ่อรักลูก ครูรักศิษย์ รักแล้วใช้อำนาจออกคำสั่ง บังคับได้ทุกอย่าง ด้วยความหวังดี โดยไม่ต้องมีเหตุผล ไม่ว่าจะตี จะกล้อนผม หรือลงโทษอย่างไรก็ได้

เด็กต้องรู้จักเชื่อฟัง พลเมืองชั้นหนึ่งก็ต้องรู้จักหน้าที่ ต้องปฏิบัติตามวัฒนธรรมประเพณี ในสังคมอันดีงาม อยู่ในความดูแลของผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งอุตส่าห์วางยุทธศาสตร์ชาติไว้ให้ 20 ปี

พลเมืองต้องรู้ดี ว่าควรมีสิทธิอย่างจำกัด แม้มีสิทธิเลือกตั้ง ก็ต้องมี ส.ว.แต่งตั้ง ต้องมีองค์กรอิสระ ที่อภิชนคนดีเลือกให้ ระหว่างนี้ ก็ควรเลือกพรรคพลังดูดไปก่อน เพราะยังไงๆ ท่านก็จะไม่ยอมให้คนไม่ดีเป็นนายกฯ คนต่อไป

เราอยู่ในเมืองไทยเมืองพุทธ ก็ต้องเข้าใจ ว่าสังคมมีทั้งคนดีไม่ดี แม้ในหมู่คนดี ก็ยังดีไม่เท่ากัน ความดีต้องมีลำดับชั้น ดีเท่าเทียมกันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น จะให้มีสิทธิเท่าเทียมได้ไง

คนไทยจึงควรพึงพอใจกับการเป็นพลเมืองชั้นหนึ่ง ในคอนโดทรงพีระมิดที่สูงหลายชั้น

 

ที่มา: www.khaosod.co.th/politics/news_1277980

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รถไฟฟ้าบีทีเอสเปลี่ยนอุปกรณ์สื่อสารแล้วคาดบริการปกติจันทร์นี้

Posted: 30 Jun 2018 04:20 AM PDT

วันนี้รถไฟฟ้าบีทีเอสขัดข้องอีก ในขณะที่บริษัทออกแถลงการณ์เปลี่ยนแปลงอุปกรณ์สื่อสาร-ปรับย่านความถี่ใหม่เสร็จสิ้นวันนี้ ช่วงแรกอาจยังติดขัด คาดบริการปกติจันทร์ (2 ก.ค.) นี้   

  
 
30 มิ.ย. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่ารถไฟฟ้าบีทีเอส เกิดการขัดข้องอีก ในเวลา 14.48  น.รถไฟฟ้าขัดข้องที่สถานีราชเทวี โดยทางบีทีเอสได้ทำการถ่ายผู้โดยสาร และ เวลา 16.00 น. การเดินรถในสายสุขุมวิทและสายสีลม มีขบวนรถให้บริการปกติทุกสถานี
 
บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี ออกแถลงการณ์ว่าจากเหตุการณ์ความไม่สะดวกในการให้บริการเดินรถไฟฟ้าบีทีเอส ในช่วงวันที่ 25-27 มิ.ย. 2561 ทางบริษัทขออภัยอย่างสูงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และทางบริษัทได้ดำเนินการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้การเดินรถกลับมาให้บริการแก่ประชาชนได้ตามปกติโดยเร็ว
 
โดยการดำเนินงาน ทางบีทีเอสได้ดำเนินการเปลี่ยนอุปกรณ์สื่อสารในการรับส่งสัญญานการเดินรถ และปรับย่านความถี่ใหม่ พร้อมติดตั้งตัวกรองสัญญาณเพิ่มเติมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้ทดสอบการเดินรถด้วยอุปกรณ์ระบบใหม่ในช่วงเช้า ซึ่งผลการทดสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และตั้งแต่เวลา 14.00น. ของวันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน เป็นต้นไป ได้ทดสอบการเดินรถพร้อมกับการ เปิดระบบ Based Station หรือ เสาสัญญาณของ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) TOT อีกครั้ง เพื่อติดตามประเมินผล และหากพบปัญหาจะได้เร่งจัดการแก้ไขได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้ระบบการเดินรถสามารถให้บริการได้ตามปกติ พร้อมรองรับการให้บริการประชาชนในวันจันทร์ที่ 2 ก.ค. นี้ ได้อย่างราบรื่น
 
โดยระหว่างที่อยู่ในช่วงการเปิดใช้ระบบรับส่งสัญญานการเดินรถใหม่นี้ อาจพบการขัดข้องขึ้นได้บ้างอย่างไรก็ตาม หากเกิดความขัดข้องขึ้น ผู้โดยสารที่ผ่านเข้ามาในระบบแล้ว หรือได้ชำระค่าโดยสารแล้ว สามารถออกจากระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสได้ โดยที่บัตรประเภทแรบบิททั้งแบบเติมเงินและเติมเที่ยว จะไม่มีการตัดเที่ยวหรือค่าเดินทางใดๆ
 
ส่วนบัตรประเภทโดยสารเที่ยวเดียว จะสามารถออกจากระบบและเก็บบัตรโดยสารไว้ใช้งานได้ใหม่ภายใน 14 วันตามมูลค่าเดิม โดยบีทีเอสต้องขออภัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง และจะพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อให้รถไฟฟ้าบีทีเอส สามารถให้บริการได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ซ้อมใหญ่ระบบขนย้าย "13 เยาวชน" ติดถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน

Posted: 30 Jun 2018 12:44 AM PDT

ซ้อมใหญ่แผนช่วยเหลือเยาวชนทีมฟุตบอล "หมูป่าอะคาเดมี" ติดถ้ำ ผวจ.เชียงรายระบุทดสอบระบบ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ขณะที่แผนสูบน้ำออกจากถ้ำกลับมาได้ผล สมาคมน้ำบาดาลสำรวจพบตาน้ำ 2 จุด ขุดได้ 2 บ่อตั้งเป้า 5 บ่อ ส่วนหน่วยซีลสามารถเข้าถึงโถง 3 ได้อีกครั้ง

คณะทำงานซ้อมใหญ่แผนช่วยเหลือ 13 ชีวิตออกจากถ้ำเมื่อช่วงเช้าวันที่ 30 มิ.ย. 2561 โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายระบุเป็นการซ้อมทั้งระบบ เพื่อให้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง (ที่มา: สวท.เชียงราย)

ความคืบหน้าการปฏิบัติการช่วยเหลือทีมนักฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมีแม่สาย 13 ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. นั้น ล่าสุดเช้าวันนี้ (30 มิ.ย.) ซึ่งเข้าสู่วันที่ 8 ของการค้นหา สำนักประชาสัมพันธ์เขต 3 รายงานว่า ณรงศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ ได้นำคณะทำงานซ้อมใหญ่แผนช่วยเหลือ 13 ชีวิตออกจากถ้ำเพื่อส่งไปยังโรงพยาบาล เป็นการทดสอบระบบ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ หากพบเด็กทั้งหมดที่พลัดหลง เพื่อให้ทราบว่าผู้ใดมีหน้าที่ใด เมื่อเกิดเหตุการณ์จริง จะได้ปฏิบัติอย่างถูกต้อง ทั้งทีมกู้ชีพ กู้ภัย บุคลากรทางการแพทย์ ยานพาหนะ และการควบคุมสถานการณ์รอบด้านทั้งหมด

สถานการณ์ภายในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่มา: เพจ Thai NavySEAL

ส่วนสถานการณ์ช่วยเหลือล่าสุดนั้น เมื่อเวลา 12.00 น. ที่ผ่านมา เพจ Thai NavySEAL เผยภาพสำรวจถ้ำล่าสุดโดยกำลังพลจากกองทัพบก และหน่วยซีล กองทัพเรือ ช่วยลำเลียงเครื่องสูบน้ำ เข้าไปวางในถ้ำ เร่งดึงน้ำออกจากถ้ำให้เร็วที่สุดระดับน้ำลดลงเร็วขึ้นแล้ว มนุษย์กบ เตรียมลำเลียงขวดอากาศเข้าไปตั้งกองบัญชาการที่โถง 3 เพื่อวางเชือกนำทางเข้าสู่บริเวณสามแยก โดยทีมช่วยชีวิตได้ไปถึงโถง 3 อีกครั้งตั้งแต่วานนี้ (29 มิ.ย.)

ทั้งนี้หลังจากระดับน้ำภายในถ้ำเริ่มลดลงอย่างน้อย 8 เซนติเมตร ทำให้หน่วยซีล เข้าถึงโถงที่ 3 โดยเป็นจุดที่อยู่ใกล้บริเวณ "จุดพัทยาบีช" ซึ่งทีมค้นหาเชื่อว่าเยาวชนทั้ง 13 คนจะไปอยู่ที่นั่น 

ส่วนการทำงานของหน่วยซีลวันนี้ (30 มิ.ย.) แบ่งออกเป็น 3 ทีม โดยทีมแรกจะสำรวจพื้นที่ทางน้ำ ภายในถ้ำ สำรวจพื้นที่ภายในถ้ำ และชุดที่ 3 ดำน้ำเข้าไปในโถงถ้ำที่ื 3 เพื่อติดตั้งเครื่องสูบน้ำ

โดยการเข้าถึงโถงที่ 3 ครั้งนี้ถือเป็นรอบที่ 2 นับแต่มีการเข้าค้นหาทีมฟุตบอลเยาวชน โดยก่อนหน้านี้เข้าไปถึงครั้งแรกเมื่อ 26 มิ.ย. ก่อนถอยออกมาอยู่ที่โถง 2 เพราะระดับน้ำสูงขึ้นเมื่อ 27 มิ.ย. ทำให้หน่วยซีลเข้าไปปฏิบัติภารกิจค้นหาไม่ได้

ขณะที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทีมกู้ภัยได้ดำน้ำผ่านม่านน้ำลึก 5 เมตร เพื่อเข้าถึงห้องโถงใหญ่ซึ่งห่างจากจากปากถ้ำเข้าไป 7 กิโลเมตร และแจ้งว่าพบร่องรอยของกลุ่มเยาวชน แต่ยังไม่พบตัว คาดว่าทั้ง 13 คนจะเดินลึกเข้าไปอีกเพราะระดับน้ำสูงในถ้ำ

สมาคมน้ำบาดาลพบตาน้ำ 2 จุด ขุดได้ 2 บ่อตั้งเป้า 5 บ่อ

ภารกิจค้นหาตาน้ำของสมาคมน้ำบาดาลแห่งประเทศไทย (ที่มา: สวท.เชียงราย)

สวท.เชียงราย รายงานวันนี้เมื่อ 12.49 น. ว่า สมาคมน้ำบาดาลแห่งประเทศไทยได้นำเครื่องเจาะ สนับสนุนการปฏิบัติการของศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดเชียงราย พบตาน้ำบริเวณหน้าถ้ำ 1 จุด ได้น้ำระยะความลึก 70 เมตร ปริมาณน้ำ 30 ลูกบาศก์เมตร

และยังพบตาน้ำอีก 1 จุด ที่วนอุทยานขุนน้ำนางนอน เจาะได้ 2 บ่อ ที่ความลึก 20 เมตร ได้ปริมาณน้ำ 30 ลูกบาศก์เมตร จากเป้าหมาย 5 บ่อ ระยะห่างจากปากถ้ำ 1,500 เมตร ใช้เครื่องสูบน้ำ จำนวน 6 เครื่อง ใช้ระยะเวลาสูบ 11 ชั่วโมง โดยช่วงแรกก่อนการสูบ มีระดับน้ำ 63 เซ็นติเมตรปัจจุบันระดับน้ำอยู่ที่ 58 เซ็นติเมตร ขณะที่การสูบน้ำได้ผลเป็นอย่างดี สีน้ำเริ่มเปลี่ยนจากสีขุ่นแดงเป็นน้ำใส ล่าสุดท้องฟ้าเริ่มเปิดและหากฝนไม่ตกลงมาเพิ่ม ตลอดทั้งวันจะเป็นผลดีอย่างมาก เนื่องจากมีการสูบน้ำอย่างต่อเนื่อง

การค้นหาเข้าสู่วันที่ 8

สำหรับการค้นหาเยาวชนนักฟุตบอลทีม "หมูป่าอะคาเดมีแม่สาย" เริ่มต้นขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. นักฟุตบอลเยาวชนอายุ 11-16 ปี และโค้ชอายุ 25 ปี คือเอกพล จันทะวงษ์ เดินทางไปเที่ยวที่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ในช่วงบ่าย หลังเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมฟุตบอลในช่วงเช้า ต่อมาเวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน สังเกตเห็นรถจักรยานจอดอยู่ 11 คัน บริเวณทางเข้าถ้ำหลวงอย่างผิดสังเกต และมีผู้ปกครองแจ้งว่าไม่สามารถติดต่อลูกชายได้ โดยตั้งแต่เวลา 22.00 น. ทีมกู้ภัยของมูลนิธิสยามรวมใจแม่สาย และศูนย์วิทยุ 191 สภ. แม่สาย ได้รับแจ้งเหตุว่ามีเด็กหายตัวเข้าไปในถ้ำหลวง จนมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร และหน่วยงานกู้ภัยเข้ามาร่วมการค้นหาดังกล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พบมีคำสั่งย้าย 'ผู้ว่าเชียงราย' ตั้งแต่เดือน เม.ย. 2561 แล้ว

Posted: 30 Jun 2018 12:09 AM PDT

พบมีคำสั่งย้าย 'ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร' ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ไปเป็นผู้ว่าราชการ จ.พะเยา ตั้งแต่เดือน เม.ย. 2561 แล้ว แต่ยังปฏิบัติหน้าที่ได้เพราะยังอยู่ในระหว่างรอพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย (ที่มาของภาพ: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์)

 
30 มิ.ย. 2561 ตามที่มีกระแสข่าวว่ามีการย้ายนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผู้บัญชาการการค้นหา 13 เยาวชนนักฟุตบอลหมูป่าอะเคมีนั้น พบว่าเป็นคำสั่งย้ายตามมติ ครม. ตั้งแต่เดือน เม.ย. 2561 แล้ว แต่ยังปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเพราะอยู่ในระหว่างรอพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
 
โดยมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2561 มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทยระดับสูง ตามบัญชีรายชื่อข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่เสนอให้พิจารณาแล้ว 1.นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ พ้นจากตำแหน่งรองปลัดกระทรวง ไปเป็นผู้ว่าฯเชียงใหม่ 2.นายปวิณ ชำนิประศาสน์ พ้นจากผู้ว่าฯ เชียงใหม่ เป็นรองปลัดกระทรวง 3.นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร พ้นจากผู้ว่าฯ เชียงราย เป็นผู้ว่าจังหวัดพะเยา 4.นายประจญ ปรัชญ์สกุล พ้นจากผู้ว่าฯ พะเยา เป็นผู้ว่าฯ เชียงราย 5.นายณรงค์ พลละเอียด พ้นจากผู้ว่าฯชุมพร เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง 6.นายพิสุทธิ์ บุษยพรรณพงศ์ พ้นจากผู้ว่าฯบึงกาฬ เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง 7.นายวิบูลย์ รัตนาภรณ์วงศ์ จากผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นผู้ว่าชุมพร 8.นายนิรัตร์ พงษ์สิทธิถาวร จากผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นผู้ว่าฯ บึงกาฬ 9.นายสุริยะ อมรโรจน์วรวุฒิ พ้นจากผู้ว่าฯ ปราจีนบุรี เป็นผู้ว่าฯ อำนาจเจริญ 10.นายพิบูลย์ หัตถกิจโกศล พ้นจากผู้ว่าฯ เพชรบูรณ์ เป็นผู้ว่าฯ ปราจีนบุรี 11.นายสืบศักดิ์ เอี่ยมวิจารณ์ พ้นจากผู้ว่าฯแม่ฮ่องสอน เป็นผู้ว่าฯ เพชรบูรณ์ 12.นายสิริรัฐ ชุมอุปการ พ้นจากผู้ว่าฯอำนาจเจริญ เป็นผู้ว่าฯ แม่ฮ่องสอน (อ่านเพิ่มเติม: มท.ย้าย 12 เก้าอี้ รองปลัด-ผู้ตรวจฯ-ผู้ว่าฯ, ThaiPBS, 24/4/2561)
 
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ ระบุว่าในช่วงที่มีคำสั่งโยกย้ายครั้งนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผล ในการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงและผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้ง 12 ตำแหน่งนั้นว่า มี 3 ข้อ คือ หนึ่ง คือครบวงรอบตามแผนการแต่งตั้งโยกย้ายกลางปี, การพิจารณาจากผลงานหรือข้อบกพร่องในพื้นที่ และการพิจารณาโดยหวังผลทางการเมืองเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น
 
ซึ่งเมื่อไล่ย้อนดูข่าวที่เกี่ยวข้องกับผู้ว่าฯเชียงรายคนนี้ต่อไปอีก จะพบข่าวใหญ่ของเมืองเชียงรายในช่วงเดือน มี.ค. 2561 ที่ผ่านมา คือการไม่อนุมัติสร้าง "อนุสาวรีย์พญามังราย" บนเกาะกลางแม่น้ำกก โดยให้เหตุผลว่าเป็นการรุกลำน้ำ หากเซ็นก็เท่ากับทำผิดไปด้วยทั้งนี้โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ใช้งบประมาณที่มาจากงบอัดฉีดเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ 32 ล้านบาท ครั้งนั้น ผู้ว่าฯเชียงรายให้เหตุผลในการไม่อนุมัติโครงการว่าไม่อาจให้ที่ดินบนเกาะกลางแม่น้ำกกเพื่อดำเนินโครงการได้เพราะผิดกฎหมาย หากอนุมัติก็อาจต้องถูกดำเนินคดี งบประมาณนี้สามารถผันไปใช้เป็นพัฒนาด้านอื่นได้กว่า 31 โครงการ เช่น ถนน แหล่งน้ำ แต่ปรากฎว่าก็ไม่เอากัน
 
"ผมเป็นผู้ว่าฯ ผมมีหน้าที่คุมทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎกติกา ท่านรู้ไหมเชียงรายที่ผ่านมาศักยภาพมันควรจะเจริญขนาดไหน งบประมาณ 100 บาทมันควรจะลงให้ถึง 100 บาทหรืออย่างน้อย 90 บาท วันนี้ลงแค่ 30-40 บาท เขาถึงส่งผมมา วันนี้ 20 กว่าโครงการผมเซ็นไม่ได้เพราะมันผิดกติกาหมด ผมยอมไปที่ไหนก็ได้แต่ผมจะไม่ยอมเซ็นต์โครงการที่ผิดเพราะรู้ว่าผิด ผมยอมย้ายไปที่ไหนก็ได้ถ้าไปแล้วไม่ปวดหัวอย่างนี้" นายณรงค์ศักดิ์ ระบุ
 
ทั้งนี้เนื่องจากคำสั่งโยกย้ายดังกล่าวให้มีผลตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างรอพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายณรงค์ศักดิ์ จึงยังทำหน้าที่อยู่ที่เชียงรายต่อไปก่อน
 
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เตรียมขยายลาคลอดบุตรจาก 90 เป็น 98 วัน

Posted: 29 Jun 2018 11:14 PM PDT

กสร.เตรียมเสนอร่างกฎหมายปรับเพิ่มสิทธิวันลาคลอดบุตรให้ลูกจ้างหญิงตั้งครรภ์จาก 90 วันเป็น 98 วัน พร้อมให้สิทธิลาตรวจครรภ์ก่อนคลอดเป็นวันลาเพื่อคลอดบุตรด้วย 

 
30 มิ.ย. 2561 นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กสร. ได้เตรียมผลักดันในการแก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยเฉพาะการให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงตั้งครรภ์มีสิทธิลาเพื่อตรวจครรภ์ก่อนคลอดบุตรโดยให้ถือเป็นวันลาเพื่อคลอดบุตร และปรับเพิ่มสิทธิวันลาเพื่อคลอดบุตร จากเดิมที่สามารถลาคลอดบุตรหนึ่งครรภ์ได้ 90 วัน เป็น 98 วัน 
 
ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)ฉบับที่183 ว่าด้วยสิทธิการคุ้มครองความเป็นมารดาซึ่งได้กำหนดให้ภาครัฐต้องดูแลผู้หญิงตั้งครรภ์ ระหว่างและหลังคลอด และต้องให้วันหยุดมารดาหลังคลอด 14 สัปดาห์  โดยให้นับรวมการลาเพื่อตรวจครรภ์และลาคลอดบุตรใน 98 วัน เนื่องจากเป็นสิทธิการลาประเภทเดียวกัน ขณะนี้ร่างกฎหมายอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานกรรมการกฤษฎีกาและหากร่างดังกล่าวผ่านก็จะนำเสนอให้สนช.พิจารณาเพื่อประกาศเป็นกฎหมายต่อไป 
 
สำหรับประเด็นที่มีการเสนอให้ออกกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดสวัสดิการตามมาตรา 95 แห่ง พ.ร.บ.บัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เกี่ยวกับการจัดสิ่งแวดล้อมให้สิ่งแวดล้อม ให้ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น ที่ผ่านมา กสร. ได้ส่งเสริมให้มีการจัดตั้งมุมนมแม่ในสถานประกอบกิจการมาอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้นายจ้าง ลูกจ้างเห็นความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งการจัดสวัสดิการนอกเหนือกฎหมายกำหนดและเป็นการดำเนินการโดยความสมัครใจและขึ้นอยู่กับความพร้อมของนายจ้างทั้งในเรื่องสถานที่ การบริหารจัดการและค่าใช้จ่าย ดังนั้นการจะออกกฎหมายดังกล่าวจะต้องมีการศึกษาและรับฟังความคิดเห็นจากนายจ้าง ลูกจ้างและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบก่อน
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปปง.อายัด 134 ล้าน กลุ่มอดีตพระเถระทุจริตเงินทอนวัด

Posted: 29 Jun 2018 10:55 PM PDT

ปปง. อายัดเงินฝากธนาคาร 134 ล้านบาท กลุ่มอดีตพระเถระทุจริตเงินทอนวัด พร้อมอายัด 'อาคาร 100 ปี ธรรมกาย' หลังพบฟอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนสร้างอาคาร 1,458 ล้านบาท

 
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2561 ว่าสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ลงประกาศในเว็บไซต์ คำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย. 82/2561 เรื่องอายัดทรัพย์สินของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทุจริตอนุมัติและเบิกจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาและเพื่อการเผยแพร่พระพุทธศาสนาโดยมิชอบ หรือทุจริตเงินทอนวัด ตามที่สำนักพระพุทธศาสนายื่นคำร้อง
 
โดยการตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มบุคคลทุจริตเงินงบประมาณของพ.ศ.และพวก ปรากฏหลักฐานเชื่อได้ว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวและพวกมีพฤติการณ์เข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน ซึ่งจากการรวบรวมหลักฐานปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด โดยทรัพย์สินดังกล่าวเป็นประเภทเงินฝากธนาคาร อันเป็นทรัพย์สินที่สามารถโอนย้าย ปกปิด ซ่อนเร้นได้โดยง่าย บอร์ด ปปง. จึงมีมติให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว 10 รายการ มูลค่า 134,793505.17 บาท พร้อมดอกผล มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.-20 ส.ค. 2561
 
สำหรับรายงานที่ถูกอายัด 10 รายการ ประกอบด้วย บัญชีเงินฝากธนาคารในชื่อของพระพรหมสิทธิ หรือนายธงชัย สุขโข อดีตเจ้าอาวาสวัดสะเกศ จำนวน 7 บัญชี มูลค่า 132,857,543.91 บาท, บัญชีเงินฝากธนาคารในชื่อของพระพรหมเมธี อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม จำนวน 1 บัญชี มูลค่า 162,151.76 บาท, บัญชีเงินฝากธนาคารในชื่อพระพรหมดิลก หรือนายเอื้อน กลิ่นสาลี อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา จำนวน 1 บัญชี มูลค่า 1,745,953.37 บาท และบัญชีเงินฝากธนาคารในชื่อพระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือนายเทิด วงศ์ชอุ่ม อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสะเกศ จำนวน 1 บัญชี มูลค่า 27,876.08 บาท
 
นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย. 87/2561 เรื่องอายัดทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิดของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ในคดีฟอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดยในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรมเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา บอร์ด ปปง. มีมติให้อายัดอาคารโครงการ 100 ปีคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดิน 91 แปลง ในชื่อมูลนิธิธรรมกาย และมูลนิธิธรรมประสิทธิ์ หลังตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า มีการยักยอกเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และโอนเข้าบัญชีของน.ส.ศศิธร โชคประสิทธิ์ และพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย โดยนายศุภชัยสั่งจ่ายเป็นเช็คจำนวน 27 ฉบับ เป็นจำนวนเงิน 1,458,560,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้นำไปใช้ในการก่อสร้างอาคารดังกล่าว อาคาร 100 ปีจึงเป็นทรัพย์เกี่ยวกับการทำผิด จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการจำหน่าย โอน ปกปิดหรือซ่อนเร้นเกี่ยวกับทรัพย์สินที่กระทำผิด ดีเอสไอจึงขอให้บอร์ด ปปง.มีมติอายัดอาคารดังกล่าว และที่ดิน 91 แปลง ตามพ.ร.บ.ฟอกเงิน
 
ดังนั้น คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีมติอายัดทรัพย์ 1 รายการ พร้อมดอกผล มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการมีมติคือ 12 มิ.ย. – 9 ก.ย. 2561 โดยให้รวมถึงทรัพย์สินหรือเงินที่ได้มาจากการจ่ายโอน และในกรณีผู้ถูกอายัดทรัพย์ตามคำสั่งหรือผู้มีส่วนได้เสียประสงค์ขอเพิกถอนทรัพย์สินดังกล่าว ให้ยื่นคำร้องต่อเลขาธิการ ปปง. พร้อมนำหลักฐานที่แสดงว่าทรัพย์สินดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินมายื่นด้วย นับแต่วันที่ได้รับแจ้งหรือทราบคำสั่งนี้
 
ปัจจุบันนายศุภชัย ถูกคุมขังในเรือนจำ หลังศาลชั้นต้นตัดสินว่ามีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ วงเงิน 22 ล้านบาท ระยะเวลา 14 ปี ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาลดโทษลงกึ่งหนึ่ง เหลือ 7 ปี นอกจากนี้ ยังมีคดีฟ้องร้องและคดีแพ่งที่ให้ชดเชยเงินคืนกับสมาชิกสหกรณ์กว่า 9 พันล้านบาท ส่วนพระอยู่ระหว่างการหลบหนีฟอกเงิน สบคบกันฟอกเงิน และรับของโจร โดยมหาเถรสมาคม (มส.) มีคำสั่งให้ถอนสมณศักดิ์ เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2560 ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวมีการดำเนินคดีกับพระธัมมชโยกับผู้ที่เกี่ยวข้องกว่า 200 คดี
 
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลฎีกายกฟ้อง 'เทพไท' คดีหมิ่น 'ทักษิณ เป็น 'ผีปอบ'

Posted: 29 Jun 2018 10:24 PM PDT

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือเเล้วมีคำพิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ คดี 'เทพไท' หมิ่นประมาท 'ทักษิณ เป็น 'ผีปอบ' หลังสู้กันมา 12 ปี 3 ศาล

 
เว็บไซต์ข่าวสด รายงานเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2561 ว่าที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตโฆษกประจำตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยฐานร่วมกันหมิ่นประมาท กรณีเมื่อวันที่ 17 – 19 พ.ค. 2549 ต่อเนื่องกัน ในกรณีที่จำเลยทั้งสองร่วมกันแถลงข่าวใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ทำนองว่า โจทก์บริหารประเทศแบบซีอีโอ และเปรียบเทียบโจทก์เหมือนเป็น ผีปอบ ที่เข้าร่างไม่ได้ และถ้อยคำอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จ
 
โดยศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือ เเล้วมีคำพิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์
 
ด้านนายเทพไท ระบุว่า คดีนี้สู้กันมาเป็นเวลา 12 ปี ซึ่งทั้ง 3 ศาล ได้ให้ความเป็นธรรมในการยกฟ้อง โดยคดีนี้เกิดขึ้นยาวนาน ทำให้ข้อมูลความจำของคนที่อยู่ในเหตุการณ์เลอะเลือนไปบ้าง แต่ก็มีประเด็นที่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า นายทักษิณหนีคดีไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ทำไมถึงมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องในชั้นศาลได้ ซึ่งในส่วนนี้ถือเป็นความเห็นทางการเมือง
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เพื่อไทย' แปลกใจ 'สุริยะ-สมศักดิ์' เคลื่อนไหวเกิน 5 คนได้ไม่โดนคดี

Posted: 29 Jun 2018 09:52 PM PDT

รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทยเย้ยรายชื่อ 'พลังประชารัฐ' แค่พวกปั่นราคา ยันไม่กระทบเพื่อไทย แปลกใจ 'สุริยะ-สมศักดิ์' เคลื่อนไหวเกิน 5 คนได้ไม่โดนคดี 'ประวิตร' อ้างไม่ใช่รวมตัวหาเสียงการเมือง ชี้เพื่อไทยก็ทำได้แต่ห้ามด่ารัฐบาล

 
30 มิ.ย. 2561 มติชนออนไลน์ รายงานว่าเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมานายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงรายชื่ออดีต ส.ส.ที่กลุ่มสามมิตรเปิดตัวว่าจะร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐว่า เท่าที่เห็นรายชื่อส่วนใหญ่ก็มีต้นกำเนิดมาจากในทำเนียบฯ ซึ่งเป็นเครือข่ายของพวกตระกูล ส.ที่เคยพยายามทำพรรคเพื่อแผ่นดินขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งทั้งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทินและนายอนุชา นาคาศัย ก็ล้วนมาจากพรรคกิจสังคม ดังนั้นรายชื่อที่เปิดออกมาแทบจะไม่ได้เกี่ยวกันกับพรรคเพื่อไทยโดยตรง หลายคนยุติบทบาททางการเมืองตั้งแต่ปี 2547 เรียกได้ว่าไม่มีสถานะเป็นนักการเมืองอะไร หลายคนก็ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ไม่มีสถานะเป็น ส.ส. ที่สำคัญตนยังไม่เห็นว่าจะมีรายชื่อไหนที่จะมีผลช่วยให้พรรคพลังประชารัฐแข็งแรงได้ เป็นเพียงความพยายามของคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามทำตัวเองให้ดูมีคุณค่า มีราคาค่างวด ส่วนคนที่อยู่กับพรรคเพื่อไทยแล้วมีชื่อว่าจะไปร่วมงานพลังประชารัฐ เช่น นายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือนายศรีเรศ โกฎคำลือ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ เป็นต้น ตนได้พูดคุยกับทั้งคู่แล้ว ต่างก็บ่นว่าเป็นการปล่อยข่าวฝ่ายเดียว ไม่รู้เรื่องเลย และต่างก็ยืนยันว่ายังอยู่กับพรรคเพื่อไทย ดังนั้นรายชื่อเหล่านี้ไม่ได้ทำให้พรรคเพื่อไทยรู้สึกกังวล และไม่ได้กระทบอะไรกับพรรค เป็นแค่กระบวนการตีน้ำให้ขุ่น หวังให้ปลาตกใจ จะได้ช้อนง่ายขึ้น
 
อดีต ส.ส.ส่วนใหญ่ที่ยึดมั่นอุดมการณ์ประชาธิปไตย พร้อมรับใช้พี่น้องประชาชน ไม่รับใช้เผด็จการ ไม่เอารัฐธรรมนูญที่ตีกรอบ ไม่สนับสนุนนายกฯ ที่มาด้วยวิธีพิเศษเหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นอยู่ ก็ยังยืนหยัดอยู่กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็จะได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องใช้เงินวางซื้อเหมือนกับพรรคอื่น เราใช้แค่อุดมการณ์ ส่วนใครที่ไปก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้คัดเลือกเลือดใหม่ๆ เข้ามา ทุกอย่างจะชัดเจนขึ้นเมื่อปลดล็อกให้พรรคเคลื่อนไหวทำกิจกรรมได้" นายภูมิธรรม กล่าว
 
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ส่วนที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่ายินดีที่กลุ่มสามมิตรสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ต่อ พร้อมทั้งระบุว่ากลุ่มนี้สามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ เพราะไม่ได้ต่อต้านรัฐบาลนั้น ขอตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่เป็นการรับลูกกัน กลุ่มสามมิตรแถลงข่าวชุมนุมเกิน 5 คนได้ แต่กลับไม่โดนคดีเหมือนพวกตน ถือเป็นการกระทำที่ฟ้องให้สาธารณชนได้เห็น ซึ่งก็จะช่วยให้ประชาชนมั่นใจว่าใครเป็นอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
 
'ประวิตร' อ้างไม่ใช่รวมตัวหาเสียงการเมือง ชี้เพื่อไทยก็ทำได้แต่ห้ามด่ารัฐบาล
 
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2561 MGR Online รายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคเพื่อไทยออกมาตั้งข้อสังเกตว่าการที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำกลุ่มสามมิตร เดินสายดูดพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ถือเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่ ว่าเขาไม่ได้ไปหาเสียงอะไร ขณะนี้พรรคการเมืองยังไม่มีการเปิดตัว
 
เมื่อถามว่าการรวมตัวกันเกิน 5 คน เพื่อพูดคุยประเด็นการเมืองถือว่าผิดหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า "เขาไม่ได้คุยกันเรื่องต่อต้านอะไร ไม่ได้รวมตัวกันเพื่อปั่นป่วนทำให้เกิดความวุ่นวายในรัฐบาล การพูดคุยดังกล่าวเป็นเรื่องของบุคคล ไม่ใช่เรื่องการทำงานทางการเมือง"
 
เมื่อถามย้ำว่าการเชิญบุคคลพูดคุย แต่ไม่เคลื่อนไหวทางการเมือง สามารถทำได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า หากทำกิจกรรมเพื่อปั่นป่วนไม่สามารถทำได้  เมื่อถามว่า หากพรรคเพื่อไทยนัดพูดคุยโดยไม่มีการปั่นป่วน สามารถทำได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็อย่าด่ารัฐบาล หากทำอะไรไม่นำไปสู่ความขัดแย้งได้ทั้งนั้น ส่วนตอนนี้มีพรรคหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวสวนกลับว่า "ไม่มี พักผ่อน"
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'อเล็กซานเดรีย โอแคซิโอ-คอร์เทซ' คนรุ่นใหม่ผู้ล้มยักษ์ในการเลือกตั้งผู้แทนฯ ท้องถิ่นรัฐนิวยอร์ก

Posted: 29 Jun 2018 08:51 PM PDT

สื่อนิวยอร์กไทม์รายงานเรื่องคนรุ่นใหม่รายล่าสุดที่ชนะการเลือกตั้งผู้แทนออกเสียงท้องถิ่นจากนิวยอร์กรอบแรกเธอเป็นนักกิจกรรม นักการศึกษา และผู้จัดการชุมชน ที่อายุเพียง 28 ปี และยังใช้หนี้การศึกษาไม่หมด แต่ก็สามารถฟาดฟันกับผู้แทนพรรคเดโมแครตรุ่นพ่อที่ครองเก้าอี้มานานจนสามารถเอาชนะได้ นอกจากนี้เธอยังมาจากองค์กรสังคมนิยมประชาธิปไตยในสหรัฐฯ ซึ่งน้อยครั้งจะได้เห็นในเวทีการเมือง

 

ที่มาภาพ: Wikimedia Commons
 
28 มิ.ย. 2561 อเล็กซานเดรีย โอแคซิโอ-คอร์เทซ เป็นหญิงอายุ 28 ปี ที่ไม่เคยมีประวัติได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งมาก่อนและยังคงทำงานใช้หนี้การศึกษายังไม่หมด แต่เธอก็สามารถเอาชนะโจเซฟ โครว์ลีย์ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมากว่า 19 ปี และเป็นผู้ได้รับความนิยมในย่านควีนส์มาตลอด 14 ปีได้ อย่างที่สื่อนิวยอร์กไทม์พาดหัวข่าวไว้ว่าเป็นการ "ล้มยักษ์"
 
โอแคซิโอ-คอร์เทซ เป็นคนที่เกิดในย่านบรองซ์ เป็นนักกิจกรรมการจัดการในชุมชนรวมถึงเป็นสมาชิกของพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยแห่งอเมริกา (DSA) ที่ไม่ใช่สองพรรคใหญ่ในสหรัฐฯ ขณะที่โครว์ลีย์เป็นเบอร์ 4 ของผู้แทนพรรคเดโมแครตซึ่งกำลังมีโอกาสเป็นดาวรุ่งของพรรคถ้าหากได้รับชัยชนะ แต่เขาก็พ่ายให้กับโอแคซิโอ-คอร์เทซ เสียก่อน ซึ่งถ้าหากโอแคซิโอ-คอร์เทซ สามารถเอาชนะผู้แทนจากพรรครีพับลิกันอย่าง แอนโธนี ปาปาส ได้ เธอก็จะกลายเป็นหญิงคนรุ่นใหม่ที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถเข้าสู่สภาได้
 
นิวยอร์กไทม์ระบุว่าโอแคซิโอ-คอร์เทซ แสดงความรู้สึกแปลกใจเช่นกันที่เธอได้รับชัยชนะ เธอกล่าวว่าถึงเธอจะรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากแต่ในฐานะที่เธอเป็นคนจัดการชุมชนเป็นคนที่อาศัยและมองเห็นการบริหารจัดการของคนในชุมชนเหล่านี้ เธอก็เข้าใจว่ามันเป็นไปได้
 
โอแคซิโอ-คอร์เทซ มีแม่เป็นชาวเปอร์โตริโกและมีพ่อเกิดในย่านบรองซ์ของนิวยอร์ก เธอเรียนจบจากมหาวิทยาลัยบอสตันในสาขาเศรษฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เคยทำงานเป็นบริกรและบาร์เทนเดอร์หลังจากเรียนจบเพื่่อช่วยหารายได้ให้แม่ซึ่งทำงานเป็นคนทำความสะอาดบ้านและเป็นคนขับรถเมล์ พ่อของเธอซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ เสียชีวิตเมื่อ 3 ปีที่แล้วจากโรคมะเร็งทำให้ครอบครัวเธอต้องปิดกิจการ ทั้งแม่ของยายของเธอต่างก็ต้องย้ายไปอยู่ที่่ฟลอริดา
 
ตัวโอแคซิโอ-คอร์เทซเคยทำงานทางการเมืองมาตั้งอยู่อยู่ในมหาวิทยาลัยโดยการช่วยงานวุฒิสมาชิกเดโมแครตประจำแมสซาชูเซตต์ เอ็ดเวิร์ด เอ็ม เคนเนดี ในประเด็นเรื่องผู้อพยพ จากนั้นก็ทำงานในประเด็นรากหญ้าที่กลายมาเป็นตัวตนทางการเมืองในฐานะผู้แทนสำหรับเธอ หลังจากที่เธอกลับมายังบรองซ์เธอก็เริ่มส่งเสริมการศึกษาและการรู้หนังสือให้เด็ก มีการตั้งบริษัทหนังสือเด็กที่นำเสนอภาพด้านบวกในท้องถิ่นของเธอ เธอเชื่อว่าการศึกษามีความสำคัญมาตั้งแต่เธออายุยังน้อย แต่ในบรองซ์ยังขาดโรงเรียนดีๆ อยู่
 
นอกจากนี้โอแคซิโอ-คอร์เทซ ยังเคยทำงานช่วยจัดตั้งในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2559 ให้กับเบอร์นี แซนเดอร์ส ส.ว. จากเวอร์มอนต์ที่มีภาพลักษณ์เป็นฝ่ายซ้ายสำหรับการเมืองระดับใหญ่ของอเมริกัน อย่างไรก็ตามโฮแคซิโอ-คอร์เทซบอกว่าเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนตัวเล็กๆ อย่างเธอจะลงมาเล่นการเมืองได้ เธอคิดว่ามีแต่คนทุนหนาและมีอิทธิพลทางสังคมสูงๆ เท่านั้นถึงจะชนะได้ นิวยอร์กไทม์ระบุว่านี้ยังทำให้เธอกลายเป็นความหวังให้กับคนที่มีแนวคิดหัวก้าวหน้าในสหรัฐฯ ที่ไม่แค่ต้องการขับไล่รีพับลิกันแต่ยังไม่ชอบเดโมแครตสายกลางทั้งหลายด้วย
 
โอแคซิโอ-คอร์เทซ เคยเป็นส่วนหนึ่งในการประท้วงต่อต้านท่อก๊าชดาโกตาแอคเซสไปป์ไลน์ ทำให้ได้รับการติดต่อเข้าร่วมองค์กรแบรนนิวคองเกรสซึ่งเป็นองค์กรสายก้าวหน้าที่เพิ่งเปิดใหม่ ประเด็นอื่นๆ ที่เธอเคยเข้าร่วมยังมีเรื่องการเรียกร้องสวัสดิการสุขภาพที่ทุกคนเข้าถึงได้ ให้วิทยาลัยรัฐไม่เก็บค่าธรรมเนียมการศึกษา และยกเลิกหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอมีภาพลักษณ์เป็นรองคู่แข่งเธอ โครว์ลีย์ ผู้ที่เธอกล่าวหาว่ารับเงินบรรษัทใหญ่ รวมถึงไม่เคยใช้ชีวิตในท้องถิ่นที่เขาเข้ามาทำงาน
 
ตัวโอแคซิโอ-คอร์เทซ เองรับเงินจากการบริจาคเล็กๆ น้อยๆ ในการใช้หาเสียงแทนการขอบริจาคจากองค์กรบรรษัท ซึ่งร้อยละ 70 ของที่เธอได้รับมาจากการบริจาครายบุคคลที่ต่ำกว่า 200 ดอลลาร์ นอกจากนี้พื้นที่สื่อที่มักจะนำเสนอเรื่องราวของเธอก็มักจะเป็นสื่อกระแสรองหรือสื่อใหม่อย่าง Mic ที่เน้นผู้อ่านเป็นคนรุ่นใหม่หรือ Refinery29 ซึ่งเน้นผู้อ่านผู้หญิง จนกระทั่งเธอชนะการเลือกตั้งถึงได้ออกมาสู่หน้าสื่อหลัก
 
โอแคซิโอ-คอร์เทซเคยวิพากษ์พรรคเดโมแครตไว้ในการหาเสียงเมื่อเดือน พ.ค. ว่า ตัวแทนพรรคเดโมแครตส่วนหนึ่งไม่ควรเป็นผู้แทนของประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ เพราะพวกเขา "ไม่ได้ส่งลูกเข้าโรงเรียนเดียวกับพวกเรา ไม่ได้ดื่มน้ำดื่มแบบเดียวกับพวกเรา ไม่ได้สูดอากาศของเมืองพวกเรา"
 
"ฉันหวังว่าสิ่งนี้จะย้ำเตือนเราว่าพรรคเดโมแครตควรจะเป็นอย่างไร นั่นคือพวกเขาควรจะมีความรับผิดชอบต่อชนชั้นแรงงานเป็นอย่างแรก" โอแคซิโอ-คอร์เทซกล่าว
 
สังคมนิยมประชาธิปไตยในแบบของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจหลากหลายประเด็น
 
ในแง่ขององค์กรสังคมนิยมประชาธิปไตย DSA ที่โอแคซิโอ-คอร์เทซสังกัดอยู่นั้น สื่อ Vox เคยระบุข้อมูลไว้ว่า DSA เป็นองค์กรที่เชื่อว่ารัฐบาลควรทำให้บรรษัทเอกชนมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เช่น การให้อำนาจการตัดสินใจของคนทำงานมากขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่ใช่องค์กรพรรคการเมืองแบบเก่าที่เน้นการอยู่ในระเบียบพรรคที่เข้มงวดแบบเดิมๆ DSA นิยามตัวเองว่าเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับประเด็นที่หลากหลาย (Multi-tendency) ทำให้พวกเขาสนใจอัตลักษณ์ อุดมการณ์ วาระ กลุ่มผลประโยชน์ และมุมมองที่หลากหลาย ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ สตรีนิยม กลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์ ฯลฯ 
 
จากบทความใน Vox ระบุว่าสิ่งที่พวกเขาต่อสู้ไม่ใช่แค่ระบบชนชั้นในตลาดทุนนิยมเท่านั้น แต่เป็นการต่อสู้กับระบบลำดับขั้นทางสังคมที่อยู่ในประเด็นอื่นๆ ด้วย นั่นหมายความว่าสังคมนิยมสำหรับพวกเขาคือการทำให้เกิดประชาธิปไตยในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง ในโรงเรียน ในครอบครัว แจร์เร็ด แอ็บบ็อต กรรมาธิการขับเคลื่อนของ DSA เคยกล่าวว่า "สังคมนิยมคือการทำให้เกิดประชาธิปไตยในทุกพื้นที่ของชีวิต รวมถึงเศรษฐกิจด้วยแต่ก็ไม่ได้จำกัดแต่เฉพาะแค่เรื่องนี้อย่างเดียว"
 
 
เรียบเรียงจาก
Alexandria Ocasio-Cortez: A 28-Year-Old Democratic Giant Slayer, New York Times, 26-06-2018
 
Alexandria Ocasio-Cortez is a Democratic Socialists of America member. Here's what that means, Vox, 27-06-2018
 
 
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น