โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

นับคะแนนเลือกตั้งมาเลเซีย 2018 ฝ่ายค้านแซงชนะรัฐบาล-รัฐมนตรีสอบตกแล้ว 6 ราย

Posted: 09 May 2018 10:26 AM PDT

เลือกตั้งมาเลเซียซึ่งเป็นการขับเคี่ยวหนักระหว่างรัฐบาลนาจิป ราซัก ต่อสู้กับมหาธีร์ โมฮัมหมัดที่ผนึกกำลังกับแนวร่วมฝ่ายค้านอดีตคู่ปรับ ล่าสุดผลนับคะแนนช่วงกลางดึกอย่างไม่เป็นทางการฝ่ายค้านได้ที่นั่งเกินครึ่งไปแล้วโดยได้ ส.ส. 118 ที่นั่ง ส่วนรัฐบาลได้ 76 ที่นั่ง ซึ่งหากมีการรับรองผลการเลือกอย่างเป็นทางการ เท่ากับว่าฝ่ายค้านสามารถพลิกเอาชนะพรรครัฐบาลที่ปกครองมาเลเซียมาตั้งแต่ได้รับเอกราชหลัง พ.ศ. 2510

มีรายงานด้วยว่ามีอดีตรัฐมนตรีพรรครัฐบาลแพ้เลือกตั้งเสียที่นั่ง ส.ส. ให้ฝ่ายค้านแล้ว 6 ราย นอกจากนี้พรรคฝ่ายค้านยังชิงฐานเสียงของรัฐบาลเพิ่มขึ้นอีกหลายรัฐรวมทั้งรัฐเคดาห์และยะโฮร์

การเลือกตั้งทั่วไปของมาเลเซียครั้งนี้จะเป็นการขับเคี่ยวกับระหว่างพรรครัฐบาล "แนวร่วมแห่งชาติ" นำโดยนาจิป ราซัก (ซ้าย) ที่มีข้อกล่าวหายักยอกกองทุน 1MDB กับ อดีตนายกรัฐมนตรีพรรครัฐบาล มหาธีร์ โมฮัมหมัด (กลาง) ที่หันไปจับมือกับฝ่ายค้านคู่อริเก่าที่มีทั้งอันวาร์ อิบราฮิม, วัน อาซีซะห์ วัน อิสมาอิล ฯลฯ (ขวา) ตั้งพรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน "พันธมิตรแห่งความหวัง"

บรรยากาศชาวมาเลเซียเข้าแถวรอลงคะแนนยาวเหยียดในหน่วยเลือกตั้งแห่งหนึ่งที่เมืองยะโฮร์บารู รัฐยะโฮร์ ในการเลือกตั้งทั่วไปมาเลเซีย เมื่อ 9 พฤษภาคม 2561 (ที่มา: เอื้อเฟื้อภาพโดย Leven Woon)

10 พ.ค. 2561 ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการของการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 14 ของมาเลเซีย ตามที่รายงานในมาเลเซียกินีเมื่อเวลา 01.57 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลา 00.57 น. ตามเวลาประเทศไทยนั้น พรรคแนวร่วมรัฐบาล "แนวร่วมแห่งชาติ" ได้ที่นั่ง ส.ส. รวม 73 ที่นั่ง ส่วนแนวร่วมพรรคฝ่ายค้าน "พันธมิตรแห่งความหวัง" และพรรคมรดกซาบาห์ หรือ Warisan ได้ ส.ส. รวมกัน 107 ที่นั่ง ส่วนพรรคอิสลามแห่งมาเลเซียหรือพรรค PAS ได้ ส.ส. 16 ที่นั่ง ขณะที่ผู้สมัครอิสระได้ ส.ส. 3 ที่นั่ง ขณะที่ยังไม่ทราบผลอีก 23 เขตเลือกตั้ง

และล่าสุดเมื่อเวลา 02.50 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลา 01.50 น. ตามเวลาประเทศไทย พรรคแนวร่วมรัฐบาลได้ที่นั่ง ส.ส. รวม 76 ที่นั่ง ส่วนแนวร่วมพรรคฝ่ายค้าน "พันธมิตรแห่งความหวัง" และพรรคมรดกซาบาห์ หรือ Warisan ได้ ส.ส. รวมกัน 118 ที่นั่ง ส่วนพรรคอิสลามแห่งมาเลเซียหรือพรรค PAS ได้ ส.ส. 17 ที่นั่ง ขณะที่ผู้สมัครอิสระได้ ส.ส. 3 ที่นั่ง ขณะที่ยังไม่ทราบผลอีก 8 เขตเลือกตั้ง โดยเท่ากับว่าพรรคฝ่ายค้านได้ ส.ส. เกิน 112 ที่นั่งซึ่งเพียงพอสำหรับตั้งรัฐบาลแล้ว

สำหรับในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 14 ของมาเลเซียซึ่งเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างแนวร่วมพรรครัฐบาลมาเลเซีย "แนวร่วมแห่งชาติ" (Barisan Nasional) หรือ BN และแนวร่วมพรรคฝ่ายค้าน "พันธมิตรแห่งความหวัง" (Pakatan Harapan) หรือ PH ซึ่งเปิดลงคะแนนในเวลา 08.00 - 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็นการเลือกตั้ง ส.ส. ทั้งหมด 222 ที่นั่ง และที่นั่งในสภาของรัฐบาลท้องถิ่นอีก 505 ที่นั่งในพื้นที่ 12 รัฐจากทั้งหมด 13 รัฐ

สำหรับการเลือกตั้ง ส.ส. พรรคที่ชนะตั้งรัฐบาลได้ต้องรวมเสียงข้างมากให้ได้ตั้งแต่ 112 ที่นั่งขึ้นไป โดยในการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้ลงทะเบียนเลือกตั้ง 14,940,624 คน โดยข้อมูลเมื่อเวลา 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นมีผู้มาใช้สิทธิ 69% อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลาปิดหีบเวลา 17.00 น. กระทั่งถึงเวลาที่รายงานข่าวอยู่นี้ ยังไม่มีรายงานจำนวนผู้มาใช้สิทธิโดย กกต.มาเลเซีย

ทั้งนี้ กกต.มาเลเซียถูกวิจารณ์ในการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเลือกจัดวันเลือกตั้งในวันพุธ แทนที่จะจัดเลือกตั้งในช่วงสุดสัปดาห์ นอกจากนี้ในวันเลือกตั้ง ขั้นตอนการลงคะแนนในหน่วยเลือกตั้งยังเป็นไปอย่างล่าช้า ทำให้มีผู้มาเข้าแถวรอใช้สิทธิเลือกตั้งยาวเหยียด และจนถึงเวลาปิดหีบเวลา 17.00 น. มีรายงานจากหลายหน่วยเลือกตั้งที่ยังคงมีประชาชนรอใช้สิทธิเลือกตั้งแต่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ให้ลงคะแนน

 

หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล-รัฐมนตรีอย่างน้อย 6 รายสอบตก

ก่อนหน้านี้เมื่อคืนวันที่ 9 พ.ค. เวลา 21.45 น. ตามเวลาท้องถิ่นของมาเลเซีย มีรายงานในเว็บไซต์มาเลเซียกินีว่าหัวหน้าพรรคการเมือง และรัฐมนตรีว่าการในพรรคร่วมรัฐบาล BN 2 คน และรัฐมนตรีช่วยว่าการ 4 คน แพ้การเลือกตั้ง ส.ส. ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 14 มาเลเซีย

โดย Liow Tiong Lai หัวหน้าพรรคสมาคมชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน หรือ MCA และยังเป็น รมว.คมนาคม แพ้การเลือกตั้งที่เขต Bentong รัฐปาหัง ให้กับ Wong Tack จากพรรคกิจประชาธิปไตย หรือ DAP

ส่วน S Subramaniam หัวหน้าพรรคมาเลเซียอินเดียคองเกรส หรือ MIC ซึ่งเป็น รมว.สาธารณสุข แพ้การเลือกตั้งให้กับ Edmund Santhara จากพรรคยุติธรรมประชาชนหรือ PKR ที่เขต Segamat รัฐยะโฮร์

มาเลเซียกินีรายงานด้วยว่า Mah Siew Keong ผู้นำพรรค Gerakan ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอีกพรรคหนึ่งก็กำลังแพ้คะแนนให้กับ David Nga จากพรรค DAP

นอกจากนี้มีรัฐมนตรีระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการที่แพ้เลือกตั้งได้แก่ Razali Ibrahim รมช.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จากพรรค UMNO แพ้ที่เขต Muar รัฐยะโฮร์

Chua Tee Yong รมช.การค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรม จากพรรค MCA แพ้ที่เขต Labis รัฐยะโฮร์

Hamim Samuri รมช.ทรัพยากรธรรมชาติ จากพรรค UMNO แพ้ที่เขต Ledang รัฐยะโฮร์ และ Nogeh Gumbek รมช.เกษตร จากพรรคประชาธิปไตยซาราวักก้าวหน้า (SPDP) แพ้ที่ Mas Gading รัฐซาราวัก

 

ศึกขับเคี่ยวระหว่างพรรครัฐบาลกับฝ่ายค้าน+อดีตรัฐบาล

สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 14 ของมาเลเซีย ซึ่งจัดขึ้นกลางสัปดาห์คือ 9 พฤษภาคม 2561 นั้นเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างแนวร่วมพรรครัฐบาลมาเลเซีย "แนวร่วมแห่งชาติ" (Barisan Nasional) หรือ BN และแนวร่วมพรรคฝ่ายค้าน "พันธมิตรแห่งความหวัง" (Pakatan Harapan) หรือ PH

โดย "แนวร่วมแห่งชาติ" ปกครองมาเลเซียนับตั้งแต่ได้รับเอกราชเมื่อ พ.ศ. 2510 ส่วนพันธมิตรแห่งความหวัง รวมตัวกันตั้งแต่ 22 กันยายน 2558 แทนที่แนวร่วมฝ่ายค้านเดิมคือ "ภาคีประชาชน" (Pakatan Rakyat) หรือ PR หลังจากพรรคร่วมฝ่ายค้านคือพรรคกิจประชาธิปไตย DAP มีแนวทางไม่ตรงกับพรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย หรือ PAS ในเรื่องการใช้กฎหมายชารีอะห์

โดยพรรคฝ่ายค้านใหม่ประกอบด้วย พรรคยุติธรรมประชาชน PKR พรรคกิจประชาธิปไตย DAP พรรค AMANAH ซึ่งแยกตัวออกมาจากพรรค PAS และต่อมาในเดือนกันยายน 2559 พรรค Bersatu หรือ PPBM ที่มีอดีตรองรัฐมนตรีรัฐบาลนาจิป และมหาธีร์ โมฮัมหมัด มาเข้าร่วมด้วย

ทั้งนี้พรรครัฐบาลชนะการเลือกตั้งและครองอำนาจในมาเลเซียมานับตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2510 อย่างไรก็ตามในการเลือกตั้ง 2 ครั้งหลังคือการเลือกตั้งปี 2551 และ 2556 ฝ่ายรัฐบาลได้ที่นั่ง ส.ส. ไม่ถึง 2 ใน 3 ติดต่อกัน และฝ่ายค้านได้ที่นั่ง ส.ส. เพิ่มมากขึ้น

โดยเฉพาะในการเลือกตั้งปี 2556 ที่เป็นครั้งแรกที่ฝ่ายค้านได้คะแนนรวมทั่วประเทศมากกว่ารัฐบาล คือ 50.87% ต่อ 47.38% อย่างไรก็ตามด้วยการออกแบบเขตเลือกตั้งที่จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งแตกต่างกันอย่างมากระหว่างเขตเมืองและชนบท จึงทำให้พรรครัฐบาลยังรักษาที่นั่ง ส.ส. เอาไว้ได้ที่ 140 ที่นั่ง ส่วนฝ่ายค้านได้ 82 ที่นั่ง

 

อดีตนายกรัฐมนตรีหลายสมัย ไม้เบื่อไม้เมาฝ่ายค้าน สู่ผู้ท้าชิงรัฐบาล

สำหรับผู้นำพรรคฝ่ายค้าน มหาธีร์ โมฮัมหมัด อายุ 92 ปี เกิดที่อลอร์สตาร์ รัฐเคดาห์ เขาเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีหลายสมัยของมาเลเซียระหว่างปี พ.ศ. 2524 ถึง พ.ศ. 2546 และก่อนหน้านี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับฝ่ายค้านซึ่งนำโดยอันวาร์ อิบราฮิม-หลิมกิตเสียง มาโดยตลอด

อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ปี 2558 ที่มีกรณีอื้อฉาวเกิดขึ้นกับนายกรัฐมนตรีนาจิป ราซัก ซึ่งถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินกว่า 700 ล้านเหรียญสหรัฐ จากกองทุนพัฒนาเศรษฐกิจของมาเลเซีย หรือ 1MDB ทำให้เขาออกมาวิจารณ์นาจิปบ่อยครั้ง

ขณะเดียวกันนาจิปเองก็สั่งปลดรัฐมนตรีหลายคนที่เรียกร้องให้เขาออกมาอธิบายเรื่องนี้รวมทั้งมุไฮยิดดิน ยาซิน (Muhyiddin Yasin) รองนายกรัฐมนตรี และ ส.ส.จากรัฐยะโฮร์ ทำให้ต่อมาเขาออกไปตั้งพรรคเบอซาตู (Bersatu) หรือ PPBM ในเดือนกันยายน 2559 ซึ่งเขาเชิญมหาธีร์เข้าร่วมด้วย

(ซ้าย) มหาธีร์ โมฮัมหมัด ในวัย 90 ปี อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของมาเลเซีย และภรรยา เข้ามาเยี่ยมผู้ชุมนุม Bersih 4.0 เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2558 ขณะที่คนที่ช่วยอำนวยความสะดวกพามหาธีร์ฝ่าฝูงชน คือคู่ปรับเก่าอย่าง "ฉัว เทียนชาง" ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน พรรคยุติธรรมประชาชน หรือ PKR ทั้งนี้ในสมัยที่มหาธีร์เป็นนายกรัฐมนตรี ฉัว เทียนชาง หรือ "เทียนฉัว" สมัยที่เพิ่งตั้งพรรคฝ่ายค้าน เคยถูกตำรวจมาเลเซียทุบและควบคุมตัวเมื่อเดือนเมษายนปี 2542 (ขวา) หลังจากที่เขานำผู้ชุมนุมกว่า 3,000 คน ประท้วงคำตัดสินของศาลซึ่งลงโทษ อันวาร์ อิบราฮิม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้จำคุก 6 ปี ในข้อกล่าวหาว่าคอร์รัปชั่น (อ่านข่าวก่อนหน้านี้) นอกจากนี้ เทียน ฉัว ยังเคยถูกจองจำในปี 2544 ในยุคของมหาธีร์ ภายใต้กฎหมายความมั่นคงภายใน (ISA) ในข้อกล่าวหาเตรียมอาวุธร้ายแรงโค่นรัฐบาล (ที่มา: มาเลเซียกินี)

โดยมหาธีร์ปรากฏตัวในที่การชุมนุมใหญ่ของเบอเซะ หรือ "Bersih 4.0" ที่จัดโดยฝ่ายค้าน อดีตคู่อริของเขาที่จัตุรัสเมอร์เดก้า ระหว่าง 29-30 สิงหาคม 2558

โดยในการชุมนุมดังกล่าวผู้ที่ช่วยพามหาธีร์ ฝ่าฝูงชนเข้ามาในจัตุรัสเมอเดก้า ก็คือ ฉัว เทียนชาง หรือ "เทียนฉัว" ส.ส.ฝ่ายค้านพรรคยุติธรรมประชาชน (PKR) ซึ่งในสมัยที่มหาธีร์เป็นนายกรัฐมนตรี ปี 2544 เทียนฉัว เคยถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวภายใต้กฎหมายความมั่นคงภายใน (ISA) มาแล้ว โดยเขาถูกรัฐบาลมหาธีร์กล่าวหาว่าเตรียมโค่นรัฐบาลด้วยการใช้ "ระเบิด เครื่องยิงลูกระเบิด ระเบิดขวด สะเก็ดลูกปืน และอาวุธอันตรายอื่นๆ"

เทียนฉัวให้สัมภาษณ์ในเวลานั้นว่า "มหาธีร์มีสิทธิที่จะแสดงออกว่าเขาสนับสนุน (Bersih 4.0) แต่ไม่ได้หมายความว่าประชาชนจะลืมไปว่าส่วนหนึ่งของปัญหาทุกวันนี้ก็มาจากระบบที่มหาธีร์สร้างขึ้น ในขณะที่พื้นที่ประชาธิปไตยกลับถูกปิดลง" เขากล่าวต่อว่า "ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ประชาชนต้องลุกฮือกันในวันนี้" (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ท่าทีของมหาธีร์ยิ่งมาทางฝ่ายค้านมากขึ้น หลังจากมุคริซ มหาธีร์ บุตรชาย ถูกบีบจากรัฐบาลนาจิปให้ลาออกจากตำแหน่งมุขมนตรีรัฐเคดาห์ เมื่อกุมภาพันธ์ 2559 และในเดือนกันยายน 2559 เขาก็เข้าร่วมกับพรรค PPBM ที่แยกตัวออกมาจากรัฐบาลนาจิป

และในเดือนพฤศจิกายน 2559 พรรค PPBM ก็เข้าร่วมกับพรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน "พันธมิตรแห่งความหวัง" (Pakatan Harapan) หรือ PH

สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 14 ของมาเลเซีย พรรคฝ่ายค้านเลือกคู่อริเก่าของพวกเขาคือ "มหาธีร์ โมฮัมหมัด" เป็นประธานแนวร่วมพรรคฝ่ายค้าน และถูกวางตัวเป็นผู้ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่วนภรรยาของอันวาร์ อิบราฮิม คือวัน อาซีซะห์ วัน อิสมาอิล ถูกวางตัวเป็นรองนายกรัฐมนตรี

 

ผู้นำฝ่ายค้านซึ่งถูกจองจำ และการคืนดีของมหาธีร์

ส่วนอันวาร์ อิบราฮิม แกนนำสำคัญของแนวร่วมพรรคฝ่ายค้าน เคยถูกมหาธีร์ปลดออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2542 และถูกฟ้องจำคุกข้อหาคอร์รัปชันและร่วมเพศทางทวารหนัก ต่อมาหลังจากพ้นโทษเมื่อปี 2547 และพ้นกำหนดห้ามรับตำแหน่งการเมืองในปี 2551 เขาก็ลับมาเล่นการเมืองในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน

อย่างไรก็ตามเขาถูกฟ้องในข้อหาร่วมเพศทางทวารหนักอีกครั้งในปี 2551 ซึ่งแม้ศาลชั้นต้นจะยกฟ้องเมื่อมกราคม 2555 แต่เขาถูกศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสินเมื่อ 4 มีนาคม 2557 ให้ควบคุมตัวเขาระหว่างดำเนินคดี อย่างไรก็ตามในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 ศาลสูงสุดของมาเลเซียก็มีคำตัดสินสนับสนุนคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์และยืนยันโทษจำคุก ซึ่งผู้สนับสนุนเขาเห็นว่าคดีนี้เป็นข้อกล่าวหาทางการเมือง

อนึ่งรายงานในหนังสือพิมพ์ภาษาจีนในมาเลเซีย Sin Chew Daily เมื่อ 12 มีนาคม 2561 มหาธีร์ได้ให้สัมภาษณ์ว่าหากเขาสามารถย้อนเวลาได้เขาจะไม่ตัดสินใจไล่อันวาร์ อิบราฮิมออกจากตำแหน่งรองรายกรัฐมนตรี และกล่าวด้วยว่าเขาขอสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ประชาชนเกลียดเขาอีกแล้ว

ส่วนอันวาร์ซึ่งปัจจุบันถูกย้ายที่จองจำมารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากการผ่าตัดไหล่ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม เรียกร้องให้ประชาชนเข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงด้วยการเลือกพรรคฝ่ายค้าน โดยตัวของอันวาร์นั้นคาดหมายว่าจะได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 8 มิถุนายนนี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'สุรชาติ เทียนทอง' โวยหลังถูก ผอ.เขตหลักสี่ อ้างคำสั่ง คสช.ห้ามขึ้นป้าย ฉีดยุง วัคซีนหมาแมว

Posted: 09 May 2018 09:05 AM PDT

อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย โวยเลือกปฏิบัติหลังถูก ผอ.เขตหลักสี่ อ้างคำสั่ง คสช. โยงกิจกรรมการเมือง ห้ามขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์กิจกรรมฉีดยุง วัคซีนหมา-แมว ขณะที่ สกลธี อดีตคู่แข่งสุรชาติ หลังถูกตั้งเป็น รองผู้ว่าฯ กทม. มีคำสั่งเข้มควบคุมป้าย 

9 พ.ค.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สุรชาติ เทียนทอง อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขตหลักสี่ ผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทยสาขาเขตหลักสี่ โพสต์หนังสือจาก ปฎิบัติราชการแทน ผอ.เขตหลักสี่ เรื่อง การจัดการกิจกรรมและติดป้ายประชาสัมพันธ์ทางการเมือง หนังสือดังกล่าว อ้างถึง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สั่งการห้ามมิให้พรรคการเมืองหรือตัวบุคคลหนึ่งบุคคลใดประกอบกิจกรรมทุกประเภท ขณะนี้นพื้นที่เขตหลักสี่มีการติดป้ายกิจกรรมต่างๆ ของพรรคอยู่เนื่องๆ สนง.เขตหลักสี่ ขอความร่วมมือ ผอ.พรรคเพื่อไทยสาขาหลักสี่ เก็บป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆ ให้เรียบร้อย

สุรชาติ ยังแสดงความเห็นต่อหนังสือห้ามดังกล่าว ระบุชัดเจน ว่ารวมถึงกิจกรรมฉีดยุงและฉีดวัคซีนสุนัขและแมว ผมอ่านแล้วรู้สึกหดหู่และแปลกใจและมีคำถามหลายคำถามที่อยากจะถามผู้ที่ลงนามในหนังสือฉบับนี้หรือผู้มีอำนาจที่สั่งการเรื่องนี้ลงมา

อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย ระบุว่า การอ้างคำสั่ง คสช.ห้ามนักการเมืองทำกิจกรรมทางการเมือง เรื่องนี้ตนเข้าใจดีครับเพราะประเทศเราอยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารจะครบ 4 ปีในอีกไม่กี่วันนี้และคำสั่งนี้มีออกมานานมากแล้วด้วย ซึ่งหลังจากการรัฐประหารตนได้ถูกเชิญโดยเจ้าหน้าที่ทหารจาก คสช. ที่รับผิดชอบพื้นที่เขตหลักสี่และดอนเมืองเพื่อพูดคุยถึงสองครั้ง ซึ่งนายทหารท่านนั้นได้ขอความร่วมมือจากตนเรื่องการไม่สร้างความแตกแยกทางสังคม การระดมคน ซึ่งตนได้รับปากแบบลูกผู้ชายว่า ตกลงเพราะนั่นไม่ใช่แนวทางการทำการเมืองของตนอยู่แล้ว และได้ขอกลับไปข้อหนึ่งคือการทำงานในพื้นที่เพื่อดูแลทุกข์สุขและการบริการประชาชนรวมถึงกิจกรรมฉีดยุงและฉีดวัคซีนสุนัขและแมวด้วย ท่านยังบอกเลยว่าการดูแลประชาชนขอให้ทำไปเถอะเป็นเรื่องที่ดีแล้วและตนก็ทำตามที่ตกลงกันไว้ตลอดมา ที่สำคัญคือกิจกรรมพวกนี้ตนทำอย่างสม่ำเสมอมาตลอดทั้งปีและทุกปี ท่านอดีต ผอ.เขตหลักสี่ท่านก่อนยังเคยพูดขอบคุณหลายครั้งที่ช่วยกันดูแลบริการประชาชนเพราะหน่วยงานทางภาครัฐไม่สามารถให้บริการบางเรื่องได้อย่างทั่วถึง และท่าน ผอ.ท่านปัจจุบันที่เป็นผู้ลงนามคำสั่งฯ ก็ได้ย้ายมาอยู่ที่เขตหลักสี่ได้ระยะนึงแล้ว ท่านก็เห็นกิจกรรมที่ตนและทีมงานทำมาตลอดเกือบทุกวัน ท่านก็ไม่เคยพูดประเด็นเรื่องนี้กับตนเลย 
 
 

สุรชาติ กล่าวด้วยว่า จึงรู้สึกแปลกใจที่ได้เห็นหนังสือฉบับนี้และมีคำถามถึงท่านหรือผู้ที่สั่งท่านมาว่า


1. ถ้าท่านอ้างว่าเป็นคำสั่งของ คสช. ทำไมถึงเพิ่งมาบังคับปฏิบัติเอาตอนนี้ทั้งที่คำสั่งนี้ถูกประกาศออกมาหลายปีแล้วและที่ผ่านมาผมและทีมงานก็ทำงานในพื้นที่แบบเปิดเผยและทาง คสช.ที่ดูแลพื้นที่รวมถึงสำนักงานเขตฯและท่านก็รับทราบตลอดมา ถ้าเป็นคำสั่ง คสช.จริง ท่านผู้มีอำนาจช่วยกรุณาประกาศผ่านสื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกันด้วย เขาจะได้เข้าใจว่าที่ผมและนักการเมืองคนอื่นๆที่ยึดถือการทำงานรับใช้ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถทำงานได้เพราะคำสั่งของท่าน และช่วยบอกผมมาเป็นข้อๆด้วยว่าอะไรบ้างที่ผมพอจะทำเพื่อดูแลประชาชนได้

2. ถ้าคำสั่งนี้ไม่ได้ถูกสั่งโดย คสช.โดยตรงแล้วใครเป็นคนสั่งโดยอ้างคำสั่งดังกล่าวและสั่งเพื่ออะไร

3. คำสั่งนี้ถือเป็นการเลือกปฏิบัติเฉพาะเขตหลักสี่หรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบยังไม่มีคำสั่งลักษณะดังกล่าวในพื้นที่อื่นเลย

4. การที่ท่านมีคำสั่งให้พวกผมหยุดดำเนินกิจกรรมบริการต่างๆ ท่านมั่นใจและให้สัญญากับประชาชนในพื้นที่ได้หรือไม่ว่าท่านในฐานะที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลรับผิดชอบจะสามารถให้บริการประชาชนในกิจกรรมดังกล่าวได้อย่างทั่วถึง ปัญหาการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าเป็นปัญหาที่มีมาต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี พ.ศ.2561 นี้ที่มีการระบาดของโรคอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ดังนั้นการป้องกันปัญหาการระบาดจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชนและภาคการเมืองควรทำร่วมกัน ผมและทีมงานเข้าใจข้อจำกัดของภาคประชาชนส่วนหนึ่งที่จะนำสัตว์เลี้ยงของตนเองออกมารับการฉีดวัคซีนที่คลีนิคสัตวแพทย์หรือรับการบริการของภาครัฐตามจุดต่างๆที่กำหนด ด้วยเหตุผลทางด้านเวลา การเดินทาง จำนวนของสัตว์เลี้ยงและรายได้ในครอบครัว เพื่อเป็นการบริการประชาชนและแบ่งเบาภาระของภาครัฐ เราจึงใช้วิธีเดินให้บริการตามบ้านโดยทีมงานที่ได้ผ่านการอบรมจากกรมปศุสัตว์แล้วเป็นเวลาต่อเนื่องมาหลายปี โดยใช้งบประมาณส่วนตัวของทีมงานและไม่เคยขอหรือได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเลย ดังนั้นเราควรร่วมกันทำงานแทนที่จะมาสั่งห้ามโดยไม่มีเหตุผลหรือไม่
 
 
"ที่ผมตั้งคำถามมาทั้งหมดไม่ได้ต้องการสร้างความขัดแย้งใดๆ ผมทำงานการเมืองมา 13 ปี สิ่งที่ยึดถือมาตลอดคือการทำงานพิสูจน์ตัวเอง ไม่อยากให้ใครมาชี้หน้าด่าได้ว่าเป็นนักการเมืองที่เห็นหน้าเฉพาะเวลามีเลือกตั้ง พยายามพูดน้อยๆ ทำงานเยอะๆ ไม่ขัดแย้ง ไม่สร้างเงื่อนไขกับประชาชน กับข้าราชการก็ไม่เคยไปวุ่นวายหรือแทรกแซงการทำงาน มีแต่มิตรไมตรีที่ดีต่อกันไม่ว่าจะฝ่ายไหน สีไหน ไม่เคยสักครั้งที่คิดจะใช้วิธีการสกปรกทางการเมือง แม้แต่คนที่เป็นคู่แข่งผมก็ให้เกียรติกันเสมอมา ผมอยากเห็นอนาคตบ้านเมืองที่ดีขึ้น ประชาชนได้เลือกนักการเมืองเพราะความรักความศรัทธาจริงๆ ไม่ใช่เลือกเราหรือเขาเพราะเพียงเกลียดชังอีกฝ่าย ถ้าคำสั่งนี้เป็นคำสั่งเพื่อปิดกั้นทางการเมือง ผมขอเถอะครับ อย่ามาใช้อำนาจสั่งห้ามผมทำงานเลย มันไม่มีประโยชน์กับใครทั้งนั้น ประชาชนก็เสียประโยชน์ ทำการเมืองกับแบบสร้างสรรค์เถอะครับ" สุรชาติ โพสต์ทิ้งท้าย

สกลธี สั่งเข้มควบคุมป้าย 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา สกลธี ภัททิยกุล อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แกนนำ กปปส. เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยในวันนี้ (9 พ.ค.61) มติชนออนไลน์ รายงานว่า สกลธี เป็นประธานมอบนโยบายแก่หัวหน้าฝ่ายเทศกิจ 50 เขต ทั้งนี้ ได้กำชับในที่ประชุมให้ดำเนินการกวดขันการติดตั้งป้ายโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตบนถนน ทางเท้า หรือทางสาธารณะ เช่น ป้ายโฆษณาที่อยู่อาศัย ป้ายบอกทาง ป้ายเงินด่วน ป้ายขอบคุณ ป้ายอวยพร เนื่องในเทศกาลต่างๆ ฯลฯ ซึ่งทำให้เกิดความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยบดบังทัศนวิสัยการสัญจรของประชาชน

สกลธี กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 ดังนั้นเพื่อให้พื้นที่กรุงเทพฯ มีความสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย จะควบคุมไม่ให้มีการติดตั้งป้ายโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตทุกชนิด

"ในที่ประชุมสภา กทม. ได้มีการสอบถามเรื่องการจัดระเบียบป้ายผิดกฎหมาย นอกจากนี้ผู้ว่าฯ กทม. ยังได้กำชับให้แต่ละเขตเข้มงวด โดยได้มอบนโยบายให้ทุกเขตไปแล้ว แต่ที่ผ่านมายังมีบางเขตยังไม่เข้มงวดกวดขันเท่าที่ควร วันนี้จึงเชิญสำนักเทศกิจ ตลอดจนหัวหน้าฝ่ายเทศกิจทุกเขต เพื่อให้เข้าใจถึงแนวทางการปฏิบัติ โดยป้ายที่กำชับให้กวดขันทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นป้ายหาเสียงของพรรคการเมือง ป้ายที่ติดตั้งในที่สาธารณะที่ผิดกฎหมายทุกประเภท เน้นย้ำให้ทุกเขตเข้มงวดกวดขันเพิ่มขึ้นอย่างจริงจัง และขอให้หัวหน้าฝ่ายเทศกิจทุกเขตกลับไปสำรวจพื้นที่ โดยเฉพาะถนนสายหลักหรือที่สาธารณะที่เป็นจุดที่เห็นได้ชัดเจน ให้ดำเนินการไม่ให้มีป้ายดังกล่าว และถ้าพบว่าจุดใดจะทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน กทม. ให้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ลักลอบกระทำผิดได้อย่างเต็มที่ ซึ่งหากติดปัญหาในขั้นตอนให้ประสานไปยังสำนักเทศกิจ และถ้าสำนักเทศกิจไม่สามารถดำเนินการได้ ให้แจ้งไปยังผู้บริหาร กทม. ซึ่งเบื้องต้นขอให้เขตส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปประสานกับเจ้าของป้าย หรือถ้าสามารถดำเนินการได้ก็ให้จัดการให้เรียบร้อยภายในวันที่ 11 พฤษภาคมนี้ โดยป้ายที่ผิดและเห็นได้ชัดเจนบนถนนหลักหรือพื้นที่สาธารณะต้องไม่มี ส่วนเรื่องของหาบเร่แผงลอย ผู้ว่าฯ กทม.มีนโยบายกำชับเจ้าหน้าเทศกิจให้หมั่นลงพื้นที่ตรวจสอบความเรียบร้อยในจุดที่ทำการยกเลิกทำการค้า เพื่อป้องกันการกลับเข้ามาลักลอบค้าขายในจุดเดิมอีกด้วย" สกลธี กล่าว

สำหรับ สกลธี เคยลงสมัคร ส.ส. เขตเดียวกับ สุรชาติ เทียนทอง ในปี 54 และแพ้ให้กับ สุรชาติ ไปด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'คนอยากเลือกตั้ง' ชี้ ถ้าไม่ออกมาโวย คสช.จะลักไก่เลื่อนไปอีกเรื่อยๆ

Posted: 09 May 2018 06:22 AM PDT

พล.อ.ประวิตร ระบุรอไปอีก 3 เดือน ก็จะมีการเลือกตั้งตามโรดแมป ช่วงเดือน ก.พ. 62 แล้ว ด้าน  'คนอยากเลือกตั้ง' โต้ถ้าไม่ออกมาโวย  คสช.จะลักไก่เลื่อนไปอีกเรื่อยๆ เหมื่อนที่เคยทำมาจนเกือบ 3 ปีแล้ว

9 พ.ค.2561 จากกรณีเมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ออกมาแสดงจุดยืนว่า การต้องการเห็นการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายในเดือน พ.ย. 2561 ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นต้องเป็นการเลือกตั้งที่มีความบริสุทธิ์ยุติธรรม พรรคการเมืองจะต้องมีเสรีภาพในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และ คสช. จะต้องยุติบทบาทของตัวเอง พร้อมเรียกร้องให้กองทัพหยุดสนับสนุน คสช. หยุดเป็นเครื่องมือให้ คสช. พร้อมระบุด้วยว่าภายในวันที่ 22 พ.ค.นี้ หากรัฐบาลไม่ทำตามข้อเรียกร้องเตรียมเดินขบวนไปทำเนียบรัฐบาล นั้น

วันนี้ (9 พ.ค.61) สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีกลุ่มคนอยากเลือกตั้งเตรียมชุมนุมในวันที่ 22 พ.ค.นี้ โดยจะเคลื่อนขบวนไปที่ทำเนียบรัฐบาล ว่าไม่เป็นห่วง แต่ไม่เข้าใจว่า เหตุใดกลุ่มคนอยากเลือกตั้งจึงต้องการให้เลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้

"ทั้งที่รอไปอีก 2-3 เดือน ก็จะมีการเลือกตั้งตามโรดแมป ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เชื่อว่าคนที่อยากให้เลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน มีเพียงนิดเดียว แต่คน 70 ล้านคน ยังไม่ต้องการ" พล.อ.ประวิตร กล่าว

ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ตรวจสอบว่ามีคนอยู่เบื้องหลังกลุ่มคนอยากเลือกตั้งหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ต้องดูต่อไปว่ามีการเมืองหนุนหลังหรือไม่ เพราะคนที่ออกมาพูดมีเพียงไม่กี่คน ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ทั้งที่สงบดีมา 4 ปี และเหลือไม่กี่เดือนก็จะเลือกตั้งแล้ว

ส่วนที่กลุ่มคนอยากเลือกตั้งจะเดินขบวนมายังทำเนียบรัฐบาลนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่เดิน ขออย่าเดินมาเลย จะเดินมาทำไม และหากมีการทำผิดกฏหมาย เกิดความวุ่นวายขึ้น แกนนำจะต้องรับผิดชอบ

พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึงข้อเสนอของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่าจะไปลาออกได้อย่างไร ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จะลาออก ก็จะลาออกเอง

"จะไปบังคับได้อย่างไร แล้วท่านทำอะไรผิด ที่ผ่านมาก็ปกครองบ้านเมืองดีอยู่แล้วตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา จะไปลาออกได้อย่างไร ถ้าท่านจะลาออกก็จะลาออกเอง" พล.อ.ประวิตร กล่าว

เมื่อถามว่า เหตุใดกลุ่มคนอยากเลือกตั้งไม่เข้าใจตามที่รัฐบาลชี้แจง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า คนกลุ่มนี้เข้าใจ แต่ทำเป็นไม่เข้าใจ เหมือนอย่างเช่นสื่อที่เข้าใจอยู่แล้ว แต่ทำเป็นไม่เข้าใจ ก็ต้องทำให้เข้าใจต่อไป

'ฟื้นฟูประชาธิปไตย' ชี้ถ้าไม่ออกมาเรียกร้อง คสช.จะลักไก่เลื่อนไปอีกเรื่อยๆ

ด้าน กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย Democracy Restoration Group - DRG ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง โพสต์ข้อความตอบโต้ พล.อ.ประวิตร ด้วยดังนี้

 

- ไม่เข้าใจคนกลุ่มนี้เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ อีกแค่ 3 เดือนจะได้เลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 อยู่แล้ว

ตอบ - ไม่ใช่อีกแค่ 3 เดือน เพราะที่ผ่านมา คสช. เลื่อนเลือกตั้งออกมาเรื่อยๆ จนเกือบ 3 ปีแล้ว ถ้าเราไม่ออกมาเรียกร้องอะไรเลย คสช. ก็จะลักไก่เลื่อนออกไปได้อีกเรื่อยๆ โดยใช้ข้ออ้างทำนองว่า "ประชาชนกว่า 70 ล้านคนเข้าใจ"

 

- พวกเขาเข้าใจ (ตามกรอบที่รัฐบาลกำหนด) แต่ทำเป็นไม่เข้าใจ

ตอบ - ถูกต้อง พวกเราและประชาชนทั้งประเทศล้วนเข้าใจเป็นอย่างดี ว่า "กรอบ" หรือ "โรดแมป" ของ คสช. เป็นเรื่องลวงโลกทั้งสิ้น

คนที่ทำเป็นไม่เข้าใจคือ คสช. ต่างหาก ทำเป็นไม่เข้าใจว่าที่พวกเราออกมาเรียกร้องก็เพราะพวกเรารู้เช่นเห็นชาติหมดแล้วว่า คสช. มีเจตนาสืบทอดอำนาจเผด็จการอย่างชัดแจ้ง และพร้อมเลื่อนเลือกตั้งออกไปเรื่อยๆ หากยังเตรียมสืบทอดอำนาจไม่เสร็จเรียบร้อย แต่ คสช. ก็ยังทำเป็นเหมือนว่าไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงนี้

 

- เราอยู่ดีๆ มา 4 ปีแล้ว เหลือเพียงไม่กี่เดือนก็จะมีการเลือกตั้งแล้ว จะทำให้บ้านเมืองวุ่นวายทำไม

ตอบ - 4 ปีที่ผ่านมานี้คงจะดีแต่กับ คสช. และพวกพ้องเท่านั้น (และแน่นอนว่า คสช. คงอยากยืดมันออกไปอีกหลายปี) แต่กับประชาชนชาวไทยแล้วมันคือ 4 ปีที่เลวร้ายที่สุด

เราจะได้มาอภิปรายกันว่า 4 ปีที่ผ่านมานี้มัน "ดี" แค่ไหน ในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อัพเดทคดีกวาดจับหน้ารามฯ หลังข่าว 'คาร์บอม' เกือบ 2 ปี เพิ่งสืบพยาน 2 ปาก

Posted: 09 May 2018 05:55 AM PDT

'คดีระเบิดน้ำบูดู' ปีกว่าเพิ่งสืบพยาน 2 ปาก หลักฐานไม่ชัดเจน มีเพียงคำรับสารภาพ คำซัดทอด ที่จำเลยอ้างว่าถูกบังคับให้สารภาพจากการข่มขู่ ทำร้าย ญาติเล่าสถานะทางบ้านลำบาก ต้องเดินทางจากนราธิวาสมากรุงเทพ นักวิชาการชี้ 14 จำเลย ถูกเลือกเพราะเป็นชายขอบ ไม่ได้เป็นนักศึกษา และสถานะทางเศรษฐกิจอ่อนแอ

'คดีระเบิดน้ำบูดู' คือชื่อเรียกเหตุการณ์ กวาดจับนักศึกษาและชาวมุสลิมที่พักย่าน ม. รามคำแหง กว่า 40 คน วันที่ 10 ต.ค. 2559 โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอ้างสาเหตุว่ามีการซ่องสุมและจะก่อเหตุระเบิด 'คาร์บอม' จนนำมาสู่การขยายผลจับกุมในจังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดนราธิวาสด้วย พยานหลักฐานมีเพียงกล่องลังที่ใส่น้ำบูดูเท่านั้นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดได้จากห้องพัก และต่อมาได้เพิ่มหลักฐานคือสาร PETN ในมือของจำเลยที่ 3 ซึ่งไม่เคยปรากฎในรายงานมาก่อน

หลายคนถูกปล่อยตัว หลายคนถูกปล่อยแล้วจับอีกครั้ง และล่าสุดมี 14 คนที่ถูกตั้งข้อหา ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ซ่องโจร และถูกจำคุกอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในปัจจุบัน โดยทั้งหมดไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว

ในสำนวนฟ้องได้ระบุว่าจำเลยทั้ง 14 คน ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่ใช้ชื่อว่า "ขบวนการกู้ชาติรัฐปัตตานี" อันเป็นคณะบุคคลในรูปแบบของการวางแผนร่วมกันจะแบ่งแยกดินแดน และก่อการร้ายในพื้นที่กทม.และสมุทรปราการ แต่ก็มีสมมติฐานจาก กิจจา อาลีอิสเฮาะ หนึ่งในทนายความของคดีและเลขานุการมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมว่า ชัดเจนว่าเป็นการกลั่นแกล้งจำเลย เป็นการเบี่ยงประเด็นหลักที่ถูกโจมตีทางการเมืองอย่างหนัก เพราะเวลานั้นข่าวร้อนที่สุดอันหนึ่งคือ 'ทริปฮาวาย' ที่คณะรองนายกฯ 38 คน เช่าเครื่องลำใหญ่ที่มีความจุของผู้โดยสารได้ 416 คน เดินทางไปประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน - รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างวันที่ วันที่ 29 ก.ย. - 1 ต.ค. 2559 ที่มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา

ความคืบหน้าคดีสืบพยานโจทก์ 2 ปาก แต่ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน

ความคืบหน้าคดีในตอนนี้อยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ โดยต้นสัปดาห์ของเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อาดิลัน อาลีอิสเฮาะ หนึ่งในทนายความของคดีและประธานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมจังหวัดสงขลากล่าวว่ามีการสืบพยานโจทก์สองปาก ส่วนปากแรก คือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานกฎหมาย คสช. ซึ่งเป็นผู้ที่ตามจากรายงานสืบสวนและได้รับมอบหมายให้กล่าวโทษกลุ่มจำเลย ตามหน้าที่ที่ตนเองเป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของ คสช. ให้การเพียงแค่ว่ามีรายงานข่าวว่าจะมีการก่อเหตุ และมีการจับกุมกลุ่มจำเลยนี้ในพื้นที่หน้ารามคำแหง รายละเอียดเป็นอย่างไรตนเองไม่ทราบ เป็นไปตามรายงานสืบสวน

ปากที่สองคือ ร.ต.ต.อะหมัด หมัดหมาน อดีตตำรวจที่เกษียณแล้ว 13 ปี ซึ่งไม่เคยเป็นพยานของคดีเกี่ยวกับความมั่นคงมาก่อน อ้างว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ รู้เห็นเกี่ยวกับขบวนการ แต่เขาเองก็ไม่เคยรู้จักกับจำเลยทั้งหมดมาก่อน และไม่รู้ว่าจำเลยทั้งหมดมีส่วนรู้เห็นหรือไม่

อาดิลันเล่าเพิ่มเติมว่า จำเลยที่ 10-13 คือกลุ่มที่เคยได้รับการปล่อยตัวและเข้าโครงการดะวะห์ ซึ่งทุกคนคิดว่าพ้นจากข้อหาแล้ว แต่เมื่อครบกำหนดเวลา ก็ถูกพามามอบตัวและถูกดำเนินคดี ทำให้ญาติและครอบครัวโกรธมาก จริงๆ จำเลยทุกคนถูกบอกให้เข้าโครงการดะวะห์  แต่มีเพียง 4 คนนี้ที่สมัครจะจะเข้าโครงการ ซึ่งเขาก็จะได้ข้อมูลและสถิติของคนที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้น แต่หลังจากนั้นก็ถูกนำตัวไปดำเนินคดีเพราะมีข้อมูลอยู่ว่าเป็นผู้กระทำผิด

หลักฐานมีเพียงคำรับสารภาพ คำซัดทอด และสารระเบิด PETN ในมือของจำเลยที่ 3

อาดิลันกล่าวว่า นอกจากสาร PETN ที่มือของจำเลยที่ 3 แล้วไม่มีหลักฐานพยานอะไรที่สำคัญ สารระเบิดหรือวัตถุระเบิดอื่นก็ไม่พบ แม้มีการอ้างว่าจำเลยได้โยนทิ้งลงในลำคลอง ซึ่งภายหลังมีการงมหาแล้วก็ไม่เจอ คดีนี้จึงมาจากคำรับสารภาพและคำซัดทอดซึ่งกันและกันเท่านั้น คำรับสารภาพแรกเปิดโดยตาลมีซี จำเลยที่ 1 ซึ่งเชื่อมโยงกับว่าใครเป็นคนนัดประชุม วางแผน มีการฝึกซ้อมประกอบระเบิด แยกอุปกรณ์ประกอบระเบิดขึ้นมาที่กรุงเทพฯ แล้วนำไปพักไว้ที่ไหน แล้วนำมารวมกันเพื่อประกอบระเบิด แต่ถูกจับก่อนเพราะมีการเสพน้ำกระท่อม

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ศูนย์ทนายฯ เปิดเผยว่า ไม่แน่ใจว่าสารระเบิดชนิด PETN โผล่ในคำฟ้องได้อย่างไร ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีในข้อมูลข่าวสารเลย มีแต่ข่าวที่ยึดข้าวของเครื่องใช้ กล่องน้ำบูดูและเครื่องเทศเท่านั้น

แฟ้มภาพ

จำเลยอ้างรับสารภาพเพราะถูกข่มขู่ ทำร้าย 

อาดิลัน เล่าว่าจำเลยส่วนใหญ่กล่าวว่าถูกบังคับให้รับสารภาพ เนื่องจากถูกข่มขู่ ซ้อม ทำร้าย ให้เกิดความหวาดกลัว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วจำเลยไม่ได้กระทำการดังกล่าว และเนื่องจากเป็นการควบคุมตัวตามคำสั่งหัวหน้า ที่ 3/58 และ 13/59 ไม่มีพยานหลักฐานการถูกข่มขู่ ซ้อม หรือทำร้าย

คำบอกเล่าของผู้เป็นแม่ อุสมาน กาเด็งหะยี จำเลยที่ 4

"ไปทำงานกรุงเทพได้ 20 วัน แกโทรมาบอกว่าอยากกลับบ้านแต่รอเงินเดือนออกก่อน หลังจากนั้น 4 วันแกก็โดนจับ" แม่ของอุสมาน กาเด็งหะยี จำเลยที่ 4 กล่าว

ประชาไทสัมภาษณ์ เมาะซู แม่ของอุสมาน กาเด็งหะยี จำเลยที่ 4 ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยยื่นหลักทรัพย์จำนวน 1,452,000 บาท เนื่องจากจำเลยมีโรคเกี่ยวกับสมอง ต้องพบแพทย์เป็นประจำ แต่ศาลไม่อนุญาต ระบุในคำร้องว่า "พิเคราะห์แล้ว ความผิดตามฟ้องมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงและกระทบต่อความสงบสุขของบ้านเมือง หากปล่อยชั่วคราวอาจเกิดความเสียหายแก่รูปคดี อีกทั้งจำเลยที่ 4 อาจหลบหนี จึงยังไม่มีเหตุสมควรปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 4 ในระหว่างที่พิจารณา ให้ยกคำร้องคืนหลักประกัน"

เมาะซูเล่าว่า ก่อนหน้านี้อุสมานผ่าตัดสมอง มีผลข้างเคียงคือทำให้การรับรู้ช้ากว่าปกติเล็กน้อย และก่อนที่จะโดนจับเขาเคยติดเชื้อในกระแสเลือด และผลข้างเคียงจากการติดเชื้อในกระแสเลือดทำให้เป็นไตวาย แต่รักษาจนอาการปกติ นอกจากนี้เขายังเคยมีอาการชัก หายใจไม่ออก มือแข็ง ท้องแข็ง

"แกเป็นเด็กติดแม่มาก ติดบ้าน ปกติจะนอนด้วยกัน เวลาแกฝันร้ายแกจะนอนคนเดียวไม่ได้เลย แกเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ก็ไม่เกเร ไม่เคยทะเลาะกับเพื่อน ไม่เคยหายออกจากบ้านโดยที่แม่ไม่รู้ว่าไปไหน แกไปไหนแกจะบอกแม่ทุกครั้ง" แม่ของอุสมาน กล่าว

ภาพขณะญาติและครอบครัวของจำเลย 9 คน ในคดีนี้เดินทางไปติดตามความคืบหน้าการดำเนินการเอกสารคำร้องขอรับความช่วยเหลือกู้เงินประกันตัวจำนวน 1,000,000 บาท เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2560

เมาะซูเล่าต่อว่า "ต่อมาแกมีแฟน ชอบคุยโทรศัพท์ถึงตีสามตีสี่ วันเกิดเหตุแม่ทะเลาะกับแกเรื่องแฟน แกโกรธแม่มากและใช้คำพูดที่ไม่ควรพูดกับแม่ แม่เลยไม่คุยกับแกเลย หลังจากนั้นแกหนีไปกรุงเทพฯ เอามอเตอร์ไซค์ไปจำนำ แกไปทำงานได้ประมาณเดือนกว่า เพื่อนแกก็โทรมาว่าแกมีอาการชัก สุดท้ายแกก็กลับบ้านแล้วมาขอโทษแม่ ก็รักษาจนอาการดีขึ้น แกบอกแม่ว่าไม่อยากไปกรุงเทพฯ แล้ว เพราะอยู่แล้วอดๆ อยากๆ แต่แม่ก็บอกให้ไปทำงานหาเงินมาคืนค่ามอเตอร์ไซต์ที่แกเอาไปจำนำ ทั้งที่แกก็ไม่อยากไปแต่แกก็ไป พอไปทำงานได้ 20 กว่าวันแกก็โทรมาบอกว่าไม่อยากอยู่แล้ว อยากกลับบ้าน มีเงินเท่านี้คืนแม่ได้ไหม แม่ก็เลยบอกว่ากลับมาก็ได้ ไม่เป็นไร แกก็บอกว่ารอให้เงินเดือนออกแล้วจะกลับ แล้วหลังจากนั้นอีกประมาณ 4 วันแกก็โดนจับ"

เมาะซูเล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ตอนนี้ว่าค่อนข้างยากลำบาก นอกจากจะต้องเสียเงินไปมาระหว่างนราธิวาสและกรุงเทพเพื่อมาฟังการพิจารณาคดีที่ศาลแล้ว เธอยังหย่ากับสามีและมีลูกชายอีกสองคนที่ต้องเลี้ยงดู ซึ่งมีอายุ 15 ปี และ 10 ปี โดยส่วนใหญ่แล้วเธอจะรับจ้างกรีดยาง และรับจ้างงานอื่นจิปาถะ ปลูกกล้วยและผักสวนครัวด้วย แม้จะเป็นแบบนั้นเธอก็ยืนยังที่จะขึ้นมากรุงเทพฯ ทุกครั้งที่มีการนัดจากศาล

"ทนายบอกว่าถ้าเป็นไปได้ทุกครั้งที่ขึ้นศาลอยากจะให้ครอบครัวมาอยู่ด้วย แม่ก็อยากไปเจอลูก แต่แม่ก็ต้องไปคนเดียว เพราะมีเงินไม่พอจะพาลูกอีกสองคนไป แต่แม่ก็ขึ้นมากับครอบครัวของจำเลยคนอื่นๆ ด้วย เพราะเราก็รู้จักกันอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ก่อนหน้านั้นได้คุยกับแก โชคดีที่แกบอกว่าอยู่ในเรือนจำไม่มีอาการชักแล้ว แต่มีแค่อาการความรู้สึกช้า คิดช้า เวลาพูดเยอะๆ แกก็จะตามไม่ทัน"

"แม่การันตีเลยว่าแกไม่เกี่ยวกับขบวนการใดๆ แกไม่เคยไปไหนโดยที่แม่ไม่รู้ เพราะคนที่เข้าร่วมขบวนการบางคนหายออกจากบ้านไปเป็นเดือนๆ โดยที่พ่อแม่ไม่รู้" เมาะซู กล่าวย้ำอย่างหนักแน่น

นักวิชาการชี้ จำเลยถูกเลือก เหตุเป็นชายขอบ ไม่ได้เป็นนักศึกษา สถานะเศรษฐกิจอ่อนแอ

ชลิตา บัณฑุวงศ์ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชี้ว่า เรื่องนี้สร้างความเดือดร้อนให้ญาติพี่น้องของจำเลยเยอะมาก เพราะเขาก็อยู่เรือนจำมาได้ปีกว่าๆ แล้ว โดยไม่ได้สิทธิในการประกันตัวแต่อย่างใด และกระบวนการยุติธรรมก็ล่าช้า ผ่านไปปีกว่าเพิ่งจะสืบพยานโจทก์ปากแรกและปากที่สอง ตัวหลักฐานต่างๆ ก็อ่อนมาก จากที่ติดตามข่าวและฟังจากทนายและพ่อแม่ของจำเลย และอาจมีสาเหตุเนื่องจากเหตุการณ์ 'ทริปฮาวาย' ของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณและรองนายกฯ คนอื่น ทำให้ต้องตั้งข้อหาที่หนักแบบนี้ คดีนี้ต่างจากคดีภาคใต้อื่นๆ ตรงที่ถูกจับที่กรุงเทพฯ และถูกดำเนินคดีที่กรุงเทพฯ

"จำเลยเหล่านี้มีบ้านเกิดจากสามจังหวัดชายแดนใต้ และเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ เพื่อทำงาน เขาต้องมาอยู่รวมกันในห้องเช่าเล็กๆ และแต่ละคนก็เหมือนกับมีสถานะเป็นชายขอบ ช่วงแรกเขากวาดจับเยอะๆ 40 กว่าคน หลังจากนั้นก็เหมือนกันคนที่เป็นนักศึกษาจริงๆ ออก จนเหลือ 14 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กที่เพิ่งมาหางานทำในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก ที่บ้านยากจน ไม่มีที่ดิน รับจ้างกรีดยาง เป็นต้น เป็นคนชายขอบแม้กระทั่งในชุมชนสามจังหวัดชายแดนใต้เองก็ตาม เหมือนกับเขาถูกเลือกขึ้นมาเพราะมีสถานะทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าคนอื่น และไม่ได้มีสถานะเป็นนักศึกษา"

ชลิตาอธิบายเพิ่มเติมส่วนของโครงการดะวะห์ว่า เป็นโครงการที่มีมาหลายปีแล้วตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ เป็นโครงการที่ทหารเข้าไปประสานความร่วมมือกับกลุ่มผู้นำศาสนามุสลิมสายหนึ่งที่เรียกว่ากลุ่มดะวะห์ ซึ่งไปเผยแพร่ศาสนาตามหมู่บ้าน หรือไปแลกเปลี่ยนเผยแพร่ศาสนากับต่างประเทศ ซึ่งเขาร่วมมือเป็นอย่างดีกับทหารและจัดโครงการนำผู้ต้องสงสัยมาอบรมโดยการให้เข้ามาอยู่ในค่ายทหาร มีการอบรมหลายแบบรวมทั้งการอบรมอาชีพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้จะมีการสืบพยานโจทก์อีกครั้งวันที่ 15 พ.ค. นี้ ที่ศาลอาญา ถ.รัชดา

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โพลล์ระบุ ประชาชนสหรัฐฯ ร้อยละ 63 ต้องการให้ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านคงอยู่

Posted: 09 May 2018 05:44 AM PDT

โพลล์สื่อซีเอ็นเอ็น ระบุว่าชาวสหรัฐฯ ร้อยละ 63 ต้องการให้สหรัฐฯ ยังคงอยู่ในข้อตกลงยับยั้งนิวเคลียร์อิหร่าน หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะนำสหรัฐฯ ออกจากหนึ่งในประเทศที่ทำข้อตกลงร่วมกับอิหร่าน ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะเป็นการกระตุ้นความรุนแรง และมองว่าทรัมป์เชื่อฟัง "กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่กระหายสงคราม" มากเกินไป และอาจจะเป็นการเล่นบทเข้าทางอิสราเอล ที่ต้องการลดกำลังอิหร่านในภูมิภาคพร้อมโบ้ยความรับผิดชอบให้สหรัฐฯ

เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2561ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงยับยั้งนิวเคลียร์ของอิหร่าน เหตุใดทรัมป์ถึงตัดสินใจเช่นนี้ และมีกระแสตอบโต้อย่างไรบ้าง

ข้อตกลงดังกล่าวนี้มีการหารือกันระหว่างอิหร่านกับประเทศอื่นๆ อีก 6 ประเทศ ได้แก่ จีน, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, เยอรมนี, อังกฤษ และสหรัฐฯ จนสามารถบรรลุข้อตกลงได้ในปี 2557 ช่วงสมัยรัฐบาลบารัค โอบามา ทำให้สามารถยับยั้งความขัดแย้งค้างคาที่เกิดขึ้นเป็นเวลานาน 12 ปีเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ทำให้อิหร่านเลิกพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แลกกับการผ่อนปรนการคว่ำบาตรทางการค้า แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าทรัมป์จะพยายามทำให้สหรัฐฯ ออกจากการร่วมข้อตกลงนี้

แล้วเหตุใดที่ทำให้ ทรัมป์ ต้องการดึงสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงนี้? สื่อเดอะการ์เดียนตั้งข้อสังเกตว่าทรัมป์ เริ่มพูดถึงว่าจะยกเลิกข้อตกลงยับยั้งนิวเคลียร์อิหร่านนี้มาตั้งแต่สมัยหาเสียงเลือกตั้งแล้วโดยอ้างว่าเป็น "ข้อตกลงหายนะ" แต่ก็มีคนตีความโวหารของทรัมป์ว่าคงหมายถึงอยากทำให้ข้อตกลงมีความเข้มงวดมากขึ้นกว่านี้และบีบเค้นในแง่การคว่ำบาตรมากขึ้น แต่ถ้าทำเช่นนั้นก็อาจจะบีบให้อิหร่านละเมิดข้อตกลงเดิม หรือไม่ก็ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนของข้อตกลง

ถึงแม้ทรัมป์จะยอมยกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่านบางส่วนในเดือน ม.ค. 2561 ซึ่งเป็นข้อบังคับจากสภาคองเกรส แต่เขาก็ประกาศว่าจะยุบข้อตกลงยับยั้งนิวเคลียร์ที่เคยทำกับอิหร่านไว้ โดยอ้างว่าข้อตกลงทั้ง 6 ประเทศต่ออิหร่านไม่ได้พิจารณาเรื่องการพัฒนาขีปนาวุธของอิหร่านและพฤติกรรมของอิหร่านที่ส่งอิทธิพลต่อการเมืองในระดับภูมิภาคนั้น ในอีกแง่หนึ่งทรัมป์ก็อาจจะได้รับอิทธิพลจากพวก "สายเหยี่ยว" เน้นการทหารในรัฐบาลตัวเองอย่าง จอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ กับ ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ขณะที่นักวิจารณ์มองว่า เรื่องนี้เป็นแค่อีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าทรัมป์พยายามรื้อทำลายมรดกความสำเร็จที่รัฐบาลโอบามาเคยสร้างไว้

อย่างไรก็ตามนอกจากทรัมป์เองแล้ว ดูเหมือนประเทศอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมกับข้อตกลงนี้ล้วนแล้วแต่ต้องการรักษาข้อตกลงเอาไว้ แม้กระทั่งฝ่ายขวาของสหราชอาณาจักร บอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหราชอาณาจักรเคยไปเยือนสหรัฐฯ เพื่อพยายามโน้มน้าวให้ทรัมป์เลิกคิดจะทำลายข้อตกลงนี้ โดยบอกว่า "จากทางเลือกทั้งหมดที่พวกเขามีในการทำให้แน่ใจว่าอิหร่านจะไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ ข้อตกลงนี้ทำให้เกิดการเสียเปรียบน้อยที่สุดแล้ว"

ทั้งนี้ยังเคยมีกรณีที่ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตีอิสราเอลเปิดเผยเอกสารส่วนหนึ่งที่ระบุว่าอิหร่าน "ละเมิดข้อตกลง" แต่กลุ่มประเทศในยุโรปก็โต้กลับเนทันยาฮูโดยบอกว่าเอกสารดังกล่าวยิ่งเน้นย้ำให้เห็นว่าการดำเนินการตามข้อตกลงนั้นมีความสำคัญมากขนาดไหน

ประชาชนชาวอเมริกันผู้ตอบโพลล์ส่วนใหญ่ก็แสดงท่าทีสนับสนุนข้อตกลงยับยั้งนิวเคลียร์อิหร่านให้คงอยู่ต่อไปเช่นกัน จากการสำรวจของสื่อซีเอ็นเอ็นพบว่าชาวอเมริกัน 2 ใน 3 หรือราวร้อยละ 63 ระบุว่าสหรัฐฯ ไม่ควรออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน ขณะที่ร้อยละ 29 ระบุว่าสหรัฐฯ ควรออกจากข้อตกลงนี้ ในโพลล์ยังระบุอีกว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่เชื่อมั่นในการทำงานของทรัมป์เชื่อว่าอิหร่านละเมิดข้อตกลง ขณะที่คนที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตส่วนใหญ่มองว่าอิหร่านไม่ได้ละเมิดข้อตกลงใดๆ

การพยายามผละออกจากข้อตกลงนี้ยังทำให้สื่อหลายแห่งวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของทรัมป์ ไรอัน คูเปอร์ จากสื่อเดอะวีค วิจารณ์ว่าทรัมป์และกลุ่ม "สายเหยี่ยว" ในรัฐบาลทรัมป์ตัดสินใจโดย "ไม่เคยวางอยู่บนฐานของข้อเท็จจริง" เลย ทำให้ถึงแม้จะให้ผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติและผู้ตรวจการมาอธิบายรัฐบาลทรัมป์ในเรื่องข้อตกลงนี้แต่ก็เป็นผลน้อยมาก คูเปอร์ยังวิจารณ์ต่อไปอีกว่ากลุ่มสายเหยี่ยวสหรัฐฯ เป็นแค่ "พวกอนุรักษ์นิยมใหม่ที่กระหายเลือด" ขณะเดียวกันคูเปอร์ก็มองว่าการสร้างความขัดแย้งเช่นนี้จะเป็นไปตามเกมของอิสราเอลที่ต้องการขจัดอำนาจของอิหร่านในภูมิภาคแล้วโบ้ยความรับผิดชอบมาให้สหรัฐฯ

ตริตา ปาร์ซี ประธานองค์กรสภาแห่งชาติชาวอิหร่านในสหรัฐฯ โต้ตอบทรัมป์ว่า การนำสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงจะเป็นการลบล้าง "ชัยชนะทางการทูต" และทำให้เกิด "ความเสี่ยงวิกฤตสงคราม" แทน

 

เรียบเรียงจาก

Majority say US should not withdraw from Iran nuclear agreement, CNN, 08-05-2018

With Trump Set to Spark 'War-Risking Crisis' By Killing Iran Deal, Poll Shows 63% in US Support Nuclear Accord, Common Dreams, 08-05-2018

The Iran deal explained: what is it and why does Trump want to scrap it?, The Guardian, 08-05-2018

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมภพ มานะรังสรรค์: สงครามการค้าจีน-อเมริกา จีนสู้ได้ด้วยพลังเต้าหู้-ถั่วเหลือง

Posted: 09 May 2018 05:28 AM PDT

อธิการบดีสถาบันจัดการปัญญาภิวัฒน์เผย การเจรจาด้านการค้าของจีน กับอเมริกายังไม่มีความคืบหน้า ชี้โลกกลับตาลปัตร จีนกลายเป็นผู้นำการค้าเสรี แต่ถูกต้านโดยสหรัฐอเมริกา ดูไพ่ในมือจีนเป็นต่อสู้ได้ด้วยพลังเต้าหู้ และพันธบัตรสหรัฐอเมริกาที่ถือครอง

เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2561 ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชีย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จังานเสวนาหัวข้อ จีน VS สหรัฐฯ 2018 โดยมีวิทยากรประกอบด้วย รองศาสตราจารย์ สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันจัดการปัญญาภิวัฒน์ และศาสตราจารย์กิตติคุณ ไชยวัฒน์ ค้ำชู คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ โดยช่วงแรกเป็นส่วนการอภิปรายของ สมภพ มีรายละเอียดดังนี้

เมื่อโลกกลับตาลปัตร จีนเชิดชู 200 ปีชาตกาลคาร์ล มาร์กซ์ แต่โปรการค้าเสรี

สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึง ความสัมพันธ์ทางการเมืองเศรษฐกิจระหว่างจีน กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้มีความคืบหน้าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อทีมงานของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Steven Mnuchin ซึ่งได้นำทีมงานที่ใหญ่ที่สุดหลังจากที่ทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นต้นมา เข้าไปเจรจากับจีน ในทีมนั้นประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ Wilbur Ross รวมทั้ง Robert Lighthizer ผู้อำนวยการของสำนักผู้แทนการค้า (US Trade Representative) และ Larry Kudlow ซึ่งเป็น Directors of the National Economic Council (สภาเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐอมเริกา)

"การเจรจาในช่วงที่ผ่านมา ผมตามอยู่ก็รู้สึกขำพอสมควร หลายคนคงคิดว่าทำไมผมรู้สึกขำ เพราะผลการเจรจาก็ไม่ได้มีผลอะไรมากมาย แต่ที่ผมขำก็เป็นเพราะทีมงานของจีนภายใต้การนำขอรองนายกรัฐมนตรีหลิว เหอ ซึ่งเป็นคนที่เพิ่งถูกตั้งขึ้นมาใหม่เป็น 1 ใน 25 คณะกรรมการโปลิตบูโร เป็นคนใกล้ชิดกับสี จิ้นผิง เป็นมือเศรษฐกิจแต่ไหนแต่ไรมา ปรากฎว่าขณะที่เจรจากันอยู่ท่านทราบไหมว่า ในวันที่ 4 พฤษภาคม ผู้นำเกือบทั้งหมดของจีนไปอยู่ที่มหาศาลาประชาคม (ต้าหลี่ถัง) ไปเปิดงานฉลองครบรอบฉลอง 200 ปีชาตะกาลของ คาร์ล มาร์กซ์ แล้วตัวสี จิ้นผิงเองก็กล่าวสุนทรพจน์ยาวมาก แล้วก็สรรเสริญมาร์กซ์ ว่ามีคุณประการต่อประชาชนจีน และประเทศจีนอย่างไร แล้วประเทศจีนจะต้องดัดแปลงความคิดของมาร์กซ์มาใช้ให้มากขึ้น" สมภพ กล่าว

เขากล่าวต่อว่า ในขณะที่จีนกล่าวเชิดชูมาร์กซิสต์ เชิดชูหนังสือเล่มแรกของมาร์กซ์และเองเงิลส์ communist manifesto และงานชิ้นที่ยิ่งใหญ่ของมาร์กซ์คือ das capital (ว่าด้วยทุน) ซึ่งเป็นหนังสือที่สี จิ้นผิงชอบมาก แต่กลับกลายเป็นว่าปัจจุบันจีนอยู่ในบทบาทที่เชิดชูโลกาภิวัตน์ และส่งเสริมการค้าเสรี ซึ่งตอนนี้เหมือนจะถูกอุปโลกน์ให้เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจเสรี และการค้าเสรี ขณะเดียวกันทีมงานที่ทรัมป์ส่งมาซึ่งเป็นคนที่ปกป้องทุนนิยมมาตลอด กลับใช้นโยบาย Anti-Globalization ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าโลกกำลังกลับตาลปัตร และเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์ว่าจะมีการคลี่คลายไปอย่างไร ส่วนการเจรจาในครั้งที่ผ่านก็ไม่ได้มีผลที่ดีแต่อย่างใด

จีนกำลังเติบโตบนเส้นทางเดียวกันกับที่สหรัฐอเมริกาเติบโตเป็นมหาอำนาจ

สมภพ กล่าวถึงพัฒนาการในช่วงที่ผ่านมาของประเทศจีนว่าในปี 1960 เป็นปีที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นบริหารประเทศ GDP ของจีนในเวลานั้นแทบไม่ได้โตขึ้นเลย จนกระทั่งปี 1980-1981 จึงเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในช่วงเวลานี้ GDP ของสหรัฐอเมริกามากกว่าจีน 15 เท่าตัว แต่ทุกวันนี้ GDP ของจีนอยู่ที่ 12 ล้านล้านเหรียญ ส่วนสหรัฐอเมริกา 19.3 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งห่างกันเพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

เขา ระบุถึง ปัจจัยที่ทำให้จีนพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาว่าเกิดจาก 7 ตัวแปรสำคัญ ซึ่งเป็นตัวแปรเดียวกันกับที่สร้างอเมริกาให้กลายเป็นประเทศมหาอำนาจ โดยตัวแปรทั้งหมดประกอบด้วย

1.การพัฒนาด้านการขนส่ง (Transportation Development) โดยหลังจากสิ้นสุดสงครามกลางเมือง สหรัฐอเมริกาก็เร่งดำเนินการสร้างทางรถไฟทั่วประเทศระยะทางประมาณ 3 แสนกิโลเมตร ในขณะปัจจุบันจีนเองก็พยายามสร้างทางรถไฟไม่เพียงเฉพาะในประเทศ แต่พยายามเชื่อมโยงในระดับภูมิภาคเข้าด้วยกัน ซึ่งถึงเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดระบบเศษรฐกิจตลาด เพราะเมื่อมีทางรถไฟ มีสถานนีรถไฟเกิดขึ้นที่ไหนสิ่งที่ตามก็คือ การเกิดขึ้นของเมือง

สหรัฐอเมริกาเริ่มมีประชากรที่อยู่ในเมืองมากกว่าในชนบทในปี 1900 ในขณะที่จีนมีคนอยู่ในเมืองมากกว่าอยู่ในชนบทในปี 2000 โดยในเวลานี้คนจีนอยู่ในเมืองทั้งหมด 58 เปอร์เซ็นต์ อเมริกามีคนอยู่ในเมืองทั้งหมด 80 เปอร์เซ็นต์ อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือตอนนี้จีนได้รับฉายาว่า โรงงานของโลก ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ส่วนอเมริกาเคยได้รับฉายานี้ในช่วงหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1

2. การพัฒนาด้านการสื่อสาร (Communications Development) ซึ่งปัจจัยนี้คือตัวบ่มเพาะความขัดแย้งระหว่าจีน กับอเมริกาอย่างมาก ตอนนี้ที่เห็นได้ชัดคือ การเกิดขึ้นของศึก semiconductor (สารกึ่งตัวนำ) โดยรัฐบาลทรัมป์สั่งห้ามไม่ให้บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิต computer chip ขาย chip คุณภาพดีให้กับบริษัทของจีน เพราะเกิดจากความกังวลที่เห็นจีนมีพัฒนาการที่รวดเร็วในด้านนี้

3. การสร้างระบบเศรษกิจที่เป็นมิตรกับตลาด (Market Friendly Economy) ก่อนหน้าที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในเรื่องดังกล่าว คือดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับตลาด เศรษฐกิจที่ใช้กลไกดีมาน ซับพลาย ในการขับเคลื่อน เป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่ได้วางแผนจากส่วนกลางเหมือนประเทศคอมมิวนิสต์ในอดีต เป็นระบบตลาดที่ทำให้เอกชนสามารถปลดปล่อยพลังในการผลิตได้อย่างเต็มที่

4. การพัฒนาภาคการเงิน (Financial Development) สหรัฐอเมริกาหลังจากที่พัฒนาการขนส่ง การสื่อสาร และสร้าระบบเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับตลาด สิ่งที่ตามมาคือการกลายเป็นเจ้าแห่งระบบการเงินโลก

5. การพัฒนาในด้านเทคโนโลยี (Technological Development) โดยล่าสุดจีนลงทุนในด้านนี้ประมาณ 2.1 เปอร์เซ็นต์ของ GDP

6. เสถียรภาพทางการเมือง (Political Stability) ล่าสุดจีนได้แก้รัฐธรรมนูญให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งต่อไปได้จนกว่าจะลาออกเอง

7.  การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) ในเวลานี้จีนกำลังปฏิรูปการศึกษาอย่างหนัก และยังส่งคนไปเรียนต่อต่างประเทศ โดยสถิตินักศึกษาจีนที่เข้าไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริการาว 3 แสนคน ถือเป็น 1 ใน 3 ของนักศึกษาต่างประเทสที่เข้าไปเรียนในสหรัฐอเมริกา และตอนนี้แล้วที่ข่าวออกมาว่าสหรัฐอเมริกาอาจจะจำกัดจำนวนนักศึกษาจีน

สมภพ กล่าวต่อไปว่าในช่วงเทอมแรกของสี จิ้นผิง ซึ่งคาบเกี่ยวกับเทอมที่ 2 ในช่วงที่ขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และเป็นประธานาธิบดี ปรากฎว่าแผนพัฒนาฉบับที่ 13 ของประเทศจีน ได้กำหนดว่าจะมุ่งสู่การปรับจากการเป็นฐานการผลิต สู่การเป็นฐานในภาคบริการ โดยก่อนหน้านี้สหรัฐอเมริกาก็เปลี่ยนแปลในลักษณะด้วยกันหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะเห็นว่าประเทศตัวเองไม่มีความได้เปรียบในด้านการผลิตอีกต่อไป โดยหันไปส่งเสริมบริการด้านสุขภาพ การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมบันเทิง เศรษฐกิจในภาคการกีฬา และการขนส่ง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่จีนกำลังทำในเวลานี้

"จีนกำลังส่งเสริมภาคบริการแถวเศรษฐกิจชายฝั่งทะเล และย้ายฐานภาคการผลิตสู่มณฑลด้านใน และบางส่วนย้ายฐานออกมานอกประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเชื่อมกับโครงการ one belt one road ไม่เชื่อเดี๋ยวเราคอยดูต่อไป" สมภพ กล่าว

สมภพ กล่าวต่อว่า จีนกำลังเดินตามเส้นทางที่สหรัฐอเมริกาเคยเดินมาก่อน ซึ่งถึงที่สุดแล้วจะเกิดการพัฒนาในภาคการเงิน จนกลายเป็นเศรษฐกิจที่อิงกับภาคการเงิน (finance based economy) โดยตอนนี้สิ่งที่จีนและประสบความสำเร็จอย่างมากคือการเร่งการโตของเมือง และอีกสิ่งหนึ่งที่จีนกำลังประสบความสำเร็จอย่างมากคือ การเร่งพลังอำนาจการบริโภคภายในประเทศในประชาชนจีน โดยช่วงที่สี จิ้นผิงเข้ามาใหม่ๆ การบริโภคภายในประเทศมีสัดส่วนเพียงค่ 45 เปอร์เซ็นต์ของ GDP แต่ในปี 2016 มีสัดส่วนอยู่ที่ 66 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีนสามารถใช้จมูกตัวเองหายใจได้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการส่งออกมากเหมือนเดิมอีกแล้ว

สหรัฐอเมริกาหวังลดดุลการค้าของจีนที่มีต่อตัวเอง พร้อมขอจีนเลิก subsidize สิ้นค้า made in china ปี2025

เขา กล่าวต่อไป การเจรจาของจีน และสหรัฐอเมริกา ครั้งล่าสุดได้ผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันมีเพียงการตั้งคณะกรรมการที่จะต้องมาเจรจากันต่อไป หลายเรื่อวที่เป็นข้อน่าสังเกตของการเจรจาคือ ทีมงานของทรัมป์ได้กล่าวว่า ในปี 2020 จีนจะต้องลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาที่ลดไป 2 แสนล้านเหรียญ โดยตัวเลขปัจจุบันที่อเมริกามองว่าจีนเกินดุลการค้าอยู่ที่ 3.7 แสนล้าน แต่จีนระบุว่าเกินดุลการค้าเพียงแค่ 2.8 แสนล้านเหรียญเท่านั้น คำถามคือทำไมสหรัฐถึงตั้งเป้าไว้ที่ปี 2020 อาจจะเป็นเพราะในปีนั้นจะเป็นปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐหรือไม่ ขณะเดียวกันสหรัฐตั้งเป้าว่าภายในเดือน มิ.ย. 2019 จะต้องลดดุลการค้าลงมาให้ได้ 1.3 แสนล้าน

เรื่องต่อมาที่มีการเจรจากันคือ สหรัฐอเมริกา เรียกร้องให้จริงกำหนดชนิดของสินค้าออกมา ว่ามีสินค้าอะไรที่มีการปกป้อง สินค้าอะไรที่ต้องการเปิดเสรี ภายในเดือน ก.ค. นี้ เพื่อสหรัฐจะได้ทราบว่า สินค้าตัวไหนที่สหรัฐจะสามารถส่งเข้ามาขายในจีนได้ และเมื่อมีการส่งลิตส์ออกมาแล้ว ฝ่ายทีมงานของทรัมป์จะเห็นด้วยหรือไม่ จะใช้เวลาในการทบทวนทั้งหมด 90 วัน ฉะนั้นจะทราบผลในช่วงสิ้นเดือน ต.ค. ซึ่งในเดือน พ.ย. สิ่งที่จะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาคือ การเลือกตั้งกลางเทอม ส.ส. สี่ร้อยกว่าคน และมี ส.ว. อีก 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด

เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ ทีมงานของทรัมป์ได้กล่าวไว้ว่า จีนจะต้องลดเลิกการ subsidize อุตสาหกรรมต่างๆ ที่ใช้คำว่า made in china ในปี 2025 สมภพ อธิบายต่อไปว่า เมื่อลองไปดูในปี 2025 อุตสาหกรรมหลักที่จีนตั้งไว้ว่าจะพัฒนาเป็นหลักคือ การพัฒนาการผลิตในภาคอุสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ มีการใช้ AI เข้ามาในการผลิต ต่อมาคือเรื่องของ Robot และตัวที่สามคือ Semiconductor ตัวที่ 4 คือการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ นอกจากนี้ยังมีการตั้งเป้าหมายในการพัฒนารถขับเคลื่อนอัตโนมัติ เรื่อง bit coin การสำรวจทางทะเล การต่อเรือโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ การสำรวจอวกาศ และการสำรวจทะเลลึก ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของอุตสาหกรรมใหม่ที่จีนระบุว่าในแผน made in china 2025 ซึ่งทีมงานของทรัมป์เห็นว่าจีนควรลดการ subsidize ลง

"เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ออกมาจากปากของที่ปรึกษาใหญ่ของทรัมป์คือ ปีเตอร์ นาวาร์โร ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์ว่า การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ของจีนเป็นการคุกคาม แล้วขณะเดียวกันเขาบอกด้วยว่าเทคโนโลยีตัวนี้ไม่ได้ใช้ในทางการเค้าอย่างเดียว แต่เอาไปใช้ในทางด้านกองทัพด้วย และเมื่อจีนใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในกองทัพมากๆ โอกาสที่จะเกิดจากปะทะกันระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาก็อาจจะเพิ่มมากขึ้น และอาจจะเกิดสงคราม" สมภพ กล่าว

สมภพ กล่าวต่อไปว่า สหรัฐบอกว่าบริษัทของสหรัฐที่ไปลงทุนในจีน รัฐบาลจีนจะมาบังคับให้ถ่ายทอดเทคโนโลยีไม่ได้ เพราะจีนมีการกำหนดว่าหากต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในจีนจะต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับจีนด้วย ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอให้กับสหรัฐอเมริกาอย่างมาก

เขาระบุต่อไปว่า สิ่งที่น่าจับตามองคือ ก่อนถึงเดือน ก.ค. นี้ สหรัฐจะมีมาตรการอะไรออกมาตอบโต้จีน จากที่กำหนดว่าจะมีการเก็บภาษีสินค้าเพิ่มจะมีการเก็บหรือไม่ อย่างไรก็ตามความแตกต่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือ ก่อนหน้านี้จีนค่อนข้างจะอ่อนข้อในการเจรจา แต่ในเวลานี้ท่าทีของจีนแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

"จีน เพิ่งจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งได้อย่างไม่มีเทอม เมื่อมีอำนาจมากขณะนี้ ลองนึกภาพดูว่า หากจีนถอย คนจีนจะรู้สึกอย่างไร เรื่องที่สองคือโลก คาดหวังให้จีนเป็นผู้นำการปกป้องการค้าเสรี โดยทุกชาติที่ออกมาปกป้องการค้าเสรีทั้งหลายจะมองไปที่จีนในฐานะผู้นำ และหากจีนถอย เกีรยติภูมิของจีนที่กำลังเพิ่มขึ้นจะได้รับผลกระทบไหม"

ชี้จีนสู้สงครามการค้าได้ด้วยพลังเต้าหู้-ถั่วเหลือง หุ้น และพันธบัตร

อย่างไรก็ตามภายใต้เงือนไข ต่างๆ ที่สหรัฐอมเริกากำหนดมา สมภพเห็น จีนยังมีพลังในการต่อรอง โดยเขาระบุว่าจีนจะใช้พลังเต้าหู้ต่อสู้ โดยจีนเป็นประเทศที่นำเข้าถั่วเหลืองมากที่สุดในโลก โดยปีหนึ่งมีการนำเข้าประมาณ 100 ล้านตัน ทั้งโลกมีการค้าถั่วเหลืองทั้งหมด 150 ล้านตัน อยู่ที่ประเทศจีน 2 ใน 3 ของทั้งโลก โดยจีนนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาปีละประมาณ 30 ล้านตัน ขณะที่อเมริกาส่งออกถั่วเหลือครึ่งหนึ่งของที่ผลิตได้ทั้งหมดของประเทศ โดย 62 เปอร์เซ็นต์ของยอดที่ส่งออกถูกส่งไปที่ประเทศจีน โดยถั่วเหลืองที่สหรัฐอเมริกาส่งออกมาจาก 10 รัฐ โดยที่ 8 ใน 10 รัฐเป็นรัฐที่ลงคะแนนเสียงให้กับทรัมป์

"ที่สำคัญคือพลังในภาคเกษตรแม้จะไม่ได้เป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่โตเมือเทียบกับภาคอื่นๆ แต่มีพลังทางการเมืองสูง ทรัมป์เองต้องพึงพาฐานคะแนนเสียงในส่วนนี้มาก นี่คือจุดอ่อน"

เรื่องต่อมาที่เป็นจุดอ่อนที่ใหญ่กว่าของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อจีนคือ เรื่องทางการเงิน สมภพ ระบุว่า ช่วงที่ทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแรก ดัชนีหุ้น  Dow Jones อยู่ที่ 18500 จุด วันที่ทรัปม์สาบานตน หุ้นพุ่งขึ้นที่ประมาณ 20000 จุด และในช่วงที่ทรัปม์ประกาศลดภาษีสำเร็จหุ้นทำ New Height ที่ 26000 จุด และเมื่อมีความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนในเรื่องสงครามการค้า ปรากฎว่า Dow Jones ล่วงมาที่ 23000 จุด หายไปประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์

จุดอ่อนตัวที่ 3 คือเรื่องตลาดพันธบัตรรัฐบาล สมภพ ระบุว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรทะลุ 3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เยอะมาก เพราะดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ที่ 1.5 เปอร์เซ็นต์ ความว่ามันขึ้นมาเกือบเท่าตัวหนึ่ง เมื่อมันเกิดสภาพแบบนี้แล้ว อเมริกาจะปล่อยไว้ไม่ได้ เพรามันจะเกิดการเก็งกำไรจากการกู้เงินระยะสั้นไปเก็งกำไรระยะยาว ฉะนั้นอเมริกาต้องพยายามหาทางปรับดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้นไป

 "แล้วคุณคิดดูสิว่า ตอนนี้ตลาดหุ้นมันสั่นคลอน ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว จากมาตรการที่ทำให้เกิดความขัดแย้งจนอาจจะกลายเป็นสงครามการค้า แล้วหากมีความปั่นป่วนของตลาดพันธบัตร ซึ่งถือพันธบัตรสหรัฐอยู่ที่ 1.2 ล้านดอลลาร์ ถ้าเกิดจีนปล่อยขายมาสักส่วนหนึ่ง หรือปล่อยข่าวว่าจะขายจะเกิดอะไร ราคาพันธบัตรมันก็จะยิ่งร่วง ดอกเบี้ยก็อาจจะพุ่งขึ้นไปที่ 4 เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดนี้เป็น 3 เรื่องที่ใหญ่มาและอาจจะทำให้การพูดคุยระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาง่ายขึ้น"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลนัดพิพากษาคดี 112 ทนายประเวศ 23 พ.ค.

Posted: 09 May 2018 03:17 AM PDT

แฟ้มภาพ เพจ Banrasdr Photo

9 พ.ค.2561 ศาลนัดพิพากษาคดี 112 ของประเวศ ประภานุกูล ในวันที่ 23 พ.ค.2561 เวลา 9.00 น. หลังจากสืบพยานเสร็จสิ้นในวันนี้

ทั้งนี้ การสืบพยานในคดีนี้มีเพียงพยานโจทก์ เนื่องจากจำเลยประกาศไม่ยอมรับกระบวนการของศาลยุติธรรม จึงไม่ตั้งทนายความและไม่ยื่นบันชีพยานจำเลย การสืบพยานเริ่มต้นเมื่อวาน (8 พ.ค.) จำนวน 2 ปาก และในวันนี้จำนวน 6 ปาก ประกอบด้วย ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ซึ่งเป็มทีมพนักงานสอบสวน พยานความเห็นซึ่งมีทั้งบุคคลทั่วไปและอาจารย์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

ภาวิณี ชุมศรี ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่ปรึกษาทางกฎหมายของจำเลย กล่าวว่า ในวันนี้ศาลมีความเข้มงวดในการพิจารณาคดีมากกว่าเมื่อวาน โดยมี รปภ.คอยดูแลบริเวณในและนอกห้องพิจารณาหลายคน มีป้ายติดหน้าประตูว่า "พิจารณาลับ" รวมทั้งไม่อนุญาตให้ผู้สังเกตการณ์คดีได้พูดคุยกับจำเลยในช่วงฟังสรุปรายงานกระบวนพิจารณาหลังการสืบพยานดังเช่นเมื่อวาน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รบ.ตั้งงบฯ 350 ล้าน สร้าง 1 พันกำลังคนไซเบอร์ หวังขึ้นแรงค์สากล รับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์

Posted: 09 May 2018 03:17 AM PDT

กก.เตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ จ่อเพิ่มกำลังคนไซเบอร์ 1 พันคนรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์โดยเฉพาะ ตั้งงบฯ 350 ล้าน หวังเข้าเวทีสากล ปรับอันดับ ให้อยู่ใน 20 อันดับต้นๆ ของโลก

พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ Cyber Security ครั้งที่ 1/2561 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล (ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล)

9 พ.ค.2561 ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า วันนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล พิเชฐ ดุรงคเวชโรจน์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แถลงผลการประชุมคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ครั้งแรก โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์แห่งชาติ โดยมุ่งเน้นการรักษาพื้นฐานสารสนเทศ 6 กลุ่ม 1. กลุ่มความมั่นคงและบริการภาครัฐที่สำคัญ 2. กลุ่มการเงิน 3. กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม

4. กลุ่มการขนส่งและโลจิสติกส์ 5. กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค และ 6. กลุ่มสาธารณสุข ด้วยการซ้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ รวมถึงจัดทำแผนปฏิบัติการรับมือ โดยได้เห็นชอบแนวทางปฏิบัติที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อดูแลสังคมและโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมกันนี้ ยังจัดตั้งหน่วยงานชั่วคราวที่จะดูแลความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในทันที โดยไม่ต้องรอให้กฎหมายผ่านการบังคับใช้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีในช่วงเวลานี้

พิเชฐ กล่าวต่อว่า นายกฯ ยังย้ำถึงการจัดตั้งศูนย์ความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาบุคลากรความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ว่า จะเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้รับความรู้และประสบการณ์ เพื่อยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรไทย โดยไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดตั้งศูนย์ และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือน มิ.ย.นี้ และไทยจะเพิ่มกำลังคนไซเบอร์ ด้วยการพัฒนาบุคลากรประมาณ 1 พันคน มาทำหน้าที่รับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์โดยเฉพาะ ซึ่งตั้งงบพัฒนาบุคลากรนี้ไว้ 350 ล้านบาท และคาดหวังว่าในการประเมินความพร้อมด้านความมั่นคงไซเบอร์ในเวทีสากล ไทยจะได้รับการปรับอันดับ ให้อยู่ใน 20 อันดับต้นๆ ของโลก

ขณะที่ blognone.com รายงานด้วยว่า สำนักข่าวกรองแห่งชาติประกาศรับสมัครนักการข่าวปฏิบัติการ ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ หรือตำแหน่งเดิมที่เคยประกาศรับสมัครตั้งแต่ปี 2015 10 ตำแหน่ง โดยปีนี้รับสมัครเพิ่มเติมถึง 40 ตำแหน่ง อัตราเงินเดือนรับสมัครยังคงอยู่ที่ 15,000-16,500 บาทเท่ากับเมื่อปี 2015 โดยระบุว่า "อาจ" ได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งพิเศษของผู้ปฎิบัติงานด้านการข่าวอีก 5,500 บาท
 
blognone.com ยังระบุด้วยว่า สามปีผ่านไป คุณสมบัติของผู้สมัครคล้ายเดิม แต่คัดข้อที่ระบุว่าพร้อมปฎิบัติหน้าที่ 24 ชั่วโมงออกไปแล้ว เปลี่ยนเป็นสามารถทำงานในภาวะที่กดดันแทน ส่วนรายละเอียดงานยังคล้ายเดิมคือการจัดทำข่าวกรอง การพัฒนาทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทดสอบเครือข่าย และดูแลความมั่นคงปลอดภัยเครือข่าย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดูชื่อพรรคที่ ‘เกรียนกว่า’ กับอารมณ์ขันการเมืองประชาธิปไตยในต่างประเทศ

Posted: 09 May 2018 02:33 AM PDT

จากกรณี กกต. ไม่ยอมรับจดจัดตั้งหลายพรรคการเมืองในไทยเพราะชื่อไม่เหมาะ ตามดูพรรคในต่างประเทศที่เกรียน แหวกแนวทั้งชื่อและนโยบาย ตั้งแต่หายารักษาแผลซอมบี้กัด จนถึงแทนขีปนาวุธด้วยส้อม ด้านบวก ลบ ของความฮาในพื้นที่การเมือง ชวนสงสัย การเมืองเคร่งเครียดของไทยจะพาเราไปทางไหน

ในวันที่พรรคการเมืองไทยกำลังจัดแจงตัวเองเข้าสู่สนามเลือกตั้งที่ไม่รู้อยู่ที่ไหนและเมื่อไหร่ พรรคการเมืองไทยหลายพรรคคงนอนก่ายหน้าผากกับยอดสมาชิกพรรคที่หายไปแบบมีนัยสำคัญ และเรื่องสมาชิกพรรคที่ถูก 'ดูด' ไปอยู่กับขั้วอำนาจที่เคลื่อนไหวได้แค่ขั้วเดียว แต่บางพรรคการเมืองกลับมีปัญหาตั้งแต่การตั้งชื่อ

พรรค 'คอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย' พรรค 'เห็นแก่ตัว' และ พรรค 'เกรียน' เป็นสามพรรคในปฐมบทเกมการเลือกตั้งภายใต้รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปฏิเสธไม่ให้จดจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองเนื่องจากความไม่เหมาะสมของชื่อพรรค ตามข้อบังคับในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560

สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้ก่อตั้งพรรคเกรียน ยื่นอุทธรณ์ต่อ กกต. ขอให้ตีความชื่อพรรคใหม่ ระบุว่าในต่างประเทศก็มีชื่อพรรคแปลกๆ จำนวนมาก ซึ่งถือเป็นวิวัฒนาการทางการเมือง และคำวินิจฉัยของนายทะเบียนที่ไม่รับจดแจ้งจัดตั้งพรรคเกรียนนั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

อุทธรณ์คำสั่ง กกต. ยัน 'เกรียน' เป็นชื่อพรรคถูกต้องตามกฏหมาย

กกต.สั่งไม่รับจดแจ้งพรรคคอมมิวนิสต์ฯ เหตุขัดรัฐธรรมนูญเนื่องจากไม่เป็นประชาธิปไตย

การปฏิเสธไม่ให้จดจัดตั้งเพราะชื่อพรรคไม่ใช่เรื่องใหม่ เมื่อปี 2552 เคยมีกลุ่มคนที่ขอจดในชื่อ "พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย" แต่ กกต.บางคนยืนกรานไม่ให้ผ่าน เนื่องจากเชื่อว่าชื่อนี้มีแนวคิดเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ภายหลังใช้ชื่อ "พรรคแนวร่วมสังคมประชาธิปไตย" จึงสำเร็จเมื่อ 29 ธ.ค. 2552

การเมืองของไทยที่มีพื้นที่ให้อารมณ์ขันและเสรีภาพการแสดงออกอัตลักษณ์ทางการเมืองได้น้อย แต่กลับมีพื้นที่ให้การรัฐประหารอยู่เรื่อยๆ เป็นความย้อนแย้ง สับสน และน่าจะเป็นต้นตอที่จะนำไปสังคมไทยไปสู่การกำหนดความหมายของพื้นที่ทางการเมืองร่วมกัน

ประชาไทจึงชวนดูพรรคการเมืองในต่างประเทศที่อยู่ในระดับเกรียนกว่าทั้งชื่อและนโยบาย ที่จะสะท้อนให้เห็นว่าการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เปิดพื้นที่ให้กับอุดมการณ์ที่หลากหลาย ข้อสังเกตเรื่องผลดีและผลเสียจากตลกการเมืองจากต่างประเทศ ชวนตั้งคำถามโครงสร้างการสถาปนาพรรคการเมืองของไทยที่เคร่งเครียดจนหาที่จะหัวเราะไม่ได้จะนำพาเราไปจุดไหน 

1. พรรคช่างแม่ม (Don't Give a Feck Party)

โปสเตอร์พรรคช่างแม่ม (ที่มา:Facebook/ Don't Give a Feck Party -Dave)

พรรคช่างแม่มถูกตั้งขึ้นมาในปี 2557 ลงแข่งขันในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นของประเทศไอร์แลนด์ ผู้ก่อตั้งมีนามว่า เดฟ คีฟนีย์ เจ้าของธุรกิจซักแห้งที่ติดโปสเตอร์หาเสียงเล่นๆ พร้อมสโลแกนว่า "ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทำอะไรให้คุณเลย...และสัญญาว่าจะ(ไม่ทำอะไรให้คุณ)อย่างดีที่สุด" แต่หลังจากลูกค้ายุส่ง เดฟก็ตั้งเพจเฟสบุ๊คและลงรับเลือกตั้งท้องถิ่น โดยชูนโยบายหลอกๆ ให้คนขำกัน เช่น ยิงสุนัขที่อุจจาระตามท้องถนน หรือคืนไอร์แลนด์ให้กับอังกฤษ พร้อมทั้งขอโทษอังกฤษสำหรับสภาพประเทศที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ เดฟกล่าวกับสื่อ ไอริชเอกแซไมเนอร์ว่า เขาอยากให้ในพื้นที่มีงานให้ทำมากขึ้น และอยากให้มีธุรกิจขนาดเล็กมาเปิดกิจการเพื่อให้เกิดการจ้างงาน

2. พรรคซีเรียสแบบเอาเป็นเอาตาย (Deadly Serious Party)

พรรคกำเนิดขึ้นในทศวรรษ 2520 ที่ประเทศออสเตรเลีย แม้ชื่อพรรคจะจริงจังขนาดไหนแต่วัตถุประสงค์การตั้งพรรคก็ทำเพื่อความขำขันและล้อเลียนผู้สมัครลงเลือกตั้งคนอื่นเท่านั้น ทางพรรคมีนโยบายส่งกองทัพเพนกวินนักฆ่าไปสู้กับการรุกรานของอาร์เจนตินา อย่างไรก็ตาม พรรคซีเรียสแบบเอาเป็นเอาตายได้ปิดลงในปี 2531 เนื่องจากมีสมาชิกพรรคไม่ครบ 500 คน ตามที่กฎหมายกำหนด

3. พรรคสัตว์ประหลาดร่าเริง (Monster Raving Loony Party)

งานเลี้ยงการเลือกตั้งของพรรคสัตว์ประหลาดร่าเริง ตรงกลางคือ อลัน โฮป หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน (ที่มา: loonyparty.com)

พรรคที่เป็นสีสันของการเมืองสหราชอาณาจักรตั้งแต่ปี 2526 ปัจจุบันนี้ก็ยังคงดำเนินการอยู่! ผู้ก่อตั้งพรรคเอาฮาที่เก่าแก่ที่สุดในสหราชอาณาจักรคือนักดนตรีชื่อ เดวิด ซัทช์ ทุกวันนี้มีอลัน โฮป เป็นหัวหน้าพรรค นโยบายในปี 2530 ได้แก่การเปลี่ยนประเทศเป็นสวนสนุกและสร้างการจ้างงานจำนวน 8 ล้านตำแหน่ง การจ้างงานอดีตนักการเมืองให้ทำงานเป็นบริกรเพื่อประชาชนจะได้ปาขนมปังใส่ได้

ในปี 2560 พรรคชื่อยียวนนี้ประกาศนโยบายในศึกเลือกตั้งปีที่แล้วไว้หลายประการ เช่น ลดจำนวนตัวอักษรภาษาอังกฤษเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัดเข็มขัดของรัฐที่ลดการใช้จ่ายหลายประการลง โดยจะตัดตัวอักษร N H และ S สานนโยบายจากปี 2526 ลดเกณฑ์ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเหลือ 16 ปี นโยบายกลาโหมของพรรคจะเปลี่ยนขีปนาวุธรุ่น Trident เป็นส้อมแบบสามแฉก เป็นต้น

นอร์แมน เดวิดสัน ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคในปี 2557 กล่าวกับสื่อเทเลกราฟว่า พรรคสัตว์ประหลาดร่าเริงมีความสำคัญอย่างมากในกระบวนการประชาธิปไตย เพราะการมีอยู่ของพรรคเปิดช่องให้ประชาชนโหวตพรรคที่ไม่มีโอกาสชนะ โดยถือการลงคะแนนเสียงเช่นว่าเป็นการเข้าคูหาไปประท้วง

4. พรรคโดนัลด์ ดั๊ค

พรรคการเมืองอิงตัวการ์ตูนเป็ดของวอลท์ ดิสนีย์ ถือกำเนิดในประเทศสวีเดน ตลอดเวลา 20 ปีที่ผ่านมา พรรคโดนัลด์ดัคได้รับเสียงโหวตในการเลือกตั้งระดับชาติอยู่เรื่อยๆ จากกลุ่มผู้ออกเสียงที่เข้าคูหาเพื่อประท้วงและโหวตเอาฮา สำนักข่าวเอบีซีระบุว่า จำนวนคะแนนเสียงที่โหวตให้พรรคเจ้าเป็ดเป็นองค์กรการเมืองที่เป็นที่นิยมมากที่สุดอันดับ 9 ของสวีเดน โดยในปี 2528 พรรคนี้ได้รับคะแนนเสียงถึง 291 เสียง โหวตให้กับเจ้าโดนัลด์ดัค มากกว่านักการเมืองตัวจริงเสียงจริงบางคนเสียอีก

ทั้งนี้ ในปี 2549 กฎการเลือกตั้งของสวีเดนเปลี่ยนไป ไม่ให้ผู้ลงคะแนนเสียงโหวตให้กับผู้สมัครที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง

5. พรรคตั๋วรถบัสเอลวิส

พรรคที่ตั้งชื่อตามตำนานร็อคสตาร์ชื่อดังอุบัติขึ้นที่สหราชอาณาจักร ในปี 2557 เดวิด ลอว์เรนซ์ บิชอป ชายชราวัยเกษียณที่คอสเพลย์เป็นเอลวิส เพรสลีย์ ลงสมัครภายใต้สังกัดพรรคเอลวิสในเขตคลิฟตันนอร์ธ เมืองนอตติงแฮมและได้รับคะแนนเสียงโหวตถึง 67 เสียง มากกว่าพรรคเสรีนิยมประชาธิปไตยที่ได้ 56 เสียง

พรรคตั๋วรถบัสเอลวิสลงเลือกตั้งในปี 2557 พร้อมนโยบายเพิ่มความเข้มงวดให้กับการเป็นเจ้าของอาวุธปืน หยุดยั้งการสร้างรถไฟเพิ่มบนเส้นทางของเมือง

เดวิดกล่าวกับสำนักข่าวบีบีซีว่า เขาต้องการเป็นปากเสียงให้คนสูงอายุในชุมชน และคิดว่าการตั้งชื่ออิงกับตำนานศิลปินร็อคนั้นเหมาะสมแล้วกับแฟนเพลงสูงอายุ รวมถึงทำให้ธุรกิจซ่องโสเภณีถูกกฎหมาย พร้อมกับให้ส่วนลดกับลูกค้าถึงร้อยละ 30 อีกด้วย

"ถ้าเอลวิสยังมีชีวิตอยู่ เขาก็คงใช้ชีวิตกับตั๋วรถบัส แฟนเพลงของเอลวิสส่วนใหญ่เองก็คงอยู่ในวัยเกษียณแล้วเช่นกัน ผมก็เลยคิดว่าชื่อนี้ก็ดี" เดวิดกล่าว

6. พรรคประชาชนเพื่อสิทธิและความเท่าเทียมของเหล่าภูติผี (The Citizens for Undead Rights and Equality Party - CURE)

เป็นพรรคในสหราชอาณาจักรที่ส่งผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งจำนวน 4 คนในปี 2553 ได้คะแนนเสียงรวมทั้งหมด 317 เสียง โดยมีนโยบายหาทางรักษาการถูกซอมบี้กัด เพิ่มอายุเกษียณหลังความตาย

7. พรรคชาวโปแลนด์ผู้รักเบียร์ (Polish Beer-Lovers' Party)

ก่อตั้งขึ้นในโปแลนด์เมื่อปี 2533 และได้ที่นั่งในรัฐสภาถึง 16 ที่ในปี 2534 พรรคที่ตั้งเอาฮาเกิดจากการนั่งพูดคุยกันเรื่องการเมืองอย่างออกรสออกชาติในผับพร้อมกับเบียร์อร่อยๆ ในปี 2535 พรรคคนรักเบียร์แตกออกเป็นสองพรรค ได้แก่พรรคเบียร์ขวดเล็ก และพรรคเบียร์ขวดใหญ่ จากนั้นก็แยกย้ายไปสนับสนุนพรรคการเมืองหลักพรรคอื่น

การเมืองโลกในยุคของการล้อเลียน แต่โครงสร้างรัฐไทยยังไม่ฮา?

เมื่อปี 2560 แอนน์ แอปเปิลบาวม์ คอลัมนิสต์จากสำนักข่าวเดอะวอชิงตันโพสท์ เขียนบทความในวอชิงตันโพสท์ว่า ยุคนี้เป็นยุคทองของการล้อเลียน ไม่เคยมียุคไหนที่นวัตกรรมความฮาไม่ว่าจะเป็นมีม (Memes), มุกตลก ภาพเคลื่อนไหวสั้นๆ แบบ GIFs และการ์ตูนต่างๆ ถูกรับและส่งต่อได้อย่างง่ายดาย และทุกคนเป็นเหยื่อของการล้อเลียนได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีชีวิตอยู่ แม้แต่การส่งต่ออารมณ์ขันในทางการเมืองก็วิวัฒนาการจากการกำเนิดพรรคสัตว์ประหลาดร่าเริงมาไกลแล้ว

บทความกล่าวต่อไปว่า แม้ยังไม่มีการศึกษาผลในทางจิตวิทยามากนัก และยังไม่รู้ว่ายุคที่มนุษย์ถูกรายล้อมด้วยการล้อเลียนตลอดเวลาจะนำพาพวกเราไปยังจุดไหน แต่สิ่งที่เห็นก็คือโลกอินเทอร์เน็ตที่ทำให้การฉ้อโกง การคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่ชวนขำได้ เยาะเย้ยเจตนาที่ดี รวมไปถึงการจิกกัดแนวคิดอุดมคตินิยมทุกแบบนั้นเบนความสนใจของผู้คนออกไปจากเรื่องที่สำคัญ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้ผู้คนไม่เป็นบ้ากันไปหมดเสียก่อน

ในปีเดียวกัน เดวิด ชาน ผู้อำนวยการสถาบันพฤติกรรมศาสตร์ ศาสตราจารย์คณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ ประเทศสิงคโปร์ เขียนบทความในสำนักข่าวสเตรทไทม์ ของสิงคโปร์เกี่ยวกับอารมณ์ขันในการเมืองว่าเป็นอารมณ์ขันที่เกิดจากตลกด้านสังคมการเมือง โดยตัวแสดงทางการเมืองมักตกเป็นเป้าเมื่อเข้าสู่ฤดูเลือกตั้ง หรือเมื่อมีข่าวฉาวเกิดขึ้น

บทความของเดวิดระบุว่า มุกตลกทางสังคมการเมืองนั้น บ่อยครั้งไม่มีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์และบางครั้งก็สะท้อนภาวะขาดความเข้าใจ แต่มุกตลกก็ช่วยคลายความตึงเครียด ความโมโหโกรธาที่มีต่อปัญหาลงได้บ้างชั่วครู่ โดยมีผลในด้านชีววิทยา การหลั่งฮอร์โมนสร้างความสุขหรือเอ็นโดรฟิน นอกจากนั้นยังมีผลในด้านจิตวิทยาสังคม เพราะมุกตลกกลายเป็นสื่อที่นำคนมาอยู่รวมกัน สร้างสายสัมพันธ์กันมากขึ้น รวมถึงทำให้เกิดแรงสนับสนุนกันภายในสังคม ทั้งยังมีผลให้เกิดแง่มุมในการพิจารณาสถานการณ์ที่ตึงเครียดจากมุมมองใหม่ๆ

ทั้งนี้ ศาสตราจารย์คณะจิตวิทยายังเขียนว่า มุกตลกที่ประกอบด้วยใจความที่เหยียด หรือโจมตีประเด็นที่อ่อนไหว เช่นเรื่องเชื้อชาติหรือศาสนาก็สามารถทำให้เกิดภาวะแตกสามัคคีไปจนถึงการสูญเสียชีวิตได้ การใช้มุกตลกในแบบเดียวกันกับการใช้ข่าวปลอม (Fake news) อาจจะตลก แต่ก็อาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้ เดวิดจึงมีข้อแนะนำสามข้อเรื่องการสร้างและใช้มุกตลก ดังนี้

  • ใช้อารมณ์ขัน ไม่ใช่การเหยียดหยาม (use humour but do not humiliate)
  • สร้างเรื่องเล่า ไม่ใช่กุเรื่องจริง (fictionalise but do not fabricate)
  • ประณาม ไม่ใช่ทำลายชื่อเสียง (denounce but do not defame)

"การขาดอารมณ์ขันไม่ได้ทำให้เราเป็นคนน่าเบื่ออย่างเดียว แต่อาจหมายถึงการเพิกเฉยต่อกลไกสำคัญในการรับมือกับความเครียดและสถานการณ์ที่เป็นลบ"

"แต่ถ้าอารมณ์ขันที่เหยียดแบบไม่เลือกหน้ามีเยอะ และวิจารณญาณมีน้อย มันก็ไม่ตลกอีกต่อไป อารมณ์ขันที่เป็นอันตรายหมายความว่า ในท้ายที่สุดพวกเราไม่ใช่ตัวตลก แต่เป็นพวกขี้แพ้" เดวิดกล่าว

เราเห็นการล้อเลียนการเมือง การใช้เหตุการณ์ทางการเมืองเป็นวัตถุดิบในการสร้างเรื่องตลกบนโซเชียลมีเดียของไทยมากขึ้น แต่อารมณ์ขันจะถูกสถาปนาโครงสร้างรัฐเมื่อใด คงเป็นคำถามที่ต้องคุยกันยาวนานกว่าการสถาปนาประชาธิปไตยและการเมืองแบบเลือกตั้งที่จะไม่ถูกรัฐประหารซ้ำซากซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะหน้ากว่า

ท่าทีจริงจังกับชื่อของพรรคการเมืองของ กกต. ในเวลาที่กลุ่มชื่อ 'คณะรักษาความสงบแห่งชาติ' ลั่นดาล ใส่กุญแจล็อกระบอบประชาธิปไตยไว้ 4 ปี และในเวลาเดียวกัน ผู้นำรัฐบาลทหารกลับไปไหนมาไหนก็ได้ พบใครก็ได้ ออกนโนบายและใช้เงินภาษีประชาชนได้มหาศาลได้คงเป็นเรื่องตลกร้ายที่ไม่รู้จะขำท่าไหน

แปลและเรียบเรียง

The Most Outrageous Political Parties You Won't Believe Are Real, Ranker

Bus Pass Elvis Party beats Lib Dems in election, BBC, Mar. 7, 2014

Monster Raving Loony party: Ukip 'stealing our thunder', The Telegraph, Oct. 27, 2014

A candidate from the 'Don't Give A Feck' Party is running in the Meath East local elections, Dailyedge, Apr., 2014

Vote Dave and Don't Give A Feck, Irish Examiner, Apr. 14, 2014

David Chan, Jokes about politics: The good, the bad and the ugly, The Straits Times, Aug.19, 2017

Anne Applebaum, Politics is a joke, and that might be what's keeping us sane, The Washington Post, Jun. 2, 2017

ข้อมูลเพิ่มเติม

http://countrystudies.us/poland/85.htm

https://www.loonyparty.com

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสทช. สั่งปิด 'PEACE TV' 30 วัน (อีกแล้ว) อ้างเนื้อหาสร้างความแตกแยก

Posted: 09 May 2018 02:20 AM PDT

กสทช. มีมติให้พักใช้ใบอนุญาตช่อง PEACE TV เป็นเวลา 30 วัน ระบุมีเนื้อหารายการอันเป็นการส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร และยังเป็นการนำเสนอที่ขัดต่อคำสั่งศาลปกครอง

9 พ.ค.2561 รายงานข่าวระบุว่า ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) กล่าวว่า วันนี้ (9 พ.ค. 2561) ที่ประชุม กสทช. มีมติให้พักใช้ใบอนุญาตช่อง PEACE TV โดยอาศัยอำนาจตาม ข้อ 19 ของ ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้บริการกระจายเสียงและโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 เป็นเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับคำสั่ง และหากยังคงฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวอยู่อีก จะใช้มาตรการทางปกครองที่สูงขึ้นต่อไป  ทั้งนี้เนื่องจาก การออกอากาศรายการ เดินหน้าต่อไป เมื่อวันที่ 26, 27 มี.ค. และวันที่ 5 เม.ย. 2561 เวลา 14.30-15.30 น. โดยประมาณ รายการ หยิบข่าวมาคุย เมื่อวันที่ 27 มี.ค. และวันที่ 9 เม.ย. 2561 เวลา 10.30-12.00 โดยประมาณ รายการ เหลียวหลังแลไปข้างหน้า เมื่อวันที่ 26, 27 มี.ค. และวันที่ 9 เม.ย. 2561 เวลา 17.00-18.00 น. โดยประมาณ รายการ เข้าใจตรงกันนะ เมื่อวันที่ 27 มี.ค. เวลา 18.20-19.20 น. โดยประมาณ ทางช่องรายการโทรทัศน์ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ ช่อง PEACE TV มีเนื้อหารายการอันเป็นการส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร และยังเป็นการนำเสนอที่ขัดต่อคำสั่งศาลปกครอง ที่มีคำสั่งให้บริษัท พีซ เทเลวิชั่น จำกัด ปฏิบัติตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 97/2557 ลงวันที่ 18 ก.ค. 2557 และฉบับที่ 103/2557 ลงวันที่ 21 ก.ค. 2557 ซึ่งพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำผิดซ้ำซาก

การออกอากาศรายการดังกล่าวทั้งหมด เป็นการขัดต่อประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 97/2557 ลงวันที่ 18 ก.ค. 2557 เรื่อง การให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 103/2557 ลงวันที่ 21 ก.ค. 2557 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 97/2557 อันเป็นการขัดต่อข้อกำหนดในบันทึกข้อตกลง ลงวันที่ 26 ส.ค. 2557 ระหว่างสำนักงาน กสทช. และบริษัท พีซ เทเลวิชั่น จำกัด ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ช่อง PEACE TV ซึ่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษความสงบแห่งชาติ ที่ 41/2559 ลงวันที่ 13 ก.ค. 2559 ถือว่าเนื้อหาดังกล่าวเป็นการออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามมาตรา 37 ประกอบมาตรา 63 และมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ. ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมาในเวทีเสวนา "ปลดคำสั่ง 0.4 เดินหน้าเสรีภาพประชาชน" ซึ่งจัดขึ้น เนื่องใน "วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก" ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความและหัวหน้าฝ่ายข้อมูล ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวไว้ด้วยว่า มีประกาศคำสั่งหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการที่ คสช. ออกมาควบคุมสื่อ สื่อเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบ หลังรัฐประหารก็มีการห้ามสื่อออกอากาศ จากสถิติของ ILaw  ในช่วง 4 ปี คสช. โดย กสทช. ควบคุมสื่อโดยการลงโทษ 52 ครั้ง สื่อที่ถูกลงโทษมากที่สุดคือ วอยซ์ทีวี รองลงมาคือ พีซทีวี โดยทั้งหมดมี 34 ครั้ง ที่ลงโทษเกี่ยวกับการฝ่าฝืนประกาศของ คสช. ซึ่งมีฉบับหลักๆ คือ 97/2557, 103/2557 และคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 41/2559 แม้ว่าประกาศที่ 97/2557 จะควบคุมสื่อไม่ให้เผยแพร่เนื้อหาที่กระทบหรือวิพากษ์วิจารณ์ คสช. โดยไม่สุจริต และเป็นประกาศฉบับหลักที่ใช้ควบคุมสื่อ  แต่คำสั่งที่ 41/2559 เป็นการยื่นดาบให้ กสทช. อีกชั้นหนึ่ง ถ้า กสทช.เห็นว่าเนื้อหารายการไหนเข้าข่ายฝ่าฝืน ฉบับที่ 97/2557 และ 103/2557 ถือว่าผิดมาตรา 37 ของ กสทช. ทันที ซึ่งหาก ให้อำนาจของ กสทช. อย่างเดียวจะมีศาลปกครองช่วยดูว่าชอบด้วยกฎหมายแล้วหรือไม่ ถ้าเราจำได้ คำสั่งที่ 41/2559  ออกมาตอนที่พีซทีวีมีการฟ้อง และศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว การออกคำสั่งฉบับนี้มาทำให้ตัดอำนาจศาลปกครองออกไปในการตรวจสอบสื่อขึ้นมาทันที

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บอร์ด สปสช.เห็นชอบจัดทำแผนจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ปี 62 ให้ ปชช.เข้าถึงการรักษาต่อเนื่อง

Posted: 09 May 2018 01:56 AM PDT

บอร์ด สปสช.รับทราบความก้าวหน้า จัดซื้อยา เวชภัณฑ์ฯ ปี 61 หลัง รพ.ราชวิถี อภ.และ สปสช. เร่งประสานดำเนินงานต่อเนื่อง พร้อมเตรียมจัดทำแผนประมาณการความต้องการจัดหายา เวชภัณฑ์ในปี 62 เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาและบริการสาธารณสุขต่อเนื่อง  

แฟ้มภาพ

9 พ.ค. 2561 รายงานข่าวแจ้งว่า ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)  นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยที่ประชุมได้รับทราบ ความก้าวหน้าการดำเนินการด้านยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2561

นพ.จักรกริช โง้วศิริ ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ในวันนี้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการด้านยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2561 โดยการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการจัดหายา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ฯ ซึ่งมี นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ในเรื่องผลการดำเนินการจัดหายา จากรายการยาทั้งหมด 111 รายการ มีรายการที่ยังรอการจัดหา 2 รายการ คือ ยาต้านพิษโบทูลินัม แอนตีท็อกซิน (botulinum antitoxin) และวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก HPV ขณะที่ยาใหม่ 7 รายการสามารถจัดหายาและส่งมอบได้แล้วเมื่อวันที่23 เม.ย.61

ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อว่า สำหรับแนวทางจัดหายาและเวชภัณฑ์ในปี 2562 นั้น คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เห็นชอบให้ดำเนินการจัดหายาฯ เช่นเดียวกับปีงบประมาณ 2561 คือดำเนินการภายใต้คณะอนุกรรมการจัดทำแผนความต้องการยาฯ ซึ่งจัดหาโดยเครือข่ายหน่วยบริการ รพ.ราชวิถี อย่างน้อย 2 ปี หรือจนกว่าจะมีข้อกฎหมายหรือนโยบายเปลี่ยนแปลง และให้กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนการดำเนินการของเครือข่ายหน่วยบริการ รพ.ราชวิถี เนื่องจากการจัดหายาในระดับประเทศ (Central Procurement) เป็นการจัดหาที่ประกันการเข้าถึงยาของผู้ป่วยและมีผลทำให้สามารถคุมภาระงบประมาณได้

นพ.จักรกริช กล่าวว่า ในส่วนของรายการยาที่จะจัดหานั้น ให้คงรายการยาเหมือนปี 61 และจัดทำแผนประมาณการความต้องการจัดหายาฯ ของปีงบประมาณ 2562 เพื่อนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ ในเดือนพฤษภาคม 2561 เพื่อจัดหายาให้ทันในปีงบประมาณ 2562

"ในช่วงที่ผ่านมา รพ.ราชวิถี, อภ.และ สปสช.ได้ประสานความร่วมมือมาอย่างต่อเนื่อง ในการดำเนินงานเพื่อจัดหา จัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยทั่วประเทศเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพและมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุด โดยกรณีที่มีอุปสรรคปัญหาใดๆ เกิดขึ้นได้มีการเร่งดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาโดยเร็วเพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ป่วย" ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วางหลักประกัน 5 ล้าน ศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว 'วัฒนา' คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร

Posted: 09 May 2018 01:43 AM PDT

วัฒนา เผยศาลอนุญาตให้ตนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดยมีหลักประกันจำนวน 5 ล้าน ในคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร ชี้คดีง่ายๆ ที่มิได้ซับซ้อนแต่ต้องใช้เวลาไต่สวนถึง 12 ปี สองรัฐประหารจึงฟ้องตนได้
แฟ้มภาพประชาไท
 
9 พ.ค.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วัฒนา เมืองสุข อายุ 60 ปี อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยุครัฐบาลทักษิณ 2 และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คว่า ตนได้รับแจ้งจากทนายว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อนุญาตให้ตนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดยมีหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท ทนายได้เสนอหลักประกันต่อศาลและเจ้าหน้าที่ได้ให้ตนลงนามในสัญญาประกันตัวแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือรอคำสั่งอนุญาตจากนั้นจะออกจากศาลเพื่อไปเตะบอลกับน้องๆ ตามที่นัดไว้ ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจ
 
โดยก่อนหน้านั้น กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า ที่ห้องประชุม 501 สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ วัฒนา พร้อมด้วย นรินทร์พงศ์ จินาภักดิ์ ที่ปรึกษากฎหมาย เดินทางมารายงานตัวต่อคณะทำงานอัยการคดีปราบปรามทุจริต 2 ตามที่นัดเพื่อส่งตัวพร้อมสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช.ฟ้องคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยมี โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้ประสานพาตัวผู้ถูกกล่าวหาที่เดินทางมาถึงเข้าพบคณะทำงาน ซึ่งอัยการแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหา 19 ราย มาพบเพื่อฟังคำสั่ง ขณะที่มีผู้ถูกกล่าวหา 9 ราย แจ้งจะเดินทางมาในวันนี้ โดยตั้งแต่ช่วงเช้ามีผู้ถูกกล่าวหาทยอยเดินทางเข้ามา จนถึงเวลา 10.20 น. ยังเดินทางมาไม่ครบทั้ง 9 ราย
 
วัฒนา หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา เปิดเผยว่า วันนี้มารายงานตัวกับอัยการตามที่นัดหมาย เมื่อพบแล้วจะพาไปที่ศาลฎีกาฯ เพื่อฟ้องคดี ตามขั้นตอนตนก็ต้องขอประกันตัว ส่วนจะต้องใช้หลักทรัพย์เท่าไหร่ไม่ทราบล่วงหน้า แต่ที่เคยขอประกันตัวในคดีเก่าๆ เคยโดนเรียก 2 ล้านบาท ส่วนการสู้คดีคาดว่ากว่าจะเริ่มสืบพยานคงไม่เร็วไปกว่าช่วงสิ้นปี ตนพร้อมอยู่แล้ว ประเด็นง่ายๆ ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน คดีนี้เริ่มจากการรัฐประหาร เป็นเรื่องที่ถูกขู่มาก่อนจะโดนข้อหาอื่นๆ ปี 2558 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ก็ขู่ หลังจากนั้นก็ไปถูกชกที่สนามบอล ถูกอุ้มเข้าค่าย ถูกดำเนินคดีที่ศาลทหาร ถูกตั้งข้อหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ผิดปกติ ตนยินดีด้วยที่คดีมาถึง เพราะอยู่ที่ ป.ป.ช.นานเกินไปตั้ง 10 กว่าปี จะได้จบ ที่กวนๆ เพราะอยากบี้ให้มาซะที
 
วัฒนา โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คเมื่อคืนที่ผ่านมาด้วยว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่ตนถูกฟ้องคือบ้านเอื้ออาทรซึ่งเป็นคดีที่เกิดจากคำสั่งของคณะรัฐประหารเมื่อปี 2549 เป็นคดีง่ายๆ ที่มิได้มีความสลับซับซ้อนแต่ต้องใช้เวลาไต่สวนถึง 12 ปี สองรัฐประหารจึงฟ้องตนได้ โดย ป.ป.ช. ชุดที่มีปัญหาขาดคุณสมบัติแต่ได้รับการต่ออายุโดยองค์กรที่ คสช. แต่งตั้งเป็นผู้สรุปสำนวนส่งให้อัยการฟ้องคดีตน
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฎีกาสั่งถอนสิทธิบัตรผลิตยาความดันโลหิตสูง-หัวใจ หลังต่อสู้กว่า 7 ปี ชี้วิธีผลิตไม่ใช่วิธีใหม่

Posted: 09 May 2018 12:06 AM PDT

นายกสภาเภสัชกรรม เผย ศาลฎีกาชี้ขาด สั่งถอนสิทธิบัตรการผลิตยา "ยาโรคความดันโลหิตสูง-โรคหัวใจ" แล้ว หลังต่อสู้เป็นคดีความยาวนาน 7 ปี เหตุข้อมูลวิธีการผลิตชัดเจนว่าไม่ใช่วิธีใหม่ เป็นเพียงการยื่นคุ้มครองกระบวนการผลิตยาเม็ดทั่วไปเท่านั้น ผลการตัดสินครั้งนี้ส่งผลต่อทั่วโลก เชื่อนานาประเทศจะยกการฟ้องของไทยเป็นกรณีตัวอย่างเพื่อการขอถอนสิทธิบัตรยานี้ได้ พร้อมระบุกรณีนี้สะท้อนถึงความเอารัดเอาเปรียบของบริษัทยา ใช้ช่องโหว่การจดสิทธิบัตรยาในสหรัฐฯ เป็นเครื่องมือ

ภก.นิลสุวรรณ ลีลารัศมี นายกสภาเภสัชกรรม

9 พ.ค.2561 รายงานข่าวแจ้งว่า ภก.นิลสุวรรณ ลีลารัศมี นายกสภาเภสัชกรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาได้ตัดสินชี้ขาดให้ถอนรายการยาวาลซาร์แทน (Valsartan) ออกจากการขึ้นทะเบียนสิทธิบัตรยาของประเทศไทย ภายหลังจากที่ได้มีการต่อสู้ยาวนานมากว่า 7 ปี โดยยานี้เป็นยาเพื่อใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงและป้องกันหัวใจล้มเหลว เป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีมาก ซึ่งในอดีตเมื่อบริษัทยาได้คิดค้นยานี้แล้ว ได้ทำการจดสิทธิบัตรตัวยาและจดสิทธิบัตรกรรมวิธีการผลิตเป็นยาเม็ดที่สหรัฐอเมริกา และได้รับการคุ้มครองไปทั่วโลกเป็นเวลายาวนานถึง 20 ปี โดยที่การจดสิทธิบัตรกรรมวิธีการผลิตเป็นยาเม็ดเป็นการจดเพิ่มเติมอีก 1 ฉบับ ทั้งนี้บริษัทยาในประเทศไทยได้มีการผลิตยาวาลซาร์แทน ภายหลังจากที่สิทธิบัตรคุ้มครองตัวยาหมดอายุลง ทำให้สามารถผลิตเป็นยาสามัญออกมาแข่งขันได้ แต่กลับถูกบริษัทยาข้ามชาติฟ้องร้องว่าเป็นการทำละเมิดสิทธิบัตรกรรมวิธีการผลิตยา (ฉบับที่ 2) ทำให้มีการต่อสู้คดีกัน

ทั้งนี้ในการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นพิจารณาว่า การผลิตยาสามัญวาลซาร์แทนไม่ได้เป็นการละเมิด เพราะการจดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ จะใช้วิธีประกาศและให้มีการคัดค้าน ซึ่งหากไม่มีผู้ใดมาคัดค้านผู้ยื่นขอจดก็จะได้สิทธิบัตรคุ้มครองไป ดังนั้นกฎหมายสิทธิบัตรในสหรัฐฯ จึงเปิดช่องให้มีการคัดค้านและสามารถยกเลิกสิทธิบัตรที่ยื่นจดได้หากพิสูจน์ได้ในภายหลังได้ว่าไม่ได้เป็นสิ่งใหม่จริง

"ศาลฎีกาได้ใช้กระบวนการพิจารณาทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องนี้ตามมาตรฐานสากล โดยใช้ข้อเท็จจริงว่า กระบวนการผลิตยาเม็ดที่ถูกนำไปจดสิทธิบัตรคุ้มครองนั้น เป็นกระบวนการผลิตที่มีสอนเป็นปกติให้กับนักศึกษาของคณะเภสัชศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่มีอะไรใหม่ ทุกคนที่มีความรู้ทางเภสัชกรรมก็สามารถทำได้ ไม่ควรได้สิทธิบัตรคุ้มครอง จึงขอให้ศาลฎีกาพิจารณายกเลิกการจดสิทธิบัตรฉบับนี้" นายกสภาเภสัชกรรม กล่าวและว่า นับเป็นเรื่องน่าดีใจที่คนไทยได้ลุกขึ้นสู้ฟ้องร้องจนชนะคดีในศาลฎีกาได้ และนับเป็นครั้งแรกที่เราชนะในการต่อสู้การผูกขาดสิทธิบัตรยาที่มีมาโดยตลอด

ภก.นิลสุวรรณ กล่าวว่า วันนี้เราชนะคดีด้วยความใสสะอาด การที่บริษัทยาทำเช่นนี้เป็นการนำกระบวนการสิทธิบัตรมาเบียดเบียนเอาเปรียบคนอื่น ถือเป็นสิ่งผิดจริยธรรม เพราะการที่บริษัทยาในประเทศไม่สามารถผลิตยาสามัญนี้ได้หลังอายุสิทธิบัตรยาฉบับแรกสิ้นสุดลง ทำให้ประเทศต้องสูญเสียงบประมาณในการจัดซื้อยานี้ในราคาที่สูงเพื่อใช้รักษาผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ซึ่งแต่ละปีมีผู้ป่วยที่ต้องใช้ยานี้จำนวนมาก ขณะเดียวกัน การฟ้องร้องนี้ได้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของบริษัทยาสามัญของไทย ทำให้ยอดขายบริษัทลดลงจนต้องขายกิจการให้กับบริษัทยาข้ามชาติประเทศเม็กซิโกไปในที่สุด

จากผลการตัดสินของศาลฏีกาที่ให้ถอนสิทธิบัตรกรรมวิธีการผลิตยาวาลซาร์แทน จะส่งผลให้ทุกประเทศนำกรณีของประเทศไทยไปเป็นตัวอย่างในการฟ้องศาลเพื่อให้ถอนสิทธิบัตรกรรมวิธีการผลิตยาวาลซาร์แทนในประเทศของตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่การยกเลิกใช้สิทธิบัตรยานี้ทั่วโลก ทั้งนี้ที่ผ่านมาเราถูกบริษัทยาเอาเปรียบไปทั่วโลก ไม่แต่เฉพาะประเทศไทย โดยบริษัทยาได้ใช้ช่องโหว่กระบวนการจดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ ที่บังเอิญหลุดรอดจากการคัดค้านความไม่ใหม่ของกรรมวิธีการผลิตยาเม็ด มาเอารัดเอาเปรียบ ขณะที่ในส่วนของประเทศไทยนั้น เมื่อยาใดหมดอายุการคุ้มครองลง บริษัทยาในประเทศก็จะสามารถผลิตเป็นยาสามัญมาแข่งขันได้ ทำให้ราคายาไม่ถูกผูกขาดอีกต่อไป ส่งผลให้การใช้ยาวาลซาร์แทน ในระบบหลักประกันสุขภาพมีราคาลดลงเช่นกัน เป็นการช่วยลดต้นทุนในการรักษาผู้ป่วย ขณะเดียวกันผลการตัดสินในครั้งนี้ยังนับเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาในอนาคตต่อไป

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น