โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

เพื่อน 'เนติวิทย์-ธนวัฒน์' ถูกกลุ่มชายคล้ายเจ้าหน้าที่บุกจุฬาฯ กลางดึก ถามหาทั้งคู่อยู่ที่ไหน?

Posted: 08 May 2018 11:43 AM PDT

"พักอยู่หออะไร?" ประธานสภานิสิตจุฬาฯ เผยเพื่อนถูกกลุ่มชายคล้ายเจ้าหน้าที่เข้ามาถามในมหา'ลัย ยามวิกาล พร้อมถามด้ยท่าทีคุกความว่า ตนพักอยู่ที่ไหน ระบุโดยครั้งที่ 3 แล้วหลังชูป้ายใส่ประยุทธ์ เตรียมลงบันทึกประจำวันพรุ่งนี้
 
8 พ.ค.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนวัฒน์ วงค์ไชย ประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวในลักษณะสาธารณะว่า เมื่อประมาณ 22.00 น.ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบได้ขับรถเก๋ง สีบรอนซ์ กระจกฟิลม์ดำสนิท ทั้งคนขับและคนนั่งข้างคนขับใส่หมวกแก๊ปปิดบังใบหน้าไว้ตลอดเวลา ได้เข้ามาในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วสอบถามนิสิตในบริเวณนั้นว่าตนกับ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล อยู่ที่ไหนและพักอยู่หออะไร โดยมีท่าทีคุกคามและต้องการเข้าถึงตัวเพื่อนของตนอีกด้วย แล้วนี่ก็เป็นเวลายามวิกาลอีกด้วย
 
ธนวัฒน์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวประชาไทว่าเรื่องดังกล่าวตนเองไม่ได้เจอมากับตัว แต่เพื่อนมาเล่าให้ตนเองอีกที ซึ่งกลุ่มคนดังกล่าวมีลักษณะคล้ายเจ้าหน้าที่ พร้อมถามเพื่อนตน 2 คำถามดังกล่าว แต่เพื่อนตนไม่ได้ตอบ โดยี่พวกเขาลงจากรถมาสอบถามเพื่อคุยด้วย แต่เพื่อนตนก็ได้บอกปัดเพื่อไม่คุยด้วยไป 
 
ธนวัฒน์ กล่าวว่า เนื่องจากรถเป็นฟิลม์ดำสนิท พร้อมจอดในที่ที่ค่อนข้างจะมืดจึงเห็นเพียงแค่คนขับและคนที่นั่งข้าง ไม่แน่ใจว่ามีคนที่อยู่ด้านหลังอีกหรือไม่ จุดที่มาพบกับเพื่อนของตนนั้นเป็นบริเวณถนน ใกล้หอสมุดกลาง โดยคาดว่าน่าจะมาถามนิสิตทั่วไปๆ แต่ก่อนหน้านั้นประมาณ 1 ชั่วโมง ตนได้เช็คอินผ่านเฟสบุ๊คว่ามาอ่านหนังสืออยู่ที่จุฬาฯ โดยบริเวณดังกล่าวเนื่องจากเป็นช่วงสอบจึงมีนิสิตเดินอยู่จำนวนมาก 
 
"ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขามายามวิกาล แล้วท่าทีคุกคาม ผมก็เป็นกังวลใจในความปลอดภัย" ธนวัฒน์ กล่าว
 
ธนวัฒน์ กล่าวด้วยว่า เบื้องต้นได้มีการแจ้งรองอธิการฝ่ายกิจการนิสิตไปแล้ว และส่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาดูแล ส่วนการลงบันทึกประจำวันนั้นคาดว่าจะไปพรุ่งนี้เช้า 
 
"ผมไม่ทราบว่าพวกคุณจะมาดีหรือมาร้ายนะครับ แต่นี่เป็นช่วงเวลาสอบของจุฬาฯ ขอให้ผมได้อ่านหนังสือสอบเสียเถอะครับ แล้วละทิ้งความพยายามในการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผมเสียที ด้วยการร้องขอจากนิสิตธรรมดาคนหนึ่งไปยังเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจทั้งหลายนะครับ ผมขอร้องให้พวกคุณหยุดการกระทำนี้เสีย แล้วให้ผมได้อ่านหนังสือเถอะครับ เพราะ ผมมีสอบในวันพรุ่งนี้" ธนวัฒน์ กล่าว
 
สำหรับ ธนวัฒน์ เขาหนึ่งในนิสิตที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ตามสอดส่อง หลังเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มนิสิตจุฬาฯ ที่ชูป้ายเชิงเสียดสีใส่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา โดย ธนวัฒน์ เป็นเผยด้วยว่า หลังจากชูป้ายใส่ พล.อ.ประยุทธ์ มีเจ้าหน้าที่มาหาทั้งที่คณะและมหาวิทยาลัยรวมเป็น 2 รอบ และเมื่อบวกกับครั้งนี้ก็จะเป็นครั้งที่ 3 

เนติวิทย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คระบุถึงเหตุการณ์นี้เช่นกัน พร้อมกล่าวว่า สอดคล้อง​กับที่วันนี้มีตำรวจคนหนึ่​งโทรหาตนก่อนหน้าสักชั่วโมงเพื่อถามว่าตนพักอยู่ที่ไหน ข้อสันนิษฐาน​จึงไม่น่าจะเป็นอื่น หากคือการคุกคามตนและเพื่อนโดยเจ้าหน้าที่​ของรั​ฐ​ในรั้วจุฬา​ลงกรณ์​มหา​วิทยาลัย​ ในเวลาค่ำคืนนี้ ถ้าหากผมอ่านหนังสือ​อยู่ที่นั่น ไม่รู้​ว่าผมจะต้องโดนอะไร

"ผมก็แค่เด็กธรรมดา​คนหนึ่​ง​ที่รักความเป็​น​ธรรม รักชาติรักประเทศไทย​ มีสิทธิเต็มที่ในฐานะพลเมือง ผมเช่นเดียวคนอื่นๆควรได้สิทธิ​ที่จะอยู่อย่างปลอดภัย สงบ ได้รับการเคารพในความเสมอภาคแห่งความเป็​น​มนุษย์​ดังประเทศ​และผู้ปกครอง​ที่อารยะแล้วปฏิบัติ" เนติวิทย์ โพสต์ พร้อมระบุด้วยว่าจะโทษ​เจ้าหน้าที่​ผู้ปฏิบัติงาน​ก็คงจะไม่ถูกทั้งหมด แต่เพราะสภาพเงื่อนไขและสภาวะจิตของผู้มีอำนาจคือทหารเล่นการเมือง​ ดังนั้น เรื่องแบบนี้จะเกิดซ้ำอีก ไม่ที่ตนหรือเพื่อนแต่ใครก็ได้จนกว่าเราจะบอกว่า คสช.ออกไป เอาประชาธิปไตย​คืนมา

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทันตแพทยสภาจ่อเอาผิดโฆษณายาสีฟันอ้างชื่อพิธีกรดัง ทำฟันขาวขึ้นใน 1 สัปดาห์ ชี้หลอกลวง ปชช.

Posted: 08 May 2018 08:15 AM PDT

ทันตแพทยสภาเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ โฆษณายาสีฟันอ้างชื่อพิธีกรดัง ให้ข้อมูลเท็จ อวดอ้างทำฟันขาวขึ้นใน 1 สัปดาห์ ฟันผุ หินปูนหายไป ชี้หลอกลวงผู้บริโภค เตรียมแจ้งความดำเนินคดี เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน

8 พ.ค.2561 รายงานข่าวแจ้งว่า ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ เลขาธิการทันตแพทยสภา กล่าวว่า ตามที่มีการโฆษณาทางสื่อออนไลน์เผยแพร่ข้อมูลสินค้าประเภทยาสีฟันที่อวดอ้างคุณสมบัติว่า ผลลัพธ์จากการใช้ใน 1 สัปดาห์ ทำให้ฟันขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คราบเหลืองหายไป หลังจากการใช้ 1 เดือน ฟันผุและหินปูนหายไป และฟันขาวขึ้น 4-5 ระดับ โดยอ้างชื่อพิธีกรรายการโทรทัศน์ท่านหนึ่ง ทันตแพทยสภาขอเตือนประชาชนว่า การโฆษณาดังกล่าวเข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค ทำให้เข้าใจผิด และเชื่อว่าสินค้าดังกล่าวเป็นของดี มีคุณภาพ และได้ผลลัพธ์เป็นไปตามที่กล่าวอ้าง ไม่ว่าจะเป็นข้อความที่โฆษณาดังกล่าวหลอกลวงว่า เติมเต็มเนื้อฟันที่ถูกทำลาย, แลดูเรียบราวกับหิมะสีขาว, ได้รับการยืนยันจากการทดลองทางคลินิกที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การรักษาทางทันตกรรม, ฟันผุและหินปูนหายไป และฟันขาวขึ้น 4-5 ระดับ ซึ่งล้วนไม่เป็นความจริง

"ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง ไม่มียาสีฟันใดที่ทำให้ฟันผุและหินปูนหายไปภายใน 1 เดือน โดยไม่ได้รับการบูรณะหรือการทำความสะอาดจากทันตแพทย์ ทั้งนี้ทันตแพทยสภากำลังดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ที่กระทำความผิดและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโฆษณาดังกล่าว เพื่อมิให้เกิดความเสียหายกับประชาชนต่อไป" เลขาธิการทันตแพทยสภา กล่าว

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รำลึก 200 ปี คาร์ล มาร์กซ์ - 88 ปี จิตร ภูมิศักดิ์

Posted: 08 May 2018 07:09 AM PDT

นักกิจกรรม-ศิลปิน จัดกิจกรรมรำลึก 200 ปี คาร์ล มากซ์ และ 88 ปี จิตร ภูมิศักดิ์ 'ษัษฐรัมย์' ปลุกพลังการเปลี่ยนแปลง ย้ำเราไม่มีอะไรต้องเสีย นอกจากโซ่ตรวน และโลกทั้งใบคอยพวกเราอยู่

เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวาระ 200 ปี คาร์ล มากซ์ ซึ่งเกิดวันที่ 5 พ.ค.เมื่อ 200 ปีที่แล้ว และจิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งตายวันที่ 5 พ.ค. โดยในปีนี้เขาอายุครบ 88 ปี ที่หน้าร้าน Art Cafe หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร กลุ่มยังเติร์กและเครือข่ายเพื่อนศิลปิน จัดงานรำลึกในโอกาสดังกล่าว ภายใต้ชื่องาน "88 ปี จิตร ภูมิศักดิ์ และ 200 ปี คาร์ล มาร์กซ์ กับสังคมไทย" ภายในงานมีการกล่าวพจนากถาหลายคน จึงขอยกตัวอย่างมาดังนี้

ภาพจากเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/metha.matkhao

ษัษฐรัมย์ : ไม่มีอะไรต้องเสีย นอกจากโซ่ตรวน 

ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี กล่าวว่า ระบบทุนนิยมสร้างความเหลื่อมล้ำมาก สังคมไทยเองก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้น มีการคำนวนเล่นๆ ว่า ถ้าเราอยากมีทรัพย์สินเหมือนกับคนที่ร่ำรวยที่สุด 50 คนแรกนประเทศนี้ คนไทยโดยเฉลี่ยต้องทำงานเป็นเวลา 5 แสนปี เพื่อที่จะสามารถมีเงินเที่ยบเท่ากับคนที่รำรวยที่สุด 50 คนแรกของประเทศนี้ นี่คือปัญหาที่พวกเราเผชิญ เมื่อระบบเศรษฐกิจพัฒนาขึ้น นักเศรษฐศาสตร์เคยทำนายไว้ว่าโภคทรัพย์ดอกผลต่างๆ จะตกกับผู้ใช้แรงงาน 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่ คำถามก็คือทำไมเราถึงอยู่กับภาวะแบบนี้ยาวนาน การต่อสู้การตั้งคำถามที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำไมไม่สามารถนำสู่การเปลี่ยนแปลงได้ วันนี้ผมจึงมาตั้งคำถามอีกทีว่าทำไมถึงเกิดคนอย่าง คาร์ล มาร์กซ์ คนอย่างจิตร ภูมิศักดิ์  ที่เกิดการตั้งคำถามต่อความเป็นทำที่เกิดขึ้นในระบบทุนนิยมนี้ ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนมีชีวิตค่อนข้างปลอดภัย เวลาที่เราพูดถึงค่าจ้างขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้น หลายคนในที่นี้เราอาจจะมีค่าจ้างอยู่ 2 หมื่น 3 หมื่นบาทต่อเดือนไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ
 
เวลาที่เราต้องการให้มีการปรับปรุงนโยบายประกันสุขภาพทั่วหน้า 30 บาทให้ดียิ่งขึ้น หลายคนในที่นี้ก็อาจจะบอกว่า เรามีชีวิตที่มั่นคงอยู่แล้ว เราสามารถซื้อประกันสูขภาพได้ เราสามารถทำงานสะสมเงินแล้วซื้อประกันสุขภาพได้ เหตุใดจึงจำเป็นที่จะต้องต่อสู้เพื่อคนส่วนมากที่ถูกกดขี่ในสังคม ในเมื่อเราจะถีบหัวเขาให้ลงไปอยู่ข้างล่าง แล้วสามารถทำให้เรามีชีวิตที่ปลอดภัยได้ ทั้งคาร์ล มาร์กซ์ และจิตร มีจุดร่วมหนึ่งที่เหมือนกันก็คือพวกเขากำเนิดอยู่ในครอบครัวชนชั้นกลาง การไม่ตั้งคำถามอะไรเลยก็สามารถทำให้เขามีชีวิตที่ปลอดภัยได้ แต่เหตุใดเขาจึงตั้งคำถาม เพราะว่าเราไม่สามารถบอกได้ว่าเก้าอี้ที่พวกท่านนั่งอยู่ เป็นของใคร ของคนที่คิดคนแรก ของคนที่ลงทุน ของคนที่ซื้อหรือของคนที่นั่งอยู่ นี่คือทฤษฎีของสังคมนิยมโดยพื้นฐานที่ได้อธิบายว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของสิ่งที่สัมบูรณ์อยู่ในโลกนี้ ดังนั้นชีวิตที่ดีของเราจึงไม่ใช่ชีวิตที่เหยียบย้ำคนแล้วไต่บรรไดขึ้นไปสู่ชีวิตที่ปลอดภัย 
 
คน 10 ล้านคนในระบบแรงงาน ได้รับค่าจ้างต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน และคนเหล่านี้ทำงานหนัก 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ คนที่ทำงานที่หนักที่สุดในประเทศไทยคือคนที่ยากจนที่สุด ในขณะเดียวกันคนที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทยก็คือคนที่ทำงานน้อยที่สุดเช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้คืสิ่งที่ผิดปกติ
 
จะทำอย่างไรให้การกดขี่ที่เกิดขึ้นกับพวกเราในทุกวันนี้มันเป็นวันสุดท้าย จิตร ภูมิศักดิ์ และคาร์ล มาร์กซ์  มีคำตอบใกล้เคียงกัน แม้ว่าทั้ง 2 จะมีแนวทางการต่อสู้ที่แตกต่างกัน แล้วอิทธิพลของทั้ง 2 มีอิทธิพลต่อกลุ่มคนแตกต่างกัน ประโยคสุดท้ายที่ผมจะทิ้งไว้ว่าเราจะได้อะไรที่มีการต่อสู้ ตั้งคำถาม เพื่อสร้างสังคมที่ดีขึ้น สิ่งที่เราจะเสีย ผมขอยืมคำของคาร์ล มาร์กซ์  บิดาของสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ ที่มีอิทธิพลต่อการต่อสู้ของคนครึ่งโลกอยู่ในปัจจุบันนี้ อิทธิพลของคลา มาร์กซ มีผลต่อการสร้างรัฐสวัสดิการในหมู่ประเทศสแกนดิเนเวียประเทศที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด ภายใต้พรรคสังคมนิยมที่เข้มแข็งที่สุดเช่นเดียวกัน อิทธิพลของคาล มาร์กซ ไม่ได้อยู่เพียงแค่จีนหรืออดีตสหภาพโซเวียสเท่านั้น
คำพูดของคาร์ล มาร์กซ์  สั้นๆ แต่ลึกซึ้งในทางปรัชญา ลึกซึ้นในทางเศรษฐศาสตร์ และลึกซึ้งในทางการเมือง ที่นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักในบ้านเรามักจะมองข้ามเสมอมา 
"พี่น้องกรรมาชีพทั่วโลกจงสามัคคีกัน พวกเราไม่มีอะไรต้องเสีย นอกจากโซ่ตรวน และเรามีโลกทั้งใบคอยพวกเราอยู่"
 
สิ่งที่พวกเราครอบครองอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ไม่มีอะไรนอกจากโซ่ตรวน หนี้สินที่ตกทอดมา ชาติกำเนิดที่เกิดมาพร้อมกับความเป็นไปไม่ได้ต่างๆ ถ้าเอามหาวิทยาลัยออก โละทิ้งไปทั้งหมด โครงสร้างชนชั้นไม่เปลี่ยนแปลง นั่นหมายความว่า สิ่งที่พวกเรา ชนชั้นแรงงาน ชนชั้นล่าง ชนชั้นกลางระดับล่าง เชื่อว่าการศึกษายกระดับเราได้ ไม่จริง การศึกษาที่ถูกจับจองแล้วไว้โดยชนชั้นสูงทั้งหมดแล้ว  พวกเราทำเพียงแค่ทำงานหนักสร้างประโยชน์โภชน์ผลเงินไปให้พวกเขาทั้งนั้น เราไม่มีอะไรต้องเสียจริงๆ ครับ นอกจากโซ่ตรวน แต่สิ่งที่ทำให้เราสามารถยืนยันได้ว่า วันนี้จะเป็นวันสุดท้าย ผมคิดว่ามันคืออารมความรู้สึกที่จิตร ภูมิศักดิ์ ได้ทิ้งไว้ ให้แก่พวกเรา 
ภาพจากเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/metha.matkhao

เมธา : จิตรกับมาร์กซ์ กับคนหนุ่มสาวร่วมสมัย

เมธา มาสขาว กล่าวว่า คาร์ล มาร์กซ์ เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลผู้หนึ่งของโลก จากงานเขียนและความคิดของเขาเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ ยังผลให้มนุษย์ราวหนึ่งในสามนำไปปฏิบัติ และอีกสองในสามนั้นก็กำลังโต้เถียงในเรื่องนี้ ระหว่างผู้ที่เกลียดชังเขา ผู้ที่ยังฝากความหวังไว้กับทฤษฎีของเขา รวมถึงผู้ที่ไม่รู้จักเขาด้วยเช่นกัน

ผมเคยเดินทางไปในหลายประเทศ พบพานเครือข่ายคนหนุ่มสาวที่ก้าวหน้าในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นที่อเมริกา เม็กซิโก ในยุโรป สเปน เยอรมนี ฮังการี ออสเตรีย ในเอเชีย อินเดีย เนปาล เกาหลี ในแอฟริกา ในเอเชียอาคเนย์ของเรา พวกเขาหลายคนยังคงตื่นเต้นกับคาร์ล มาร์กซ์ กับทฤษฎีของเขา ที่นักปฏิวัติมากมายนำไปปรับใช้ต่อสู้เพื่อปลดแอกจากการถูกกดขี่จากระบบทุนนิยมและจักรวรรดินิยมในหลายประเทศทั่วโลก

ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ระหว่างปัจจัยการผลิต ระหว่างพลังการผลิตที่ก้าวหน้า กับมูลค่าส่วนเกินและระบบกรรมสิทธิ์ถูกตั้งคำถามไปทั่วพื้นที่ของโลก เลนินนำทฤษฎีของเขาไปประยุกษ์ใช้จนปฏิวัติรัสเซียสำเร็จ เหมาเจ๋อตุงและสหายนำทฤษฎีว่าด้วยความขัดแย้งของเขาไปสร้างชาติจีนใหม่ขึ้นจนสำเร็จ ไม่นับรวมสงครามเพื่อความเป็นธรรมอีกหลายพื้นที่ของโลกในนามของการปฏิวัติ

ในโลกนี้มีวีรบุรุษนัปฏิวัติมากมายที่นำความคิดชี้นำของเขามาต่อยอดปฏิบัติและปรับปรุง

หนึ่งในความทรงจำของผู้คน, เกียรติยศชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ทำให้เขารำคาญ จิตใจที่เสียสละ กล้าหาญ ล้วนคือตำนานของมนุษย์คนหนึ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่งในยุคของเรา เขาคือ เช เกบารา ผู้กล่าวว่า "เราต้องฝึกตนเองให้แข็งแกร่ง แต่อย่าสูญเสียความอ่อนโยน"

เรื่องเล่าของวีรบุรุษของคนหนุ่มสาวร่วมสมัย ที่ยังคงขลังและตราตรึงไม่เสื่อมคลาย สำหรับคนหนุ่มสาวค่อนโลกแล้ว เช เกบารา คือวีรบุรุษในดวงใจของใครหลายคน ตั้งแต่ฮิปปี้อเมริกาต่อต้านสงครามเวียดนาม ถึงกระทั่งขบวนการนิสิตนักศึกษาประชาชนไทยหลังการเปลี่ยนแปลง 2516 รวมถึงคนหนุ่มสาวร่วมสมัยในปัจจุบัน ตั้งแต่แผ่นดินละตินอเมริกาถึงชายฝั่งเอเชีย-แปซิฟิค

ภาพของเขาผ่านการก๊อปปี้ครั้งแล้วครั้งเล่า.. เรื่องราวของเขาถูกเล่าผ่านนานนับไม่ถ้วน..

เขาผู้ไม่ยินยอมค้อมหัวให้อำนาจเผด็จการฟาสซิสต์ป่าเถื่อนและจักรวรรดินิยมใดๆ เขาผู้จากบ้านมาแต่ไกลเพื่อปลดปล่อยคิวบาจนได้รับชัยชนะ ทั้งยังทิ้งลาภยศสรรเสริญมุ่งหน้าสู่การปฏิวัติโบลิเวีย เพื่อร่วมกองทัพปลดปล่อยประชาชนจนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต เขาโดนกองกำลังทหารรัฐบาลโบลิเวียร่วมมือกับ CIA ปิดล้อมจับกุมเขาไว้ได้ ภายหลังเพื่อนของเขาตายเกือบหมด..

ด้วยความเป็นวีรบุรุษของฝ่ายซ้ายทั่วโลกในขณะนั้น ศัตรูถึงกลับตัดมือและเท้าของเขาเพื่อทำลายสัญลักษณ์ร่องรอยของศพ เพื่อฝังกลบตำนานแห่งการต่อสู้เยี่ยงวีรบุรุษของเขาให้โลกลืม,..

แต่กระนั้น 30 ปีให้หลัง ศพของเขาก็ถูกค้นพบ..

ฟิเดล คาสโตร ก็เช่นกัน, บุรุษนักรบผู้เคยสร้างประวัติศาสตร์ยืนปราศรัยคนเดียวโดยไม่มีโพยล่วงหน้านานร่วม 10 ชั่วโมง และเจ้าของอมตะวาจาที่เคยกล่าวว่า "ตราบใดที่การปฏิวัติยังไม่สิ้นสุดก็จะไม่ยอมโกนหนวดเคราทิ้ง"

ฟิเดล คาสโตร ได้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์คิวบาขึ้นบริหารประเทศ และประกาศลักษณะสังคมนิยมของการปฏิวัติคิวบา เป็น "สาธารณรัฐสังคมนิยม" ตั้งแต่ปี 2504 และปัจจุบันก็ยังคงเป็นอยู่ เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลัง รัฐบาลสหรัฐอเมริกาโจมตีเขาอย่างต่อเนื่อง ว่าเป็นจอมเผด็จการและพยายามลอบสังหารเขาหลายร้อยครั้ง ตามบันทึกประวัติศาสตร์ ถึงขั้นว่าสถานีโทรทัศน์ของอังกฤษเคยนำแผนลอบสังหารเขา มาทำเป็นสารคดีเรื่อง "638 แผนสังหารคาสโตร" เลยทีเดียว

มีรายงานว่า CIA ออกแบบสารพัดแผนลอบสังหารเขาภายใต้ชื่อปฏิบัติการต่างๆ นานับวิธี ไม่ว่าจะเป็นการลอบวางยาพิษ บุกยิงประชิดตัว แอบผสมยาพิษในซิการ์ ใส่ยาพิษในปากกาหมึกซึม ไอศกรีม ในยาแอสไพริน กระทั่งใส่พิษแบคทีเรียในผ้าเช็ดหน้า ถ้วยชาและกาแฟ ก็ทำมาแล้ว รวมไปถึงแผนลอบวางระเบิดขณะไปเยือนพิพิธภัณฑ์เออร์เนส เฮมมิงเวย์ แต่แผนลอบสังหารบันลือโลกก็คือ การแอบซุกระเบิด 90 กิโลกรัม ไว้ใต้แท่นปราศรัยเมื่อครั้งที่เขาไปเยือนปานามาในปี 2543 แต่หน่วยรักษาความปลอดภัยพบเห็นเสียก่อน เขาจึงรอดจากการลอบสังหารไปอย่างหวุดหวิด

เขาจึงได้ฉายาว่า แมวเก้าร้อยชีวิต และจากไปเมื่ออายุครบ 90 ปี รวมช่วงเวลา 10 ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา!.

แม้ว่าปัจจุบันสงครามเย็นผ่านพ้นไปแล้ว โลกเสรีนิยมยืนหยัดเหนืออุดมการณ์สังคมนิยมทั้งหลาย ผ่านองค์กรโลกบาลที่กำกับทิศทางเสรีนิยมใหม่ในอาณัติของบรรษัทข้ามชาติและกลุ่มนายทุนครอบโลก

แต่คนยืนหยัดสู้ ยังมีอยู่  ประธานาธิบดีอูโก ชาเบซ แห่งเวเนซุเอลา เป็นอีกหนึ่งคนที่กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอเมริกา เขามีแนวคิดสังคมนิยมทางเศรษฐกิจ และต่อต้านท่าทีจักรวรรดินิยมแบบสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเขาประกาศเมื่อปี 2003 ว่าจะเปลี่ยนสกุลเงินสำหรับการซื้อขายน้ำมันเป็นเงินยูโร แทนการขายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐทั้งหมดตามเดิม ซึ่งทำให้โลกเปลี่ยนการซื้อขายน้ำมันในตลาดโลกเป็นเงินตราสกุลอื่นมากขึ้นในปัจจุบัน

อูโก ชาเบซ (Hugo Rafael Chávez Frías) ประธานาธิบดีแห่งเวเนซุเอลา จากพรรคสหสังคมนิยมแห่งเวเนซุเอลา (PSUV) ผู้ประกาศ "แนวทางสังคมนิยมทางเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21" อันลือลั่น เขาเป็นใคร มาจากไหน ชีวประวัติของเขาจึงน่าติดตามศึกษายิ่งนัก ในฐานะผู้มาใหม่ในดินแดนละตินที่ผู้คนกล่าวถึงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตำนานมหาวีรบุรุษอย่าง เช เกบารา

ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในวันที่ 5 มีนาคม ปี 2013 ด้วยวัย 58 ปี จากโรคมะเร็งรุมล้อม ชายหนุ่มจากลาตินอเมริกาผู้นี้ ฝากผลงานสังคมนิยมทางเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 ไว้ได้อย่างน่านับถือ ขณะที่เศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยมและกลไกตลาดกำลังสั่นคลอน ไร้ความน่าเชื่อถือ เขานำการปฏิรูปสังคมนิยมไปปฏิบัติในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม ตามแนวทางการปฏิวัติโบลีวาร์ สร้างสภาประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม จัดตั้งระบบสหกรณ์ที่มีกรรมกรเป็นผู้จัดการ รวมถึงโครงการปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ โอนอุตสาหกรรมหลักหลายประเภทเป็นของรัฐ (Nationalization) โดยเฉพาะธุรกิจบริษัทน้ำมันและพลังงานซึ่งผูกขาดโดยต่างชาติ ให้กลายเป็นของรัฐและนำรายได้กลับคืนสู่ประเทศ รวมทั้งเพิ่มเงินทุนด้านสาธารณสุขและการศึกษาของรัฐ เพื่อแก้ปัญหาความยากจนทั้งระบบ

ปฏิบัติการของชาเบซ ทำให้คลื่นของสังคมนิยมในศตวรรษที่ 21 ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นได้ก่อตัวทั่วลาตินอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น เวเนซุเอลา นิการากัว โบลิเวีย ชิลี บราซิล อาร์เจนตินา เอกวาดอร์ กัวเตมาลา ซึ่งมีจุดยืนร่วมกันคือการปฏิเสธนโยบายทุนนิยมเสรีและการครอบงำจากอเมริกา ทำให้โลกตื่นตัวขึ้นอย่างมากว่า วันนี้โลกมีระบบเศรษฐกิจทางเลือกที่มากกว่าทุนนิยมอยู่อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ระบบเศรษฐกิจผสม หรือสังคมประชาธิปไตยในกลุ่มประเทศนอร์ดิก (Nordic Countries) ก็ตาม และล้วนเป็นเรื่องน่าศึกษาเปรียบเทียบอย่างยิ่ง

หากเราพูดถึงการจัดการระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม หัวใจสำคัญคงเป็นเรื่อง "ชนชั้น" ที่มาจากความสัมพันธ์ทางการผลิต และ "ระบบกรรมสิทธิ์" ที่เป็นปัญหาสำคัญ และตามหลักการสังคมนิยมแล้ว สิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถผลิตหรือสร้างสรรค์ขึ้นได้เอง ไม่ควรนำเข้าสู่ระบบกลไกตลาด เช่น ที่ดิน ทะเล และป่าไม้ ซึ่งควรถือเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมของสังคม และการต่อสู้เรื่องระบบกรรมสิทธิ์นี้ นโยบายเรื่องความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของผู้คนเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่ประเทศไทยและองค์กรทั้งหลายควรต้องพูดให้ชัดเจน

ระหว่างทางแยกนั้น การเลือกเส้นทางปฏิวัติเศรษฐกิจเพื่อประชาชน ทำให้อูโก ชาเบซ กลายเป็น "รัฐบุรุษ".

ในประเทศไทยซึ่งเรารำลึกถึงกันในวันนี้ คือ จิตร ภูมิศักดิ์ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเพราะรัฐไทยไม่ให้พื้นที่เขามีชีวิตอยู่ เขาเป็นคนหนึ่งที่มีภารกิจธุระทางประวัติศาสตร์ ที่นำเอาทฤษฎีคาร์ล มาร์กซ์มาปรับใช้ปฏิบัติ

เขาเป็นชายหนุ่มที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่า เป็น "ปัญญาชนปฏิวัติ" คนสำคัญของประเทศไทย เพราะเขาเป็นทั้งนักคิด นักเขียน นักประวัติศาสตร์ และนักปฏิวัติ ในตัวคนเดียวกัน 

เขาจากไปในวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 ในวัย 36 ปี หลังทิ้งผลงานเขียนทางวิชาการ สังคมและประวัติศาสตร์ไว้มากมายเกินคณานับ เขาถูกยิงที่ชายป่าหมู่บ้านหนองกุง ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร หลังลงจากภูเขาแล้วเข้าผิดหมู่บ้านเพื่อขอเสบียงอาหารไปให้มิตรสหายร่วมรบบนภูสูง ทำให้บัณฑิตอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้นี้ ถูกสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อ.ส.) ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกันไล่ยิงจนเสียชีวิตอยู่ริมชายป่าในเวลาต่อมา

ทิ้งไว้แต่เพียงความทรงจำของผู้คนร่วมสมัย และชีวประวัติอันยิ่งใหญ่ที่สอดคล้องกับภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่เขาแบกรับ หนังสือที่เขาเขียนมากมายหลายเล่มกลายเป็น 1 ใน 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน ตามโครงการวิจัยเพื่อคัดเลือกและแนะนำหนังสือดีในรอบศตวรรษ ไม่ว่าจะเป็น "บทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์", "โฉมหน้าศักดินาไทย" หรือกระทั่งหนังสือที่ว่ากันว่ามีชื่อเสียงมากที่สุดของจิตร ภูมิศักดิ์ เรื่อง "ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ" หนังสือที่ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เคยยกย่องว่า วิทยานิพนธ์ในโลกเกี่ยวกับภาษาไทยไม่มีที่ใดดีเท่านี้มาก่อน

ชีวิตอันมีภาระหน้าที่ของจิตร ภูมิศักดิ์ นั้น โลดแล่นหวาดเสียวมาแต่เยาว์ ด้วยความคิดที่ก้าวหน้า ตั้งคำถามและใฝ่หาคำตอบ เขาเคยสอบวิชาภาษาไทยได้ถึง 100 คะแนนเต็มจน พระยาอนุมานราชธน ครูผู้สอนต้องหักออก 3 คะแนน เพราะกลัวเขาจะเหลิง ในวัย 23 ปี จิตร ภูมิศักดิ์ ถูกนิสิตวิศวกรรมศาสตร์รุมทำร้ายโดยการจับ "โยนบก" กลางหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะทำหน้าที่สาราณียกรให้กับหนังสือประจำปีของมหาวิทยาลัย และเปลี่ยนแปลงเนื้อหาประเพณีนิยมแบบเก่าๆ เป็นบทความที่สะท้อนปัญหาสังคมมากขึ้น

ต่อมาในปี 2501 เขาถูกเผด็จการทหารโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จับกุมคุมขังเป็นนักโทษการเมืองถึง 6 ปีในคุกลาดยาว ในข้อหาสมคบกันกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในและภายนอกราชอาณาจักร และกระทำการเป็นคอมมิวนิสต์ อันเป็นข้อหายอดฮิตของนักศึกษาปัญญาชนในยุคนั้นหลายคน และในพันธนาการนี้เอง เขาได้ใช้เวลาผลิตผลงานที่มีคุณค่าไว้มากมาย

ภายหลังได้รับการปลดปล่อยและพ้นข้อกล่าวหาในปี 2507 จิตร ภูมิศักดิ์ นำแฟ้มงานเขียนเรื่อง "ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ" ฝากไว้กับ สุภา ศิริมานนท์ นักหนังสือพิมพ์คนสำคัญของเมืองไทย ให้ช่วยเก็บรักษาต้นฉบับและช่วยจัดพิมพ์ให้เมื่อมีโอกาส หลังจากนั้น จิตร ภูมิศักดิ์ จึงเดินทางเข้าเขตป่าเขาเข้าร่วมกับ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ใช้ชีวิตปัญญาชนปฏิวัตินับแต่นั้นมา ต้นฉบับดังกล่าวถูกเก็บรักษาไว้โดยใส่กล่องฝังดินไว้ในสวนฝั่งธนบุรี และถูกขุดขึ้นมาจัดพิมพ์อีกครั้งในปี 2519 ก่อนหน้าเหตุการณ์ 6 ตุลาคมไม่นาน

สุภา ศิริมานนท์ นักหนังสือพิมพ์อาวุโส เคยพูดถึง จิตร ภูมิศักดิ์ ว่า "ตลอดเวลาหลายปีที่ได้รู้จักกันจนกระทั่งเขาจากไป จิตร ภูมิศักดิ์ มีความสำนึกที่หนักแน่นที่สุดอันหนึ่งที่ว่า เขามีภาระธุระ หรือภารกิจทางประวัติศาสตร์ ที่จะต้องทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์ส่วนใหญ่ ต้องทำให้เพื่อนมนุษย์ส่วนใหญ่มีความเจริญก้าวหน้า มีสถาพรภาพ มีความเป็นธรรมในสังคมโดยถ้วนหน้า เขาจึงได้ต่อสู้ตลอดมา เขาได้เคยทดลองต่อสู้ตามแนวที่บัณฑิตทางประวัติศาสตร์และวรรณคดีรุ่นเก่าได้เคยทำมาแล้ว" 

"และในที่สุดเขาก็พบวิธีการตามแนววัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นหลักและเงื่อนไขที่ให้ความสว่างไสวแก่ภูมิปัญญาของเขาอย่างแจ่มชัดที่สุด และเขาได้ยอมรับเชื่ออย่างฝังลึก เนื่องจากมันเป็นหลักและเงื่อนไขซึ่งเกาะแน่นอยู่กับประชาชน"

การที่เขาเป็นทั้งนักทฤษฎีและนักปฏิบัติในตัวเอง และเสียสละภายใต้อุดมการณ์ที่ถือเป็นภาระหน้าที่นี้เอง ทำให้ชื่อเสียงของเขาได้รับการยกย่องนับถืออย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ได้มีการพิมพ์หนังสือของเขาเผยแพร่ซ้ำอย่างมากมายกว้างขวางอีกครั้ง ยิ่งทำให้ชื่อของเขาประทับในใจของคนหนุ่มสาวมากมายในยุคนั้น ไม่ต่างจากการชื่นชมนับถือวีรบุรุษนักปฏิวัติของคนหนุ่มสาวทั่วโลกอย่าง เช กูวารา แต่อย่างใด

ว่ากันว่า หากในโลกนี้ ประเทศจีนมียอดกวีชื่อ "หลู่ซิ่น" รัสเซียมี "แมกซิม กอร์กี" ประเทศไทยก็มี "จิตร ภูมิศักดิ์" ให้นับถือคารวะไม่น้อยหน้ากัน ทั้งสามคนเป็นนักคิดนักเขียน และยังเป็นนักปฏิวัติที่ยอมค้อมหัวเป็นงัวงานอุทิศความรู้รับใช้สังคมจนวาระสุดท้ายของชีวิต ภายใต้เข็มทิศที่เป็นภารกิจทางประวัติศาสตร์

นั่นทำให้ความตายของจิตร ภูมิศักดิ์ อาจตายจากไปในประวัติศาสตร์ของคนที่ไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ แต่ไม่เคยตายจากไปจากผู้ใฝ่หาเรียนรู้ผลงานและชีวิตของเขา

ในอดีตท่ามกลางความขัดแย้งของประชาชน แต่บทเพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" ที่เขาแต่งขึ้น ถูกร้องขับขานในเวทีการชุมนุมทางการเมืองทั้งของ กปปส. และ นปช.

ทั้งหมดนี้ ผมจึงขอยกคุณความความดีทั้งหมดให้ คาร์ล มาร์กซ์ ผู้ซึ่งถูกคิดถึงอยู่ทุกยามเมื่อเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมเสรีที่เกิดขึ้นอยู่ทุกยาม เป็นวงรอบทางเศรษฐกิจ เมื่อทุนนิยมผูกขาดจนอวบอิ่ม และเมื่อทุนนิยมกลืนกินตัวเองไม่สิ้นสุด

 "นักปรัชญาทั้งหลายเพียงแต่อธิบายโลกด้วยวิธีการต่างๆ แต่ความสำคัญนั้น อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงโลก" (มาร์กซ์, วิทยานิพนธ์เรื่องฟอยเออแบค บทที่ 6)

แด่ผู้ที่ยังไม่ตายและหายใจอยู่.

เคียงข้างกันเถิดสหาย 
ความตายเป็นเพียงเรื่องเล่า 
ลมหายใจคือชีวิตลิขิตเรา 
นำพาเจ้าออกเดินทางไกล

ภาพจากเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/metha.matkhao

จักรพล : มาร์กซ์และจิตร ในฐานะนักปฏิวัติ

จักรพล ผลละออ ซึ่งตามกหนดการมีชื่อขึ้นพูดในงานนี้ แต่ติดธุระไม่สามารถร่วมได้ อย่างไร็ตามเขาได้เผยแพร่คำปาฐกถาของเขาวไว้ดังนี้

วันนี้ (5 พฤษภาคม) ในอดีตเมื่อ 200 ปีที่ผ่านมา คือวันที่ปิศาจตนหนึ่งได้ลืมตาตื่นขึ้นดูโลกใบนี้ ปิศาจตนนี้มีนามว่าคาร์ล มาร์กซ์ และจวบจนกระทั่วเวลาผ่านมาถึง 200 ปีกระทั่งร่างเนื้อของคาร์ล มาร์กซ์ได้สูญสลายไปจนหมดสิ้นแล้วหากแต่ชื่อของเขายังคงวนเวียนสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงและตามหลอกหลอนโลกใบนี้อยู่มิคลาย เสมือนเช่นปิศาจผู้มีชีวิตและจิตวิญญาณเป็นนิรันดร์อยู่เหนือกาลเวลา

แท้ที่จริงแล้วคาร์ล มาร์กซ์ นั้นก็มิได้เป็นปิศาจหรือผีร้ายตรงตามความหมายที่สื่อไป หากแต่อุดมการณ์และความใฝ่ฝันที่เขาทิ้งไว้ต่างหากที่เป็นเสมือนปิศาจและผีร้ายที่ตามหลอกหลอนผู้คนทั่วโลกอยู่ร่ำไป มาร์กซ์คิดสิ่งใด? และอุดมการณ์กับภาพใฝ่ฝันที่เขาทิ้งไว้นั้นคืออะไร?

คุณูปการสำคัญที่มาร์กซ์ได้ทิ้งเอาไว้ให้เรานั้นคือทฤษฎีและกรอบแนวคิดอันเป็นที่รู้จักกันในนามแนวคิดมาร์กซิตม์-คอมมิวนิสม์ อันเป็นแนวคิดที่ถูกตีตราจากสังคมโลกว่าเป็นระบอบที่ชั่วร้ายของพวกเผด็จการถึงขั้นถูกนำไปนับรวมไว้เป็นพวกเดียวกันกับแนวคิดฟาสซิสม์ คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นก็คือแนวคิดมาร์กซิสม์-คอมมิวนิสม์เป็นเฉกเช่นนั้นจริงหรือไม่? คำตอบของผมในฐานะผู้สนใจศึกษาแนวคิดมาร์กซิสม์นั้นคือ ไม่! ในทางกลับกันแล้วคงต้องขอกล่าวย้ำให้กระจ่างชัดกันไปเสียว่าในโลกใบนี้นั้นไม่มีระบอบการปกครองใดที่เข้าใกล้สังคมคอมมิวนิสม์ที่มาร์กซ์ได้วาดฝันถึงไว้เลยแม้แต่สักสังคมเดียว หรือประเทศเดียว บรรดาประเทศทั้งหลายที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั้นก็เป็นแต่เพียงระบอบเผด็จการผูกขาดที่อ้างเอาคำว่าคอมมิวนิสม์มาใช้บังหน้าเท่านั้นเอง และหากจะมีประเทศใดที่เข้าใกล้คำว่าสังคมคอมมิวนิสม์ที่สุดแล้วก็เห็นจะมีแต่สหภาพโซเวียตในยุคการปกครองของเลนินและทรอสกี้เท่านั้น

แนวคิดมาร์กซิสม์-คอมมิวนิสม์นั้นนอกจากจะเป็นการวาดภาพถึงอนาคตของสังคมมนุษย์อันเจริญรุ่งเรืองขึ้นภายใต้ระบอบคอมมิวนิสม์เสมือนหนึ่งสังคมยูโทเปียแล้ว มันยังเป็นแนวคิดที่วิพากษ์วิจารณ์และโจมตีระบบชนชั้น ความเหลื่อมล้ำ ของระบบทุนนิยมที่เรากำลังเผชิญอยู่จนถึงรากถึงโคน แนวคิดมาร์กซิสม์ในเบื้องแรกนั้นอาจจะฟังดูคล้ายแนวคิดเพ้อฝันที่เป็นนามธรรมไม่อาจจะจับต้อง หรือเป็นจริงไปได้ ทว่าในอีกด้านหนึ่งนั้นตัวมันเองก็มีลักษณะที่เป็นวัตถุนิยม และเป็นวิทยาศาสตร์ทางสังคม คือยึดตรงต่อความเปลี่ยนแปลงทางวัตถุและสิ่งที่เกิดขึ้นจริงจับต้องได้ และด้วยปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษวิธีนั้นก็ทำให้เราสามารถพิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้ กลายเป็นศาสตร์ในการอธิบายประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ อันแสดงให้เราได้เห็นประจักษ์ว่าประวัติศาสตร์และความเจริญรุ่งเรืองของมวลมนุษยชาติที่ผ่านมานั้นถูกสร้างขึ้นจากเลือดเนื้อหยาดเหงื่อและกำลังของชนชั้นแรงงาน มิใช่ว่าสร้างขึ้นจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของปัจเจกบุคคลแต่อย่างใด

ในทางกลับกันแล้วมาร์กซ์ยังได้เสนอให้เห็นว่าบรรดาปัจเจกบุคคล อันเป็นคนส่วนน้อยที่ดำรงตนอยู่ในชนชั้นปกครองนี้เองที่เป็นเสมือนกาฝากของสังคม อันได้กระทำการกดขี่ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบชนชั้นแรงงานผู้เป็นคนจำนวนมากของโลกเสมอมา แม้กระทั่งในสังคมปัจจุบันที่เรียกกันว่ายุคโมเดิร์นนี้ ที่มนุษย์ทุกคนตกอยู่ภายใต้ระบอบทุนนิยมโลกาภิวัตน์ และกระแสเสรีนิยมประชาธิปไตย ที่ป่าวประกาศว่าสังคมทาสและศักดินานั้นได้สูญสลายไปจนหมดสิ้นแล้ว เราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ผู้เสรีที่จะแข่งขันกันตามเจตจำนงเสรีภายใต้ระบบตลาด หากทว่านั่นก็เป็นแต่เพียงคำหลอกลวงเสมือนดังคำหวานซ่อนยาพิษ เพราะในปัจจุบันนี้พวกเราทุกคนต่างก็ตกอยู่เป็นทาสเบื้องล่างของชนชั้นนายทุน ของระบบทุนนิยมที่เราไม่อาจจะหลีกหนีมันได้ ความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในปัจจุบันนั้นได้ก่อให้เกิดกระบวนการเข้มข้นขึ้นของทุน ระบบทุนนิยมสร้างแรงงานฟรีแลนซ์ขึ้นมาพร้อมภาพฝันว่าคนกลุ่มนี้คือแรงงานที่ได้รับอิสรภาพอันสูงสุด ได้เป็นแรงงานที่เป็นเจ้านายตัวเอง หากแต่นั่นคือคำหลอกหลวงทั้งเพ สิ่งที่เป็นจริงของกลุ่มแรงงานฟรีแลนซ์นั้นคือการผลักภาระและความเสี่ยงออกจากมือของนายทุนไปสู่ชนชั้นแรงงาน แรงงานกลุ่มนี้จะกลายเป็นผู้เผชิญความเสี่ยงในทุกด้าน และต้องทำงานที่หนักขึ้นเพื่อให้ได้รับค่าจ้างที่มากพอต่อการดำรงชีพ กระบวนการเข้มข้นขึ้นของทุนได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของเราไปอย่างมาก จริงอยู่ที่ในปัจจุบันนี้เรามิได้เป็นไพร่ทาสติดที่ดินเหมือนอย่างในระบบศักดินา แต่ทว่าเรากลับกลายเป็นไพร่ทาสติดหนี้ระบบการเงินและบัตรเครดิต ที่บีบคั้นให้เราต้องทำงานอย่างหนักเพียงเพื่อนำมาจ่ายหนี้ที่อาจจะเกิดจากการกู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ฯลฯ

และเมื่อมาร์กซ์ได้จุดประกายไฟชูธงนำให้ชนชั้นแรงงานได้รวมตัวกันเข้าเพื่อโค่นล้มระบบทุนนิยมนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดหรือเรื่องบังเอิญแต่อย่างใดที่ชื่อของเขาจะกลายมาเป็นปิศาจที่สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับบรรดาชนชั้นปกครองและชนชั้นนายทุนที่คอยกดขี่ขูดรีดชนชั้นแรงงานเสมอมา ถึงขั้นจะต้องพยายามหาลู่ทางในการทำลายอุดมการณ์ของเขาลงในทุกวิถีทาง เหมือนเช่นครั้งที่ฟรานซิส ฟูกูยามา ได้เขียนหนังสือชื่อ 'The End of History' ที่มีเนื้อความกล่าวอ้างถึงชัยชนะของระบบตลาดเสรีที่ได้กำชัยเหนือแนวคิดมาร์กซิสม์-คอมมิวนิสม์ ว่านี่จะเป็นจุดจบของประวัติศาสตร์มนุษย์และสังคมมนุษย์จะยิ่งเจริญยิ่งขึ้นไปภายใต้ระบบทุนนิยมตลาดเสรี จนกระทั่งเวลาได้ผ่านมายี่สิบปีจนถึงปัจจุบันนี้ สภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในเชิงประจักษ์ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าโลกไม่ได้เจริญขึ้นตามอย่างที่ฟูกูยามาได้กล่าวอ้าง เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะเรียกปัญหาสงคราม ความยากจน ความอดอยาก ความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ ที่รุนแรงขึ้นนี้ว่าเป็นความเจริญรุ่งเรืองของมวลมนุษยชาติ

สำหรับในปัจจุบันนี้ คนรุ่นใหม่นั้นมักจะรับรู้กันว่ามาร์กซ์เป็นเพียงนักปรัชญานักทฤษฎีหลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และรับรู้กันว่าจิตร ภูมิศักดิ์นั้นเป็นแต่เพียงนักคิด นักประพันธ์เพลง ประพันธ์กลอนกวี หากแต่น้อยคนนักที่จะรู้ในอีกด้านหนึ่งนั้นทั้งคาร์ล มาร์กซ์และจิตร ภูมิศักดิ์ ต่างก็เป็นนักปฏิวัติ ที่ต่อสู้เพื่อหวังจะสร้างสังคมใหม่ที่ดีกว่าให้กับมนุษย์ทั้งผอง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สกว. กระตุ้นนักวิจัยเป็นนักคิดแก้ปัญหานอกตำรา

Posted: 08 May 2018 02:17 AM PDT

สกว.ปลุกพลังนักวิจัยเป็นคนสำคัญในการพัฒนาประเทศบนฐานความรู้ที่สร้างผลกระทบที่มีมูลค่าแก่สังคม ย้ำนักวิจัยต้องเป็น "นักคิดที่แก้ปัญหานอกตำราได้" และสร้างเครดิตทางวิชาการให้เข้มแข็งก่อนแล้วเอกชนจะวิ่งเข้าหาเองหรือลุยเดี่ยวเองได้

8 พ.ค. 2561 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) รายงานว่า วันนี้ ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการ สกว. เป็นประธานเปิดการประชุมโครงการฝ่ายวิชาการ สกว. สัญจร ครั้งที่ 2 ณ โรงแรมสยาม ออเรียนทัล จังหวัดสงขลา ภายใต้การสนับสนุนของคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เพื่อประชาสัมพันธ์ทุนวิจัยรูปแบบใหม่ของ สกว. และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำวิจัยจากนักวิจัยอาวุโสและผู้ทรงคุณวุฒิ โดยผู้อำนวยการ สกว. ได้ชี้ให้นักวิจัยที่เข้าร่วมรับฟังกว่า 200 คน เห็นการเปลี่ยนแปลงของ สกว. ที่จะต้องคิดถึงภาพใหญ่และจับมือกันทำงานร่วมกับ สกว. เพื่อการพัฒนาประเทศและประโยชน์ของสาธารณะเป็นสำคัญ

"นักวิจัยต้องเริ่มจากการวิเคราะห์สถานภาพของตัวเองและระบบวิจัยแวดล้อม ส่วนงานวิจัยที่จะเป็นผลต่อการพัฒนาประเทศได้นั้นจะต้องเป็นงานวิจัยที่สร้างผลกระทบ (Research to Impact) โดยมีผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยเป็นบุคคลสำคัญ และนักวิจัยด้านวิชาการก็เป็นบุคคลสำคัญที่จะก้าวสู่นักวิจัยด้านนวัตกรรม วิจัยและพัฒนาต้องเชื่อมต่อกันได้ สามารถสร้างมูลค่า จับต้องได้ และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ อย่าหยุดนิ่งเฉพาะผลงานตีพิมพ์นานชาติที่เข้มแข็ง แต่ต้องถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมได้ด้วย นักวิจัยทุกคนคือพลังสำคัญของประเทศ ถ้าเปลี่ยนความคิดได้ ประเทศก็จะเปลี่ยนและก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศรายได้สูง โดยประเด็นวิจัยใหม่ในปีนี้ตัวอย่างเช่น จังหวัดชายแดนใต้ ปัญญาประดิษฐ์และวิทยาศาสตร์สมอง" ผู้อำนวยการ สกว. กล่าว

ศ. ดร.ศุภยางค์ วรวุฒิคุณชัย เมธีวิจัยอาวุโส สกว. จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวระหว่างการเสวนา "นักวิจัยพี่เลี้ยง: เข็มทิศนำทางชีวิตนักวิจัย" ว่านักวิจัยที่มีนักวิจัยพี่เลี้ยงดีถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วช่วงหนึ่ง เพราะสามารถใช้ประสบการณ์ช่วยเหลือประคองงานไปสู่จุดมุ่งหมายได้ ยุคนี้ถือเป็นยุคทองของนักวิจัย ไม่ต้องล้มลุกคลุกคลานทำด้วยตัวเองเหมือนเช่นอดีต สามารถหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตได้ว่าใครเป็นคนเก่งในศาสตร์ของตน แต่อย่าใช้เพียงชื่อของพี่เลี้ยงเพื่อขอทุน ต้องเป็นเพื่อนร่วมงานทำวิจัยร่วมกันด้วย

ขณะที่ ศ. ดร.วัชรินทร์ รุกขไชยศิริกุล เมธีวิจัยอาวุโส สกว. จากสังกัดเดียวกัน ระบุว่าระบบนักวิจัยพี่เลี้ยงของ สกว. เป็นจุดเริ่มต้นของนักวิจัยรุ่นใหม่ที่จะได้รับการช่วยเหลือจากรุ่นพี่ ช่วยสร้างนักวิจัยที่มีศักยภาพและเข้มแข็งให้มีปริมาณเพิ่มขึ้น เริ่มแรกควรมีพี่เลี้ยงที่อยู่ในขอบข่ายงานเดียวกันหรือศาสตร์ใกล้เคียงกัน การหาโอกาสคุยกันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด จะได้รู้ว่าสามารถพยุงไปด้วยกันและช่วยเหลือกันได้หรือไม่ เพื่อให้ทำโครงการสำเร็จ มีผลลัพธ์ได้ตามสัญญาและขอตำแหน่งทางวิชาการก้าวไปสู่จุดที่สูงขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องมีระเบียบและตรงต่อเวลา

เช่นเดียวกับ รศ. ดร.รัศมี ชูทรงเดช เมธีวิจัยอาวุโส สกว. จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ตัวแทนสายมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ กล่าวถึงเคล็ดลับความสำเร็จในการทำวิจัย ว่าการทำงานจะเน้นการมีส่วนร่วม พูดคุยและรักษาคำพูด ใช้มนุษยสัมพันธ์แบบเพื่อน นักวิจัยพี่เลี้ยงต้องเป็นได้ทั้งพี่ อาจารย์ และเพื่อน ความเป็นกัลยาณมิตรจะทำให้เกิดการถ่ายทอดประสบการณ์ ปลุกกระตุ้นให้กำลังใจและคำแนะนำที่ดี รวมถึงสร้างเครือข่ายวิจัยในชุมชนให้เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือจากชุมชน ทำให้การเริ่มต้นทำงานมีชัยไปกว่าครึ่ง มีโอกาสโลดแล่นไปในเส้นทางวิจัยได้ยาวไกลมากขึ้นจนถึงระดับศาสตราจารย์ แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในสายวิชาการก็ต้องสามารถเป็นนักคิดที่แก้ปัญหาได้ เช่น ประยุกต์ใช้วิชาโบราณคดีไปออกแบบคิดค้นฐานข้อมูลช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิ หน้าที่สำคัญของพี่เลี้ยงจึงต้องสอนให้นักวิจัยพูด คิด เขียนเป็น แตกต่างจากตำราและงานของคนอื่น รวมถึงโน้มน้าวใจแหล่งทุนต่าง ๆ ได้ และขอให้ทุกคนทำงานด้วยความสนุกและท้าทาย

สำหรับการเสวนา "ทำอย่างไรงานวิจัย 'ไม่' ขึ้นหิ้ง: การพัฒนานวัตกรรมและการนำไปใช้เชิงพาณิชย์ ดร.ขจรศักดิ์ เฟื่องนวกิจ จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า ผลกระทบของงานวิจัยมีทั้งในเชิงวิชาการ เศรษฐกิจ และสังคม บางงานแม้จะไม่ถึงการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์แต่ก็ถือว่ามีคุณค่า นั่นคือเป้าหมายสูงสุดในการทำงานวิจัย การออกแบบงานวิจัยมีทั้งการวิจัยและพัฒนาให้เกิดเทคโนโลยีแล้วต่อยอดไปสู่ตลาด แต่คนต้องการหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ต้องพึงระวังในการกำหนดโจทย์ กับอีกแบบที่เริ่มจากการสำรวจความต้องการของตลาดหรือชุมชนก่อนตั้งโจทย์และทำวิจัย ทั้งนี้นักวิจัยรุ่นใหม่ควรจะต้องหาโจทย์วิจัยที่ใช่หรือชอบ มีทีมวิจัยหรือนักวิจัยที่ปรึกษามาร่วมทีมก่อนจะลุยเดี่ยว

ด้าน ศ. ดร.ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช เมธีวิจัยอาวุโส สกว. จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่าปัจจุบันการคิดโจทย์วิจัยเปลี่ยนไป มีความเป็นสหวิทยาการและบูรณาการกันมากขึ้น ถ้านักวิจัยปรับตัวไม่ได้จะลำบากเพราะมีการแข่งขันกันขอทุนวิจัยสูงขึ้น การวิจัยและพัฒนาคือเปลี่ยนเงินให้เป็นความรู้ แต่วิจัยและนวัตกรรมเป็นการเปลี่ยนความรู้ให้เป็นเงิน แต่ตนอยากฝากถึงนักวิจัยรุ่นใหม่ว่าต้องสร้างเครดิตให้ตัวเองมีความเข้มแข็งทางวิชาการก่อน อย่าหวั่นไหวกับกระแสว่าตีพิมพ์อย่างเดียวแล้วกินไม่ได้ ต้องมีความสมดุลกันทั้งสองฝ่าย เพราะการตีพิมพ์ถือเป็นบริบทของงานวิจัย การสร้างนักวิจัยและผลงานตีพิมพ์ที่มีคุณภาพถือเป็นผลประโยชน์ทางอ้อมที่มีมูลค่ามหาศาล ส่วนเทคนิคการสร้างเครดิตให้เป็นที่รู้จัก คือ การออกงานแสดงนิทรรศการและประกวดทั้งระดับชาติและนานาชาติ เพื่อให้คนเห็นผลงานของเรามากขึ้น เอกชนจะวิ่งมาหาเราเองและใช้ความรู้แก้ปัญหาของภาคอุตสาหกรรม แต่ก็ต้องมีความรู้และบริบทความแปลกใหม่ด้วย มิฉะนั้นจะเป็นงานบริการอุตสาหกรรม ที่สำคัญอย่าให้ความเชี่ยวชาญของนักวิจัยแปรเปลี่ยนตามปีงบประมาณ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คนข่าว 'พนมเปญโพสต์' แถลงต่อต้านคำสั่งปลดข่าวเทคโอเวอร์สื่อจากหน้าแรก

Posted: 08 May 2018 01:41 AM PDT

สมาคมสื่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ SEAPA เผยแพร่แถลงการณ์กองบรรณาธิการในอดีตและปัจจุบันของพนมเปญโพสต์ สื่ออิสระแหล่งสุดท้ายในกัมพูชา ต่อการที่เจ้าของคนใหม่เรียกร้องเซ็นเซอร์ข่าวการเทคโอเวอร์พนมเปญโพสต์ออกจากหน้าเว็บ และสงสัยว่าเจ้าของสื่อคนใหม่จะเกี่ยวข้องกับรัฐบาลกัมพูชาและมาเลเซีย

เมื่อ 7 พ.ค. 2561 สมาคมสื่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAPA) เผยแพร่แถลงการณ์ที่มีผู้ลงนามเป็นพนักงานของพนมเปญโพสต์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลังจากมีกรณีการกดดันด้วยข้อบังคับเรื่องภาษีจนทำให้พนมเปญโพสต์ต้องเปลี่ยนเจ้าของไปเป็นศิวกุมาร คณปติ นักลงทุนชาวมาเลเซีย ผู้ที่เคยทำงานให้รัฐบาลกัมพูชา และเกี่ยวข้องกับรัฐบาลมาเลเซีย จนทำให้สงสัยว่าจะส่งผลกระทบต่อการควบคุมการทำงานของสื่อหรือไม่

พวกเขาเปิดเผยในแถลงการณ์ว่ามีคำสั่งปลดข่าวหน้าแรกออกจากเว็บไซต์โดยเป็นคำสั่งมาจากตัวแทนเจ้าของคนใหม่ คำสั่งดังกล่าวไม่มีการอ้างเหตุผลในเรื่อง "ความไม่แม่นยำของข้อเท็จจริง" ใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งเจ้าของรายใหม่ยังได้ไล่หัวหน้าบรรณาธิการพนมเปญโพสต์ (editor-in-chief) ออกด้วย

จากข้อความในแถลงการณ์ระบุว่า "ข้อเขียนของพวกเขาเขียนขึ้นเพื่อจะดำรงความโปร่งใสและบูรณภาพของหนังสือพิมพ์พวกเราเอาไว้ แบบที่เราเคยทำมาแล้วมากกว่า 25 ปี"

แถลงการณ์ระบุว่า กลุ่มคนทำงานของพนมเปญโพสต์ทั้งในอดีตและปัจจุบันตามที่ลงนามไว้ข้างท้ายขอประณามคำสั่งของเจ้าของรายใหม่ที่สั่งให้นำบทความหน้าแรกของสื่อพนมเปญโพสต์ออก โดยบทความดังกล่าวพูดถึงเรื่องการขายทอดหนังสือพิมพ์และการที่เจ้าของรายใหม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูงทั้งของกัมพูชาและของมาเลเซีย

จากกรณีนี้ยังทำให้คณะทำงานของพนมเปญโพสต์จำนวนมากลาออกเพื่อเป็นการประท้วง มีอยู่บางส่วนที่ยังคงทำงานอยู่ในพนมเปญโพสต์ต่อไปด้วยสภาวการณ์ส่วนบุคคล แต่ทั้งคนที่ประท้วงด้วยการลาออกและคนที่ยังทำงานอยู่ต่างก็ลงนามในแถลงการณ์โต้ตอบคำสั่งเพื่อ "แสดงความรังเกียจต่อการตัดสินใจที่ขัดต่อคุณค่าของเสรีภาพสื่อที่คณะทำงานของพวกเขาทำงานหนักเพื่อรักษามันไว้มาตั้งแต่ปี 2535"

เรียบเรียงจาก

แถลงการณ์ของคณะทำงาน Phnom Penh Post ที่เผยแพร่ผ่าน Facebook เพจ SEAPA ลงวันที่ 7 พ.ค. 2561

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยื่นหนังสือค้านซุปเปอร์บอร์ดสาธารณสุข ชี้ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน

Posted: 08 May 2018 01:29 AM PDT

กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ค้านร่างกฎหมายสุขภาพแห่งชาติ ชี้ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน หวั่น สธ.รวบอำนาจ เปิดช่องร่วมจ่ายบัตรทอง

 
8 พ.ค.2561 รายงานข่าวแจ้งว่า วันนี้ ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ร่วมยื่นหนังสือคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติ แก่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี 
 
อภิวัฒน์ กวางแก้ว ตัวแทนกลุ่มคนรักหลักประกันฯ ให้สัมภาษณ์ว่า ทางกลุ่มฯ ต้องการให้ถอนร่าง พ.ร.บ.นี้ หรือที่เรียกว่า พ.ร.บ.ซุปเปอร์บอร์ดของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)  ออกจากการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อน เนื่องจากมีปัญหาหลายอย่าง เช่น การมีซุปเปอร์บอร์ดเป็นการรวมอำนาจของ สธ. และทำลายหลักการมีส่วนร่วมระหว่างผู้ซื้อบริการ และผู้จัดบริการ ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจได้เลย
 
"การแก้กฎหมายนี้ ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน อย่างคณะกรรมการที่มี 44 คน มีตัวแทนจากประชาชนแค่ 3 คน แล้วจะถ่วงดุลอำนาจได้อย่างไร หรือการเปิดช่องให้มีการร่วมจ่ายในระบบหลักประกันสุขภาพ ซึ่งอันนี้พวกเราไม่เห็นด้วย จึงมายื่นหนังสือให้รองนายกรัฐมนตรี ยับยั้งเรื่องเอาไว้ก่อน" อภิวัฒน์ กล่าว
 
ทั้งนี้ กลุ่มคนรักหลักประกันฯ มีข้อเสนอ ดังนี้ คือ 1.ให้ใช้โครงสร้างคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งมีองค์ประกอบของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างการเป็นผู้อภิบาลระบบ (Regulator) และการเป็นผู้จัดบริการ (Provider) 2. สนับสนุนให้ สธ.เป็นผู้อภิบาลระบบอย่างสมบูรณ์ โดยแยกหน่วยบริการทั้งหมดออกจาก สธ. ให้บริหารจัดการภายใต้การมีส่วนร่วมของชุมชน 3. สนับสนุนการจัดสิทธิประโยชน์หลัก สิทธิประโยชน์เสริมตามข้อเสนอ SAFE 4. เห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ แต่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งเขตสุขภาพขึ้นใหม่ 
 
นอกจากนี้ รายงานข่าวระบุด้วยว่า มีความเคลื่อนไหวในพื้นที่ เช่น กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ภาคเหนือ ร่วมกันส่งจดหมายไปยัง พล.อ.ฉัตรชัย พร้อมส่งสำเนาไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เช่นเดียวกัน 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อุทธรณ์คำสั่ง กกต. ยัน 'เกรียน' เป็นชื่อพรรคถูกต้องตามกฏหมาย

Posted: 07 May 2018 11:37 PM PDT

บก.ลายจุด ยื่นอุทธรณ์คำสั่ง กกต. หลังปฏิเสธจดแจ้งจัดตั้งพรรคชื่อเกรียน ยัน 'เกรียน' เป็นชื่อพรรคถูกต้องตามกฏหมาย ชี้ทั่วโลกตั้งชื่อพรรคแปลกๆ จำนวนมาก ถือว่าเป็นวิวัฒนาการทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตย 

8 พ.ค.2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่า วันนี้ สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ผู้ก่อตั้งพรรคเกรียน ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ตีความชื่อพรรคใหม่ หลัง กกต.ไม่อนุญาตให้จดแจ้งจัดตั้งพรรคชื่อเกรียน โดยยืนยันว่า คำว่าเกรียน ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2554 ไม่ได้มีความหมายขัดต่อความสงบเรียบร้อย ไม่ได้ขัดรัฐธรรมนูญ อย่างที่เป็นเหตุผลที่ กกต.ไม่อนุญาต นอกจากนี้ ในสังคมก็มีการใช้คำว่าเกรียนไปในเชิงสร้างสรร มีการนำไปเป็นชื่อรายการทีวี ซึ่ง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ก็ไม่ได้สั่งระงับ หรือห้ามใช้ชื่อรายการ และ คำว่าเกรียนของชื่อพรรค ไม่ได้หมายถึงคำว่าเกรียนที่เป็นคำแสลงที่ใช้ในปัจจุบัน 

สมบัติ กล่าวด้วยว่า ทั่วโลกก็มีการตั้งชื่อพรรคแปลกๆ จำนวนมาก ถือว่าเป็นวิวัฒนาการทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตย และก่อนหน้านี้ นายทะเบียนพรรคการเมืองของเราก็เคยรับรองชื่อพรรคถิ่นกาขาวมาแล้ว ดังนั้น จึงเห็นว่าคำวินิจฉัยของนายทะเบียนที่ไม่รับจดแจ้งจัดตั้งพรรคเกรียน จึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และว่า เจ้าหน้าที่ กกต.ที่มารับหนังสือชี้แจงว่า กกต.จะใช้เวลาในการพิจารณาคำอุทธรณ์ประมาณ 30 วัน หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ก็จะไปยื่นฟ้องศาลปกครอง หากศาลยืนตาม กกต. ก็ได้เตรียมชื่อสำรองไว้แล้ว 

รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า นอกจากพรรคเกรียนจะถูกนายทะเบียนห้ามแล้ว ยังมีพรรคเห็นแก่ตัวที่นายทะเบียนได้แจ้งว่า ไม่อนุญาตให้ใช้ชื่อดังกล่าว และให้ไปดำเนินการแก้ไข 

ขณะที่ สมบัติ ได้โพสต์หนังสือขออุทธรณ์หนังสือการแจ้งการเตรียมการจัดตั้งพรรคการเมืองต่อ กกต. ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวในลักษณะสาธารณะ โดยมีรายละเอียดดังนี้

เขียนที่ Google Docs

๗  พฤษภาคม  ๒๕๖๑

เรื่อง     ขออุทธรณ์หนังสือการแจ้งการเตรียมการจัดตั้งพรรคการเมือง
เรียน     นายทะเบียนพรรคการเมือง

อ้างถึง   หนังสือที่ ลต (ทนพ) ๐๐๓๕/๒๕๗๗ ลงวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑

สิ่งที่ส่งมาด้วย

๑.รายชื่อพรรคการเมืองแปลกๆทั่วโลก
๒.ความหมายคำว่า "สแลง" ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน

นายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ทำหนังสือตามที่อ้าง ถึงข้าพเจ้าและคณะผู้แจ้งการเตรียมการจัดตั้งพรรคเกรียน ซึ่งเป็นคณะจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองในนามพรรคเกรียน   ข้าพเจ้าและคณะฯ ขออุทธรณ์ต่อข้อวินิจฉัยในหนังสือดังกล่าว ขอชี้แจงยืนยันและโต้แย้ง ตามคำอธิบายดังต่อไปนี้

๑. ตามความหมายของคำว่า "เกรียน" ที่ท่านนำมาใช้อ้างถึงความไม่เหมาะสมในการใช้ชื่อพรรค โดยระบุว่า คำว่า เกรียน หมายถึง คนที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ก่อกวน ไร้เหตุผล ไม่พบปรากฏเป็นความหมายที่มีการใช้ในภาษาราชการแต่ประการใด ท่านได้ใช้ความหมายของความหมายสแลงจากพจนานุกรมคำใหม่ซึ่งยังไม่มีการยอมรับให้ใช้ความหมายที่ท่านกล่าวอ้างในภาษาราชการ ในขณะเดียวกันพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายที่เป็นทางการไว้ว่า สั้นเกือบติดหนังหัว ผิวหนัง หรือพื้นที่ เช่น ผมเกรียน หมาขนเกรียน หญ้าเกรียน ซึ่งข้าพเจ้าและคณะผู้แจ้งการเตรียมการจัดตั้งพรรคเกรียนได้ชี้แจงความหมายต่อเจ้าหน้าที่ในการรับจดแจ้งชื่อ โดยมีสื่อมวลชนที่มาทำข่าวเป็นพยาน (Link อ้างอิง https://www.facebook.com/100009079713697/videos/pcb.430733634030293/1918644791781493/?type=3&theater&ifg=1 ) การวินิจฉัยของท่านในความหมายของคำว่า "เกรียน" จึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่ข้าพเจ้าได้แจ้งไว้แต่ต้น และมิอาจยอมรับได้

๒. สแลงหรือคำสแลง ตามพจนานุกรมไทยฉบับราชบัญฑิตยสถาน หมายถึง ถ้อยคำหรือสำนวนที่เข้าใจกันเฉพาะในคนบางกลุ่มหรือในชั่วระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ใช้ในภาษาพูดที่ไม่เป็นทางการ และไม่ใช้ในภาษาเขียน  ดังนั้น ความหมายของคำว่าเกรียน ที่มาจากคำสแลง จึงไม่ถือว่าเป็นความหมายที่เป็นทางการ ใช้เพียงเฉพาะกลุ่ม และนับเป็นความหมายที่ใช้ในชั่วระยะเวลาใด เวลาหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นสถานะของคำสแลงหากเทียบไม่ได้กับความหมายที่แท้จริงที่ระบุอยู่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ

๓. การที่ท่านคาดคะเนว่า "อาจก่อให้สังคมเกิดความสับสนในความหมายอันอาจไม่มีความเหมาะสมและเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน" เห็นได้ชัดว่าเป็นการคาดเดา/คาดคะเน ที่คลาดเคลื่อน ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ดังปรากฏเป็นความจริงแล้วว่า สังคม ได้เข้าใจความหมายเชิงสร้างสรรค์ ทางบวก ของคำว่าเกรียน เป็นที่ตรงกัน ดังเห็นได้จากรายการทีวี เกรียนอัฉริยะ ซึ่งออกอากาศในช่อง GMM25 โดยเป็นรายการที่ให้เยาวชนออกมาแสดงความสามารถพิเศษของตนเอง หรือแม้แต่รายการ เกรียนทีวี ในเพจ Facebook ก็เป็นรายการที่เสนอสถานที่ท่องเที่ยวและเมนูอาหารที่น่าสนใจ ทั้งนี้จะมีกิจกรรมต่าง ๆ อีกมากมายที่มีการใช้คำว่าเกรียนที่เป็นคำสแลงในเชิงสร้างสรรค์จำนวนมาก และไม่เคยปรากฏชื่อองค์กร รายการทีวี สินค้าใด ที่ใช้คำว่าเกรียนและกระทำการอันก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีงามตามที่ท่านได้กังวล

๔. ในหนังสือของ กกต ได้แจ้งขอให้ทางข้าพเจ้าและคณะฯ ทำการเปลี่ยนแปลงชื่อพรรคเป็นชื่ออื่น ซึ่งหากข้าพเจ้าได้เปลี่ยนเป็นพรรค "ขวดน้ำ" ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีสแลงใด และ กกต อนุมัติให้จัดตั้งพรรคขวดน้ำได้ แต่ต่อมาวันหนึ่งคำว่าขวดน้ำเกิดมีความหมายทางสแลงและถูกตีความว่าอาจก่อให้เกิดความไม่สงบหรือขัดต่อศีลธรรมอันดีงาม พรรคขวดน้ำจะต้องถูกยุบหรือมีคำสั่งให้เปลี่ยนชื่ออีกหรือไม่ ซึ่งแม้นว่านี่เป็นเพียงการยกตัวอย่าง แต่ก็ทำให้เห็นถึงกระบวนการอันผิดปกติของแนวคิดเรื่องการใช้คำสแลงมาเป็นปัจจัยในการอนุญาตการใช้ชื่อพรรค

๕. พรรคการเมืองทั่วโลกล้วนมีพัฒนาการในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการตั้งชื่อพรรคซึ่งอาจฟังดูแปลกๆ เช่น พรรคโจรสลัด พรรคหมาสองหาง พรรคเจได ฯลฯ ดังนั้นการตั้งชื่อพรรคเกรียนจึงมิได้มีความแปลกแตกต่างไปจากพรรคการเมืองในโลกใบนี้ ล้วนแล้วเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และหากกล่าวอ้างถึงพรรคการเมืองในไทย พรรคถิ่นกาขาวก็เคยได้รับอนุญาตจดแจ้งชื่อและลงสมัครรับเลือกตั้งมาแล้วเช่นกัน  ( Link รายชื่อพรรคแปลกทั่วโลก https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_frivolous_political_parties )

๖. จากเหตุผลที่ได้กล่าวมาข้างต้น การตั้งชื่อพรรคโดยใช้คำว่า เกรียน จึงไม่ปรากฏว่าความหมายของคำว่า "เกรียน" อย่างเป็นทางการ ว่าจะเข้าข่ายเป็นไปตามมาตรา ๑๘ ประกอบมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ แต่อย่างใด ดังนั้นเราจึงขอแสดงสิทธิ เสรีภาพในการใช้ คำว่า "เกรียน" เป็นชื่อพรรคอย่างถูกต้องตามกฏหมาย

ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินการจัดตั้งพรรคเกรียน ซึ่งเป็นองค์กรทางการเมืองของประชาชนสามารถเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย เพื่อสร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตยและนำพาความบันเทิงสู่การเมืองไทย จึงขอให้ท่านทบทวนคำวินิจฉัยการอนุญาตการจดแจ้งชื่อพรรคเกรียนตามเหตุผลที่อธิบายมา ณ หนังสือฉบับนี้

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา


ขอแสดงความนับถือ

( สมบัติ บุญงามอนงค์ )
ตัวแทนคณะผู้แจ้งการเตรียมการจัดตั้งพรรคเกรียน

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พช. แจงบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีฯ ไม่มีเลิกกิจการ

Posted: 07 May 2018 10:45 PM PDT

กรมการพัฒนาชุมชน แจงบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีฯ ไม่มีเลิกกิจการ ยังเดินเครื่องเต็มสูบทั้ง 77 บริษัท ระบุสร้างรายได้แล้วกว่า 1 พันล้าน
 
8 พ.ค.2561 กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย รายงานว่า วันนี้ เมื่อเวลา 08.00 น. อภิชาติ โตดิลกเวชช์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน มอบหมายให้ โชคชัย แก้วป่อง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นผู้แถลงข่าวชี้แจงประเด็น : ผลประกอบการ บมจ.ประชารัฐฯ ณ ห้องประชุม 5001 ชั้น 5 กรมการพัฒนาชุมชน
 
โชคชัย กล่าวว่า ตามที่มีแหล่งข่าวได้นำเสนอผลประกอบการของบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ขาดทุนฯ ในสาระสำคัญโดยอ้างข่าวของหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ประจำวันที่ 5พฤษภาคม 2561 ที่รายงานว่า แหล่งข่าวจากบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี จำกัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม)  ได้เปิดเผยว่า บมจ.ประชารัฐหลายจังหวัดทั่วประเทศ ขณะนี้กำลังอยู่ในสภาพขาดการขับเคลื่อน บางจังหวัดเพียงรอจ่ายเงินให้หมดแล้วยุติกิจกรรม และบางจังหวัดกว่า 80% ได้ทำเรื่องถึงผู้ลงทุนเพื่อคืนเงินหุ้น แล้วยุติกิจการ ขณะเดียวกันมี บมจ.ประชารัฐ เพียง 20% ที่มีการขับเคลื่อนกิจกรรมงานในกรอบที่ต่อเนื่อง เนื่องจากขาดเงินทุน ขาดการสนับสนุนอย่างจริงจัง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมทั้งหมดต้องออกเอง รวมถึงขาดบุคลากรในการทำงานต่าง ๆ นั้น
 
โชคชัยกล่าวว่า การจัดตั้งบริษัทประชารัฐ รักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัดนั้น มีที่มาจากรัฐบาลกำหนดนโยบายสำคัญเร่งด่วนคือ "ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้สังคม" โดยดำเนินนโยบายคือ "สานพลังประชารัฐ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก" ใช้พลัง "ประชารัฐ" เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน โดยมีหลักสำคัญ คือ ชุมชนลงมือทำ > เอกชนขับเคลื่อน > รัฐบาลสนับสนุน ซึ่งยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนวิสาหกิจเพื่อสังคม ประกอบด้วย 1 เป้าหมาย ดำเนินงานโดยมุ่งสู่เป้าหมายเดียว คือ สร้างรายได้ให้กับชุมชน เพื่อประชาชนมีความสุข, 3 กลุ่มงาน มีกิจการใน 3 เรื่อง คือ การเกษตร การแปรรูป และการท่องเที่ยวโดยชุมชน และ 5 กระบวนการ คือ การเข้าถึงปัจจัยการผลิต การบริหารจัดการ การสร้างองค์ความรู้ การตลาดและการสื่อสารสร้างการรับรู้
 
การจัดตั้งบริษัทประชารัฐรักสามัคคี (จังหวัด) ครบทั้ง 76 จังหวัด ในรูปบริษัทที่เป็นไปตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ต้องมีคณะกรรมการซึ่งมาจากภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ ร่วมรับผิดชอบบริหารจัดการบริษัท และบริษัทประชารัฐรักสามัคคี (จังหวัด) จะทำหน้าที่ค้นหาชุมชนที่มีศักยภาพและมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมดำเนินการ และอีก 1 ส่วนกลาง คือ มีบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทกลาง ทำหน้าที่สนับสนุนช่วยเหลือเรื่องการบริหารจัดการและการตลาด และขณะนี้ยังมีการดำเนินการตามปกติทั้ง 77 บริษัท
 
ต่อประเด็นที่ว่า บริษัท ประชารัฐ รักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ขอยุติกิจการ และคืนเงินหุ้นนั้น กรมการพัฒนาชุมชน ขอชี้แจงว่า ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ทุกจังหวัด บริษัทประชารัฐ รักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ทั้ง 77 บริษัท ยังมีการดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่องไม่เป็นไปตามข่าวที่มีการขอยุติและคืนหุ้นแม้แต่แห่งเดียว ไม่มีจังหวัดใดแจ้งยุติการดำเนินงาน ซึ่งการยกเลิกกิจการบริษัทต้องปฏิบัติตามระเบียบของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
 
นอกจากนี้ ยังได้มีการดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยมีข้อมูลผลการดำเนินงานถึงเดือนเมษายน 2561 ทุกจังหวัด (77 บริษัท) โดยมีการพัฒนากลุ่มเป้าหมาย จำนวน 3,685 กลุ่ม สร้างรายได้รวม 1,653,130,058 บาท ผู้ได้รับประโยชน์ จำนวน 614,180 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่มงาน ดังนี้ เกษตร 955 กลุ่ม เกิดรายได้ 656,628,008 บาท, แปรรูป 1,898 กลุ่ม เกิดรายได้ 752,510,153 บาท, ท่องเที่ยวโดยชุมชน 832 กลุ่ม เกิดรายได้ 243,991,897 บาท หากพื้นที่ต้องการรับการสนับสนุนสามารถเสนอกลุ่มเป้าหมายให้คณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐ ประจำจังหวัด (คสป.) พิจารณาสนับสนุน
 
ในประเด็นที่ว่า บริษัทประชารัฐ รักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ขาดเงินทุน ขาดการสนับสนุนอย่างจริงจัง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมทั้งหมดต้องออกเอง รวมถึงขาดบุคลากรในการทำงานต่างๆ นั้น กรมการพัฒนาชุมชนขอชี้แจงว่า  บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทุกบริษัทฯ มีงบประมาณที่เป็นหุ้นที่ระดมทุนจากภาคเอกชน และคนในจังหวัด สามารถระดมทุนได้เฉลี่ยจังหวัดละ 4 ล้านบาท บริษัทฯ สามารถกำหนดแนวทางการบริหารงาน การบริหารค่าใช้จ่าย ดำเนินงานได้เองโดยอิสระ ซึ่งแนวทางการบริหารทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อตกลงและมติจากที่ประชุมของผู้ถือหุ้น
 
ในด้านบุคลากร บริษัทประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) มีคณะกรรมการบริษัท 5 - 10 คนมาจากหลายภาคส่วนทำหน้าที่บริหารงาน และมีเจ้าหน้าที่ทำงานประจำที่เรียกว่า นักพัฒนาธุรกิจ ทุกจังหวัดๆ ละ 1-2 คน รวมทั้งมีคณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐประจำจังหวัด (คสป.) เป็นที่ปรึกษา ซี่งในปัจจุบันยังคงมีการดำเนินงานอยู่อย่างปกติ และมีการประชุมเพื่อติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
 
ส่วนการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐนั้น  กรมการพัฒนาชุมชน ให้การสนับสนุน โดยได้จัดทำโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับ 3 กลุ่มงานหลัก เพื่อช่วยหาและสร้างช่องทางการตลาดให้แก่ชุมชนเป้าหมาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน ในกรณีที่ชุมชนเป้าหมายการพัฒนายังมีความต้องการได้รับการสนับสนุน สามารถที่จะเสนอความต้องการเข้าสู่แผนพัฒนาจังหวัดและแผนในระดับต่างๆ ได้ซึ่งมีงบประมาณรองรับอยู่แล้ว
 
กรมการพัฒนาชุมชนได้ให้สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มหาวิทยาลัยรังสิต Yunus Center AIT สถาบันไทยพัฒน์ และมูลนิธิสัมมาชีพ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ทำการศึกษาโครงการค้นหาต้นแบบการต่อยอด และขยายผลความสำเร็จการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ โดยรายงานการวิจัย พบว่า การดำเนินงานโดยบริษัทประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) และ บริษัทประชารัฐ -  รักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด สามารถสร้างและเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน เป็นแนวทางในการพัฒนาต่อยอดสินค้าให้เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจ และเป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่เหมาะสม"
 
โชคชัยกล่าวถึงแนวทางการพัฒนาต่อไปในอนาคตด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการออกกฎหมาย พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ...... เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทฯนอกจากนี้ภาครัฐมีการสนับสนุนให้บริษัทฯ พัฒนาแผนธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ แล้วนำรายได้ไปขยายผลในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอีกด้วย
 
"บริษัท ประชารัฐ รักสามัคคี เป็นการร่วมมือกันทุกภาคส่วนของคนในพื้นที่ที่มีความพร้อมและต้องการช่วยคนในจังหวัดที่ยังต้องการความช่วยเหลือ ผู้ที่ด้อยโอกาสและยากจน เป็นการจัดโครงการ ที่มีกฎหมายรองรับและมีความต่อเนื่องการทำงาน ข่าวที่ปรากฎว่า มีการขาดสภาพการขับเคลื่อน รอจ่ายเงินให้หมดแล้วยุติกิจกรรม จึงเป็นข่าวที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงแต่อย่างใด" รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สืบพยานคดี 112 ประเวศ แย้งศาลหนัก สุดท้ายยอมไม่ขวาง ศาลยันจะเป็นธรรมที่สุด

Posted: 07 May 2018 10:15 PM PDT

สืบพยานคดี ม.112 ประเวศ แย้งศาลหนัก สุดท้ายยอมไม่ขวาง ศาลยันจะเป็นธรรมที่สุด สถานการณ์คลี่คลายแล้ว ก่อนสืบพยาน 2 ปาก คือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้แจ้งความและ ตร. ประมาณ 1 ชั่วโมง พยานที่เหลือจะมีการพิจารณาในวันพรุ่งนี้

 

ที่มาภาพ เพจ Banrasdr Photo

8 พ.ค.2561 ที่ศาลอาญา รัชดา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ เมื่อเวลา 9.45 น. ผู้พิพากษา 4 คนขึ้นบัลลังก์พิจารณาคดี ห้อง 707 ในนัดสืบพยานโจทก์ปากแรก คือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง  หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในคดี 112 ที่ ประเวศ ประภานุกูล ที่ตกเป็นจำเลย 

จำเลยและผู้พิพากษาสนทนาโต้แย้งกันนานประมาณ 30 นาทีก่อนทุกคนถูกสั่งให้ออกจากห้องเนื่องจากศาลสั่งพิจารณาคดีลับ 

ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาโดยสรุป

ประเวศ มาในชุดนักโทษ ใส่กุญแจข้อเท้า มีผ้าปิดปาก ลุกขึ้นยืนกล่าวด้วยเสียงแหบจากอาการหวัดกับศาลว่า ศาลไม่มีความชอบธรรมที่จะพิจารณาคดีนี้

ผู้พิพากษาหญิงซึ่งเป็นผู้สนทนากับจำเลยเป็นหลักตอบว่า ศาลต้องพิจารณา เพราะฟ้องมาแล้ว

จำเลย กล่าวว่า เช่นนั้นก็พิจารณาลับหลังตนไป แต่ตนมีสิทธิต่อต้าน

ผู้พิพากษาหญิงกล่าวว่า ศาลจะให้ความเป็นธรรมอย่างดีที่สุด

จำเลย กล่าวว่า สภาพตนแบบนี้ ศาลให้ความเป็นธรรมแล้วหรือ 

ผู้พิพากษาชาย กล่าวว่า สภาพก็สมบูรณ์ดี ไม่ได้ทุพพลภาพ การถูกคุมตัวเพราะเป็นผู้ต้องหานั้นใช้หลักเกณฑ์เดียวเช่นคนอื่นๆ

ผู้พิพากษาหญิง กล่าวว่า ขอให้เชื่อว่าศาลจะให้ความเป็นธรรมอย่างที่สุด

จำเลย กล่าวว่า ตนไม่เชื่อ

ผู้พิพากษาหญิง กล่าวว่า จำเลยอย่าคิดแบบนั้น ยังไงคดีก็ต้องพิพากษาอยากให้จำเลยสู้ให้เต็มที่ และไม่อยากให้จำเลยคิดแบบนั้

จำเลย กล่าวว่า สภาพแบบนี้ตนจะสู้ยังไง แถลงการณ์ฉบับ 5-7 ส่งให้ศาล ศาลก็ไม่ได้ จะถือเอกสารออกมาจากเรือนจำเรือนจำก็ไม่อนุญาต 

ผู้พิพากษาหญิง กล่าวว่า มีอยู่ในสำนวนแล้วศาลไม่รู้ฉบับไหนแต่ศาลอ่านหมดทุกอย่าง หากจำเลยต้องการจะยื่นใหม่เขียนวันนี้เลยก็ได้

จำเลย กล่าวว่า ยังไงตนยืนยันไม่ยอมให้สืบพยานต่อหน้าตน

ผู้พิพากษาหญิง กล่าวว่า ก็ไม่ต้องสนใจ แต่จำเลยไม่มีทนาย จึงไม่อนุญาตให้พิจารณาลับหลังจำเลย

จำเลย กล่าวว่า ศาลสั่งไม่ให้ประกันตัวให้เหตุผลราวกับพิพากษาคดีล่วงหน้าแล้ว

ผู้พิพากษาหญิง กล่าวว่า ศาลยังไม่ได้ตัดสินคดีเลย เจ้าของสำนวนกำลังจะพิจารณาอยู่นี่ ขอให้จำเลยไปนั่งที่ (เพราะจำเลยเดินเข้าไปพูดใกล้กับบัลลังก์พิจารณาคดี)

จำเลย กล่าวว่า ก็สืบพยานข้างเดียวแล้วลงโทษตน 50 ปีไป

ผู้พิพากษาหญิง กล่าวว่า รู้ได้ยังไง ศาลยังไม่ได้พิพากษา ทำไมคิดว่าศาลจะลงโทษ 50 ปี ศาลบอกได้เลย ถ้าไม่ผิดคือไม่ผิด ไม่ว่าข้อหาอะไร ไม่มีใครครอบงำศาล เมื่อสำนวนเป็นของศาลแล้วศาลจะให้ความเป็นธรรม ไม่ว่ากี่กระทง ถ้าไม่ผิดศาลจะยกฟ้อง ศาลได้อ่านทุกอย่างในสำนวน รู้ถึงความคับข้องใจของจำเล

ผู้พิพากษาชาย กล่าวว่า จำเลยใจเย็นๆ ฟังศาลหน่อย อะไรๆ มันจะคลี่คลายลงแล้ว เราจะตัดสินให้ดีที่สุด เชื่อศาลเถอะ สถานการณ์มันเริ่มคลี่คลายแล้ว

จำเลย กล่าวว่า เอาเป็นว่าตนไม่ขัดขวางแต่ยืนยันว่าไม่ยอมรับกระบวนการ 

ผู้พิพากษาหญิง กล่าวว่า ศาลยืนยันว่าศาลมีความปรารถนาดีกับจำเลย ศาลจะให้ความเป็นธรรมอย่างที่สุด และหากจำเลยจะเปลี่ยนใจสืบพยานก็ทำได้ 


จากนั้นอัยการและศาลหารือร่วมกันก่อนศาลจะสั่งพิจารณาคดีลับ ทุกคนออกจากห้อง เจ้าหน้าที่จากสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แจ้งศาลว่าได้ทำหนังสือขอสังเกตการณ์คดีมาแล้วล่วงหน้า แต่ศาลยืนยันไม่อนุญาตใหัใครอยู่ในห้อง


 

กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความที่ประเวศถอนออกไปก่อนหน้านี้ และมีสถานะเป็นเพียงที่ปรึกษากฎหมายของจำเลยออกจากห้องคนหลังสุด และกล่าวว่า ประเวศได้ขอศาลให้เขาอยู่ด้วย ศาลระบุว่าเช่นนั้นต้องแต่งตั้งเป็นทนาย และต้องลงลายมือชื่อรับรองกระบวนการพิจารณาคดีตามปกติ แต่ประเวศไม่ต้องการให้เซ็นต์รับรอง และหากเขาไม่รับรองก็จะถูกร้องเรียนสภาทนายความเพราะทำผิดข้องบังคับของสภาทนายความ ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจออกจากห้อง 

กฤษฎางค์ กล่าวด้วยว่า อันที่จริงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 178 ว่าด้วยการพิจารณาลับของศาลนั้นกำหนดให้ผู้มีส่วนได้เสียที่ศาลอนุญาตสามารถร่วมฟังการพิจารณาคดีได้ กรณีคดี 112 ของไผ่ ดาวดิน ศาลขอนแก่นสั่งพิจารณาคดีลับเช่นกัน แต่พ่อแม่และทนายของไผ่ก็ยังร่วมฟังการพิจารณาคดีในห้องได้ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้มีการสืบพยาน 2 ปาก คือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้แจ้งความและตำรวจที่ตรวจสอบหลักฐาน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พยานที่เหลือจะมีการพิจารณาในวันพรุ่งนี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น