ประชาไท | Prachatai3.info |
- กวีประชาไท: แสวงหา
- โอลกา โตการ์ชุก (Olga Tokarczuk) – นักพเนจรในภูมิภาคจินตกรรม... แห่งชีวิตจริง
- ไม่ใช่คดีแรกและคดีเดียว 31 พ.ค.จับตาศาลอุทธรณ์ตัดสิน ‘อานดี้ ฮอลล์’
- โจทย์ชายแดนใต้กับอนาคตสังคมไทย [คลิป]
- 'ประยุทธ์' ให้ คสช. ติดตาม หลัง 'อนาคตใหม่' เสนอแก้ รธน.-นิรโทษกรรมคดีการเมือง
- อิสลามกับประชาธิปไตย: dilemma ของรัฐศาสนาที่อยากเป็นประชาธิปไตย?
- นัดครั้งที่ 4 ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ 'อภิชาต' ชูป้ายต้านรัฐประหาร 31 พ.ค.นี้
- 'สามัญชน' ผ่านด่านแรก กกต.รับรองชื่อแล้ว ด่าน 2 สมาชิกก่อตั้ง 500 'กิตติชัย' ยันผ่าน 100%
- วิจัย สกว. ชี้ 'ป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน' จ.ตราด ลดโลกร้อน ดูดซับคาร์บอนได้มากกว่า 1.3 แสนตัน CO2/ไร่
- ตร. นำ 'เพนกวิน-พริษฐ์' ลงบันทึกประจำวัน หลังยืนกินมาม่าซ้อมอดอยากรอเลือกตั้ง
Posted: 29 May 2018 09:30 AM PDT
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
โอลกา โตการ์ชุก (Olga Tokarczuk) – นักพเนจรในภูมิภาคจินตกรรม... แห่งชีวิตจริง Posted: 29 May 2018 08:58 AM PDT แหล่งภาพ: https://lareviewofbooks.org/author-page/olga-tokarczuk/#
หากท่านผู้อ่านบทความรู้จัก โอลกา โตการ์ชุก นักเขียนชาวโปลิชที่เพิ่งได้รับรางวัล Man Booker International Prize ไปสด ๆ ร้อน ๆ ผู้เขียนบทความนี้ขอแสดงความยินดีด้วยที่คุณเป็นหนึ่งในเปอร์เซ็นต์อันน้อยนิดในกลุ่มนักอ่านชาวไทย (ผู้คุ้นเคยกับวรรณกรรมภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาอื่น) ที่รู้จักนักเขียนท่านนี้ ผู้อ่านบทความนี้บางท่านคงเคยเห็นชื่อนักเขียนท่านนี้ผ่านตามาบ้างหากติดตามรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม อันเป็นรางวัลที่เธอได้รับเสนอชื่อในปี 2012 แต่กระนั้น หากไม่เคยได้ยินชื่อ โอลกา โตการ์ชุก มาก่อนเลย ก็หาใช่เหตุที่เราต้องจิกทึ้งผมด้วยความรู้สึกละอายไม่ ด้วยหนังสือที่แปลเป็นภาษาอังกฤษของนักเขียนท่านนี้ มีเพียง 3 เล่มหลักเท่านั้น (ขอลิสต์มา ณ ที่นี้ ด้วยหวังว่านักอ่านและนักแปลภาษาไทยจะสนใจ) ได้แก่
1. ผลงานที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ ขายดิบขายดี และสร้างชื่อให้นักเขียน คือ House of Day, House of Night (Dom dzienny, dom nocny), trans. Antonia Lloyd-Jones. London: Granta Books, 2002. เท่าที่ทราบ ฉบับแปลเล่มนี้ตีพิมพ์สองครั้ง ครั้งที่สองตีพิมพ์โดย Northwestern University Press ในปีถัดมาคือ 2003 เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าดีอย่างไร แหล่งภาพ: https://www.goodreads.com/book/show/6617921- 2. ผลงานที่นักวิจารณ์ยอมรับว่าเป็นผลงานชิ้นเอกในเชิงการวิพากษ์ประวัติศาสตร์ยุโรปกลาง Primeval and Other Times (Prawiek i inne czasy), trans. Antonia Lloyd-Jones. Prague: Twisted Spoon Press, 2010. สำหรับแฟนวรรณกรรมยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกฉบับแปลภาษาอังกฤษ Twisted Spoon Press ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ที่ก่อตั้งเมื่อค.ศ. 1992 ในบรรยากาศแห่งความหวังหลังยุคมืดแห่งการเซ็นเซอร์ใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ในเชโกสโลวะเกีย เป็นสำนักพิมพ์อิสระที่เผยแพร่และส่งเสริมงานวรรณกรรมของภูมิภาคดังกล่าวชนิดที่การเรียนการสอนยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกศึกษาในโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักนั้นจะขาดเสียไม่ได้ สำนักพิมพ์นี้เรียกได้ว่าเป็นสถาบันในตัวของมันเอง 3. ผลงานน่าอ่านเล่มล่าสุดที่ทำให้เธอได้รับรางวัลในปีนี้ นั่นคือ Flights หนังสือรวมตัวบทเกี่ยวกับการเดินทาง เดี๋ยวจะรีวิวให้ท่านอ่านกัน
แต่ก่อนที่จะรีวิวเนื้อหา ท่านสังเกตเห็นอะไรจากชื่อเรื่องของหนังสือเล่มหลัก ๆ ที่ลิสต์มาหรือไม่? ชื่อเรื่องที่สะท้อนธีมบ้าน ธีมบรรพกาล และธีมการเดินทาง – ดูท่านักเขียนท่านนี้เป็นนักเขียนที่มีสำนึกตระหนักรู้เกี่ยวกับภูมิทัศน์และความเคลื่อนไหวสูงยิ่ง แน่สิ ก็โอลกา โตการ์ชุก เป็นนักเขียนที่มาจากยุโรปกลาง ภูมิภาคจินตกรรม… ที่มีอยู่จริง? ยุโรปกลางคืออะไร ทำไมต้องจับมาเป็นประเด็น |
ไม่ใช่คดีแรกและคดีเดียว 31 พ.ค.จับตาศาลอุทธรณ์ตัดสิน ‘อานดี้ ฮอลล์’ Posted: 29 May 2018 07:28 AM PDT ในวันที่ 31 พ.ค. นี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้มีการนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีที่บริษัทเนเชอรัล ฟรุต จำกัด บริษัทธุรกิจสัปปะรดกระป๋องส่งออก ฟ้อง อานดี้ ฮอลล์ นักวิจัยด้านสิทธิแรงงานข้ามชาติชาวอังกฤษในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ 14(1) จากการจัดทำวิจัยและนำเข้าสู่เว็บไซต์ฟินวอชท์ และแจกเอกสารในการแถลงข่าวงานวิจัยชื่อ 'Cheap Has a High Price (ของถูกที่มีราคาแพง)' ซึ่งได้กล่าวหาว่าโจทก์ละเมิดสิทธิแรงงาน ละเมิดกฎหมายแรงงานและมีการค้ามนุษย์ ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง คดีที่1บริษัทฟ้องคดีอาญาในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ 14(1) จากการทำวิจัยและนำเข้าสู่เว็บไซต์ฟินวอชท์ และแจกเอกสารในการแถลงข่าวงานวิจัยชื่อ 'Cheap Has a High Price (ของถูกที่มีราคาแพง)' เหตุแห่งคดีนี้เกิดในปี 2556 ต่อมาในปี 2559 ศาลชั้นต้นตัดสินว่าอานดี้ มีความผิดตามฟ้อง จากการกระทำสองกรรมดังกล่าว ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 จำคุก 2 ปี ปรับ 100,000 บาท รวมจำคุก 4 ปี ปรับ 200,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์จึงลดโทษลง 1 ใน 4 เป็นจำคุก 3 ปี ปรับ 150,000 บาท นอกจากนี้จำเลยยังทำงานด้านสิทธิเชี่ยวชาญด้านแรงงานข้ามชาติ เป็นประโยชน์อยู่บ้างและไม่เคยจำคุกมาก่อน จึงให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี รวมถึงให้โฆษณาคำพิพากษาโดยย่อให้เว็บฟินวอชท์ เว็บไซต์สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เว็บไซต์ประชาไท เป็นเวลา 30 วัน และในนสพ.ไทยรัฐ บางกอกโพสต์และนสพ.ท้องถิ่น ขนาด 4*5 นิ้ว ติดต่อกัน 7 วันนับแต่มีคำพิพากษา โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณาทั้งหมด ต่อมาหลังจากมีคำพิพากษาไม่นาน อานดี้ได้เดินทางออกจากประเทศไทย โดยระบุว่าไม่สามารถทนต่อการถูกคุกคามด้วยกระบวนการยุติธรรมได้ ในเดือน ก.พ. 2560 ทีมกฎหมายของอานดี้ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคำพิพากษากรณีที่เนเชอรัล ฟรุต ยื่นฟ้อง โดยทางเนเชอรัล ฟรุต ก็ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลเช่นกัน โดยต้องการให้อานดี้กลับมารับโทษจำคุก และคดีกำลังจะมีคำพิพากษาในชั้นศาลอุทธรณ์ในวันที่ 31 พ.ค.นี้ คดีที่ 2บริษัทฟ้องแพ่งในคดีข้างต้น เรียกค่าเสียหายจำนวน 300 ล้านบาท คดีที่ 3บริษัทฟ้องคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาท กรณีที่นายอานดี้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอัลจาซีรา ที่ประเทศเมียนมาร์ เมื่อปี 2556 ถึงงานวิจัยเรื่อง "การละเมิดสิทธิแรงงานข้ามชาติ" ในอุตสาหกรรมผลิตอาหารสำเร็จรูปในประเทศไทย เมื่อเดือน พ.ย. 2559 ศาลฎีกาจังหวัดพระโขนงได้ยกฟ้องคดีหมิ่นประมาทนี้ โดยตอนหนึ่งของคำพิพากษาระบุว่า เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร ผู้กระทำความผิดจึงไม่ต้องรับโทษในราชอาณาจักร โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ กรณีนี้ไม่จำต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย คดีที่ 4คดีแพ่งสืบเนื่องจากการให้สัมภาษณ์อัลจาซีราดังกล่าวข้างต้น ศาลจังหวัดพระโขนงตัดสินเมื่อเดือนมีนาคม 2561 ให้อานดี้จ่ายค่าเสียหายให้กับทางโจทก์ 10 ล้านบาท นอกจากนั้นต้องเสียเงินค่าทนายโจทก์และค่าธรรมเนียมศาลอีก 10,000 บาท บวกดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
โจทย์ชายแดนใต้กับอนาคตสังคมไทย [คลิป] Posted: 29 May 2018 04:45 AM PDT ประชาไท Live "โจทย์ชายแดนใต้กับอนาคตสังคมไทย" ร่วมพูดคุยกับ 1. อานัส พงษ์ประเสริฐ กลุ่ม Saiburi Lookers 2. ปรัชญา โต๊ะอิแต ปาตานี ฟอรั่ม 3. รักชาติ สุวรรณ์ และ 4. อัญชลี คงศรีเจริญ จากเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ ดำเนินรายการโดย เทวฤทธิ์ มณีฉาย พูดคุยสรุปหลังเวทีสาธารณะ "ปัญหาชายแดนใต้กับอนาคตประเทศไทย" ที่อาคาร 2 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อ 26 พฤษภาคม 2561 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'ประยุทธ์' ให้ คสช. ติดตาม หลัง 'อนาคตใหม่' เสนอแก้ รธน.-นิรโทษกรรมคดีการเมือง Posted: 29 May 2018 02:00 AM PDT ประยุทธ์ ระบุ คสช.ติดตามว่าเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ หลัง พรรคอนาคตใหม่ประกาศจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ และนิรโทษกรรมคดีการเมืองในยุค คสช. หากได้รับการเลือกตั้ง กมธ.ร่าง รธน. ชี้จะแก้ต้องทำประชามติ กกต.ยันทำได้ ชี้ ปชช.จะตัดสินเองตอนเลือกตั้ง ขณะที่'วิษณุ' ชี้ไม่น่าจะผิดอะไร แต่คำว่า 'ฉีกทิ้ง' อาจเป็นปัญหาได้ เพราะรุนแรง 29 พ.ค.2561 ภายหลังจากพรรคอนาคตใหม่ประกาศจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ และนิรโทษกรรมคดีการเมืองในยุค คสช. หากได้รับการเลือกตั้งนั้น ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสนับสนุนและคัดค้านจำนวนมาก ประยุทธ์ ระบุ คสช.เช็คเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่โพสต์ทูเดย์ รายงานปฏิกิริยาจาก หัวหน้า คสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของ คสช.ที่จะติดตามว่าการดำเนินการใดเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ "จะทำอะไรขอให้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญ อย่าเอากฎหมายว่าเป็นอุปสรรค เพราะกฎหมายมีไว้ให้เกิดความเป็นธรรม และทุกพรรคก็ไม่ได้ออกมาพูดจาให้ใครเสียหาย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการประชุมพรรค การจัดหาสมาชิกพรรค อะไรก็ว่ากันไป แต่การที่จะมาติติงให้ร้ายอะไรต่างๆ มันสมควรหรือไม่ ก็ต้องไปดูในประเด็นข้อกฎหมาย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว พร้อมระบุถึงเรื่องการพบนักการเมืองในเดือน มิ.ย.เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งนั้นว่า ถ้าพบเพื่อจะกำหนดวันเลือกตั้งก็ไม่ต้องพบ ก็กำหนดได้เลย แต่จะต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า จะเดินหน้ากันอย่างไร จะเคลื่อนไหวกันได้อย่างไร กมธ.ร่าง รธน. ชี้จะแก้ต้องทำประชามติชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า หากจะแก้รัฐธรรมนูญต้องทำประชามติ ขั้นตอนก็มีอีกเยอะ หรือหากต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญตั้งแต่รัฐบาลนี้ ก็มีขั้นตอนตามมาตรา 256 อยู่คือไปล่ารายชื่อมา 5 หมื่นคน เพื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทันที "เชื่อว่าเป็นการโยนหินถามทาง เป็นการแสดงตามบทบาททางการเมือง เหมือนเต้นแร้งเต้นกา อยากเป็นอิสระอยู่ในท้องทุ่ง" ชาติชาย กล่าว กกต.ยันทำได้ ชี้ ปชช.จะตัดสินเองตอนเลือกตั้งวานนี้ (28 พ.ค.61) มติชนออนไลน์ รายงานปฏิกิริยาจาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้วยว่า พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการสำนักงาน กกต. และนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวกรณีนี้ ว่า ตอนนี้ยังไม่ถือว่าเป็นช่วงของการหาเสียงเลือกตั้ง แต่การที่พรรคการเมืองจะหาเสียงหรือนำเสนอนโยบายต่างๆ เป็นเรื่องทางการเมืองที่สามารถทำได้อยู่แล้ว เข้าใจว่า เป็นช่องทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญก็ได้เขียนช่องทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้อยู่แล้ว และหากจะนำเสนอเป็นแนวนโยบายหรืออุดมการณ์ของพรรคการเมือง ก็ไม่น่าจะมีปัญหา ถ้าเป็นการเสนอแก้โดยใช้ระบบของกฎหมาย คงอยู่ในกรอบ ซึ่งทำได้อยู่แล้ว และสามารถนำเสนอต่อประชาชนได้ ขึ้นอยู่กับว่าประชาชนจะสนับสนุนหรือไม่ ซึ่งต้องรอดูในการเลือกตั้ง พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการจัดการเลือกตั้งส.ส.โดยเฉพาะในเรื่องของการแบ่งเขตเลือกตั้ง ว่า ขึ้นอยู่กับร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.จะมีผลบังคับใช้เมื่อใด กกต.ก็จะออกระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเรื่องของการแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยในข้อเท็จจริงในพื้นที่แต่ละจังหวัดก็จะพอทราบอยู่แล้วว่าจะมีการแบ่งเป็นกี่เขต แบ่งอย่างไร แต่การแบ่งเขตกกต.ต้องฟังเสียงประชาชนในพื้นที่และผู้สมัครเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ซึ่งโดยปกติกกต.จะให้ผอ.กกต.ประจำจังหวัดเสนอรูปแบบการแบ่งเขตในแต่ละเขตมา 3 รูปแบบ จากนั้นจะมีการรับฟังเสียงของประชาชนและผู้สมัคร ก่อนที่กกต.จะมีมติคัดเลือก ส่วนความคืบหน้ากรณีที่พรรคการเมืองเก่า ที่ยังดำเนินกิจกการจะต้องแจ้งผลการยืนยันการเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง มายังนายทะเบียนพรรคการเมืองภายในวันที่ 31 พ.ค. ตามคำสั่งคสช. ได้รับทราบจากเจ้าหน้าที่ว่าขณะนี้มีพรรคการเมืองทยอยแจ้งมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถจะบอกได้ว่ามีพรรคการเมืองใดบ้าง แต่ทุกพรรคการเมืองต้องรายงานข้อมูลมาให้นายทะเบียนพรรคการเมืองภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ 'วิษณุ' ชี้ไม่น่าจะผิดอะไร แต่คำว่า 'ฉีกทิ้ง' อาจเป็นปัญหาได้ เพราะรุนแรงขณะที่ไทยโพสต์ รายงานว่า วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ประกาศหากมีอำนาจจะนิรโทษกรรมคนที่โดนคดีทางการเมืองในยุค คสช. ว่า ไม่น่าจะผิดอะไร เพราะเป็นการแสดงเจตนารมณ์ ไม่ถึงขั้นประกาศนโยบายพรรค เพราะนโยบายพรรคต้องผ่านที่ประชุมพรรคเสียก่อน ส่วนแนวคิดดังกล่าวจะทำได้จริงหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ ยังไม่รู้รายละเอียดว่าจะเสนออะไร ส่วนที่นายธนาธรประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีความผิดหรือไม่นั้น เขายังไม่ได้บอกว่าจะแก้อะไร และตนคิดว่าคงไม่เป็นปัญหาอะไร ถือเป็นสิทธิ์เสรีภาพที่จะพูดอย่างนั้น คนอื่นพูดเยอะแยะ ส่วนจะแก้ได้หรือไม่ได้ถือเป็นเรื่อง ต่อกรณีมีการพูดถึงขั้นจะฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญ วิษณุ กล่าวว่า "คำพูดที่ว่า ฉีกทิ้ง ขีดเส้นใต้ไว้หน่อย เพราะรุนแรง และจะทำให้เป็นปัญหาได้ ในยามนี้อย่าไปพูดอะไรให้มันเป็นปัญหา พยายามพูดให้อยู่ในร่องในรอยดีที่สุด ใครพูดอะไรทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเอง" เมื่อถามถึงความคืบหน้าการนัดหมายพรรคการเมืองพูดคุยในเดือน มิ.ย. นี้ วิษณุ กล่าวว่า ยังไม่ทราบ ส่วนที่พรรคอนาคตใหม่ยื่นเงื่อนไขจะเข้าร่วมต่อเมื่อมีการถ่ายทอดสดนั้น ตนไม่มีความเห็น และไม่ทราบว่ามีการเชิญพรรคอนาคตใหม่ด้วยหรือไม่ เพราะแม่น้ำทั้ง 5 สายเป็นผู้กำหนด อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ คสช.เคยพูดว่าหากจำเป็นพรรคการเมืองอยากจะพบก่อนที่กฎหมายลูกจะประกาศใช้ทั้งหมดก็ยินดี แต่เมื่อทำท่าไม่ยินดียินร้าย ไม่อยากพบ เงื่อนไขมาก ต้องถ่ายทอดสดบ้าง ต้องมาทุกพรรคบ้าง ต้องกำหนดวันอะไรได้บ้าง คสช.ก็ต้องคิดใหม่ว่าจะทำทำไม ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
อิสลามกับประชาธิปไตย: dilemma ของรัฐศาสนาที่อยากเป็นประชาธิปไตย? Posted: 29 May 2018 01:41 AM PDT
ในการศึกษาความสัมพันธ์กันระหว่างศาสนาและการเมือง มีการแบ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวออกเป็นสองรูปแบบหลักๆ คือ ความสัมพันธ์แบบที่แยกออกจากกันและความสัมพันธ์แบบที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ประวัติศาสตร์การเมืองของโลกตะวันตกเผยให้เราเห็นทั้งสองรูปแบบที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวคือ ในช่วงยุคมืดตั้งแต่ ศ.10 ไปจนถึง ศ.15 โดยประมาณ เป็นยุคที่ศาสนจักรมีอำนาจเหนือผู้ปกครองทั้งในทางศาสนาและทางการเมือง อำนาจสูงสุดในการตัดสินใจทั้งในด้านการเมืองและการศาสนาอยู่ในอาณาบริเวณของศาสนจักร อีกทั้งศาสนจักรถือเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดในด้านการเข้าถึงองค์ความรู้ในยุคสมัยนั้น อย่างไรก็ดี หลังจากเกิดสงครามสามสิบปีจนนำไปสู่การทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่รู้จักกันว่า "สันติภาพแห่งเวสเฟเลีย" อันนำไปสู่การยุติสงครามครั้งใหญ่ในยุโรป โลกตะวันตกก็เริ่มปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทางศาสนาและการเมืองไปสู่รูปแบบใหม่ กล่าวได้ว่าหลังจากปี 1648 ประเทศในยุโรปหันมาสู่การจัดการความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและการเมืองในรูปแบบที่แยกออกจากกัน โดยมอบอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศให้กับผู้นำทางการเมืองแทนที่ผู้นำทางศาสนา การจัดการความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้เกิด "รัฐชาติ" และแนวคิดที่เรียกว่าฆราวาสนิยม (secularism) ซึ่งจัดวางอำนาจสูงสุดให้อยู่ในการตัดสินใจของประชาชน จนนำไปสู่การจัดการและบริหารภาครัฐแบบประชาธิปไตย ศาสนาในฐานะสถาบันจัดตั้งหรือในฐานะแนวคิดจึงมีสถานะเป็นองค์กรเอกชนในพื้นที่ส่วนบุคคลมิใช่สถาบันภาครัฐอีกต่อไป รัฐจึงควรเป็นพื้นที่กลางและควรเป็นกลางสำหรับคนทุกศาสนา ความเชื่อ และชาติพันธุ์ รัฐดังกล่าวในสมัยใหม่จึงเป็นรัฐ secular ไม่ใช่รัฐศาสนา (theocratic state) เรากลับมามองความสัมพันธ์ระหว่างอิสลามกับการเมืองว่าโดยหลักการแล้วความสัมพันธ์ดังกล่าวน่าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร โดยส่วนใหญ่แล้วนักการศาสนามีมติว่าศาสนากับการเมืองไม่สามารถแยกออกจากกันได้เนื่องจากศาสนาเป็นระบบของคุณค่าที่พัวพันกับทุกมิติในการใช้ชีวิตของมุสลิมตั้งแต่เกิดจนตาย ระบบคุณค่าดังกล่าวถูกจัดอยู่ในบทบัญญัติของศาสนาที่เรียกว่า "ชารีอะฮ์" ชารีอะฮ์ซึ่งมีที่มาจากคัมภีร์อัลกุรอ่านและแบบปฏิบัติของศาสดาจึงเป็นทั้งคติและกฎหมายแบบไม่เป็นทางการสำหรับมุสลิม[1] เมื่อโดยหลักการแล้วอิสลามกับการเมืองไม่สามารถแยกจากกันได้ ฉะนั้นอำนาจในการบริหารประเทศจะตกอยู่กับสถาบันใด? สภาพความเป็นจริงในปัจจุบันอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศของประเทศมุสลิมชนส่วนใหญ่ (ยกเว้นประเทศอิหร่านและประเทศที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยแล้ว) อยู่ในพื้นที่ของเจ้าผู้ปกครองโดยมีสถาบันศาสนาเป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ส่วนประเทศมุสลิมที่ใช้ระบอบประชาธิปไตย[2] (เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ตุรกี เป็นต้น) ก็นำเอาสถาบันศาสนามาอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐและกลายเป็นเครื่องมือรัฐในการกำหนดนโยบาย ฉะนั้น เมื่ออิสลามกับการเมืองไม่สามารถแยกออกจากกันได้ รัฐซึ่งเป็นสถาบันสูงสุดในการจัดการการปกครองจึงไม่สยบยอมให้กับอำนาจใดๆ รวมถึงสถาบันทางศาสนา ในทางกลับกัน รัฐในยุคสมัยใหม่กลับนำเอาทุกสถาบันที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของมันมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างรัฐชาติ เมื่อเป็นเช่นนี้ ศาสนาอิสลามภายใต้การกำกับของรัฐจึงเป็นสถาบันที่แทบจะหาความเป็นกลางและอิสระได้ยาก ซึ่งแตกต่างจากอิสลามในอดีตที่สถาบัน "อูลามะฮ์" (ผู้รู้ทางศาสนา) ทำหน้าที่ตรวจสอบและคานอำนาจกับเจ้าผู้ปกครองดั่งจะเห็นได้ในประวัติศาสตร์อิสลามที่ว่าอูลามะฮ์จำนวนมากต้องโดยจำคุกและลงโทษโดยเจ้าผู้ปกครอง นอกจากนั้น เมื่อเรากลับมาทบทวนตัวบทอัลกุรอ่านแล้ว เราก็จะพบว่าตัวบทต่างๆ (เช่นในบทอัลมาอิดะฮ์) ชี้ให้เราเห็นว่าหลักการอิสลามสนับสนุนการปกครองแบบรัฐศาสนา (theocratic state) โดยมีข้อบังคับให้ยึดคัมภีร์ทางศาสนาเป็นกฎเกณฑ์หลักในการตัดสินปัญหาทางสังคม ดังจะเห็นได้จากโองการต่อไปนี้ إِنَّا أَنزَلْنَا التَّوْرَاةَ فِيهَا هُدًى وَنُورٌ يَحْكُمُ بِهَا النَّبِيُّونَ الَّذِينَ أَسْلَمُوا لِلَّذِينَ هَادُوا وَالرَّبَّانِيُّونَ وَالْأَحْبَارُ بِمَا اسْتُحْفِظُوا مِن كِتَابِ اللَّهِ وَكَانُوا عَلَيْهِ شُهَدَاءَ فَلَاتَخْشَوُا النَّاسَ وَاخْشَوْنِ وَلَا تَشْتَرُوا بِآيَاتِي ثَمَنًا قَلِيلًا وَمَن لَّمْ يَحْكُم بِمَا أَنزَلَ اللَّهُ فَأُولَٰئِكَ هُمُ الْكَافِرُونَ แท้จริงเราได้ให้อัต-เตารอตลงมาโดยที่ในนั้นมีข้อแนะนำและแสงสว่าง ซึ่งบรรดานบีที่สวามิภักดิ์ได้ใช้อัต-เตารอตตัดสินบรรดาผู้ที่เป็นยิวและบรรดาผู้ที่รู้แล้วในอัลลอฮ์ และนักปราชญ์ทั้งหลายก็ได้ใช้อัต-เตารอตตัดสินด้วย เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้รักษาไว้ (นั่นคือ) คัมภีร์ของอัลลอฮ์ และพวกเขาก็เป็นพยานยืนยันในคัมภีร์นั้นด้วย ดังนั้นพวกเจ้า จงอย่ากลัวมนุษย์แต่จงกลัวข้าเถิด และจงอย่าแลกเปลี่ยนบรรดาโองการของข้ากับราคาอันเล็กน้อย และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแล้ว ชนเหล่านี้แหละคือผู้ปฏิเสธการศรัทธา (5:44)
وَكَتَبْنَا عَلَيْهِمْ فِيهَا أَنَّ النَّفْسَ بِالنَّفْسِ وَالْعَيْنَ بِالْعَيْنِ وَالْأَنفَ بِالْأَنفِ وَالْأُذُنَ بِالْأُذُنِ وَالسِّنَّ بِالسِّنِّ وَالْجُرُوحَ قِصَاصٌ فَمَن تَصَدَّقَ بِهِ فَهُوَ كَفَّارَةٌ لَّهُ وَمَن لَّمْيَحْكُم بِمَا أَنزَلَ اللَّهُ فَأُولَٰئِكَ هُمُ الظَّالِمُونَ และเราได้บัญญัติแก่พวกเขาไว้ในคัมภีร์นั้นว่า ชีวิตด้วยชีวิต และตาด้วยตา และจมูกด้วยจมูก และหูด้วยหู และฟันด้วยฟัน และบรรดาบาดแผลก็ให้มีการชดเชยเยี่ยงเดียวกัน และผู้ใดให้การชดเชยนั้นเป็นทาน มันก็เป็นสิ่งลบล้างบาปของเขา และผู้ใดมิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแล้ว ชนเหล่านี้แหละคือผู้อธรรม (5:45)
وَلْيَحْكُمْ أَهْلُ الْإِنجِيلِ بِمَا أَنزَلَ اللَّهُ فِيهِ وَمَن لَّمْ يَحْكُم بِمَا أَنزَلَ اللَّهُ فَأُولَٰئِكَ هُمُ الْفَاسِقُونَ และบรรดาผู้ที่ได้รับอัล-อินญีลก็จงตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาในนั้น และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแล้ว ชนเหล่านี้คือผู้ที่ละเมิด (5:47)
وَأَنزَلْنَا إِلَيْكَ الْكِتَابَ بِالْحَقِّ مُصَدِّقًا لِّمَا بَيْنَ يَدَيْهِ مِنَ الْكِتَابِ وَمُهَيْمِنًا عَلَيْهِ فَاحْكُم بَيْنَهُم بِمَا أَنزَلَ اللَّهُ وَلَا تَتَّبِعْ أَهْوَاءَهُمْ عَمَّا جَاءَكَ مِنَ الْحَقِّ لِكُلٍّ جَعَلْنَا مِنكُمْشِرْعَةً وَمِنْهَاجًا وَلَوْ شَاءَ اللَّهُ لَجَعَلَكُمْ أُمَّةً وَاحِدَةً وَلَٰكِن لِّيَبْلُوَكُمْ فِي مَا آتَاكُمْ فَاسْتَبِقُوا الْخَيْرَاتِ إِلَى اللَّهِ مَرْجِعُكُمْ جَمِيعًا فَيُنَبِّئُكُم بِمَا كُنتُمْ فِيهِ تَخْتَلِفُونَ และเราได้ให้คัมภีร์ลงมาแก่เจ้า (หมายถึงศาสนามูฮัมหมัด) ด้วยความจริงในฐานะเป็นที่ยืนยันคัมภีร์ที่อยู่เบื้องหน้ามันและเป็นที่ควบคุมคัมภีร์(เบื้องหน้า) นั้น ดังนั้นเจ้าจงตัดสินสินระหว่างพวกเขา ด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมาเถิด และจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเขา โดยเขวออกจากความจริงที่ได้มายังเจ้า สำหรับแต่ละประชาชาติในหมู่พวกเจ้านั้น เราได้ให้มีบทบัญญัติและแนวทางไว้ และหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้วแน่นอนก็ทรงให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติเดียวกันแล้ว แต่ทว่าเพื่อที่จะทรงทดสอบพวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่พวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงแข่งขันกันในความดีทั้งหลายเถิด ยังอัลลอฮ์นั้นคือการกลับไปของพวกเจ้าทั้งหมด แล้วพระองค์จะทรงแจ้งให้พวกเจ้าทราบในสิ่งที่พวกเจ้ากำลังขัดแย้งกันในสิ่งนั้น (5:48) ในเมื่อตัวบทชี้ให้เห็นว่าหลักการอิสลามสนับสนุนองค์ประกอบของรัฐศาสนา จะเป็นไปได้หรือไม่ที่รัฐศาสนาดังกล่าวจะเป็นประชาธิปไตย? หรือว่ารัฐมุสลิมสมัยใหม่ต้องยอมทิ้งการปกครองแบบรัฐศาสนาโดยมีกฎหมายชารีอะฮ์ และหันไปสู่การปฏิรูปทางการเมือง และยึดถือหลักการฆราวาสนิยมในแบบประชาธิปไตย? ตุรกีประกาศเป็นประเทศ secular ตั่งแต่ก่อตั้งประเทศในปี 1923 อินโดนีเซียหาได้เป็นรัฐอิสลามไม่ ตูนีเซียมุ่งสู่การสร้างประชาธิปไตยหลังจากเหตุการณ์อาหรับสปริง เช่นเดียวกับมาเลเซียที่กำลังได้รับความสนใจจากชาวโลก ประเทศมุสลิมและนักวิชาการอิสลามอีกจำนวนมากกำลังอยู่ในภาวะระหว่างเขาควาย (secular state vs theocratic state) ไม่ว่าจะเป็นในทางทฤษฏีหรือในทางปฏิบัติ dilemma ของรัฐศาสนากับประชาธิปไตยในตะวันออกกลางและประเทศมุสลิมก่อตัวขึ้นมาจากความคิดที่ว่าอิสลามกับการเมืองแยกออกจากกันไม่ได้ เมื่อแยกออกจากกันไม่ได้แล้ว ประเทศมุสลิมจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร หรือว่าหลักการดังกล่าวเป็นเพียงข้อถกเถียงในอดีตในทางทฤษฎีซึ่งไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในโลกมุสลิมในยุคสมัยใหม่อีกต่อไป? เชิงอรรถ [1] ชารีอะฮ์ในทางสังคมวิทยาอาจจะหมายถึงธรรมเนียมสากล (general norm) ของมุสลิม ในทางปรัชญาชารีอะฮ์อาจจะหมายถึงแนวทางที่นำไปสู่แหล่งที่มาและวิทยปัญญา [2] โปรดดูคำอธิบายของระบอบประชาธิปไตยและอิสลามในหนังสือ ประชาธิปไตยและอิสลาม: ข้อสังเกตเบื้องต้นพิมพ์โดยปาตานีฟอรั่ม เผยแพร่ครั้งแรกใน: www.pataniforum.com/single.php?id=748 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
นัดครั้งที่ 4 ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ 'อภิชาต' ชูป้ายต้านรัฐประหาร 31 พ.ค.นี้ Posted: 29 May 2018 01:08 AM PDT 31 พ.ค.นี้ ศาลอุทธรณ์นัดครั้งที่ 4 ฟังคำพิพากษาคดี 'อภิชาต' ชูป้ายต้านรัฐประหารหน้าหอศิลป์กรุงเทพฯ ปี 57 ลุ้นบรรทัดฐานสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ พร้อมเปิด 6 ประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ฝ่ายจำเลยยื่นอุทธรณ์ ภาพและคลิปขณะเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัว อภิชาต พงษ์สวัสดิ์ วันเกิดเหตุ 29 พ.ค.2561 สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ( สนส.ระบุด้วยว่า คดีนี้เกี่ยวข้องกับการต่อต้ ต่อมาวันที่ 28 เม.ย.2558 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ยื่นฟ้องอภิชาต ในความผิด ฐานฝ่าฝืนประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557 ชุมนุมมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้ วันที่ 17 มี.ค. 2559 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุดได้ยื่นอุ และต่อมาวันที่ 19 ธ.ค. 2559 ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาใหม่ว่ สนส. รายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ต่อมาวันที่ 20 ก.พ. 2560 ฝ่ายจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำพิ ประเด็นแรก โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย เนื่องจากการสอบสวนในคดีนี้มิชอบด้วยกฎหมาย เพราะแม้พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม จะอ้างระเบียบว่าด้วยอำนาจการสอบสวน ว่าคดีนี้เป็น "คดีที่ประชาชนชนให้ความสนใจ" แต่พยานกลับให้การขัดแย้งกันเอง และจำเลยเป็นเพียงประชาชนธรรมดา ไม่ได้เป็นที่รู้จักหรืออยู่ในความสนใจของประชาชนทั่วไปแต่อย่างใด ประเด็นที่สอง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้อยู่ในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ เนื่องจากแนวคิดดังกล่าวเป็นเพียงแนวคิดของนักวิชาการกฎหมายส่วนข้างน้อยเท่านั้น แต่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ถือว่าการได้มาซึ่งอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มิใช่การได้มาซึ่งอำนาจการปกครองตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติตามกฎหมายใดรองรับอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ มีเพียงประกาศคณะรักษาความความสงบแห่งชาติซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศใช้เองโดยไม่ได้ผ่านความยินยอมของประชาชน ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับดังกล่าวจึงไม่มีผลเป็นกฎหมายซึ่งจะนำมาบังคับใช้กับจำเลยได้ ประเด็นที่สาม การประกาศกฎอัยการศึกโดยกองทัพบกในวันที่ 20 พ.ค. 2557 และโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติในวันที่ 22 พ.ค. 2557 เป็นการประกาศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรนั้น ไม่ได้มีพระบรมราชโองการตามมาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกพ.ศ. 2457 และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 7/2557 ที่มาใช้ดำเนินคดีกับจำเลย ยังไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 22 พ.ค. 2557 แต่ประกาศภายหลังเหตุตามฟ้องวันที่ 26 พ.ค. 2557 จำเลยซึ่งเป็นนักกฎหมายย่อมทราบดีถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของประกาศฉบับดังกล่าวที่ประกาศโดยบุคคลที่ไม่มีอำนาจและไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จำเลยจึงออกไปคัดค้านการรัฐประหารอย่างสันติวิธี เพราะเชื่อโดยสุจริตว่าประกาศดังกล่าวนั้นยังไม่มีผลบังคับใช้ และจำเลยมีสิทธิที่จะพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550 ประเด็นที่สี่ ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 7/2557 ที่ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ไม่มีผลบังคับแล้ว เพราะได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ที่เป็นกฎหมายเฉพาะ และมีลักษณะเป็นคุณต่อจำเลย โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่มีข้อห้ามมิให้มั่วสุมหรือเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป จำเลยจึงไม่ต้องผูกพันในการแก้ข้อกล่าวหาใดๆ ดังกล่าวอีก ประเด็นที่ห้า พยานโจทก์ปากร้อยโทพีรพันธ์ สรรเสริญ ซึ่งศาลเชื่อว่าเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันการกระทำจำเลยได้อย่างดีนั้น ไม่มีพยานหลักฐานใดๆ ยืนยันว่าพยานปากดังกล่าวอยู่ในที่เกิดเหตุและเป็นผู้ควบคุมตัวจำเลย แม้แต่บันทึกการควบคุมตัวก็ไม่ปรากฏชื่อของร้อยโทพีรพันธ์ สรรเสริญ แต่อย่างใด คำเบิกความของพยานโจทก์ปากนี้จึงไม่มีน้ำหนักให้ศาลรับฟัง นอกจากนี้ในอุทธรณ์ยังระบุด้วยว่า การกระทำของจำเลยไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามประกาศฉบับที่ 7/2557 เนื่องจากการไปชุมนุมและแสดงความไม่เห็นด้วยกับการการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติของจำเลย ไม่ใช่การชุมนุมมั่วสุมโดยมีเจตนาก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง แต่เป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ปราศจากความรุนแรง อุปกรณ์ในการจัดกิจกรรมของจำเลยมีเพียงแผ่นกระดาษขนาด A4 และในระหว่างการจัดกิจกรรมของจำเลยนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์ความไม่สงบใดแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยเป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงออก อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย เป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และจำเลยเห็นว่าประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 7/2558 ไม่สามารถบังคับใช้กับจำเลยได้ เนื่องจากการยึดอำนาจนั้นยังไม่สำเร็จเสร็จสิ้น และประชาชนมีสิทธิคัดค้านโดยสงบและปราศจากอาวุธ อันเป็นสันติวิธีและเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่หก การกระทำของจำเลยไม่ถือเป็นการมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป เพื่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง เนื่องจากข้อเท็จจริงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยมีพฤติกรรมปลุกเร้าผู้ชุมนุมให้ฮึกเหิม หรือปลุกระดมกลุ่มผู้ชุมนุมให้เข้าร่วมมากขึ้น เพราะในทางนำสืบของโจทก์เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ โดยปราศจากพยานหลักฐานยืนยัน อีกทั้ง ในการตีความกฎหมายซึ่งมีโทษทางอาญาจำต้องตีความโดยเคร่งครัด และต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์และเจตนาที่แท้จริงของจำเลยประกอบการวินิจฉัย มาตรา 69 และมาตรา 70 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้คุ้มครองรับรองสิทธิของประชาชนที่จะต่อต้านโดยสันติวิธีต่อการทำรัฐประหาร ซึ่งเป็นการได้อำนาจการปกครองประเทศมาโดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยสุจริตใจและเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในฐานะพลเมืองที่มีหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย จึงไม่เป็นการกระทำความผิดฐานมั่วสุมก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง และขณะที่จำเลยถูกกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในคดีนี้ เป็นวันที่ 23 พ.ค. 2557 ภายหลังจากการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครอง 1 วัน ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะสามารถยึดอำนาจได้หรือไม่เพราะยังมีประชาชนออกมาต่อต้านและกฎหมาย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'สามัญชน' ผ่านด่านแรก กกต.รับรองชื่อแล้ว ด่าน 2 สมาชิกก่อตั้ง 500 'กิตติชัย' ยันผ่าน 100% Posted: 29 May 2018 12:45 AM PDT กกต.ออกหนังสือรับรองการจดแจ้งชื่อพรรคสามัญชน ส่วนด่านต่อไป ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคฯ เงื่อนไข สมาชิกก่อตั้ง 500 คน ผ่าน 100% ส่วนทุนประเดิมพรรคการเมือง 1 ล้านบาทนั้น มั่นใจที่จะผ่าน 70% ชี้กฎกติกาที่ทำให้พรรคการเมืองแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นยาก 29 พ.ค.2561 เมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา เฟสบุ๊คแฟนเพจ 'สามัญชน - The Commoner' รายงานว่า ขบวนการสามัญชน ได้รับการยืนยันจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สามารถใช้ชื่อ "สามัญชน" เป็นชื่อพรรคได้อย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา โดย กกต.ได้ออกหนังสือรับรองการจดแจ้งชื่อพรรคสามัญชน เป็นที่เรียบร้อย "แปลว่าเรากำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็นพรรคการเมืองอย่างเต็มรูปแบบแล้ว" เพจ สามัญชนฯ โพสต์ สำหรับการประเมินที่พรรคสามัญชนจะไม่ได้ที่นั่ง ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งนี้นั้น กิตติชัย งามชัยพิสิฐ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสามัญชน กล่าวในวงเสวนา "ทิศทางและบทบาทของขบวนการทางสังคมในกระแสก่อตั้งพรรคการเมือง" เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่านมาว่า มันคือความพยายามที่จะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา การขับเคลื่อนของพรรคการเมืองที่อยู่บนฐานของ ของเครือข่ายภาคประชาชนและประเด็นปัญหา หรือเป็นพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายก้าวหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้นในหายๆ พรรคนั้น ก็ช่วยกันสร้างกันและใช้เวลานาน เงื่อนไขทุนประเดิมพรรคการเมือง 1 ล้านบาท และสมาชิกก่อตั้ง 500 คน นั้น กิตติชัย กล่าวว่า ยากมาก การที่ประชาชนจ่ายเงินให้พรรคการเมือง เป็นเรื่องแปลก แแต่อย่างไรก็ตามมันเป็นข้อพิสูจน์จุดหนึ่งที่ว่าจะทำงานกับประชาชนอย่างไร ที่เขาพร้อมที่จะจ่ายเงิน 1,000 บาท โดยที่ไม่รู้สึกว่าเขาเสียดาย เขารู้สึกว่าเป็นเจ้าของพรรคการเมืองจริงๆ ตนคิดว่ามันเป็นไปได้ และเราก็จะทำ ส่วนถ้าหากมันไม่สามารถทำได้ก็เป็นบทพิสูจน์เบื้องต้นว่าเราทำงานได้ไม่ดี แสดงว่าเรายังไม่พร้อมสำหรับการจัดตั้งพรรคครั้งนี้ เงื่อนไขดังกล่าว กิตติชัย เผยว่า วันนี้เท่าที่คุยกันอยู่และต่อสายไปหลายที่ตนมั่นใจว่าสามารถผ่านเงื่อนไข สมาชิกก่อตั้ง 500 คน ได้ 100% ส่วนทุนประเดิมพรรคการเมือง 1 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ความมั่นใจที่จะผ่าน 70% เพราะนี่เป็นกฎกติกาที่ทำให้พรรคการเมืองแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นยาก "เรามองว่าสามัญชนไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนดัง ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าสามัญชนมันเป็นไอเดีย เป็นแนวคิด เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มีคนเด่นคนดัง และค่อนข้างปฏิเสธ เราก็เข้าไปอยู่ในขบวนการเคลื่อนไหว เราอยู่ในขบวนการเคลื่อนไหวของพี่น้องตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ว่าไม่ได้ถูกได้ยินหรือถูกเห็นอะไรเท่าไหร่ เราเห็นว่าโอเคคนที่เด่นที่ดังก็ทำหน้าที่ของคนเด่นคนดังของเขาไป สามัญชนก็จะทำหน้าที่เป็นมวลชน ทำหน้าที่คนที่เป็นฐานรากของขบวนการเคลื่อนไหวต่อไปข้างหน้าด้วย" กิตติชัย กล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
วิจัย สกว. ชี้ 'ป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน' จ.ตราด ลดโลกร้อน ดูดซับคาร์บอนได้มากกว่า 1.3 แสนตัน CO2/ไร่ Posted: 28 May 2018 11:22 PM PDT ผลงานวิจัย สกว. ชี้ 'ป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน' มีความสมบูรณ์มาก มีศักยภาพในการดำเนินการเพื่อสนับสนุนกลไกคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ เพื่อเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนได้ เนื่องจากมีต้นไม้ที่ยังมีอัตราการเติบโตสูง และมีศักยภาพในการเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอน 29 พ.ค.2561 การนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์และสื่อสารสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) รายงานว่า ปัจจุบันป่านอกจากเป็นแหล่งอาหารและระบบนิเวศแล้ว ยังเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่สำคัญ ที่จะช่วยบรรเทาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและลดภาวะโลกร้อนได้ จากความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนบ้านเปร็ดพื้นที่ 12,000 ไร่ ในท้องที่บ้านเปร็ดใน ม.2 ตำบลห้วยน้ำขาว อำเภอเมือง จังหวัดตราด พบว่า มีศักยภาพเหมาะที่จะใช้ดำเนินการสนับสนุนกลไกคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ โดยเฉพาะ"เรดด์พลัส"เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ โดยข้อค้นพบจากผลการศึกษาวิจัยใน "โครงการฟื้นฟูป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อสนับสนุนกลไกคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้" ที่มี ดร.ลาวัลย์ พวงจิตร จากคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นหัวหน้าโครงการ ภายใต้การสนับสนุนของ สกว.บ่งชี้ว่า ป่าชายเลนบ้านเปร็ดในจัดเป็นป่าชายเลนที่มีระดับความสมบูรณ์มาก โดยจากการประเมินค่าเฉลี่ยการกักเก็บคาร์บอนรวมทุกแหล่งสะสมในพื้นที่ป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน พบว่า เป็นป่าที่มีศักยภาพในการดำเนินการเพื่อสนับสนุนกลไกคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ เพื่อเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนได้ เนื่องจากมีต้นไม้ที่ยังมีอัตราการเติบโตสูง และมีศักยภาพในการเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอน การปลูกป่า นอกจากนี้ ผลการศึกษาการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากการใช้พลังงานทุกประเภทของชุมชน พบว่า มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้พลังงานรวม 398.33 ตัน CO2/ปี ซึ่งพื้นที่ป่าชายเลนในขนาด 36.28 ไร่สามารถดูดซับปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนดังกล่าวได้ ดังนั้น จากพื้นที่ป่าชายเลนบ้านเปร็ดในที่มีอยู่ 12,000 ไร่ (ระหว่างคลอง 1 ถึงคลอง 15) จะสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 131,760 ตัน CO2/ไร่/ปี ซึ่งข้อค้นพบนี้ชี้ให้เห็นชัดว่า ป่าชายเลนบ้านเปร็ดในมีศักยภาพเพียงพอในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งของชุมชนโดยรอบและชุมชนใกล้เคียงได้ จากข้อค้นพบดังกล่าวชุมชนบ้านเปร็ดในเล็งเห็นความสำคัญของภาวะโลกร้อน และต้องการนำศักยภาพของป่าชายเลนบ้านเปร็ดในไปมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุของโลกร้อน เพื่อนำรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตมาบริหารจัดการรักษาฟื้นฟูป่าชายเลนที่ชุมชนดูแลปกป้องและอนุรักษ์มายาวนาน ให้เป็นป่าชายเลนที่เป็นแหล่งเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อกักเก็บคาร์บอน และเป็นพื้นที่ทำกินของคนในชุมชนต่อไปได้อย่างยั่งยืน อำพร แพทย์ศาสตร์ ที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์และพัฒนาป่าชายเลนป่าบ้านเปร็ดใน อำพร แพทย์ศาสตร์ ที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์และพัฒนาป่าชายเลนป่าบ้านเปร็ดใน กล่าวว่า "แม้ขณะนี้รัฐบาลจะยังไม่มีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวชัดเจน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รัฐบาลมีนโยบายรับซื้อเราก็พร้อมดำเนินการทันที เพราะเรารู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง มีขั้นตอนกระบวนการจัดเก็บข้อมูลอย่างไร รู้วิธีการสำรวจ และคำนวณ ขนาด ความสูง รวมถึงการกักเก็บคาร์บอน ทำให้เรามีข้อมูลเพียงพอ ซึ่งความรู้เหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากนักวิจัย สกว.นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญ ที่ได้เข้ามาถ่ายทอดให้กับนักวิจัยชุมชน ตั้งแต่ปี 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งทางนักวิจัยชุมชนเองก็ได้นำความรู้ได้รับไปถ่ายทอดให้กับเยาวชนได้เรียนรู้ และมีส่วนร่วมในการดูแลปกป้องป่าชายเลนของชุมชนต่อไป" สำหรับการดำเนินงานโครงการฟื้นฟูป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนฯนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต่อการวางแผนการจัดการ ได้แก่ โครงสร้างป่า พรรณไม้ ปริมาตร ผลผลิตมวลชีวภาพ และศึกษาศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนตามวิธีการมาตรฐานของ IPCC (2003) เพื่อสนับสนุนกลไกคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ และจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรป่าชายเลนชุมชน โดยการศึกษาวิจัยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การกำหนดนักวิจัยชุมชน การวางแผนการวิจัย การคัดเลือกพื้นที่ศึกษา การดำเนินการวิจัย การนำเสนอผลการวิจัย รวมถึงการศึกษาดูงานเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรป่าชายเลนในพื้นที่ชายฝั่งอันดามัน เพราะการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมถือเป็นการสร้างองค์ความรู้ที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนซึ่งจะก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างยั่งยืน โดยในการจัดทำฐานข้อมูล มีการจำแนกข้อมูลที่จัดเก็บ อาทิ กิจกรรมการวิจัย พรรณไม้ พื้นที่ป่าชายเลน งานวิจัยด้านนิเวศวิทยาป่าชายเลน และองค์ความรู้การจัดการป่าชายเลน โดยนักวิจัยและนักวิจัยชุมชนสามารถใช้งานเว็ปไซต์เพื่อการพัฒนาและออกแบบฐานข้อมูลร่วมกันได้ ในด้านโครงสร้างจากการสำรวจ พบว่า ป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน ประกอบด้วยพรรณไม้จำนวน 15 ชนิด จำแนกเป็นไม้ใหญ่ 14 ชนิด ไม้รุ่น 10 ชนิด และกล้าไม้ 4 ชนิด แสดงให้เห็นว่าพรรณไม้ในพื้นที่ป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน มีศักยภาพในการเจริญทดแทนตามธรรมชาติที่ค่อนข้างต่ำ และในอนาคตมีแนวโน้มว่าความหลากหลายทางชีวภาพจะลดลง โดยพรรณไม้ที่มีค่าดัชนีความสำคัญสูงมี 2 ชนิด คือ โกงกางใบเล็ก และโปรงแดง แม้ลักษณะโครงสร้างของต้นไม้ในป่าชายเลนบ้านเปร็ดในส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยมีขนาดไม่ใหญ่ แต่จัดว่าเป็นป่าชายเลนที่มีมวลชีวภาพในระดับความสมบูรณ์มาก แสดงให้เห็นว่าป่าชายเลนบ้านเปร็ดในมีศักยภาพสูงในการเพิ่มพูนผลผลิต ผลการศึกษาดังกล่าวได้นำมาจัดการข้อมูลในรูปแบบของ "ระบบฐานข้อมูล" เพื่อให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ในการจัดการทรัพยากรป่าชายเลนได้อย่างสะดวกต่อไป นอกจากนี้โครงการฯ ยังจัดฝึกอบรมให้ความรู้ความเข้าใจในระบบฐานข้อมูล และวิธีการจัดเก็บข้อมูลแก่นักวิจัยชุมชน รวมทั้งการจัดทำคู่มือการใช้ฐานข้อมูลให้แก่ชุมชน เพื่อให้ระบบฐานข้อมูลอยู่กับชุมชนตลอดไป โดยมีการปรับปรุงข้อมูลได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นให้กับชุมชนได้เรียนรู้ และสร้างความเข้าใจถึงกระบวนการการจัดทำเก็บข้อมูลที่เป็นระบบ แต่ชุมชนยังควรต้องได้รับการส่งเสริมการเรียนรู้ถึงวิธีการวางแผนการเก็บข้อมูล เพื่อป้อนลงฐานข้อมูล และจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากข้อมูลที่วิเคราะห์ได้เพิ่มอีก เพื่อให้ชุมชนเกิดความมั่นใจในการจัดการป่าและติดตามการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรป่าชายเลนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป "ป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน เป็นความภูมิใจของชุมชนในฐานะที่เป็นแหล่งอาหาร เราไม่ต้องไปซื้อหาที่ไหน หรือใครจะจับขายเป็นรายได้ก็สามารถทำได้เช่นกัน ขายไม่หมดก็นำมาทำอาหารกินกันในครอบครัว แต่การจับนั้นชุมชนมีข้อตกลงร่วมกันกรณีห้ามจับสัตว์น้ำในช่วงที่มีการวางไข่"หยุดจับร้อย ค่อยจับล้าน" ซึ่งทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ดังนั้นเป้าหมายในการฟื้นฟูก็เพื่อต้องการให้ป่าชายเลนของชุมชนเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ เพราะหากโลกร้อนขึ้นแม้เพียงหนึ่งองศาก็จะส่งต่อปริมาณสัตว์น้ำได้ หรือกรณีปัญหาน้ำจากต้นน้ำ กลางน้ำ จากภาคเหนือที่จะไหลลงสู่ทะเลผ่านป่าชายเลนของชุมชน หากมีการปนเปื้อนสารเคมีก็อาจส่งกระทบต่อแหล่งอาหารและสัตว์น้ำได้ ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ชุมชนให้ความสนใจ" "คนที่เคยอยู่กับป่าชายเลน จะรู้ว่าคุณค่าของป่าชายเลนนั้นมากมายแค่ไหน แม้หาดทรายจะสร้างรายได้มหาศาลจากการท่องเที่ยว แต่ถ้าวันหนึ่งนักท่องเที่ยวไม่มาเราจะได้อะไรจากหาด เพราะแหล่งอาหารหรือทรัพยากรสัตว์น้ำ ไม่ได้อยู่ที่หาดทราย แต่อยู่ที่ป่าชายเลน เราไม่ต้องซื้อ เราไม่มีอด นี่คือความภูมิใจในชุมชนของเรา" อำพร กล่าว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ตร. นำ 'เพนกวิน-พริษฐ์' ลงบันทึกประจำวัน หลังยืนกินมาม่าซ้อมอดอยากรอเลือกตั้ง Posted: 28 May 2018 10:58 PM PDT ตำรวจนำ พริษฐ์ และธนวัฒน์ ไป สน.ปทุมวัน ลงบันทึกประจำวัน หลังยืนกินมาม่าซ้อมอดอยากรอเลือกตั้ง ที่สกายวอล์คแยกปทุมวัน เจ้าตัวโพสต์การยืนกินมาม่าไม่ได้เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ แต่ว่าคณะรัฐประหารจะมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงในเก้าอี้ของพวกท่านเอง ภาพซ้าย ตำรวจนำ พริษฐ์ และธนวัฒน์ ไป สน.ปทุมวัน ลงบันทึกประจำวัน (ที่มาภาพ เฟสบุ๊ค Parit Chiwarak), ภาพขวา ขณะจัดกิจกรรม ที่สกายวอร์คแยกปทุมวัน (ที่มาภาพ เพจ Banrasdr Photo) เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (28 พ.ค.61) ที่สกายวอล์คแยกปทุมวัน พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ธนวัฒน์ วงค์ไชย ประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วยประชาชน และแนวร่วมกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ทำกิจกรรม 'ซ้อมอดอยากรอเลือกตั้ง' เพื่อสื่อถึงการปรับตัวตามสถานการณ์เศรษฐกิจเพราะไม่รู้ว่าจะมีเลือกตั้งเมื่อไร หลังจากจบกิจกรรมแล้ว ตำรวจ สน.ปทุมวันได้เชิญตัวพริษฐ์และธนวัฒน์มาที่ สน.ปทุมวัน โดยทางตำรวจแจ้งว่าให้มาเพื่อสอบถามถึงความหมายของกิจกรรมพร้อมกับลงบันทึกประจำวันไว้ พริษฐ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจนัดมาสอบถามรายละเอียดเพื่อลงบันทึกประจำวัน จึงให้ลงไปว่า "มายืนกินมาม่าสองคน" จะโดนฟ้องหรือไม่รอรับชมตอนต่อไป ขณะที่ ธนวัฒน์ โพสต์ผ่านเฟสบุ๊ค 'Tanawat Wongchai' ว่า การยืนกินมาม่าของเราในวันนี้ เป็นการยืนกินมาม่าโดยบริสุทธิ์ใจ เพื่อฝึกซ้อมความอดอยากระหว่างรอการเลือกตั้ง หากเรายังคงอยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลทหารที่บริหารเศรษฐกิจของเราอย่างล้มเหลวต่อไปเรื่อยๆ และการเลือกตั้งก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถูกกำหนดเสียทีเช่นนี้ ทางออกเดียวของเรา คือ ต้องมีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นั่นคือ เราต้องมีการเลือกตั้งภายในปีนี้ เศรษฐกิจของประเทศไทยดูเหมือนว่าจะเติบโตไปได้ดีที่ระดับ 3-4% แต่นั่นก็เป็นระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านของเราที่เติบโตในระดับ 5-8% อีกทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของเรานั้น กระจุกผลประโยชน์ให้กับคนรวย ชนชั้นนำ และภาคธุรกิจรายใหญ่แต่เพียงเท่านั้น หากแต่การเติบโตนั้นไม่ได้กระจายไปสู่คนส่วนใหญ่ของประเทศ ดังเห็นได้จากความเหลื่อมล้ำของไทยที่เหลื่อมล้ำสูงเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากรัสเซียและอินเดีย นอกจากนี้ ยังมีระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น การขาดดุลงบประมาณที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จาก 2.5 แสนล้านบาทในปี พ.ศ.2557 สู่ 5.5 แสนล้านบาทในปี พ.ศ.2560 และยังมีปัญหาเชิงตัวเลขทางเศรษฐกิจอีกมากมายที่รัฐบาลไม่เคยพูดถึง "เราขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าเรามาเพื่อยืนกินมาม่าเฉยๆ ครับ นี่ไม่ใช่กิจกรรมทางการเมือง นี่ไม่ใช่การชุมนุมทางการเมือง และการยืนกินมาม่าไม่ได้เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศแต่อย่างใด เว้นเสียแต่ว่าคณะรัฐประหารจะมองว่าการยืนกินมาม่าเป็นภัยต่อความมั่นคงในเก้าอี้ของพวกท่านเอง" ธนวัฒน์ โพสต์ ธนวัฒน์ ระบุว่า ทางตำรวจ สน.ปทุมวัน แจ้งว่าในวันนี้จะไม่มีการตั้งข้อหากับพวกเราทั้ง 2 คน แต่อย่างใด แต่หากฝ่ายกฎหมายของ คสช. และทาง สน. พบว่าการกระทำของเรา "เข้าข่าย" มีความผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ หรือขัดต่อคำสั่งของหัวหน้า คสช. ก็จะแจ้งความดำเนินคดี ในภายหลัง "สิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในประเทศนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว นั่นคือ การกินมาม่าได้กลายเป็นภัยต่อความมั่นคงของคณะรัฐประหารไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว" ธนวัฒน์ โพสต์ทิ้งท้าย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น