โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

กวีประชาไท: อสูรร้ายจึงเผยตนปรากฎกาย

Posted: 27 May 2018 09:53 AM PDT

แย้งมิให้สิทธิประกัน
คือมลทินสะบั้นระบบศาล
คุมขังตามอำเภอใจอย่างเนิ่นนาน
ผลาญชีวิตการงานและครอบครัว

ลากเข้าคุกนับแต่ถูกกล่าวหา 
รัฐฯ โฉดช้าสถาปนากบิลชั่ว
"สิทธิมนุษยชน"มืดมัว
จักปกครองโดยหวาดกลัวทุกข์ทน

ในภาวะคลุมเครือหวั่นไหว
คราสิ่งใหม่มิทันเกิดกระเสือกกระสน
แลสิ่งเก่ามิยอมตกตายยังดิ้นรน
อสูรร้ายจึงเผยตนปรากฎกาย [1] 

เมื่อปราศจากสิทธิขั้นพื้นฐาน
แกล้งแปลงสารยัดข้อหาจึงเรื่องง่าย
ทรราช"รัฎฐาธิปัตย์"อันตราย
พัฒนากลาย"เผด็จการเต็มตัว"

"แม้ศีรษะตกดลหิตมิคิดค้อม" [2]
"สิทธิขบถ"[3]ย่อมกระหึ่มทั่ว
ล้มอำนาจ "รัฐทหาร" ศาลขายตัว
ร่วมสมรู้กดหัว "คนไท"

ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์...ตกต่ำ
ประชาชน...ระกำ ระส่ำระสาย
ประชาชาติ...ระยำยับอับอาย
ประชาคม...รั้งท้ายเสื่อมศรัทธา

 

เชิงอรร

[1] อันโตนิโอ กรัมชี นักปฏิวัติสังคมนิยมอิตาลี

[2] เชคสเปียร์ "My head is bloody,but unbowed'

[3] จอห์น ล๊อค นักปรัชญาอังกฤษ "พลเมืองมีสิทธิเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองที่เรียก สิทธิขบถ โดยเฉพาะเปลี่ยนรัฐบาลเผด็จการที่ไม่ได้มาจากความเห็นชอบของประชาชน"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายเหตุประเพทไทย #211 เศรษฐกิจแพลตฟอร์มกับสิทธิแรงงาน

Posted: 27 May 2018 07:10 AM PDT

หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ชวนอ่านงานวิจัย "ระบบเศรษฐกิจแบบแพลตฟอร์มกับผลกระทบต่อการจ้างงานภาคบริการในประเทศไทย" โดยพูดคุยกับอรรคณัฐ วันทนะสมบัติ หนึ่งในคณะนักวิจัยที่จะเล่าถึง "ระบบเศรษฐกิจแบบแพลตฟอร์ม" อย่างเช่น แอปพลิเคชัน Uber หรือ Grab รวมไปถึง Airbnb ฯลฯ

ซึ่งในแง่ดีระบบเศรษฐกิจแพลตฟอร์มได้เข้ามาเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภค ทั้งภาคการขนส่งและที่พักอาศัย รวมทั้งเติมเต็มเรื่องของการจ้างงาน อย่างไรยังมีด้านที่เป็นผลกระทบ เมื่อเจ้าของแพลตฟอร์มก็พยายามสร้างสภาพความคุมเหนือผู้ให้บริการและผู้บริโภค ใช้การทุ่มตลาด การสร้างสภาพการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการจ้างงาน โดยเฉพาะด้านสิทธิแรงงานของผู้ที่ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ทำงานอยู่ในแพลตฟอร์มเหล่านี้

โดยภาครัฐเองก็ควรต้องศึกษาผลกระทบ และหามาตรการที่เหมาะสมในการใช้กำกับ เพื่อให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจที่เป็นธรรม เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค และสร้างหลักประกันด้านสิทธิแรงงาน แต่จะเป็นไปได้อย่างไรหากกฎหมาย หรือระเบียบที่เขียนขึ้นเมื่อ 20-30 ปีที่แล้วมาใช้กับธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งหมดนี้หาคำตอบได้ในหมายเหตุประเพทไทย ตอน "เศรษฐกิจแพลตฟอร์มกับสิทธิแรงงาน" พบกับ ชานันท์ ยอดหงษ์ และศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ พูดคุยกับอรรคณัฐ วันทนะสมบัติ

GDPR กับประเทศไทย

Posted: 27 May 2018 03:01 AM PDT

 

ความพยายามในการออกกฎหมายเพื่อการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทยมีจุดเริ่มต้นในปี 2540 ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีการจัดทำร่างกฎหมายถึง 5 ฉบับ ผ่านรัฐบาลหลายคณะ

จนล่าสุด คณะรัฐประหารในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ประกาศจะเร่งออกกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพราะเห็นว่าเป็นกฎหมายสำคัญที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อกระบวนการปฏิรูปประเทศ

รัฐบาลปัจจุบันได้ส่งร่างกฎหมายไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติเมื่อเดือนตุลาคม 2557 หลังจากนั้นไม่ถึงสามเดือน สังคมไทยถูกทำให้สับสนมากขึ้นด้วยการที่รัฐบาลชุดเดียวกันได้จัดทำร่างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอีกฉบับ ในชุดกฎหมายขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล

ปัจจุบัน ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างการนำกลับมาทบทวนของกระทรวงดิจิทัล มีการปรับแก้หลายครั้งจนกลายเป็นร่างล่าสุด มีการรับฟังความคิดเห็นเบื้องต้นกลุ่มเล็กๆไปเมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมา

จึงมีประเด็นที่ต้องดูกันต่อไปว่าการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามร่างนี้ จะมีมาตรฐานในระดับที่ทางอียูจะยอมรับหรือไม่ ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วประเด็นการส่งข้อมูลข้ามแดนจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะการส่งข้อมูลของคนต่างประเทศ ตามมาตรฐานสากลและข้อตกลงระหว่างประเทศจะห้ามส่งข้อมูลไปยังประเทศที่ไม่มีมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือมีแต่ต่ำกว่ามาตรฐานของประเทศผู้ส่ง ร่างนี้เขียนว่าการส่งข้อมูลข้ามแดนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรรมการกำหนด โดยที่ในวันนี้ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูล กรรมการที่จะดูแลบริหารกฎหมายก็ยังไม่มี หลักเกณฑ์ที่จะออกมาจึงยังไม่รู้ว่าจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร ในระหว่างที่ยังไม่มี พ.ร.บ.นี้ ยังไม่มีหลักเกณฑ์ที่ว่านี้ ถ้าต้องมีกรณีการแลกเปลี่ยน การรับ-ส่งข้อมูลระหว่างไทยกับประเทศสมาชิกอียู ทางยุโรปจะเห็นว่ามาตรฐานของไทยภายใต้ร่างแบบนี้จะเทียบเท่า GDPR หรือเปล่า

ประเทศไทยคงหลีกเลี่ยงมาตรการ GDPR ได้ยาก เพราะการค้าระหว่างประเทศมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงมาก  และในการดำเนินธุรกิจทั้งหมดดำเนินการบนระบบอิเล็กทรอนิกส์ จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ประกอบการตลอดเวลา ปริมาณการรับ – ส่งข้อมูลมีมหาศาล ในบรรดาข้อมูลหล่านี้ย่อมรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ทั้งข้อมูลพลเมืองของประเทศผู้ซื้อและประเทศผู้ขายสินค้าและบริการ

พิจารณาจากภาคท่องเที่ยวและบริการเพียงส่วนเดียว ซึ่งนักท่องเที่ยวจากยุโรปเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดที่ทำรายได้ให้กับภาคการท่องเที่ยวของไทย แน่นอนว่าข้อมูลส่วนบุคคลของนักท่องเที่ยวเหล่านี้จะต้องมีการ รับ–ส่ง-แลกเปลี่ยน กับผู้ให้บริการในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

บริษัทและหน่วยงานในประเทศเราน่าจะมีผลกระทบจากกฎระเบียบ GDPR จำนวนมาก ตั้งแต่การเก็บข้อมูลการเดินทางเข้าออกประเทศ ธุรกิจสายการบิน บริษัทท่องเที่ยว โรงแรมที่พัก โรงพยาบาลหรือสถานบริการสุขภาพ สถาบันการเงิน ธุรกิจการเงิน การแลกเปลี่ยนเงินตรา บัตรเครดิต การประกันชีวิต การประกันภัย บริษัทโทรคมนาคม บริษัทที่ดำเนินธุรกิจธุรกรรมออนไลน์ และ E-commerce ทั้งหมด

ความใหญ่โตของฐานข้อมูลส่วนบุคคลในผู้ประกอบการด้านการเงินการธนาคาร ธุรกิจการติดต่อสื่อสารโทรคมนาคม และโดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการด้านการประมวลผลข้อมูล Big Data Cloud รวมทั้งธุรกิจตลาดหลักทรัพย์ ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ซึ่งหมายความว่าทุกหน่วยงานที่จะทำหน้าที่ Data Controller หรือเป็น Data Processor ที่จะเก็บและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมืองจากประเทศในกลุ่ม EU จะต้องคำนึงถึงการปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรการ GDPR ด้วยความระมัดระวัง

ยังมีความกังวลจากหลายฝ่ายที่เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของ GDPR โดยมองว่าถึงแม้ผู้ประกอบการไทยอาจไม่โดนดำเนินคดีทางกฎหมายจากการไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติขัดกับหลักการ GDPR แต่โดยที่ธรรมชาติของการติดต่อธุรกิจระหว่างประเทศต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันอยู่แล้ว หากฝ่ายผู้ประกอบการทางยุโรปเห็นว่าบริษัทคู่ค้าของไทยไม่สามารถปฎิบัติตาม GDPR บริษัท EU ก็จะไม่สามารถแลกเปลียนข้อมูลกับบริษัทในไทย ซึ่งก็จะส่งผลให้ไม่สามารถทำธุรกิจธุรกรรมกันได้ในที่สุด

นอกจากนี้ อียูอาจใช้มาตรการแทรกแซงทางการค้าอื่นๆ ในลักษณะเช่นเดียวกับการให้ "ใบเหลือง" ประเทศไทยจากกรณีปัญหา Illegal, Unreported and Unregulated Fishing(IUU)  เมื่อเดือนเมษายน 2558 โดยระบุว่าเป็นประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ซึ่งอียูได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรการนำเข้าอาหารทะเลจากประเทศที่เพิกเฉยต่อการแก้ไขปัญหา                                                                       

GDPR กำลังจะมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคมนี้แล้ว แต่ดูเหมือนจะยังไม่เป็นที่รู้จักหรือเข้าใจกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทยเท่าไรนัก

มีคำถามมากมายที่ชวนสงสัยและกำลังรอคำตอบ จนถึงวันนี้ GDPR เป็นที่รับรู้ของผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศไทยมากน้อยเพียงใด GDPR จะมีผลกระทบต่อธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กหรือเปล่า หน่วยงานของรัฐหน่วยใดควรเป็นผู้เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์นี้ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต่างประเทศ หรือกระทรวงดิจิทัล? พลเมืองไทยทั้งผู้ประกอบการหรือผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบหรือไม่อย่างไรจากมาตรการนี้ หน่วยงานของรัฐที่เก็บและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลไม่น้อยไปกว่าภาคเอกชนจะต้องปฏิบัติตาม GDPR หรือไม่ กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลจะเสร็จเมื่อไหร่ จะมีมาตรฐานเทียบเท่า GDPR หรือมาตรการสากลของนานาประเทศหรือไม่

และคำถามสุดท้าย.....คนไทยรู้จักและเข้าใจ GDPR กันหรือยัง?

 

เกี่ยวกับผู้เขียน: นคร เสรีรักษ์ เป็นอาจารย์ผู้สอนอยู่วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น และเป็นผู้ก่อตั้ง PrivacyThailand

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'วัฒนา' เรียกร้องให้รัฐบาลขอโทษ 'กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง' เหมือน 'พุทธอิสระ'

Posted: 27 May 2018 02:37 AM PDT

'วัฒนา เมืองสุข' เรียกร้องให้รัฐบาลขอโทษ 'กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง' เหมือนกรณีขอโทษ 'พุทธอิสระ' อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อยที่ถูกตำรวจบุกเข้าจับกุมภายในวัด

 
นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย (แฟ้มภาพ)
 
27 พ.ค. 2561  นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัว (Watana Muangsook) เรียกร้องให้รัฐบาลออกมาขอโทษกลุ่มคนอยากเลือกตั้งโดยเร็ว หลังจากออกขอโทษนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ อดีตพระพุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ที่ถูกตำรวจกองปราบฯ บุกเข้าจับกุมภายในวัด โดยมีเนื่อหาดังนี้
 
"หรือกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย"
 
การที่ผู้นำรัฐบาลได้ออกมาขอโทษและตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรณีการจับกุมพุทธอิสระที่นอกจากจะไม่เหมาะสมแล้วยังเป็นการให้ท้ายผู้กระทำผิด โดยเฉพาะการกระทำที่ถูกกล่าวหา ได้แก่ กรรโชกทรัพย์ อั้งยี่ ซ่องโจร และการทำปลอมขึ้นซึ่งรอยตราพระปรมาภิไธย ล้วนเป็นความผิดที่เกิดจากแรงจูงใจทางอาญา (criminal motive) ซึ่งอาจถือเป็นอาชญากรโดยสันดาน แตกต่างกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่ออกมาเรียกร้องสิทธิเลือกตั้งที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง (political motive) แต่กลับถูกตั้งข้อกล่าวหาอย่างร้ายแรง พฤติกรรมการดำเนินคดีมีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้ง เช่น ถ่วงเวลาในการแจ้งข้อกล่าวหา ตลอดจนการนำตัวไปฝากขังเสมือนเป็นอาชญากรโดยเจ้าหน้าที่คัดค้านการขอประกันตัว ในขณะที่หัวหน้ารัฐบาลกลับพูดในเชิงกระแนะกระแหนว่าอากาศเป็นพิษเพราะการชุมนุม เป็นต้น
 
ยิ่งพิจารณาถึงกิจกรรมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่เริ่มจากการรวมตัวกันตอนเย็นของวันที่ 21 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อฟังการอภิปรายผลงาน 4 ปีของรัฐบาล จากนั้นตอนเช้าของวันที่ 22 จะรวมตัวกันเดินมาที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่ออ่านแถลงการณ์ เสร็จแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน กิจกรรมดังกล่าวจึงมีความเหมาะสมและมิได้สร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมือง หากรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ขัดขวาง ปล่อยให้กลุ่มคนอยากเลือกตั้งทำกิจกรรมจนจบก็จะไม่มีความวุ่นวายใดๆ เกิดขึ้น
 
กิจกรรมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งถือเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่อาจเป็นความผิดต่อความมั่นคง หรือทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายตามที่ตำรวจยัดข้อหาให้ แต่บางส่วนอาจไปละเมิดกฎหมายบางฉบับ เช่น พรบ. การชุมนุมสาธารณะ หรือ พรบ. จราจรทางบก ก็ถือเป็นการทำความผิดด้วยความจำเป็น ส่วนการห้ามชุมนุมเกินห้าคนก็เป็นคำสั่งเผด็จการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังเป็นไปเพื่อเรียกร้องสิทธิเลือกตั้งอันเป็นการป้องกันการสืบทอดอำนาจ ซึ่งเป็นภยันตรายที่เกิดจากการรัฐประหารอันละเมิดต่อกฎหมาย ซึ่งได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุจึงเป็นการป้องกันโดยชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 67 และ 68 ไม่ต้องรับโทษและไม่เป็นความผิดตามกฎหมายแล้วแต่กรณี รัฐบาลจึงควรออกมาขอโทษกลุ่มคนอยากเลือกตั้งโดยเร็ว สำหรับพุทธอิสระวันหนึ่งต้องได้ไปเจอกันแน่นอน ถ้าอยากขอโทษค่อยทำกันตอนนั้นผู้คุมคงไม่ห้าม
 
วัฒนา เมืองสุข
27 พฤษภาคม 2561
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: เทวทูตผู้ตื่นสัจธรรมวิเศษ

Posted: 27 May 2018 02:35 AM PDT


คนถือปืนกราบปูนสามครั้ง
คราบเลือดเปรอะทั้งพรมผืนหนา
ขณะจ้องมองพระปฏิมา
จึงเป่าป่าเป็นเมืองปลดเปลื้องมาร

ดอกบัวสีขาวรองเท้าเขียว
เมื่อจะบานก้านเหี่ยวเที่ยวประหาร
คือมือแห่งเมตรัยใช้หมอบคลาน
อภิญญาณปัจเจกอเนกอนันต์

วัฏจักรผลักไสหัวใจส่อง
สังสารวัฏทั้งผองก็ไหวสั่น
สลับม่านผ่านมาไล่ฆ่าฟัน
ในกาลอันหญ้าแพรกแรกผลิใบ

จิตรกรรมฝาผนังดังก้องโบสถ์
นิรพานผลาญโกศกระดูกใส่
บังสุกุลเลือดข้นปนเหงื่อไคล
คราบเขม่าเผาไหม้ไร้ปัญญา

ราวกับธูปกับเทียนถูกเปลี่ยนถ่าย
ผืนพรมซากแหลกสลายใต้มุสา
ขณะพระตื่นมองเต็มสองตา
ตระหนกคนเบื้องหน้าอรรถาธิบาย

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทิศทาง ‘อนาคตใหม่’ ในพรรคการเมืองไทย

Posted: 27 May 2018 02:26 AM PDT



ในสังคมไทยบทบาทในการเรียกร้องประชาธิปไตยส่วนใหญ่แล้วมักจะตกอยู่ที่ประชาชนผู้ชุมนุมประท้วง แต่กลับกันภาพลักษณ์ของพรรคการเมืองมักมีนักการเมืองที่ไม่ดี ซึ่งในความจริงแล้วการนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย พรรคการเมืองเป็นสิ่งสำคัญและมีความใกล้ชิดประชาชน มีฐานเสียง ฐานผู้สนับสนุนค่อนข้างชัดเจน มีบทบาทสำคัญในแง่ของการส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาธิปไตย ในขณะนี้ประเทศไทยกำลังเกิดกระแสการเลือกตั้งอีกครั้ง ทำให้เกิดพรรคการเมืองใหม่ที่ไม่ใช่เพียงแค่พรรคการเมืองใหญ่กลุ่มเดิมเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งกลายเป็นสีสันทางการเมืองไทยที่คึกคักในรอบหลายปีตั้งแต่ถูกกดทับจากระบอบเผด็จการทหารภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบัน จึงเป็นการดีที่เกิดพรรคการเมืองในไทยส่งเสริมให้มีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้นและเกิดการผลักดันพื้นที่ทางประชาธิปไตยมากขึ้น

พรรคการเมืองที่น่าจับตามองในขณะนี้คือ "พรรคอนาคตใหม่" นำโดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล ท่ามกลางกระแสข่าวและความคิดเห็นที่มีทั้งเสียงเชียร์และเสียงต้านตามสื่อและโลกโซเชียลนั้น สิ่งหนึ่งที่น่าจับตามองเกี่ยวกับการตั้งพรรคดังกล่าวคือ พลังคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสังคมไทยก้าวพ้นเผด็จการและมุ่งไปสู่ประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ตามหลักของแนวคิดของอันโตนิโอ กรัมชี เจ้าของทฤษฎีการครองอำนาจนำ (hegemony) และการสร้างสามัญสำนึก (common sense) การตั้งพรรคใหม่ของฝ่ายก้าวหน้าอย่างพรรคอนาคตใหม่ คือ ความพยายามท้าทายกลุ่มชนชั้นนำด้วยการสร้างวิธีมองโลกแบบใหม่ขึ้นมา ให้คนตั้งคำถามกับกลุ่มชนชั้นนำที่มักสร้างสามัญสำนึก แล้วทลายวิธีมองโลกแบบเก่าๆให้สังคมฉุกคิดเข้ามาท้าทายรัฐ ซึ่งพรรคอนาคตใหม่สร้างอัตลักษณ์ผู้นำรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดที่ฉีกจากพรรคเดิมๆ ที่สามารถประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งเกี่ยวกับด้านกระแสตอบรับและกลายเป็นที่รู้จัก และที่น่าสนใจเป็นคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยเป็นนักการเมืองที่เคยลงสู่สนามเลือกตั้งและมีฐานเสียงเดียวกัน

จุดเด่นของพรรคนี้คือ มุ่งสร้างการเมืองแบบใหม่ที่ใกล้ชิดประชาชน มีคนรุ่นใหม่ระดมความคิด และเข้าถึงสื่ออิทธิพลของพลังทางโซเชียลมิเดียที่ปรับตัวได้กับการเมืองที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ดีกว่านักการเมืองรุ่นเก่า โดยมีตัวอย่างความคิดที่น่าสนใจกับสื่อสมัยใหม่ เช่น เห็นความสำคัญการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมว่ามีพลังมหาศาลกับด้านเศรษฐกิจจึงต้องการสนับสนุน เพื่อสร้างพื้นฐานรองรับให้เด็กคุ้นเคยกับเทคโนโลยี และมองเห็นปัญหาการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังมีความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น จึงต้องการผลักดันอินเทอร์เน็ตให้เป็นสวัสดิการบนพื้นฐานเดียวกับสาธารณูปโภค (Voicetv, 2561)  อีกทั้งการสร้างภาพลักษณ์ของผู้นำคนรุ่นใหม่เป็นที่สอดคล้องกับกระแสของโลกด้วย การเลือกตั้งในหลายประเทศที่ผ่านมาโดยส่วนใหญ่แล้วมีผู้นำที่อายุน้อยทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น หัวหน้าพรรคแรงงานของนิวซีแลนด์ โดยมีจาซินดา อาร์เดิร์น เป็นหัวหน้าพรรคได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดของประเทศในรอบ 150 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยที่สุดในโลกด้วยวัยเพียง 37 ปี หรือก่อนหน้านั้นไม่นาน เซบาสเตียน คัวซ์ วัย 31 ปี หัวหน้าพรรคประชาชน (OVP) เตรียมขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของออสเตรียด้วยเช่นกันซึ่งมีอายุน้อยที่สุดในโลก (โพสต์ทูเดย์, 2560)

แต่อย่างไรก็ตามพรรคอนาคตใหม่หรือพรรคอื่นๆที่กำลังเกิดใหม่ต่างต้องเผชิญกับความท้าทายหลายอย่างและการช่วงชิงอำนาจนำที่ต้องเปลี่ยนแปลงทิศทางประเทศไทยได้ในเวลาอันสั้น โดยต้องทำอย่างไรให้เกิดการก้าวข้ามการเมืองของการไม่รักษากติกาของประเทศไทยเพื่อเปลี่ยนแปลงวงจรเผด็จการแบบเดิมๆ ซึ่งสภาวการณ์ในขณะนี้ดูเหมือนไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยแก่การเล่นการเมือง จากคำสัมภาษณ์ของ ประจักษ์ ก้อง กีรติ ได้ให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า "ยังมีความเสี่ยงสูงทำให้คนดีและเก่งจำนวนมากไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง การที่การเมืองมีความไม่แน่นอนและมีการเปลี่ยนแปลงนอกกติกาเยอะและกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ที่มีความเข้มงวดมากไป อ่านกฎหมายพรรคการเมืองจะพบว่าการตั้งพรรคการเมืองในยุคปัจจุบันตั้งยากมาก ในขณะเดียวกันถูกยุบได้ง่าย ต้องยอมรับว่าใครที่ตัดสินใจมาเล่นการเมืองในยุคนี้มีความกล้ามากและต้องยกย่องไม่ว่าอุดมการณ์ใด" (มติชนสุดสัปดาห์, 2561)

ในรัฐธรรมนูญฉบับของมีชัย ฤชุพันธุ์ ปี 2560 เปลี่ยนระบบเลือกตั้งใหม่ คือ จัดสรรปันส่วนผสม แม้สามารถเบิกช่องทางให้พรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็กเพิ่มขึ้น ซึ่งจากเดิมที่พรรคการเมืองเกิดขึ้นใหม่แทบจะไม่มีโอกาสได้ที่นั่งเพราะว่าในระบบเขตมักมีตัวแทนประจำจังหวัด ส่วนปาร์ตี้ลิสต์เดิมคนไทยจะเน้นเลือกพรรคใหญ่ 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ (มติชนสุดสัปดาห์, 2561) แต่แอบแฝงไปด้วยสภาพ "รัฐซ้อนรัฐ" (Deep State) โดยเฉพาะบัตรเลือกตั้งใบเดียวที่เพิ่มความเสี่ยงให้แต่ละเขตเลือกตั้งต้องมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ทำให้ค่อนข้างเป็นที่แน่นอนว่า ส.ส.ในระบบเขตที่ใกล้ชิดกับประชาชนจะเป็นตัวเลือกอันดับแรกมากกว่าพรรคที่ไม่เคยมีฐานเสียงมาก่อน อาจจะเป็นไปได้ที่ยังมีพรรคเดิมๆวนเวียนอยู่ อีกทั้งบทเฉพาะกาล 5 ปี ยังกำหนดให้มีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 250 คนมาจากการแต่งตั้งโดย คสช. และกำหนดให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งหมดเป็น ส.ว. โดยตำแหน่งอีกด้วย (โลกวันนี้, 2560) จึงเปรียบเสมือนอำนาจซ้อนอำนาจในรัฐธรรมนูญซึ่งไม่มีความหมายหากรัฐบาลทหารและ คสช. ยังใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์แฝงอยู่ ซึ่งยังคงมีความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะก้าวพ้นเผด็จการและวงจรทางการเมืองที่ไม่เคลื่อนไปไหน

ปัญหาอีกประการ คือ ตำแหน่งจากประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญทางสนามการเมืองที่ยังไม่คุ้นเคยนัก ซึ่งอาจจะไม่สามารถเข้าถึงคนที่เคยถือตนเป็นคนของพรรคเดิมได้ แต่เมื่อต้องเข้าถึงคนทุกกลุ่มก็อาจเกิดปัญหาทางแพร่งอีกโดยเฉพาะสูญเสียอัตลักษณ์ในการเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ จึงเป็นเรื่องยากที่พรรคใหม่จะสามารถได้เสียงข้างมากได้เท่าเก่าพรรคเก่าที่มีฐานเสียงเยอะกว่า โดยความขัดแย้งทางชนชั้นผ่านพรรคการเมืองรุ่นใหม่ขัดกับพรรคการเมืองชนชั้นนำเก่าในวัฒนธรรมไทยเกิดขึ้นได้ยากเพราะเป็นสังคมที่ประนีประนอมมาตลอด โดยพรรคการเมืองที่ผ่านมามักผูกมิตรกับพรรคการเมืองเก่า เพื่อสร้างพวกในการเพิ่มฐานเสียงกลุ่มเดิมหากไม่เช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่พรรคน้องใหม่จะเข้าถึงสนามเลือกตั้งเขตภาคอีสานและภาคเหนือเท่าพรรคเพื่อไทยหรือแม้แต่เขตภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้ ถึงอย่างไรก็ตามภายใต้ความเสี่ยงย่อมเป็นเรื่องปกติทางการเมืองที่พรรคการเมืองไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ต่างต้องรับมือให้ได้ซึ่งเป็นสีสันของประชาธิปไตยที่ต้องกล้าได้กล้าเสี่ยง อย่างน้อยพรรคอนาคตใหม่ได้กลายเป็นทางเลือกและความหวังใหม่ให้กับการเมืองประเทศไทย
 


บรรณานุกรม

มติชน สุดสัปดาห์. 2561. 'ประจักษ์ ก้องกีรติ' มองพรรคอนาคตใหม่ ควรเปลี่ยนการเมืองไทยระยะยาว. ค้น จาก https://www.matichonweekly.com/column/article_89805

โพสต์ทูเดย์. 2560. การเมืองเปลี่ยน โลกหันพึ่งผู้นำรุ่นใหม่. ค้นจาก https://www.posttoday.com/world/521283

โลกวันนี้. 2561. รัฐซ้อนรัฐ?.ค้นจาก http://www.lokwannee.com/web2013/?p=265040

Voicetv. 2561. 'ธนาธร' ผุดโมเดลหนุนอีสปอร์ต ดันอินเทอร์เน็ตเข้าถึงทุกชนชั้น. ค้นจาก https://voicetv.co.th/read/SyNSSg2tf

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักสหภาพแรงงานชี้ คำวินิจฉัยกรมสวัสดิการฯ ปมพิพาทคนงาน GM ขัดต่อเจตนารมณ์กฎหมาย

Posted: 27 May 2018 02:09 AM PDT

กรมสวัสดิการฯ ส่งหนังสือวินิจฉัย ชี้ปรับโครงสร้างเงินเดือนของ GM เป็นไปตามเงื่อนไขที่ลูกจ้างทำคำสนองตอบรับคำเสนอยอมรับข้อเรียกร้องของฝ่ายนายจ้างโดยไม่มีเงื่อนไข ด้าน 'บุญยืน สุขใหม่' วิจารณ์คำวินิจฉับขัดเจตนารมณ์และหลักของกฎหมาย

ภาพคนงาน GM ร้องสถานทูตสหรัฐฯ ช่วยแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงาน เมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา
 
ความคืบหน้าข้อขัดแย้งระหว่างคนงานกับบริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ส พาวเวอร์เทรน (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด นั้น ล่าสุด บุญยืน สุขใหม่ ผู้ประสานงานกลุ่มพัฒนาแรงงานสัมพันธ์ตะวันออก ซึ่งติดตามข้อขัดแย้งดังกล่าว ให้สัมภาษณ์กับ ประชาไท ว่า หลังจากที่ทั้ง 2 บริษัท ยื่นข้อเรียกร้องต่อลูกจ้างจำนวน 11 ข้อ และไม่สามารถตกลงกันได้จนนำไปสู่การใช้สิทธิ์ปิดงาน หรืองดจ่ายค่าจ้าง ของบริษัททั้ง 2 ตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค.2557 เป็นต้นมา และต่อมาลูกจ้างทนต่อสภาพเศรษฐกิจไม่ไหวต้องยินยอมรับตามข้อเรียกร้องของบริษัททั้ง 2 แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างงานของลูกจ้างทั้ง 2 บริษัทฯ โดยสิ้นเชิง 
 
เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา สภาองค์การลูกจ้างแรงงานสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เรื่อง "ขอให้วินิจฉัยว่านายจ้างได้ปฏิบัติตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์หรือไม่เพียงใด" ทั้งสิ้น 4 ประเด็นกล่าวคือ
 
1. การที่บริษัทฯทั้ง 2 บริษัทฯ ได้มีคำสั่งย้ายสถานที่ทำงานของพนักงานทุกอย่างกะทันหัน หรือการปรับลดค่าจ้างจากเดิมที่เคยได้รับเหลือเพียงคนละ 9,600 บาท ต่อเดือน และตัดสวัสดิการอื่นทั้งหมด เป็นการปฏิบัติของนายจ้างที่ถูกต้องตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ทั้ง 2 ฉบับหรือไม่ เพียงใด?
 
2. กรณีที่บริษัทฯทั้ง 2 ไม่จ่ายเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนของบริษัทฯทั้ง 2ให้กับพนักงานหลังจากมีคำสั่งคณะกรรการแรงงานสัมพันธ์ให้รับพนักงานกลับเข้าทำงานฉบับ ที่ 69-100/2561 และฉบับที่ 111-406/2556 จนถึงปัจจุบันสามารถทำได้หรือไม่ อย่างไร และถ้าพนักงานต้องการกลับเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอีกต้องสมัครใหม่หรือไม่ และการนับอายุการเป็นสมาชิกของกองทุนนับอย่างไร?
 
3. ปรับโครงสร้างเงินเดือนโดยการปรับลดค่าจ้างลงต่ำกว่าเดิมที่ทั้ง 2บริษัทฯ ปรับลดเงินเดือนพนักงานลงเป็นการขัดต่อมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ 2518 หรือไม่ อย่างไร?
 
4. ถ้าการกระทำของทั้ง 2บริษัทฯ เป็นการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ตามคำสั่งที่ได้กล่าวมาข้างต้นสามารถดำเนินคดีอาญาได้หรือไม่ และถ้าดำเนินคดีอาญาได้ใครบ้างที่มีอำนาจในการดำเนินคดีอาญาต่อบริษัทฯ ทั้ง 2 ?
 
บุญยืน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้รับหนังสือตอบจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานฉบับลงวันที่ 20 เม.ย. 2561 โดยมีเนื้อโดยสรุปดังนี้
 
ประเด็นที่ 1 กรณีที่บริษัททั้ง 2 ปรับลดค่าจ้างจากที่เคยได้รับเหลือเพียงคนละ 9,600 บาทต่อเดือนและตัดสวัสดิการอื่นทั้งหมดเป็นไปตามเงื่อนไขที่ลูกจ้างทำคำสนองตอบรับคำเสนอยอมรับข้อเรียกร้องของฝ่ายนายจ้างโดยไม่มีเงื่อนไข
 
ประเด็นที่ 2 กรณีหลักเกณฑ์การจ่ายเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นไปตามระเบียบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันร่วมกันด้วยความสมัครใจ หากลูกจ้างเห็นว่านายจ้างปฏิบัติไม่ถูกต้องสามารถยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามระเบียบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัททั้ง 2
 
ประเด็นที่ 3 กรณีที่บริษัทฯทั้ง 2 ปรับโครงสร้างเงินเดือน โดยปรับลดค่าจ้างลงต่ำกว่าเดิมเป็นการขัดต่อมาตรา 20 แห่ง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ 2518 หรือไม่นั้น กระทรวงแรงงานเห็นว่ากรณีนี้ เป็นไปตามเงื่อนไขที่ลูกจ้างทำคำสนองตอบรับคำเสนอยอมรับข้อเรียกร้องของฝ่ายนายจ้างโดยไม่มีเงื่อนไข หากลูกจ้างเห็นว่าไม่เป็นคุณกับลูกจ้างสามารถใช้สิทธิยื่นคำฟ้องต่อศาลแรงงานได้
 
ประเด็นที่ 4 กระทรวงแรงงานเห็นว่าบริษัททั้ง 2 ได้ปฏิบัติตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แล้ว สิทธิในการดำเนินคดีอาญาเป็นอันระงับ
 
จากคำวินิจฉัยจากกระทรวงแรงงานฉบับดังกล่าว ผู้ประสานงานกลุ่มพัฒนาแรงงานสัมพันธ์ตะวันออก กล่าวว่า เป็นคำวินิจฉัยที่ขัดต่อเจตนารมณ์และหลักของกฎหมายหลายประการ และเป็นการวินิจฉัยเพื่อที่จะไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังโดยอ้างเหตุให้ลูกจ้างไปใช้สิทธิในทางศาลเอง
 
บุญยืน กล่าวเชิงตั้งคำถามด้วยว่า ในกรณีของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทกำหนดโทษทางอาญาและเป็นกฎหมายที่ขัดต่อความสงบและเรียบร้อยของประชาชน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวินิจฉัยอย่างรอบครอบและตีความอย่างเคร่งครัด กระทรวงแรงงานซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายแรงงานแต่กลับวินิจฉัยข้อกฎหมายอย่างผิดเพี้ยนอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมและขบวนการแรงงานโดยรวมได้ เพราะจะนำไปสู่แบบอย่างที่ไม่ถูกต้องและก่อให้เกิดความเสียหายโดยส่วนรวม เพราะถ้าผู้ใช้แรงงานร่วมกันยื่นข้อเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ในกระทรวงแรงงานทุกคนปรับโครงสร้างเงินเดือนลดค่าจ้างลงมาเหลือคนละ 9,600 บาทเท่ากันทุกคนและตัดสวัสดิการทุกอย่าง ทุกท่านมีความเห็นว่าดีหรือไม่
 
สำหรับปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงานของคนงานเจนเนอรัลมอเตอร์ส เครือข่ายกู๊ดอิเล็กทรอนิกส์ ประเทศไทย ได้สรุปไว้ว่าดังนี้
 
กรณีดังกล่าวมีปัญหาข้อพิพาทแรงงานที่ไม่สามารถตกลงกันได้ตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ. 2556 และนายจ้างใช้สิทธิปิดงาน (งดจ่ายจ้าง) เฉพาะพนักงานที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานกว่า 300 คน จนเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2560 สมาชิกสหภาพแรงงานจำนวน 72 คน ทนต่อสภาวะเศรษฐกิจไม่ไหว จึงรับข้อเรียกร้องของนายจ้างทั้งหมดเพื่อขอกลับเข้าทำงาน แต่นายจ้างกลับไม่ให้สมาชิกสหภาพแรงงานเข้าทำงานแต่อย่างใด สมาชิกสหภาพแรงงาน พร้อมกับประธานและเลขาธิการสหภาพแรงงาน รวมทั้งหมด 72 คน จึงยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ (ครส.) เรื่อง การกระทำอันไม่เป็นธรรม ซึ่งต่อมา ครส.มีคำสั่งให้บริษัทฯ รับสมาชิกสหภาพแรงงาน 70 คนกลับเข้าทำงานพร้อมจ่ายค่าเสียหายนั้น
 
บริษัทฯ จึงเรียกพนักงานทุกคนให้ไปรายงานตัวเพื่อกลับเข้าทำงานที่สนามกอล์ฟ พัฒนากอล์ฟคลับ จ.ระยอง เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2561 ทั้งยังยื่นชุดข้อเสนอให้พนักงานพิจารณา และยื่นหนังสือคำสั่งให้ไปปฏิบัติงานที่คลังสินค้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยปรับลดค่าจ้างเหลือเพียงค่าจ้างขั้นต่ำ 9,600 บาท ตัดสวัสดิการทั้งหมด และลดตำแหน่งความรับผิดชอบ โดยมอบหน้าที่ใหม่ให้ไปขูดสีตีเส้นบริเวณพื้นของคลังสินค้าดังกล่าว เป็นแรงงานไร้ฝีมือ โดยสั่งให้เริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 19 มี.ค. 2561 
 
คำสั่งของนายจ้างข้างต้น ทำให้พนักงานหลายคนวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะต้องแยกกันอยู่กับครอบครัวที่จังหวัดระยองและใกล้เคียง พนักงานส่วนใหญ่จึงตัดสินใจไม่เดินทางไปตามคำสั่งของนายจ้าง และต้องยอมลาออกไปเองเพราะไม่สามารถทนทำงานในสถานที่ทำงานแห่งใหม่และสภาพการจ้างานใหม่ได้ เหลือพนักงานที่สามารถเดินทางไปทำงานที่คลังสินค้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพียง 9 คน 
 
เครือข่ายกู๊ดอิเล็กทรอนิกส์ฯ ชี้ว่า ผลกระทบจากคำสั่งของนายจ้างถือเป็นการกลั่นแกล้งพนักงาน ให้ไม่สามารถทนทำงานต่อไปได้ เป็นการละเมิดกฎหมายแรงงาน สิทธิมนุษยชน และมีเจตนาทำลายสหภาพแรงงานอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ พนักงานที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานทั้ง 9 คนได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก เนื่องจากรายได้ลดลงและไม่สามารถดูแลลูกและครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามฉุกเฉิน รวมทั้งมีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ในจำนวนพนักงาน 9 คนมีพนักงานหญิง 1 คนที่ต้องเดินทางไปทำงานร่วมกับพนักงานชาย 8 คน ต้องเสาะหาที่พักเพียงลำพัง ซึ่งถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อแรงงานหญิง ทั้งยังเป็นการกดขี่ทางเพศอย่างรุนแรง

 

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประชุมพรรคอนาคตใหม่ เชื่อโลกใหม่ สังคมใหม่ การเมืองแบบใหม่ "เป็นไปได้"

Posted: 27 May 2018 01:34 AM PDT

ประชุมพรรคอนาคตใหม่ ชูคำขวัญ "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ" เชื่อโลกใหม่ สังคมใหม่ การเมืองแบบใหม่ "เป็นไปได้" ลงมติเลือกกรรมการบริหารพรรค ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค "ครูจ้ย" กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ, ชำนาญ จันทร์เรือง, พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาฯ สมช. และ รณวิต หล่อเลิศสุนทร เป็นรองหัวหน้าพรรค

คลิปแถลงข่าวหลังประชุมจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ (จากซ้ายไปขวา) ปิยบุตร แสงกนกกุล, ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรณิการ์ วาณิช

 

การประชุมพรรคอนาคตใหม่ในช่วงบ่าย ที่อาคารยิมเนเซียม 5 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

การประชุมพรรคอนาคตใหม่ในช่วงเช้า และช่วงลงมติเลือกกรรมการบริหารพรรค (ที่มาของภาพ: พรรคอนาคตใหม่)

27 พ.ค. 2561 ในการประชุมพรรคอนาคตใหม่ ที่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงเช้า ที่อาคารยิมเนเซียม 5 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีการประชุมเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดแรก โดยมีรายชื่อดังนี้ 1. หัวหน้าพรรค ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 2. รองหัวหน้าพรรค กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ 3. รองหัวหน้าพรรค ชำนาญ จันทร์เรือง 4. รองหัวหน้าพรรค พงศกร รอดชมภู 5. รองหัวหน้าพรรค รณวิต หล่อเลิศสุนทร 6. เลขาธิการพรรค ปิยบุตร แสงกนกกุล 7. โฆษกพรรค พรรณิการ์ วาณิช 8. นายทะเบียนพรรค ไกลก้อง ไวทยากร 9. เหรัญญิก นิติพัฒน์ แต้มไพโรจน์

10. กรรมการ (เครือข่ายแรงงาน) สุนทร บุญยอด 11.กรรมการ (เครือข่ายคนรุ่นใหม่) วิภาพรรณ วงษ์สว่าง 12. กรรมการ (ภาคเหนือ) เยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์ 13. กรรมการ (ภาคกลาง) สุรชัย ศรีสารคาม 14. กรรมการ (ภาคใต้) เจนวิทย์ ไกรสินธุ์ 15. กรรมการ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ชัน ภักดีศรี 16. กรรมการ (จากสัดส่วนที่ประชุม) จารุวรรณ ศรัณย์เกตุ 17. กรรมการ (จากสัดส่วนที่ประชุม) นิรามาน สุไลมาน

นอกจากนี้ที่ประชุมพรรคยังลงมติ 474 เสียง ต่อ 0 เสียง ใช้คำขวัญ "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ" โดยมีแนวทางพรรคคือ 1. ประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุด การใช้อำนาจรัฐต้องยึดโยงกับประชาชน 2. เชื่อมั่นว่ามนุษย์มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง มีสิทธิในการใฝ่ฝันถึงสังคมที่ดีกว่า มีความชอบธรรมในการกำหนดอนาคต 3. หลักการมีส่วนร่วมของสมาชิก เสริมสร้างประชาธิปไตยภายในพรรคพร้อมไปกับประสิทธิภาพในการทำงาน 4. เชื่อมั่นในความเป็นไปได้ โลกใหม่ สังคมใหม่ และการเมืองแบบใหม่

สุนทร คำยอด: เสียงจากปีกแรงงาน

ในช่วงบ่ายมีการแสดงปาฐกถาของสมาชิกพรรคในวงการต่างๆ โดยสุนทร บุญยอด กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ และตัวแทนปีกแรงงาน ปาฐกถาในงานประชุมพรรคอนาคตใหม่  กล่าวถึงปัญหาปากท้องของประชาชนเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง "การปฏิรูปที่ดินทุกวันนี้เป็นอย่างไร คนจนก็ไม่มีที่จะอยู่ พี่น้องผมร่วมประชุมอยู่ข้างบนมาจากชุมชนดอนเมือง อยู่มา 80 กว่าปี มีเลขที่อยู่เป็นที่เรียบร้อย เขตออกให้ แต่อยู่ๆ มาไล่เขาไปอยู่แฟลต แล้วแฟลตตอนนี้อยู่ไหน"

"นี่หรือคือการปฏิรูปที่ดิน แต่สุดท้ายไปสร้างบ้านพักตุลาการ" เขากล่าวด้วยว่า "ถึงเวลาแล้วหรือยังที่พี่น้องทั้งหมดจะต้องรวมกันฟันฝ่า เขียนประวัติศาสตร์ไปด้วยกัน เอาสองมือของเราเขียนว่า เราจะกำจัดเผด็จการทั้งหมดไปจากประเทศไทย" นอกจากนี้ยังทิ้งท้ายด้วยว่า "ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องมีการกระจายอำนาจให้ประชาชนปกครองกันเอง"

วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร: 60 ปีถูกเสือเศรษฐกิจเอเชียแซง
แต่เจ็บปวดที่สุดคือ 10 ปีมานี้ประเทศไทยหยุดเดินหน้า

ขณะที่วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ทีมที่ปรึกษานโยบายพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า เราทราบดีว่าประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา ในทางเศรษฐกิจไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าตลอด 60 ปีที่ผ่านมา ไทยถูกประเทศต่างๆ แซงไปเป็นจำนวนมาก ไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย ที่พัฒนาเศรษฐกิจไล่เลี่ยกับเราในทศวรรษ 2500 แต่ตอนนี้เหลือไทยกับมาเลเซียที่ยังแข่งกัน ที่เจ็บปวดที่สุดคือในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ที่ประเทศไทยหยุดเดิน แต่มาเลเซียก็พัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ชาวมาเลเซียมีรายได้ต่อหัวมากกว่าคนไทยสองเท่า สิงคโปร์รวยกว่าไทย 9 เท่า ทุกอย่างจะไม่เป็นปัญหาเลยถ้าประเทศเหล่านี้มีแต้มต่อเหนือกว่าเรา

เกาหลีใต้แทบไม่มีทรัพยากรเลย สิงคโปร์ก็เคยเป็นเมืองท่าขนาดเล็ก ประเทศเหล่านี้เริ่มออกวิ่งพร้อมกับไทย แต่ประเทศส่วนใหญ่กับก้าวพ้นไปเป็นประเทศร่ำรวย ประเทศพัฒนาแล้ว ปล่อยให้ไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนาเหมือนที่เราเคยเป็นเหมือนเดิม

ถ้าคุณใส่ใจกับความเป็นไปในสังคมคุณจะหยุดคิดไม่ได้เลย การเติบโตทางเศรษฐกิจสุดท้ายสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย ประเทศที่พัฒนา ที่ประสบความสำเร็จ หมายถึงลูกหลานของคุณจะมีชีวิตดีกว่าคนรุ่นก่อนขึ้นไป

คนเอเชียเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือจะเสียสละ อดทนเพื่อลูกหลาน แต่สิ่งที่ต่างกันคือ ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ ดอกผลที่พ่อแม่ลงแรงมันจะตกไปอยู่กับลูกและหลานเขา เกาหลีใต้สมัยหลังสงครามทำงานโรงงาน อาศัยในห้องรูหนูซอมซ่อ แต่ลูกเขาทำงานในบริษัทท้องถิ่น มีเงินเดือนแน่นอน และมีบ้านในที่สุด หลานของเขาได้ไปเรียนต่างประเทศ เลือกที่เรียนได้ กลายเป็นพลเมืองของโลก

แต่ในไทย คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างยอมกัดฟันขับรถฝ่าควันพิษเช้ายันค่ำ เก็บเงินให้ลูกไปโรงเรียน ลูกเขาจะไปได้ไกลแค่ไหน

น้องที่จากบ้านมาทำงานโรงงานที่ระยอง รับค่าแรงขั้นต่ำเพื่อเก็บเงินไปทำร้านตัวเองที่บ้านเกิด คิดว่าเขาจะเก็บเงินกันอีกกี่ปีถึงจะมีบ้าน มีร้านของตัวเอง

ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ชนชั้นกลาง ยอมอดหลับอดนอนต่อคิวไปสมัครเรียนพิเศษให้ลูก หวังให้ลูกมีงานที่ดีกว่าตัวเอง ลูกเขาจะมีโอกาสนั้นจริงหรือ

ถ้าเราไม่หลอกตัวเองจนเกินไป เราทุกคนต่างรู้ดีว่าโอกาสมันตีบตันแค่ไหนในประเทศนี้ ในเวลานี้ การลงทุนลงแรงของพ่อแม่อาจไม่ส่งผลถึงลูกหลานก็ได้ เพราะไม่มีทางเลือก และโอกาส นั่นหมายถึงต้องมีปัญหาบางอย่างในประเทศที่พัฒนามาต่อเนื่อง 60 ปี

ดังนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจต้องมองเห็นหัวคน เราต้องยึดหลักตรงนี้ให้มั่น ขับเคลื่อนด้วยความใฝ่ฝันว่าลูกหลานสามารถมองเห็นสิ่งที่ดีกว่าในอนาคต แต่แน่นอน การทำนโยบายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่สามารถใช้ความรู้สึกอย่างเดียวได้ ต้องทำอย่างรัดกุม เป็นระบบ ในแง่หนึ่งเราอยู่ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร มีงานวิจัยและประสบการณ์จากต่างประเทศให้เราถอดบทเรียนและประยุกต์ แต่อีกด้านก็ต้องเข้าใจและยอมรับความแตกต่างเชิงพื้นที่และผู้คน เราจะไปบังคับให้คนเป็นเหมือนกันนั้นเป็นไปไม่ได้

นโยบายต้องไม่เริ่มต้นจากห้องแอร์ แต่เริ่มจากผืนดินและผู้คน นำมาร้อยเรียนงกันให้เป็นระบบ อะไรที่มีอยู่แล้วแต่ขัดขวางการพัฒนามนุษย์ก็ต้องถูกยกเลิก งบประมาณที่ถูกใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายต้องถูกตรวจสอบ ต้องปลดล็อก ปรับโครงสร้าง สร้างโอกาสแต่ละภาคส่วนไปพร้อมกัน

ไม่มีอะไรที่ทำให้ไทยพัฒนาก้าวกระโดดชั่วข้ามคืน แต่ก็ต้องเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์และกระจายอำนาจอย่างรอบด้าน ครบวงจร สามารถเปิดพื้นที่ให้แต่ละเขตได้ลองผิดลองถูก แต่ต้องมีกระบวนการสร้างความโปร่งใสไปพร้อมๆ กัน ทั้งหมดนี้ไม่ง่าย ต้องคิดเยอะ ฟังเยอะ ปรับปรุงต่อเนื่อง แต่ประเทศไทยเคยทำอะไรง่ายๆ ไร้ระบบมาเยอะแล้ว ไม่ต้องดูที่ไหนไกล ตลอด 4 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงในงบประมาณจำนวนมาก ก่อนหน้านี้งบประมาณด้านสุขภาพที่คนไทยได้ต่อหัวเคยสูงกว่างบทหารต่อหัว แต่ตอนนี้งบทหารต่อหัวสูงแซงหน้าสุขภาพไปแล้ว หมายความว่าความมั่นคงของทหารได้รับความสำคัญกว่าความมั่นคงของประชาชน

ปิยบุตร แสงกนกกุล ย้ำพรรคคู่แข่งไม่ใช่ศัตรูทางการเมือง
แต่จะแข่งขันกันทำความดีเพื่อเอาชนะใจประชาชน

ในการประชุมพรรคอนาคตใหม่ ปิยบุตร แสงกนกกุล กล่าวปาฐกถาว่า หากเราเชื่อว่าเวลาคือความเปลี่ยนแปลงและเวลาอยู่ข้างเรา สิ่งเดียวคือการตัดสินใจลงมือทำอย่างมุ่งมั่น เราชาวอนาคตใหม่เห็นว่าต้องมีพลังทางการเมืองเพื่อคืนความเชื่อมั่นต่อระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย นำมาสู่การจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ด้วยความหวังให้สังคมไทยเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และเปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทยให้ดีขึ้น

โดยพรรคอนาคตใหม่มีความมุ่งมั่น 3 ประการ หนึ่ง มุ่งมั่นทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรรค์ จะมุ่งนำเสนอนโยบายที่ก้าวหน้าสร้างสรรค์ ทั้งการกระจายอำนาจ ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สร้างสวัสดิการที่เป็นหลักประกันของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย เคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม เพศ สิทธิมนุษยชน การเมืองของพลเรือนอยู่เหนือทหาร

นโยบายจะเกิดจากการทำงานทางวิชาการ เก็บความเห็นจากพี่น้องประชาชน พรรคคู่แข่งไม่ใช่ศัตรูทางการเมือง แต่เป็นคู่แข่งทางการเมือง เราจะแข่งขันกันทำความดีเพื่อเอาชนะใจประชาชน ไม่ใช่ทำทุกอย่างเพื่อกำจัดให้เขาออกไปพ้นทาง

"เราต้องการขีดเส้นแบ่งระหว่างการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่ออกจากกันให้เด่นชัด หากพรรคการเมือง กลุ่มบุคคลใดใช้อำนาจ อิทธิพลในการดูด ส.ส. นั่นคือการเมืองแบบเก่า หากพรรคการเมือง กลุ่มบุคคลใด ใช้เงินในการซื้อเสียง ซื้อหัวคะแนน นั่นคือการเมืองแบบเก่า หากพรรคการเมือง กลุ่มบุคคลใดมัวแต่สาดโคลน ใส่ร้ายกัน นั่นคือการเมืองแบบเก่า หากพรรค กลุ่มบุคคลใดจ้องแต่จะมีอำนาจ มีตำแหน่งโดยไม่คำนึงถึงอุดมการณ์ นั่นคือการเมืองแบบเก่า"

"พรรคอนาคตใหม่ยืนยันว่าจะไม่ทำงานการเมืองแบบเก่า เมื่อเราขีดเส้นแบ่งการเมืองเก่าและใหม่ออกจากกันอย่างชัดเจน สุดท้ายประชาชนที่เป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในประเทศจะเป็นผู้เลือกว่าจะเอาการเมืองแบบเก่าหรือแบบใหม่"

สอง พรรคอนาคตใหม่จะไม่มีใครคนหนึ่ง เป็นเจ้าของ สมาชิกเป็นเจ้าของร่วมกัน การมีส่วนร่วมร่วมกันแสดงออกจากการระดมทุนเพื่อนำเงินมาใช้ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง หากพรรคอนาคตใหม่ตั้งขึ้นเรียบร้อยจะเดินสายไปทั่วประเทศ จัดกิจกรรมอย่างหลากหลายจากผู้สนับสนุนพรรค เพื่อระดมทุนให้ได้ 350 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย นำมาใช้รณรงค์หาเสียงที่จะเกิดในต้นปีหน้า ถ้าหาก คสช. ไม่เบี้ยว

เมื่อผู้สนับสนุน สมาชิกร่วมลงขันให้พรรคมีเงินทุนในการทำกิจกรรม หมายถึงทุกคนเป็นเจ้าของพรรคนี้ร่วมกัน ความสัมพันธ์ของพรรคอนาคตใหม่ แกนนำพรรค สมาชิกพรรค จะไม่ตั้งบนฐานเจ้านาย ลูกน้อง ผู้ให้และผู้รับ แต่คือหุ้นส่วนกัน คือเพื่อนร่วมงานที่จะทำงานทางการเมืองด้วยกัน

การเป็นเจ้าของพรรคคือ สมาชิกพรรคจะมีส่วนร่วมการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เน้นการกระจายอำนาจจากทุกภูมิภาค พรรคอนาคตใหม่มีตัวแทนจากผู้ใช้แรงงาน เยาวชนคนรุ่นใหม่ ตัวแทนจากทุกจังหวัดในที่ประชุมใหญ่เพื่อกำหนดทิศทางพรรคร่วมกัน จะทำงานกับเครือข่ายในพื้นที่ ให้คนในพื้นที่ดูว่าใครจะลงแข่งขัน ไม่มีมุ้ง ไม่มีวัง ไม่มีหัวหน้ามุ้ง บรรดาผู้นำ แกนนำพรรค ไม่มีอำนาจที่จะกำหนดคนลงเลือกตั้งโดยไม่ฟังเสียงสมาชิกในพื้นที่

สาม พรรคอนาคตใหม่มุ่งมั่นทำงานการเมืองในระยะยาว ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจที่ลงเลือกตั้งเป็นครั้งคราว ไม่ใช่พรรคที่มี ส.ส. 20-30 คนไปต่อรองเอาที่นั่งรัฐมนตรี การเลือกตั้งไม่ใช่ทุกสิ่งอย่างของการเมืองไทย พรรคอนาคตใหม่ยืนยันว่าจะทำงานทางการเมืองทั้งในฤดูเลือกตั้ง และในยามที่ไม่ใช่ฤดูเลือกตั้ง ในช่วงเลือกตั้ง พรรคจะรณรงค์อย่างขยันขันแข็งให้ได้เสียง ได้ที่นั่งในสภา เราต้องการมีอำนาจ ไม่ใช่เพื่อมีอำนาจ แต่เพื่อเอาอำนาจนั้นกลับไปคืนสู่ประชาชน

เมื่อเลือกตั้งผ่านพ้นไป ใครเป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรีก็ปฏิบัติหน้าที่ แต่พรรคอนาคตใหม่ยังทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่หายตัวไป เราจะจัดกิจกรรมทั้งทางศิลปวัฒนธรรม ทางวิชาการ สร้างความสัมพันธ์กับเครือข่ายต่างๆ ในพื้นที่ เราจะตั้งมูลนิธิที่จะเป็นคลังสมองของพรรค ผลิตคนซึ่งเชื่อมั่น ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน จะตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคม

ในยามที่เราออกแบบนโยบายมาแต่ยังไม่มีอำนาจ จะนำนโยบายมาผลักดัน ทดลองในนั้น นอกจากนั้นยังใช้สร้างความสัมพันธ์ต่อพี่น้องประชาชนในท้องที่ ระหว่างวิสาหกิจเพื่อสังคมและชุมชน ทำให้การเมืองไม่ผูกพันกันเรื่องหัวคะแนน งานบุญ งานบวช ใส่ซอง พวงหรีด งานแต่งงาน แต่จะผูกพันผ่านการทำงานร่วมกัน

การเอาชนะกันทางการเมืองไม่สามารถเอาชนะกันได้ด้วยจำนวนแต่เพียงอย่างเดียว หากจำนวนชี้ชะตาการเมืองไทยได้ ป่านนี้พรรคการเมืองอันดับหนึ่งของไทยต้องเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างไปแล้ว

ถ้าการเอาชนะกันทางการเมืองวัดจากจำนวน วัดจากกำลังอาวุธ ป่านนี้เผด็จการทหาร คสช. ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้ว

เอาเข้าจริง การเอาชนะทางการเมืองคือการเอาชนะทางความคิด พรรคอนาคตใหม่จึงมุ่งมั่นทำงานทางความคิดเพื่อยึดในอุดมการประชาธิปไตย เพื่อสร้างสังคมไทยให้ก้าวหน้า หากพรรคอนาคตใหม่สามารถดำเนินไปตามสามข้อข้างต้นได้ พรรคอนาคตใหม่จะปรับภูมิทัศน์ทางการเมืองได้

ส่วนกฎหมายพรรคการเมืองปัจจุบัน เมื่ออ่านจะพบว่า นี่ไม่ใช่กฎหมายพรรคการเมือง แต่คือกฎหมายควบคุมพรรคการเมือง กฎเยอะแยะ หยุมหยิม แต่กฎหมายก็สามารถแก้ไขได้ แต่การเมืองไทยที่ทุกท่านทราบดีว่าโหดร้าย เอากันถึงตาย เข้าคุก ยึดทรัพย์ เนรเทศ ไม่แบ่งแยกเรื่องส่วนตัว การเมืองไทยที่โหดร้ายเช่นนี้ทำไมเรายังตัดสินใจตั้งพรรคอนาคตใหม่กันอีก

เราปรึกษาหารือกันอยู่นาน จนธนาธรบอกว่าให้ใช้เวลาช่วงปีใหม่แยกย้ายกันไปคิดว่าจะตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ ตนได้เดินทางไปยังฝรั่งเศสเพื่อพบภรรยา ระหว่างที่อยู่นั้นได้บทเรียนจากฝรั่งเศสว่า ในช่วงที่การเมืองอยู่ในสภาวะวิกฤติ จำเป็นต้องมีพรรคการเมืองทางเลือกใหม่ แม้จะต้องแลกกับโอกาสที่เสียไปในทางวิชาการและชีวิตส่วนตัว แต่ภรรยาก็อนุญาตและเคารพการตัดสินใจ เมื่อกลับมาไทยก็พบกันระหว่างธนาธรและเพื่อนอีกคนเพื่อพูดคุยกัน สุดท้ายมาสู่การจัดตั้งพรรค

"หากไทยต้องการเดินหน้าไปสู่อนาคตแบบใหม่ เราจำเป็นที่จะต้องมีคนจำนวนมาก กล้าตัดสินใจที่จะออกจากพื้นที่สะดวกสบายที่ตนอยู่ แล้วมุ่งมั่นเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นด้วยกัน จากต้นเดือน ม.ค. มี 2 คน วันนี้เรามีสมาชิกพรรค 3 พันคน เดือนหน้าเราจะมีอีกหลายพันคน เดือนถัดๆ ไปเราจะมีเป็นหมื่นคน หลายๆ เดือนต่อไปจะมีอีกแสน อีกล้าน อีกหลายๆ ล้าน ถึงเวลาแล้วที่ชาวอนาคตใหม่ต้องร่วมมือกันตัดสินใจส่งเสียงออกไปดังๆ ว่า ยุติทศวรรษที่สูญหาย และเริ่มเดินหน้า กำหนดทิศทางอนาคตใหม่ไปด้วยกัน"

ปิยบุตรกล่าวด้วยว่า ตอนนี้ยังรับสมาชิกพรรคไม่ได้เพราะว่ากฎหมายยังไม่อนุญาต เมื่อจัดการตามกระบวนการเสร็จ คาดว่าเดือนกรกฎาคม กกต. จะอนุมัติจดจัดตั้ง และเดือนสิงหาคมจะมีงานใหญ่อีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มสมัครสมาชิกพรรคอนาคตใหม่

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ: ชวนเปลี่ยนโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ การเมืองแบบผูกขาด สร้างการเมืองแห่งความหวังของทุกคน

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ขึ้นปาฐกถาว่า การทำงานของพรรคอนาคตใหม่นั้นมุ่งสร้างการเมืองแห่งความหวัง ให้ทุกคนมีโอกาสในการทำตามความฝัน สร้างสังคม ภูมิทัศน์การเมือง โครงสร้างสังคม เศรษฐกิจและการเมืองของไทยที่ดีกว่าที่เป็น ทำให้การเมืองเป็นเรื่องน่าสนใจ ให้ทุกคนมีส่วนร่วมกับการเมือง

"นี่คือการเดินทางที่จะพาการเมืองไทยออกสู่ความขัดแย้งด้วยการสร้างฉันทามติเพื่ออยู่ร่วมกันใหม่ กลับสู่วิถีประชาธิปไตย นี่คือการเริ่มต้นของการเดินทางเพื่อพาสังคมไทยออกจากอนาคตเก่าด้วยการเมืองแห่งความหวัง แม้เราเพิ่งเริ่มต้นการเดินทาง แต่ตอนนี้ธนาธรมีความนิยมระดับชาติในอันดับสี่ ในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง ล่าสุด พรรคอนาคตใหม่มีความนิยมถึงร้อยละ 11" ธนาธรกล่าว

"วันนี้มีคลิปวิดีโอเกี่ยวกับพรรคอย่างน้อย 4 คลิปที่มีคนดูเกิน 1 ล้านคน หน้าเฟซบุ๊กมีคนติดตามห้าหมื่นคน แต่ยอดปฏิสัมพันธ์ในเพจมีมากกว่านั้น ในด้านการมีส่วนร่วม พรรคเราพูดในสิ่งที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนสังคมไม่พร้อมจะรับฟัง และทำให้สังคมหวาดกลัว แต่วันนี้วาระที่เราพูดกัน คนอื่นก็พูดกัน คือการไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 และไม่ยอมรับรัฐประหาร"

"หลายคนในที่นี้และคนที่ไม่ได้มาแสดงให้เห็นว่าสังคมไทยยังมีพลังการเปลี่ยนแปลง มีกองไฟหลายกองที่สว่างอยู่ บางกองกำลังหาแรงบันดาลใจใหม่ บางกองกำลังจะมืดมิด ขอให้มาร่วมสร้างฟืนแห่งกำลังใจด้วยกัน นำกองไฟมารวมกัน สร้างความสว่างไสวให้สังคมที่มืดมิดอีกครั้ง"

"การปฏิวัติสังคมทำได้ทุกวัน ถ้าเบื่อหน่ายกับการทะเลาะกับคนในเฟซบุ๊ก ในอินเทอร์เน็ต ลองคุยกับคนที่เห็นต่างทางการเมืองตัวเป็นๆ จัดเสวนาทางการเมืองกับคนใกล้ตัวดู เราสามารถทำให้การเมืองเป็นเรื่องสร้างสรรค์ มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยอุดมการณ์ได้ นั่นคือสิ่งที่พรรคอนาคตใหม่ต้องการจะสร้าง"

"การทำสิ่งเหล่านี้หลายครั้งจะล้มเหลว แต่ความล้มเหลวก็ทำเราให้มีประสบการณ์และเติบโต เมื่อเราทำสำเร็จมันจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรอบตัว วันนี้เป็นก้าวแรกของการเดินทาง เรารู้ว่าก้าวต่อไปจะเป็นก้าวของการเดินทางที่หนักกว่านี้ แต่เราพร้อม เพื่อกรรมกรที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำแต่กำลังจะเกษียณแบบไม่มีเงินเก็บ เพื่อคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ในธุรกิจใหม่ แต่ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ จ่ายค่าคุ้มครองให้เจ้าพ่อ เพื่อเยาวชนที่เกิดในครอบครัวที่เป็นหนี้ เราจะต้องไม่ทำให้เขาถูกกักขังด้วยชาติกำเนิด ให้คนสามารถเดินตามความฝันของตัวเองได้ เรากำลังพูดถึงการเมืองแห่งความหวัง"

"คนที่มาที่นี่รู้อะไรบางอย่างที่ทหาร สื่อกระแสหลักและชนชั้นนำไม่รู้ และไม่มีทางจะรู้ คือประชาชนรู้สึกเบื่อระอาเต็มที่กับการเมืองที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนกลุ่มน้อย ทุกคนถามคำถามเดียวกันทั่วประเทศว่าเมื่อไหร่ความเป็นอยู่จะดีขึ้น ทำไมคนที่รวยที่สุดในประเทศเพียง 5 คน ถึงมีความมั่งคั่งถึง 3 ล้านล้านบาท ทำไมคนที่รวยที่สุดเพียง 1 เปอร์เซนต์มีความมั่งคั่งกว่าคน 60 กว่าล้านคนรวมกัน ทำไมคนแค่ 10 เปอร์เซนต์ถึงครองที่ดินทำกินมากกว่า 90 เปอร์เซนต์ของประเทศ ทำไมไทยถึงมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมากเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากรัสเซียและอินเดีย คำถามเหล่านี้ไม่มีคำตอบจากชนชั้นนำ แต่ผมจะตอบให้"

"เพราะโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ การเมืองถูกออกแบบให้คนกลุ่มเดียว และคนกลุ่มนี้ต้องการยื้อมันไว้ไม่ให้ก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่ให้เปลี่ยนแปลง เพราะการก้าวหน้า เปลี่ยนแปลงหมายถึงการทำลายโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่เขาได้ประโยชน์ พวกเขาหลอกให้พวกเราเชื่อว่าเราโง่ เราขี้เกียจ และพร้อมที่จะขายสิทธิความเป็นมนุษย์ของเราเพื่อเงิน"

"แต่คนที่มาที่นี่คงเห็นด้วยกับผมว่าการที่คนส่วนใหญ่ของประเทศนี้จน ไม่ใช่เพราะขี้เกียจหรือโง่ แต่เป็นเพราะสิทธิและเสรีภาพของพวกเขาถูกกีดกัน ทำให้พวกเขาจน พวกเขาไม่มีสิทธิและเสรีภาพอย่างที่พลเมืองพึงมี ประชาชนทุกคนรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถคาดหวังให้รัฐมารับผิดชอบชีวิตของเขาได้หรอก แต่ประชาชนทุกคนก็รู้อยู่เช่นกันว่า เพียงให้รัฐจัดความสำคัญของการใช้งบประมาณ กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เด็กๆ ทุกคนก็สามารถมีอาหารกลางวันกินและมีรถโรงเรียนที่ปลอดภัยได้"

"พวกเขายังพยายามเกลี้ยกล่อมให้เราเชื่อว่า เราเป็นคนส่วนน้อยของสังคมที่ต้องพอเพียงกับความจนเพื่อการพัฒนาของคนส่วนใหญ่ พวกเราคือคนจนเมือง พวกเราคือแรงงานนอกระบบส่วนน้อยที่ยอมเสียสละสิทธิในการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐเพื่อรักษาวินัยทางการคลังของคนส่วนใหญ่ พวกเราคือใคร พวกเราคือเกษตรกร ที่ยอมทำนาจนผิวไหม้เกรียม เส้นเอ็นปูดโปนเพื่อให้คนส่วนใหญ่มีกิน พวกเราคือกรรมกร คนส่วนน้อยที่ต้องรับค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อให้คนส่วนใหญ่ส่งออกได้ พวกเราคือคนที่มีความหลากหลายทางเพศที่ต้องเสียสิทธิความหลากหลายของตนเองเพื่อรักษาจารีตประเพณีของคนส่วนใหญ่"

"สิ่งที่แบ่งแยกประชาชนตอนนี้มันชัดแล้ว คือระหว่างคนชั้นนำที่ได้ประโยชน์จากโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคมแบบนี้ กับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ลืมตาอ้าปาก ระหว่างคนส่วนน้อยที่ถือปืนไว้ กับคนส่วนใหญ่ที่ถูกปิดหู ปิดตา และปิดปาก เราต้องการการเมืองแห่งความหวัง หวังถึงสิทธิ ในการมีส่วนร่วมพัฒนาทรัพยากรชายฝั่งของประชาชนพื้นบ้าน ถึงงานของคนที่ตกงาน ถึงบ้านให้กับคนที่ไม่มีบ้าน ความหวังถึงสังคมที่คนเท่ากัน ที่นวมทอง ไพรวัลย์ ไม่มีโอกาสได้เห็น"

ธนาธรปิดท้ายด้วยการเชิญชวนทุกคนมาร่วมกันเขย่าประเทศไทยและการเมืองไทย เพื่อบอกว่าการเมืองที่เอื้อประโยชน์ให้คนชั้นนำเพียงไม่กี่คนนั้นหมดไปแล้ว เพื่อที่คนไทยทุกคนจะได้สิทธิและเสรีภาพที่พวกเขาพึงมีกลับคืนมา เพื่อให้พวกเขาได้สิทธิที่พึงมีกลับคืนมา เริ่มต้นวันนี้ เริ่มด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอใคร และอยากชักชวนทุกท่านสร้างพรรคอนาคตใหม่ให้เป็นพรรคของประชาชนที่ยืนเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศด้วยกัน หยุดกลัว ลุกขึ้นยืนด้วยความกล้าหาญ เผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่เป็นธรรมในสังคมนี้ด้วยกัน มาร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยหวังว่า เราจะสามารถส่งต่อสังคมและสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่มากขึ้นเพื่อลูกหลานของเราต่อไป

หัวหน้า เลขาธิการ โฆษกพรรคแถลง มุ่งแก้ รธน. 60 เริ่มจาก ม.279 ธนาธรลั่น จะไปพบประยุทธ์นัดคุยพรรคการเมืองถ้ามีถ่ายทอดสด

หลังจากปาฐกถาและเปิดตัวกรรมการพรรค ได้มีการจัดแถลงข่าวโดยปิยบุตร แสงกนกกุล ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรณิการ์ วาณิช

ปิยบุตรกล่าวว่า พรรคอนาคตใหม่เป็นการทำงานทางความคิด ต้องการรวมพรรคการเมืองจัดการแก้รัฐธรรมนูญชุดนี้เพื่อนำไปสู่การทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับแบบที่ทำในร่างฉบับปี 2540 แต่จะทำให้สำเร็จก็ต้องใช้การรณรงค์ทางการเมือง เพื่อทำให้คนไทยและสังคมเกิดฉันทามติว่ารัฐธรรมนูญ 2560 มันไปต่อไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลง ถ้าเรามีโอกาสเข้าสภาเมื่อไหร่จะทำเมื่อนั้น

เริ่มจากยกเลิกมาตรา 279 ที่คุ้มกันบรรดาคำสั่งตามประกาศ คสช. ให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญเสมอ ผลของมาตรานี้ทำให้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญสองฉบับ คือรัฐธรรมนูญและคำสั่งตามประกาศ คสช. ที่ถูกเสมอ นี่ไม่ใช่เรื่องสุดโต่ง เป็นการกลับไปสู่หลักนิติรัฐ ทำไมประเทศนี้แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้ด้วยรถถัง แล้วถ้าประชาชนทั้งประเทศเห็นว่าต้องแก้ไขนั้นจะแก้ไม่ได้เลยหรือ

เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ยังกล่าวว่า ได้เรียกร้องตอนที่ไปยื่นหนังสือที่ กกต. เรียกร้องให้ คสช. ต้องยกเลิกคำสั่ง คสช. ทั้งหมดที่เป็นอุปสรรคกับการแสดงความคิดเห็น ต่อการรณรงค์ทางการเมืองที่จะเป็นอุปสรรคให้พรรคการเมืองและพี่น้องประชาชนในการแสดงความคิดเห็น เพราะเรากำลังจะมีการเลือกตั้ง และการเลือกตั้งจะได้มาตรฐานสากลได้ก็ต้องมีเสรีภาพในการแสดงความเห็น ไม่เช่นนั้นก็เป็นการเลือกตั้งปลอมๆ

ธนาธรกล่าวว่า เราอยากให้มีเลือกตั้งอยู่แล้ว เพราะทุกวันที่เสียไป คือหายนะของประเทศไทย เสียไปทุกวันที่เดินไปข้างหน้า ปัญหาคือคนที่จะให้ข้อตกลง ให้ฉันทามตินั้นไม่ใช่เรา เราไม่มีอำนาจ อำนาจในการกำหนดวันเลือกตั้งอยู่ที่ คสช. เราเรียกร้องมาตลอดว่าการเลือกตั้งที่โปร่งใสและเป็นธรรมจะต้องเกิดขึ้น

ต่อประเด็นเรื่องกิจกรรมของพรรคอนาคตใหม่ที่ทำในเวลาที่ผ่านมานั้น ว่ากลัวจะขัดขืนคำสั่ง คสช. เรื่องการห้ามรณรงค์ทางการเมืองหรือไม่ ธนาธรตอบว่า ถ้ากลัวนั่นกลัวนี่ไปหมดก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว สังคมทุกวันนี้ติดกับดักความกลัว ถ้ายืนขึ้นหนึ่งคนหรือสิบคนเราก็จะกลัวเขา แต่ถ้าเรายืนขึ้นหมื่นคนเมื่อไหร่ คนที่จะต้องกลัวเราคือ คสช. อย่าไปคิดเรื่องแบบนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย ดึงการเมืองกลับมาเป็นเรื่องปรกติ ทั้งนี้เรายังคงคำนึงถึงคำสั่งของ คสช. แต่จะไม่เป็นเหตุให้เราไม่ทำอะไรเลย

ปิยบุตรกล่าวว่า ตั้งแต่ คสช. ยึดอำนาจในวันที่ 22 พ.ค. 2557 มีการใช้ประกาศคำสั่ง คสช. จำนวนมากให้เขามารายงานตัว ไม่ให้ชุมนุมเกิน 5 คน ห้ามเขาเดินทางไปต่างประเทศ เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานทั้งหมด แล้วคุณก็ไปลงโทษเขา จับกุมเขา ตอนประชามติคุณไปจับรณรงค์โหวตโน แต่คนโหวตเยสรณรงค์ได้ แม้แต่การเอากฎหมายอาญาเรื่องคอมพิวเตอร์มาใช้กัน ทั้งหมดนี้คือการที่รัฐบาลทหารเอากฎหมายมาเป็นเครื่องมือเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กำลังอาวุธ มันคือปืนที่เอากฎหมายมาห่อหุ้มไว้อีกทีหนึ่ง แบบนี้ยุติธรรมหรือไม่

ปิยบุตรกล่าวเพิ่มเติมว่า ในทางกฎหมาย ณ วันนี้พรรคอนาคตใหม่ยังไม่มีสถานะเป็นพรรค ต้องเอามติที่ประชุม ข้อบังคับ อุดมการณ์พรรคไปจดกับ กกต. กว่าจะสมบูรณ์ก็เดือน ส.ค. การให้หรือไม่ให้ตั้งพรรคไม่ได้มีเรื่องเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมาย คสช. ทั้งสิ้น เขาดูแค่ว่าข้อบังคับ กรรมการต่างๆ สอดคล้องตามข้อกำหนดไหม พ.ร.ป. พรรคการเมืองไม่ได้พูดถึง คสช. เลย ความผิดปรกติเกิดขึ้นเพราะ คสช. มีคำสั่งไม่ให้ดำเนินกิจการ จะมีเลือกตั้งปีหน้า ต้นปีหน้าแต่ไม่ให้พรรคอื่นทำอะไรเลย แต่พลเอกประยุทธ์ไปได้ทุกจังหวัด แล้วการเลือกตั้งจะสมบูรณ์เหรอ ขอยืนยันว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างที่ทำคือเรื่องปรกติ มีอะไรจะมาห้ามสิทธิของคนมาทำกิจกรรมทางการเมือง พอพรรคเราทำแบบนี้ก็มีคนถามว่าล้ำเส้นไปไหม แต่ถ้าทุกพรรคร่วมกันทำ เส้นนี้จะหายไปเอง

ต่อคำถามว่าเดือนหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จะเชิญพรรคการเมืองไปพูดคุยเรื่องการเลือกตั้ง ธนาธรตอบว่าถ้ามีถ่ายทอดสดจะไปด้วยตัวเอง ถ้าไม่ถ่ายทอดสดก็ไม่ไป ให้ประชาชนรู้ว่าพูดคุยอะไรกัน ส่วนเสนออะไรนั้นไม่สามารถบอกได้ คนกำหนดวาระคือ คสช. แต่ก็ยังเห็นว่าควรเลือกตั้งให้เร็วที่สุด ส่วนประเด็นว่าประชาชนจะมองว่าเห็นด้วยกับ คสช. หรือไม่อย่างไรนั้นให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 21-27 พ.ค. 2561

Posted: 27 May 2018 01:19 AM PDT

ก.แรงงาน จับมือโฮมโปร อัพมัลติสกิล 'ช่างไฟฟ้า-ก่อสร้าง'

นายสุทธิ สุโกศล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการที่ กพร. กระทรวงแรงงาน ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาฝีมือแรงงานกลุ่มช่างไฟฟ้าแ ละช่างก่อสร้าง ร่วมกับบริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อพัฒนาช่างและบุคลากรของบริษัทให้มีความรู้ ความสามารถ และฝึกทักษะสำหรับการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพให้ได้มาตรฐานฝีมือแรงงาน (skilled labour) ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สามารถนำทักษะดังกล่าวไปใช้ในการให้บริการประชาชนด้วยความรวดเร็วถูกต้อง สร้างความเชื่อมั่น ความประทับใจให้แก่ผู้ที่มาใช้บริการมากขึ้น และรองรับการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจในอนาคต ตามนโยบายเร่งด่วนของพลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ด้านการยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน

นายสุทธิ กล่าวต่อไปว่า ปี 2560 กพร. มีผลการดำเนินการฝึกทักษะ ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน และประเมินความรู้ความสามารถ สาขาช่างปูกระเบื้อง ช่างเครื่องปรับอากาศ ช่างติดตั้งเครื่องไฟฟ้า ช่างบำรุงรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้า และช่างไฟฟ้าภายในอาคาร มีผู้ผ่านจำนวน 1,467 คน ซึ่งในปี 2561 มีเป้าหมาย 1,550 คน ดำเนินฝึกโดยหน่วยงานในสังกัดของ กพร. ได้แก่ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน (สพร.) และสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน (สนพ.) ทั้งนี้ กพร. ยังได้ร่วมกับภาคเอกชน เช่น บริษัทโฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) พัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มช่างไฟฟ้า และช่างก่อสร้าง เช่น ช่างปูกระเบื้อง ช่างเครื่องปรับอากาศ ช่างติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า ช่างบำรุงรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้า และช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ทั้งนี้จะฝึกอบรมให้กับครูฝึกของ กพร. เพื่อให้เป็นวิทยากรในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่แรงงานใหม่ และแรงงานในสถานประกอบกิจการ ช่างฝีมือช่างชุมชน รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการให้แรงงานในสาขาดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานอีกด้วย

"การฝึกอบรมดังกล่าว จะพัฒนาให้แรงงานมีความรู้และทักษะเพิ่มขึ้น ตลอดจนเพื่อสร้างมาตรฐานด้านการบริการแก่ลูกค้า โดยจัดฝึกอบรมในหลักสูตรยกระดับฝีมือ ให้กับกลุ่มช่างและพนักงานให้บริการของแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า และช่างก่อสร้าง จำเป็นที่จะต้องใช้ทักษะ เทคนิค และความชำนาญต่างๆ ในการทำงานเนื่องจากเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานด้วย จึงขอเชิญชวนผู้ที่สนใจที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติทั้ง 2 สาขาแล้วมาสมัครเป็นช่าง หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 หรือ 0 2030 0300 9 ต่อ 1209 ติดต่อคุณบุญเรือง หรือคุณเมธาวี" อธิบดี กพร. กล่าว

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 27/5/2561

สมาพันธ์สมาคมลูกจ้างรัฐแห่งประเทศไทย อยากขอความชัดเจนรูปแบบการจ้างพนักงานรัฐ

26 พ.ค. 2561 จากกรณีกระทรวงการคลังออกระเบียบหลักเกณฑ์การจ้างงานพนักงานกระทรวงและลูกจ้าง โดยใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ พ.ศ.2561 ที่จะกระทบลูกจ้างในหน่วยงานรัฐทั่วประเทศ ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย ทำให้สมาพันธ์สมาคมลูกจ้างรัฐแห่งประเทศไทยออกมาคัดค้าน

นายโอสถ สุวรรณเศวต ประธานสมาพันธ์สมาคมลูกจ้างรัฐแห่งประเทศไทย (สสลท.) กล่าวว่าจับตาระเบียบกระทรวงคลังและเตรียมจะเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเคลียร์ปัญหาในเรื่องนี้เพราะว่าระเบียบดังกล่าวจะกระทบต่อลูกจ้างประมาณ 2 แสนคนที่จะตกงาน นอกจากนี้ยังไม่เห็นด้วยที่ทางรัฐบาลให้ลูกจ้างไม่ได้สิทธิสวัสดิการใดๆ และต้องการสิทธิประกันสังคมให้ไปจ่ายสมทบเพิ่มเติม เพราะรูปแบบการจ้างเป็นปีต่อปีมีการเซ็นชื่อเข้างานเช้าออกงานเย็น อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหัวหน้างานเหมือนลูกจ้างส่วนราชการทั่วไป จึงอยากขอความชัดเจน

ส่วนชมรมแพทย์ชนบทได้ประกาศนัดชุมนุมวันที่ 1 มิ.ย. เพื่อค้านระเบียบคลัง แม้ว่ากระทรวงการคลังจะออกมายืนยันว่าไม่ประทบกับการจ้างงานแต่ยังไม่มีความชัดเจน ทำให้กลุ่มโรงพยาบาลต่างๆ ยังออกมาคัดค้านทั้งขึ้นป้ายหน้า รพ. แต่งชุดดำ ผูกริบบิ้นดำ เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานที่มีความจำเป็นส่งผลต่อการบริหารและกระจายอำนาจ แม้ว่าแม้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกรมบัญชีกลางจะชี้แจงว่าระเบียบดังกล่าวไม่กระทบต่อการจ้างงานบุคลากรสาธารณสุข แต่ระเบียบนี้ก็ต้องให้ขออนุญาตจ้างงานจากกระทรวงการคลังอยู่ดี ทำให้ลูกจ้างโรงพยาบาลยังคงคัดค้านและต้องการให้ยกเลิกระเบียบดังกล่าว นอกจากนี้ลูกจ้างโรงเรียนสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ก็ไม่เห็นด้วยและเตรียมแต่งชุดดำเพื่อประท้วงด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม น.ส.สุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ออกมายืนยันอีกครั้งว่า พนักงานของหน่วยงานราชการไม่ต้องออกมาประท้วง เพราะระเบียบกระทรงการคลังว่าด้วยการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้เงินนอกงบประมาณ พ.ศ.2561 ว่าไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อพนักงานและลูกจ้างของราชการ เพราะรัฐต้องการแค่จัดระเบียบข้อมูลพนักงานและลูกจ้างนอกงบว่ากี่คน ใช้เงินงบประมาณเท่าไร

โดยเฉพาะของกระทรวงสาธารณสุขยิ่งไม่ได้รับผลกระทบใหญ่ เพราะเมื่อเดือนเม.ย.ได้แจ้งคลังมาแล้วว่าจะจ้างพนักงานและลูกจ้างนอกเงินงบประมาณแบบ 1 ปี 7,900 อัตรา และแบบ 4 ปี 31,000 อัตรา ซึ่งน่าจะได้รับอนุมัติทั้งหมด อีกทั้งยังมีระเบียบการใช้เงินบำรุงซึ่งเป็นเงินนอกงบประมาณของตัวเองกำกับดูแลอีกชั้นหนึ่งด้วย

ทั้งนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากความเข้าใจ การสื่อสารที่ไม่ตรงกันระหว่างคนเขียนกฎหมาย และคนที่อ่านกฎหมายทำให้เกิดการสื่อความที่คลาดเคลื่อนกัน ทั้งที่จริงแล้วหากทำความเข้าใจกันได้ ระเบียบนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร

สำหรับระเบียบกระทรวงการคลัง ได้กำหนดการว่าจ้างพนักงานและลูกจ้างแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ หน่วยงานที่ได้ทำการตกลงกับกระทรวงการคลังเป็นที่เรียบแล้ว เช่น กระทรวงสาธารณสุข ก็ให้ดำเนินการตามข้อตกลง อีกแบบถ้าหน่วยงานใดที่ยังไม่ตกลงกับกระทรวงการคลัง แต่มีการว่าจ้างพนักงานและลูกจ้างไปแล้ว ก็ให้ว่าจ้างลูกจ้างดังกล่าวต่อไปจนสิ้นสุดสัญญา แต่หากจะต่อสัญญาใหม่ก็ต้องทำเรื่องเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาก่อนซึ่งโดยปกติแล้วหากอัตรากำลังมีความเหมาะสมกับเนื้องานก็จะพิจารณาให้แต่ถ้าหน่วยงานไหนไม่พอใจก็สามารถขอทบทวนได้

ที่มา: TNN24, 26/5/2561

เครือข่ายพยาบาลขอหารือเคลื่อนไหวปมจ้างงานหรือไม่

รศ.สมจิต แดนสีแก้ว กรรมการสภาการพยาบาล และ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ในการออกกฎระเบียบของกระทรวงการคลังนั้น สภาการพยาบาล และ สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทย มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย คือการที่กระทรวงสาธารณสุขจะมีการจ้างงานลูกจ้างชั่วคราวหรือพนักงานกระทรวงสาธารณสุขจากเงินบำรุงโดยต้องผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อนนั้น ตนมองต่างว่า เป็นการดีที่กระทรวงการคลังจะเข้ามาร่วมตรวจสอบว่าเงินที่ใช้จ่ายนั้นเอามาใช้อย่างไรบ้าง เพื่อที่จะเป็นการตรึงราคาหรือประเมินให้มีการจ้างงานในจำนวนเท่าๆกันทุกโรงพยาบาล อีกทั้งเป็นการตรวจสอบการคอรัปชั่นว่ามีการจ่ายจริงหรือไม่อีกด้วย แต่ในส่วนที่ไม่เห็นด้วยคือ ส่วนที่จะไม่มีการขึ้นเงินเดือนให้กับลูกจ้าง เพราะกลุ่มนี้แม้ว่าจะได้เงินเดือนเพียง 12,000 บาท หรือน้อยกว่าเงินเดือนปริญญาตรี แต่ก็ยอมด้วยความหวังว่าจะได้เป็นข้าราชการ ซึ่งไม่มีความมั่นคงดังนั้นอย่างน้อยก็ควรมีสวัสดิการการจ้างงานให้เท่ากับเงินเดือนข้าราชการหรือ 1.2 เท่าของโรงพยาบาลก็ยังดี ส่วนในเรื่องการเคลื่อนไหวนั้นก็มีการเชิญให้เข้าไปร่วมจากเครือข่ายลูกจ้างอื่นๆเช่นกัน และทางน้องๆที่เข้ามาใหม่ก็มีความกังวลและสอบถามเข้ามาว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ แต่เราก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ ขอประเมินสถานการณ์ก่อน

ที่มา: มติชนออนไลน์, 26/5/2561

รัฐบาลมีแผนดูแลผู้สูงอายุ เล็งเพิ่มเบี้ยยังชีพ - เตรียมความพร้อมแรงงานสูงอายุกลับเข้าตลาด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน"ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่า ปัจจุบันนี้รัฐบาลมีมาตรการที่ครอบคลุมเพื่อดูแลและสนับสนุนการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ โดยมีแผนงานระยะยาวในการดูแลสุขภาพและพัฒนาทักษะผู้สูงอายุร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิแผนจัดหางานให้ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2560 – 2564 และแผนสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564 ขณะเดียวกันในด้านสวัสดิการ รัฐบาลมีการอุดหนุนเงินยังชีพของผู้สูงอายุ เดือนละ 600 – 1,000 บาท อย่างต่อเนื่อง โดยดูแลให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี

"รัฐบาลมีการอุดหนุนเงินยังชีพของผู้สูงอายุ เดือนละ 600 – 1,000 บาท อย่างต่อเนื่อง และเพื่อดูแลให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี ปัจจุบัน เรามีอยู่ประมาณ 2 ล้านคน รัฐบาลได้เตรียมเดินหน้าผลักดันการเพิ่มเงินยังชีพผู้สูงอายุ ให้เพียงพอต่อสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นรายละ 1,200 บาท ถึง 1,500 บาท อีกด้วย  อย่างไรก็ตามเราต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องของงบประมาณไว้ด้วย"

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาแรงงานผู้สูงอายุ ในกรณีที่ประสงค์จะกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยได้ตั้งเป้าให้ผู้สูงอายุมีงานทำเพิ่ม 39,000 อัตรา โดยเฉพาะในชนบทผ่านวิสาหกิจชุมชน พร้อมมาตรการจูงใจให้องค์กรต่างๆ เข้าร่วมสนับสนุนด้วย รวมทั้ง การเพิ่มจำนวนสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ ถือเป็นการดูแลผู้สูงอายุอย่างครอบคลุมในทุกมิติดังนั้น จะเห็นว่าการปฏิรูปในภาพรวมของประเทศนี้ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ดิจิทัล กฎหมายและข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data)มีส่วนสำคัญต่อการกระจายความเจริญและรายได้สู่ท้องถิ่นทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่องแต่อาจต้องอาศัยเวลาและความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนด้วยเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศอย่างรอบด้าน

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, 26/5/2561

ทลายแหล่งพักพิงแรงงานเถื่อนชานเมืองหาดใหญ่รอส่งมาเลเซีย

ตำรวจสภ.หาดใหญ่บุกทลายแหล่งพักพิงแรงงานเถื่อนชาวเมียนมา 2 จุดชานเมืองหาดใหญ่ ตะลึงพบมีการนำแรงงานชาวเมียนมาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฏหมายมาพักไว้ในสภาพที่แออัดจำนวน 66 คน ทั้งชายและหญิง รอส่งต่อไปยังประเทศมาเลเซีย เผยเป็นการจับกุมแรงงานเถื่อนชุดใหญ่ในรอบปีนี้เร่งขยายผลไปยังเครือข่ายค้าแรงงานเถื่อนกลุ่มนี้

พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร ผู้กำกับการสภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และพ.ต.ท.รณน สุระวิทย์ รองผู้กำกับการปราบปราม นำกำลังตำรวจฝ่ายป้องกันปราบปรามสภ.หาดใหญ่ เข้าตรวจค้นแหล่งที่พักพิงแรงงานเถื่อนชาวเมียนมาที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดหมาย 2 จุด ในพื้นที่ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หลังจากได้รับรายงานว่ามีขบวนการค้าแรงงานเถื่อนลักลอบมาพักไว้เป็นจำนวนมาก

โดยจุดแรกเข้าตรวจค้นภายในบ้านเลขที่ 148/23 หมู่ 2 ต.ควนลังอ.หาดใหญ่ภายในซอยบางแฟบ-ลพบุรีราเมศวร์ซอย 10 ซึ่งเป็นบ้านเช่าชั้นครึ่งพบแรงงานชาวเมียนมาจำนวน 34 คน เป็นชาย 22 คน และหญิง 12 คน ซึ่งเป็นแรงงานที่หลบหนีเข้าเมืองทั้งหมดไม่มีเอกสารใดๆ อยู่ในห้องพักทั้งชั้นบนและชั้นล่างในสภาพที่แออัดและทึบพร้อมกระเป๋าสัมภาระ เตรียมพร้อมเดินทางได้ตลอดเวลา รวมทั้งร่องรอยของเศษอาหารซึ่งน่าจะถูกนำมาพักไว้หลายวัน แต่ไม่พบนายหน้าหรือผู้นำพา ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเรียกตัวเจ้าของบ้านเช่าหลังนี้มาสอบสวนอีกครั้งหนึ่งว่าใครเป็นผู้เช่าเพื่อสาวไปถึงตัวการค้าแรงงานเถื่อนกลุ่มนี้

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขยายผลเข้าตรวจค้นบ้านเช่าอีก1หลังตั้งอยู่เลขที่ 36 หมู่ 3 ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ ซึ่งเป็นบ้านห้องแถวชั้นเดียวและมีการล๊อคประตูรั้วหน้าบ้านหนาแน่นต้องใช้วิธีพังประตูเข้าไป พบแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาอีก 32 คน เป็นชาย 29 คนและหญิง 3 คน ถูกแยกเป็น 3 กลุ่มทั้งอยู่ในห้องครัว ห้องนอน และห้องรับแขกหน้าบ้าน ซึ่งมีสภาพไม่ต่างกับบ้านเช่าหลังแรกมีสัมภาระและของกินง่ายๆพร้อมเดินทางได้ตลอดเวลาและหลบหนีเข้าเมืองทั้งหมดเช่นกัน

ตรวจสอบพบว่าบ้านหลังนี้ มีนาย MOUNG WIN ชาวเมียนมาเป็นผู้ทำสัญญาเช่าจาก นางอาอีฉ๊ะ หมาด ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน โดยเช่ามาตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม แต่ขณะเข้าจับกุมทั้งสองคนไม่อยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะติดตามตัวมาสอบสวนอีกครั้ง โดยเฉพาะ MOUNG WIN ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นนายหน้าหรือตัวการใหญ่ที่นำพาแรงงานเถื่อนเหล่านี้เข้ามาพักไว้ที่บ้านเช่าทั้งสองหลัง

จากการสอบสวนแรงงานต่างด้าวที่พอจะพูดไทยได้ เปิดเผยว่า เดินทางมาจากเมียนมาเข้ามาทางจ.ระนอง และถูกนำมาพักไว้ที่บ้านเช่า เพื่อรอเดินทางต่อไปยังประเทศมาเลเซีย แต่จะทยอยเดินทางเข้ามาพักที่บ้านเช่าทั้งสองหลังทีละกลุ่มและมีการกับชับให้อยู่แต่ในบ้านห้ามออกไปไหนห้ามเสียงดัง และอดมื้อกินมื้อหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะเร่งสืบสวนขยายผลไปยังเครือข่ายค้าแรงงานเถื่อนกลุ่มนี้เป็นการด่วนเพราะเชื่อว่าเป็นกลุ่มใหญ่และมีผู้ร่วมขบวนการหลายคนทั้งชาวเมียนมาและคนไทย

ส่วนแรงงานเถื่อนชาวเมียนมาที่จับกุมได้ทั้ง 66 คน ได้ประสานไปยังตำรวจตรวจคนเข้าเมืองสะเดาเพื่อรับตัวไปควบคุมและดำเนินการทางกฏหมายทั้งที่เกี่ยวกับหลบหนีเข้าเมืองและการค้ามนุษย์และเป็นการจับกุมแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองชุดใหญ่ในรอบปีนี้

ที่มา: เนชั่นทีวี, 24/5/2561

แม่สาวไทยถูกหลอก ขายแรงงานมาเลย์ เข้า กทม.รับศพลูก

ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศมาเลเซีย ได้บุกเข้าช่วยเหลือหญิงไทยจำนวน 3 คน ที่ถูกหลอกไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย ผ่านทางเฟซบุ๊คซึ่งระบุว่าจะพาไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ พร้อมเสนอเงินเดือนให้ประมาณ 7 หมื่นบาท แต่ปลายทางกลับไม่ใช่ประเทศเกาหลีใต้ แต่เป็นเกาะชิบู ประเทศมาเลเชีย และอยู่ในช่วงระหว่างการรอการสืบสวนสอบสวนของตำรวจมาเลเซีย ปรากฏว่า 1 ใน 3 แรงงานไทย ได้ใช้เชือกผูกคอตาย ทราบชื่อคือ น.ส.ธัณญา กองพิระ อายุ 26 ปี หรือเปิ้ล ชาวบ้านโนนชัย เขตเทศบาลนครขอนแก่น

ล่าสุดนางจันดี บุญบ้านดง มารดาของน้องเปิ้ล เปิดเผยว่า ได้รับความอนุเคราะห์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานงานเพื่อขอรับศพลูกสาวกลับมาบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด และได้รับแจ้งว่า ในวันพรุ่งนี้ ( 25 พ.ค.2561 ) ศพของลูกสาวก็จะกลับถึงประเทศไทย ซึ่งวันนี้ตนและญาติจะเดินทางเข้า กทม. เพื่อรอรับศพลูก โดยทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งว่า เมื่อศพกลับมาถึงเมืองไทยก็จะต้องผ่านกระบวนการตรวจพิสูจน์ เพื่อหาสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้ง คาดว่าจะใช้เวลา 1 ถึง 2 วัน จากนั้นจึงจะสามารถนำศพลูกสาวกลับมาบำเพ็ญกุศลตามประเพณีที่บ้านเกิดได้

ในเรื่องนี้ นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับการประสานเรื่องดังกล่าวจากกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ทราบว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศได้รับการประสานงานจากเพจอีจัน และกองกํากับการ 6 กองบังคับ การปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ว่า หญิงสาว 3 คนในมาเลเซียร้องขอความช่วยเหลือ โดยได้ให้สถานเอกอัครราชทูตไทยประจํากรุงกัวลาลัมเปอร์ ประสานงานเพื่อให้ความช่วยเหลือหญิงสาว 3 คน ได้แก่ น.ส. ธัณญา กองพิระ น.ส.สวรส สาระทนงค์ และ น.ส.ระวีวรรณ อินทิยา ซึ่งตํารวจมาเลเซียได้ให้ความช่วยเหลือ และพักอยู่ที่บ้านพักฉุกเฉิน Kota Kinabalu รัฐ Sabah ต่อมาสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้รับแจ้งจากตํารวจมาเลเซียว่า น.ส. ธัณญาฯ ผูก คอตายภายในห้องพัก ศพอยู่ที่ รพ. Queen Elizabeth Hospital เมืองโกตากินานบาล

ทางกรมการกงสุลได้ติดต่อมายังนางจันดี บุญบ้านดง มารดาของ น.ส.ธัณญาโดยมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง ได้ให้ความช่วยเหลือโดยออกเงินให้มารดา น.ส.ธัณญา เดินทางมามอบอํานาจให้กรมการกงสุลนําศพกลับและออกเงินให้สําหรับค่าใช้จ่ายในการส่งศพกลับประเทศไทยแล้ว โดยศพจะเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยยังสนามบินสุวรรณภูมิวันที่ 25 พ.ค. โดยสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เวลา 13.25 น. ซึ่งมูลนิธิปอเต็กตึ๊งได้กรุณาจัดเตรียมรถรับศพเพื่อเดินทางกลับภูมิลําเนาที่ จ.ขอนแก่นด้วยแล้ว

สําหรับสาเหตุการเสียชีวิต กรมการกงสุลกำลังอยู่ระหว่างขอข้อมูลการชันสูตรศพจากทางการมาเลเซีย ซึ่งคงจะได้รับแจ้งให้ทราบต่อไป และหลังจากรับร่างน้องเปิ้ลมาถึง จ.ขอนแก่น ทางจังหวัดได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลครอบครัวแล้ว เพื่อจะได้ให้การช่วยเหลือต่อไป

ที่มา: NEW18, 24/5/2561

กระทรวงสาธารณสุข เผยผลหารือกรมบัญชีกลาง ไม่ส่งผลกระทบต่อการจ้างลูกจ้าง สธ. ขอให้เจ้าหน้าที่อย่ากังวลและทำงานตามปกติ

วันที่ 23 พ.ค. 2561 ที่กระทรวงการคลัง กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข  ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือร่วมกับนางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ถึงระเบียบกระทรวงการคลัง เรื่องการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ พ.ศ.2561 ที่ประกาศ ณ วันที่ 18 พฤษภาคม 2561 ว่า กระทรวงการคลังได้ออกระเบียบดังกล่าว ตามมติครม. เพื่อจัดระบบการจ้างลูกจ้างในหน่วยงานราชการที่ใช้เงินนอกงบประมาณ

ผลจากการหารือในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขนั้น ได้รับการยืนยันจากอธิบดีกรมบัญชีกลางว่า ระเบียบของกระทรวงการคลังที่ออกมานี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจ้างลูกจ้างฯของกระทรวงสาธารณสุขแต่อย่างใด เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้ทำความตกลงและได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลัง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีระเบียบการจ้างด้วยเงินบำรุงของหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2561 ซึ่งลงนามและประกาศใช้โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2561ก่อนที่ระเบียบดังกล่าวจะออกมา ลูกจ้างฯยังคงปฏิบัติงานตามปกติเหมือนเดิม โดยกระทรวงการคลังจะทำหนังสือทำความเข้าใจเพิ่มเติมมายังกระทรวงสาธารณสุข จึงขอความร่วมมือให้ผู้บริหารได้สื่อสารทำความเข้าใจกับลูกจ้างในหน่วยงานต่อไปด้วยนายแพทย์ธวัช กล่าว

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 24/5/2561

ชมรมแต่งผมเสริมสวย ร่วมคัดค้านรัฐ เปิดให้ต่างด้าวทำอาชีพเสริมสวยได้เสรี

24 พ.ค. 2561 ที่ห้องประชุมชั้น 3 อาคารศาลากลางจังหวัดสกลนคร นางจันทร์ธิพา ขวัญวัฒนา ประธานชมรมแต่งผมเสริมสวยจังหวัดสกลนคร พร้อมด้วยผู้ประกอบการช่างแต่งผมเสริมสวยเมืองสกลนคร ชาย-หญิง กว่า 40 คน เดินทางเข้าพบนายสุริยะ วิริยะสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร เพื่อยื่นหนังสือผ่าน นายวิทยา  จันทร์ฉลอง ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครถึงนายประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

แสดงการคัดค้านการเปิดให้แรงงานต่างด้าวทำอาชีพตัดผมเสริมสวยได้อย่างเสรี หลังจากที่ทราบว่ารัฐบาลเล็งเปิดอาชีพตัดผมเสริมสวยให้เพื่อนบ้านทำอย่างเสรี ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นอาชีพสงวนสำหรับคนไทยเท่านั้น โดยมีการอ่านแถลงการณ์จดหมายข้อเรียกร้องในที่ประชุม ก่อนจะยื่นหนังสือต่อรองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครเพื่อดำเนินการต่อไป

โดยระหว่างการประชุมยื่นหนังสือข้อเรียกร้องมีทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง เข้าสังเกตการณ์ความเรียบร้อย ซึ่งสถานการณ์ก็เป็นไปตามปกติ และทั้งหมดได้แยกย้ายกันกลับหลังจากที่ยื่นหนังสือเรียบร้อยแล้ว

นางจันทร์ธิพา ขวัญวัฒนา ประธานชมรมแต่งผมเสริมสวยจังหวัดสกลนคร กล่าวว่า แม้ขณะนี้ยังไม่มีการระบุว่าจะเปิดอาชีพตัดผมเสริมสวยให้เพื่อนบ้านทำอย่างเสรี แต่เราเชื่อมั่นว่าอาจมีการเปิดเสรีก็เป็นได้ หากมีการออกกฎหมายเปิดเสรีจริง อาชีพเราจะแย่งงานกัน และจะมีนายทุนเข้ามาลงทุนผูกขาดอาชีพนี้

เราเป็นห่วงคนทำอาชีพนี้ด้วยกันเพราะเป็นอาชีพที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน แต่หากมีคนอื่นมาแย่งงานเราก็จะลำบาก เราไม่ได้กีดกัน แต่อยากให้มองว่า รัฐบาลควรไปเปิดเสรีอาชีพอื่นที่ต้องการแรงงานต่างด้าวจำนวนมากจะดีกว่า เพราะอาชีพนี้ลำพังคนมาใช้บริการก็น้อยอยู่แล้ว เราจึงไม่เห็นด้วย วันนี้เราจึงมาแสดงตัวเรียกร้องผ่านจังหวัดสกลนครเพื่อส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี

ที่มา: sanook.com, 24/5/2561

ลูกจ้างเมียนมาโวยนายจ้างไทยให้ทำงานเกินเวลาแต่ไม่ยอมจ่ายโอทีแถมยังทำบัตรปลอมจ่ายราคาแพงลิ่ว

พ.ต.อ.ทนงศักดิ์ ใจหลวง ผกก.ตม.สมุทรปราการ นำกำลังเข้าตรวจสอบ นโรงน้ำแข็ง บจก.ชัยกิตติวัฒน์ น้ำแข็งหลอดและซอง ตั้งอยู่เลขที่ 325 / 9 หมู่ 9 ริมถนนบางนาตราด หลักกิโลเมตรที่ 19 ต.บางโฉลง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ หลังได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ว่ามีแรงงานต่างด้าวกว่า 10 คนรวมตัวกันเข้ามาร้องขอความเป็นธรรมกรณีนายจ้างไม่ยอมจ่ายค่าทำงานล่วงเวลาหรือโอที ผลตรวจสอบพบว่ามีแรงงาน17คนจากทั้งหมด48 คนพกบัตรปลอมจึงคุมตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายนายเยไน อูซาน หนึ่งในแรงงานเมียนมา เล่าว่า ลักลอบเข้าในไทย โดยจ่ายค่าหัวคนละ 7 พันถึง 1 หมื่นบาทมาทำงานที่โรงน้ำแข็งได้ค่าแรงวันละ 340 บาทคนของนายจ้างมาถ่ายรูปทำบัตรให้ ต้องจ่ายเงินค่าทำบัตรอีกใบละ 12,000 บาทโดยไม่ทราบเลยว่าบัตรดังกล่าวเป็นบัตรปลอม 1 วันต้องทำงานวันละ 11 ชั่วโมงแต่กลับไม่ได้ค่าโอทีแถมนายจ้างขู่ว่าหากวันไหนใครไม่ทำงานก็ให้ออกไป

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อแรงงานต่างด้าวทั้ง 17 คนว่า มีและใช้เอกสารทางราชการปลอม และเป็นบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และเชิญตัวนายจ้างมาสอบสวนข้อเท็จจริงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ที่มา: โพสต์ทูเดย์, 24/5/2561

แรงงานพม่าร้องเรียนถูกนายจ้างยึดพาสปอร์ตกันหนี ด้านองค์กรแรงงานชี้ผิดกฎหมาย มีสิทธิ์ติดคุก 6 เดือน ปรับ 100,000 บาท

องค์กร Aid Alliance Committee (AAC) ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิทธิแรงงานข้ามชาติตั้งอยู่ในประเทศไทยได้ออกมาเปิดเผยว่า มีแรงงานข้ามชาติจากพม่าเป็นจำนวนมากได้ร้องเรียนและขอให้ทางองค์กรดังกล่าวช่วยเหลือ กรณีที่ถูกนายจ้างคนไทยยึดเอกสารหนังสือเดินทางเอาไว้ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันแรงงานหลบหนีหรือไปทำงานที่ใหม่ โดยทางองค์กร AAC เปิดเผยว่า มีแรงงานร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นจำนวนมากจนไม่สามารถให้การช่วยเหลือได้ทั้งหมด ส่วนที่ปรึกษาด้านกฎหมายของสถานทูตพม่าเผย นายจ้างที่ยึดเอกสารลูกจ้างถือว่าเป็นความผิด โดยมีบทลงโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายโกเยมิน จากองค์กร Aid Alliance Committee (AAC) เผยว่า ขณะนี้มีแรงงานจำนวน 20 คน ที่ถูกนายจ้างยึดเอกสารไว้มาอาศัยอยู่ที่ศูนย์ของ AAC เพื่อรอคำพิพากษาจากศาล รวมถึงกรณีที่พวกเขาไม่ได้รับค่าจ้างและค่าชดเชยหลังจากที่โรงงานที่พวกเขาเคยทำงานต้องปิดตัวลง นายโกเยมินเปิดเผยว่า มีนายจ้างบางส่วนได้ยึดเอกสารของแรงงานไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกจ้างหนีไปทำงานที่อืื่น ด้านนายโกจ่อเมียวอู หนึ่งในแรงงานชาวพม่าเปิดเผยว่า เอกสารของเขาถูกนายจ้างยึดทันทีที่เดินทางมาทำงานกับนายจ้าง โดยเขาเคยทำงานในโรงงานไม้แห่งหนึ่งทางภาคใต้ของไทยเป็นเวลา 6 เดือน

นายอูอ่องเมียวตั้น ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของสถานทูตพม่าประจำประเทศไทยเผยว่า การยึดหนังสือเดินทางเอกสารประจำตัวของแรงงานยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่โดยปกติแล้ว นายจ้างมักจะปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ การที่นายจ้างยึดเอกสารของแรงานก็เพราะป้องกันไม่ให้แรงงานหนีไปทำงานที่อื่นที่จ่ายค่าแรงเยอะกว่า รวมถึงมีกรณีที่นายจ้างกลัวลูกจ้างไม่ยอมจ่ายเงินกู้คืน ในกรณีที่มีการกู้ยืมเงินกัน จึงยึดเอกสารไว้ ทั้งนี้จึงต้องพิจารณาในส่วนของลูกจ้างและนายจ้างด้วย อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายของไทยแล้วห้ามไม่ให้นายจ้างยึดเอกสารของลูกจ้างไว้ โดยหากฝ่าฝืนจะถูกจำคุก 6 เดือนและปรับ 100,00 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ในขณะที่แรงงานข้ามชาติเองจะต้องเก็บเอกสารสำคัญไว้กับตัว เพราะหากถูกเรียกตรวจจากเจ้าหน้าที่แต่ไม่สามารถนำเอกสารมาแสดงได้จะถูกปรับเป็นเงิน 5,000 บาทด้วยเช่นกัน องค์กร AAC เผยว่า แรงงานสามารถร้องเรียนไปยังกระทรวงแรงงานหากถูกนายจ้างยึดเอกสารไว้ ขณะที่มีแรงงานข้ามชาติจากพม่ามากกว่า 3 ล้านคนทำงานอยู่ในประเทศไทย

ที่มา: สำนักข่าวชายขอบ, 22/5/2561

5 หน่วยงานรัฐทำข้อตกลง Mou ฝึกอาชีพผู้ต้องขัง

ที่ห้องประชุมอาคารฝ่ายการศึกษา เรือนจำจังหวัดสตูล นายศักดา วิทยาศิริกุล ปลัดจังหวัดสตูล เป็นประธานการประชุมตามโครงการประชารัฐ ร่วมสร้างงาน สร้างอาชีพผู้ต้องขัง ครั้งที่ 1/2561 และทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือ(Mou) ระหว่างสำนักงานจัดหางานจังหวัดสตูล สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานสตูล เรือนจำจังหวัดสตูล สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสตูล และสภาหอการค้าจังหวัดสตูล ทั้งนี้ทางหน่วยงานที่ร่วมทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวนั้น มีหน้าที่ประสานงาน และให้คำแนะนำแก่สถานประกอบการหรือนายจ้างในการส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ผู้ต้องขังในเรือนจำจังหวัดสตูล และการรับผู้ต้องขังที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กรมราชทัณฑ์กำหนด เข้าฝึกอาชีพในสถานกระกอบการส่งเสริมการมีงานทำโดยการจัดสาธิตการฝึกทักษะอาชีพอิสระระยะสั้นแก่ผู้ต้องขังก่อนพ้นโทษ จัดวิทยากรบรรยายให้ความรู้ แนะแนวอาชีพ ให้ข้อมูลข่าวสาร ตลาดแรงงาน ให้คำปรึกษาแนะนำการประกอบอาชีพอิสระ ได้แก่ การหาทำเล การคำนวณต้นทุน การหาตลาด การหาแหล่งเงินทุน และการบริหารจัดการ และอื่นๆ เป็นต้น สำหรับหรับผู้ต้องขังในเรือนจำจังหวัดสตูล มีทั้งสิ้นรวม 1,084 คน แยกเป็นชาย 977 คน หญิง 107 คน ปัจจุบันมีการฝึกอาชีพเป็นช่างไม้ ช่างจักรสาร ช่างเชื่อง ช่างสี ช่างก่อสร้าง แรงงานรับจ้างเช่น รับจ้างเย็บอวน ส่วนผู้ต้องขังหญิงมีการฝึกอาชีพ ช่างเสริมสวย และซักรีด

ที่มา: ไอเอ็นเอ็น, 23/5/2561

แรงงานเมียนมาประท้วงโรงงาน ระเบียบเข้มเกิน ห้ามเบรคกินน้ำ-เข้าส้วม ถ้าไม่ทำตามถูกตัด OT

สมุทรปราการ-มีแรงงานชาวพม่าเกือบพันคนออกมาชุมนุมและหยุดงานเพื่อประท้วงบริษัท ไทยมาสเตอร์แพค จำกัด ในอำเภอพระประแดง เจ้าหน้าที่ต้องลงพื้นที่กระจายกำลังควบคุมสถานการณ์เพื่อความสงบเรียบร้อย

สาเหตุเนื่องจากแรงงานชาวพม่าออกมาประท้วงเรื่องกฏระเบียบของทางบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทผลิตถุงบิ๊กแบ็ก โดยมีการทำงาน 24 ชม.โดยมีข้อเรียกร้องเบื้องต้นมี 2 ข้อ เช่น เวลาพักทำงาน ที่ทางบริษัทกำหนดให้พักแบบช่วงเช้ามีเวลา 15 นาที ตอนพักเที่ยง 12.00 น.ถึง 12.30 น. ช่วงบ่ายมีเวลาให้เบรคอีก 15 นาที และเรื่องทำงานโอที ทางบริษัทไม่ยอมให้แรงงานเบรคกินน้ำ เข้าห้องน้ำ ถ้าไม่ทำตามจะถูกตัดเงินค่าโอที จึงทำให้แรงงานไม่พอใจก็เลยนัดรวมกลุ่มแรงงานชุมนุมหยุดงานประท้วงเพราะเห็นว่าไม่เป็นธรรมและบังคับมากจนเกินไป

แต่ขณะนี้ทางกลุ่มผู้ประท้วงยังไม่ยอมมาเจรจาหรือส่งตัวแทนมาเจรจาอ้างรอตัวแทนจาก AAC ซี่งเป็นมูลนิธิแรงงานของชาวพม่า กับสถานทูตเข้าไปเจรจากับบริษัทถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

เบื้องต้นทางผู้จัดการโรงงาน พร้อมล่ามภาษาพม่าออกไปเจรจาแล้วแต่ไม่เป็นผล ทางผู้ชุมนมขอรอคนที่ทางแรงงานไว้ใจมาเสียก่อนถึงจะไปเจรจาด้วย อย่างไรก็ตามผู้ชุมนุมใช้เวลา นานเกือบ 5 ชั่วโมงถึงจะยอมแยกย้ายกันกลับที่พักซึ่งทางโรงงานดังกล่าวยอมรับข้อเสนอเป็นเหตุให้ผู้ใช้แรงงานพม่าพอใจและสลายการชุมนุมในที่สุด

ที่มา: news.bectero.com, 23/5/2561

รมว.แรงงาน สั่งเร่งช่วยเหลือคนงานไทยกลับจากแอฟริกาใต้ให้ได้รับเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพคืน

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งเร่งช่วยเหลือคนงานไทยที่กลับจากแอฟริกาใต้แต่ยังไม่ได้รับเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพคืนให้ได้รับเงินคืนโดยเร็วและครบเต็มจำนวนตามสิทธิประโยชน์ที่จะต้องได้รับ หลังคนงานไทยเข้าร้องทุกข์ต่อกระทรวงแรงงานขอคืนเงินกองทุนฯ ขณะที่มีแรงงานบางส่วนได้รับเงินคืนแล้ว 708 คน จาก 1,185 คน รวมเป็นเงิน 64,992,919.95 บาท

นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังการรับเรื่องร้องทุกข์จากคนงานไทยกรณีกลับจากทำงานที่สาธารณรัฐแอฟริกาใต้แล้วแต่ยังยังไม่ได้รับเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) คืน ว่าคนงานไทยดังกล่าวประสงค์จะทราบระยะเวลาและจำนวนเงินสะสมที่จะได้รับคืน ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ทราบเรื่องแล้วและได้สั่งการให้เร่งช่วยเหลือให้ได้รับเงินคืนครบเต็มจำนวนตามสิทธิประโยชน์ที่จะต้องได้รับ ซึ่งเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา กรมการจัดหางาน และกรมการกงสุล ได้เชิญคนงานไทยเข้าร่วมประชุมรับฟังการชี้แจง พร้อมด้วยนายจ้างที่แอฟริกาใต้ และผู้แทนบริษัทจัดหางานที่จัดส่งแรงงานไทยไปทำงานให้กับนายจ้างที่แอฟริกาใต้ โดยบริษัทจัดหางานฯ ได้ชี้แจงรายละเอียด ขั้นตอนและระยะเวลาการคืนเงินดังกล่าว และได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบและดำเนินการร่วมกับนายจ้างยื่นขอคืนเงินให้คนงานทุกคนรวม 1,185 คน ซึ่งจะทะยอยได้รับจนครบทุกคนภายในเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2561) ทั้งนี้สาเหตุที่ล่าช้า นายจ้างแจ้งว่าเนื่องจากในระยะแรกนายจ้างได้ว่าจ้างบริษัท Outsource เป็นผู้ดำเนินการคืนเงินสะสมให้คนงาน แต่หลังจากนายจ้างมาดำเนินการเองสามารถคืนเงินสะสมให้คนงานได้แล้ว จำนวน 708 คน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 29,542,236.34 แรนด์ (อัตราแลกเปลี่ยน 1 แรนด์ = 2.2 บาท โดยประมาณ หรือประมาณ 64,992,919.95 บาท)

สำหรับหลักเกณฑ์การส่งเงินสะสมนั้น ลูกจ้างและนายจ้างต้องส่งเงินเข้ากองทุนตามจำนวนที่หน่วยงาน Metal Industries Benefits Funds (MIBFA) กำหนดในแต่ละปี  ลูกจ้างจะขอคืนได้เมื่อพ้นสภาพของการเป็นลูกจ้างคือ เลิกจ้าง ลาออก เป็นต้น โดยขั้นตอนและระยะเวลาการขอคืนเงินตั้งแต่การเตรียมเอกสารของนายจ้าง การตรวจสอบเอกสารของ MIBFA จนถึงการอนุมัติและคืนเงิน ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน

นายอนุรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจ่ายเงินน่าจะติดตามได้ไม่ยาก เพราะทุกอย่างต้องมีเอกสารหลักฐาน ต้องโปร่งใส สิทธิประโยชน์ที่คนงานไทยจะได้รับต้องเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใด ๆ เพราะท่านรัฐมนตรีให้ความสำคัญและติดตามทุกวัน ซึ่งกรมการจัดหางานจะได้เร่งดำเนินการติดตามผลให้โดยเร็ว และแจ้งให้คนงานทราบต่อไป

ที่มา: ข่าวสด, 22/5/2561

'คลัง' เตรียมชะลอระเบียบจ้างลูกจ้างเงินนอกงบประมาณ หลัง 'หมอปิยะสกล' สายตรงถึง รมช.คลัง

23 พ.ค. 2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีกระทรวงการคลังออกระเบียบว่าด้วยการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ พ.ศ.2561 ระบุให้ส่วนราชการหลีกเลี่ยงการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ หากจำเป็นต้องจ้างต้องขออนุญาตคลังก่อน และจ้างได้ไม่เกินปีงบประมาณ และอัตราค่าจ้างไม่เกินค่าจ้างขั้นต่ำของตำแหน่ง-วุฒิ และไม่มีการเลื่อนขั้นค่าจ้าง ซึ่งได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วยอย่างกว้างขวางในกลุ่มบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบกับการทำงานให้บริการประชาชน และเตรียมที่จะประท้วงระเบียบดังกล่าว

ล่าสุด มีรายงานว่า นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งขณะนี้ไปร่วมประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 71 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ได้ต่อสายตรงถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เนื่องจากกังวลในขั้นตอนปฏิบัติและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับ รพ.ในการให้บริการรักษาพยาบาลประชาชน เบื้องต้นได้ข้อสรุปว่า ทางกระทรวงการคลังจะให้กรมบัญชีกลางชะลอการบังคับใช้ประกาศนี้ไว้ก่อน และให้เชิญกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) มาหารือร่วมกัน

ทั้งนี้ช่วงบ่ายวันนี้ (23 พ.ค.) นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข จะหารือกับกรมบัญชีกลางในเรื่องดังกล่าวเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

ที่มา: hfocus, 23/5/2561

'คลัง' ให้ส่วนราชการหลีกเลี่ยงจ้างลูกจ้างด้วยเงินนอกงบประมาณ หากจำเป็นต้องขออนุญาตก่อน

กระทรวงการคลังออกระเบียบการจ้างลูกจ้างโดยใช้เงินนอกงบประมาณ ระบุให้ส่วนราชการหลีกเลี่ยงการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ หากจำเป็นต้องจ้างต้องขออนุญาตคลังก่อน และจ้างได้ไม่เกินปีงบประมาณ และอัตราค่าจ้างไม่เกินค่าจ้างขั้นต่ำของตำแหน่ง-วุฒิ และไม่มีการเลื่อนขั้นค่าจ้าง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2561 นายจุมพล ริมสาคร รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ลงนามในหนังสือถึง ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด เลขาธิการ ผู้อำนวยการ ผู้บัญชาการ อธิการบดี เรื่องระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ พ.ศ.2561 โดยระบุว่า

ด้วยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 อนุมัติการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และให้ดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้มีระเบียบเกี่ยวกับการนำเงินนอกงบประมาณไปใช้ในการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติงานในหน่วยงาน

กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว ขอเรียนว่า เพื่อให้การบริหารอัตรากำลังคนส่วนราชการที่ใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และเป็นไปตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 จึงยกเลิกหนังสือกระทรวงการคลัง ที กค 0527.6/ว 31 ลงวันที่ 26 เมษายน 2542 และ ที่ กค 0415/ว 23 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2546 และให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ พ.ศ.2562

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2561 กระทรวงการคลังออกระเบียบว่าด้วยการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ พ.ศ.2561 โดยมีสาระสำคัญในข้อ 4 ที่ระบุว่า "ให้ส่วนราชการหลีกเลี่ยงการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ

กรณีได้ดำเนินการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณก่อนระเบียบฉบับนี้มีผลใช้บังคับ ซึ่งมิใช่กรณีที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังไว้เป็นการเฉพาะ ให้ส่วนราชการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างต่อไปได้ตามกำหนดระยะเวลาเดิม และเมื่อพนักงานหรือลูกจ้างลาออกหรือส่วนราชการหมดความจำเป็นในการจ้างให้ยุบเลิกตำแหน่งพนักงานหรือลูกจ้างนั้น

ข้อ 5 ในกรณีส่วนราชการมีความจำเป็นต้องจ้างพนักงานหรือลูกจ้างให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังก่อน โดยต้องแสดงเหตุผล ความจำเป็น เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย

ข้อ 6 ระยะเวลาการจ้าง ให้จ้างได้ไม่เกินปีงบประมาณ หรือตามระยะเวลาที่กระทรวงการคลังอนุญาต สำหรับอัตราค่าจ้าง ให้จ้างได้ไม่เกินอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของตำแหน่งและวุฒิ และไม่มีการเลื่อนขั้นค่าจ้าง

ข้อ 7 ให้ส่วนราชการรายงานการจ้างพนักงานหรือลูกจ้าง ทั้งจำนวนอัตราและจำนวนงินค่าจ้างให้กรมบัญชีกลางทราบทุกสิ้นปีงบประมาณ หรือสิ้นระยะเวลาการจ้างที่ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง โดยให้รายงานภายใน 30 วัน นับจากสิ้นสุดระยะเวลาดังกล่าว"

ทั้งนี้ระเบียบดังกล่าวนี้ ได้กำหนดว่า "เงินนอกงบประมาณ" หมายความว่า บรรดาเงินทั้งปวงที่ส่วนราชการจัดเก็บหรือได้รับไว้เป็นกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือจากนิติกรรมหรือนิติเหตุ หรือกรณีอื่นใดที่ต้องนำส่งคลัง แต่มีกฎหมายอนุญาตให้สามารถเก็บไว้ใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องนำสั่งคลัง

และกำหนดว่า "พนักงานหรือลูกจ้าง" หมายความว่า ลูกจ้างชั่วคราว ลูกจ้างรายคาบ พนักงานกระทรวงสาธารณสุขหรือพนักงานของรัฐที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งมีลักษณะเดียวกัน

ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป

ที่มา: hfocus, 22/5/2561

สปส.อัดฉีดหมื่นล้านเพื่อการจ้างงาน

นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม(สปส.) เปิดเผย ว่า คณะกรรมการประกันสังคม และ ที่ปรึกษาชุดที่ 13 มีมติอนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานวงเงิน ไม่เกิน 10,000 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์ให้สถานประกอบการที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคมกู้เงินกับธนาคารที่เข้าร่วมโครงการนำไปเป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ เพื่อเสริมสร้างสภาพคล่อง ให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพที่จะปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำให้แก่แรงงาน และสามารถ รักษาหรือเพิ่มอัตราการจ้างงานได้ ที่สำคัญ ทำให้ผู้ประกันตนมีงานทำต่อเนื่องและอยู่ในระบบประกันสังคมที่มีสวัสดิการคุ้มครองอย่างมั่นคงยั่งยืนด้วย

สำหรับวงเงินสินเชื่อที่ได้รับการอนุมัติเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน จำนวน 10,000 ล้านบาท จะแบ่งเป็น 1.วงเงิน 6,000 ล้านบาท สำหรับสถานประกอบการ ที่มีลูกจ้างไม่เกิน 50 คน วงเงินกู้ไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย 2.วงเงิน 3,000 ล้านบาท สำหรับสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 51-200 คน วงเงินกู้ไม่เกิน 10 ล้านบาท ต่อราย และ 3.วงเงิน 1,000 ล้านบาท สำหรับสถานประกอบที่มีลูกจ้างเกิน 200 คน วงเงินกู้ไม่เกิน 15 ล้านบาทต่อราย

ซึ่งขณะนี้สำนักงานประกันสังคมอยู่ระหว่างประสานธนาคารที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการเพื่อจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ต่อไป และคาดว่าจะเปิดให้สถานประกอบการสามารถยื่นขอรับสินเชื่อ โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน ได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2561 นี้ สำหรับ ข้อกำหนดของสถานประกอบการที่จะเข้า ร่วมโครงการต้องขึ้นทะเบียนกับสำนักงาน ประกันสังคมและจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน ประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน และต้องรักษาจำนวนผู้ประกันตนไม่น้อย กว่าร้อยละ 80 ของจำนวนผู้ประกันตน ณ วันที่ได้รับสินเชื่อตลอดอายุโครงการ 3 ปี ทั้งนี้ เมื่อสำนักงานประกันสังคมได้ธนาคารที่ร่วมโครงการแล้วจะประชาสัมพันธ์ให้ทราบต่อไป

ที่มา: แนวหน้า, 22/5/2561

แรงงานไต้หวันกินหอย จนพยาธิขึ้นสมองกลายเป็น "เจ้าชายนินทรา" กลับถึงอุดรฯ แล้ว

กรณีนายฉัตรชัย ขุริดี อายุ 33 ปี ชาว อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี แรงงานโรงงานขวดน้ำหอมในไต้หวันป่วย "โคม่า" เนื่องจากไปเก็บหอยในคลอง มาทำ "ก้อยหอย"กิน ทำให้มีพยาธิเข้าร่างกาย เข้าสู่สมองจนทำให้เป็น "เจ้าชายนิทรา" นอนไม่รู้สึกตัว แพทย์ที่ไต้หวันบอกโอกาสฟื้นไม่มี พ่อแม่และเมีย วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ใจบุญร่วมบริจาคเงิน เพื่อที่จะได้นำตัวคนป่วยกลับประเทศไทย ดูแลในวาระสุดท้าย เรื่องนี้ทาง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน สั่งการให้หาทางช่วยเหลือนำตัวกลับประเทศไทย ต่อมาทางไต้หวันส่งตัว นายฉัตรชัย กลับถึงประเทศไทย และนำตัวส่งมายังโรงพยาบาลบ้านผือ เพื่อรักษาตัว และทางจังหวัดได้เปิดบัญชีรับบริจาคช่วยเหลือจากผู้ใจบุญเพื่อช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง

ความคืบหน้าเรื่องนี้วันที่ 20 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากโรงพยาบาลบ้านผือ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานีว่า ที่หอผู้ป่วยชาย ชั้น 3 ของโรงพยาบาลบ้านผือ นายประยงค์ ขุริดี อายุ 59 ปี นางทองวัน ขุริดี อายุ 55 ปี น.ส.อภิญญา เยาวลักษณ์ อายุ 39 ปี พ่อแม่และภรรยาของ นายฉัตรชัย ที่มาคอยดูแลอย่างใกล้ชิด หลังจากหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะกระทรวงแรงงาน ,จ.อุดรธานี และผู้มีจิตศรัทธา ให้ความช่วยเหลือ นำตัว นายฉัตรชัย ส่งกลับรักษาตัวที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยหลังเดินทางถึง ได้นำตัวนายฉัตรชัย เข้ารักษาตัวพักฟื้นจากการเดินทาง และดูอาการที่โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพฯ ก่อนส่งตัวมายังโรงพยาบาลบ้านผือ เพื่อรักษาตัวต่อ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา

นางทองวัน และ น.ส.อภิญญา แม่และภรรยา ของนายฉัตรชัย เปิดเผยว่า หลังจากนำตัวนายฉัตรชัย ส่งกลับมาถึงโรงพยาบาลบ้านผือ รู้สึกดีใจมาก ที่ได้ตัวนายฉัตรชัย กลับมาถึงบ้าน ขอบคุณทุกฝ่ายที่ได้ให้ความช่วยเหลือ ทั้ง รมว.แรงงาน ผวจ.อุดรธานี นายอำเภอบ้านผือ โดยเฉพาะสื่อมวลชน ที่เสนอข่าวออกไป จนนายฉัตรชัย ได้กลับบ้าน ซึ่งอาการของนายฉัตรชัย ตอนนี้รู้สึกตัวบ้าง มีอาการตอบสนองเวลาเรียก ที่สามารถกระพริบตาได้ โดยทางครอบครัวคาดว่า อาการน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันที่ 21 พ.ค. 2561 เวลา 17.00 น. นายวัฒนา พุฒิชาติ ผวจ.อุดรธานี และหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน ใน จ.อุดรธานี จะเดินทางมามอบเงินที่ทาง จ.อุดรธานี เปิดบัญชีรับบริจาคช่วยเหลือ นายฉัตรชัย ที่โรงพยาบาลบ้านผือ โดนจะมอบให้กับทางครอบครัวของนายฉัตรชัยฯ เพื่อใช้ในการรักษาตัว

ที่มา: ข่าวสด, 21/5/2561

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ทหาร-คกก.อิสลามปัตตานี' ชี้อย่าตื่นตระหนกข่าวลือจะเกิดเหตุร้าย 30 พ.ค. 2561

Posted: 27 May 2018 01:03 AM PDT

รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และประธานคณะกรรมการอิสลาม จ.ปัตตานี ชี้แจงต่อกรณีข่าวลือว่าขอให้คนมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ห้ามเข้าเมือง-อย่าออกนอกบ้าน วันที่ 30 พ.ค. 2561 เพราะจะมีการก่อเหตุการณ์นั้น ขอประชาชนอย่าได้ใส่ใจและหวาดกลัว ขอให้มุ่งมั่นปฏิบัติศาสนกิจในห้วงเดือนรอมฎอนตามหลักศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง และร่วมกันสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน

 
 
27 พ.ค. 2561 ที่สำนักคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี พันเอกธนาวีร์ สุวรรณรัตน์ รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมด้วยนายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ได้ชี้แจงต่อกรณีที่มีบุคคลปล่อยข่าวลือว่าขอให้คนมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ห้ามเข้าเมือง อย่าออกนอกบ้าน ในวันที่ 30 พ.ค. 2561 เพราะจะมีการก่อเหตุการณ์
 
จากกรณีดังกล่าวขอเรียนชี้แจงเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและหวาดกลัวกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนี้ 1.จากภาพข่าวที่ปรากฏ เป็นความพยายามปล่อยข่าวลือเพื่อสร้างความสับสนและหวาดกลัวกับพี่น้องประชาชน สร้างความกระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติศาสนกิจของพี่น้องมุสลิม ในห้วงเดือนรอมฎอนอันประเสริฐกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในมาตรการรักษาความปลอดภัย และอย่าได้ตื่นตระหนกกับข่าวลือดังกล่าว ทั้งนี้จะใช้มาตรการทางกฎหมายเข้าดำเนินการกับผู้ก่อเหตุทุกราย เช่นเดียวกับการก่อเหตุป่วนเมือง, ลอบวางระเบิดตู้เอทีเอ็ม เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2561 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมมาได้แล้วหลายราย ขณะนี้อยู่ระหว่างขยายผลเพิ่มเติมการกระทำของกลุ่มคนเหล่านี้ ไม่เคยได้แสดงความรับผิดชอบต่อความเดือดร้อนของประชาชนมุ่งแต่ก่อเหตุเพื่อประโยชน์ของกลุ่มตนเท่านั้น
 
และ 2. มีกลุ่มบุคคลได้พยายามแอบอ้างบิดเบือนคำสอนของศาสนาถือเป็นพวกนอกศาสนาโดยเฉพาะความพยายามปล่อยข่าวว่าจะก่อเหตุในวันดังกล่าวถือเป็นการจงใจขัดขวางการประกอบศาสนกิจของพี่น้องมุสลิมถือเป็นคนบาปที่จะต้องถูกลงโทษ และจะไม่ได้สัมผัสแม้แต่กลิ่นของสวรรค์ จากคำยืนยันของคณะผู้แทนองค์การความร่วมมืออิสลาม หรือ OIC ได้กล่าวไว้ว่าปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้เกิดจากกความขัดแย้งทางศาสนาแต่เกิดจากกลุ่มคนที่บิดเบือนหลักคำสอนและไม่เคารพกฎหมาย
 
จึงขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้ใส่ใจและหวาดกลัวกับการปล่อยข่าวลือดังกล่าว ขอให้มุ่งมั่นปฏิบัติศาสนกิจในห้วงเดือนรอมฎอนตามหลักศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง และร่วมกันสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'สรรพากร' แจงกรณีข่าวโซเชียลระบุขึ้น VAT เพิ่มเป็น 9% ไม่เป็นความจริง

Posted: 27 May 2018 12:37 AM PDT

'สรรพากร' แจงกรณีข่าวในโซเชียลระบุรัฐบาลจะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพิ่มเป็น 9% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2561 นั้นไม่เป็นความจริง เป็นการนำกำหนดระยะเวลาในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรา VAT (ฉบับที่ 646) พ.ศ.2560 มาเผยแพร่ ทำให้ประชาชนสับสนและตื่นตระหนก ทั้งนี้ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลจะออกกฎหมายลด VAT ให้เก็บจริง 7% อัตราคงที่ต่อเนื่องกันมาทุกปี

 
 
 
27 พ.ค. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่ากรมสรรพากรได้ออกประกาศชี้แจงกรณีที่มีข่าวในโซเชียลมีเดียระบุว่ารัฐบาลจะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น 9% ในวันที่ 1 ต.ค. 2561 นั้นยืนยันไม่เป็นความจริง พร้อมทั้งระบุว่าข่าวดังกล่าวเป็นการนำกำหนดระยะเวลาจาก พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 646) พ.ศ.2560 มาเผยแพร่ ทำให้ประชาชนเกิดการสับสนและตื่นตระหนก ซึ่งตั้งแต่มีการบังคับใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มในปี พ.ศ.2535 ได้มีการตรากฎหมายเพื่อลดอัตราจากอัตราที่กำหนดในกฎหมายเป็น 7% มาอย่างต่อเนื่อง โดยเขียนกฎหมายลักษณะเช่นเดียวกันนี้มาโดยตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปี มีเพียงช่วงสั้นๆ ในปี พ.ศ. 2540 เท่านั้นที่มีการปรับอัตราขึ้นเนื่องจากเป็นข้อกำหนดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง
 
ที่ผ่านมาได้มีกระแสความเข้าใจคลาดเคลื่อนลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง ซึ่งกรมสรรพากรก็ได้ชี้แจงทำความเข้าใจมาโดยตลอด ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนอย่าได้ตื่นตระหนกหลงเชื่อข่าวดังกล่าวและขอให้ช่วยแชร์ข้อมูลนี้ เพื่อช่วยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกันต่อๆ ไปด้วย ทั้งนี้หากผู้ประกอบการหรือผู้เสียภาษีมีข้อสงสัยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร.1161
 
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2561 เว็บไซต์ ThaiPBS รายงานว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีการแชร์ข้อความและภาพระบุ "ประยุทธ์ขอประชาชนจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 8% ถ้าไม่ขึ้นประเทศจะล้มละลาย" ในช่วงนี้ว่าข้อความและภาพดังกล่าวเป็นเรื่องเก่าเมื่อเดือน มี.ค. 2560 ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ชี้แจงไปแล้วว่าไม่ได้เป็นเจตนารมณ์ของนายกแต่เป็นการตีความที่คลาดเคลื่อน พร้อมทั้งยืนยันด้วยว่าไม่มีนโยบายปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แต่อย่างใด
 
นอกจากนี้ยังมีประเด็นข้อกังวลว่ารัฐบาลจะปรับขึ้นภาษี VAT 9% (รวมภาษีท้องถิ่นอีก 1% อัตรารวมคือ 10%) ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2561 ตามที่ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2560 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า "ขณะนี้ยังไม่มีแนวคิดที่จะปรับขึ้นภาษี VAT ตามที่ระบุไว้กฎหมาย โดยยังคงไว้ที่อัตรา 7% เพราะไม่ต้องการผลักภาระให้ประชาชนเดือดร้อน จึงไม่อยากให้สังคมตื่นตระหนกและหลงเชื่อ หรือนำไปวิพากษ์วิจารณ์จนเกิดความสับสน"
 
ทั้งนี้ในรายงานข่าวของเว็บไซต์ ThaiPBS ย้ำว่าโดยหลักการแล้วรัฐบาลจะต้องขึ้นภาษี VAT อีก 3% เป็น 10% เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติประมวลรัษฎากร แต่รัฐบาลได้ออกกฎหมายลดอัตราภาษี VAT โดยให้จัดเก็บจริงที่ 7% ซึ่งเป็นอัตราคงที่ต่อเนื่องกันมาทุกปี
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักเศรษฐศาสตร์หวั่นปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองอาจส่งผลการลงทุนช่วงครึ่งปีหลัง

Posted: 27 May 2018 12:05 AM PDT

คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต ประเมินตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรกสูงสุดหลังจากนั้นการเติบโตจะชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลัง อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น-อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หวั่นปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองยังคงส่งผลต่อภาคการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง การกระจุกตัวของรายได้และความมั่งคั่งยังคงเป็นปัญหาใหญ่ต้องกระจายรายได้และความมั่งคั่งมายังคนส่วนใหญ่จึงแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ 

 
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต (แฟ้มภาพ)
 
27 พ.ค. 2561 ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังภายใต้ปีที่ 5 ของ คสช. ว่ายังคงยืนยันการคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้ที่ 4.1-4.7% ตามที่ได้ประมาณการไว้ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาแม้นว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกปีนี้จะขยายตัวสูงสุดในรอบห้าปีที่ 4.8% เนื่องจากตนมองว่าอัตราการขยายตัวในไตรมาสแรกที่ 4.8% นั้นจะเป็นการเติบโตรายไตรมาสที่สูงที่สุดในปีนี้ โดยหลังจากนี้อัตราการเติบโตรายไตรมาสจะชะลอตัวลงและน่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 4.8% โดยที่ในช่วงครึ่งปีหลังอัตราเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้น ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น อันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตและราคาพลังงาน อัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นสูงกว่า 1% สภาวะการทำงานต่ำระดับมากขึ้นเราจะเห็นคนจบปริญญาตรีทำงานที่อาศัยความรู้และทักษะระดับ ม.ปลาย เห็นคนจบ ป.โท ทำงานที่อาศัยความรู้และทักษะระดับ ป. ตรี เนื่องจากมีคนจำนวนมากไม่สามารถพัฒนาตัวเองไปสู่ผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูงได้จึงทำงานต่ำระดับเพื่อไม่ให้ว่างงาน นอกจากนี้เทคโนโลยีเครื่องจักรอัตโนมัติและสมองกลอัจฉริยะได้ทำหน้าที่แทนแรงงานคนมากขึ้น 
ส่วนการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงปลายปีอาจทำให้ภาคบริโภคชะลอตัวลงควรเน้นจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ที่มีถิ่นฐานนอกประเทศที่ค้าสินค้าและบริการในไทยแทนการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างประเทศ 
 
โดยเฉพาะการขายสินค้าดิจิทัลที่ไม่มีการส่งมอบสินค้า ไม่มีการนำเข้าสินค้าทำให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มขาดหายไป โดยเฉพาะลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคที่ไม่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มการค้าขายสินค้าดิจิทัลทั่วไปมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ B2B (Business to Business) และ B2C (Business to Consumer) ซึ่งในกรณี B2B ประเทศที่ใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มมักจะไม่มีปัญหาการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรณีนี้ เนื่องจากโดยทั่วไปกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีการกำหนดภาระหน้าที่ของผู้จ่ายเงินในประเทศ เมื่อมีการจ่ายค่าสินค้าหรือบริการไปให้ผู้ประกอบการในต่างประเทศเป็นผู้นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ผู้ซื้อในไทยซื้อสินค้าดิจิทัลจากผู้ประกอบการมาเลเซียมาใช้ในไทย โดยที่มาเลเซียไม่ได้เข้ามาประกอบกิจการหรือมีสำนักงาน/สาขาในไทย กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มกำหนดให้ผู้ซื้อในไทยมีหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กรมสรรพากร ทั่วไปถ้าเป็นลักษณะ B2B ผู้ซื้อในไทยที่เป็นหน่วยงานหรือองค์กรอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม กรมสรรพากรสามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ซื้อที่เป็นกิจการได้มีการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในกรณีนี้หรือไม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตรวจสอบภาษีอยู่แล้ว ดังนั้นกรมสรรพากรก็สามารถเก็บภาษีในส่วนนี้ได้ แต่ถ้าเป็นกรณี B2C ผู้ซื้อที่เป็นผู้บริโภคและไม่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มจะกำหนดเหมือนกับ B2B แต่เนื่องด้วยผู้บริโภคไม่ได้อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็อาจทำให้ในส่วนนี้ขาดหายไป ทำให้รัฐขาดรายได้จากส่วนนี้ เมื่อมีเก็บภาษีจากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยมุ่งไปที่ผู้ประกอบการต่างประเทศที่ไม่มีถิ่นฐานในประเทศไทย เมื่อมีการเก็บภาษีจากผู้ประกอบการต่างประเทศได้เพิ่มขึ้นแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องรีบปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงปลายปีนี้ที่อาจส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้ รายได้ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลงเป็นผลมาจากการเติบโตธุรกรรมออนไลน์ที่ตามเก็บภาษีไม่ได้มากกว่าอัตราภาษี การเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มอาจไม่ได้ทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มแต่อย่างใด 
 
ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองยังคงส่งผลต่อภาคการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและปริมาณการค้าโลกยังคงเป็นบวกต่อภาคส่งออกและท่องเที่ยวของไทย ค่าเงินบาทจะมีความผันผวนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังและต้องจับตาผลของการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกาและมาตรการ QE Exit อัตราการขยายตัวของการส่งออกจะไม่เร่งตัวเหมือนช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ในระยะยาวแล้วเศรษฐกิจไทยจะต้องเติบโตบนฐานนวัตกรรมและผลิตภาพเนื่องจากการขยายตัวของแรงงานและทุนมีข้อจำกัดและเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประเทศไทยนั้นยังลงทุนทางด้านนวัตกรรมน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว 
 
ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่าการกระเตื้องขึ้นของการลงทุนภาคเอกชนยังคงกระจุกตัวอยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่ การเติบโตของเศรษฐกิจในระดับ 4.8% ในไตรมาสแรกไม่ได้หมายความว่า ทุกคนมีรายได้เพิ่มขึ้น 4.8% คนส่วนใหญ่อาจจนลงก็ได้หากรายได้ที่เพิ่มขึ้น 4.8% นั้นกระจุกตัวอยู่ในคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น และจากข้อเท็จจริงก็ชี้ชัดว่ากลุ่มคนเพียง 6 ตระกูลถือครองความมั่งคั่งเท่ากับคนเกือบ 50 ล้านคนและครอบครองทรัพย์สินมากกว่า 1 ใน 4 ของทั้งระบบ การกระจายรายได้และความมั่งคั่งที่ไม่เป็นธรรมเป็นผลจากโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง ระบบการเมืองแบบอำนาจนิยมที่มีการผูกขาด รวมทั้งความผิดผลาดทางนโยบายของหลายรัฐบาล ตลอดจนความไม่สามารถปรับตัวได้กับสภาพแวดล้อมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังคงกระจุกตัวอยู่ในโครงสร้างเศรษฐกิจส่วนบน ยังไม่กระจายตัวมายังเศรษฐกิจฐานรากมากนัก และโครงสร้างเศรษฐกิจยังไม่ได้มีการแปรเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญจึงยังทำให้ปัญหาการกระจายรายได้และความมั่งคั่งยังคงเป็นปัญหายืดเยื้อต่อไป เศรษฐกิจไทยต้องขยายตัวในระดับ 5-6% และต้องกระจายรายได้และความมั่งคั่งมายังคนส่วนใหญ่จึงแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ 
 
"ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับ 3-4% ภายใต้โครงสร้างแบบเดิมนี้เราจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำได้และยังจะทำให้การกระจายรายได้แย่ลงอีกด้วย เพราะผลประโยชน์ที่เติบโตขึ้นจะไปกระจุกตัวอยู่ในมือของเจ้าของทุน คนรวยจะรวยยิ่งขึ้น คนจนจะไม่ดีขึ้นนัก แต่คนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยจะกลายเป็นคนยากจน เป็นภาวะที่เกิดขึ้นในระบบทุนนิยมโดยทั่วไปหากไม่มีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้มีความเป็นประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น" ผศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุ
 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คะแนนท่วมท้น เสียง 2 ใน 3 ของไอร์แลนด์เห็นชอบทำแท้งถูกกฎหมาย

Posted: 26 May 2018 11:47 PM PDT

ไอร์แลนด์ลงประชามติสนับสนุนการทำแท้งอย่างถูกกฎหมายด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 1,429,981 เสียง ต่อ 723,632 เสียง นับเป็นร้อยละ 66.4 ต่อร้อยละ 33.6 ทำให้สื่อเดอะการ์เดียนระบุว่าถือเป็นการสร้างความเท่าเทียมระหว่างเพศให้สิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับครรภ์กลับมาอยู่ในมือผู้มีเพศกำเนิดหญิงที่เป็นเจ้าของครรภ์อีกครั้ง

 
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2561 มีการประกาศผลลงประชามติของชาวไอร์แลนด์ว่าจะยกเลิกบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 8 ในรัฐธรรมนูญไอร์แลนด์ ที่จำกัดการทำแท้งหรือไม่ ผลปรากฏว่าผู้ลงคะแนนส่วนใหญ่ 2 ใน 3 หรือราว 1.4 ล้านเสียง ต่อราว 7 แสนเสียง เลือกที่จะยุบกฎหมายนี้ทำให้รัฐบาลไอร์แลนด์สามารถเสอนการทำแท้งในฐานะบริการสุขภาพให้กับผู้ตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ในช่วง 12 สัปดาห์ได้
 
ออร์ลา โอ คอนเนอร์ ผู้อำนวยการร่วมของโครงการส่งเสริมให้โหวตเห็นชอบในประชามติครั้งนี้กล่าวว่าผลที่ออกมาถือเป็น "วันสำคัญทางประวัติศาสตร์สำหรับผู้หญิงในไอร์แลนด์" และบอกว่าผลที่ออกมาถือเป็น "การปฏิเสธไม่ปฏิบัติกับผู้หญิงในฐานะพลเมืองชั้นสองอีกต่อไป"
 
ขณะที่ จอห์น แมคเกิร์ก นักกิจกรรมฝ่ายคัดค้านการยกเลิกกฎหมายมาตรา 8 ยอมรับความพ่ายแพ้ตั้งแต่นับคะแนนช่วงกลางวัน เขาบอกว่าเขารู้สึก "อกหัก" จากผลที่ออกมา แต่ก็ยืนยันว่าเขาไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดที่จะได้ "ลุกขึ้นพูดในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ"
 
มีการตั้งข้อสังเกตจากสื่อเดอะการ์เดียนว่าการโหวตสนับสนุนทำแท้งถูกกฎหมายอย่างถล่มทลายในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความพ่ายแพ้อย่างหนักของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกที่เคยมีอิทธิพลครอบงำไอร์แลนด์ ทำให้เรื่องการยกเลิกกฎหมายเช่นนี้เคยเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้มาก่อน
 
ลีโอ วารัดการ์ นายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์ให้คำมั่นว่าจะยกเลิกกฎหมายจำกัดการทำแท้งภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงบอกว่าการลงประชามติในครั้งนี้แสดงให้เห็น "ผลรวมจากการปฏิวัติเงียบในไอร์แลนด์" และถือว่าประชาชนได้ให้อาณัติพวกเขาผ่านการโหวตแล้ว
 
 
เรียบเรียงจาก
 
Ireland votes by landslide to legalise abortion, The Guardian, 26-05-2018
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชวนคนไทย 7 กลุ่มเสี่ยง ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี เริ่ม 1 มิ.ย. 2561 นี้

Posted: 26 May 2018 11:36 PM PDT

กรมควบคุมโรค-สปสช.ชวนประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยงทุกสิทธิการรักษา ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี 3.5 ล้านโด๊ส เริ่ม 1 มิ.ย. 2561 นี้ ป้องกันการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ ย้ำวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ปี 2561 ครอบคลุมสายพันธุ์แพร่ระบาดตามคำแนะนำองค์การอนามัยโลก

 
 
27 พ.ค. 2561 นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่าโรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคพบบ่อยในทุกกลุ่มอายุ ตั้งแต่กลุ่มเด็กเล็กจนถึงผู้สูงอายุ เป็นโรคที่เกิดได้ตลอดปี แต่ระบาดมากในฤดูฝน อาการป่วยส่งผลต่อสุขภาพและต้องหยุดพักรักษาตัว ในกลุ่มเสี่ยงมีภูมิต้านทานน้อยอาจมีอาการแทรกซ้อน บางรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ จากรายงานเฝ้าระวังโรคโดยสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคปี 2560 พบผู้ป่วย 196,765 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 300.74 ต่อแสนประชากร เสียชีวิต 55 ราย สูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง ทั้งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และในปีนี้ตั้งแต่ 1 ม.ค.-31 มี.ค. 2561 พบผู้ป่วยจำนวน 29,324 ราย เสียชีวิต 1 ราย ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ A (H1N1), A (H3N2) และสายพันธุ์ B
 
ในปี 2561 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดและลดความรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่ สปสช.จัดเตรียมวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฤดูกาลใหม่ 3.5 ล้านโด๊ส ร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยบริการ เพื่อฉีดให้กับประชาชนทุกสิทธิที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติกำหนด โดยเป็นวัคซีนผลิตจากเชื้อตาย 3 สายพันธุ์ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก พบการระบาดมากในประเทศไทยและทั่วโลก ประกอบด้วยไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A (H1N1) เป็นสายพันธุ์เดิมมิชิแกน, ชนิด A (H3N2) เป็นสายพันธุ์ใหม่สิงคโปร์แทนฮ่องกง ใกล้เคียงกับสายพันธุ์ที่ระบาดในไทยถึงร้อยละ 87.50 และไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด B สายพันธุ์ใหม่ ยามากะตะ/ภูเก็ต แทนวิคตอเรีย/บริสเบน เป็นสายพันธุ์ที่พบร้อยละ 95.14 ในกลุ่มผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ในไทย (ข้อมูลจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ณ 30 เม.ย. 2561)
 
ทั้งนี้ประชาชนทั้ง 7 กลุ่มเสี่ยงสามารถเข้ารับวัคซีนได้ที่หน่วยบริการรัฐและเอกชนภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2561 เป็นต้นไปถึงวันที่ 31 สิ.ค. 2561 หรือจนกว่าวัคซีนจะหมด
 
"วัคซีนที่เตรียมฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงฤดูกาลใหม่นี้ เป็นวัคซีนเชื้อตายที่ได้ผลดี ไม่มีปัญหากลายพันธุ์และมีความปลอดภัย ใช้ในประเทศไทยมากว่า 10 ปีแล้ว ทั้งคุ้มค่ากว่าวัคซีน 4 สายพันธุ์ที่เพิ่งมีการให้บริการฉีดในภาคเอกชน โดยเพิ่มสายพันธุ์ชนิด B/วิคตอเรีย ซึ่งองค์การอนามัยโลกระบุว่าพบน้อยที่สุด มีความชุกเพียงร้อยละ 5 ดังนั้นในด้านประสิทธิภาพความครอบคลุมระหว่างวัคซีน 3 สายพันธุ์และ 4 สายพันธุ์ ทางการแพทย์ถือว่ามีความใกล้เคียง ไม่จำเป็นต้องใช้วัคซีน 4 สายพันธุ์ที่มีราคาสูงกว่า 2-3 เท่า" เลขาธิการ สปสช.กล่าว
 
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่าอย่างไรก็ตามการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ วัคซีนมีผลช่วยป้องกันได้ร้อยละ 60-70 ดังนั้นการดูแลตนเองด้วยการหลีกเลี่ยงหรือป้องกันตนเองจากการสัมผัสผู้ที่ป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ การทำร่างกายให้แข็งแรง กินอาหารที่เอื้อต่อสุขภาพและล้างมือให้สะอาด ยังเป็นมาตรการที่จำเป็นสำหรับกลุ่มเสี่ยงและประชาชนทั่วไป
 
ทั้งนี้ประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยงในการรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ คือ 1) หญิงมีครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป 2) เด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี 3) ผู้มีโรคเรื้อรังประจำตัว ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หัวใจ หืด ไตวาย หลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน 4) ผู้สูงอายุที่อายุ 65 ปีขึ้นไป 5) ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ 6) โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ 7) โรคอ้วน หรือผู้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 100 กิโลกรัม หรือดัชนีมวลกายตั้งแต่ 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร (>100 กก./ BMI>35 kg/m²)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ศรีสุวรรณ' จ่อร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน-กสม.กรณีตำรวจจับกุม 'พุทธะอิสระ'

Posted: 26 May 2018 11:20 PM PDT

'ศรีสุวรรณ จรรยา' เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เตรียมร้องเรียนผู้ตรวจการแผ่นดินและ กสม. กรณีเจ้าหน้าเข้าจับกุม 'พุทธอิสระ' ชี้เป็นพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมและอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน และอาจมีความผิดในลักษณะเหยียดหยามศาสนาตามบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญา ม. 206

 
ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย (แฟ้มภาพ)
 
27 พ.ค. 2561 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย แจ้งข่าวต่อสื่อมวลชนว่าตามที่ปรากฏเป็นการทั่วไปในการดำเนินการของของเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยคอมมานโดพร้อมอาวุธครบมือ ในการเข้าจับกุมพระพุทธอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม เมื่อเช้ามืดวันที่ 24 พ.ค.ตามคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ทางโซเชียมีเดีย โดยมีการทุบประตู และเข้าจับกุมขณะอยู่บนที่นอน จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ไปทั่วสังคมออนไลน์อย่างล้นหลามต่อเนื่อง ซึ่งถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมและอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน และอาจมีความผิดในลักษณะเหยียดหยามศาสนาตามบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 206 และเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 27 , 29 วรรค 2, 31 และมาตรา 67 ซึ่งถือได้ว่าเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาโดยชัดแจ้ง
 
ทั้งนี้กรณีของพระพุทธอิสระนั้นในทางกฎหมายบัญญัติไว้ชัดเจนว่าให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพระพุทธอิสระไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนีเลยแต่อย่างใด ยังคงเดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์ ณ กองปราบปราบฯในหลาย ๆ กรณี และไปขึ้นศาลในคดีความต่าง ๆ เรื่อยมา เมื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจพึงที่จะต้องมีหมายเรียกผู้ต้องหามาสอบปากคำก็เพียงพอแล้ว มิใช่ใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยใช้กองกำลังคอมมานโดนับร้อยเข้าดำเนินการเข้าจับกุม ทำลายทรัพย์สิน และใช้วาจาในลักษณะเดียวกันกับบุคคลทั่วไปที่เป็นผู้ก่อการร้ายหรือผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรง
 
กรณีดังกล่าวแม้นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงจะออกมากล่าวขอโทษต่อประชาชนและศิษยานุศิษย์ของพระพุทธอิสระแล้วก็ตาม แต่ทว่าคำขอโทษก็เป็นเพียงลมปากที่ใช้เป็นบรรทัดฐานในทางกฎหมายถึงการกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไปในอนาคตไม่ได้
 
ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จำต้องใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 50(1) เพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งศาสนา จึงจะนำความไปร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย  กฎ  ข้อบังคับ  ระเบียบ  หรือคําสั่ง  หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใด ๆ ในการเกี่ยวกับพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา อันก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่พระภิกษุโดยไม่จําเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ รวมทั้งตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีดังกล่าว และเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย
 
โดยสมาคมฯ จะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินในวันจันทร์ที่ 28 พ.ค.2561 เวลา 10.00 น. (ชั้น 9 ห้อง 903) และยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนในเวลา 11.00 น. (ชั้น 6)ในวันเดียวกัน ณ บริเวณศูนย์ราชการ อาคาร B  ถนนแจ้งวัฒนะ หลักสี่  กทม.
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น