โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

เทคโอเวอร์ "พนมเปญโพสต์" กรุยทางฮุนเซนก่อนเลือกตั้งกัมพูชา

Posted: 07 May 2018 11:59 AM PDT

ศิวะกุมาร คณปติ นักลงทุนมาเลเซียซึ่งเคยทำงานพีอาร์ให้ "ฮุนเซน" ผู้นำกัมพูชา เข้าซื้อกิจการ "พนมเปญโพสต์" สื่ออิสระภาคภาษาอังกฤษหัวสุดท้าย ตามด้วยการไล่ออกบรรณาธิการ และการลาออกของพนักงานอีก 4 ราย หลังจากพวกเขาปฏิเสธไม่ลบข่าวขายกิจการพนมเปญโพสต์ออกจากเว็บ

การเทคโอเวอร์สื่อเกิดขึ้นก่อนท่ามกลางการยุบพรรคฝ่ายค้าน ยุติการดำเนินงานของพรรคเล็ก กรุยทางให้กับพรรครัฐบาลของฮุนเซนก่อนจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกรกฎาคมนี้ ขณะที่เมื่อกันยายนปีก่อน "แคมโบเดียเดลี" ประกาศปิดตัว หลังรัฐบาลเรียกภาษีย้อนหลัง 6.3 ล้านเหรียญสหรัฐ

8 พ.ค. 2561 จากที่ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวลือเรื่องการขายทอดสื่อฉบับนี้ แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่ผ่านมา "พนมเฟญโพสต์" ก็รายงานว่าเจ้าของเดิมของพวกเขาคือ บิลล์ คลอกห์ ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจเหมืองแร่ชาวออสเตรเลียประกาศขายพนมเฟญโพสต์ต่อให้กับศิวะกุมาร คณปติ ผู้อำนวยการบริหารของบริษัท 'เอเชียพีอาร์' ที่มีฐานในมาเลเซีย โดยอ้างอิงจากแถลงการณ์ของคลอกห์ ผู้ที่เป็นเจ้าของสื่อแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2551

โดยที่คลอกห์แถลงว่าศิวะกุมารเป็น "นักหนังสือพิมพ์ผู้เป็นที่นับถือ โดยมีปูมหลังเป็นนักข่าวที่มีประสบการณ์ และเป็นตัวแทนกลุ่มการลงทุนที่เข้มแข็งในมาเลเซีย"

ก่อนหน้าที่จะมีการขายทอดสื่อฉบับนี้เคยมีกรณีที่เจ้าหน้าที่สรรพากรฟ้องคดีภาษีต่ออดีตซีอีโอชาวออสเตรเลีย ทำให้ผู้สังเกตการณ์บางคนเสนอว่าการเทคโอเวอร์รอบนี้เป็นกรณีกลั่นแกล้งสื่อ คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นกับ "แคมโบเดียเดลี" ซึ่งถูกอ้างเรื่องภาษีย้อนหลังแบบไม่เป็นธรรมกว่า 6.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จึงมีการประกาศปิดตัวไปก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเดือนกันยายน 2560

กรณีของพนมเฟญโพสต์ คลอกห์ระบุว่ามีการชำระข้อพิพาทในด้านกฎหมายภาษีแล้วซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในสัญญาการขายสื่อ

เจ้าของคนใหม่ "ศิวะกุมาร" เป็นผู้อำนวยการบริหารของเอเชียพีอาร์ ซึ่งเคยมีประวัติที่ฮุนเซนเคยใช้บริการเป็นลูกค้าในการ "ทำให้เขาเข้าสู่ตำแหน่งทางรัฐบาล" จากข้อมูลเว็บไซต์ของเอเชียพีอาร์เอง นอกจากนี้ยังเคยดูแลพิธีเซ็นสัญญาระหว่าง มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในยุคนั้น กับฮุนเซนซึ่งในตอนนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีร่วมและสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ ด้วย

ศิวะกุมารเคยเรียนด้านวารสารศาสตร์มาก่อนจริงจากมหาวิทยาลัย และเคยเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการและหัวหน้าบรรณาธิการของอีสต์เทิร์นไทม์นิวส์ในมาเลเซีย ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับ อับดุล ทาอิบ มาห์มูด ผู้ว่าการรัฐซาราวัค ซึ่งทาอิบเคยมีเรื่องอื้อฉาวจากปากคำของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เปิดเผยว่าซาราวัคสูญเสียผืนป่าไปร้อยละ 90 ในช่วงที่ทาอิบอยู่ในอำนาจและจากข้อมูลลับของสหรัฐฯ ที่รั่วไหลออกมาระบุว่าผู้นำรัฐคนนี้ "มีการทุจริตสูง" แบบเดียวกับที่เอ็นจีโออย่างโกลบอลวิตเนสส์เคยวิจารณ์ไว้

ถึงแม้ในถ้อยแถลงจากฝ่ายศิวะกุมารจะอ้างว่าการซื้อสื่อของเขาเป็นไปโดย "ไม่ได้ละเมิดกฎหมายและข้อบังคับใดๆ ของกัมพูชา" แต่ เอ็ด เลกาสปี ผู้อำนวยการบริหารของสมาคมสื่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ SEAPA ก็บอกว่ามันน่าเป็นห่วงที่เจ้าของคนใหม่ของพนมเฟญโพสต์มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลมาเลเซียและกัมพูชา เพราะสื่อมาเลเซียและเจ้าของสื่อมาเลเซียเองก็มักจะไม่ค่อยมีความอิสระอยู่แล้ว เลกาสปีหวังว่ากองบรรณาธิการของพนมเฟญโพสต์จะยังคงความอิสระในการทำงานไว้ได้

โดยล่าสุด SEAPA เปิดเผยอีกว่า ไค กิมซอง บรรณาธิการพนมเปญโพสต์ถูกไล่ออกแล้ว และมีกองบรรณาธิการอย่างน้อย 4 รายขอลาออก หลังฝ่ายบริหารกลุ่มใหม่ของเจ้าของใหม่เข้ามาทำหน้าที่

อนึ่งในบีบีซีระบุว่าการไล่บรรณาธิการ และการลาออกของพนักงาน เกิดขึ้นหลังจากที่กองบรรณาธิการถูกสั่งให้นำรายงานข่าวเกี่ยวกับการขายพนมเปญโพสต์ออกจากเว็บไซต์ โดยอดีตบรรณาธิการเศรษฐกิจพนมเปญโพสต์ Brendan O'Byrne ผู้เขียนข่าวชิ้นดังกล่าว ทวิตระบุด้วยว่านอกจากเขาปฏิเสธการปลดรายงานข่าวนี้แล้ว เขายังยื่นข้อเสนอขอลาออกจากพนมเปญโพสต์ด้วย

 

 

สถานการณ์ทางการเมืองกัมพูชาในตอนนี้มีการพยายามกีดกันพรรคฝ่ายค้านใหญ่และรังแกพรรคเล็กที่ไม่อยู่ข้างรัฐบาล โดยมีการยุบพรรคฝ่ายค้านหลักอย่างพรรคสงเคราะห์ชาติ (CNRP) ไปแล้ว และมีพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ อย่างพรรค "Candlelight Party" ที่ตัดสินใจยุติการดำเนินการ ทำให้กัมพูชาเข้าใกล้สภาพพรรคการเมืองใหญ่พรรคเดียวที่ครอบงำการเมืองกัมพูชามานับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามกลางเมืองปี 2536

นอกจากนี้ยังมีบรรยากาศการรังแกสื่อวิทยุต่างๆ จนทำให้ปิดตัวไปหลายรายสร้างสูญญากาศให้กับสื่ออิสระในกัมพูชา

ลุค ฮันต์ จากสมาคมสื่อต่างประเทศในกัมพูชากล่าวว่าการสูญเสียสื่อภาษาอังกฤษสำคัญสองแห่งในช่วงระยะเวลาไม่ห่างกันถือเป็นเรื่องน่าเศร้าที่สะท้อนให้เห็นบรรยากาศสื่อในปัจจุบันของกัมพูชา รวมถึงชื่นชมสื่อพนมเฟญโพสต์ตั้งแต่ในอดีตว่าเคยเป็นสื่อที่ดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงที่กัมพูชายังเป็นรัฐล้มเหลว แต่มีความกล้าหาญและไม่เอนเอียง นักข่าวทำงานด้วยใจจริง ถือว่ามีส่วนสร้างสังคมกัมพูชาอย่างมหาศาล

เรียบเรียงจาก

Phnom Penh Post sold to Malaysian investor, Phnom Penh Post, 06-05-2018

Phnom Penh Post, Cambodia's last independent newspaper, sold to Malaysian 'covert' spin doctor, ABC News, 07-05-2018

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์สัญจรสุรินทร์-บุรีรัมย์ เนวินนำเชียร์ "ลุงตู่สู้ๆ" ปัดไม่มีวาระการเมือง

Posted: 07 May 2018 08:37 AM PDT

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่สุรินทร์-บุรีรัมย์ ท่ามกลางกระแสข่าวดูดนักการเมือง "เนวิน ชิดชอบ" เปิดสนามช้าง อารีน่าเชียร์ "ลุงตู่สู้ๆ" แต่ปฏิเสธไม่มีวาระการเมือง ส่วนอนุทินบอกคนมาเยอะเพราะบุรีรัมย์ต้องไม่ธรรมดา ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ อยากผลักดันบุรีรัมย์เป็นเมืองกีฬา มีมหาวิทยาลัยการกีฬาและศูนย์การแพทย์

คลิปประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงพื้นที่ช่องจอม จ.สุรินทร์ และสนามช้าง อารีน่า จ.บุรีรัมย์ (ที่มา: NBT/ทำเนียบรัฐบาล)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พบปะประชาชนที่สนามช้าง อารีน่า จ.บุรีรัมย์ (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

จากซ้ายไปขวา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, สมคิด จาตุศรีพิทักษ์, เนวิน ชิดชอบ และอนุทิน ชาญวีรกูล

เนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย และ พล.อ.ประยุทธ์ ตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมการแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก สนามที่ 15 รายการ PTT Thailand Grand Prix ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต หรือ บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต  (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

7 พ.ค. 2561 ภารกิจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ในการตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรระหว่าง 7-8 พ.ค. ที่ จ.สุรินทร์ และบุรีรัมย์นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภารกิจช่วงเช้านายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จ.สุรินทร์ เยี่ยมชมหมู่บ้านทอผ้าไหมยกทองโบราณบ้านท่าสว่าง หมู่ 1 ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์

ส่วนไฮไลท์อยู่ที่เวลา 15.30 น. ที่สนามช้าง อารีน่า อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ พบปะประชาชนชาวจังหวัดบุรีรัมย์ ประมาณ 30,000 คน โดยมีนายอนุสรณ์ แก้วกังวาล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารส่วนท้องถิ่นให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ก่อนการพบปะประชาชน นายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรือที่อยู่อาศัยในพื้นที่โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พร้อมมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ตามนโยบายที่ให้ชุมชนร่วมกับภาคภาครัฐบริหารจัดการดูแล เพื่อให้ป่าเกิดความยั่งยืน ให้แก่ ผู้แทนจังหวัดบุรีรัมย์  จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดชัยภูมิ

สำหรับจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นจังหวัดศูนย์กลางการท่องเที่ยวอารยธรรมขอม และกีฬามาตรฐานโลก มีสนามฟุตบอล และสนามแข่งรถที่ได้มาตรฐานโลก ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก (MOTO GP) ติดต่อกัน 3 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2561 - 2563 โดยจังหวัดมีนโยบายส่งเสริมให้เป็นเมืองกีฬา และการท่องเที่ยวเชิงกีฬา รวมถึงส่งเสริมให้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยกีฬาแห่งชาติ เพื่อการเติบโตอย่างมีทิศทางรองรับด้านกีฬา

เมื่อนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางมาถึงสนามช้าง ประชาชนชาวจังหวัดบุรีรัมย์ต่างพากันปรบมือต้อนรับ พร้อมเปล่งเสียงเรียก "ลุงตู่" ดังกึกก้องไปทั่วสนาม โดยนายกรัฐมนตรีได้เดินทักทายประชาชน พร้อมทำมือสัญลักษณ์ I Love You สร้างความประทับใจให้กับชาวบุรีรัมย์ที่มาให้การต้อนรับภายในสนามเป็นอย่างมาก

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวพบปะประชาชนชาวจังหวัดบุรีรัมย์ ตอนหนึ่งความว่า จังหวัดบุรีรัมย์เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม เป็นจังหวัดที่มีความสงบสุข อยู่ร่วมกันด้วยความรักความสามัคคี ไม่มีการทะเลาะ และแบ่งแยกสี เป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชนที่รักใคร่กัน โดยขอให้ช่วยกันรักษาบรรยากาศแบบนี้ตลอดไป

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเมื่อย้อนกลับมาดูรายได้ต่อหัวของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์พบว่าค่อนข้างต่ำ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง ประชาชนต้องเรียนรู้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเฉพาะการทำเกษตรต้องคำนึงถึงหลักการตลาดนำการผลิต มีการปลูกพืชแบบผสมผสาน พร้อมกับใช้เทคโนโลยีมาช่วยเรื่องการตลาด ทำการค้าขายแบบออนไลน์ ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น ทั้งนี้ เมื่อย้อนไปอดีตที่ผ่านมา ถือว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว และทางด้านการกีฬา จึงขอให้ชาวบุรีรัมย์ร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองให้น่าอยู่ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพที่ดีในการต้อนรับแขกต่างบ้าน และชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาจังหวัดบุรีรัมย์ในโอกาสต่าง ๆ พร้อมกับหวังยกระดับพัฒนาให้จังหวัดบุรีรัมย์เป็นเมืองกีฬาหรือสปอร์ตซิตี้ และจัดตั้งมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ รวมถึงการสร้างศูนย์ทางการแพทย์

ในส่วนของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน และประเทศชาติให้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยต้องสร้างความเข้มแข็งภายในให้กับคนในพื้นที่ก่อน จึงค่อยพัฒนาเชื่อมโยงไปสู่ภูมิภาค และประเทศต่อไป

ตอนหนึ่งในระหว่างต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้ท่านผูกเสี่ยวผมมาถึงคอแล้ว ถือว่าเป็นเพื่อนและครอบครัวเดียวกัน นอกจากนี้พูดด้วยว่า "บ้านเมืองจะอยู่ได้เพราะคนไทยทั้งประเทศ ใครจะอยู่ต่างประเทศก็ให้อยู่ไป

อนึ่งรายงานในข่าวสดออนไลน์ ระบุว่า เนวิน ชิดชอบ ปฏิเสธตอบคำถามสื่อมวลชนเรื่องการเมือง ระบุว่า " วันนี้ไม่มีวาระเรื่องการเมือง มีแต่วาระประชาชน" ส่วนอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่าคนมาเยอะไม่ได้เป็นการเกณฑ์ แต่เป็นการประชาสัมพันธ์ ที่มาเยอะเพราะ จ.บุรีรัมย์ ต้องไม่ธรรมดา คณะรัฐมนตรีเดินทางมาถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องให้การต้อนรับ และไม่ว่าจะเป็นใครมาก็ต้องต้อนรับตามความเหมาะสม ส่วนตัวเขามาร่วมวันนี้ไม่มีเรื่องการเมือง แต่มาอำนวยความสะดวกในฐานะคนที่อยู่ในพื้นที่นี้ และยังไม่ได้พูดคุยหรือพบเจอใครทั้งสิ้น แม้แต่นายกฯ

เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานด้วยว่า จากนั้นเวลา 16.20 น. พล.อ.ประยุทธ์ ตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยซึ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก สนามที่ 15 รายการ PTT Thailand Grand Prix ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต หรือ บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต โดยมีนายอนุสรณ์ แก้วกังวาล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด นายตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ กรรมการผู้อำนวยการสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ให้การต้อนรับ และนำเสนอการเตรียมพร้อมของจังหวัดบุรีรัมย์ในทุกด้าน โดยได้เยี่ยมชมห้องควบคุมการแข่งขัน หรือเรซคอนโทรลที่ทันสมัยที่สุดในโลก รวมถึงส่วนต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อการจัดการแข่งขัน

พล.อ.ประยุทธ์ แสดงความพึงพอใจในศักยภาพและการเตรียมความพร้อมที่มีมาตรฐาน ซึ่งจะเป็นการสร้างชื่อเสียงและเม็ดเงินเข้าประเทศ นอกจากนี้ ยังช่วยกระจายรายได้ให้ประชาชน จากการนำนักท่องเที่ยวมาสู่ประเทศไทย และยังเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้คนทั่วโลกได้เห็นศักยภาพและความพร้อมในการเป็นเมืองท่องเที่ยวด้านกีฬาอีกด้วย

อนึ่งเนวิน ได้มอบหมวกกันน็อกลายไทยให้กับ พล.อ. ประยุทธ์ ด้วย โดยอวยพรว่า "ขอให้ท่านนายกฯ ปลอดภัยจากสื่อและนักการเมือง สำหรับหมวกของผมไม่แข็งแรงเท่านี้เพราะไม่ต้องไปยุ่งกับสื่อและนักการเมือง"

นอกจากนี้่ช่วงเย็น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ไปเยี่ยมชมถนนคนเดินเซาะกราว เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ (Sroew Ground Walking Street) ถนนสายวัฒนธรรมที่ได้รับรางวัลการบริหารจัดการชุมชนและสิ่งแวดล้อมด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย แห่โลงศพเข้าป่าช้าเผาสาปแช่งกระบวนการ EIA ไม่เป็นธรรม

Posted: 07 May 2018 05:43 AM PDT

กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย วิพากษ์กฎหมายสิ่งแวดล้อมร่างมาดีแต่ปฎิบัติจริงไม่เป็นไปตามที่คิด กระบวนการเห็นชอบ EIA ไร้ความน่าเชื่อถือ พร้อมแห่โลงศพเข้าป้าเผาแชง EIA ไม่เป็นธรรม เรื่องร้อง สผ. ทบทวนมติเห็นชอบการก่อสร้างโรงงานน้ำตาล และโรงไฟฟ้าชีวมวล

7 พ.ค. 2561เวลา 10.00 น. กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ต.เชียงเพ็ง กว่า 100 คน  ร่วมกิจกรรมฌาปนกิจไล่สิ่งชั่วร้ายออกจากพื้นที่ โดยมีการสร้างโลงศพจำลอง 2 โรงในพื้นที่ป่าช้า บ้านเชียงเพ็ง หลังมีมติเห็นชอบรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโรงงานน้ำตาล โรงไฟฟ้าชีวมวล และเสนอให้ สผ. ยกเลิกมติเห็นชอบดังกล่าว

นวพร เนินทราย เลขานุการกลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย กล่าวว่า สถานการณ์การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันของสังคมไทยนับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการที่รัฐเปิดช่องทางให้ทุนได้มีแผนงาน มีโครงการขนาดใหญ่  ผ่านกลไกทางกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้กับการจะเกิดโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งไม่คำนึงถึงชุมชน แหล่งน้ำลำเซบาย และวิถีชีวิตของชาวบ้าน ย่อมถือว่าเป็นการไม่เคารพสิทธิชุมชนในการปกป้องทรัพยากรเป็นอย่างมาก

นพพร ระยุด้วยว่า นับตั้งแต่มีการประกาศใช้บังคับพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ซึ่งมีเจตนารมณ์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและองค์การพัฒนาเอกชนในการรักษาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ณ ขณะนั้นถือว่าเป็น พรบ. สิ่งแวดล้อมที่ก้าวหน้ามาก เพราะว่าเป็นพระราชบัญญัติแรกๆ ที่พูดถึงเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน พูดเรื่องสิทธิ หน้าที่ พูดเรื่องการช่วยเหลือทางกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม และก็พูดถึงกองทุนสิ่งแวดล้อมที่จะมาสนับสนุนกิจกรรมของภาคประชาชน รวมทั้งกิจกรรมเชิงนวัตกรรมที่เป็นการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาชาวบ้านก็เรียกร้องให้เกิดการศึกษาผลกระทบของสิ่งแวดล้อมแทบจะทุกโครงการ มีบางโครงการที่ไม่เข้าเงื่อนไขเราก็เรียกร้องให้ทำ โดยองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมกับภาคประชาชนเรียกร้องว่าให้ทำ ช่วงนั้นเสมือนกับว่ามีความหวังมากกับรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม  

แต่พอมาถึงสถานการณ์ปัจจุบัน  พรบ.ด้านสิ่งแวดล้อมกลับไม่ได้เป็นดังที่หลายคนได้คิดและคาดหวัง กลับเปิดช่องให้มีโครงการพัฒนาต่างๆ เข้ามาในพื้นที่อย่างรวดเร็ว ผ่านกระบวนการและขั้นตอนซึ่งเรารู้จักกันในการทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือที่เรารู้จักกันคือ  EIA ซึ่งส่วนใหญ่แล้วในหลายๆ โครงการจะจ้างบริษัทที่ปรึกษาที่ขึ้นทะเบียนให้ทำ EIA   ในหลายประเด็นได้เกิดข้อขัดแย้งกับข้อมูลความเป็นจริงในระดับพื้นที่ ฉะนั้นจึงสะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของ พรบ.สิ่งแวดล้อม และกระบวนการทำ EIA ที่ไม่ใช่การล้มเหลวแบบธรรมดาแต่เป็นการล้มละลายทางความน่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะที่ผ่านมากลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ได้ติดตามกระบวนการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ของโรงงานน้ำตาล และโรงไฟฟ้าชีวมวล ที่จะเกิดขึ้นใกล้กับชุมชน ใกล้กับลำน้ำเซบาย กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบายก็ได้คัดค้านมาตั้งแต่เริ่มต้น กระบวนการคัดค้านที่ผ่านมาเราใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงของพื้นที่ในการค้านที่มีความชอบธรรม โดยเฉพาะในประเด็นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนผู้มีส่วนได้เสียในระดับพื้นที่ การแย่งชิงทรัพยากรน้ำจากลำเซบาย การที่โรงงานตั้งใกล้ชุมชน เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่ คชก. จะต้องนำไปพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพราะเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญก่อนที่จะตัดสินใจเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ

นพพร  กล่าวต่อว่า กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ได้ติดตามกระบวนการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของทั้ง 2 โครงการเบื้องต้น พบว่าเสมือนเป็นการจัดทำแบบพิธีกรรม ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ได้ใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงในระดับพื้นที่เพื่อคัดค้านไม่ให้มีโครงการ กระบวนการของ พรบ. สิ่งแวดล้อม คชก. และ EIA ยิ่งสร้างความไม่นาเชื่อถือต่อชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งเป็นเรื่องเศร้า แทนที่ พรบ. สิ่งแวดล้อม คชก. และ EIA จะคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเพื่อการใช้ประโยชน์ที่ให้เกิดความยั่งยืน กลับจะมาซ้ำเติมทำลายทั้งทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน

ด้านมะลิจิตร เอกตาแสง กล่าวว่า ถึงแม้ว่าโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล จะมีมติเห็นชอบ จาก คชก. แต่กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรมในรัศมี 5 กิโลเมตรและชุมชนที่อาศัยทรัพยากรน้ำจากลำเซบาย ก็ยังไม่เชื่อถือและไม่ยอมรับในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และทุกคนไม่เคยหวั่นไหวต่อกระบวนการที่ไม่เป็นธรรมกลับยิ่งทำให้พี่น้องตื่นตัวคัดค้านเพิ่มมากขึ้น มีแนวทางในการต่อสู้ที่ชัดเจนพร้อมตั้งข้อสังเกตในประเด็น การมีส่วนร่วมตั้งเริ่มกระบวนการมีส่วนร่วมที่จะต้องมีก่อนระหว่างการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นทั้งครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ประเด็นการจัดการน้ำในลำน้ำเซบาย ประเด็นความไม่เหมาะสมในพื้นที่ซึ่งจะมีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องศึกษาให้ละเอียดและรอบคอบ ความไม่น่าเชื่อถือของ พรบ.สิ่งแวดล้อม และกระบวนการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทางกลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบายจึงไม่ยอมรับและจะยืนหยัดคัดค้านโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวลต่อไป

ดังนั้นกลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบายจึงมีข้อเสนอเพื่อเป็นมาตรฐานในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้

1.ให้ สผ. ทบทวนยกเลิก มติเห็นชอบ รายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโรงงานน้ำตาล โรงไฟฟ้าชีวมวล เพื่อมาเริ่มกระบวนการใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น

2.ให้มีการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment - SEA ) ที่เป็นการประเมินศักยภาพและข้อจำกัดของสิ่งแวดล้อม ที่จะทำให้เห็นความเหมาะสมของพื้นที่ในการพัฒนา เพื่อให้สอดคล้องกับ SEA หากว่าสอดคล้องจึงค่อยมีการทำ EIA/EHIA หากไม่สอดคล้องต้องไม่ต้องดำเนินการโครงการนั้น

3.ให้มีกระบวนการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดย

- ผู้จัดทำรายงานต้องเป็นหน่วยงานกลางที่มีการยอมรับร่วมกัน
- ความสัมพันธ์ของเจ้าของโครงการและบริษัทผู้จัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมต้องแยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง

- มีการจัดทำรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นโดยการมีส่วนร่วม และแสดงถึงผลการพิจารณาข้อคิดเห็นของประชาชนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย

- กำหนดขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นให้เป็นไปโดยชอบธรรมโดยมีคณะกรรมการตรวจสอบควบคุมดูแลในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นโดยเฉพาะ

- กำหนดให้ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้ได้รับผลกระทบสามารถเข้าถึงขั้นตอนการทำรายงานฯ ได้ตลอดทั้งในระยะก่อนเริ่มดำเนินการ ระหว่างดำเนินการ และหลังจากดำเนินการ 

ซึ่งในวันนี้ทางกลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ต.เชียงเพ็ง ได้ร่วมกันดำเนินกิจกรรมฌาปณกิจศพเพื่อไล่สิ่งชั่วรายออกจากพื้นที่โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นใกล้พื้นที่ โดยมีชาวบ้านร่วมกิจกรรมอย่างมาก เพราะไม่อยากให้เกิดโรงงานขนาดใหญ่ในพื้นที่

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รู้จักประเวศ ประภานุกูล จากทนายสู่จำเลย สู้คดี 112 พลีชีพในความเงียบ

Posted: 07 May 2018 12:40 AM PDT

"ผมบอกเขา (ดารณี) ตรงๆ ว่าผมไม่ชอบทักษิณ และตอนที่คุยกันก็เถียงกันคุกแทบแตก เขาเน้นว่ามันเป็นเรื่องของระบอบประชาธิปไตย เหมือนทัศนะของเขานั้นการเลือกตั้งสำคัญที่สุด แต่ในทัศนะผม การเลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตยเสมอไป มันเป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่ง"

"ระหว่างเสื้อแดงกับเสื้อเหลือง ผมก็ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ เพราะผมไม่ชอบทักษิณ พูดง่ายๆ คือ อยู่ในกลุ่มต่อต้านและขับไล่ทักษิณตั้งแต่ก่อนปฏิวัติ แล้วถ้าถามความรู้สึกช่วงหลังปฏิวัติรัฐประหาร (2549) ผมรู้สึกโล่งด้วยซ้ำไปว่าเรื่องนี้จะได้จบ ทั้งที่จริงๆ แล้วมองกลับไปตอนนี้ มันอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องก็ได้ มันทำให้พัฒนาการทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตยสะดุด"

คำให้สัมภาษณ์ของ ประเวศ ประภานุกูล เมื่อปี 2552 เมื่อครั้งเป็นทนายความให้ ดา ตอร์ปิโด หรือ ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล คดีนั้นจบด้วยการพิพากษาลงโทษจำคุกดารณี 15 ปี จากการกล่าวปราศรัย 2 ครั้ง

นั่นเป็นร่องรอยสำคัญที่ทำให้เห็นพัฒนาการของความคิดทางการเมืองของทนายวัย 57 ปีซึ่งปัจจุบันกลายเป็นผู้ต้องหาคดี 112 ที่ถูกฟ้องหนักที่สุดถึง 10 กรรม เพราะการโพสต์เฟสบุ๊คในปี 2560 ว่า ตนเองชื่นชอบในระบอบสาธารณรัฐหรือสมาพันธรัฐ และยืนยันให้หลายๆ คนพูดเรื่องนี้เพราะไม่ผิดกฎหมายอาญามาตรา 112

นอกจากนี้เขายังต่อสู้แบบที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนด้วยการไม่ยอมรับอำนาจศาล ไม่แต่งตั้งทนาย ไม่เซ็นเอกสารใด ไม่ยื่นบัญชีพยานจำเลย ไม่ซักค้านพยานโจทก์ ด้วยเหตุผลสรุปสั้นๆ ว่า เขาไม่เชื่อว่าในคดี 112 สถาบันตุลาการของไทยมีความเป็นกลางเพียงพอที่จะพิพากษาคดีได้ นั่นทำให้เขาโยนโอกาสในการแก้ต่างหรือหักล้างหรือซักค้านพยานโจทก์ทิ้งทั้งหมด ในทางกฎหมายแล้วทั้งอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายอาญาหรือทนายความคนอื่นๆ ต่างยืนยันตรงกันว่า กระบวนการสามารถดำเนินต่อไปได้แม้จะเป็นการสืบพยานโจทย์ฝ่ายเดียว เพราะศาลย่อมถือว่าให้โอกาสจำเลยแล้วแต่จำเลยปฏิเสธ เพียงแต่กระบวนการสืบพยานต้องทำต่อหน้าจำเลย

ประเวศออกแถลงการณ์ 2 ฉบับแรกอธิบายถึงเหตุผลที่ไม่ยอมรับอำนาจของศาลไทยอย่างค่อนข้างละเอียด มีเพียงวารสารฟ้าเดียวกัน ปีที่ 15 ฉบับ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2560 เท่านั้นที่ตีพิมพ์แถลงการณ์ฉบับเต็มของเขาทั้งสองชิ้นนี้ซึ่งมีถ้อยคำวิพากษ์วิจารณ์ศาลอย่างรุนแรง อันที่จริงเขาออกแถลงการณ์ทั้งสิ้น 7 ฉบับ แต่ฉบับที่ 5-7 นั้นไม่มีใครได้รับแม้เขายืนยันว่าส่งออกมาแล้ว ส่วนที่เหลือถูกเผยแพร่ในเพจ Free Prawet Prapanukul


แฟ้มภาพ

หากจะเท้าความการจับกุมประเวศ ต้องเชื่อมโยงไปกับเรื่อง "หมุดหาย" ตั้งแต่ปีที่แล้ว

14 เม.ย.60 มีรายงานข่าวว่าหมุดคณะราษฎรบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าหายไป แล้วถูกแทนที่ด้วยหมุดใหม่ที่มีข้อความใหม่ ไม่มีใครทราบว่ามันหายไปนานแค่ไหนแต่เป็นข่าวดังในช่วงนั้น จากนั้น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้โพสต์วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ในเฟสบุ๊คของเขา มีผู้แชร์เป็นจำนวนมาก

29 เม.ย.60 ทหารบุกคุมตัวประเวศ และคนอื่นๆ หลากหลายอาชีพที่บ้านของพวกเขาอีก 5 คน รวมเป็น 6 คนในวันเดียวกันแล้วนำไปควบคุมตัวที่ค่ายทหาร มทบ.11 ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ติดต่อทางบ้าน มิตรสหายของประเวศเริ่มต้นตามหาประเวศและเริ่มมีข่าวว่าคนนั้นคนนี้หายไป ต่อมาวันที่ 1 พ.ค.หลังประเวศประท้วงโดยการอดข้าว 1 วัน เขาก็ได้รับอนุญาตให้ติดต่อเพื่อน โลกจึงได้รู้ว่าพวกเขาอยู่ไหน แต่ก็ไม่มีใครเข้าเยี่ยมได้

3 และ 4 พ.ค.60 ทหารทยอยนำตัวทั้งหมดให้ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาและยื่นคำร้องฝากขังต่อศาล ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ประกันตัวรวมถึงประเวศ ผู้ต้องหา 5 คนถูกแจ้งข้อหาตามมาตรา 112 จากการแชร์สเตตัสของสมศักดิ์ เจียมฯ ที่วิจารณ์เรื่องหมุด พวกเขาถูกคุมขังอยู่หลายผัดในเรือนจำ แต่ท้ายที่สุดก็ได้รับการปล่อยตัวและไม่มีการสั่งฟ้อง ขณะที่กรณีประเวศไม่เป็นเช่นนั้น เขาถูกแยกฟ้องในข้อหาหนักมาก ทั้งหมดมาจากการแสดงความคิดเห็นในเฟสบุ๊คส่วนตัวของเขา โดยแบ่งเป็น

มาตรา 112 หมิ่นประมาทกษัตริย์ จำนวน 10 กรรม
มาตรา 116 ยุยงปลุกปั่น จำนวน 3 กรรม
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(3)

สื่อต่างประเทศหลายสำนักพาดหัวว่าทนายความสิทธิฯ เผชิญกับข้อหาที่อาจถูกจำคุกถึง 150 ปี อันเป็นการคำนวณจากโทษสูงสุดของมาตรานี้ นั่นคือ 15 ปีคูณด้วย 10 กรรม แต่ในความเป็นจริงแม้ศาลลงโทษสูงสุดดังนั้น กฎหมายอาญามาตรา 91 ก็ระบุให้จำคุกโทษฐานนี้ได้สูงสุด 50 ปี

กลางเดือนกันยายน 2560 เมื่อศาลนัดพร้อมตรวจพยานหลักฐาน ประเวศตัดสินใจถอนทนายความของเขาทั้ง 3 คนและประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาล เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการในห้องพิจารณาคดี อัยการลงไปที่ศูนย์นัดความเพื่อกำหนดวันสืบพยานโจทก์เพียงฝ่ายเดียว พวกเขาเปิดสมุดจดงาน แล้วนัดสืบพยานห่างออกไป 8 เดือน นั่นคือ 8-11 พ.ค.2561

คราวนั้น ในการตัดสินใจพลีชีพเพื่อให้โลกเห็นปัญหาความอัปลักษณ์ของการใช้กฎหมายนี้ ปรากฏว่ามีคนอยู่ร่วมสังเกตการณ์คดีในห้องรวมๆ แล้วน่าจะไม่เกิน 10 คน และต่อมาสื่อไทยก็พาดหัวข่าวว่า

ทนายหมิ่นเบื้องสูงหัวแข็ง แถลงรัวไม่รับระบบศาลไทย  (เดลินิวส์)
ทนายแดงหมิ่นเบื้องสูงหัวแข็ง ไม่รับระบบศาลไทย/นัดสืบพยาน8พ.ค.ปีหน้า (แนวหน้า)
ทนายเสื้อแดงจำเลย ม.112 อวดดีเปล่งวาจากลางศาลไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมไทย (MRG Online)
ราคาที่"ลิเบอร่าน"ต้องจ่าย! แฉลึกขัง"ประเวศ" ทนายแดงต้าน112 เหตุ10วันโพสต์หมิ่น10 ครั้ง ที่แท้ก๊วนเดียวกับแดงหมิ่นสุดแสบ"ดา ตอร์ปิโด-อ.หวาน" (ทีนิวส์)

กฤษฎางค์ นุตจรัส เป็นทนายความอาวุโสรุ่นพี่และรู้จักกับประเวศมานานพอสมควร เขาเป็นทนายที่ถูกถอนในคดีประเวศด้วย เมื่อถามว่าเขาเห็นด้วยกับแนวทางการต่อสู้เช่นนี้ของประเวศหรือไม่ เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า

"ผมเห็นด้วยเพราะว่าเป็นประเวศ...มันเหมาะสมกับชีวิตของเขา การตัดสินใจของเขาทำให้เขาไม่ทุกข์ไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ เขาตั้งใจจะทำงานที่จริงจัง เขาเป็นคนจริงจัง เราจะเอาอะไรเป็นตัวชี้วัด ถ้าจะเอาการชนะคดี มันก็ผิด คุณไม่สามารถชนะคดีด้วยวิธีแบบนี้ ถ้าจะเอาติดคุกสั้น ก็ไม่ได้อีก ใช้วิธีนี้ไม่ได้อภัย แต่ถ้าตัวชี้วัดเป็นเรื่องความภูมิใจหรือพอใจของตัวเขา มันก็ถือว่าสำเร็จ"

"ต้องยอมรับว่าคดีนี้ในทางกฎหมายเป็นคดีที่คุณไม่มีวันชนะ คือยกฟ้อง หรือพิสูจน์ตัวเองว่าคุณเป็นผู้ถูกต้องตามกฎหมายอาญาปัจจุบัน ไม่มีทางเลย ดังนั้น ผมเลยตอบว่าผมเห็นด้วย เมื่อเทียบเคียงกับสิ่งที่ประเวศเป็น ผมว่าเขามีความสุขที่เขาตัดสินใจแบบนั้น"

จนถึงวันนี้ประเวศถูกคุมขังมา 1 ปีเต็มแล้ว และกำลังจะขึ้นศาลสืบพยาน (โจทก์) นัดแรกในวันพรุ่งนี้ (8 พ.ค.2561) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เวลา 9.00 น.

และจนถึงวันนี้เขายังคงยืนยันคำเดิม

ว่ากันตามจริง เรื่องราวของเขาไม่ได้รับความสนใจมากนัก อานนท์ ชวาลาวัลย์ จากไอลอว์ วิเคราะห์ว่าอาจเป็นเพราะสถานการณ์ในยุคทหารที่มีการปิดกั้น คุกคาม ผู้คนอย่างทั่วถึงและยาวนานทำให้เกิดบรรยากาศของความกลัวที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ประกอบกับประเวศเองไม่ใช่ผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีชื่อเสียง ไม่สังกัดกลุ่มก้อนใด ทำให้เมื่อถูกจำคุกก็ไม่มีใครคอยเคลื่อนไหวรณรงค์ต่อเนื่อง ที่สำคัญ ประเด็นของเขานั้นสื่อสารรณรงค์ค่อนข้างยาก

หากตีความประโยคสุดท้ายที่อานนท์พูด และลองติดตามดูเฟสบุ๊คของทนายประเวศ เราจะพบว่า นอกจากจะพูดเรื่องระบอบการปกครอง (อื่น) อย่างตรงไปตรงมา เขาไม่ได้มีลักษณะปัญญาชนจ๋าที่แสดงความเห็นอย่างสุภาพเรียบร้อย แจกแจงสิ่งต่างๆ อย่างเป็นระบบ หากเป็นการพูดจาตั้งคำถามไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมหลายต่อหลายครั้ง บางครั้งก็มีมุขคำหยาบคาย หลายครั้งก็ตอบโต้ผู้คนต่างๆ ที่เห็นแย้งเขาอย่างรุนแรงโดยเฉพาะฝ่ายเดียวกัน เขาตั้งคำถามแม้แต่กับสันติวิธีว่าได้ผลจริงหรือไม่หากคู่ขัดแย้งใช้ปืน หรือกระทั่งมีการโพสต์รูปลูกสาวประยุทธ์ จันทร์โอชา "เผื่อใครจะไปเยี่ยม" เพื่อตอบโต้กับกรณีที่ทหารไปคุกคามครอบครัวของแอนดรูว์ แมกกอร์เกอร์ มาร์แชล, สมศักดิ์ และคนอื่นๆ "ทำไมเราจะตอบโต้ในระดับเดียวกันไม่ได้"

"เขาเป็นคนแข็ง โผงผาง ขาดลักษณะแนวร่วม เขาจะสู้ในสิ่งที่เขาคิดว่ามันถูก ผมโดนเค้าต่อว่าบ่อย รุ่นพี่ที่เขาเกรงใจก็ยังโดนเขาตอกกลับเวลาไปเตือนเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาโพสต์หรือแสดงความเห็นในเวทีต่างๆ  ... ถ้ารู้จักเขาจริงๆ จะรักเขา แต่ถ้าไม่รู้จักจะเกลียดเขา เพราะปากเขาไม่ดี...เขารักความเป็นธรรมแต่มาร่วมต่อสู้กับขบวนการไม่นาน อาจเข้าใจคนอื่นน้อยหน่อย แต่พออยู่ในนั้น (เรือนจำ) ก็เข้าใจคนอื่นมากขึ้น ทำให้เขาเย็นลง"

นั่นคือลักษณะของประเวศในสายตาของทนายความรุ่นพี่

ประเวศ เติบโตในครอบครัวคนจีน อาศัยอยู่ย่านพระโขนง เข้าเรียนนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ปี 2522 รุ่นเดียวกับสุรพล นิติไกรพจน์ แต่เขาไปทำอาชีพอื่นก่อนจะมาทำอาชีพทนายในปี 2534 การชอบช่วยเหลือคนยากไร้และรักความเป็นธรรมของเขาอาจเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2540 เมื่อประเวศเป็นทนายให้จำเลยรวมแล้ว 40-50 คนต่อสู้กับสถาบันการเงินที่เก็บดอกเบี้ยแพงถึง 28% อย่างกัดไม่ปล่อย แม้ท้ายที่สุดจะลงเอยด้วยการที่ศาลปกครองไม่รับพิจารณาเรื่องที่เขายื่นตรวจสอบกฎระเบียบของแบงก์ชาติที่คิดว่าไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ยังช่วยเหลือคดีของพวกลูกหนี้บัตรเครดิตอีกเป็นจำนวนมาก

"ถึงตอนนี้ (อยู่ในเรือนจำ) คดีบัตรเครดิตยังมีคนตามมาให้ช่วยเลย ผมเพิ่งเขียนคำให้การส่งออกไปให้เขา" ประเวศกล่าวยิ้มๆ หลังลูกกรง

"สิบสี่ตุลา หกตุลา พฤษภาทมิฬ ผมก็แค่ติดตาม ไม่ได้เข้าร่วมอะไร ตอนเหลืองแดงผมก็เฉยๆ เอาจริงๆ ไม่ได้สนใจการเมืองนัก จนกระทั่งมาเจอเองในคดีของดา (ดารณี) หลังจากนั้นก็เริ่มเล่นอินเทอร์เน็ตและได้อ่านบทความของ อาคม ซิดนีย์ ที่ทำให้ตาสว่าง"

นั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญของเขา จากที่เคยเป็นหัวเรือช่วยเหลือผู้เดือดร้อนในคดีปากท้อง เขาก็เริ่มเข้ามาช่วยคดีชาวบ้านที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ทนายรุ่นพี่ของประเวศบอกว่าหลังการปราบคนเสื้อแดงในปี 2553 เขาได้เข้าไปช่วยเหลือคดีชาวบ้านแถวภาคอีสานที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมหลายคดี คดีบุกรุกที่ดินรัฐของผู้ยากไร้ ฯลฯ รวมถึงกรณีที่สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ด้านประวัติศาสตร์คนสำคัญของไทยที่ล่วงลับไปไม่นานนี้ ได้ยื่นฟ้องพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ฯลฯ ในข้อหาหมิ่นประมาทกรณีแจก "ผังล้มเจ้า" จนในที่สุด เสธ.ไก่อูยอมรับว่าผังนั้นไม่มีมูลความจริง จึงมีการถอนฟ้อง

แม้ประเวศจะเป็นคน "ไม่น่ารัก" ในสายตาคนจำนวนมาก แต่เพื่อนรุ่นน้องผู้ใกล้ชิดประเวศยืนยันว่าเคารพนับถือเขาในแง่ของความจริงใจ ตรงไปตรงมา และสู้หัวชนฝากับสิ่งที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง เธอเป็นผู้เปิดเพจ Free Prawet Prapanukul ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมข่าวสารของประเวศตามสื่อหรือองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ รายงานความเป็นไปหลังจากเข้าเยี่ยมประเวศ เผยแพร่แถลงการณ์ของเขา รวมถึงเปิดให้ผู้คนที่เคยสัมพันธ์กับประเวศได้เขียนเล่าแง่มุมต่างๆ โดยใช้โคดเนม "ญาติหมายเลข…."

เธอเล่าว่า รู้จักประเวศมาตั้งแต่ปี 2554 ผ่านเรื่องราวทางการเมือง จากนั้นชักชวนกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมอื่นๆ อีก เช่น ช่วยเหลือประชาชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ฯลฯ ก่อนประเวศถูกทหารบุกจับไม่กี่วัน เธอสังหรณ์ใจและได้นัดกินข้าวกับเขาเพื่อตักเตือนเรื่องการแสดงความคิดเห็น แน่นอนว่าเขาไม่ฟังแต่ก็ไม่ตอบโต้เธอรุนแรงดังเช่นคนอื่น หลังประเวศถูกจับกุมและคุมขังในเรือนจำ นอกเหนือจากน้องชายของเขาแล้ว เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่ไปเยี่ยมประจำสม่ำเสมอ และตัดสินใจเปิดเพจเพื่อสื่อสารเรื่องประเวศสู่สังคมภายนอก ปัจจุบันมีสมาชิกติดตามอยู่ราว 500 คน

"ช่วงแรกๆ พยายามเปิดแอคเคาน์ Facebook จากในไทย ปรากฎว่าสมัครทั้งเมลล์ใหม่และเฟสใหม่ทั้งหมด 5 ครั้ง เพราะพอเริ่มต้นโพสต์ปุ๊บ วันต่อมาเพจก็จะหายหรือเข้าไม่ได้ทันที ไม่รู้ทำไม เลยต้องรบกวนมิตรสหายที่อยู่ต่างประเทศช่วยตั้งให้ ปรากฎว่าใช้ได้มาจนถึงตอนนี้ อันนี้เราก็ไม่เข้าใจจริงๆ ทั้งๆ ที่ชื่อเพจก็ตั้งเหมือนกัน"

อุปสรรคสำหรับเพื่อนมิตรประเวศมีมากมายหลายขั้นตอน เธอเล่าว่าบางทีแม้แต่การไปเยี่ยมที่เรือนจำ เขาก็มักไม่ออกมา หรือออกมาช้ากว่าปกติ ทำให้เธอต้องรอนานกว่าชาวบ้านชาวช่อง

"แกเป็นคนใจดี เที่ยวไปเป็นธุระให้นักโทษคนอื่นเรื่อย พวกเข้าคุกญาติไม่รู้เรื่องก็เอาเบอร์โทรศัพท์ญาติเขามาบอกให้เราติดต่อให้ ทุกครั้งที่เราไปเยี่ยมก็เพียรพยายามนึกถึงเพื่อนนักโทษที่ไม่มีญาติมาเยี่ยม เวลาถามว่าอยากได้อะไร ก็ไม่ค่อยจะนึกถึงตัวเอง แต่กลับฝากให้เราช่วยซื้อของที่จะเป็นประโยชน์กับนักโทษคนอื่น ล่าสุดนี่ก็รองเท้าแตะ ADDA ไปคิดไซส์ให้เค้าเสร็จสรรพ"

สำหรับประเวศเอง เขาดูนิ่งขึ้นกว่าตอนที่อยู่ข้างนอกจริงๆ เขาบอกว่าโชคดีที่เขาฝึกสมาธิมาบ้างตั้งแต่ปี 2546 ทำให้เขาอยู่กับลมหายใจ อยู่กับปัจจุบันขณะได้ ไม่ฟุ้งซ่าน กระนั้นก็เขายังไปโต้เถียงกับเพื่อนนักโทษที่ชอบสวดมนต์อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ "นั่นมันผี ไม่ใช่พุทธ" เรื่องทางกายภาพเขาก็ปรับตัวได้มาก หลังจากสามสี่วันแรกเขานอนไม่หลับแม้แต่น้อยและอากาศร้อนจนต้องเอาตัวไปชุบน้ำนอนกับพื้นปูน "พอนอนหลับได้ ปัญหาทุกอย่างก็ทุเลา"

"ในนี้หนังสือภาษาไทยมีแต่บทสวดเสียมาก ส่วนหนังสือภาษาอังกฤษมีดีๆ เยอะแต่เราก็อ่านไม่คล่อง ดาวินชี โคด ก็มี ตอนนี้กำลังอ่านนิยายของอกาธา คริสตี้ จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว พอดีมีเพื่อนช่วยส่งดิกชันนารีเข้ามาวันก่อน เห่อมาก เพราะอยากอ่านเล่มนี้มาก" ประเวศกล่าว

เมื่อถามว่าเขารู้สึกโดดเดี่ยวหรือไม่ เมื่อคำนวณแล้วว่ามีคนมาเยี่ยมเขาประจำอยู่ 2 คน ขณะที่ข่าวคราวของเขาก็แผ่วเบาลงเรื่อยๆ เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า "ไม่โดดเดี่ยวหรอก แต่บางทีก็รู้สึกอ้างว้างบ้าง" เขาเล่าว่าเขาได้กำลังใจจากคนนอกที่เขียนจดหมายมาหาเขา ซึ่งมีอยู่ 2 ฉบับ ที่ตลกคือ เขาท่องเนื้อหาในจดหมายฉบับหนึ่งให้ฟังทุกถ้อยคำเหมือนท่องอาขยาน เพราะเขาอ่านมันบ่อยจนจำมันได้ขึ้นใจ

"....ขอส่งจดหมายนี้มาให้กำลังใจทนายประเวศ ไม่เคยเห็นใครไม่ยอมจำนนต่ออำนาจไปจนสุดทางของหลักการและชีวิต...." จดหมายนั้นมาจากคนชื่อ อ.

คนที่ใกล้ชิดเขาไม่มีใครถามเรื่องการตัดสินใจของเขา แต่คนที่ห่างออกไปมักถามเสมอว่าจะเอาแบบนี้จริงหรือ "คุณเคยเห็นหมาจนตรอกที่มันไม่สู้ไหมล่ะ"

เขาอธิบายว่าสิ่งที่เขากระทำนั้นเป็นไปเพราะไม่มีทางเลือก ไม่เห็นอนาคต หากสู้คดีก็จำคุกอาจจะ 25 ปี หากไม่สู้รับสารภาพก็จำคุกลดลงครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตายในคุกอยู่ดี

"มันเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือก และการสู้แบบนี้เรายังไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร"

"ที่สู้แบบนี้มันไม่ใช่แค่เพียงคดีผม มันคือ 112 ทุกคดี เพราะศาลไม่เป็นกลางในกรณีนี้ ไม่มีสิทธิตัดสินคดี 112 ได้ ดังนั้น แม้แต่คดีที่พิพากษาไปแล้วก็ต้องโมฆะทุกคดี"

ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งอันยาวนาน การใช้มาตรา 112 อย่างหนักหน่วง การเซ็นเซอร์ตัวเองที่แผ่ขยายทั้งกว้างและลึก ทั้งหมดนี้อาจทำลายสำนึกรู้ของเรา จนบางทีเราก็เริ่มงุนงงว่า อะไรล้ำเส้นเป็นความบ้า อะไรคือสิ่งปกติที่ควรเป็น  

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'วัน อยู่บำรุง' โพสต์ภาพคู่ 'ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์' ลั่นรักประชาธิปไตย ไม่เอาเผด็จการ

Posted: 06 May 2018 10:37 PM PDT

วัน อยู่บำรุง โพสต์ภาพถ่ายคู่ 'เฉลิม-ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์' ระบุบ้านเมืองต้องการนักการเมืองอาชีพ รักประชาธิปไตย ไม่เอาเผด็จการ

ภาพจากเฟสบุ๊ค วัน อยู่บำรุง

7 พ.ค.2561 จากกรณีที่มีกระแสข่าวจะมีนักการเมืองเดินทางไปพบ ทักษิณ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ สิงคโปร์ จน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกมาระบุว่า ให้ คสช.ติดตามอย่างใกล้ชิด ว่ามีใครไปทำอะไรผิดกฎหมายบ้าง นั้น

ล่าสุดวานนี้ (6 พ.ค.2561) วัน อยู่บำรุง ได้โพสต์ภาพบนเฟสบุ๊ค ซึ่งเป็นภาพตนเองและบิดา ตน คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ส.ส.พรรคเพื่อไทย รวมรับประทานอาหารกับ ทักษิณ และ ยิ่งลักษณ์ พร้อมข้อความ "ผมชอบภาพนี้"

"ขอเป็นกำลังใจให้กับนักการเมืองทุกท่าน การเป็นนักการเมืองนั้นเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจบางท่านอาจจะเคยท้อแต่ไม่เคยถอยรวมทั้งตัวผมด้วย นักการเมืองทุกท่านสู้ๆ นะครับในสถานการณ์บ้านเมืองแบบนี้ต้องการนักการเมืองอาชีพ รักประชาธิปไตย ไม่เอาเผด็จการ" วัน โพสต์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'บก.ลายจุด' จ่ออุทธรณ์คำสั่ง หลังถูก กกต. ปฏิเสธจดชื่อ 'พรรคเกรียน'

Posted: 06 May 2018 09:03 PM PDT

สมบัติ บุญงามอนงค์ เผยเตรียมยื่นอุทธรณ์ กกต. พรุ่งนี้ ย้ำหากไม่สามารถรักษาสิทธิของเราเองได้ จะมีหน้าเป็นตัวแทนของประชาชนในการที่จะไปรักษาสิทธิเสรีภาพของประชาชนเขาได้อย่างไร

7 พ.ค.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ที่สำนักงานศาลปกครอง สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ผู้ก่อตั้งพรรคเกรียน และสมาชิกพรรคเดินทางมาร้องเรียนต่อศาลปกครงให้คุ้มครองสิทธิภายหลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้แก้ไขชื่อพรรคการเมืองให้ถูกต้องและมีความหมายที่เหมาะสมให้แล้วเสร็จและจัดส่งเอกสารให้นายทะเบียนพรรคการเมืองภายใน 15 วัน

ภายหลังจากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ศาลปกครอง สมบัติ ออกมาพร้อมเปิดเผยว่า จากการปรึกษาหารือกันในพรรคจึงตัดสินใจจะยืนหยัดใช้ชื่อนี้ต่อไป โดยวันนี้มาขอให้ศาลปกครองคุ้มครองสิทธิ หลังจากได้คุยกับเจ้าหน้าที่ศาลปกครองแล้ว เขาชี้แจงว่าจริงๆ ทางศาลก็รับเรื่องได้ แต่หากเป็นคำสั่งจากหน่วยงานศาลจะขอให้เราไปอุทธรณ์คำสั่งก่อน โดยจะต้องไปอุทรณ์คำสั่งต่อ กกต.ก่อน ซึ่งพรุ่งนี้ (8 พ.ค.61) ตนจะไปที่ กกต. ตอน 10.00 น.เพื่ออุทธรณ์คำสั่ง 

ผู้ก่อตั้งพรรคเกรียน กล่าวว่า หาก กกต. ยังยืนยัน เราก็จกลับมาที่ศาลปกครองและขอให้ศาลปกครองไต่สวน กกต. เพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่กับการตั้งชื่อพรรคการเมือง และต่อจากนี้จะมาอ้างเรื่องการตั้งช่ื่อพรรคจะก่อให้เกิดปัญหาศีลธรรมอันดีงาม
 
"ผมไม่เคยจินตนาการหรือคิดไปว่าไอ้คำว่าพรรคเกรียนจะก่อให้เกิดผลในเชิงวิธีคิดในลักษณะนี้มาก่อน และผมไม่เชื่อว่าคำว่าพรรคเกรียนนั้นจะก่อให้เกิดความไม่สงบหรือก่อให้เกิดการละเมิดสิ่งเสริมการละเมิดศีลธรรมอันดีงาม"
 
"ประเทศไทยมีปัญหามากกับคำว่าศีลธรรมอันดีงาม หากเราไปดูในต่างประเทศมีชื่อพรรคการเมืองแปลกๆ อย่างพรรคเกรียนเราก็ได้รับอิทธิพลจากพรรคการเมืองหนึ่งในยุโรปและอเมริกา คือ พรรค Pirate Party หรือพรรคโจรสลัด สมติผมตั้งชื่อพรรคโจรสลัดเลยมายื่นขอกับ กกต. ไอ้นั่นหนักว่าเยอะนะ แต่ว่าในต่างประเทศมี 10 กว่าประเทศที่ไอซ์แลนด์ได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้งเลย" สมบัติ กล่าว
 
สมบัติ กล่าวด้วยว่าอยากให้ กกต. ปรับมาตรฐานการกำกับดูแลให้เทียบเท่ากับนานาอารยประเทศที่เป็นเสรีนิยมประชาธิปไตย คิดว่ายังพอมีเวลาในการเตรียมการลงเลือกตั้ง
 
"แม้ว่าเสียเวลาในการยืนยันเรื่องเสรีภาพในการใช้ชื่อพรรค เราคิดว่ามันจำเป็น มันเป็นเรื่องราวทางหลักการเรื่องเสรีภาพ หากเราไม่สามารถรักษาสิทธิของเราเองได้นี่วันหนึ่งเราทำหน้าที่เสนอตัวเป็นตัวแทนของประชาชนในการที่จะไปรักษาสิทธิเสรีภาพของประชาชนทั่วไป เรายังมีหน้าอะไรไปทำหน้าที่นี้ ดังนั้นสิทธิเสรีภาพนี้เราต้องยึดให้ได้ หากเรามั่นในว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ต้องทำให้ได้ก่อน" สมบัติ กล่าว
 
สำหรับความคืบหน้าของพรรคเกรียน สมบัติ เปิดเผยว่า ตอนนี้มีผู้ประสงค์จะเป็นสมาชิกและลงทะเบียนออนไลน์แล้ว 630 คน แต่เนื่องจากกว่าเราอยากจะขอให้ผ่านขั้นตอนจดแจ้งชื่อให้ได้ก่อน จริงๆ ก็พร้อมแล้วที่จะเข้าสู่กระบวนการรวบรวมหรือจัดประชุมพรรคแล้ว แต่ติดขัดเรื่องนี้จึงรอก่อน
 
สำหรับจดหมายจาก กกต. ที่แจ้งขอให้แก้ไขชื่อพรรคนั้น ระบุตอนหนึ่งไว้ดังนี้
 
จากข้อเท็จจริงคําว่า "เกรียน สํานักงานราชบัณฑิตยสภาให้ความหมายไว้หลายนัย โดยเผยแพร่ให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปผ่านวิทยุรายการ "รู้รัก ภาษาไทย ออกอากาศทางสถานี วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 23 ต.ค.2555 เวลา 7.30 น. กล่าวคือ ความหมายแรก หมายถึง สั้นเกือบติดหนังหัว หรือผิวหนัง หรือพื้นที่ เช่น เขาตัดผมเกรียนเหมือนนักเรียนเตรียมทหาร ทรงผม ทันสมัยของหนุ่มยุคใหม่ต้องทรงเกรียน สุนัขพันธุ์ไทยมักจะมีขนเกรียน บ้านนั้นเขาตัดหญ้าเกรียนดีจริงๆ ความหมายที่สองใช้เรียกแป้งซึ่งนวดด้วยน้ําร้อนแล้วยังไม่น่าย ยังเป็นเม็ดปนอยู่เมืดนั้น เรียกว่า เกรียน นอกจากนี้ยังเรียกปลายข้าวละเอียดๆ ว่า ข้าวปลายเกรียน ความหมายที่สาม เป็นชื่อไม้ต้นขนาดใหญ่ ตอกสีขาว หรือม่วงอ่อน เนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้าง
 
ปัจจุบันคําว่า เกรียน มีผู้นําไปใช้เป็นคําสแลงเพื่อเรียกบุคคลหรือ กลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ทําอะไรโดยไม่สนใจใคร ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล หรือทําอะไรๆ ไปตาม อารมณ์โดยปราศจากการไตร่ตรอง เช่น หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของพวกเกรียน มีแต่เด็กขอบใช้อารมณ์ ไร้เหตุผล ในเว็บไซต์นี้ชอบมีพวกเกรียนมาก่อกวนเสมอและตามพจนานุกรมคําใหม่ เล่ม 2 ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2552 ได้ให้ความหมายว่า เกรียน หมายถึง คนที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ก่อกวน ไร้เหตุผล
 
ดังนั้น จากความหมายดังกล่าวข้างต้นการใช้ชื่อพรรคการเมืองว่า "พรรคเกรียน" จึงอาจทําให้ สังคมเกิดความสับสนในความหมายอันอาจไม่มีความเหมาะสมและจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือ ศีลธรรมอันดีของประชาชนได้ ซึ่งจะไม่เป็นไปตามมาตรา 38 ประกอบมาตรา 35 แห่ง พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งอาศัยอํานาจตามมาตรา 14 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 และข้อ 250 ของระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น