โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com

Link to ประชาไท

หมายเหตุประเพทไทย #221 ระบบอุปถัมภ์และการซื้อเสียงในประเทศกำลังพัฒนา

Posted: 05 Aug 2018 07:58 AM PDT

หมายเหตุประเพทไทยเทปนี้ ชานันท์ ยอดหงษ์ พูดคุยกับปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ เกี่ยวกับงานศึกษาเรื่องระบบอุปถัมภ์และการซื้อเสียงในประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะกรณีของไทยที่มีงานศึกษาที่พยายามรื้อข้อเสนอที่ว่าคนชนบทซื้อสิทธิขายเสียง กระทั่งมีข้อเสนอใหม่ว่าคนไทยเลิกซื้อสิทธิ์ขายเสียงแล้ว แม้จะรับเงินมาแต่ก็เลือกผู้สมัครรายอื่น อย่างไรก็ตามวิธีและรูปแบบของการศึกษาอาจนำไปสู่ฐานอคติแบบอื่น และเรื่องการซื้อเสียง ไม่สามารถศึกษาผ่านการทำแบบสอบถามหรือการสัมภาษณ์ได้ ซึ่งมักได้คำตอบที่สะท้อนถึงการเลือกตั้งที่ใสสะอาดมากกว่าความเป็นจริง

ดังนั้นงานวิชาการทางรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน จึงเริ่มใช้การศึกษาแบบทดลองภาคสนาม (field experiment) ซึ่งดำเนินรอยตามการวิจัยทางแบบการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ ที่แบ่งคนออกเป็นกลุ่มควบคุม (control) และกลุ่มที่ได้รับการทดลอง (treatment) กลุ่มควบคุมจะไม่ถูกแทรกแซงใดๆ ส่วนกลุ่มที่ถูกทดลองจะได้รับการแทรกแซงปัจจัยบางอย่าง ขึ้นอยู่กับคำถามวิจัยที่ต้องการจะถาม ก็จะทดสอบได้ว่าสิ่งเร้านั้นมีผลต่อพฤติกรรมของคนหรือไม่ โดยในทีนี้จะยกตัวอย่างงานวิจัยระบบอุปถัมภ์และพฤติกรรมการเลือกตั้งของคนในประเทศเบนินและเคนยา ซึ่งกลุ่มตัวอย่างระบุว่าจะสนับสนุนผู้สมัครที่อุปภัมภ์ตนมากที่สุด หรือจะจ่ายเงินให้มากที่สุด

ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่
เฟสบุ๊ค 
https://www.facebook.com/maihetpraphetthai
หรือลงทะเบียนรับชมที่ https://youtube.com/prachatai

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ใบตองแห้ง: ก้าวไม่ข้ามซอมบี้แม้ว

Posted: 05 Aug 2018 07:53 AM PDT

วันเกิดทักษิณปีที่ 69 นึกว่าจะเงียบเหงา ใครๆ ก็ก้าวข้ามแม้วปูไปแล้ว ที่ไหนได้ กลายเป็นข่าวใหญ่วันหยุดยาว เมื่อนคร มาฉิม ออกมาแฉ "ผังล้มประชาธิปไตย" ที่มีคนเชื่อมากกว่า "ผังไก่อู"

ว่าที่จริง นครไม่ได้พูดเรื่องใหม่ ผู้คนมากมายก็เชื่ออยู่แล้ว ไม่เฉพาะเสื้อแดงเพื่อไทย แต่พอดี นครเป็นอดีต ส.ส.ปชป. ลาออกจากพรรค เพราะไม่เห็นด้วยกับมติบอยคอตเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2556 แล้วไปลงสมัคร ส.ส.พรรคชาติพัฒนา ขณะที่เพื่อนร่วมพรรคพามวลมหาประชาชนเป่านกหวีด ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ขัดขวางเลือกตั้ง กระทั่งเกิดรัฐประหาร 5 ปี

พอออกมาพูดอย่างนี้ ก็เลยเหมือนฉีดไบกอน ดิ้นพล่านทั้งพรรค ขู่ฟ้องเอาโทษหนัก คุกหัวโต

ว่าที่จริง ติ่ง มัลลิกา ก็พูดถูก นครไม่ใช่ ปชป.แล้วนะ ไม่ใช่ชาติพัฒนาด้วย ตั้งแต่ปี"59 ก็ลงพื้นที่กับพรรคเพื่อไทย ตรวจโครงการขุดลอกคูคลองขององค์การทหารผ่านศึก แล้วก็โดนทหารเข้าค้นบ้าน โดนเรียกไปปรับทัศนคติ

แต่พอดี นครออกมา "ขอโทษทักษิณ" ถูกไทมิ่งถูกจังหวะ ในวันเกิดทักกี้ช่วงใกล้เข้าสู่เลือกตั้ง ช่วงที่มีข่าว "พลังดูด" อดีต ส.ส.เพื่อไทยเพื่อสืบทอดอำนาจ ขนาดอดีต ส.ส.เสื้อแดงที่ 4 ปีก่อนร้องห่มร้องไห้ สาบานเลิกเล่นการเมือง หลังทหารปล่อยตัวออกมาจากค่าย ยังขอกลับคำสาบานไปเข้ากลุ่ม สามมิตรได้หน้าตาเฉย

คำพูดนครจึงทิ่มกลับ ไปยังใครบ้างก็ไม่ทราบ สมคบกันจริงไหมก็ไม่รู้ แต่ชาวบ้านเห็นอยู่คาตา ว่าพรรคไทยรักไทยถูกรัฐประหาร พรรคพลังประชาชนถูกยุบ จน ปชป.ได้เป็นรัฐบาล เสื้อแดงเรียกร้องเลือกตั้งก็เจอคำสั่งใช้กระสุนจริง พรรคเพื่อไทยชนะ ก็ยังถูกรัฐประหารอีกครั้ง

ปชป.ควรดีใจ ว่าดีเท่าไหร่แล้วที่พวกเสื้อแดงเพื่อไทย ไม่ได้โทษ ปชป.เท่านั้น แต่มีอะไรที่พันลึกกว่า

ว่าตามเนื้อผ้า ก็น่าสงสาร ปชป. สถานการณ์การเมือง วันนี้ก็หนัก พรรคเทือกแย่งฐาน กปปส. คนชั้นกลางระดับบนก็เทใจให้ลุงตู่ ผู้เปี่ยมเมตตา สงสารกระทั่งน้องหมาถูกทิ้งกลางถนน นี่ ปชป.ยังต้องมายั้วเยี้ยดิ้นทุรนกับคำพูดนคร ทั้งที่ คนอื่นฝ่ายอื่นควรเต้นมากกว่า

ปชป.จะฟ้องนครก็ฟ้องไป แต่ควรฟังคำเตือนนคร ว่ามองไปข้างหน้าดีกว่า คุณจะเอาอย่างไร จะประกาศจุดยืนที่ชัดเจนไหม ว่าหนุนไม่หนุนการสืบทอดอำนาจ ไม่ใช่มัวแต่ประกาศต่อต้านระบอบทักษิณ ซึ่งถ้าอย่างนั้น เลือกลุงกำนันหรือลุงตู่ดีกว่ามั้ง

ต่อให้เป็นจริงว่า ปชป.สมคบกับใคร "ล้มประชาธิปไตย" เกือบ 5 ปีผ่านไปยังไม่มีเลือกตั้ง ปชป.ก็น่าจะรู้แล้วมั้ง ว่า ตัวเองควรยืนข้างไหน จะมัวแต่ปลุกซอมบี้ทักษิณไปทำไม

สังคมไทยควรก้าวข้ามทักษิณไปได้แล้ว อย่างไก่อูพูด แต่เอาเข้าจริงยังก้าวข้ามไม่ได้ ทักษิณกลายเป็นซอมบี้ คือเป็นอมตะ แถมยังกินสมองคน โดยเฉพาะคนชั้นกลางระดับบน คนมีการศึกษา พอพูดถึงทักษิณ ก็หน้ามืดตามัวสติปัญญาสูญหายในทันใด

สิบสองปี ในความพยายามโค่นล้มระบอบทักษิณ ได้กลายเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย กระทั่งผลักประชาธิปไตยไปอยู่กับทักษิณ ไม่ว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ทักษิณจึงฆ่าไม่ตาย ยุบกี่พรรคก็ยังขายได้

ขนาดคนรักประชาธิปไตยบางส่วนหันไปฝากความหวังพรรคอนาคตใหม่ ก็ยังถูกเขม่นถูกเล่นงาน ถูก คสช.แจ้งจับฐานวิจารณ์การดูด ส.ส. เออ ดีจริงหนอ อย่าให้ธนาธรตั้งพรรคเลย จะได้กลับไปเลือกเพื่อไทยเป็นปึกแผ่น

เพื่อไทยก็ไม่ต้องออกนโยบายอะไร อย่างที่ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ อุตส่าห์แนะนำ รอชูประชาธิปไตยเต็มปากเต็มคำ แต่ถ้าชนะเลือกตั้งก็ถูกโค่นล้มอีกตามวงจร หรือถ้าแพ้ ก็รอดูการสืบทอดอำนาจเทกระจาด

ความเป็นจริง สังคมไทยก้าวข้ามระบอบทักษิณ มาสู่ระบอบประยุทธ์ตั้งนานแล้ว อยู่ที่รู้ตัวกันหรือไม่เท่านั้นเอง

อ๊ะอ๊ะ ระบอบประยุทธ์ไม่ใช่ตัวบุคคล เพราะเป็นอย่าง อ.นิธิเตือน นี่ไม่ใช่ชูทักษิณสู้ประยุทธ์ ชูคนอีสานรักประยุทธ์เท่าทักษิณ แต่เป็นระบอบรวบอำนาจโดยรัฐราชการรัฐพันลึก ที่มีกองทัพเป็นแกนกลาง มีภาพลุงยืนสอนศีลธรรมหน้าเสาธงเป็นสัญลักษณ์ และกำลังจะสืบทอดอำนาจผ่านกลไกรัฐธรรมนูญ 2560 องค์กรอิสระ กรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ส.ว.แต่งตั้ง ไม่ว่ามีใครเป็นนายกฯ ก็ตาม

คุณจะเอาระบอบนี้ หรือไม่เอาระบอบนี้ ก็เท่านั้นเอง เพียงแต่ยังปลุกซอมบี้ทักษิณมากินสมองคน จนไม่สามารถสร้างฉันทามติ แล้วก็ถูลู่ถูกังกันไป 

 

ที่มา: www.khaosod.co.th/hot-topics/news_1398416

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ไอ้บองหลา (เรื่องสั้น): แด่ ไผ่ ดาวดิน ผู้เผชิญหน้ากับความอยุติธรรมแห่งยุคสมัย

Posted: 05 Aug 2018 07:44 AM PDT

 

 

" ลำไผ่ชายป่าเสียดสี

กลั่นก่อบทกวีไร้ที่หมาย

ไร้ประเทศเขตแดนพังทลาย

ยามดอกไม้บันเทิงเริงระบำ "

 

ปลายฝนปี 2560 กลางหุบเขาฝนโปรยไพร เทือกเขาบรรทัด รอยต่อระหว่างจังหวัด พัทลุง-นครศรีธรรมราช เช้าวันเสาร์ดำเนินไปตามปกติ สายลม แสงแดด ยังคงมาตามนัด สายหมอกทักทายหยอกล้อกับทิวเขา พร้อมกับปกคลุมผืนน้ำ ไอเย็นยะเยือกส่งกลิ่นหอมหวานของธรรมชาติ หลังจากฝนตกหนักมาทั้งคืน ถนนลูกรังทางเข้าหมู่บ้านลื่นและเป็นสีน้ำตาลเข้ม แดดเช้าส่องลอดผ่านใบยางพาราที่ค่อยๆผลิใบรับสายฝนตามฤดูกาล หน้าบ้านพ่อนั่งจิบกาแฟกับเพื่อนบ้านสองสามคน เท่าที่ผมได้ยิน คงเป็นเสียงลุงจิต ลุงเอียด และพ่อ ในวงสนทนาน่าจะเป็นเรื่องการเมืองท้องถิ่นที่ฤดูเลือกตั้งกำลังจะมาถึง แต่ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด แม่กำลังทำกับข้าวหอมฉุยในครัว แกงส้มปลากดกับทอดไข่เจียวและเคยจีแน่นอน ผมดมกลิ่นได้ แล้วม้วนตัวในผ้านวมผืนโปรดต่อ เมื่อคืนอ่านหนังสือทั้งคืนจนแทบไม่ได้นอน    

ผมปิดผนึกซองจดหมาย จ่าหน้าซองด้วยบทกวีบทหนึ่ง ลงชื่อผู้ส่งเป็นผมเอง และลงชื่อผู้รับเป็นผมอีกคนหนึ่งในอนาคต ราวกับว่ามีบุรุษไปรษณีย์นั่งไทม์แมชชีนไปส่งจดหมายให้ผมได้ สองวันที่ผ่านมาผมหมกมุ่นอยู่กับหนังสือสองเล่ม คือ "เดินสู่อิสรภาพ" ของ ประมวล เพ็งจันทร์ กับ "แผ่นดินอื่น" ของ    กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ หลังอ่านสองเล่มนี้จบเมื่อคืนผมจึงตัดสินใจเขียนจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นยันเช้า

พี่เทา เด็กหนุ่มในหมู่บ้าน วิ่งแตกตื่นขึ้นมาจากในคลองหลังบ้าน แกรีบจนลืมผูกเรือไว้กับตอไม้ริมตลิ่ง รู้ตัวอีกทีเรือแกก็ถูกพัดออกไปกลางลำคลองเสียแล้ว

"ลุงจิต ลุงจิต เมียลุงถูกงูกัด ไปช่วยหน่อย ป้าณีถูกงูกัดอยู่ริมสวนยางฝั่งคลองนู้น เรือผมน้ำมันหมดพายไปไม่ไหว" พี่เทาพูดด้วยเสียงอ่อนล้า สีหน้าซีดเซียว

"งูกะปะเหรอ" ลุงเอียดพูดแทรกขึ้นมา

ทุกคนในวงสนทนาไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไร เพราะในสวนยางพารามีงูกะปะอยู่เยอะแยะไปหมด ผมม้วนผ้านวมห่อตัวยืนดูอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน แสงแดดเริ่มส่องเข้มขึ้น  

"หม้ายๆ เห็นเขาว่างูบองหลา" พี่เทาพูดด้วยภาษาใต้ชัดถ้อยชัดคำ

ท่าทีของวงสนทนาเปลี่ยนไป ทั้งพ่อ ลุงจิต และพี่เทา กึ่งเดินกึ่งวิ่งลงไปที่เรือ ส่วนลุงเอียดเดินนำไปตัดไม้ไผ่ก่อนแล้ว เห็นแกบอกว่างูบองหลาแพ้ไม้ไผ่ ทุกคนรู้ดีว่าพิษของงูบองหลา หรืองูจงอางนั้นร้ายแรงแค่ไหน ผมรีบวิ่งตามลงไปด้วย

 

ถึงข้าพเจ้าในปี 2600

"ตอนนี้คุณคงอายุประมาณ 60 ต้นๆ ข้าพเจ้าขอเรียกสรรพนามแทนว่า "คุณ" แม้คุณจะเป็นตัวข้าพเจ้าเอง และรู้จักข้าพเจ้าดีก็ตาม แต่ข้าพเจ้ายังไม่รู้จักคุณเลย มิหนำซ้ำยังมีหน้าเขียนจดหมายมาถามคุณถึงสามข้อ ดังที่แนบท้ายจดหมายฉบับนี้ โปรดตอบอย่างจริงใจ และก่อนตอบโปรดทบทวนว่าคุณเองยังเชื่อว่า Hope is the only thing stronger than fear อยู่อีกหรือไม่"

ด้วยรัก...และหวังว่าจะยังมีชีวิตตอบจดหมายฉบับนี้กลับมา

หากข้าพเจ้าเป็นตัวละคร "งู" ในหนังสือเรื่อง "เดินสู่อิสรภาพ" ของ ประมวล เพ็งจันทร์ ข้าพเจ้าจะทำเช่นไร? คำถามนี้ผุดขึ้นมาในหัวนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ ไผ่ ดาวดิน ชายหนุ่มผู้ยืนหยัดต่อสู้เรื่องสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชน ถูกจับด้วยข้อหามาตรา 112 ยุคสมัยนี้ "ความกลัว" ครอบงำปกคลุมไปทั่วขณะ ข้าพเจ้ามิทราบแน่ชัดว่าระหว่าง "ผู้พยายามทำให้กลัว" กับ "ผู้ถูกทำให้กลัว" ใครมีความกลัวครอบงำมากกว่ากัน? ในหนังสือเรื่องเดินสู่อิสรภาพ ของอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ บันทึกเรื่องราวระหว่างการเดินทางโดยการ "เดิน" จากเชียงใหม่ สู่ เกาะสมุย บ้านเกิด อัดแน่นไปด้วยมุมมองทางปรัชญา ข้าพเจ้าพึ่งอ่านจบไปเมื่อคืนนี้เอง

ฉากหนึ่งในเรื่อง ผู้เขียนบรรยายสภาวการณ์เผชิญหน้ากับความกลัวที่มาจาก "งู" โดยผู้เขียนก็ไม่สามารถสรุปได้เหมือนกันว่าระหว่างผู้เขียน "ประมวล เพ็งจันทร์" กับ "งูตัวนั้น" ใครมีความกลัวมากกว่ากัน ช่างเหมือน "ข้าพเจ้า" และ "เพื่อนร่วมยุคสมัย" ในตอนนี้เสียเหลือเกิน เรากลายเป็นอื่นไปแล้วบนแผ่นดินของเราเอง ในยุคที่ "ความรักและความกลัว" พยายามแยกเราออกจากแผ่นดินเกิดอย่างบ้าคลั่ง

พ่อขับเรือประมาณ 15 นาที พวกเราก็เจอป้าณีนั่งอยู่ริมคลอง ถือท่อนไม้เปื้อนเลือดยาวราวๆ 2 เมตร อยู่ในมือ มีชาวบ้านมาถึงก่อนพวกเราสามสี่คนมุงดูป้าณีอยู่

"ฉันคิดว่าวันนี้ต้องตายแน่ ไอ้บองหลามันตัวใหญ่มาก เกิดมาไม่เคยเห็น" ป้าณีเล่าไปพลางกำไม้ในมือไว้แน่น

"จะวิ่งก็ไม่กล้าวิ่ง กลัวมันฉกจากข้างหลัง โชคดีที่มีท่อนไม้อยู่ใกล้ๆ" แกพูดไปก็เอาไม้ในมือเขี่ยงูบองหลาที่นอนแน่นิ่ง ถูกแกตีที่หัวจนเกือบขาดไป

"มันน่าจะลงมากินน้ำ แล้วมาเจอพี่พอดี ถือว่าฟาดเคราะห์ไป" พ่อพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย

"ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว" ลุงจิตผู้เป็นสามีช่วยพูดเรียกขวัญอีกแรงหนึ่ง

"เห็นเขาตะโกนกันลั่น ผมก็คิดว่าป้าโดนงูกัดซะอีก" พี่เทาพูดไปหัวเราะไป เมื่อเหตุการณ์เริ่มเป็นปกติก่อนแยกย้ายหลายๆคนก็ถ่ายรูป และเซลฟี่กับซากงูตัวนั้นกลับไป

ผมยืนนิ่งเงียบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

คุณว่าในท้ายที่สุดของการเผชิญหน้าระหว่าง "คน" กับ "งู" จะเกิดอะไรขึ้น?

แน่ล่ะ! เรากลัวงูทำร้ายเราจน "ตาย" เราเลยชิงตีงูเสียก่อน จะได้ไม่มีโอกาสทำร้ายและเป็นภัยแก่เรา แน่ล่ะ!!! มันเป็นวิธีการที่ง่ายและดีที่สุด เพื่อความ "มั่นคง" ในชีวิตของเราต่อไป คุณว่าไหม? ท้ายที่สุด "งูตาย" จากความกลัวของเรา อ้าว? มันก็เป็น "ความตาย" เหมือนกันนี่?  แต่โชคดีหน่อย "งู" ไม่สามารถมีเหตุผลเป็นของตัวเองได้ บนดาวสีน้ำเงินดวงนี้ ดวงที่มีชื่อเล่นว่า "โลกมนุษย์" หรือ "โลกของมนุษย์" มนุษย์อย่างเราๆท่านๆจึงไม่มีความผิด ฉะนั้น "ความตายของงู" จึงไม่เท่ากับ "ความตาย"

หรือเรากำลังลดทอนความเป็น "สิ่งมีชีวิต" ของงู อยู่นะ? เพื่ออะไร? เพื่อสร้างความชอบธรรมในการ "ฆ่า" อย่างนั้นหรือ? งูจะกลัวเราบ้างไหมนะ? หรือที่มันชูคอชูแม่เบี้ยขึ้นมาก็เพราะกลัวเราทำร้ายมันและแค่ปกป้องตัวเองตั้งแต่แรก?

เรากับงูใครมีความกลัวมากกว่ากัน? ข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความสงสัยและคำถาม แต่คำถามของข้าพเจ้าจะมีความสำคัญอะไรกัน เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจึง "ห้ามถาม" ในประเทศนี้อยู่แล้วนี่

[ … "งู" เป็นพิษภัยสำหรับ "คน" เสมอในทัศนะ (ไม่นับกรณีที่เอา "งู" มาคล้องคอถ่ายรูปเล่นตามห้างนะครับ เพราะ  "งู" พวกนั้นมีประโยชน์กับ "คน" อย่างน้อยๆก็สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทั้งๆที่บางตัวก็เป็น "งูพิษ" จากป่านั่นแหละ แต่เป็นตัวที่ "คน" ตีไม่ตายครั้งก่อน มันบาดเจ็บ จึงพอเอามาฝึกให้ "เชื่อง" ได้) ... ] ผมโพสต์ข้อความนี้ลงเฟซบุ๊ก

"อย่าคิดเข้าข้างงูเลย" จู่ๆแม่ก็พูดขึ้นมากลางวงข้าว ผมคิดว่าแม่คงเห็นสเตตัสเฟซบุ๊กผมแล้ว

หลังจากจัดการเรื่องงูกับป้าณีเสร็จ ผมกับพ่อก็รีบกลับมาที่บ้านเพราะสายจนเกือบจะเที่ยงแล้ว แม่รอกินข้าวอยู่ ปิดเทอมนี้ผมกลับมาอยู่บ้านสองอาทิตย์ เลยมีเวลานั่งหาบทความเกี่ยวกับเรื่อง "งู" มาอ่านเพิ่มเติม

ไม่เคยได้ยินเรื่องเล่า "ชาวนากับงูเห่า" เหรอ ยายเล่าให้ฟังบ่อยๆนี่ตอนเด็กๆ ยังไง "งู" มันไม่ดีหรอก เลี้ยงไม่เชื่อง ดูอย่าง "งูเห่า" เป็นตัวอย่างสิ ไม่สำนึกบุญคุณ ยังแว้งฉกชาวนาตายได้เลย... ฉะนั้น "งูตัวอื่นๆ" ก็ไม่ต่างกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรมงู กล่าว

ถ้าหากข้าพเจ้าเป็นตัวละคร "งู" ในเรื่อง "เดินสู่อิสรภาพ" ข้าพเจ้าจะทำเช่นไร? เมื่อทบทวนความเป็นไปในยุคสมัยที่ "ความกลัว" ถูกครอบงำปกคลุมไปทั่วขณะ ข้าพเจ้าเริ่มทราบแน่ชัดแล้วว่าระหว่าง "ผู้พยายามทำให้กลัว" กับ "ผู้ถูกทำให้กลัว" ใครมีความกลัวครอบงำมากกว่ากัน

โปรดรับรู้ไว้ "ความกลัวของท่าน" จองจำสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างเรา ...ท่านอยากให้ประวัติศาสตร์จารึกท่านแบบไหนใน "โลกมนุษย์" ใบนี้ ท่านเป็นผู้ตัดสินใจ งูบองหลา กล่าว

            ...

ขอโทษทีข้าพเจ้าลืมเรื่องที่จะถามไปหมดแล้ว

ไว้จะเขียนจดหมายมาหาใหม่

 

 

เกี่ยวกับผู้เขียน: นลธวัช มะชัย (Nontawat Machai) สมาชิกกลุ่มลานยิ้ม นักศึกษาการละคร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กลางปี 2560 กลายเป็นผู้ต้องหาคดีฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/2558  หรือที่เรียกกันว่าคดี "เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร" จากการจัดกิจกรรมประชุมวิชาการนานาชาติด้านไทยศึกษา ปัจจุบันยังคงเรียนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัยพร้อมกับทำงานอยู่ที่หอประวัติศาสตร์ประชาชนภาคเหนือ เฮือนครูองุ่น มาลิก (สวนอัญญา) มูลนิธิไชยวนา เชียงใหม่

 

หมายเหตุ: เรื่องสั้นเรื่องนี้ได้รางวัลชนะเลิศและเผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือ "โลกมนุษย์" สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ใบตองแห้ง: เผด็จการลุงใจดี?

Posted: 05 Aug 2018 07:30 AM PDT

ลุงตู่ใจดีมีเมตตา นั่งรถมาทำเนียบ เห็นหมาถูกทิ้งบนเกาะกลางถนน ก็เอามาปรารภในที่ประชุม ครม. จนมีคนใจบุญรับไปเลี้ยง

ตอน ครม.สัญจรอุบลฯ ชาวบ้านก็ชื่นชม ลุงตู่น่ารัก ใจดี เป็นกันเองกับทุกคน จนกลุ่มสามมิตรคุยฟุ้ง คนอีสานรักลุงตู่เหมือนรักทักษิณ

เห็นไหม นิตยสารไทม์เอาไปเทียบสฤษดิ์ได้ไง คนไทยไม่รู้จักสฤษดิ์น้อย คนไทยเรียกลุงต่างหาก

เราไม่ได้อยู่ใต้ระบอบเผด็จการโบราณ ซึ่งใช้อำนาจดิบๆ จับคนไปยิงเป้า จับคนเข้าคุก เราอยู่ในระบอบเผด็จการโดยลุง ซึ่งทำตัวเหมือนญาติผู้ใหญ่ ด้านหนึ่งดุ ขึงขัง ห้ามต่อต้านห้ามวิจารณ์ ใครด่าชกปาก แต่ถ้าใครยอมศิโรราบก็เป็นลุงใจดี แถมมีบทบาทมัคนายก หรือครูใหญ่ ยืนหน้าเสาธงสอนศีลธรรม หิริโอตตัปปะ ค่านิยม บ่นสังคมวุ่นวายหนอขัดข้องหนอได้ทุกวัน

เกือบ 50 ปีจากยุคสฤษดิ์ถนอม สังคมไทยไม่ได้หยุดนิ่ง ถึงไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ เราก็รับเอาวัฒนธรรมประชาธิปไตยบางอย่าง สิทธิเสรีภาพบางเรื่อง จากการต่อสู้ผลักดัน จากอิทธิพลตะวันตก รวมไปถึงกระแสโลกเช่น รักสัตว์ รักสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต เข้ามาผสมปนเปอยู่ในสังคมที่ความคิดอนุรักษนิยมครอบงำ

เผด็จการลุงทหารในยุคปัจจุบัน ก็รู้จักปรับตัวเอาใจกระแสสังคม โดยเฉพาะกระแสคนชั้นกลาง เราจึงเห็นเผด็จการรักสัตว์ รักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อม สร้างทางจักรยาน แบนไขมันทรานส์ แถมยังจะออกกฎหมายคู่ชีวิต เอาใจ LGBT นี่ก็เพิ่งให้บัตรประชาชนไทยปู่คออี้ โห รัฐบาลเลือกตั้งมีอย่างนี้ที่ไหน

แต่ในขณะเดียวกันก็ทวงคืนผืนป่า ไล่ปู่ออกจากป่า ไล่คนจนจำนวนมากมาย ไม่ต่างกับ กทม.จัดระเบียบ กวาดล้างหาบเร่แผงลอย 2 หมื่นกว่าคน แต่ลุงไม่เห็น เห็นแต่หมาน่าสงสารอยู่บนเกาะกลางถนน

ถามว่าลุงใจดีกับเผด็จการอันไหนเกิดก่อนกัน เด็กก็ตอบได้ ปืนมาก่อน กุมอำนาจเบ็ดเสร็จได้ แล้วค่อยใจดีผ่อนผัน 4 ปี คสช.คือการฝึกการซ่อม ให้ประชาชน 60 กว่าล้านในค่าย เข้าใจว่าคุณต้องยอมสูญเสียอำนาจและเสรีภาพบางอย่าง อยู่ในโอวาท เชื่อฟัง ทำตัวดีๆ แล้วลุงจะใจดี อย่างน้อยก็ไม่เกรี้ยวกราดแสดงอารมณ์

คนส่วนใหญ่ก็จะค่อยๆ ตระหนักว่า ถ้าคุณไม่ซ่า ไม่ชู 3 นิ้วแบบไผ่ ดาวดิน หรือคนอยากเลือกตั้ง ไม่วิจารณ์ คสช.แบบพรรคอนาคตใหม่ พิชัย นริพทะพันธุ์ หรือหมวดเจี๊ยบ ก็ไม่ถูกเรียกตัว ไม่ถูกคุกคาม

สื่อมวลชน นักวิชาการ ก็จะค่อยๆ เรียนรู้ว่ามีสิ่งที่คุณวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ทีละอย่างสองอย่าง สามอย่างสี่อย่าง จนเป็นเจ็ดแปด เก้าสิบ ร้อยอย่าง แต่ถ้าไม่แตะเรื่องที่ห้าม ก็ยังด่าโน่นด่านี่ได้ เช่นด่านักการเมือง ชาวบ้านทั่วไปตามโลกออนไลน์ ก็เรียนรู้เหมือนกัน ไม่อยากเดือดร้อนก็วิจารณ์ดารา ด่าครูปรีชา ด่าครูเบี้ยวหนี้ ด่าเด็กเบี้ยวหนี้ หรือด่าคนหมิ่นตลาดล่าง ดราม่าได้ทุกวัน

อย่ายุ่งกับการเมือง อย่าทวงอำนาจ ปล่อยให้ผู้หลักผู้ใหญ่เขาครองอำนาจไป แล้วคุณจะรู้สึกว่าบ้านนี้เมืองนี้มีสิทธิเสรีทุกอย่าง ก็ทำมาหากิน ใช้ชีวิตชิกๆ ชิลๆ ไม่เห็นเดือดร้อนอะไรกับระบอบเผด็จการ

พูดอีกอย่าง 4 ปีที่ผ่านไปคือการทำให้ทุกคน "อยู่เป็น" จนลืมไปว่าในอดีต เราเคยมีเสรีภาพมากกว่านี้

เผด็จการลุงใจดี ยังชูภาพลุงมีแต่ให้ ให้คำสั่งสอนอบรมไง เช่นสอนให้ประชาชนสำนึกในหน้าที่ ต้องรู้จักอดทน พึ่งตนเอง เสียภาษี อย่าเป็นหนี้ แล้วลุงจะพักหนี้ให้ อย่าหวังพึ่งประชานิยม ประกันราคา จำนำข้าว แล้วลุงจะจำนำยุ้งฉางให้ กลุ่มสามมิตรยังเอาไปคุย เกิดมาไม่เคยเห็นรัฐบาลไหนแจกเงินคนจนเดือนละ 200-300 บาท ไม่ใช่ประชานิยม นี่ไทยนิยมต่างหาก หมู่บ้านละ 2 แสนรับไป

เปล่า ไม่ได้ดัดจริต ไม่ใช่หาเสียง แต่เผด็จการลุงทหารกำลังบอกชาวบ้านว่า นี่ไง ถ้ามีสำนึก เจียมตัวเจียมใจ รัฐบาลก็จะช่วยสงเคราะห์ จะให้ไม่น้อยกว่าทักษิณ แต่อย่าคิดแบบยุคทักษิณ ว่านี่เป็นผลจากการใช้อำนาจอธิปไตยเลือกรัฐบาล นี่เป็นสิ่งตอบแทนการเชื่อฟังต่างหาก

นั่นคือระบอบลุงใจดี ที่พยายามจะสืบทอดไปอยู่ในระบอบรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีเลือกตั้งพิธีกรรม โดยยังไม่วายขู่ว่า ถ้าไม่สงบไม่มีเลือกตั้ง ขอให้ทุกคนอยู่เป็น ยอมรับระบอบที่จำกัดสิทธิเสรีภาพ มีสิทธิเลือกตั้งภายใต้อำนาจองค์กรอิสระ กรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ส.ว.แต่งตั้ง และรัฐพันลึก

 

ที่มา: www.khaosod.co.th/hot-topics/news_1402492

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กวีประชาไท: คนทรยศ

Posted: 05 Aug 2018 07:22 AM PDT

ถ้าจะทรยศคิดคดขยี้พวกปีศาจ                  พลังอำนาจบาตรใหญ่ให้ฉิบหาย

เปิดเผยข้อมูลไปให้คลี่คลาย                            ผองโจรร้ายกาลีมีแผนใด

สมคบคิดปล้นกลางแดดอันแผดเปรี้ยง     เคยพอเพียงกับแสงดาวพราวเหนือใต้

ในครั้งนี้ที่มีแผนแก่นแกนใน                      ผองโจรใช้เครือข่ายเป็นสายโยง

 

โจรวางสายไว้หลายฉากลากมาเชื่อม           สร้างความเสื่อมให้เห็นเป็นโขยง

สถานการณ์ปั่นปั้นปลุกจนลุกโพลง              ถอดไอ้โม่งออกมาเห็นหน้าพลัน

ปล้นกลางวันเห็นกันจะจะนะพี่น้อง                  ยกมือป้องแสงจ้าร้อนหน้านั่น

เหล่าเครือข่ายสายของโจรผาดโผนพลัน         ดูสิสรรหาสภาโจรโหนกันเพลิน

มานั่งเขียนกฎต่าง ๆ อ้างกฎหมาย                 ดูมันง่ายสายโจรจัดไม่ขัดเขิน

ร่างกฎหมายสายโจรผองกองพะเนิน          บ้านเมืองเยินยับย่อยถอยลงคลอง

ใครทุกข์ทนปล้นกลางวันกันนักหนา             ใครเชิดหน้ามาเขียนกฎกบฏผอง

ปลดอาวุธโจรไหมเล่าเราพี่น้อง                  เสียงเรียกร้องเริ่มดังขึ้นทะมึนฟ้า

จึงต้องร่วมให้กำลังใจใครทุกคน                      ลุกขึ้นชนพ้นอดสูคือผู้กล้า

ไม่ปล่อยปละละเลยเฉยเฉื่อยชา                    นคร มาฉิมชวนทิ่มทวนแทง

ทวนเล่มใดไม่พลาดเป้าเข้ายอดอก                     ตกนรกทันใดไปทั้งแผง

เครือข่ายโจรปล้นกลางแดดแสงแผดแรง     บังอาจปิดกั้นแสงแห่งศรัทธาท้าวีรชน

                                                 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'เจฟฟ์ เบซอส' เศรษฐีรวยล้นฟ้าผู้กดขี่คนทำงาน สะท้อนระบบเศรษฐกิจที่บิดเบี้ยว

Posted: 05 Aug 2018 03:40 AM PDT

ในปีนี้มีข่าวระบุถึง 'เจฟฟ์ เบซอส' เจ้าของแอมะซอนและวอชิงตันโพสต์ในฐานะเศรษฐีรายใหญ่ของโลกที่รวยกว่า 'บิล เกตต์' แต่ทว่าเบื้องหลังความร่ำรวยของเขาแลกมาด้วยความเจ็บปวดของคนทำงานให้กับบรรษัทของเขา รวมถึงแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำหนักมากในระดับที่จะสร้างปัญหาต่อระบอบประชาธิปไตยตามมา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเบซอสเป็นตัวร้ายแต่อย่างใด ปัญหามาจากระบบในสหรัฐฯ ที่เป็นต้นเหตุเอื้อให้เศรษฐีสั่งสมทุน ผลักภาระภาษีให้กับคนที่มีรายได้จากการทำงานแทนที่จะได้เก็บจากนายทุนและก่อความเหลื่อมล้ำได้มากขนาดนี้

'เจฟฟ์ เบซอส' เจ้าของแอมะซอนและวอชิงตันโพสต์ ปัจจุบันเขาเป็นผู้ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มาภาพประกอบ: Steve Jurvetson (CC BY 2.0)

5 ส.ค. 2561 รายงานจากสื่อดิแอตแลนติคนำเสนอปัญหาความเหลื่อมล้ำในสหรัฐฯ โดยพูดถึงมหาเศรษฐี เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งบริษัทอีคอมเมิร์ซแอมะซอนและเจ้าของสื่อวอชิงตันโพสต์ ในปัจจุบันเขาเป็นผู้ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่ กลายเป็นมหาเศรษฐีคนเดียวที่มีเงินมากกว่าบิล เกตส์ ครึ่งหนึ่ง มากกว่ามาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก สองเท่า และมากกว่าโดนัลด์ ทรัมป์ 100 เท่า และเมื่อเทียบกับรายได้ต่อหัวโดยเฉลี่ยของครอบครัวอเมริกันแล้ว เขามีทรัพย์สินมากกว่าถึง 2 ล้านเท่า นอกจากนี้ยังมีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 50,000 ล้านดอลลาร์ภายในไม่ถึง 1 ปี

ถึงแม้จะมองได้ว่าความเฉียบแหลมในการเป็นเจ้าของธุรกิจของเขาจะทำให้เขาส่งอิทธิพลในด้านต่างๆ เกี่ยวกับการอ่านและการซื้อขาย-จัดส่งสินค้าในโลกปัจจุบัน แต่ในแง่ที่เขามีทรัพย์สินมากมายขนาดนี้เป็นผลมาจากความล้มเหลวทางนโยบาย วิธีการทางภาษี ระบบการโอนทรัพย์สิน ระบบธุรกิจ และบรรยากาศการควบคุมทำให้เกิดการสั่งสมความมั่งคั่งแค่ในกลุ่มคนจำนวนไม่กี่คน

ในบทความของดิแอตแลนติคยังระบุถึงเรื่องที่บริษัทแอมาซอนของเบซอสเป็นหนึ่งในบรรษัทยักษ์ใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างของการที่ทุนมีชัยเหนือแรงงาน อีกทั้งเบซอสเองก็ไม่ใช่คนที่ใช้เงินไปกับการกุศลเท่าไหร่เมื่อเทียบกับเศรษฐีอื่นๆ อย่างเกตส์ ในทางตรงกันข้ามเขาบอกว่าเขาจะใช้ "การถูกหวยทางการเงิน" จากบริษัทแอมาซอนให้กับโครงการเดินทางสู่อวกาศ

ในขณะที่เบซอสบอกว่าเขามีเงินมากจนมีการกุศลไม่มากพอจะให้เขาเอาไปบริจาค คนงานที่ทำงานให้แอมะซอนกลับทำรายได้น้อยกว่า 28,446 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี อีกทั้งยังต้องทำงานภายต้การถูกสอดส่องแข่งกับเวลา ต้องจัดการกับสินค้าจำนวนมากถึง 1,000 รายการและเดินมากถึง 15 ไมล์ ต่อการทำงานหนึ่งกะ มีคนงานบางคนบอกว่าพวกเขาได้พักเข้าห้องน้ำแค่เพียง 6 นาทีเท่านั้น จนถึงขั้นมีลูกจ้างชั่วคราวล้มลงเสียชีวิตบนพื้นขณะทำงานเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว ทั้งนี้แอมะซอนยังมักจะตอบโต้กับคนที่เปิดโปงเรื่องของลบริษัท เคยมีการร้องเรียนในเรื่องค่าแรงและการละเมิดเวลาทำงานเกิดขึ้นซ้ำๆ หลายครั้ง

การเลี่ยงภาษีของเจ้าของทุน และการกดค่าแรงที่ผลักภาระภาษีให้กับคนทำงาน

ดิแอตแลนติคยังเปิดเผยถึงข้อจำกัดในระบบภาษีของสหรัฐฯ ที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ นั่นคือในระบบ "ภาษีอัตราก้าวหน้า" แบบสหรัฐฯ ระบุให้คนทำงานที่ได้รับเงินเดือนมากกว่าต้องจ่ายภาษีสูงกว่าคนทำงานที่ได้รับน้อยกว่า อย่างไรก็ตามเบซอสทำงานโดยรับเงินเดือนจำนวนน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับความร่ำรวยของเขามาจากปริมาณหุ้นที่เขาเป็นเจ้าของ ซึ่งรายได้ส่วนหลังนี้เป็นรายได้ที่ขึ้นกับภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ (capital-gains taxes) แต่อัตราการเก็บภาษีนี้น้อยกว่าอัตราภาษีเงินได้จากการทำงาน ทำให้คนรวยจากการเป็นเจ้าของทุนอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ อาจจะจ่ายเงินน้อยกว่าเลขาฯ ที่ทำงานให้เขาเสียอีก

นอกจากนี้ในกรณ๊ของแอมะซอน พวกเขายังไม่ได้จ่ายภาษีเงินได้บรรษัทสำหรับรัฐบาลกลางเมื่อปีที่แล้วด้วย แม้จะมีรายได้หลายพันล้าน นอกจากนี้ยังมีการพยายามต่อกรกับภาษีระดับรัฐและภาษีสำหรับท้องถิ่นด้วยการอ้างผลประโยชน์การลงทุนและ "การสร้างงาน" แต่ก็ทำให้เบซอสรวยขึ้นเรื่อยๆ จากการเลี่ยงภาษี

ในแง่ของการจ่ายเงินเดือนแอมะซอนจ่ายค่าตอบแทนเริ่มต้นให้พนักงานน้อยกว่าค่าแรงยังชีพของสหรัฐฯ คือราว 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อชั่วโมงและเงินค่าจ้างโดยเฉลี่ยก็ต่ำกว่าค่าแรงยังชีพในสหรัฐฯ ด้วย ดิแอตแลนคิตระบุว่าการจ่ายค่าแรงน้อยๆ นี้เองที่ยิ่งกลายเป็นการที่บรรษัทผลักภาระให้กับผู้จ่ายภาษี เพราะทำให้คนยากจนรายได้น้อยแหล่านี้ต้องหันมาพึ่งพาโครงการต่างๆ ของภาครัฐ ขณะที่บรรษัทเลี่ยงภาษีนี้กดขี่ค่าแรงจากคนระดับล่างไปเรื่อยๆ เพื่อเอื้อผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่

จำกัดการแข่งขัน

นอกจากนี้แอมะซอนยังฉาวโฉ่ในเรื่องของ "Noncompete agreements" หรือ "ข้อตกลงไม่แข่งขัน" คือการให้คนงานต้องลงนามข้อตกลงว่าจะไม่ตั้งบริษัทหรือทำงานในแบบที่เป็นการแข่งขันกับบริษัท ของแอมะซอนให้คนงานลงนามว่าในช่วงหลังออกจากงาน 18 เดือน จะต้องไม่ไปทำงานให้กับบริษัทที่เป็นคู่แข่งแอมะซอน "ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยทางอ้อม" ก็ตาม ซึ่งเป็นการวางเกณฑ์ข้อตกลงที่กว้างมากในระดับที่ทำให้คนที่ออกจากแอมะซอนอาจจะถึงขั้นไม่สามารถไปสมัครงานกับบริษัทไปรษณีย์ บริษัทขนส่ง โกดังหรือห้างค้าปลีก ใดๆ ได้

ไม่เพียงแค่แอมะซอนเท่านั้นที่มีลักษณะการกีดกันการแข่งขันเช่นนี้ บรรษัทใหญ่อื่นๆ เช่น แมคโดนัลด์ ก็เคยมีนโยบายให้ลูกจ้างลงนามข้อตกลง "no-poaching clauses" ซึ่งหมายถึงการห้ามไม่ให้สาขาอื่นๆ ในแฟรนไชล์เดียวกันจ้างพนักงานจากอีกแฟรนไชล์ โดยถือเป็นการจำกัดการแข่งขันแย่งลูกจ้างเพื่อกดค่าแรง รวมถึงเป็นการจำกัดให้ลูกจ้างที่มีประสบการณ์ไม่สามารถเติบโตในการทำงานกับสาขาอื่นได้ 

อย่างไรก็ตามในช่วงกลางเดือน ก.ค. 2561 ที่ผ่านมามีข่าวเรื่องรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ บ็อบ เฟอร์กูสัน ประกาศเรื่องที่บรรษัทฟาสต์ฟู้ดรายใหญ่ในสหรัฐฯ รวมถึงแมคโดนัลด์ ลงนามร่วมกันว่าจะยกเลิกข้อบังคับ "no-poaching" นี้โดยที่เฟอร์กูสันแถลงว่า "กฎหมายต่อต้านการผูกขาดในรัฐของพวกเราชัดเจนว่า ธุรกิจจะต้องแข่งขันกันเพื่อหาลูกจ้างในแบบเดียวกับที่แข่งขันกันในการหาลูกค้า" โดยที่ข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลกับทั่วประเทศสหรัฐฯ ไม่ใช่เพียงแค่รัฐใดรัฐหนึ่ง 

อำนาจการกำหนดราคา และบีบช่องทางธุรกิจอื่นๆ

ไม่เพียงแค่การลิดรอนสิทธิของคนงานเท่านั้น แอมะซอนยังอาศัยการครอบงำอีคอมเมิร์ซในการกำหนดราคาสินค้าและการบีบช่องทางธุรกิจอื่น เช่น เคยมีการวิจัยจากดิอิโคโนมิสต์ระบุว่าการที่แอมะซอนไปก่อตั้งศูนย์คลังสินค้าออนไลน์ของตัวเองทำให้ธุรกิจโกดังในพื้นที่นั้นๆ มีรายได้น้อยลง บีบให้คนทำงานในโกดังเหล่านั้นมีรายได้น้อยลงไปด้วย

ในแง่ของสหภาพแรงงานที่จะช่วยเรียกร้องค่าแรงและพัฒนาสภาพการทำงาน แอมะซอนพยายามกีดกันการจัดตั้งสหภาพแรงงานโดยเสมอ ด้วยวิธีการรังแกคนที่จะมาเป็นผู้นำสหภาพเช่นการไล่ออก การสั่งปิดปฏิบัติการของคนงานที่พยายามจัดตั้ง อีกทั้งยังอบรมฝ่ายผู้จัดการว่าจะทำลายสหภาพฯ อย่างไร 

นอกจากนี้ดิแอตแลนติคยังวิพากษ์ฝ่ายกำกับดูแลของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงศาลที่ไม่อยู่ข้างสหภาพแรงงานแต่หันไปเข้าข้างเจ้าของธุรกิจซ้ำๆ มาร์ค ไพรซ นักเศรษฐศาสตร์แรงงานจากศูนย์วิจัยคีย์สโตนกล่าวว่าการถูกจำกัดของสหภาพแรงงานและปัจจัยอื่นๆ ดังที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ล้วนทำให้คนรวยล้นฟ้ารวยขึ้นเรื่อยๆ และเกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้

รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์เองก็ไม่ได้มีนโยบายที่ช่วยให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจดีขึ้นแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังซ้ำเติมให้แย่ลงไปอีกด้วยการมีนโยบายลดภาษีบรรษัทซึ่งเอื้อต่อคนรวยแทนที่จะช่วยคนงานรายได้ปานกลางและไม่ได้แก้ปัญหาช่องโหว่การเลี่ยงภาษีใดๆ เลย นอกจากนี้ยังมีการลดการกำกับดูแลธุรกิจใหญ่เหล่านี้และแต่งตั้งศาลสูงสุดเป็นกลุ่มที่มีจุดยืนสนับสนุนบรรษัทยักษ์ใหญ่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ผลลัพธ์จากสิ่งเหล่านี้ทำให้ครอบครัวชาวอเมริกันยากจนลงกว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจขณะที่คนรวยล้นฟ้าสั่งสมทรัพย์สินจำนวนมาก

ระบบเศรษฐกิจถูกปั่นให้เอื้อประโยชน์คนบางกลุ่ม

"ความเป็นห่วงเรื่องระดับความเหลื่อมล้ำอย่างน่าประหลาดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเกี่ยวกับความเป็นธรรม หรือไม่ใช่เรื่องที่ว่าอิจฉา 'องุ่นเปรี้ยว' ต่อคนที่ประสบความสำเร็จอย่างง่ายๆ เสมอไป" ดิแอตแลนติคระบุว่าความเหลื่อมล้ำจากการสั่งสมทุนแบบนี้ทำให้เกิดปัญหาทางการเมืองและการชะงักงันของเศรษฐกิจตามมา รวมถึงสร้างความเสี่ยงต่อการทำลายประชาธิปไตย

อย่างไรก็ตามดิแอตแลนติคเน้นย้ำว่าสิ่งที่พวกเขานำเสนอนี้ไม่ใช่เพราะต้องการให้มองว่าเบซอสเป็นผู้ร้าย แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่าระบบมีข้้อผิดพลาด การสั่งสมความมั่งคั่งมหาศาลท่ามกลางความเดือดร้อนเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเกมเศรษฐกิจเกมนี้มัน "ถูกปั่นระบบ" ให้เอื้อประโยชน์ต่อคนบางกลุ่มมาตั้งแต่แรกแล้ว

เรียบเรียงจาก

Jeff Bezos's $150 Billion Fortune Is a Policy Failure, The Atlantic, 01-08-2018
https://www.theatlantic.com/business/archive/2018/08/the-problem-with-bezos-billions/566552/

Some fast-food chains end restrictive "no-poach" clauses, CBS News, 12-07-2018
https://www.cbsnews.com/news/fast-food-chains-end-restrictive-no-poach-clauses/

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ผู้ผลิตเมล็ดข้าวโพด อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ แจ้งความ พ.ร.บ.คอม นักวิชาการ

Posted: 05 Aug 2018 02:15 AM PDT

ผู้ประกอบการผลิตเมล็ดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ กว่า 100 คน แจ้งความดำเนินคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กับนักวิชาการโพสต์เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดของกลุ่มเป็นเมล็ดพันธุ์ปลอม ที่มาภาพ: บ้านเมือง

เว็บไซต์บ้านเมือง รายงานเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2561 ว่าผู้ประกอบการผลิตเมล็ดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกลุ่มวิสาหกิจ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ กว่า 100 คน เข้าแจ้งความกับตำรวจสถานีตำรวจภูธร อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ เพื่อให้ดำเนินคดีข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาตรา 14 กับนักวิชาด้านการเกษตรชื่อดังหลังมีการโพสต์ในโลกโซเซียลว่าเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใน อ.พร้าว นั้นเป็นเมล็ดพันธุ์ปลอม

ข้อความสนทนาในเฟสบุ๊คของนักวิชาการด้านการเกษตรอิสระ เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา มีการโพสต์พูดคุยถึงเรื่องเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใน อ.พร้าว ว่า "เป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดปลอมและมีการต้องดูว่าขโมยมาหรือมีงานวิจัยของพร้าวและเป็นการขโมยทั้งอำเภอ" เป็นหลักฐานสำคัญที่ผู้ประกอบการจำหน่ายเมล็ดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 27 รายและชาวบ้านกลุ่มรัฐวิสาหกิจชุมชนกว่า 100 ราย นำมาเป็นหลักฐานเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.พร้าว เพื่อให้ดำเนินคดีกับนักวิชาการด้านการเกษตรชื่อดัง เนื่องจากหลังมีการพูดคุยและแชทคอมเม้นใน เฟสบุ๊คทำให้กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมากส่งผลทำให้ผู้ประกอบการและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่จำหน่ายเมล็ดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เมล็ดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่สามารถจำหน่ายได้บางรายมีการสั่งซื้อแล้วแต่ยกเลิกการสั่งซื้อเมล็ดข้าวโพด

นายพลวัฒน์  จันทร์ชื่น ผู้ประกอบการจำหน่ายเมล็ดพันธ์ข้าวโพด ลานนาการเกษตร ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ให้กับเกษตรกรบ้านนาไร่เดียว อ.สอง จ.แพร่ ซึ่งเป็นผู้ได้โพสต์เรื่องนี้ก่อนเนื่องจากซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดไปแล้วแต่ปลูกไม่ออกทำให้นักวิชาการด้านการเกษตรอิสระเข้ามาแสดงความคิดเห็นพร้อมเสนอขายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดของตัวเองให้แต่ต่อมาภายหลังผู้ประกอบการได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า มีเกษตรกรในพื้นที่บ้านนาไร่เดียวได้ซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไป 4 ราย แต่มีเพียง 1 รายเท่านั้นที่ปลูกแล้วข้าวโพดไม่ออกเนื่องจากปลูกเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. เป็นช่วงที่ฝนไม่ตกและขาดน้ำส่งผลให้ข้าวโพดไม่ออก ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ยอมรับและกล่าวคำขอกับผู้ประกอบการแล้ว แต่สำหรับนักวิชาด้านการเกษตรอิสระนั้นหลังเกิดเหตุไม่ได้มีการติดต่อมาขอโทษและไม่รับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด

ขณะที่นายสุทัต เชื้อนาม กำนันตำบลเขื่อนผาก เปิดเผยว่าในฐานะได้รับมอบอำนาจผู้ประกอบการเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้มีการหารือกันถึงการกระทำดังกล่าวสร้างความเสียหาย ส่งผลให้ยอดขายลดลงและขอคืนเมล็ดพันธุ์ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดไม่เชื่อมั่นในเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของอำเภอพร้าว ทางผู้ประกอบการจึงกังวลว่าถ้าหากไม่มีการดำเนินการหรือชี้แจ้งรวมไปถึงแจ้งความกับผู้ที่ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของอำเภอพร้าวว่าปลอมจริง

ด้านพันตำรวจเอกวิชาธร ผิวพรรณ ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรพร้าวได้ออกมารับเรื่องของชาวบ้านพร้อมให้พนักงานสอบสวนรับคดีเป็นพิเศษพร้อมจะเรียกผู้เสียหายมาสอบปากคำก่อนหลังจากนั้นจะเรียกคู่กรณีมาสอบสวนอีกครั้ง

สำหรับอำเภอพร้าวนั้นถือว่าเป็นแหล่งปลูกเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ SME รายใหญ่ทีสุดในประเทศไทยมีผู้ประกอบการ SME รายใหญ่ 44 ราย SMEรายย่อย 100 กว่าราย โดยในแต่ละปีอำเภอพร้าวนั้นสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ได้ปีละ 10,000 ตัน สร้างรายได้ให้กับอำเภอพร้าวถึง 800 ล้านบาท ซึ่งเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของอำเภอพร้าวนั้นจำหน่ายเพียงกิโลกรัมละ 80 บาท ถ้าเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีการจำหน่ายสามารถลดต้นทุนให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดทั่วประเทศไทย ที่มีพื้นที่ 7 ล้านไร่ คิดเป็นเงินถึงปีละสองพันหนึ่งร้อยล้านบาท

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นักเศรษฐศาสตร์แนะเปิดประมูลโครงการรัฐขนาดใหญ่ ควรรอรัฐบาลเลือกตั้ง

Posted: 05 Aug 2018 01:03 AM PDT

คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต แนะเร่งรัดลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจทางด้านคมนาคมและระบบรางก่อนเลือกตั้ง ลดต้นทุนโลจีสติกส์ของประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจในระยะยาว แต่ให้ระวังการก่อหนี้ภาครัฐ ปัญหาทุจริตรั่วไหลของโครงการตลอดจนการประเมินโครงการเชิงบวกมากเกินไปจนเกิดการลงทุนเกินความจำเป็น ประสบภาวะขาดทุนยาวนานและเป็นภาระทางงบประมาณ ส่วนการเร่งรัดการเปิดประมูลโครงการใหญ่ๆ นั้นไม่มีความจำเป็น ควรรอรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง 

ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

5 ส.ค. 2561 ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้แสดงความเห็นต่อการเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและเร่งรัดการเปิดประมูลโครงการเมกะโปรเจคต์ต่างๆ ก่อนการเลือกตั้งว่าการเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจทางด้านคมนาคมและระบบรางก่อนเลือกตั้งหลายแสนล้านบาทเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องรอบคอบ โปร่งใส และเป็นไปตามยุทธศาสตร์ มองผลประโยชน์ระยะยาวของประเทศเป็นหลัก ส่วนการหวังกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนการเลือกตั้งนั้นไม่ควรนำมาเป็นเป้าหมายหลัก เป็นเพียงผลพลอยได้จากการลงทุนเมกะโปรเจคต์เหล่านี้ เนื่องจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจจะก่อให้เกิดการลดต้นทุนโลจีสติกส์ของประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจในระยะยาว เพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ให้ระวังเรื่องการก่อหนี้ภาครัฐและการบริหารจัดการหนี้สาธารณะในอนาคต ต้องระมัดระวังการให้สัมปทานที่อาจเอื้อประโยชน์กับเอกชนรายใหญ่จนก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อรัฐและประชาชน ต้องเอาใจใส่กับปัญหาทุจริตรั่วไหลของโครงการตลอดจนต้องไม่ประเมินโครงการต่างๆ ในเชิงบวกมากเกินไปจนเกิดการลงทุนเกินความจำเป็นไม่คุ้มทุน ประสบภาวะขาดทุนยาวนานและเป็นภาระทางงบประมาณจำนวนมากในอนาคต 

สำหรับประเด็นการประเมินโครงการลงทุนขนาดใหญ่เชิงบวกมากเกินไปนั้นเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ จากแบบสำรวจของหอการค้าญี่ปุ่นในกรุงเทพฯและองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นหรือเจโทรได้ถามถึงความกังวลใจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยเกี่ยวกับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อีอีซี โดยพบว่า 36% มีความกังวลใจต่อมุมมองเชิงบวกของรัฐบาลไทยต่ออุปสงค์ในอนาคต เช่น กรณีการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ตลอดจนการก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งรัฐบาลได้ประมาณการตัวเลขผู้ใช้บริการทั้งรถไฟฟ้าความเร็วสูงและสนามบิน ซึ่งอาจจะเป็นตัวเลขที่มีมุมมองเชิงบวกเกินไป ทำให้มีผลต่อการประมาณการลงทุนโครงการ รวมทั้งตัวเลขการลงทุนของบริษัทเอกชนในพื้นที่อีอีซี บริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาสำรวจข้อมูลและประเมินแล้วไม่ได้ออกมาเป็นบวกมากเท่าตัวเลขของรัฐบาล นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมการลงทุนโครงการพื้นฐานทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่บางส่วนนั้นเป็นการลงทุนแบบ PPP คือเป็นการลงทุนรัฐร่วมเอกชน ซึ่งขณะนี้บางโครงการยังไม่มีความชัดเจนตามที่วางแผนไว้ ซึ่งผลสำรวจมีบริษัทญี่ปุ่น 35% ยังมีความกังวลถึงความไม่ชัดเจนของแผนการพัฒนาโครงการต่างๆ ในเขตอีอีซี เป็นต้น 

ส่วนการเร่งรัดการเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ในรัฐบาลชุดนี้อาจไม่ได้มีความจำเป็นมาก การเปิดประมูลภายในระบบการเมืองแบบปิดอาจก่อให้เกิดการเอื้อประโยชน์จากการวิ่งเต้นกับผู้มีอำนาจได้ง่าย การเปิดประมูลภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่มีระบบตรวจสอบถ่วงดุลและต้องดำเนินการตามกฎหมายวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัดจะเป็นการเหมาะสมกว่า ตั้งแต่เดือน ก.ค.ไปจนถึงปลายปีนี้ กระทรวงคมนาคมจะทะยอยเสนอโครงการต่างๆไปให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ ซึ่งในส่วนโครงการรถไฟทางคู่เฟสสอง 9 เส้นทาง 3.9 แสนล้านบาท จะเสนอ ครม.ทั้งหมดในปีนี้ และคาดว่าในเดือนก.ค.จะเสนอรถไฟทางคู่สายใหม่เส้นทางเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ วงเงิน 7.2 หมื่นล้านบาทให้ ครม.พิจารณาได้ ส่วนที่เหลืออีก 8 เส้น อยู่ระหว่างดำเนินการตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ 1.01 แสนล้านบาท จะเปิดประมูลในเดือน ต.ค.นี้ ส่วนสายสีส้มตะวันตกช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-บางขุนนนท์ 1.09 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนแบบ PPP จะเสนอครม.อนุมัติในเดือน พ.ย.นี้ ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงส่วนต่อขยาย 3 เส้นทาง 2.6 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเสนอ ครม.พิจารณาได้ในเดือน ต.ค.-พ.ย.ปีนี้เช่นกัน และโครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 จะเปิดประมูลปลายปีนี้ เป็นต้น 

หากรัฐบาล คสช วิตกกังวลว่า โครงการขนาดใหญ่อาจจะมีความล่าช้า ไม่มีความต่อเนื่องหลังการเลือกตั้งก็ต้องถามว่าทำไมผู้มีอำนาจจึงร่างรัฐธรรมนูญออกแบบให้ระบบเลือกตั้งได้รัฐบาลที่อ่อนแอ ยกเว้นรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจจาก คสช. เท่านั้นจึงจะเข้มแข็งด้วยเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา 250 เสียงที่ตัวเองแต่งตั้ง การออกแบบรัฐธรรมนูญแบบนี้ไม่ได้เป็นการวางรากฐานให้ระบอบประชาธิปไตยมั่นคงแต่ต้องให้เกิดความมั่นคงในการสืบทอดอำนาจมากกว่า เมื่อไม่ได้รัฐบาลเข้มแข็งหลังการเลือกตั้งย่อมเป็นอุปสรรคต่อการสานต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการขนาดใหญ่ทั้งหลาย ไม่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการปฏิรูปประเทศและจะทำให้ประเทศประชาชนเสียโอกาส  

ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่ออีกว่าขอเสนอให้ออกระเบียบและเงื่อนไขเพิ่มเติมด้านสิ่งแวดล้อม การถ่ายโอนเทคโนโลยี สภาพการจ้างงาน และการดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งการให้สัมปทานต่างชาติในโครงการขนาดใหญ่ต้องรอบคอบและโปร่งใส การให้สัมปทานต้องยึดหลักธรรมาภิบาล มียุทธศาสตร์ที่ดี รักษาดุลอำนาจอย่างเหมาะสมในโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อให้ผลประโยชน์จากการลงทุนกระจายมายังคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่คนไทยกลุ่มเล็กๆ หรือทุนขนาดใหญ่ข้ามชาติเท่านั้น นอกจากนี้ควรเร่งรัดในการบังคับใช้กฎหมายภาษีลาภลอยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจเกิดความเป็นธรรมในการใช้งบประมาณในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่  

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สปสช. เผย 10 ปี ใช้สิทธิประโยชน์ปลูกถ่ายเซลล์เต้นกำเนิดเม็ดโลหิต เกือบ 400 ราย

Posted: 05 Aug 2018 12:14 AM PDT

สปสช.จับมือ 8 ร.ร.แพทย์ ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เผย 10 ปี สิทธิประโยชน์ปลูกถ่ายเซลล์เต้นกำเนิดเม็ดโลหิต รักษาผู้ป่วยแล้วเกือบ 400 ราย ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงการรักษา ลดภาระค่าใช้จ่ายค่ารักษาครอบครัว

5 ส.ค. 2561 นพ.จักรกริช โง้วศิริ ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Hematopoietic Stem Cell Transplantation: HSCT) เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาผู้ป่วยที่เป็นมาตรฐานในผู้ป่วยรายที่มีข้อบ่งชี้ เพื่อให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเข้าถึงการรักษาด้วยวิธีการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) จึงได้บรรจุสิทธิประโยชน์การรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามแนวทางราชวิทยาลัยแพทย์สาขาที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2551 ที่ผ่านมาได้มีผู้ป่วยเข้ารับบริการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแล้วรวมจำนวน 387 ราย โดยเป็นกรณีผู้ป่วยเด็ก จำนวน 73 ราย และกรณีผู้ป่วยผู้ใหญ่ จำนวน 314 ราย

สำหรับในปีงบประมาณ 2561 นี้ สปสช.ได้ตั้งเป้าหมายการให้บริการ จำนวน 62 ราย และหน่วยบริการได้ให้การรักษาแก่ผู้ป่วยแล้วรวมจำนวน 29 ราย โดยกรณีผู้ป่วยผู้ใหญ่จำนวน 23 ราย และกรณีผู้ป่วยเด็กจำนวน 6 ราย (ข้อมูล ณ 8 มิถุนายน 2561)

นพ.จักรกริช กล่าวว่า ขณะนี้การให้บริการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีหน่วยบริการที่ขึ้นทะเบียนการให้บริการจำนวน 8 แห่ง ได้แก่ รพ.ศิริราช รพ.รามาธิบดี รพ.จุฬาลงกรณ์ รพ.พระมงกุฎเกล้า รพ.สงขลานครินทร์ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ รพ.มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก และ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น โดยการสนับสนุนงบประมาณเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและแนวทางที่กำหนด รายละ 800,000 บาท โดยค่าชดเชยการรักษาพยาบาลดังกล่าวประกอบไปด้วย ค่า HLA Matching ค่าทำการปลูกถ่ายไขกระดูก ค่ายากดภูมิคุ้มกัน เคมีบำบัด รังสีรักษา ค่ายารักษาโรคติดเชื้อหรืออาการแทรกซ้อนในระหว่างการดูแลผู้ป่วย รวมถึงค่าติดตามดูแลผู้ป่วยเป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่มีการจำหน่ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล

"โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นโรคค่าใช้จ่ายสูง ในอดีตมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยต้องเสียชีวิตลงด้วยข้อจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีการรักษา ภายหลังจากการแพทย์ที่พัฒนาก้าวหน้า ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้หายขาดได้โดยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต แต่ยังคงมีอุปสรรคค่าใช้จ่ายการรักษาที่แพงมาก และด้วยผลการรักษาผู้ป่วยที่คุ้มค่า ดังนั้น บอร์ด สปสช.จึงได้บรรจุการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตเป็นสิทธิประโยชน์ภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ส่งผลให้ผู้ป่วยร่วม 400 รายได้รับการรักษาและดูแลอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือนและผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น"ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. กล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'รวมพลังประชาชาติไทย' เลือก 'หม่อมเต่า' นั่งหัวหน้าพรรค

Posted: 04 Aug 2018 11:57 PM PDT

พรรครวมพลังประชาชาติไทยเลือก 'ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล' หรือ 'หม่อมเต่า' เป็นหัวหน้าพรรค 'พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์' เป็นกรรมการบริหารพรรค 'สุเทพ' มั่นใจได้ร่วมรัฐบาล ขอเป็นโค้ชพี่เลี้ยงดันรุ่นใหม่รับตำแหน่ง

5 ส.ค. 2561 มติชนออนไลน์ รายงานว่าที่โรงแรมแลนด์มาร์ค พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) มีการประชุมผู้ร่วมจัดตั้งพรรค โดย ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ในฐานะประธานในที่ประชุม แจ้งว่า การประชุมพรรคในวันนี้ จะนำไปสู่การจดทะเบียนต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองเพื่อตั้งเป็นพรรคการเมืองตามกฎหมายต่อไป

จากนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมจัดตั้งพรรค กล่าวว่า เราต้องการเห็นการปฏิรูปตามเจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชน และเมื่อได้พิจารณาสถานการณ์ทางการเมืองรอบด้านแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นต้องจัดตั้งพรรคการเมืองที่เป็นพรรคการเมืองของประชาชน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าพร้อมกับการปฏิรูปประเทศ โดยเริ่มจากการพูดคุยจากกลุ่มเล็กๆจนได้ข้อสรุปว่าต้องตั้งพรรคการเมืองของประชาชนให้ได้ ไม่ได้เพื่อประโยชน์ของใคร แต่เป็นเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งพรรคการเมืองนี้จะเป็นต้นแบบของพรรคการเมืองของประชาชนต่อไป

นายสุเทพ กล่าวว่า หัวใจสำคัญของพรรคนี้ คือ ประชาชน เป็นเจ้าของพรรคที่กำหนดนโยบายพรรคการเมืองและเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองเป็นการลงคะแนนโดยตรงและประชาชนจะเป็นผู้กำกับควบคุมให้ผู้บริหารพรรคการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ของพรรคการเมือง ดังนั้นเป้าหมายใหญ่ของเรา คือ การประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับประชาชนทั่วประเทศที่มีอุดมการณ์เดียวกันมาร่วมกันเป็นเจ้าของพรรคการเมือง เพื่ออนาคตของประเทศไทย

นายสุเทพ กล่าวต่อว่า พรรคเราถือหลักว่าประชาชนเป็นผู้กำหนดทิศทาง นักการเมืองมีหน้าที่ทำความฝันของประชาชนให้สำเร็จ ที่สำคัญ คือ พรรคต้องมีวินัยและจริยธรรม จึงต้องมีกรรมการวินัยและจริยธรรมเพื่อคอยกำกับนักการเมือง รับรองว่าไม่ต้องรอให้นักการเมืองไปสร้างความเสียหายเกิดขึ้น แต่เราจะควบคุมกันเองก่อนทันที ซึ่งทั้งหมดเตรียมการเอาไว้แล้ว แต่ยังทำอะไรมากไม่ได้ เพราะคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังไม่สามารถให้ทำกิจกรรมทางการเมือง จึงจำเป็นต้องรอคสช.ก่อน จากนั้นจะเดินหน้าทันที

นายสุเทพ กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งใกล้เข้ามาแล้ว มีหลายเรื่องที่เราต้องทำ เช่น การตั้งสาขาพรรค การเตรียมตัวผู้สมัครสส.บัญชีรายชื่อและแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง รวมไปถึงการทำไพรมารี่โหวต ยืนยันว่าทุกเขตเลือกตั้งของพรรค จะต้องมาจากการทำไพรมารี่โหวต เรียกได้ว่าประชาชนเป็นคนกำหนดตัวผู้สมัครของพรรค เช่นเดียวกับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ตกลงกันแล้วว่าจะให้มีจำนวนชายและหญิงเท่ากัน แต่ทั้งหมดจำเป็นต้องจัดตั้งพรรคให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อน

"ผมยังยืนยันว่าภูมิใจที่จะยืนเคียงข้างพรรคการเมืองนี้และจะทำงานอย่างทุ่มเทกับทุกคน และจะไม่รับตำแหน่งใดๆในพรรคการเมืองนี้ ผมตั้งใจจะเป็นผู้รับใช้ประชาชนเพื่อสร้างพรรคการเมืองนี้ อีกทั้งจะไม่ลงสมัครสส.ทั้งระบบแบ่งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ แต่ผมจะขึ้นเวทีปราศรัยช่วยพรรคทั่วประเทศ เชื่อมั่นว่าพรรคเราจะได้เป็นรัฐบาล ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่หมอดู แต่ด้วยความที่อยู่ในการเมืองมานาน และพรรคเราเป็นพรรคของประชาชนแท้จริง ใครๆก็อยากคบด้วย และภายหลังการเลือกตั้งไม่มีรัฐบาลพรรคเดียวแน่นอน แต่จะเป็นรัฐบาลผสม ถึงเวลานั้นก็รอรับขันหมากได้เลย ผมจะไม่รับตำแหน่งในรัฐบาล ผมจะสนับสนุนนักการเมืองรุ่นใหม่ให้ขึ้นมาทำหน้าที่ โดยผมจะทำหน้าที่เป็นโค้ชและพี่เลี้ยงและนำประสบการณ์ของผมกว่า 40 ปีไปช่วยงานต่อไป เป็นการตอกย้ำว่าผมเองยังรักษาคำพูด และการตั้งพรรคการเมืองนี้ไม่ได้หวังประโยชน์ส่วนตัวเพราะตั้งใจรับใช้ประชาชน" นายสุเทพ กล่าว

ต่อมา ที่ประชุมได้เข้าสู่กระบวนการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคจำนวน 7 ตำแหน่ง โดยมีมติดังนี้

1.ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าพรรค ด้วยคะแนนเสียง 331 คะแนน (ทั้งนี้ ได้มีผู้ร่วมจัดตั้งพรรคเสนอชื่อนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นแคนดิเดทในตำแหน่งหัวหน้าพรรค แต่นายเอนก ประกาศขอถอนตัว โดยระบุว่า ม.ร.ว.จัตุมงคล มีความเหมาะสมมากกว่า)
2.นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง อดีตอัยการ เป็นเลขาธิการพรรค ด้วยคะแนนเสียง 328 คะแนน 
3.น.ส.จุฑาทัตต เหล่าธรรมทัศน์ เป็นเหรัญญิกพรรค ด้วยคะแนนเสียง 326 คะแนน 
4.ร.ต.อ.จอมเดช ตรีเมฆ อาจารย์ประจำสถาบันอาชญาวิทยา และการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นนายทะเบียนพรรค ด้วยคะแนนเสียง 315 คะแนน 
5.พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานข่าวกรองแห่งชาติ เป็นกรรมการบริหารพรรค ด้วยคะแนนเสียง 327 คะแนน 
6.นายวีระชัย คล้ายทอง อดีตอัยการ เป็นกรรมการบริหารพรรค ด้วยคะแนนเสียง 326 คะแนน 
7.นางสุเนตตา แซ่โก๊ะ เป็นกรรมการบริหารพรรค ด้วยคะแนนเสียง 324 คะแนน 

ทั้งนี้นายสุเทพ กล่าวว่า คณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้จะทำหน้าที่ไปจนกว่าจะการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งแรก จากนั้นจะมีการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารชุดถาวร โดยส่วนตัวอยากให้มีสมาชิกพรรคประมาณ 5-6แสนคนเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรค

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น