ประชาไท Prachatai.com |
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 6-12 ส.ค. 2561
- รมต.เยเมน วิจารณ์การโจมตีของสหรัฐฯ ในเยเมนทำพลเรือนเสียชีวิต ไม่ทำให้โลกนี้ปลอดภัยมากขึ้น
- วงเสวนาชวนเหลียวหลัง แลหน้า ข้อท้าทายพม่าครบรอบ 30 ปี ปชช. ลุกสู้เผด็จการ
- ประมวลความเห็น: เราจะมีรัฐสวัสดิการได้ยังไง?
- เผยทหารคุมตัวอาสาสมัครมูลนิธินูซันตารา เหตุรุนแรง อ.บาเจาะ
- กทม. เตรียมติดประกาศห้ามมีเพศสัมพันธ์ในสวนสาธารณะ
- ชี้ 'ทักษิณ' เตือนสติพรรคที่ดูด ส.ส.มีแรงดึงดูดอะไรให้ชาวบ้านเลือก
- คดี ม.112 'ช่างตัดแว่นเชียงราย' พนง.สส. ไม่เคยสอบผู้บันทึกภาพ และไม่พบ URL ในภาพที่กล่าวหา
- มีมติย้ายที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 และบ้านพัก ไปสร้างที่เชียงราย
- เตือน 49 จังหวัด เตรียมพร้อมรับมือฝนตกหนัก 13 - 16 ส.ค.นี้
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 6-12 ส.ค. 2561 Posted: 11 Aug 2018 03:05 PM PDT Submitted on Sun, 2018-08-12 05:05 ม.ค.-ก.ค. 2561 ส่งแรงงานไทยไปต่างประเทศกว่า 39,000 คน/มาเลย์จัดหนักจับคนไทยไปทำงานผิด ก.ม. สิ้น ส.ค.โทษหนักปรับจำคุก 5 ปี/13 อาชีพ เสี่ยงตกงาน ธุรกิจไทยพึ่ง AI แทนพนักงาน/'อธิบดีกรมสรรพากร' ออกประกาศหักเงินเดือน 'ขรก.-ลูกจ้างประจำ' ชำระหนี้ กยศ./สถานทูตเตือน 250 คนไทยในอิสราเอล อยู่ในพื้นที่เสี่ยงระเบิดลง/แรงงานหญิงไทยเผยนาทีถูกลูกหลงระเบิดจากเหตุสู้รบใกล้ฉนวนกาซา เร่งเยียวยาทายาท 2 ศพคนไทยใหลตายอิสราเอล พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรง งาน เป็นประธานการประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ร่วมกับนายศักดินาถ สนธิศักดิ์โยธิน อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล พร้อมด้วยนายอภิชาติ วงศ์กาฬสินธุ์ จัดหางานจังหวัดนครพนม นางพัชรีย์ พรหมสาขา ณ สกลนคร นักวิชาการแรงงานปฏิบัติงาน ฯลฯ เพื่อติดตามความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือแรงงานไทย กรณีมีคนงานไทยจังหวัดนคร พนมเสียชีวิตในต่างประเทศ 2 ศพ โดยมีทายาทของผู้เสียชีวิตร่วมรับฟังด้วย รายแรกเหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2561 นายณัฐชัย ป้องเศร้า อายุ 32 ปี ชาวนครพนมเดินทางไปทำงานภาคเกษตรที่ประเทศอิสราเอลตั้งแต่ปี 2558 เสียชีวิตด้วยภาวะใหลตายในห้องพัก รายที่สองเหตุเกิดวันที่ 5 ส.ค. 2561 นายพรชัย พรมจันทร์ อายุ 43 ปี ชาวนครพนม เมื่อปี 2556 ไปทำงานอยู่ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ช่วงเช้ามืดของวันดังกล่าวเพื่อนร่วมงานเข้าไปปลุก พบว่านายพรชัยเสียชีวิตแล้ว ทั้งนี้ รมว.แรงงานได้แสดงความเสียใจต่อการจากไปของคนงานไทยทั้งสอง และสั่งกำชับเจ้าหน้าที่ดำเนินการด้านสิทธิประโยชน์ให้ทายาทคนตายโดยเร็วที่สุด นายอภิชาติกล่าวว่า กรณีนายณัฐชัยเบื้องต้นทายาทจะได้รับเงินชดเชย+เงินเดือนงวดสุดท้าย+ค่าจ้างค้างจ่าย จำนวน 95,000 บาท เงินสงเคราะห์กองทุนเพื่อช่วยเหลือคนงานในต่างประเทศ จำนวน 40,000 บาท เงินประกันสังคมอีก 10,176 บาท เนื่องจากผู้ตายก่อนหน้าไปทำงานเคยเป็นผู้ประกันตน ส่วนเงินประกันสุขภาพจะเป็นค่าจัดส่งกลับบ้านเกิดที่ศรีสะเกษ ด้านนายพรชัย ทายาทจะได้เงินชดเชย+เงินเดือนงวด สุดท้าย+ค่าจ้างค้างจ่าย รวม 190,000 บาท เงินสงเคราะห์ 40,000 บาท ส่วนเงินประกันสุขภาพจะเป็นค่าดำเนินการส่งศพกลับประเทศไทย โดยผู้ตายทั้งสองรายจะได้เงินฌาปนกิจสง เคราะห์จากกองทุนหมู่บ้านอีกราย ละ 15,000 บาท โดยนายบุญเลิศ พรมจันทร์ พ่อของผู้เสียชีวิต กล่าวว่าลูกชายเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่แรงงานทุกฝ่ายที่ดำเนินการทุกอย่างจนเสร็จสิ้น นายจ้างที่มีการใช้สารเคมีอันตราย ต้องแจ้งชื่อสารเคมีต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานภายใน 7 วันนับแต่วันที่มีสารเคมีอันตรายอยู่ในครอบครอง นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ.2556 กำหนดให้นายจ้างที่มีสารเคมีอันตรายอยู่ในครอบครอง ต้องจัดทําบัญชีรายชื่อสารเคมีอันตรายและรายละเอียดข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมีอันตรายตามแบบที่กําหนด พร้อมทั้งแจ้งรายชื่อของสารเคมีอันตรายต่อกสร.ภายใน 7 วันนับแต่วันที่มีสารเคมีอันตรายอยู่ในครอบครอง อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากนั้นภายในเดือนมกราคมของทุกปีนายจ้างต้องแจ้งบัญชีรายชื่อสารเคมีอันตราย และรายละเอียดข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมีอันตรายที่มีอยู่ในครอบครองต่อกสร. ด้วย จึงขอให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากฝ่าฝืนจะมีความผิดโดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีต้องการทราบรายชื่อสารเคมีอันตรายหรือแบบแจ้งรายชื่อ สามารถดาวน์โหลดได้ที่ www.oshthai.org หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่กองความปลอดภัยแรงงาน โทรศัพท์ 0 2448 9141 ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 11/8/2561 แรงงานหญิงไทยเผยนาทีถูกลูกหลงระเบิดจากเหตุสู้รบใกล้ฉนวนกาซา แรงงานไทยในอิสราเอลยังคงต้องพักอาศัยบริเวณใกล้เคียงพื้นที่สู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ใกล้ฉนวนกาซา หญิงไทยเผยถูกลูกหลงขณะอาบน้ำ แรงระเบิดผลักกระเด็นติดข้างฝา และได้รับบาดเจ็บที่ท้อง น.ส.จันทร์เพ็ญ แซ่จ๋าว อายุ 33 ปี แรงงานไทยจากจังหวัดพะเยา ซึ่งเดินทางไปทำงานภาคการเกษตรที่อิสราเอล ถูกลูกหลงจากเหตุการณ์สู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ใกล้ฉนวนกาซาเมื่อเช้าตรู่วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา เปิดเผยกับบีบีซีไทยจากโรงพยาบาลโซโรกา เบเชฟว่า ว่าขณะนี้ได้รับการผ่าตัดนำสะเก็ดระเบิดที่ติดฝังอยู่บริเวณหน้าท้องออกไปแล้ว แต่ยังต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลต่อไป โดยยังมีอาการเจ็บปวดที่หน้าท้องและขา น.ส.จันทร์เพ็ญ ซึ่งเดินทางไปทำงานในอิสราเอลได้ราว 1 ปีเศษ โดยทำงานอยู่ที่โมชาฟ หรือหมู่บ้านสหกรณ์การเกษตร Talmei Eliyahu ทางใต้ของอิสราเอลห่างจากฉนวนกาซาประมาณ 7 กิโลเมตร เล่าว่าขณะเกิดเหตุเวลาประมาณ 05.30 น. นั้น กำลังอาบน้ำในห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน ในขณะนั้นได้เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงจนทำให้เซไปติดอยู่ที่ข้างฝาห้องน้ำ จากนั้นก็หมดสติ "มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ปวดหน้าท้อง ตอนนั้นยังอยู่ในห้องน้ำ หนูเลยเดินไปหยิบผ้าถุงมาใส่ และออกจากห้องน้ำมาหาเพื่อนเพื่อขอให้ช่วย" น.ส.จันทร์เพ็ญ กล่าว และว่าขณะนี้รู้สึกหวาดกลัว และยังไม่แน่ใจว่าจะอยู่ทำงานในอิสราเอลต่อไปหรือไม่ ด้านแรงงานหญิงไทยอีกคนหนึ่งที่ทำงานในสหกรณ์การเกษตรเดียวกันบอกกับบีบีซีไทยว่า เหตุเกิดในขณะที่แรงงานเตรียมตัวหุงหาอาหารเพื่อนำไป รับประทานขณะทำงานในสวน แต่ตนเองได้ดูข่าวและทราบว่ามีการสู้รบกันใกล้โรงงานบรรจุผักซึ่งอยู่ใกล้ที่พักของแรงงานอีกจำนวนหนึ่ง จึงไม่ได้ออกไปทำงาน "เรามองเห็นด้วยตาเปล่าเลย มันลงไวมาก พอเขาประกาศเสร็จเรามองไปเห็นท้องฟ้ามันแดงฉาน มันบึ้มลงตรงนั้น และคิดว่าเรียบร้อยแล้วอีกแคมป์หนึ่ง พอเราโทรไปหาเพื่อนเขาบอกว่าโดนแล้ว พอเหตุการณ์สงบ เราก็ปั่นจักรยานไปดูที่โรงงาน ตำรวจทหารมาเต็มไปหมดแล้วเขาก็ ไล่แรงงานให้ไปรวมตัวกันที่ออฟฟิศ" ขณะนี้กลุ่มแรงงานได้แจ้งกับนายจ้างและทางสถานทูตไทยที่เดินทางไปในพื้นที่ว่ายังขวัญเสียและจะกลับไปทำงานอีกครั้งในวันจันทร์ แรงงานไทยอีกคนหนึ่งเล่าว่าแม้จะเกิดเหตุที่ทำให้มีแรงงานได้รับบาดเจ็บ แต่แรงงานที่พักอยู่ในบริเวณเดียวกันประมาณ 40-50 คน ยังคงต้องอาศัยในจุดที่อาจเกิดอันตรายต่อไป โดยไม่มีห้องพักที่เพียงพอ บ้างก็ต้องนอนกลางแจ้ง นอกจากแรงงานไทยกลุ่มดังกล่าวแล้วยังมีแรงงานอีกกว่าสองร้อยคนที่ทำงานในสหกรณ์การเกษตรเดียวกัน ที่ยังคงต้องทำงานต่อไป ด้านสถานทูตไทยในอิสราเอลให้ได้ออกประกาศเตือนแรงงานให้ระวังอันตรายจากการยิงจรวดเข้ามาในเขตเอชโกลทางใต้ของอิสราเอล โดยขอให้ติดตามข่าวสาร และระวังอันตราย หากได้ยินเสียงเตือน/ไซเรนให้รีบหลบเข้าที่กำบัง อย่างไรก็ดี แรงงานที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวบอกบีบีซีไทยว่าที่ทำงานและที่พักไม่มีที่กำบังให้เข้าไปหลบภัย ปัจจุบันมีแรงงานไทยทำงานในภาคการเกษตรในอิสราเอลกว่า 25,000 คน ส่วนใหญ่ต้องพักอาศัยในที่พักที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ต้องทำงานโดยมีชั่วโมงทำงานที่ยาวนาน และได้รับค่าแรงไม่ตรงตามสัญญาจ้าง สถานทูตเตือน 250 คนไทยในอิสราเอล อยู่ในพื้นที่เสี่ยงระเบิดลง! เมื่อ 9 ส.ค. 2561 น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า ตามที่มีรายงานข่าวการยิงจรวดจากเขตกาซาเข้ามาในเขตเอชโกล ทางตอนใต้ของอิสราเอล เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2561 นั้น สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ ขอแจ้งเตือนคนไทยในเขตพื้นที่เสี่ยง โปรดติดตามข่าวสาร และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของอิสราเอลอย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตได้ที่ +972 9 9548412 / 9548413 ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไปด้วย หรือ ติดต่อคอลเซ็นเตอร์กรมการกงสุล หมายเลข 0 2572-8442 ตลอด 24 ชั่วโมง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจาก สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อที่พักแรงงานไทยที่ย่านโมชาฟ เทลมี ทำให้มีแรงงานไทยได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 คน โดยแรงงานหญิงได้เข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาล และขณะนี้ปลอดภัยแล้ว ส่วนแรงงานชายอีก 1 คนบาดเจ็บเล็กน้อยและกลับบ้านพักแล้วนั้น ทั้งนี้พื้นที่โมชาฟ เทลมีห่างจากชายแดนกาซาประมาณ 7 กิโลเมตรและห่างจากกรุงเทลอาวีฟ 116 กิโลเมตร โดยมีแรงงานไทยทำงานอยู่ประมาณ 250 คน สถานเอกอัครราชทูตและอัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงานได้ประสานงานกันอย่างใกล้ชิดโดยติดต่อสอบถามและกับนายจ้างและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นฝ่ายอิสราเอล ได้ตรวจสอบความปลอดภัยของแรงงานไทยในพื้นที่ รวมถึงนักศึกษาฝึกงานจากไทยในเขตอาราวาจำนวน 90 คน ได้รับทราบว่าปลอดภัยดี กสร. เล็งออกกฎหมายคุ้มครองแรงงานในกิจการฟาร์มสัตว์ปีก นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า คณะทำงานพิจารณายกร่างกฎกระทรวงกำหนดงานที่นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันสะสมและเลื่อนวันหยุดประจำสัปดาห์ พ.ศ. …. ได้พิจารณาออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองแรงงานในกิจการฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีก เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทและสภาพการจ้าง การทำงานในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีกที่มีลักษณะแตกต่างจากงานทั่วไปและมีข้อกำหนดที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยทางชีวภาพสำหรับฟาร์มสัตว์ปีกอีกด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเนื้อหาในร่างกฎกระทรวงดังกล่าว อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันมีฟาร์มสัตว์ปีกที่ขึ้นทะเบียนกับกรมปศุสัตว์ จำนวน 8,624 ฟาร์ม ซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการที่เลี้ยงสัตว์ปีกเพื่อการค้า โดยครอบคลุมถึงพื้นที่เลี้ยง สถานที่เก็บและเตรียมอาหาร บริเวณสำหรับทำลายซาก เป็นต้น ดังนั้นการออกกฎกระทรวงดังกล่าวต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ถี่ถ้วนเพื่อเป็นการคุ้มครองดูแลแรงงานให้ครอบคลุมทั่วถึง เกิดความยืดหยุ่นและยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน ตลอดจนเป็นไปตามมาตรฐานแรงงานสากล ที่มา: กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน, 10/8/2561 เรือนจำประจวบฯ หนุนงบกองทุนให้ผู้ต้องขังพ้นโทษ รายละไม่เกิน 30,000 บาทใช้เป็นทุนประกอบอาชีพ นายสมเกียรติ มณีรัตน์ ผู้บัญชาการเรือนจำ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำ เพื่อเป็นหน่วยรับลงทะเบียนและบริหารการจัดหางานให้แก่ผู้พ้นโทษที่ประสงค์จะหางานทำ การฝึกทักษะพัฒนาฝีมือแรงงาน การร้องเรียนปัญหาจากการทำงาน โดยมีการประสานการทำงานกับสำนักงานจัดหางาน สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานสำนักงานสวัสดิการและฝีมือแรงงานฯเพื่อให้ผู้พ้นโทษมีงานมีรายได้ ไม่กลับไปทำผิดซ้ำ นอกจากนี้มีการสำรวจความต้องการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังที่กำลังจะพ้นโทษ เพื่อจัดวิทยากรมาบรรยายให้ความรู้ แนะแนวอาชีพ ส่วนผู้ที่พ้นโทษแล้ว และไม่มีทุนประกอบอาชีพ สามารถยื่นขอรับเงินจากกองทุนคืนคนดีสู่สังคมได้รายละไม่เกิน 30,000 บาท ที่ผ่านมาได้มอบไปแล้วจำนวน 13 ราย และนำผู้ต้องขังกลุ่มแรกจำนวน 10 คน ที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กรมราชทัณฑ์กำหนดออกไปฝึกทักษะในสถานประกอบการจริงแบบเช้าไปเย็นกลับ แรงงานไทยบาดเจ็บ เหตุกลุ่มฮามาสถล่มอิสราเอล ผ่าตัดสำเร็จปลอดภัยแล้ว เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 9 ส.ค. 2561 น.ส.เพ็ญประภา วงศ์โกวิษ เอกอัคราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ อิสราเอล แจ้งความคืบหน้า กรณี นส.จันทร์เพ็ญ แซ่จ๋าว อายุ 30 ปี ภูมิลำเนาจังหวัดพะเยา แรงงานหญิง ได้ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่ช่องท้อง ขณะกำลังอาบน้ำ เพื่อนร่วมงานแจ้งนายจ้างนำส่ง โรงพยาบาล Soroka Medical Center ขณะนี้ นส.จันทร์เพ็ญ ได้รับการผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว และอาการปลอดภัยดี ออกจากห้องผ่าตัดมาห้องพักฟื้น รู้สึกตัวพอสมควร และอทป.ฝ่ายแรงงานได้ต่อโทรศัพท์ให้คุยกับบุตรสาวที่ประเทศไทย มีกำลังใจดีขึ้น เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเช้าวันที่ 9 ส.ค. 2561 เมื่อเวลา 05:30 น โดยจรวดที่ยิงมาจากฝั่งฉนวนกาซา ตกเข้ามายังหน้าที่พักคนงานไทยที่ Moshav Talmei ขณะคนงานส่วนใหญ่กำลังทำอาหารและอาบน้ำ ก่อนออกไปทำงาน และได้ยินสัญญานเตือนภัยดังขึ้นไม่ถึง 30 วินาที Moshav Talmei ห่างจากชายแดนฉนวนกาซา ประมาณ 7 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทลอาวีฟ 116 กิโลเมตร มีคนงานไทยทำงานประมาณ 250 คน และเป็นแรงงานไทยที่ทำงานที่สถานที่เกิดเหตุระเบิด ประมาณ 50 คน สถานเอกอัคราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวี ได้ตรวจสอบความปลอดภัยของคนงานบริเวณโดยรอบ และนักศึกษาฝึกงานภายใต้โครงการ ของศูนย์ฝึกอบรมนานาชาติด้านการเกษตรในเขตอาราวา (Arava International Center for Agricultural Training - AICAT) จำนวน 90 คน ได้รับทราบว่าปลอดภัยดี รวมทั้งได้ออกประกาศเตือนคนไทยในพื้นที่แล้ว ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์, 9/8/2561 เตรียมออกกฎหมายบังคับให้พนักงานขับรถไฟฟ้าทุกคนจะต้องมีใบขับขี่รถไฟฟ้า นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) พร้อมทั้งเข้าตรวจเยี่ยมศูนย์ซ่อมบำรุง ศูนย์ควบคุมการเดินรถ ศูนย์ฝึกอบรม สถานีคลองบางไผ่ ว่า การเดินทางมาในครั้งนี้ เพื่อติดตามความพร้อมของศูนย์ฝึกอบรมในการรองรับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การขนส่งทางราง พ.ศ. ...ที่คาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ในปลายปีนี้ และหากผ่านมติ สนช.ก็จะมีกฎหมายบังคับให้พนักงานขับรถไฟฟ้าทุกคนจะต้องมีใบขับขี่รถไฟฟ้า ดังนั้นจะผลักดันให้ รฟม.จัดทำศูนย์ฝึกอบรม หรือโรงเรียนสอนขับรถไฟฟ้าเพื่อรองรับอนาคต นอกจากนี้ มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมารองรับการพัฒนารถไฟความเร็วสูง (กทม.-นครราชสีมา) และมีนโยบายให้จัดทำสถาบันวิจัยเทคโนโลยีระบบราง โดยมองว่าพื้นที่บริเวณศูนย์ซ่อมบำรุงคลองบางไผ่ เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมในการเป็นที่ตั้งของสถาบันวิจัยเทคโนโลยีระบบราง ซึ่งขณะนี้เรื่องการเข้าใช้พื้นที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงคมนาคมและหากพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยเทคโนโลยีระบบราง (องค์กรมหาชน) แล้วเสร็จ ก็สามารถดำเนินการได้ทันที โดยจะเห็นความคืบหน้าที่ชัดเจนภายในปี 2562 นายไพรินทร์ กล่าวว่า ในวันที่ 10 ส.ค. 2561 จะลงพื้นที่โครงการก่อสร้างรถ ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ) เพื่อตรวจสอบความพร้อมก่อนจะเปิดให้บริการเส้นทางหัวลำโพง-บางแค ในกลางปีหน้า โดยขณะนี้ความคืบหน้าในการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณในเส้นทางดังกล่าวคืบหน้ากว่า 60% แล้ว ซึ่งหากระบบเสร็จเร็วกว่าแผนก็ทำให้มีโอกาสที่จะเปิดให้บริการได้ก่อนกำหนด เบื้องต้นคาดว่าจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการก่อนในช่วงกลางปีหน้า หลังจากนั้นจะเปิดให้บริการจริงภายในเดือน ส.ค.ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิมที่มีกำหนดเปิดให้บริการในเดือน ก.ย.2562 ส่วนเส้นทางบางซื่อ-ท่าพระ ยังคงเป็นไปตามกำหนดการเดิมคือเปิดให้บริการในปี 2563 ด้านนายภคพงศ์ ศิริกันทรมาส ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายหัวลำโพง-บางแค และเตาปูน-ท่าพระ ด้านงานก่อสร้างโยธามีความคืบหน้าไปกว่า 99.26% ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่า ช่วงหัวลำโพง-บางแค จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้เร็วกว่าแผน โดยจะเปิดให้บริการในวันที่ 12 ส.ค.2562 โดยจะมีการเปิดทดลองก่อนล่วงหน้า 2 เดือน คือเดือน มิ.ย.นี้. นายจ้างหักเงินพนักงานที่มีสายถือว่าผิดกฎหมาย ลูกจ้างสามารถร้องเรียนได้ที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จากกรณีที่ ทนายรัชพล ศิริสาคร โพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก สายตรงกฎหมาย โดยระบุข้อความว่า "เชื่อว่าในสถานประกอบกิจการต่างๆ ลูกจ้างคงจะโดนหักเงินจากนายจ้างมิใช่น้อย ซึ่งจริงๆแล้ว ตามกฎหมายเขาห้ามนายจ้างหักเงินมั่วๆ โดยเฉพาะเมื่อมาสาย นายจ้างจะ หักเงินเดือน ได้แค่ที่กฎหมายกำหนด ใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 76 ระบุว่า ห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้าง นายจ้างจะหักค่าจ้างได้กรณีดังนี้ – หักภาษีหรือชำระเงินอื่นๆ ที่กฎหมายกำหนด – หักค่าสหภาพ – ชำระหนี้สหกรณ์ – หักเงินประกันบางประเภท หรือหักค่าเสียหายโดยลูกจ้างต้องยินยอม – หักเงินสะสม ดังนั้นมาสายหักเงินไม่ได้ ใครโดนก็ไปร้องเรียนได้ที่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานครับ หากฝ่าฝืนมีโทษสูงสุด คุก 6 เดือน ปรับ 1 แสน ตามมาตรา 144 'อธิบดีกรมสรรพากร' ออกประกาศหักเงินเดือน 'ขรก.-ลูกจ้างประจำ' ชำระหนี้ กยศ. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการหักเงินได้พึงประเมิน เพื่อชำระเงินกู้ยืมคืนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 โดยอาศัยอำนาจตามความในวรรคหนึ่งของมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ให้พนักงานหรือลูกจ้างซึ่งเป็นผู้กู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาหักเงินได้พึงประเมิน เพื่อชำระเงินกู้ยืมคืนให้กองทุน ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ในประกาศนี้ "กองทุน" หมายความว่า กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 "เงินกู้ยืม" หมายความว่า เงินกู้ยืมตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 ข้อ 2 ให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นกระทรวงทบวง กรม สำนักงาน หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ ตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม หักเงินได้พึงประเมินของข้าราชการ และลูกจ้างประจำในสังกัด ซึ่งเป็นผู้กู้ยืมเงิน ตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ แล้วนำส่งผ่านระบบของกรมบัญชีกลางตามกฎหมายว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินบางประเภทตามงบประมาณรายจ่าย เพื่อให้กรมบัญชีกลางโอนเงินดังกล่าวให้กรมสรรพากรผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ชื่อบัญชี "กรมสรรพากร 1 เพื่อรับชำระเงินคืนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา" โดยใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป 13 อาชีพ เสี่ยงตกงาน ธุรกิจไทยพึ่ง AI แทนพนักงาน เป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งสำหรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เนื่องเพราะการนำเครื่องจักรมาพัฒนาให้มีความเฉลียวฉลาดเหมือนกับมนุษย์นั้นกำลังได้รับความสนใจไปทั่วโลก โดยเฉพาะการนำ AI มาใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์ สำหรับในประเทศไทยนั้น AI ได้ถูกพัฒนาไปไกลชนิดที่หลายคนนึกไม่ถึง โดยบางอุตสาหกรรมมีโรงงานที่ได้นำ AI มาใช้ในกระบวนการผลิตทั้ง 100% แล้ว ขณะที่บางสายงานได้ทำการศึกษา พัฒนา และเตรียมที่จะนำหุ่นยนต์มาใช้เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) สถาบันที่มีการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อันดับต้นๆของประเทศไทย ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาด้าน AI ของไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า ประเทศไทยก็เช่นเดียวกับนานาประเทศ ที่หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่เป็นกลไกสำคัญในการปฎิวัติอุตสาหกรรม และการพัฒนาประเทศด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ไปสู่ ไทยแลนด์ 4.0 ความก้าวหน้าของหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติจะเป็นตัวขับเคลื่อนและปรับเปลี่ยนหลายธุรกิจอุตสาหกรรม อีกทั้งการที่เราก้าวสู่การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ที่แม้ด้านหนึ่งจะส่งผลให้การค้าในภูมิภาคมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งการแข่งขันทางการค้าก็เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นการนำ AI มาใช้ในการกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจ "ปัญหาการขาดแคลนแรงงานก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ผู้ประกอบการในบางอุตสาหกรรมประสบอยู่ ซึ่ง AI จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ปัจจุบันแม้แต่ธุรกิจก่อสร้างก็มีการนำ AI มาใช้ เช่น ใช้ในการยกอุปกรณ์ก่อสร้างหนักๆ ขณะที่โรงงานต่างๆได้นำ AI มาใช้บางแล้ว แต่ที่มากที่สุดเห็นจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่ง โดยผู้ผลิตยานยนต์บางรายมีการใช้ AI แทนแรงงานมนุษย์ถึง 100 % และเชื่อว่าในอีก 1-2 ปีข้างหน้าอุตสาหกรรมยายนยนต์ อุตสาหกรรมิเล็กทรอนิค และอุตสาหกรรมไฟฟ้าในประเทศไทยจะถูกเปลี่ยนจากการใช้แรงงานคนมาเป็นแขนจักรกลทั้งหมด " รศ.ดร.คมสัน ระบุ ด้วยกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวประเทศไทยจึงมีความจำเป็นต้องศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อรองรับกับความต้องการเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนของภาครัฐเองก็มีนโยบายที่จะให้การสนับสนุนหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ โดยกำหนดให้เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่รัฐบาลส่งเสริมการลงทุน พัฒนาบุคคลากร และการผลิตในประเทศไทย ทั้งนี้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ระบุว่าได้มีมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ โดยมีเป้าหมายให้อุตสาหกรรมไทยมีผลผลิตมวลรวมสูงขึ้น 50 % มีผู้ประกอบการ SI (System Integrater) ซึ่งให้บริการวิเคราะห์ ออกแบบและติดตั้งระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เกิดขึ้นอย่างน้อย 1,400 ราย และมีการลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น 200,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี ซึ่งจะสามารถช่วยลดการนำเข้าหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติจากต่างประเทศได้ถึง 30% หรือคิดเป็นมูลค่าถึง8 หมื่นล้านบาท อีกทั้งสามารถส่งออกนวตกรรม AI ไปขายยังต่างประเทศได้ภายในปี 2569 ในส่วนของสถาบันการศึกษาในฐานะที่เป็นผู้ผลิตบุคลากรออกมาช่วยพัฒนาประเทศ ต่างก็ตื่นตัวในเรื่องนี้ เร่งสร้างบุคลากรที่จะเข้ามาออกแบบกลไกและพัฒนาระบบเพื่อให้เหมาะกับการนำไปใช้ในสายงานต่างๆ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรมAI ก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเรื่องนี้เช่นกัน โดยคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เปิดเผยว่า นอกจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ พระจอมเกล้าฯลาดกระบัง จะมีการพัฒนาหลักสูตรด้าน AI เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแล้ว เรายังได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล ประเทศอังกฤษ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดหลักสูตรปริญญาตรี สองปริญญาข้ามสถาบัน (Double degree) ด้านวิศวกรรมหุ่นยนต์ และ หลักสูตรด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ (Electrical & Computer Engineering: ECE) ซึ่งจะช่วยให้การเรียนการสอนมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น และคาดว่าจะเปิดรับนักศึกษารุ่นแรกได้ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 นี้ นอกจากนั้นยังได้รับการสนับสนุนจากเอบีบีกรุ๊ป บริษัทด้านวิศวกรรมที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในการสร้างศูนย์ Robotics Center ซึ่งศูนย์นี้จะมุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการได้ในปลายเดือนสิงหาคม 2561นี้ ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจที่มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้มากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ บริการการแพทย์ และบริการทางการเงิน โดยในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์นั้นกำลังจะเปลี่ยนจากการใช้แรงงานคนไปสู่จักรกลหุ่นยนต์ โดยได้มีการนำนวัตกรรมแขนกลอุตสาหกรรม มาประสานเข้ากับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เชื่อมโยงระบบซอฟแวร์เข้ากับแขนกล ซึ่งทำหน้าที่หยิบเอาชิ้นส่วนต่างๆมาประกอบ โดยยังมีคนเป็นผู้ควบคุมอีกชั้นหนึ่ง ต่างจากอดีตซึ่งภาคอุตสาหกรรมไทยใช้เครื่องจักรร่วมกับแรงงาน แต่แน่นอนว่าในส่วนของแรงงานระดับล่างของอุตสาหกรรมยานยนต์ย่อมได้นับผลกระทบอย่างแน่นอน ขณะที่บริการการแพทย์ก็มีการนำนวัตกรรมAI มาใช้อย่างกว้างขวางเช่นกัน โดยปัจจุบันทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนต่างก็นำหุ่นยนต์มาใช้ในการช่วยรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะหุ่นยนต์ผ่าตัด ซึ่งมีความแม่นยำสูง สามารถผ่าตัดในเคสที่มีความซับซ้อน ช่วยลดความเจ็บปวดจากการผ่าตัดเนื่องจากแผลจะมีขนาดเล็กกว่าการผ่าตัดด้วยแพทย์ อาทิ หุ่นยนต์ผ่าตัดสมอง ของโรงพยาบาลรามาธิบดี ,หุ่นยนต์ดาวินชี ซึ่งโรงพยาบาล ศิริราชลงทุ่มเงินหลายร้อยล้านบาทเพื่อนวัตกรรมนี้ หรือ หุ่นยนต์ผู้ช่วยศัลยแพทย์ผ่าตัดกระดูกสันหลัง ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ นอกจากนั้นยังมีหุ่นยนต์พยาบาล ที่ช่วยเดินส่งเอกสารและสิ่งของ ซึ่งโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนอยู่ระหว่างการทดลองใช้อีกด้วย อย่างไรก็ดีแม้จะมีการนำ AI มาใช้ในบริการทางการแพทย์ แต่บุคลากรด้านนี้ก็ยังมีความจำเป็นอยู่ เพราะ AI ไม่สามารถเข้ามาทำหน้าที่ได้ทั้งหมด ส่วนบริการทางการเงิน นั้นนอกจากจะมีการนำAI มาใช้ในการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆของลูกค้าเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาและออกผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแล้ว ยังนำมาใช้ให้บริการฝาก ถอน และรับชำระค่าบริการต่างๆ แทนพนักงาน ที่เรารู้จักกันในนามโมบายแบงก์กิ้งนั่นเอง นอกจากนี้ AI ยังถูกนำไปใช้ในธุรกิจอื่นๆอีกมาก เนื่องจากนวัตกรรมดังกล่าวสามารถทดแทนมนุษย์ในการทำงานหนัก งานที่ต้องการความแม่นยำสูง และงานเสี่ยงอันตราย ช่วยเพิ่มปริมาณการผลิต ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ ตอบสนองความต้องการที่แตกต่าง ลดต้นทุน และลดการสูญเสีย อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และสามารถส่งมอบงานหรือสินค้าได้ตรงต่อเวลาอีกด้วย ดังนั้นจึงมีการคาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้ AI จะเข้ามาทดแทนแรงงานมนุษย์ในหลายธุรกิจของไทย ซึ่งส่งผลให้เกิดการปรับลดพนักงานตามมา ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากมีการนำ AI มาใช้ในทุกขั้นตอนการผลิต ความจำเป็นในการว่าจ้าง พนักงานจึงลดลง โดยฉพาะพนักงานระดับล่างที่อยู่ในสายการผลิตนั้นสุ่มเสี่ยงที่จะตกงานมากที่สุด 2.อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิค จะมีการนำระบบแขนจักรกลมาใช้ในกระบวนการผลิต แทนแรงงานมนุษย์ ทำให้แรงงานค่อยๆหมดความหมายไปไหนที่สุด 3.ธุรกิจการเงิน ซึ่งบุคลากรได้แก่ พนักงานธนาคารและประกันภัย นั้นคาดว่าทุกธนาคารต่างลงทุนใช้ AI เพื่อบริหารบิ๊กดาต้า นำมาวิเคราะห์สร้างกลยุทธ์บริการลูกค้าที่โดนใจ รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พนักงานมีความจำเป็นน้อยลงจึงมีการยุบสาขา และลดพนักงานลง 4.Call Center และพนักงานขายผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งในระยะเวลาอันใกล้จะถูก AI เข้ามาแทนที่ โดยไม่ต้องใช้พนักงานอีกต่อไป 5.พนักงานบัญชี อาชีพนี้ถูกคาดการณ์ว่าจำนวนพนักงานลดลง 8% ในปี 2024 เนื่องจากการเก็บรายรับ รายจ่าย การลงบัญชี จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีโปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปออกมาขายมากมายทำให้เจ้าของกิจการสามารถลงบัญชีได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องจ้างพนักกงานบัญชี 6.เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล เอไอช่วยให้ระบบที่ใช้คนและงานเอกสารเป็นพื้นฐาน ใช้เวลาและงบประมาณสูง ผ่านระบบคำนวณค่าตอบแทนอัตโนมัติช่วยประหยัดเวลาในการจัดสรรสวัสดิการและค่าตอบแทนให้พนักงานจำ เช่น โปรแกรม Ultipro และ Workday ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย 7.พนักงานต้อนรับ ระบบโทรศัพท์อัตโนมัติและระบบการลงตารางสามารถแทนที่ตำแหน่งพนักงานต้อนรับได้เป็นอย่างดี จึงมีแนวโน้มว่าในอนาคตบริษัทต่างๆอาจหันมาใช้ระบบอัตโนมัติแทนการจ้างพนักงาน 8.พนักงานขายโฆษณา การใช้สื่อโฆษณาปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงจากสื่อเดิมไปเป็นสื่อดิจิทัลมากขึ้น และสื่อใหม่เหล่านี้สามารถสร้างระบบให้ผู้ใช้บริการซื้อโฆษณาได้ด้วยตัวเอง จึงไม่มีพนักงานขายมาเกี่ยวข้องในสื่อดิจิทัล ในอนาคตพนักงานขายโฆษณาจึงมีความจำเป็นลดลง 9.พนักงานพิสูจน์อักษร เนื่องจากปัจจุบันโปรแกรมพิสูจน์อักษรถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย จากฟังก์ชั่นพื้นฐานอย่าง Microsoft word ไปจนถึงโปรแกรมตรวจพิสูจน์อักษรอย่าง Grammarly และ Hemingway App และยังมีเทคโนโลยีอีกมากมายที่ช่วยให้นักเขียนสามารถตรวจพิสูจน์อักษรได้ด้วยตัวเอง แนวโน้มการจ้างงานพนักงานพิสูจน์อักษรจึงลดลง 10.เจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ หลายๆองค์กรเริ่มใช้ Bots และการตอบแบบอัตโนมัติ ในการช่วยแก้ปัญหาให้พนักงานและลูกค้าในอนาคต ทั้งวิธีการใช้ มีคำแนะนำเป็นขั้นเป็นตอนในการแก้ปัญหาเบื้องต้น จึงไม่แปลกใจที่ในอนาคตความต้องการบุคลากรด้านนี้จึงน้อยลง 11.พนักงานขายสินค้าตามห้าง ปัจจุบันเริ่มมีห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่ต้องมีพนักงาน ขณะที่ร้านขายเฟอร์นิเจอร์หลายๆบริษัท ได้เพิ่มความเป็นส่วนตัวและอำนวยความสะดวก ให้ลูกค้าเลือกสินค้าที่ต้องการแล้วสามารถจ่ายเงินได้ด้วยตัวเอง ส่วนผู้บริโภคในปัจจุบันก็สามารถหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจจากอินเทอร์เน็ตด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาพนักงานขายของตามห้างอีกต่อไป 12.คนเดินหนังสือ,พนักงานส่งของ ในอนาคตพนักงานส่งของอาจจะถูกแทนที่ด้วยโดรนหรือหุ่นยนต์ ซึ่งแม้ตอนนี้อาจยังไม่ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานยังไม่เรียบร้อย แต่เชื่อว่าปรากฎการณ์ดังกล่าวจะเห็นผลชัดเจน ภายใน 2024 13.นักวิจัยการตลาด แม้นักวิจัยการตลาด ถือเป็นหน้าที่สำคัญในการสร้างข้อความและคอนเทนท์ให้สินค้าบริการต่างๆ แต่ระบบอัตโนมัติ สามารถสร้างข้อมูลเหล่านี้ได้มากกว่าและง่ายกว่า เช่น GrowthBot สามารถรวบรวมงานวิจัยการตลาดในหัวข้อที่คุณสนใจและคู่แข่งในอุตสาหกรรมนั้นๆ ซึ่งแจ้งผ่านทางคำสั่งทาง Slack (โปรแกรมแชทสำเร็จรูปเจ้าหนึ่ง) ได้ทันที ในอนาคตนักวิจัยตลาดจึงเสี่ยงที่จะตกงานเช่นกัน "ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่า AI เป็นกลไกสำคัญที่สามารถตอบโจทย์ทั้ง ผู้ประกอบการ ผู้บริบริโภค และการตลาดยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมของผู้บริโภค AI จึงถูกนำมาใช้แทนบุคลากรที่เป็นมนุษย์ในหลายๆตำแหน่ง แต่บุคลกรเหล่านี้ก็สามารถปรับเปลี่ยนไปทำหน้าที่อื่นเพื่อช่วยพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น " รศ.ดร.คมสัน ระบุ มาเลย์จัดหนักจับคนไทยไปทำงานผิด ก.ม. สิ้น ส.ค.โทษหนักปรับจำคุก 5 ปี นายปิยะพันธุ์ อติแพทย์ กงสุลไทย ณ เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย เตือนคนไทยที่เข้ามาทำงานผิดกฎหมาย หรือไม่มีใบอนุญาตทำงาน ให้รีบรายงานตัวที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่ใกล้ที่สุดในประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้สถานเอกอัครราชทูตไทยฯ ได้รับข้อมูลยืนยันจาก Director of Enforcement Unit ตม. มาเลเซีย เกี่ยวกับนโยบายการอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในมาเลเซียแสดงตัวเพื่อชำระค่าปรับ 400 ริงกิต และเดินทางออกนอกมาเลเซียได้โดยไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ได้รับการยืนยันว่า นโยบายดังกล่าว จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ส.ค. 2561 และจะไม่มีการต่ออายุอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในมาเลเซียเกินกำหนด 30 วันแล้ว ให้รีบไปแสดงตัวต่อหน่วยงาน ตม. มาเลเซีย หากพ้นกำหนดดังกล่าว จะไม่สามารถเลือกชำระค่าปรับได้อีก และหากถูกทางการมาเลเซียจับกุม จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย มีโทษตามกฎหมาย คือ ถูกปรับไม่ต่ำกว่า 10,000 ริงกิต หรือจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปัจจุบัน ตม. มาเลเซีย เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสถานประกอบการต่าง ๆ โดยมีจำนวนครั้งในการออกตรวจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 30 ก.ค. มีคนไทยซึ่งเป็นลูกจ้างถูกจับกุมแล้ว 1,563 คน และคนไทยที่เป็นนายจ้างถูกจับกุมและดำเนินคดีแล้ว 7 คน ม.ค.-ก.ค. 2561 ส่งแรงงานไทยไปต่างประเทศกว่า 39,000 คน กรมการจัดหางาน เผยตัวเลขการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ ช่วง 7 เดือนปี 2561 มีจำนวน 39,926 คน โดยเดินทางไปไต้หวันมากสุด 12,608 คน ส่วนใหญ่ทำงานประเภทอุตสาหกรรม ก่อสร้าง และ คนงานทั่วไป "นายอนุรักษ์ ทศรัตน์" อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานมีภารกิจในการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ โดยส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศอย่างมีศักดิ์ศรีและมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมุ่งส่งเสริมการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในประเทศที่มีศักยภาพ มีโอกาสได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อนำกลับมาใช้ในประเทศโดยเฉพาะในสาขาที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ เช่น ไต้หวัน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และอิสราเอล เป็นต้น ซึ่งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศที่ถูกต้องมี 5 วิธี ได้แก่ 1.บริษัทจัดหางานจัดส่ง 2.กรมการจัดหางานจัดส่ง(รัฐจัดส่ง) 3.นายจ้างพาลูกจ้างไปทำงานต่างประเทศ 4.นายจ้างส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศ 5.คนหางานเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง โดยในปี 2561 มีเป้าหมายจัดส่ง 40,000 คน ในกว่า 10 ประเทศ ภาพรวมช่วง 7 เดือนปี 2561 (มกราคม – กรกฎาคม 2561) จัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศแล้ว จำนวน 39,926 คน คิดเป็น 99.81 % โดยจัดส่งไปทำงานไต้หวันมากที่สุด จำนวน 12,608 คน รองลงมาคือ สวีเดน ญี่ปุ่น เกาหลี อิสราเอล ตามลำดับ ทำงานอุตสาหกรรม ก่อสร้าง และคนงานทั่วไป การไปทำงานในต่างประเทศต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย และต้องเดินทางไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งต้องศึกษาเงื่อนไขในสัญญาจ้างงานอย่างละเอียด โดยสัญญานั้นจะต้องผ่านการรับรองจากสำนักงานแรงงานไทยหรือสถานทูต/สถานกงสุลไทยประจำประเทศนั้นๆ ทั้งนี้ หากผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานหรือส่งไปฝึกงานต่างประเทศได้ มีความผิดตามกฎหมาย มีโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับ 60,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งหากคนหางานมีข้อสงสัยในการไปทำงานต่างประเทศ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 7/8/2561 กสร.ย้ำนายจ้าง ต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างอย่างน้อยเดือนละครั้ง นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ว่าในกรณีที่มีการคำนวณค่าจ้างให้กับลูกจ้างเป็นรายเดือน รายวัน รายชั่วโมง หรือระยะเวลาอื่นที่ไม่เกินหนึ่งเดือน หรือตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง อย่างไรก็ตามถ้านายจ้างและลูกจ้างได้มีการตกลงกันเป็นอย่างอื่นซึ่งเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้าง เช่น กำหนดให้มีการจ่ายค่าจ้างทุก 15 วัน หรือสัปดาห์ละครั้ง ก็ให้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มว่า สำหรับกรณีที่มีการคำนวณค่าจ้างนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น ให้จ่ายตามกำหนดเวลาที่นายจ้างและลูกจ้างได้ตกลงกัน กสร.จึงขอให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้อง หากฝ่าฝืนจะมีความผิดโดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ นายจ้างหรือลูกจ้างที่มีข้อสงสัยสอบถามได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3 ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
รมต.เยเมน วิจารณ์การโจมตีของสหรัฐฯ ในเยเมนทำพลเรือนเสียชีวิต ไม่ทำให้โลกนี้ปลอดภัยมากขึ้น Posted: 11 Aug 2018 02:29 PM PDT Submitted on Sun, 2018-08-12 04:29 รัฐมนตรีกระทรวงสิทธิมนุษยชนของเยเมนเขียนบทความเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามกลางเมืองในประเทศตัวเอง ในขณะที่เยเมนมีการสู้รบกันระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับกลุ่มหัวรุนแรง 2 กลุ่มคืออัลกออิดะฮ์และฮูตี วิพากษ์วิจารณ์ว่าปฏิบัติการของตะวันตกเองก็ส่งผลกระทบทำลายชีวิตของประชาชนทั่วไปที่ไม่มีส่วนในการสู้รบเช่นกัน เขาเสนอว่าประชาชนเยเมนมีความฝันอยากให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยและเป็นประเทศที่ปลอดภัย จึงควรใช้วิธีส่งเสริมประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมมากกว่า 11 ส.ค. 2561 โมฮัมเหม็ด อัชการ์ ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสิทธิมนุษยชนของเยเมนระบุว่าในช่วงที่เยเมนกำลังมีสงครามกลางเมืองที่ฝ่ายรัฐบาลกำลังสู้รบกับกลุ่มหัวรุนแรงสองกลุ่มคืออัลกออิดะฮ์และฮูตีนั้น งานของเขาคือต้องรับผิดชอบรักษาสิทธิขั้นพื้นฐานให้กับชาวเยเมนตามที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ความขัดแย้งกับกลุ่มติดอาวุธทำให้ผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบเสียชีวิตไปแล้วหลายพันคน อัชการ์บอกว่าเขาก็ไม่อยากให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมาเสียชีวิตเพียงเพราะปฏิบัติการที่มาจากข่าวกรองแย่ๆ แต่มันก็เกิดขึ้นซ้ำๆ โดยที่ อัชการ์ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของโฮไรดานเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ครอบครัวนี้กลายเป็นผู้พลัดถิ่นเมื่อกลุ่มกบฏฮูตีโจมตีหมู่บ้านของพวกเขา พวกเขาอพยพหนีไปอยู่ที่จังหวัดอัลจอวฟ์ที่ค่ายผู้พลัดถิ่นภายในประเทศซึ่งอยู่ในพื้นที่ควบคุมของรัฐบาลเยเมน แต่ในเดือน มี.ค. ครอบครัวนี้ทั้ง 8 คน รวมถึงเด็กอายุ 13 ปีกลับถูกสังหารโดยขีปนาวุธจากโดรนของสหรัฐฯ อัชการ์เปิดเผยว่าทางการเยเมนได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีการโจมตีด้วยขีปนาวุธวันที่ 5 และ 8 มี.ค. ที่ผ่านมาโดยการสอบถามจากคนในพื้นที่ รวมถึงการรวบรวมถ้อยแถลงลงนามต่างๆ ข้อมูลเหล่านี้ระบุว่าผู้เสียชีวิตจากการโจมตีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับกลุ่มอัลกออิดะฮ์เลย นอกจากนี้ยังมีการเก็บรวบรวมภาพวิดีโอที่มีครูของอาเมอร์ โฮไรดาน เด็กอายุ 13 ปี ที่เสียชีวิตว่าลูกศิษย์ของเขาเป็นเด็กดีมีครอบครัวเป็นชาวนาธรรมดาทั่วไป พวกเขาหนีตายจากความขัดแย้งในที่แห่งหนึ่งแต่ก็กลายเป็นเหยื่อจากการโจมตีของโดรนที่ถูกส่งมาจากพื้นที่ห่างออกไปหลายพันไมล์ อย่างไรก็ตามสมาชิกครอบครัวที่รอดชีวิตบอกว่ราพวกเขาไม่ได้ต้องการแก้แค้นในสิ่งที่เกิดขึ้นพวกเขาแค่ต้องการคำตอบและคำขอโทษ พวกเขาอยากรู้ว่าทำไมลูก, สามี, พ่อ และพี่ชายน้องชายของเขาต้องถูกสังหารด้วย พวกเขาต้องการให้คนที่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง "ความโปร่งใสและการตรวจสอบได้เป็นสิ่งสำคัญที่จะแสดงให้ประชาชนเยเมนเห็นว่าพันธมิตรของพวกเราอย่างสหรัฐฯ ไม่ได้ปฏิบัติการแบบเดียวกับกลุ่มติดอาวุธฮูตีและอัลกออิดะฮ์" อัชการ์ระบุในบทความ อัชการ์เปิดเผยว่าประชาชนในเยเมนเบื่อหน่ายสงครามและความทุกข์ยาก รวมถึงมีความหวังว่าจะเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยและเป็นประเทศที่ปลอดภัยกว่านี้ นั่นทำให้ประชาชนเยเมนไม่คล้อยตามคารมของกลุ่มก่อการร้ายอย่างอัลกออิดะฮ์ นอกจากนี้รัฐบาลเยเมนก็มีพันธกรณีในการต่อสู้เอาชนะกลุ่มก่อการร้ายแต่วิธีการชนะกลุ่มก่อการร้ายได้จะต้องมาจากการทำให้หลักนิติธรรมเข้มแข็งขึ้นไม่ใช่ทำลายหลักการนี้ อัชการ์วิจารณ์วิธีการของสหรัฐฯ ว่าการใช้โดรนโจมตีไม่ได้ทำให้ประเทศพวกเขาปลอดภัยขึ้น ถึงแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะอ้างว่าทำไปเพื่อปกป้องพลเรือนแต่การโจมตีของพวกเขากลับยิ่งทำให้เกิดความเสียหายและสร้างความหวาดผวามากขึ้น มีตัวเลขพลเรือนผู้เสียชีวิตจากการโจมตีด้วยโดรนจำนวนมากจากตัวเลขในปี 2560 และชุมชนต่างๆ ที่เผชิญความสูญเสียก็รู้สึกกลัวเวลาที่มีโดรนสหรัฐฯ บินอยู่เหนือหัวพวกเขา สำหรับอัชการ์แล้ว วิธีการต่อสู้กับการก่อการร้ายที่ดีที่สุดคือการสร้างประเทศที่เข้มแข็ง มีระบบการสืบสวนสอบสวนผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายย่างเป็นไปตามกระบวนการที่เหมาะสม อัชการ์ยังอ้างอิงถึงการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในช่วงอาหรับสปริงว่าคนหนุ่มสาวในประเทศของเขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสามารถต่อสู้อย่างสันติได้ อัชการ์ระบุว่ารัฐบาลเยเมนพร้อมให้ความร่วมมือกับประเทศตะวันตกในการแก้ปัญหาก่อการร้ายแต่ควรจะมีวิธีการที่เป็นไปตามหลักนิติธรรมและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน มิเช่นนั้นแล้วก็จะทำให้มีเหยื่ออย่างอาเมอร์เกิดขึ้นอีก และทำให้โลกของพวกเราทุกคนปลอดภัยน้อยลง เรียบเรียงจาก Drone strikes on Yemen don't make my country safer – or yours, Mohamed Askar, The Guardian, 10-08-2018 ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
วงเสวนาชวนเหลียวหลัง แลหน้า ข้อท้าทายพม่าครบรอบ 30 ปี ปชช. ลุกสู้เผด็จการ Posted: 11 Aug 2018 07:04 AM PDT Submitted on Sat, 2018-08-11 21:04 วงเสวนาครบรอบ 30 ปีการประชาชนลุกฮือต้านรัฐบาลเผด็จการพม่าในปี 2531 รำลึกเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่นำไปสู่การเสียชีวิตของชาวพม่าถึง 3,000 คน ชวนมองไปข้างหน้า ข้อท้าทายของประเทศที่กำลังผลัดใบสู่ประชาธิปไตยและการสร้างสันติภาพ แปรสภาพเป็นสหพันธรัฐที่มีโรดแมปชัดเจน ซ้ายไปขวา: ชู บิ้ก ทะอ่อง จ่อ ซวา หมู่ ดุลยภาค ปรีชารัชช นฤมล ทับจุมพล 11 ส.ค. 2561 มูลนิธิร่วมมิตรไทย-พม่า ร่วมกับศูนย์ศึกษาการพัฒนาสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดกิจกรรมและวงสนทนา "30 ปี เจตนารมณ์ 8888 การต่อสู้เผด็จการกับพลังการเปลี่ยนแปลงในพม่า" ในวาระครบรอบ 30 ปีการลุกขึ้นสู้ของนักศึกษา-ประชาชนในปี 2531 เพื่อต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหารของนายพลเน วิน ที่ทำรัฐประหารยึดอำนาจมาตั้งแต่ปี 2505 ผู้จัดงานได้เชิญผู้ร่วมขบวนการนักศึกษา 8888 อดีตนักโทษการเมือง กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้เชี่ยวชาญพม่าศึกษามาร่วมสนทนา ประกอบด้วยจ่อ ซวา หมู่ (Kyaw Zwa Moe) อดีตนักศึกษาผู้ร่วมขบวนการ 8888 บรรณาธิการอาวุโสภาคภาษาอังกฤษของสำนักข่าวอิระวดี ชู บิ้ก ทะอ่อง (Ceu Bik Thawang) แนวร่วมกลุ่มการเมือง 22 ชาติพันธุ์ ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่าศึกษา ดำเนินการสนทนาโดย นฤมล ทับจุมพล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรรมการมูลนิธิร่วมมิตรไทย-พม่า จ่อ ซวา หมู่ เล่าถึงความหลังสมัยเขาเข้าร่วมขบวนการนักศึกษา 8888 ว่า ก่อนที่จะเข้าร่วมการเคลื่อนไหวในสมัยที่เขาอยู่ชั้น ม.4 นั้น ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับประเทศพม่าหลายเล่ม ได้เข้าใจว่าตอนนั้นรัฐบาลแบบไหนที่พม่ามีในตอนนั้นและสังคมถูกปิดกั้น กดขี่ขนาดไหน หลายคนก็เลือกลงมาประท้วงบนถนนเพราะสภาพสังคมที่ถูกกดขี่และสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ข้อเรียกร้องสมัยนั้นอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบจากรัฐบาลทหารให้มีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยที่จะนำมาสู่เสรีภาพและความเท่าเทียม ผลก็คือประชาชนถูกปราบปราม คนเสียชีวิตราวสามพันคน ต้องลี้ภัยนับหมื่น หลายคนถูกทรมาน ถูกสอบสวน ตัวเองก็ถูกจับและถูกขังคุกอยู่แปดปี เมื่อออกมาก็ลี้ภัยเหมือนกับที่คนอื่นๆ ทำ พิธีรำลึกถึงเหตุการณ์ลุกฮือเมื่อปี 2531 ผู้เข้าร่วมร่วมวางดอกไม้และจุดเทียนที่เรียงเป็นเลข 8888 ซึ่งมาจากวัน-เดือน-ปีที่การลุกฮือเริ่มต้นในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ.1988 บ.ก. สำนักข่าวอิระวดีกล่าวว่า จนถึงตอนนี้ครบรอบสามสิบปีการเคลื่อนไหว 8888 ปัจจุบันพม่าก็ไม่มีระบอบที่กดขี่ดังเช่นอดีต กระบวนการปฏิรูปกำลังเดินหน้า แต่ก็มีเหล่าชนชั้นนำทางทหารก็ยังคงมีอำนาจในทางการเมืองอยู่ ยังมีหลายอย่างที่ยังถูกกดไว้ พูดบางอย่างไม่ได้ วิจารณ์ผู้นำมากก็อาจต้องระวังแม้ไม่มีกฎหมายแต่ก็มีเส้นจำกัดที่มองไม่เห็นอยู่ สิ่งที่หวังไว้จาก 8888 ก็ยังไม่ได้บรรลุผลเสียทีเดียว ชู บิ้ก ทะอ่อง กล่าวว่า ตนไม่มีความทรงจำมากนักสมัยปี 2531 เพราะว่ายังเด็กมากและอาศัยในพื้นที่ชนบทใกล้ชายแดนอินเดียเพียง 20 กม สมัยนั้นเมื่อมีความไม่สงบเกิดขึ้นก็ดีใจเพราะว่าโรงเรียนปิดเลยมีเวลาเล่น รู้แค่นั้น แต่ต่อมามีนักศึกษาจากในเมืองผ่านมาเพื่อเดินทางหนีไปอินเดีย หมู่บ้านก็ถูกปิด จากนั้นชุมชนที่ตนอยู่ก็กลายเป็นเหยื่อของการละเมิดสิทธิมนุษยชนและถูกกดขี่ มีทหารใช้ชาวบ้านให้ช่วยขนข้าวจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง ชู บิ๊ก ทะอ่องกล่าวว่า สิ่งสำคัญที่เห็นของการเคลื่อนไหว 8888 คือเป็นเรื่องความสามัคคีที่เป็นประวัติศาสตร์ในการสร้างความเคลื่อนไหวได้ขนาดนั้น เพราะคนทุกเพศ ทุกวัย หลากชาติพันธุ์เข้าร่วมการเคลื่อนไหว แต่เมื่อพูดถึงดอกผล ความสำเร็จของการเคลื่อนไหว คงจะพูดได้ว่าไม่เห็นความคืบหน้าเพราะตอนนี้มีแค่ประชาธิปไตยกับการบริหารในแบบประชาธิปไตย แม้มีการเลือกตั้ง มีรัฐบาล แต่ทหารก็ยังมีอำนาจในสภา การวิพากษ์วิจารณ์ยังคงทำไม่ได้มาก ความหวังที่จะเอาทหารออกจากระบอบก็ยังทำไม่ได้ ระบอบที่เป็นตอนนี้อาจไปสู่การปกครองแบบผสมระหว่างประชาธิปไตยกับรัฐบาลทหาร เมื่อพูดถึงกระบวนการสันติภาพกับชาติพันธุ์อื่นๆ ในประเทศที่มีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ถึงขั้นสู้รบกันมาก่อน สมาชิกแนวร่วมกลุ่มการเมือง 22 ชาติพันธุ์ยังกล่าวว่า กลุ่มชาติพันธุ์กับต่างๆ กับคนที่สนับสนุนประชาธิปไตยควรรวมตัวกันสนับสนุนกระบวนการสันติภาพ แต่ตอนที่ตนเข้าร่วมประชุมสันติภาพ ความเห็นของกลุ่มชาติพันธุ์กับรัฐบาลก็มีจุดยืนที่ต่างกันทั้งๆ ที่ควรจะยืนข้างเดียวกัน ชู บิ้ก ทะอ่อง ยังกล่าวเพิ่มเติมว่าการพูดคุยเรื่องสถานภาพของรัฐพม่าในแบบสหพันธรัฐนั้นมีความสำคัญ สมัยสนธิสัญญาปางโหลงเมื่อปี 2490 ที่มีการพูดคุยเรื่องดังกล่าวก็พังทลายลงเพราะรัฐธรรมนูญพม่าในเวลาต่อมาบัญญัติให้พม่ามีสภาพรัฐเป็นสหภาพ การพูดคุยระหว่างชาติพันธุ์บนฐานการสร้างสหพันธรัฐก็ขัดกับรัฐธรรมนูญไป แต่ตอนนี้ในกลไกสร้างสันติภาพก็เป็นระบบ มีคณะกรรมาธิการสนธิสัญญาสันติภาพหยุดยิง (Nationwide Ceasefire Agreement - NCA) เป็นกรอบสำหรับการสานเสวนาทางการเมือง ในข้อตกลงมีโรดแมปหกข้อ หนึ่งในนั้นคือจะมีสิ่งที่เรียกว่าข้อตกลงสหภาพ (union accord) ไปยังรัฐสภาเพื่อแก้รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 หมายความว่า ผลของกระบวนการสันติภาพสุดท้ายคือแก้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน เพื่อให้นำไปสู่การเกิดระบอบประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐ แต่กระบวนการก็มีข้อท้าทายอยู่ว่า แม้รัฐบาลประชาธิปไตย และกลุ่มชาติพันธุ์มีจุดยืนที่เหมือนกันในเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ แต่มีความคิดปลีกย่อยที่ต่างกันในส่วนของสหพันธรัฐ เช่น การจัดสรรทรัพยากรของกลุ่มชาติพันธุ์ สิทธิแบบใดที่กลุ่มชาติพันธุ์พึงมี และอาจมีอีกหลายมุมมองที่คิดไม่เหมือนกัน ดุลยภาคกล่าวว่า หนึ่งในดอกผลที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหว 8888 คือการย้ายเมืองหลวงจากย่างกุ้งไปยังกรุงเนปิดอว์ การเคลื่อนไหว 8888 ที่ย่างกุ้งนั้น ผู้ประท้วงได้ปิดล้อมอาคารรัฐบาลและค่ายทหาร แม้การประท้วงถูกทหารสลายไปแต่ ตาน ฉ่วย หนึ่งในนายทหารที่ทำการรัฐประหารใน พ.ศ. 2531 ได้รู้ถึงพลังของฝ่ายประท้วง จึงมีดำริจะย้ายเมืองหลวงไปให้ไกลออกไปจากศูนย์กลางการประท้วง ซึ่งก็ถือเป็นหนึ่งในมรดกทางประวัติศาสตร์ของการประท้วง และปัจจุบันเนปิดอว์ ก็เป็นสถานที่ที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องทำงานบริหารรัฐจากที่นั้น ดุลยภาคกล่าวต่อไปว่า จุดหักเหทางประวัติศาสตร์ของพม่าต้องพิจารณาเหตุการณ์สี่เหตุการณ์ หนึ่ง การพูดคุยเรื่องสนธิสัญญาปางโหลงครั้งที่สอง การร่างรัฐธรรมนูญและการเสียชีวิตของนายพลอองซาน ตัวแทนฝ่ายพม่า สมัยนั้นยังขาดความเข้าใจเรื่องการสร้างรัฐ วิธีสร้างสหพันธรัฐ แต่ในที่สุด กระบวนการทั้งหลายนำไปสู่การสร้างสหภาพพม่า ต่อมาเมื่อได้รับเอกราชจากอังกฤษก็เกิดสงครามกลางเมืองอย่างยาวนาน และรัฐบาลประชาธิปไตยไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เป็นโอกาสให้กองทัพพม่า (ทัดมาดอ) มีที่ทางสั่งสมอำนาจขึ้นมา สอง ในปี 2505 เน วิน ตัดสินใจสร้างระบอบการเมืองที่รวบอำนาจสู่ศูนย์กลาง เป็นยุคที่ทหารประสบความสำเร็จในการรวบอำนาจทางการเมืองและครอบครองพม่าอยู่ 26 ปี และสี่ ในปี 2531 เมื่อสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่นำไปสู่การประท้วง แต่ก็จบด้วยการเกิดระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จที่จะครอบครองพม่าต่อไปอีกสองทศวรรษ กองทัพพม่ามีกำลังในการโต้กลับพลังประชาธฺืไตยหลังสั่งสมอิทธิพลในการเมืองมายาวนานนับตั้งแต่ปี 2490 หลังจากนั้นระบบเศรษฐกิจพม่าเปลี่ยนไปเป็นทุนนิยมมากขึ้นจากเดิมที่เป็นสังคมนิยม มรดกทางการเมืองของปี 2531 คือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมของพม่า นำไปสู่ความพยายามปฏิรูปการเมืองในปี 2554 ที่กลับมาพูดคุยเรื่องสหพันธรัฐอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงการมีประชุมสัญญาปางโหลงอีกครั้งในศตวรรษที่ 21 แต่สิ่งที่สำคัญคือคำว่าสหภาพ (Union) อันเป็นสถานภาพแห่งรัฐที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ อะไรคือความหมายที่แท้จริงกันแน่ซึ่งตนก็ไม่รู้ แต่คิดว่ากองทัพพม่าคือกลุ่มที่มีอำนาจที่สุดในการให้ความหมาย ดุลยภาคกล่าวถึงความท้าทายในอนาคตว่า ระบบการเมืองพม่าที่ปัจจุบันใช้ระบบประชาธิปไตยเสียงข้างมากในแบบที่คนชนะเลือกตั้งมีสิทธิ์และมีเสียงแบบกินรวบทั้งหมด ซึ่งอาจไม่เหมาะสมเพราะพม่ามีโครงสร้างชาติพันธุ์ที่หลากหลาย เสียงส่วนน้อยก็ไม่มีอำนาจ จึงมีเสียงส่วนน้อยบางส่วนเสนอแนวคิดประชาธิปไตยแบบแบ่งอำนาจถัวเฉลี่ยให้ชนกลุ่มน้อยได้เข้าไปในสภา ในประเด็นสหพันธรัฐก็มีหลายมิติ สิ่งที่สังคมพม่าถกเถียงกันอยู่ช่วงหนึ่งคือหลักเกณฑ์การแบ่งรัฐแบบใช้ภูมิศาสตร์เป็นเกณฑ์ หรือใช้ชาติพันธุ์เป็นเกณฑ์ ตัวแบบการแบ่งแบบชาติพันธุ์ที่ชัดเจนคือที่ควิเบกในแคนาดาที่แบ่งเขตให้และให้อิสระในการปกครองตัวเอง อิสระทางภาษา วัฒนธรรมที่พอสมควร แต่อำนาจรัฐบาลก็ยังคุมอยู่ ในแบบภูมิศาสตร์ก็มีตัวอย่างคือสหรัฐฯ ที่ไม่ได้แบ่งตามชาติพันธุ์ แต่แบ่งคร่าวๆ ตามภูมิศาสตร์ คำถามคือพม่าก็ถกเถียงกันอยู่ แล้วเขาจะใช้ตัวแบบไหน อาจจะผสมผสานกันก็ได้ แต่ความสำเร็จของการสร้างสหพันธรัฐมันอยู่ในการต่อรอง เจรจาในกระบวนการสันติภาพ ตอนนี้ก็มีองค์กร มีโรดแมป มีกลไกต่างๆ อีกอย่างคือเกมการใช้อำนาจ การใช้สงครามก็ยังมีอยู่แต่ความเข้มข้นลดลง ปฏิสัมพันธ์รหว่างสองกลไกนี้ทำให้ฝ่ายใดกุมมากก็มีอำนาจต่อรองในการสร้างสหพันธรัฐอย่างที่ฝ่ายตนต้องการ เช่น ฝ่ายทหารพม่าอาจจะชอบสหพันธรัฐแบบแบ่งตามภูมิศาสตร์ แต่ยังมีอำนาจอยู่ที่ศูนย์กลางและห้ามแบ่งแยกดินแดน หรือแบ่งตามชาติพันธุ์เป็นบางส่วน ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ก็มีความคิดหลากหลายแต่ยังมีอำนาจต่อรองเป็นรองทางรัฐบาลอยู่ พม่าในปัจจุบันเป็นกึ่งสหพันธรัฐ กึ่งประชาธิปไตยภายใต้เสนาธิปัตย์อยู่ แต่ก็จะมีกลไกที่ทำให้พม่าเดินหน้าต่อไป ตรงนี้ก็คือกระบวนการสันติภาพ แม้จะมีการแย่งชิงอำนาจแต่เมื่อมันเป็นระบบแล้วก็ยังพอจะเดินต่อไปได้ ส่วนประเด็นสหพันธรัฐประชาธิปไตยนั้นได้ถูกผนวกเอาไว้ในกระบวนการสันติภาพแล้ว จะได้หรือไม่ได้อาจต้องใช้เวลา แต่เขากำหนดกรอบเวลาว่า ถ้าไม่มีอะไรขัดขวาง หลังเลือกตั้งปี 2563 จะเห็นการสร้างตัวนี้ (สหพันธรัฐประชาธิปไตย) ขึ้นมา ดุลยภาคยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พม่าถือเป็นประเทศที่มีกระบวนการประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าขึ้น กล่าวคือ ขยับออกมาจากเผด็จการอำนาจนิยม มาสู่ประเทศที่มีพัฒนาการทางประชาธิปไตย ส่วนไทยนั้นขยับจากประชาธิปไตยแบบมีข้อบกพร่องมาเป็นระบอบเผด็จการอำนาจนิยม ส่วนการเลือกตั้งครั้งหน้าของไทยก็อาจนำไปสู่ระบอบลูกผสมแบบพม่าปัจจุบัน ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
ประมวลความเห็น: เราจะมีรัฐสวัสดิการได้ยังไง? Posted: 11 Aug 2018 06:40 AM PDT Submitted on Sat, 2018-08-11 20:40
เราจะมีรัฐสวัสดิการได้ยังไง? หากรัฐสวัสดิการช่วยลดความเหลื่อมล้ำ แล้วทำไมไทยยังไม่อาจเป็นรัฐสวัสดิการ? รับชมวิดีโอสัมภาษณ์หลากหลายความเห็นจากผู้เข้าร่วมงาน Hack Welfare ที่จัดโดยพรรคอนาคตใหม่ วันที่ 4 ส.ค. ที่ผ่านมา ร่วมด้วยความเห็นเชิงแนวทางการปฏิบัติจาก ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่
ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
เผยทหารคุมตัวอาสาสมัครมูลนิธินูซันตารา เหตุรุนแรง อ.บาเจาะ Posted: 11 Aug 2018 05:55 AM PDT Submitted on Sat, 2018-08-11 19:55
สำนักข่าว Wartani รายงานว่าเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2561 เวลาประมาณ 7:30 น. ที่ หมู่ 2 ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ได้เกิดเหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงชาวไทยพุทธทำให้เสียชีวิตสองคน จากนั้นเมื่อเวลา 13:00 น. ได้มีทางเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปควบคุมตัว นายฟาอิส แมยู คณะทำงานเครือข่ายมูลนิธินูซันตาราสาขา จ.นราธิวาส เเละกำลังศึกษามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ โดยเบื้องต้น สำนักข่าว Wartani ระบุว่านายฟาอิส ถูกควบคุมตัวที่ ฉก. วัดเชิงเขา ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส และยังไม่ทราบความคืบหน้าของการควบคุมตัวครั้งนี้
ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
กทม. เตรียมติดประกาศห้ามมีเพศสัมพันธ์ในสวนสาธารณะ Posted: 11 Aug 2018 04:55 AM PDT Submitted on Sat, 2018-08-11 18:55 กทม.ยอมรับพบหนุ่มสาวมีเพศสัมพันธ์ในสวนลุมพินีจริง เตรียมลงพื้นที่สวนลุม 13 ส.ค.นี้ เตรียมติดประกาศคุมเข้มห้ามประชาชนมีเพศสัมพันธ์ในพื้นที่สวนสาธารณะ กทม.ยอมรับพบหนุ่มสาวมีเพศสัมพันธ์ในสวนลุมพินีจริง เตรียมลงพื้นที่สวนลุม 13 ส.ค.นี้ เตรียมติดประกาศคุมเข้มห้ามประชาชนมีเพศสัมพันธ์ในพื้นที่สวนสาธารณะ ที่มาภาพประกอบ: Novinite.com 11 ส.ค. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่านายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงกรณีที่ในโลกโซเชี่ยลเผยแพร่คลิปภาพชายหญิงมีเพศสัมพันธ์ภายในลานบริเวณสวนลุมพินี โดยยอมรับว่าภาพในคลิปอยู่ในพื้นที่ของสวนลุมพินีจริง เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2561 ที่ผ่านมา ช่วงประมาณ 15.00 น. เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากประชาชนที่มาออกกำลังกาย ว่าพบเห็นชายหญิงกำลังทำมีเพศสัมพันธ์ที่บริเวณจุดกางเต็นท์ใกล้ศาลารถไฟฟ้า เจ้าหน้าที่ก็ได้ออกไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบว่าขณะนั้นมีฝนตกปรอยๆ มีคนมานั่งรวมกลุ่มกันภายในซุ้มทางเดินวิ่งและกำลังทำกิจกรรมทางเพศอยู่ จึงได้เข้าไปห้ามปรามจนทำให้ทราบว่าชายหญิงดังกล่าวไม่ใช่คนไทย แต่เป็นชาวต่างชาติ เจ้าหน้าที่จึงทำได้เพียงบอกให้หยุดทำกิจกรรมและให้ออกจากพื้นที่เท่านั้น นายจักกพันธุ์ กล่าวอีกว่าได้ให้สำนักงานสวนสาธารณะ สำนักสิ่งแวดล้อม เพิ่มภาษาต่างประเทศบนป้ายที่เป็นระเบียบและข้อควรปฏิบัติการเข้าใช้สวนสาธารณะของ กทม. เช่น ภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น และ จีน นอกจากนี้ กทม. มีแนวทางจัดอบรมการใช้ภาษาต่างชาติ เพื่อการสื่อสารให้กับเจ้าหน้าที่ประจำสวนลุมพินี ตลอดจนสวนสาธาณะทั้ง 37 แห่ง เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความรู้ความเข้าใจ และสามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่ด้วย ทั้งนี้สวนลุมพินีฯ มีมาตรการดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว ที่ผ่านมาพยายามลดจุดเสี่ยง หรือจุดอับสายตา โดยตัดแต่งต้นไม้และกิ่งไม้ เพิ่มไฟฟ้าส่องสว่าง มีกล้องโทรทัศน์วงจรปิด 130 ตัว และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ประจำจุด 28 จุด โดยช่วงกลางวัน มีเจ้าหน้าที่ รปภ. คอยออกพื้นที่ตรวจตราดูแล 30 คน ส่วนกลางคืนมีเจ้าหน้าที่ รปภ. คอยออกพื้นที่ตรวจตราดูแล 20 คน แต่หลังจากนี้จะเพิ่มความถี่ในการออกตรวจให้เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะบริเวณจุดกางเต็นท์ต่างๆ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชนที่มาใช้บริการป้องกันการมั่วสุม ขณะเดียวกันต้องรักษาความเป็นพื้นที่สีเขียว มีมุมสวยงาม มุมพักผ่อนให้กับนักท่องเที่ยวและผู้ที่มาวิ่งออกกำลังกายด้วย อย่างไรก็ตาม ในวันจันทร์ที่ 13 ส.ค. นี้นี้ จะลงพื้นที่ไปตรวจติดตามจุดดังกล่าวและจุดต่างๆ เพื่อหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวในอนาคต ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
ชี้ 'ทักษิณ' เตือนสติพรรคที่ดูด ส.ส.มีแรงดึงดูดอะไรให้ชาวบ้านเลือก Posted: 11 Aug 2018 04:37 AM PDT Submitted on Sat, 2018-08-11 18:37 'พิชัย นริพทะพันธุ์' เผย 'ทักษิณ' เคลื่อนไหวถี่เพราะ คสช. ครองอำนาจมานานมากแล้ว เตือนสติพรรคที่ดูด ส.ส.มีแรงดึงดูดอะไรให้ชาวบ้านเลือก 'สามมิตร' เดินหน้าเปิดตัว 'หมอเปรม' ไม่สนทักษิณ-โต้ทำเพื่อประโยชน์ประชาชน
มติชนออนไลน์ รายงานเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2561 ว่านายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าคิดว่านายทักษิณคงเห็นว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ครองอำนาจมา 4 ปี ซึ่งถือเป็นเวลาที่นานมากแล้ว แต่กลับไม่มีแนวโน้มว่าจะกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อใด ซ้ำยังพยายามสร้างเรื่องเพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีกเรื่อยๆ เดิมทีนายทักษิณ คงคิดว่าจะให้โอกาส คสช.ทำงาน ตามที่ประกาศว่าจะสร้างความปรองดอง แต่ผ่านไป 4 ปีกลับยิ่งทำให้ประชาชนเดือนร้อน อึดอัด ด้วยเหตุนี้นายทักษิณ จึงต้องการสะท้อนความลำบากของประชาชน โดยต้องการเสนอทางออกที่ถูกต้องให้ประเทศไทย และสร้างการรับรู้ว่าแนวคิดทักษิโณมิกส์ ซึ่งเป็นหลักคิดทางเศรษฐกิจที่ต่างประเทศขนาดนามให้นั้น สามารถแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้ เพราะวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก แนวคิดต่างๆ จึงต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ นายพิชัย กล่าวว่าความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ไม่ใช่การครอบงำพรรคเพื่อไทย แต่เป็นการแสดงความห่วงในฐานะคนไทยคนหนึ่ง และในฐานะอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ทำให้เห็นว่าประชาชนต่างเลือกผู้แทนที่ตอบสนองความต้องการได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกเมื่อ ส.ส.ย้ายออกจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน หรือพรรคเพื่อไทย แล้วจะไม่ประสบความสำเร็จในการรับเลือกตั้ง นายทักษิณไม่ได้ขู่ ส.ส. แต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นมากแล้วทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งคนที่ย้ายไปอยู่พรรคอื่นที่ไม่มีจุดขาย ไม่มีประวัติการทำงาน ไม่มีแนวคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมือง ต้องถามตัวเองว่าจะให้ประชาชนเลือกด้วยเหตุผลใด การทำเช่นนั้นถือว่าดูถูกประชาชนหรือไม่ "ผมว่านายทักษิณ คงจะเตือนสติทุกคน ยิ่งถ้าไปอยู่พรรคที่ใช้เงินดูด ยิ่งต้องถามว่าเอาเงินมาจากไหน แล้วจะเข้ามาถอนทุนหรือไม่ นั่นยิ่งจะทำให้ประเทศวนเวียนสู่ปัญหามากขึ้น นายทักษิณ ต้องการบอกกับประชาชนว่ายังมีที่พึ่งอยู่ ยังมีพรรคเพื่อไทย ที่นำแนวความคิดของตัวเองมาต่อยอดพัฒนา แม้ตัวเองจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพรรคแล้วก็ตาม แต่ถึงวันนี้นายทักษิณ ยังมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง เพราะถ้าเพื่อไทยไม่ชนะ แล้วพรรคใดจะชนะ พรรคที่ดูด ส.ส.มีแรงดึงดูดอะไรให้ชาวบ้านเลือก" นายพิชัย กล่าว นายพิชัย กล่าวถึงกรณีที่ตอนนี้ส่อแววจะเลื่อนเลือกตั้งอีกว่า ยิ่งเลือกตั้งเร็วเท่าใด ประเทศไทยจะฟื้นตัวเร็วมากเท่านั้น แม้วันนี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว แต่ไม่ถือว่ามากเท่าที่ควร เพราะเสาหลักของเศรษฐกิจยังไม่ขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็น การลงทุน การบริโภค ฯลฯ เหล่านี้เป็นเรื่องความไม่มั่นใจของต่างชาติ นอกจากนี้ยิ่งเลื่อนเลือกตั้งนานเท่าใด ยิ่งจะไม่ส่งผลดีต่อ คสช.มากเท่านั้น เพราะจะขาดความเชื่อใจ ทั้งจากต่างประเทศและคนในประเทศเอง เนื่องจาก คสช.เลื่อนเลือกตั้งมาหลายครั้ง จนจะหมดความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว 'สามมิตร' เดินหน้าเปิดตัว 'หมอเปรม' ไม่สนทักษิณ-โต้ทำเพื่อประโยชน์ประชาชนมติชนออนไลน์ ยังรายงานว่านายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกกลุ่มสามมิตร ให้สัมภาษณ์ว่าวันนี้กลุ่มสามมิตร นำโดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้เดินทางไปที่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น เพื่อแลกเปลี่ยนและรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ โดยส่วนใหญ่ประชาชนได้สะท้อนถึงปัญหาเรื่องปากท้อง ราคาพืชผลทางการเกษตร และที่ดินทำกิน รวมทั้งยังได้ขอให้ช่วยประสานไปยังรัฐบาล เพราะอยากจะเลี้ยงโค เพื่อสร้างรายได้ให้กับครอบครัวด้วย ซึ่งนายสมศักดิ์เคยคิดนโยบายโคล้านตัวไว้ แต่รัฐบาลในขณะนั้นไม่ได้ดำเนินการ นอกจากนี้ ยังต้องการให้ช่วยเหลือในเรื่องค่าตอบแทนหรือสวัสดิการของอาสาสมัครสาธารณะสุข (อสม.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. และผู้สูงอายุ โดยต้องการให้รัฐบาลช่วยปรับค่าตอบแทนให้สูงขึ้นกว่าในปัจจุบัน นายธนกร กล่าวว่าชาวบ้านระบุว่าได้ประโยชน์จากโครงการของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการบัตรคนจนที่ชาวบ้านพอใจเป็นอย่างมาก แต่อยากให้รัฐบาลเร่งเพิ่มร้านค้าที่มีเครื่องรูดบัตรคนจนด้วย รวมทั้งอยากให้เพิ่มบัตรคนจนขึ้นอีก เพราะยังมีคนจนอีกมากที่ยังไม่ได้รับบัตรคนจน ขณะที่การช่วยเหลือชาวนาซึ่งล่าสุดรัฐบาลทำให้ราคาข้าวขยับสูงขึ้นเป็นตันละ 8,000 บาทนั้นชาวนาพึงพอใจอย่างมาก รวมถึงยังช่วยในเรื่องของค่าเก็บเกี่ยวไร่ละ 1,500 บาทไม่เกิน 12 ไร่ และค่าฝากเก็บยุ้งฉางอีกตันละ 1,500 บาทด้วย ที่ทำให้ราคาข้าวอยู่ในเกณฑ์ที่ชาวนาพึงพอใจ ทั้งนี้ การลงพื้นที่ จ.ขอนแก่นในครั้งนี้ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีต ส.ส.ขอนแก่น และอดีตนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ และนายปัญญา ศรีปัญญา อดีต ส.ส.ขอนแก่น พรรคพลังประชาชนได้เดินทางมาเข้าร่วมกับกลุ่มสามมิตรด้วย นายธนกร กล่าวด้วยว่าจากนั้นนายสมศักดิ์ได้เดินทางไปที่ จ.มหาสารคาม เพื่อพบปะกับประชาชนที่ อ.โกสุมพิสัย โดยมีประชาชนมาแลกเปลี่ยนความเห็นและข้อเสนอแนะเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ นายโกศล คาดพันโน รองนายกอบจ.มหาสารคาม และอดีตผู้สมัคร ส.ส.มหาสารคาม พรรคภูมิใจไทย ได้เดินทางมาขอเข้าร่วมกับกลุ่มสามมิตรด้วย และในอนาคตอาจจะพัฒนาเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคการเมืองที่กลุ่มสามมิตรจะไปสังกัดอีกด้วย ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
คดี ม.112 'ช่างตัดแว่นเชียงราย' พนง.สส. ไม่เคยสอบผู้บันทึกภาพ และไม่พบ URL ในภาพที่กล่าวหา Posted: 11 Aug 2018 03:36 AM PDT Submitted on Sat, 2018-08-11 17:36
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่าเมื่อ 10 ส.ค. 2561 ศาลมณฑลทหารบกที่ 37 จังหวัดเชียงราย นัดสืบพยานโจทก์ในคดีของนายสราวุทธิ์ (สงวนนามสกุล) ช่างตัดแว่นตาในจังหวัดเชียงราย ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ทหารกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) จากกรณีการโพสต์เฟซบุ๊กรูปภาพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เมื่อเดือน ก.ค. 2559 ในนัดนี้เป็นการถามค้านพยานโจทก์ปากที่ 4 คือ พ.ต.ท.ภาสกร สุขะ รองผู้กำกับการ (สอบสวน) สภ.เมืองเชียงราย หนึ่งในคณะพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบคดีนี้ ต่อจากเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2561 ที่พยานได้เข้ามาเบิกความในคดี และทนายจำเลยได้แถลงเพื่อขอเลื่อนการถามค้านออกมาในนัดนี้ ทนายความได้เริ่มถามค้านพยานปากนี้ใน 2 ประเด็นหลักด้วยกัน คือประเด็นที่ว่าผู้บันทึกภาพหน้าจอ ที่นำมากล่าวหาจำเลยในคดีนี้นั้น ไม่ถูกเรียกเข้ามาสอบสวนและไม่เคยเปิดเผยตัวตนใด ๆ และอีกประเด็นคือภาพบันทึกหน้าจอที่จำเลยถูกกล่าวหานั้น ไม่ปรากฎที่อยู่ทางอิเล็กทรอนิกส์ (URL) ในภาพดังกล่าว และจากการตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยที่ได้จากการตรวจค้น ก็ไม่พบภาพตามข้อกล่าวหา พ.ต.ท.ภาสกร เบิกความยืนยันว่า พยานหลักฐานภาพถ่ายในคดีนี้นั้น พ.ท.อิสสระ เมาะราษี นายทหารฝ่ายข่าวของมณฑลทหารบกที่ 37 ผู้แจ้งความในคดี นำมามอบให้กับพยานในวันที่แจ้งความร้องทุกข์ด้วย โดยในคำให้การส่วนหนึ่งของ พ.ท.อิสสระ ที่พยานได้สอบคำให้การระบุว่า พยานหลักฐานภาพถ่ายที่ได้นำมามอบไว้นั้น พ.ท.อิสสระ ไม่ได้จัดทำขึ้นเอง แต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองจัดทำ และนำมามอบให้ พ.ท.อิสสระ ซึ่งพยานในฐานะพนักงานสอบสวนในคดีและคณะพนักงานสอบสวนที่ถูกตั้งขึ้น ไม่ได้มีการเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาของ พ.ท.อิสสระ เข้ามาสอบสวนใด ๆ เลย เนื่องจากสอบถามพูดคุยกับ พ.ท.อิสสระ แล้วได้รับคำตอบว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต้องปกปิดตัวตน ต่อมา พยานได้ตอบการถามค้านของทนายจำเลย โดยยืนยันว่าภาพถ่ายที่จำเลยถูกกล่าวหานั้น ส่วนด้านบนที่มีที่อยู่ทางอิเล็กทรอนิกส์ (URL) นั้นได้ถูกตัดออกไป จึงไม่ทราบที่อยู่ทางอิเล็กทรอนิกส์ (URL) ของภาพและข้อความประกอบภาพ ต่อมา มีการตรวจค้นบ้านพักของจำเลย และมีการยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยไปตรวจสอบ โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ผลการตรวจสอบก็ไม่พบภาพที่จำเลยถูกกล่าวหาในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยที่ถูกตรวจสอบ ส่วนการตรวจสอบ IP Address ของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กนั้นไม่สามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากเฟซบุ๊กมีที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่นอกเขตอำนาจการตรวจสอบ สุดท้ายอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 37 ได้ถามติงคำถามค้านของทนายความจำเลยว่า สาเหตุที่ภาพถ่ายที่จำเลยถูกกล่าวหาไม่ปรากฏที่อยู่ทางอิเล็กทรอนิกส์ (URL) นั้นเกิดจากเหตุใด พยานได้ตอบว่าจากการพูดคุยกับ พ.ท.อิสระ ได้รับคำตอบว่า เหตุที่ตัดภาพด้านบนที่มีส่วนที่อยู่ทางอิเล็กทรอนิกส์ (URL) ออกไป เนื่องจากจะปรากฏข้อมูลส่วนหนึ่งของผู้ใต้บังคับบัญชาของ พ.ท.อิสระ ที่เป็นผู้บันทึกภาพหน้าจอดังกล่าวไว้ ซึ่งต้องปกปิดตัวตน จึงไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ในส่วนนี้พยานไม่ได้ทำการบันทึกไว้ในคำให้การในชั้นสอบสวน เมื่อเสร็จสิ้นถามค้านและถามติงพยานโจทก์ปากที่ 4 อัยการโจทก์ได้แถลงหมดพยานในวันนี้ และขอนำพยานโจทก์ปากที่ 5 เข้าเบิกความในนัดหน้า ในวันที่ 4 ต.ค. 2561 เวลา 9.00 น. ต่อไป สำหรับ นายสราวุทธิ์ ปัจจุบันอายุ 33 ปี เปิดกิจการรับตัดแว่นและขายแว่นสายตาในจังหวัดเชียงราย เขาและภรรยามีลูกด้วยกัน 2 คน คนโตอายุ 6 ปี และคนเล็กอายุ 2 ปี สราวุทธิ์เคยเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงในช่วงปี 2553 แต่ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองภายใต้สังกัดกลุ่มใด โดยมากเป็นการแสดงความคิดเห็นในโลกออนไลน์ โดยหลังการรัฐประหาร สราวุทธิ์ถูกเรียกตัวเข้าพูดคุยในค่ายทหารและถูกเจ้าหน้าที่เดินทางไปพบที่บ้านมากกว่า 10 ครั้ง หลังจากถูกแจ้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ นายสราวุทธิ์ไม่ได้รับการประกันตัวในช่วงแรก หลังจากญาติยื่นขอประกันตัวจำนวน 3 ครั้ง จนกระทั่งได้รับการประกันตัวในการยื่นครั้งที่ 4 ด้วยหลักทรัพย์ 1 แสนบาท หลังจากถูกคุมขังในเรือนจำรวม 38 วัน ก่อนที่จะถูกส่งฟ้องต่อศาลทหารเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2559 ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
มีมติย้ายที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 และบ้านพัก ไปสร้างที่เชียงราย Posted: 11 Aug 2018 02:56 AM PDT Submitted on Sat, 2018-08-11 16:56 คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) ประชุมมีมติให้ย้ายที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 พร้อมบ้านพักข้าราชการตุลาการทั้งหมดออกจากเชิงดอยสุเทพ ไปสร้างที่ จ.เชียงราย แทน โดยจะขอใช้ที่ดินศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงรายเป็นสถานที่ก่อสร้าง
11 ส.ค. 2561 MGR Online รายงานว่านายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยว่าในการประชุมคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) สัญจร ณ โรงแรม เดอะ ริเวอร์ บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย ที่มี นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน เมื่อวันที่ 9-10 ส.ค. 2561 ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานศาลยุติธรรม ทำความตกลงขอใช้ที่ดินจากกรมวิชาการเกษตร บริเวณศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 พร้อมที่พักอาศัยของข้าราชการ และให้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป นายสราวุธ กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานศาลยุติธรรมได้ไปดูพื้นที่ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนเสนอที่ประชุม ก.บ.ศ.ในวันที่ 10 ส.ค. เพื่อพิจารณาขอใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ดังกล่าว ซึ่งหากได้รับการจัดสรรงบประมาณและก่อสร้างจนเเล้วเสร็จ ก็จะย้ายที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 จากบริเวณเชิงดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ไปยังพื้นที่ใหม่นี้ทั้งหมด ทั้งที่ทำการศาลฯ เเละที่พักอาศัยข้าราชการ และเมื่อมีการย้ายไปยังสถานที่แห่งใหม่แล้ว จะต้องประสานกับรัฐบาลว่าจะทำอย่างไรกับพื้นที่เดิมที่ จ.เชียงใหม่ นายสราวุธ เปิดเผยอีกว่า ที่ประชุม ก.บ.ศ.ยังมีมติเห็นชอบให้เปิดทําการศาลแขวงเชียงราย ในวันที่ 1 เม.ย. 2562 โดยใช้อาคารที่ทําการอําเภอเมืองเชียงรายหลังเก่าที่ไม่ได้ใช้การเเล้ว ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
เตือน 49 จังหวัด เตรียมพร้อมรับมือฝนตกหนัก 13 - 16 ส.ค.นี้ Posted: 11 Aug 2018 02:24 AM PDT Submitted on Sat, 2018-08-11 16:24 ปภ.แจ้งเตือน 49 จังหวัดทั่วประเทศ เตรียมพร้อมรับมือฝนตกหนัก คลื่นลมแรง 13 - 16 ส.ค.นี้ ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมจากพายุเซินติญยังคงมี 10 จังหวัด ด้านศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤตสรุปสถานการณ์น้ำมีพื้นที่ 7 จังหวัด เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน 4 อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่น้ำเกินเกณฑ์ ส่วนแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำโขงแนวโน้มดีน้ำลดระดับ ภาพพื้นที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ที่ จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2561 ที่มาภาพ: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ 11 ส.ค. 2561 นายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่ากองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก) ได้ติดตามสภาวะอากาศ ปริมาณฝนสะสม สถานการณ์น้ำ และปัจจัยเสี่ยงเชิงพื้นที่ พบว่าหลายพื้นที่ยังคงมีฝนตกหนักต่อเนื่อง และสถานการณ์น้ำในหลายจังหวัดอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังและเพิ่มสูงขึ้น โดยกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่าพายุดีเปรสชั่นบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน จะเคลื่อนเข้าปกคลุมประเทศเวียดนามในช่วงวันที่ 13 - 14 ส.ค. 2561 ส่งผลให้ในช่วงวันที่ 13 - 16 ส.ค. นี้ บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกเพิ่มมากขึ้น อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และดินโคลนถล่ม รวมทั้งคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน คลื่นสูง 2 - 4 เมตร อ่าวไทยตอนบน คลื่นสูง 2 - 3 เมตร สำหรับจังหวัดที่ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อุทกภัย 39 จังหวัด แยกเป็น ภาคเหนือ 17 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร พิจิตร ตาก นครสวรรค์ และอุทัยธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18 จังหวัด ได้แก่ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ชัยภูมิ อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด ยโสธร นครราชสีมา สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ภาคกลาง 4 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ส่วนจังหวัดที่ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์คลื่นลมแรง 10 จังหวัด แยกเป็น ภาคตะวันออก 4 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ภาคใต้ 6 จังหวัด ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล จึงขอให้จังหวัดที่เสี่ยงภัยเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ อธิบดี ปภ. ยังกล่าวถึงสถานการณ์อุทกภัย จากอิทธิพลของพายุเซินติญว่า ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยใน 10 จังหวัด ได้แก่ นครพนม อุบลราชธานี บึงกาฬ สกลนคร กาฬสินธุ์ ยโสธร เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย และระนอง ประชาชนได้รับผลกระทบ 25,631 ครัวเรือน 63,850 คน ซึ่ง ปภ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่และให้ความช่วยเหลือประชาชนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เผยแม่น้ำเพชรบุรีและโขงระดับน้ำแนวโน้มดีด้านนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤต สรุปสถานการณ์น้ำและพื้นที่เสี่ยงสำคัญ พบว่าในช่วงวันที่ 13-16 ส.ค.นี้ ประเทศไทยจะยังมีฝนตกต่อเนื่อง โดยวันนี้ (11 ส.ค.) จะมีตกเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง อาจจะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำเอ่อล้นตลิ่ง และดินโคลนถล่มได้ในพื้นที่เฝ้าระวัง 31 จังหวัด ได้แก่ ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน ตาก กำแพงเพชร สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดหนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ภาคกลาง จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี อุทัยธานี และนครสวรรค์ , ภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี และตราด และภาคใต้ จังหวัดระนอง และพังงา ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำเอ่อล้นตลิ่งและดินโคลนถล่มเป็นพิเศษ 7 จังหวัด ประกอบด้วย สกลนคร มุกดาหาร ปราจีนบุรี ตราด ระนอง พังงา และ สุราษฎร์ธานี ขณะที่สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ พบว่าอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีระดับเกินเกณฑ์ควบคุม (Upper Rule Curve) และปริมาณน้ำเกินร้อยละ 80 ของความจุ มีจำนวน 4 แห่ง คือ 1. เขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ปริมาณน้ำ 731 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 103 น้ำล้นทางระบายน้ำ (Spillway) สูง 49 ซม. แนวโน้มปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างลดลง และจากการคาดการณ์สภาพภูมิอากาศ อาจมีฝนตกมากขึ้นส่งผลให้น้ำในเขื่อนเพิ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า ซึ่งยังต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ สำหรับพื้นที่ท้ายน้ำยังอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง 2. เขื่อนน้ำอูน จ.สกลนคร สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ ปริมาณน้ำ 535 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 103 สภาพน้ำในพื้นที่ท้ายน้ำ ยังคงปกติ คาดว่าจะไม่มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่มีน้ำล้นตลิ่ง 3. เขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ มีปริมาณน้ำ 7,548 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 85 และ 4.เขื่อนปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ มีปริมาณน้ำ 317 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 81 สภาพน้ำในพื้นที่ท้ายน้ำ ระดับน้ำในแม่น้ำปราณบุรีจะมีระดับค่อยๆสูงขึ้น ทั้งนี้ต้องเฝ้าระวังระดับน้ำจากอัตราการระบายที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ลุ่มน้ำเพชรบุรี มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนแก่งกระจาน และไหลผ่านทางระบายน้ำล้น (Spillway) ลดลง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเพชรบุรี มีแนวโน้มลดลงตามการระบายน้ำจากเขื่อน แต่ยังคงมีระดับสูง ส่วนแม่น้ำโขง ระดับน้ำลดลงปัจจุบันระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่ง ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น