โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com

Link to ประชาไท

ครอบครัว 'น้องเมย' แถลงข่าวระบุแพทย์ไม่สามารถตรวจสอบอวัยวะได้ กระทบสำนวนคดี

Posted: 16 Aug 2018 08:44 AM PDT

ครอบครัว 'นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์' หรือ 'น้องเมย' แถลงข่าว เนื่องจากสถาบันนิติเวชวิทยาศาสตร์ได้ออกมาชี้แจงผลการชันสูตรเบื้องต้นว่าอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ สมองของน้องเมยไม่สามารถตรวจพิสูจน์ยืนยันได้ ส่งผลกระทบต่อสำนวนคดี เตรียมยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับแพทย์สภาว่า รพ.พระมงกุฎจัดเก็บอวัยวะทำถูกต้องหรือไม่ ด้านคดีทางศาลจะปรึกษาทนายความอีกครั้งหนึ่ง

16 ส.ค. 2561 เว็บไซต์คมชัดลึก รายงานว่าจากกรณี นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย อดีตนักเรียนเตรียมทหาร (นตท.) เสียชีวิตปริศนาจากการธำรงวินัย เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2560 นอกจากนี้ก่อนที่จะเผาศพพบว่าอวัยวะภายในของน้องเมยได้หายไปอีก รวมทั้งการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า มีรอยฟกช้ำตามร่างกายหลายแห่ง คาดว่าจะเกิดจากการทำร้ายร่างกาย จึงได้มีการแจ้งความดำเนินคดีทั้งหมด 4 คดี และได้สั่งฟ้องไปแล้ว 1 คดี เหลืออีก 3 คดีอยู่ระหว่างการสอบสวน สาเหตุที่ล่าช้าเพราะส่วนใหญ่จะติดเรียนหนังสือ

นายพิเชษฐ นางสุกัลยา และ น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ พ่อ แม่ และพี่สาวของนายภคพงศ์จึงออกมาแถลงข่าวอีกครั้ง เนื่องจากสถาบันนิติเวชวิทยาศาสตร์ได้ออกมาชี้แจงผลการชันสูตรเบื้องต้น อวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ สมองของน้องเมย ทางสถาบันฯไม่สามารถตรวจพิสูจน์ยืนยันได้ เนื่องจากสารพันธุกรรมของเนื้อเยื่อได้ผ่านการดองน้ำยาฟอร์มาลีน มีการเสื่อมสลายมาก เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นจึงได้นำส่งอวัยวะดังกล่าวไปให้คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีตรวจพิสูจน์ยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าทางโรงพยาบาลรามาธิบดีได้ยืนยันมาว่า เนื้อเยื่อจากอวัยวะต่างๆ มีสารพันธุกรรมในปริมาณและคุณภาพที่ไม่เหมาะสมในการตรวจวิเคราะห์ต่อไป ทำให้ไม่สามารถระบุรูปแบบสารพันธุกรรม เพื่อนำมาเปรียบเทียบว่าเป็นบุคคลใดได้ และยืนยันผลสรุปที่ได้นำส่งพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2560 ถือว่าเป็นรายงานฉบับสมบูรณ์แล้ว

น.ส.สุพิชา กล่าวว่าคดีของน้องเมยล่วงเลยมากว่า 10 เดือนแล้วยอมรับว่ามาถึงทางตัน เนื่องจากไม่สามารถตรวจยืนยันอวัยวะของน้องเมยได้ จึงมีผลต่อรูปคดีที่มีการฟ้องร้องเพราะไม่สามารถสรุปถึงสาเหตุการเสียชีวิตได้ ซึ่งครอบครัวจะได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับแพทย์สภาอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นกลางในการดูแลแพทย์ในประเทศไทย เน้นในเรื่องโรงพยาบาลพระมงกุฎจัดเก็บอวัยวะทำถูกต้องหรือไม่ ซึ่งส่งผลทำให้ไม่สามารถตรวจพิสูจน์ได้ ส่วนการดำเนินคดีทางศาลนั้น จะได้ปรึกษาหารือกับทางทนายความอีกครั้งหนึ่ง

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ม.วลัยลักษณ์แจงกรณีให้ทหารมาฝึกวินัยเด็กปี 1 ยืนยันไม่ฝึกโหด พ่อแม่ไม่สบายใจไปดูได้

Posted: 16 Aug 2018 06:06 AM PDT

มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีให้ทหารมาฝึกวินัยนักศึกษาใหม่ทุกคน ยืนยันไม่มีฝึกโหด คาดหวังให้นักศึกษา มีความกตัญญ รู้วินัย ใจอาสา พัฒนาภาวะผู้นํา แนะนำหากผู้ปกครองมีความเป็นห่วงลูกหลานให้ร่วมสังเกตการณ์ได้

16 ส.ค. 2561 สืบเนื่องจากกรณีที่มีข่าวว่า มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ได้จัดกิจกรรม พัฒนาระเบียบวินัยและคุณลักษณะที่พึ่งประสงค์ ใช้ชื่อโครงการว่า WU Next Generation Leadership 2018 เพื่อพัฒนานักศึกษาชั้นปีที่ 1 ให้มีวินัยในตนเอง มีความกตัญญู จิตอาสาและภาวะผู้นำ โดยเป็นกิจกรรมที่บังคับให้นักศึกษาปี 1 จำนวน 2,263 คนเข้าร่วม โดยมีการนัดให้เข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค. สิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. นี้ รวมจำนวนทั้งหมด 16 ครั้ง ซึ่งภายในกิจกรรมจะมีการแบ่งนักศึกษาออกทั้งหมด 4 กลุ่ม และมีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาทำกิจกรรมสร้างระเบียบวินัย และสอนเรื่องภาวะผู้นำ จนนำมาสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย

ม.วลัยลักษณ์จัดกิจกรรมสร้างวินัยนักศึกษา บังคับปี 1 เข้าร่วม ให้ทหารมาฝึกระเบียบแถว

ล่าสุด มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ได้ออกแถลงการณ์ ชี้แจงการจัดกิจกรรมดังกล่าว โดยระบุว่า มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์มีปณิธานในการผลิตบัณฑิตให้เป็นทั้ง "คนดีและคน เก่ง" ดังนั้น นอกจากมหาวิทยาลัยจะปฏิรูปการเรียนการสอนเพื่อให้บัณฑิตเป็นคนเก่งแล้ว มหาวิทยาลัยยังได้ดําเนินโครงการเสริมสร้างผู้นําในอนาคต (WU Next Generation Leadership 2018) เพื่อปลูกฝัง อบรม หล่อหลอมตามปณิธานของมหาวิทยาลัย ให้นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ทุกคน มีค่านิยม "กตัญญ รู้วินัย ใจอาสา พัฒนาภาวะผู้นํา"

กตัญญ คือ การมีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา ผู้ปกครอง และประเทศชาติ รู้วินัย คือ การเป็นผู้มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา ปฏิบัติตามกฎกติกาของสังคม จิตอาสา คือ การเป็นผู้มีจิตสาธารณะ ไม่เห็นแก่ตัว เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น มุ่งรับใช้สังคม พัฒนาภาวะผู้นํา คือ การเสริมสร้างให้นักศึกษามีความเป็นผู้นํา เพื่อให้เป็นผู้ที่มีขีดความสามารถสูงในการแข่งขัน

โครงการเสริมสร้างผู้นําในอนาคต กําหนดให้นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ทุกคนเข้าร่วมการ ฝึกอบรม สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 1 ชั่วโมง หลังเลิกเรียนตอนเย็น เป็นเวลา 4 สัปดาห์ 16 ชั่วโมง เริ่มจากวันที่ 14 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไป โดยมหาวิทยาลัยได้รับความอนุเคราะห์ครูฝึก จากมณฑลทหารบกที่ 41 ซึ่งเป็นครูฝึกมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญ ขอยืนยันว่าไม่มีการฝึกแบบ ทารุณกรรมอย่างเด็ดขาด

แต่เนื่องจากมีผู้ที่ให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับข้อเท็จจริงซึ่งอาจทําให้ผู้ปกครองของ นักศึกษามีความห่วงกังวล มหาวิทยาลัยจึงขอชี้แจงให้มีความชัดเจนมา ณ ที่นี้ และหากผู้ปกครอง มีความกังวล สงสัย ก็สามารถเข้าร่วมสังเกตการณ์ได้ทุกวันที่มีการฝึก และขอเรียนยืนยันอีกครั้ง ว่า มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์มีความมุ่งมั่นที่จะปลูกฝังอบรม หล่อหลอมให้บุตรหลานของท่านเป็น บัณฑิตที่เป็นทั้ง "คนดีและคนเก่ง" ของสังคมตามปณิธานของมหาวิทยาลัย

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'นครบาล' ระบุติดตามไลฟ์สดของ 'เสก โลโซ' โดยตลอด

Posted: 16 Aug 2018 05:01 AM PDT

รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุเฝ้าติดตามการไลฟ์สดของ 'เสก โลโซ' โดยตลอดและหากมีคนแจ้งความดำเนินคดี ตำรวจก็จะดำเนินการออกหมายเรียกทันที ด้าน 'เสก โลโซ' แจงชัดไลฟ์มาราธอนไม่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองขอ 'ทักษิณ' ยุติบทบาท จะร้องเพลง 'ใจสั่งมา' ให้ฟัง

16 ส.ค. 2561 เว็บไซต์สปริงนิวส์ รายงานว่าพล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงกรณีนายเสกสรรค์ ศุขพิมาย หรือ เสก โลโซ ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก พาดพิงกล่าวหาบุคคลอื่น ว่าทางตำรวจได้มีการเฝ้าติดตามเนื้อหาการไลฟ์สดของ เสก อย่างต่อเนื่อง และหากบุคคลที่ถูกพาดพิงเข้าแจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาท โดยทางตำรวจก็จะดำเนินการตามกฎหมาย ด้วยการออกหมายเรียกให้เจ้าตัวมาพบ หากไม่มาก็จะออกหมายจับต่อไป

ทั้งนี้ พล.ต.ต.สมพงษ์ ชี้แจงว่าการจะดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาท จะต้องมีผู้เสียหาย เข้าแจ้งความร้องทุกข์ แต่ถ้าไม่มีตำรวจก็ไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ ได้

ขอ 'ทักษิณ' ยุติบทบาท จะร้องเพลง 'ใจสั่งมา' ให้ฟัง

ด้าน เว็บไซต์ Nation TV รายงานว่าหลังจากนักร้องร็อกเกอร์ชื่อดัง เสก โลโซ ได้ไลฟ์สดติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 13.42 น. เสก โลโซ ร็อกเกอร์ดังก็ได้ไลฟ์สดอีกครั้ง ครั้งนี้ได้ไลฟ์สดเป็นเวลาทั้งหมด 31 นาที เพื่อบอกสาเหตุการออกมาไลฟ์มาราธอน โดย เสก โลโซ ได้ระบุว่า ชี้แจงการที่ผมออกมาเคลื่อนไหว ไม่มีจุดมุ่งหมายทางการเมือง ไม่อยากได้ตำแหน่งใดๆ พร้อมกับยื่นข้อเสนอให้ทักษิณและคณะ ยุติบทบาททางการเมือง เพราะประเทศนี้ เจ้าของประเทศนี้ไม่ต้องการทักษิณ การไปอยู่บ้านใครไม่ควรคิดใหญ่ใฝ่สูงจะคิดเป็นเจ้าของบ้านซะเอง ถ้ายุติบทบาทการเมืองได้จะเชิญมาดื่มกาแฟด้วยกัน จะร้องเพลงใจสั่งมาให้ฟัง

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ชูท่องเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนเกาะสาหร่าย จ.สตูล

Posted: 16 Aug 2018 04:19 AM PDT

จากวิกฤตสัตว์น้ำลดลง เพราะการใช้ทรัพยากรเกินกำลังของชาวประมงพื้นบ้านใน ต.เกาะสาหร่าย จ.สตูล ทำให้ทรัพยากรทะเลเสื่อมโทรม ชุมชนขาดรายได้ประสบปัญหาหนี้สินรุนแรง กระทั่งงานวิจัยเข้าไปสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในพื้นที่ ปรับวิธีคิดใช้การมีส่วนร่วมของชุมชน เน้นการพึ่งพาตนเอง เกิดแนวทางการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่งโดยชุมชน ผนวกเข้ากับกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ส่งผลให้เกิดการแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน เห็นผลเป็นรูปธรรม ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นและมีรายได้เพิ่มขึ้น

หมู่เกาะสาหร่าย อ.เมือง จ.สตูล เป็นเกาะเล็กๆ รายล้อมด้วยสภาพธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิมประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านหรือประมงชายฝั่ง ปัจจุบันเปิดให้บริการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยชุมชนมีบริการที่พักโฮมสเตย์ให้กับนักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วิถีชีวิตพื้นบ้านและวิถีชีวิตชาวประมง มีการจัดกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ดำน้ำดูปะการัง พายเรือคายัค ชมป่าชายเลนหรือเดินสำรวจธรรมชาติรอบเกาะ นอกจากนี้ยังมีธนาคารปูม้าไข่ที่ชาวบ้านที่นี่ได้ร่วมกันจัดตั้งขึ้นกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทำให้คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

แต่หากย้อนกลับไปในอดีต ชุมชนแห่งนี้มีฐานะยากจนรายได้หลักส่วนใหญ่มาจากการทำประมงพื้นบ้านจับปลาจับปูตามชายฝั่งขาย แต่ต้องประสบปัญหาสัตว์น้ำมีปริมาณลดลง เนื่องจากที่ผ่านมาชาวบ้านมีการจับเกินกำลังการผลิตของธรรมชาติ เพราะมองว่าทรัพยากรชายฝั่งเป็นของสาธารณะ ชาวบ้านส่วนใหญ่ขาดจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์ มีการใช้เครื่องมือที่ผิดกฎหมาย มีการจับสัตว์น้ำในฤดูวางไข่ และมีการจับสัตว์น้ำวัยอ่อนหรือที่ยังไม่ได้ขนาด กลายเป็นวิกฤตของการทำประมงชายฝั่ง ขณะที่หน่วยงานรัฐและผู้เกี่ยวข้องไม่เห็นความสำคัญในสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรชายฝั่ง ประกอบกับโครงสร้างชุมชนไม่เข้มแข็งและขาดองค์ความรู้เรื่องระบบการจัดการทรัพยากรประมงโดยชุมชน ก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรสัตว์น้ำ ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพและเกิดปัญหาหนี้สินรุนแรง

จากวิกฤตที่เกิดขึ้นทำให้ชุมชนประมงพื้นบ้านใน ต.เกาะสาหร่าย หันกลับมาถามหาความต้องการที่แท้จริงของชุมชน และหันมาให้ความสำคัญกับแนวทางการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่งของชุมชน นำมาสู่การจัดทำโครงการศึกษาวิจัยการพัฒนารูปแบบการัดการทรัพยากรประมงชายฝั่ง เพื่อการพึ่งพาตนเองของชาวประมงพื้นบ้านใน ต.เกาะสาหร่าย ขึ้นในปี พ.ศ.2555 ที่ผ่านมา มี ผศ.ดร.ชัยรัตน์ จุสปาโล อาจารย์จากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เป็นหัวหน้าโครงการฯ โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งสตูล สำนักงานประมงจังหวัดสตูล สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.สตูล  และสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬา จ.สตูล เพื่อศึกษาศักยภาพการพึ่งพาตนเองในการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่ง ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการจัดการ เพื่อหาแนวทางในการส่งเสริมความสามารถในการจัดการฯ และพัฒนารูปแบบการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่ง เน้นความสามารถในการพึ่งพาตนเอง 

โดยใช้วิธีการศึกษาจากการสำรวจบริบทชุมชน การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม การประชุมกลุ่มย่อยร่วมกับแกนนำชุมชน 6 หมู่บ้าน การประชุมระดมความเห็นจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง องค์การบริหารส่วนตำบลและคนในชุมชน และระดมความรู้จากนักวิชาการรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การศึกษาดูงาน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนในการพัฒนาต้นแบบการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่ง และได้ทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากคนในชุมชนและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง

ผศ.ดร.ชัยรัตน์ จุสปาโล หัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวว่า "โครงการวิจัยนี้เป็นการสร้างความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพื่อแก้วิกฤตปัญหาการประกอบอาชีพประมงชายฝั่งของชาวประมงพื้นบ้านในพื้นที่ ต.เกาะสาหร่าย ที่มีปริมาณทรัพยากรสัตว์น้ำลดลง มีการใช้ประโยชน์เกินกำลังการผลิต ซึ่งมีสาเหตุมาจากการทำประมงผิดประเภท การจับสัตว์น้ำวัยอ่อน และชาวประมงที่ไม่สามารถปรับตัวได้ก็ละทิ้งภูมิปัญญาการทำประมงหันไปประกอบอาชีพอื่น จนก่อให้เกิดผลกระทบอื่นๆ ตามมา จึงต้องหาแนวทางการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่งเพื่อการพึ่งพาตนเอง"

ผลการวิจัยจากการประเมินศักยภาพการพึ่งพาตนเองโดยใช้แบบประเมินศักยภาพท้องถิ่น พบว่าศักยภาพการพึ่งพาตนเองในแต่ละหมู่บ้านค่อนข้างต่ำและมีความพร้อมแตกต่างกัน การมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ในการแก้ปัญหามีน้อย ประกอบกับมีปัญหาและอุปสรรคในการจัดการทรัพยากรหลายประการ ดังนั้นจึงต้องส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาอาชีพประมงชายฝั่ง และให้ความรู้ในเรื่องการฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล

โดยใช้หลักการจัดการร่วม เน้นเรื่องการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ชุมชน สร้างการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานภายนอก ร่วมกันสร้างองค์ความรู้เรื่องระบบการจัดการทรัพยากรประมง บูรณาการความรู้ที่ได้จากหน่วยงาน ผนวกกับภูมิปัญญา โดยโครงการได้พัฒนาหมู่บ้านต้นแบบในการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่งเพื่อการพึ่งพาตนเองของชาวประมงพื้นบ้านขึ้นในหมู่ที่ 2 โดยมีหน่วยงานนอกร่วมสนับสนุน ร่วมกันพัฒนาและเป็นที่ปรึกษาให้กับชุมชน มีการจัดทำแนวเขตอนุรักษ์ ปลูกป่าชายเลย 4 ชั้น จัดทำโรงแรมปลา ศาลาหมึก ธนาคารปลิง ธนาคารปูม้า และสหกรณ์หอยร้อยชนิด บ่อพักสัตว์ทะเลหายาก และปลูกปะการังให้เป็นที่อยู่ของปลาการ์ตูน เป็นกิจกรรมเชิงอนุรักษ์เพื่อเพิ่มผลผลิตทรัพยากรทางทะเล ส่วนกิจกรรมเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ได้แก่ การเลี้ยงปูม้านิ่ม โรงงานแปรรูปทรัพยากรสัตว์น้ำ แพชุมชน และจากกิจกรรมเหล่านี้เกิดเป็นศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านบากันใหญ่ เพื่อการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่งแบบพึ่งพาตนเองโดยชุมชน ที่สำคัญกิจกรรมในบากันใหญ่โมเดลได้มีการนำไปบูรณาการกับกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของชุมชน

จากการดำเนินงานที่ผ่านมาได้ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนภายในพื้นที่ เกิดเครือข่ายที่มีความเข้มแข็งในการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่ง เกิดการเรียนรู้ของคนในชุมชนในเรื่องจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่ง หน่วยงานพันธมิตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนงบประมาณและเข้ามามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมร่วมกับชุมชน รวมทั้งได้มีการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่ง ผนวกเข้ากับการท่องเที่ยงเชิงอนุรักษ์ กลายเป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งทำกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรประมง มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาร่วมเรียนรู้และทำกิจกรรมกว่า 10,000 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี จนสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนเป็นเงินกว่า 5 ล้านบาท

ผศ.ดร.ชัยรัตน์ กล่าวว่ากระบวนการทำงานของโครงการวิจัยฯ ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากการปฏิบัติการ่วมกับกลไกพัฒนาพื้นที่ที่เกี่ยวข้องของทุกภาคส่วน ทั้งจากสถาบันการศึกษา หน่วยงานของรัฐและท้องถิ่น ภูมิปัญญาของชุมชน ในการหาสาเหตุและทางเลือกในการแก้ปัญหาและทดลองปฏิบัติการแก้ไขปัญหาร่วมกัน จนสามารถช่วยให้คนในพื้นที่เกิดการเรียนรู้ การคิดวิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุ จนไปสู่การจัดการทรัพยากรประมงของชุมชน ตรงความต้องการของชุมชนได้อย่างแท้จริง นับว่าเป็นโครงการวิจัยที่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในพื้นที่ สามารถปรับเปลี่ยนวิธีคิดของคนในชุมชน ส่งผลให้เกิดการแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน ยกระดับการพัฒนาชุมชนให้ดีขึ้นและเห็นเป็นรูปธรรม

"จากเดิมที่ชาวบ้านตำบลเกาะสาหร่าย อาจละเลยหรือมองข้ามเรื่องการดูแลทรัพยากรประมงของตัวเอง แต่วันนี้ก็หันกลับมาร่วมมือกันมากขึ้น สัตว์น้ำเช่นปลาการ์ตูน ปู ปลา กุ้ง หอย ที่เคยหายไป ตอนนี้เริ่มกลับมาให้เห็นมากขึ้น ชาวบ้านเองนอกจากจะมีรายได้จากทรัพยากรประมงที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีรายได้จากการท่องเที่ยว ส่งผลให้ชาวบ้านกลับมามีความสุขและยิ้มได้อีกครั้ง"
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

องค์กรแรงงานรณรงค์ออนไลน์จี้โรงแรมในเครือแมริออทที่บาหลี เคารพสิทธิแรงงาน

Posted: 16 Aug 2018 01:07 AM PDT

สหภาพแรงงาน IUF รณรงค์ออนไลน์เรียกร้องให้โรงแรมดับบลิว บาหลี เซมินยัค โรงแรม 5 ดาวในเครือข่ายโรงแรมยักษ์ใหญ่สัญชาติ แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล เคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงาน

16 ส.ค. 2561 สหภาพแรงงานอาหาร เกษตรกรรม โรงแรม ภัตตาคาร การบริการอาหาร ยาสูบและแรงงานพันธมิตรระหว่างประเทศ (International Union of Food, Agricultural, Hotel, Restaurant, Catering, Tobacco and Allied Workers' Associations หรือ IUF) ได้ทำการ รณรงค์ออนไลน์ เรียกร้องให้โรงแรมดับบลิว บาหลี เซมินยัค (W Bali Seminyak) โรงแรม 5 ดาวในเครือข่ายโรงแรมยักษ์ใหญ่สัญชาติ แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล (Marriott International) เคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงาน

พนักงานของโรงแรมกว่าร้อยละ 40 มีสัญญาจ้างงานที่มีกำหนดเวลาและไม่มั่นคง ต้องทำความด้วยความหวาดหวั่นว่าจะไม่ได้ต่อสัญญาจ้าง และต้องทำงานกะละ 12 ชั่วโมงโดยไม่ได้รับค่าจ้างล่วงเวลา กลุ่มพนักงานได้รวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงานเมื่อเดือน ม.ค. 2561 และได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมท่องเที่ยว FSPM ของอินโดนีเซียซึ่งเป็นสมาชิกของ IUF

ต่อมาพนักงานถูกกดดันให้ออกจากการสมาชิกของสหภาพแรงงาน โดยฝ่ายบริหารซึ่งใช้เครื่องมือคือ 'สัญญาการจ้างงานระยะสั้น' (ทำให้พนักงานกลัวที่จะไม่ได้ต่อสัญญาใหม่หากเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน) ในเดือน มี.ค. 2561 ประธานสหภาพแรงงานถูกให้พักงานด้วยข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล โดยผู้บริหารมีมุมมองว่าการมีสหภาพแรงงานนั้นเป็นทำร้ายธุรกิจของโรงแรม

ประธานสหภาพของโรงแรมซึ่งมีสัญญาระยะสั้นและสัญญาหมดลงไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา แต่สหภาพแรงงานก็ยังไม่ได้เลือกประธานสหภาพแรงงานคนใหม่ และทางโรงแรมยังไม่มีการเจรจาใดๆ IUF จึงได้ทำการณรงค์ลงชื่อออนไลน์กดดันให้แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ยันว่าพวกเขาเคารพสิทธิมนุษยชนของพนักงานโรงแรม ในการแก้ปัญหาทั้งการไม่ต่อสัญญากับประธานสหภาพแรงงาน ทบทวนการจ้างงานด้วยสัญญาระยะสั้นที่ไม่มั่นคง ทบทวนการไม่จ่ายค่าจ้างล่วงเวลา และเคารพสิทธิสหภาพแรงงาน

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เตรียมเคลื่อน 'ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์อีสาน' พบพระสงฆ์ยังไม่มีบัตร ปชช. ทำให้ไม่มีสิทธิ 30 บาท

Posted: 16 Aug 2018 01:03 AM PDT

เตรียมขับเคลื่อน 'ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ภาคอีสาน' 22 สิ.ค. 2561 นี้ ที่ มจร.ขอนแก่น สปสช.เขต 7 ขอนแก่น เผยผลสำรวจพระสงฆ์ส่วนหนึ่งยังไม่มีบัตรประชาชน มีเพียงหนังสือสุทธิ จึงยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท แนะยื่นขอทำบัตรประชาชน หลังจากนั้นขอย้ายสิทธิมารักษาที่ รพ.ใกล้วัดได้

16 ส.ค. 2561 รศ.ดร.พระโสภณพัฒนบัณฑิต รองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น และรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น กล่าวว่าวันที่ 22 ส.ค. 2561 ที่จะถึงนี้ จะมีเวทีเปิดตัวการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติสู่พื้นที่ ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตขอนแก่น เพื่อสร้างความเข้าใจ และสื่อสารการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แก่พระสงฆ์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในระดับพื้นที่ โดยมี พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี มาเป็นประธาน ซึ่งในงานจะมีเวทีเสวนา การขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์บนแผ่นดินอีสาน นิทรรศการและกิจกรรมการดำเนินงาน เกี่ยวกับสุขภาวะของพระสงฆ์ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ทั้งนี้ พระสงฆ์ถือว่าเป็นศาสนบุคคลสำคัญของศาสนาพุทธ ซึ่งมีหน้าทีในการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า ดังนั้นจึงต้องมีสุขภาพดี แต่ปัจจุบันจากสถิติพบว่าพระสงฆ์ป่วยด้วยโรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคปอด เบาหวาน และโรคหัวใจ จำนวนมาก ซึ่งเกิดจากการฉันอาหารหวาน มัน เค็ม เกินไป และการบริหารกายน้อย ดังนั้นเมื่อมีธรรมนูญสุขภาพแห่งชาติพระสงฆ์ปี 2560 ซึ่งมีเนื้อหาหลัก 3 ส่วน คือ การที่ให้พระสงฆ์ดูแลกันเองด้านสุขภาพ ญาติโยมจะเข้ามาดูแลพระสงฆ์ และพระสงฆ์ในฐานะผู้นำชุมชนจะทำอย่างไรให้คนในพื้นที่สุขภาพดี

นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า สปสช. เขต 7 ขอนแก่น ได้ดำเนินการในรูปแบบต่างๆเพื่อให้ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์มีผลในทางปฏิบัติ โดยได้รับฟังความคิดเห็นประเด็นพระสงฆ์กับความมั่นคงทางสุขภาพ ขึ้นเพื่อรวบรวมความคิดเห็นของพระสงฆ์ และตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้พระสงฆ์มีหลักประกันสุขภาพ และเข้าถึงบริการสุขภาพได้จริง และไม่ขัดต่อหลักพระธรรมวินัย ซึ่งเมื่อได้รับข้อเสนอจากการรับฟังความคิดเห็นแล้วก็มีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง โดยการถวายความรู้ให้กับพระสงฆ์ในเรื่อง สิทธิและหน้าที่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และการผลักดันให้เกิดรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพ การดูแลสุขภาพพระสงฆ์โดยใช้งบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ เช่น การตรวจคัดกรองสุขภาพพระสงฆ์และการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคในรูปแบบต่างๆ เป็นต้น

นพ.ปรีดา กล่าวว่า เมื่อพระสงฆ์เจ็บป่วยก็ต้องเข้ารับการรักษา การรับรู้สิทธิในการรักษาจึงสำคัญ จากการสำรวจพระสงฆ์ส่วนหนึ่งยังไม่มีบัตรประชาชน มีเพียงหนังสือสุทธิซึ่งใช้แสดงความเป็นพระสงฆ์ แต่การมีบัตรประชาชนแสดงถึงความเป็นคนไทยที่จะได้รับสิทธิตามกฎหมาย เช่น การได้รับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทอง 30 บาท)  ดังนั้น พระภิกษุ สามเณร จะต้องทำบัตรประชาชน โดยการทำบัตรนั้นขอให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของวัด และจะต้องใช้คำนำหน้านาม หรือวงเล็บชื่อตัวชื่อสกุลต่อท้ายสมณศักดิ์ (กรณีเป็นพระภิกษุที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์) ให้ถูกต้องตรงกันกับรายการที่ระบุในหนังสือสุทธิ โดยสามารถไปยื่นคำขอทำบัตรประจำตัวประชาชนได้ที่ว่าการอำเภอ ซึ่งเมื่อได้รับบัตรประชาชนมาแล้วก็สามารถไปขอย้ายสิทธิบัตรทองมารับการรักษาที่โรงพยาบาลใกล้วัดได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน สปสช. โทร 1330 ทุกวัน 24 ชั่วโมง

นพ.ปรีดา กล่าวต่อว่า จากข้อมูลจำนวนและอัตราป่วย 10 อันดับโรค ผู้ป่วยใน (พระสงฆ์) ที่มารับบริการในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐ  ปี 2559 ในพื้นที่ สปสช. เขต 7 ขอนแก่น 4 จังหวัด คือ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม และ ร้อยเอ็ด โรคที่พบมากที่สุด คือ 1.กระเพาะอาหารลำไส้อักเสบ และลำไส้ใหญ่อักเสบ 2.โรคปอด(หลอดลม)อุดกั้นเรื้อรัง 3.ปอดอักเสบ 4.โรคไตวายเรื้อรัง (ระยะที่5) ที่ต้องได้รับการบำบัดทดแทนไต 5.โรคหลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือด 6.โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน 7.เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน 8.ต้อกระจก 9.ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และ 10.ผิวหนังอักเสบ

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'ประยุทธ์' ระบุ 'ประวิตร' หลุดที่ปรึกษา คตช. ไม่เกี่ยวปมสอบนาฬิกาหรู

Posted: 16 Aug 2018 12:24 AM PDT

'ประยุทธ์' แจงเหตุปรับโครงสร้างคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ให้ 'ประวิตร' พ้นที่ปรึกษาไม่เกี่ยวปมสอบนาฬิกาหรู แต่เพื่อให้มีเวลาทำงานในอีกหลายคณะกรรมการ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (แฟ้มภาพสำนักข่าวไทย)

16 ส.ค. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ชี้แจงกรณีใช้อำนาจหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 แต่งตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ชุดใหม่ซึ่งไม่มีชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นที่ปรึกษาว่าไม่เกี่ยวกับกรณี พล.อ.ประวิตร ถูกตรวจสอบการครอบครองนาฬิกาหรูและไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

"ผมไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนาฬิกา การตรวจสอบเป็นหน้าที่ของหน่วยงานใดรับผิดชอบก็ทำไป ผลจะออกมาอย่างไร ผมไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง แต่การปรับเปลี่ยน คตช.ไม่มีอะไรมาก เป็นการแบ่งงานในส่วนที่ พล.อ.ประวิตร รับผิดชอบอยู่ให้น้อยลงเนื่องจาก พล.อ.ประวิตรรับผิดชอบงานมากกว่า 50 คณะ ซึ่งจะทำให้ พล.อ.ประวิตร มีเวลาไปประชุมในคณะกรรมการอื่น ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรียังไม่มีงานรับผิดชอบในส่วนนี้ จึงมอบหมายให้ พล.อ.ฉัตรชัย ดูแลแทน ขอย้ำว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหาอย่างอื่น ไม่เกี่ยวกับการปรับภาพลักษณ์รัฐบาลขอสื่ออย่าไปคิดอย่างอื่น" นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวถามสื่อว่าทำไมจึงไม่ตั้งข้อสังเกตกับนายต่อตระกูล ยมนาค กรรมการใน คตช. ซึ่งเป็นคนทำหนังสือเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีปลด พล.อ.ประวิตร ออกจากการเป็นที่ปรึกษา คตช. บ้างและยังทำหน้าที่เดิมอยู่ จึงเห็นได้ว่าตนไม่ได้ปรับโครงสร้างใหม่เพื่อเหตุผลเหล่านี้ จึงขอให้เข้าใจและอย่าหาเรื่อง

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

อดีตพนักงานวิจารณ์ 'กูเกิล' ไปเปิดบริการเว็บค้นหาแบบที่ถูกเซนเซอร์ในจีนว่า 'โง่เขลา'

Posted: 16 Aug 2018 12:02 AM PDT

อดีตประธานฝ่ายเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของกูเกิลวิจารณ์การที่กูเกิลมีแผนการเปิดให้บริการเครื่องมือค้นหาในจีนฉบับที่มีการเซนเซอร์แล้ว โดยระบุว่ามันเป็นการดำเนินการที่ 'โง่เขลา' และอาจจะเป็นการล่วงละเมิดหลักการด้านสิทธิมนุษยชนของบริษัทตัวเอง


ที่มาภาพประกอบ: Vince Smith (CC BY 2.0)

16 ส.ค. 2561 จากเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมามีรายงานข่าวเรื่องที่กูเกิลซุ่มพัฒนาเครื่องมือค้นหาให้กับจีนอย่างเงียบๆ โดยจะมีการเซนเซอร์เนื้อหาที่รัฐบาลเผด็จการจีนเห็นว่าอ่อนไหวสำหรับพวกเขาด้วย เช่น เรื่องเกี่ยวกับศัตรูทางการเมืองของพวกเขา, เรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น, ประชาธิปไตย, สิทธิมนุษยชน และการประท้วงอย่างสันติ โดยจะทำให้เนื้อหาต่างๆ ในบัญชีที่รัฐบาลจีนระบุไว้ไม่ปรากฏต่อผู้ใช้งาน

ผู้ที่วิจารณ์เรื่องนี้คือ ล็อกมาน จุ่ย ผู้เคยดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของเอเชียและภาคพื้นแปซิฟิกช่วงปี 2554-2557 เขาได้อ่านแผนการเซนเซอร์ของกูเกิลในจีนที่รั่วไหลออกมาแล้วก็บอกว่าเขาไม่สบายใจกับกับแผนการนี้และบอกว่า "นี่เป็นความคิดที่แย่จริงๆ เป็นการดำเนินการที่แสนจะโง่เขลา" ทำให้จุ่ยเลือกจะออกมาพูดในเรื่องนี้

ก่อนหน้านี้ในปี 2549 กูเกิลเคยให้บริการระบบค้นหาในจีนแบบที่เซนเซอร์แล้วมาก่อน แต่ก็ถอนตัวออกไปในปี 2553 โดยอ้างว่ารัฐบาลจีนพยายามปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น บล็อกเว็บไซต์ และแฮ็กระบบคอมพิวเตอร์ของกูเกิล จุ่ยบอกว่าในปี 2553 เป็นต้นมาสถานการณ์อินเทอร์เน็ตในจีนก็แย่ลงกว่าเดิมจากการที่จีนออกกฎหมายความมั่นคงในชาติและกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ที่ทำให้เกิดการเซนเซอร์จากรัฐบาลและการสอดแนมอินเทอร์เน็ตจากรัฐบาลจีนเพิ่มมากขึ้น

ในแง่ของการทำสัญญากับจีนแล้ว จุ่ยวิจารณ์ว่าเขามองไม่ออกเลยว่ากูเกิลจะเจรจาอย่างไรให้กลายเป็นผลประโยชน์ทางบวกกับกูเกิลได้ ขณะที่จีนไม่มีอะไรจะเสียและมีอำนาจกำหนดสัญญาให้เป็นไปในทางที่พวกเขาต้องการได้มากกว่า จึงแทบไม่มีทางเลยที่กูเกิลจะดำเนินการในจีนได้โดยที่ไม่ละเมิดมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล

ถึงแม้ว่าจุ่ยจะออกจากกูเกิลแล้วและในปัจจุบันเป็นผู้ช่วยศาตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งฮ่องกงในสายวารสารศาสตร์ แต่เขาก็ยังจับตามองประเด็นสิทธิมนุษยชนในจีนอย่างใกล้ชิด การที่กูเกิลจะกลับไปจับมือกับจีนในฐานะผู้ให้บริการเสิร์จเอนจิ้นนี้จะทำให้ถูกมองในทางการเมืองว่าพวกเขาหันกลับไปสนับสนุนนโยบายการเซนเซอร์ของจีนหลังจากที่เคยแสดงตัวต่อต้านมาก่อนหน้านี้ แทนที่จะแสดงจุดยืนหนักแน่นในการเป็นผู้นำที่ให้ความสำคัญสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่การยอมตามจีนในคราวนี้จะทำให้ตัวตนของกูเกิลกลายเป็นเพียงแค่บริษัทโปรแกรมค้นหาเท่านั้น

หลังจากที่กูเกิลเปิดเผยการเสิร์จเอนจินเซนเซอร์ในจีนที่มีชื่อรหัสโครงการว่า "ดรากอนฟลาย" หรือ "แมลงปอ" ทำให้พนักงานกูเกิลหลายสาขาทั่วโลกไม่พอใจและสับสน แต่กูเกิลก็ไม่ยอมสื่อสารรับฟังใดๆ กับพนักงานและบอกออกสื่อแค่ว่าจะไม่อภิปรายเรื่องแผนการในอนาคตของพวกเขาเพิ่มเติม ทางด้านจุ่ยบอกว่าเขาจะไม่แปลกใจถ้าหากมีพนักงานกูเกิลลาออกเพราะเรื่องนี้ เพราะมีพนักงานกูเกิลจำนวนมากที่ยังคงเชื่อในค่านิยมหลักของกูเกิลอย่าง "คุณทำเงินได้โดยไม่จำเป็นต้องทำชั่ว" หรือ "ประชาธิปไตยบนเว็บใช้การได้"

ไม่เพียงแค่พนักงานกูเกิลในอดีตและปัจจุบันเท่านั้นที่แสดงความกังวลในเรื่องนี้ มีกลุ่มวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ทั้งสองพรรคการเมืองรวมถึงกลุ่มสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มแสดงความกังวลในเรื่องที่ไม่ใช่แค่การเซนเซอร์เท่านั้น แต่การทำสัญญากับจีนตามกฎหมายแล้วจะบีบให้กูเกิลต้องลงไปตั้งศูนย์ข้อมูลและเซอร์เวอร์ในพื้นที่จีนแผ่นดินใหญ่ เมือ่ดูจากประวัติการใช้อำนาจสอดแนมการสื่อสารและจับกุมนักข่าวกับนักกิจกรรมในจีนแล้ว ทำให้เรื่องนี้น่าเป็นห่วง

เรียบเรียงจาก

GOOGLE CENSORSHIP PLAN IS "NOT RIGHT" AND "STUPID," SAYS FORMER GOOGLE HEAD OF FREE EXPRESSION, The Intercept, 11-08-2018
https://theintercept.com/2018/08/10/google-censorship-plan-is-not-right-and-stupid-says-former-google-head-of-free-expression/

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใช้สิทธิ สปสช. ไม่ต้องจ่าย 30 บาท

Posted: 15 Aug 2018 11:36 PM PDT

'หมอปิยะสกล' ลงนามประกาศ สธ. รองรับมติ ครม. ยกเว้นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 11.4 ล้านคน ไม่ต้องจ่ายค่ารักษา 30 บาทแล้ว มีผลบังคับใช้ถัดวันประกาศราชกิจจานุเบกษา

16 ส.ค. 2561 นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่าตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบที่กระทรวงการคลังเสนอให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 11.4 ล้านคน ไม่ต้องจ่ายค่ารักษาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ "บัตรทอง" และเพื่อให้มีการดำเนินการตามมติ ครม.นั้น เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2561 ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ลงนามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง "บุคคลที่ต้องจ่ายค่าบริการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 โดยให้ยกเลิกความใน (1) ข้อ 2 แห่งประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องบุคคลที่ไม่ต้องจ่ายค่าบริการ พ.ศ. 2555 ลงวันที่ 27 ก.ค. 2555 และให้ใช้ความแทนดังต่อไปนี้ "(1) ผู้มีรายได้น้อย ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยสวัสดิการประชาชนด้านการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2537 ทั้งนี้ให้หมายความถึงผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐด้วย"

"ประกาศฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ซึ่งจะมีผลให้ผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 11.4 ล้านคน ในการเข้ารับการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่ต้องจ่ายค่ารักษา และยืนยันว่าการยกเว้นการจ่ายค่ารักษาตามมติ ครม.นี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ที่ไม่ได้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นการจ่ายโดยสมัครใจ โดยโรงพยาบาลคงถามเหมือนเดิมว่าจะจ่าย 30 บาทหรือไม่เท่านั้น" เลขาธิการ สปสช. กล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'แม่ของผู้ถูกกล่าวหาลอบสังหาร 'คิมจองนัม' เปิดใจปากคำลูกตัวเอง 'หนูถูกหลอกว่ามันเป็นการแสดง'

Posted: 15 Aug 2018 11:28 PM PDT

แม่ของ 'สิตี ไอชยาห์' ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมสังหาร 'คิมจองนัม' พี่ชายของ 'คิมจองอึน' เปิดใจพูดถึงเรื่องลูกสาวของเธอที่พูดคุยโทรศัพท์ผ่านเรือนจำอยู่เป็นประจำ สิตีมักจะพูดกับแม่ของเธอว่าเธอถูกหลอกว่ามันจะเป็นการแสดงรายการแกล้งกันทางโทรทัศน์ (ที่มาภาพ: Xinhua / Barcroft)

15 ส.ค. 2561 สื่อเดอะการ์เดียนรายงานเรื่องของ สิตี ไอชยาห์ ผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหาว่าสังหารคิมจองนัมพี่ชายต่างมารดาของคิมจองอึนผู้นำเกาหลีเหนือ เธอกำลังจะถูกตัดสินชี้เป็นชี้ตายว่ามีความผิดจริงในข้อหาดังกล่าวหรือไม่ ขณะที่แม่ของเธอยังคงติดต่อสื่อสารกับเธอด้วยความเป็นห่วงและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกซุบซิบนินทาของคนในหมู่บ้านเกี่ยวกับเรื่องราวของลูกสาวเธอที่เป็นข่าวดังในอินโดนีเซีย

สิตีชาวอินโดนีเซียอายุ 26 ปี และดวนธิฮวงชาวเวียดนามอายุ 30 ปี ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมและถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ใช้สารพิษทำลายประสาทวีเอ็กซ์กับคิมจองนัมที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2560 นอกจากพวกเธอ 2 คนแล้วมีชาวเกาหลีอีก 4 รายที่ทางการต้องการตัว รวมถึงมีการตั้งปมว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นการลอบสังหารจากคำสั่งของรัฐบาลเกาหลีเหนือ เรื่องนี้ยังทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือกับมาเลเซียสั่นคลอนด้วย

ในขณะที่แม่ของสิตีรู้สึกว่าเรื่องที่ลูกสาวตัวเองไปพัวพันกับการฆาตกรรมที่ดูเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้มันฟังดูเหนือจริงและน่ากลัวเกินไป อย่างไรก็ตามสิตีผู้มักจะคุยกับแม่ผ่านโทรศัพท์ในเรือนจำอยู่เสมอบอกกับแม่ของเธอว่าเธอถูกหลอกให้ทำแบบนั้นโดยหลอกว่ามันเป็นรายการแกล้งกันในโทรทัศน์ ทนายความของจำเลยทั้งสองคนบอกว่ามีคนจ้างพวกเขาให้กลั่นแกล้งทำแบบเดียวกันกับคิมจองนัมในสถานที่อื่นๆ หลายวันก่อนหน้าที่คิมจองนัมจะเสียชีวิต

ทนายความของสิตีเชื่อว่าเธอจะได้รับการปล่อยตัวโดยอ้างอิงจากหลักฐานตามรูปการณ์ว่าไม่มีใครพบเห็นว่าจำเลยโจมตีคิมจองนัม กล้องวงจรปิดไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเธอทำอะไร อีกทั้งไม่พบว่ามีสารสื่อประสาทวีเอ็กซ์ติดอยู่บนตัวเธอ นอกจากนี้แล้วหลังเกิดเหตุสิตีก็ไม่ได้ไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างมือแต่อย่างใดรวมถึงไม่ได้พยายามหนีออกนอกประเทศด้วย เธอกลับไปเดินซื้อของและไปทำงานต่อ จะมีการตัดสินพวกเธอในวันที่ 16 ส.ค. นี้ ถ้าพวกเธอถูกตัดสินว่ามีความผิดก็จะต้องเผชิญกับโทษประหาร

ในช่วงที่สิตีอยู่ในเรือนจำการที่เธอได้โทรศัพท์คุยกับแม่เป็นประจำทำให้สภาพจิตใจเธอสามารถรับมือกับความเครียดได้ และบางครั้งก็หัวเราะออกมาได้ แม่ของสิตีพูดถึงเนื้อหาโทรศัพท์จากเรือนจำที่สิตีเล่าว่าเธอแค่อยากจะเป็นนักแสดง มีคนเสนอบทให้เธอเล่นในสิ่งที่เธอเข้าใจว่าเป็นรายการแกล้งคน

ขณะที่ในกรณีของดวนธิฮวงนั้นย่ำแย่กว่า เธอมีคนมาเยี่ยมน้อยกว่าและพ่อของเธอที่มาเยี่ยมเธอได้เพียงครั้งเดียวก็น่าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย สื่อไม่สามารถติดต่อสัมภาษณ์ครอบครัวของเธอได้เพราะถูกห้ามจากรัฐบาลเวียดนาม ตัวตวนธิฮวงเองมาจากครอบครัวยากจน มีพ่อเป็นภารโรงและแม่เธอเพิ่งเสียชีวิตจากโรคหัวใจเมื่อปีที่แล้ว เธอเดินทางออกจากหมู่บ้านไปเรียนเภสัชกรรมแต่ก็ออกจากการเรียน นอกจากนี้แล้วเธอก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องชีวิตส่วนตัวอีก

สำหรับชีวิตของสิตีนั้นเธอมาจากหมู่บ้านที่ทำเกษตรกรรมในจังหวัดชวาตะวันตก หลังจากเธอเรียนจบชั้นประถมแล้วก็เดินทางไปทำงานที่โรงงานสิ่งทอ แต่งงานกับลูกชายเจ้าของโรงงาน ให้กำเนิดลูกของเธอเมื่ออายุ 18 ปี ในปี 2555 เธอหย่ากับสามีหลังจากนั้นก็เดินทางไปตามหาความฝันที่จะเป็นช่างแต่งหน้าที่สิงคโปร์

แม่ของสิตีบอกว่าเธอภาวนาและลูกสาวของเธอได้รับการปล่อยตัว และเธอเชื่อว่าลูกสาวเธอจะถูกตัดสินให้พ้นผิดเพราะลูกสาวของเธอไม่ได้มีเจตนาจะสังหารใครเลย ถ้าหากลูกของเธอได้รับการปล่อยตัวเธอจะทำกับข้าวให้ลูกของเธอทาน ท่องคัมภีร์อัลกุลอานและนอนในห้องเดียวกันเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ๆ กัน

เรียบเรียงจาก

'Mum, I was tricked': my daughter, the Kim Jong-nam murder suspect, The Guardian, 15-08-2018
https://www.theguardian.com/world/2018/aug/15/kim-jong-nam-murder-trial-siti-aisyah-mum-i-was-tricked-indonesia-north-korea

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น