ประชาไท Prachatai.com |
- กวีประชาไท:น้ำที่ไหลท่วมอก
- เรียกร้องให้ 'การบินไทย' รับ 'นักบินพาณิชย์หญิง'
- 'สมศักดิ์' ชี้กำหนดวันเลือกตั้งก่อน 'สามมิตร' จะเดินหน้าเต็มตัว 'เสก โลโซ' โพสต์หนุน
- เผยตลาดอสังหาฯ กรุงเทพ เดือน ก.ค. 2561 หดตัว แต่มูลค่าเพิ่มเน้นขายของแพง
- ภาคประชาชนแจงผลหารือกับผู้บริหารกรมสรรพากร
- 'แอมเนสตี้' ระบุไม่สามารถฉายหนัง 'Joshua : Teenager vs Superpower' ได้ แต่ยังมีงานเสวนาอยู่
- 'สุวพันธุ์' ชี้เป็นสิทธิของ 'เครือข่ายขอคืนผืนป่าดอยสุเทพ' ที่จะชุมนุม 26 ส.ค. นี้
- สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษา ค้านกฎกระทรวง ศธ. ระบุเสี่ยงต่อการเป็นเครื่องมือปิดกั้นเสรีภาพ
- สมัชชาคนจนขอให้ยกเลิกโครงการเขื่อนท่าแซะ จ.ชุมพร
Posted: 17 Aug 2018 04:42 AM PDT Submitted on Fri, 2018-08-17 18:42 .. 'หมดแล้วน้ำตาจะไหล' ทวงถามคุณค่า..ยิ่งไร้ค่า ..แปลกหน้า แปลกถิ่นแผ่นดินแม่ หม่นโลกโชคชะตาใดกว่านี้ มีเสียงก็เหมือนไร้..ไม่มีเสียง ..'หมดแล้วน้ำตาจะไหล'
#หมายเหตุ ; ไสว ทองอ้ม หนุ่มชาวนาจากอำเภอศรีณรงค์ สุรินทร์ ผู้หาญฟ้องกองทัพบก ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
เรียกร้องให้ 'การบินไทย' รับ 'นักบินพาณิชย์หญิง' Posted: 17 Aug 2018 03:37 AM PDT Submitted on Fri, 2018-08-17 17:37 'พรรคประชาธิปัตย์' เรียกร้องให้ 'การบินไทย' ทบทวนรับนักบินพาณิชย์หญิง ชี้รับเฉพาะเพศชายขัดรัฐธรรมนูญและข้อตกลงสหประชาชาติ
17 ส.ค. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่านายเกียรติ สิทธีอมร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตประธานผู้แทนการค้าไทย พร้อมด้วย น.ส.รัชดา ธนาดิเรก อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือต่อกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ที่ สํานักงานใหญ่ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) สืบเนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ได้รับการร้องเรียนว่า บริษัทการบินไทยฯ มีการเลือกปฏิบัติในการเปิดรับสมัครนักบินพาณิชย์ โดยรับเฉพาะเพศชายเท่านั้น นายเกียรติ กล่าวว่า พรรคฯ ตรวจสอบเบื้องต้นบน เว็ปไซต์ การบินไทย พบว่ามีการประกาศรับสมัครนักบิน ประจำปี 2560 ได้กำหนดคุณสมบัติรับนักบินเฉพาะเพศชายเท่านั้น ตามที่มีการร้องเรียนเข้ามาจริง และตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่ามีการดำเนินการลักษณะนี้ มาอย่างต่อเนื่องในอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นเรื่องกีดกัน เลือกปฏิบัติต่อสตรี ขัดรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 4 และ มาตรา 27 พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558 มาตรา 17 และกฎหมายอื่น ๆ อีกหลายฉบับ รวมทั้งขัดต่ออนุสัญญา ปฏิญญา และข้อตกลงสหประชาชาติที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามด้วย "พรรคฯ จึงขอเรียกร้องให้ บริษัทฯ ทบทวนเพื่อแก้ไขนโยบายดังกล่าว โดยเร่งด่วน เพราะปัจจุบันความสามารถของนักบินหญิงเป็นที่ยอมรับในธุรกิจการบินทั้งใน และ ต่างประเทศ อีกประการหนึ่ง การบินไทยเป็นรัฐวิสาหกิจสายการบินแห่งชาติ และมีชื่อเสียงระดับสากล จึงควรใช้ศักยภาพเพื่อขับเคลื่อน สนับสนุน แผนยุทธศาสตร์พัฒนาสตรี พ.ศ. 2560-2564 เพื่อให้เกิดความเสมอภาคระหว่างเพศหญิง และ เพศชาย" นายเกียรติ กล่าว ทั้งนี้ นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินไทยได้รับเรื่องหนังสือฯ พร้อมตอบรับว่าจะเร่งพิจารณาโดยเร่งด่วน ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
'สมศักดิ์' ชี้กำหนดวันเลือกตั้งก่อน 'สามมิตร' จะเดินหน้าเต็มตัว 'เสก โลโซ' โพสต์หนุน Posted: 17 Aug 2018 03:00 AM PDT Submitted on Fri, 2018-08-17 17:00 'สมศักดิ์ เทพสุทิน' แกนนำ 'กลุ่มสามมิตร' ระบุเดินสายตามกรอบกฎหมายเหมือนกับพรรคอื่น รอกำหนดวันเลือกตั้งก่อนยังไม่ผลีผลามจะตัดสินใจเดินหน้าเมื่อถึงเวลาสมบูรณ์แล้ว เน้นสร้างคนรุ่นใหม่เป็นดาวฤกษ์ ด้าน 'เสก โลโซ' โพสต์เฟสบุ๊คหนุน 'สมศักดิ์-สุเทพ-อภิสิทธิ์-เนวิน' ดัน 'ประยุทธ์' อยู่ต่อ 17 ส.ค. 2561 MGR Online รายงานว่านายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตร กล่าวถึงการดำเนินการของกลุ่มสามมิตรว่า การดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามหลักเกณฑ์ โดยที่ผ่านมานายดร งามธุระ ที่ปรึกษากฎหมายกลุ่มสามมิตร ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนไปหมดแล้วว่าสามารถทำอะไรได้แค่ไหนและอย่างไร ตนเป็นผู้ปฏิบัติคนหนึ่งก็เชื่อในแนวทางของนักกฎหมาย ส่วนที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มสามมิตรต่างๆ เดินสายลงพื้นที่นั้น เรามีเจตนาที่บริสุทธิ์เพื่อไปรับฟังปัญหาของชาวบ้าน เพราะปกติทุกพรรคการเมืองก็ปฏิบัติแบบนี้กันอยู่แล้วแต่อาจจะไม่ได้เป็นข่าว แต่กลุ่มสามมิตรอาจจะเป็นข่าวบ่อย อาจจะทำให้เป็นที่รำคาญของคนที่ยังทำอะไรไม่ถูกและไม่ได้ออกมา หากไปไหนมาไหนแล้วไม่ได้ผิดกฎเกณฑ์อะไรต่างๆ ทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เมื่อถามว่า การที่บอกว่าลงพื้นที่แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไปดูดนักการเมือง นายสมศักดิ์กล่าวว่า สื่อมวลชนเขียนให้ว่ากลุ่มสามมิตรทำงานมีผลงานในลักษณะแบบนั้น แต่เราก็ไม่ได้บอกว่าเราไปดูดเขา อาจทำให้กระทบกระเทือนใจการเมืองอื่นๆ ได้ ส่วนที่พรรคการเมืองต่างๆ มองว่าทหารไฟเขียวให้กลุ่มสามมิตรมากเกินไปในการทำกิจกรรมนั้น เขาอาจจะมองแบบนั้น แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะทุกพรรคการเมืองทำงานเหมือนกันหมด แต่อาจจะไม่เป็นข่าวเหมือนกับกลุ่มสามมิตรเวลาเคลื่อนไหวต่างๆ ที่ผ่านมาเราพยายามดูกฎเกณฑ์ระเบียบทั้งหมดให้อยู่ในกรอบ "ตอนนี้เรายังไม่มีพรรคการเมือง ส่วนอนาคตทางการเมืองนั้น ผมเป็นนักการเมืองที่ไม่เคยบอกว่าจะหยุดเล่นการเมือง เพราะเป็นนักการเมืองตั้งแต่อายุ 25 ปี จนตอนนี้อายุ 60 กว่าปีแล้ว และไม่เคยบอกว่าจะหยุดเล่นการเมือง แต่จะไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีประโยชน์ก็เลิกตอนนั้น ส่วนกลุ่มสามมิตรจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.เป็นนายกรัฐมนตรีต่อหรือไม่ ผมไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ในกลุ่มสามมิตร" นายสมศักดิ์กล่าว เมื่อถามว่าแผนการดำเนินงานปลายทางของกลุ่มสามมิตร นายสมศักดิ์กล่าวว่า จุดยืนของเราอยากสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรและชาวบ้าน โดยเฉพาะราคาสินค้าทางการเกษตร เมื่อถามต่อว่ามีคนมองว่าการที่กลุ่มสามมิตรยังไม่มีการประกาศจุดยืนชัดเจนเพราะต้องการเรียกเรตติ้งให้ตัวเองมีราคา นายสมศักดิ์กล่าวว่า กลุ่มสามมิตรมีคนทำหน้าที่แตกต่างกัน ตนมีหน้าที่พูดคุยรับฟังความคิดเห็นของชาวบ้าน เราไม่ได้เรียกเรตติ้ง สิ่งใดที่เหมาะสมและเปิดโอกาสให้เราทำได้เราก็จะทำไปเรื่อยๆ ส่วนความเป็นไปได้ระหว่างกลุ่มสามมิตรกับพรรคพลังประชารัฐนั้นเรายังไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดเลย และไม่ได้ปิดกั้นอะไรทั้งสิ้น เรื่องพรรคการเมืองเรายังไม่อยากพูดถึง เพราะพูดถึงเขาจะเดือดร้อนกันไปเปล่าๆ เมื่อถามว่าคนในกลุ่มสามมิตรเองก็เคยอยู่พรรคไทยรักไทยมาก่อนและวันนี้มาตั้งกลุ่มสามมิตร จะเกิดรอยร้าวกับพรรคเพื่อไทยหรือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า พวกเราเป็นนักคิด และเป็นเรื่องนโยบายที่จะทำให้เกิดประโยชน์สังคม เราก็ทำตามแนวทางที่วางไว้ และมีแนวทางบางอย่างในอดีตที่คิดไว้แต่ยังไม่ได้ทำ เราก็อยากนำเสนอให้รัฐบาลรับไปทำ และบางอย่างที่เราคิดไว้รัฐบาลชุดนี้ก็นำไปทำแล้ว เราก็ไปถามดูว่าเป็นไปตามแนวทางที่เราคิดไว้หรือไม่ หรือมีอะไรที่ต้องต่อยอดให้ได้ประโยชน์มากขึ้นหรือไม่ เราก็อยากทำ "เดิมทีเราเคยอยู่พรรคไทยรักไทย ทุกคนมีความเก่งและมีนโยบายหลายอย่าง แต่วันนี้คนที่คิดนโยบายไม่ได้อยู่ร่วมกันแล้ว ต่างคนต่างแยกย้าย เมื่อผมมาอยู่ตรงนี้ก็คิดว่ายังทำประโยชน์ให้แก่สังคมชนบทได้ เพื่อสร้างความเข้มแข็ง โดยเฉพาะปัญหาเรื่องหนี้กองทุนหมู่บ้าน ที่ตอนนี้เป็นหนี้กันสามกองทุนส่วนที่บางคนคิดว่ากลุ่มสามมิตรจะกรุยทางให้พรรคพลังประชารัฐ เพราะมีความสนิทสนมกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าสนิทแบบไหน เพราะเจอนายสมคิดเมื่อเดือน ธ.ค.ปี 2561 และล่าสุดผ่านมา 6 เดือนเพิ่งมาเจอกันอีก" นายสมศักดิ์กล่าว เมื่อถามว่าคิดอย่างไรกับนักการเมืองคนรุ่นใหม่ เช่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ตอนนี้ถ้าเป็นคนหนุ่มนายธนาธรก็มาแรง แต่ถ้าจะเป็นถึงนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น ตนก็ไม่ทราบ แต่ครั้งนี้เราไม่ได้สนับสนุนนายธนาธร ส่วนเด็กปั้นหน้าใหม่ของกลุ่มสามมิตรยอมรับว่าตอนนี้มีหลายคนที่เป็นคนใหม่ เปรียบเสมือนเป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงในตัวเอง เราจะเน้นดาวฤกษ์แม้เป็นดวงเล็ก มีอายุมากหรือน้อยก็พิจารณาต่อไป ส่วนช่วงเวลาที่จะตัดสินใจเดินหน้าทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรมนั้น นายสมศักดิ์กล่าวว่า ความพร้อมอยู่ที่ว่าเรากำหนดวันเลือกตั้งเมื่อใด เพราะตอนนี้ทางรัฐบาลและ คสช.ยังไม่ได้ปล่อยให้พรรคการเมืองเดินหน้าไป เราต้องดูกฎหมาย และตอนนี้พรรคการเมืองยังทำกิจกรรมไม่ได้ กลุ่มสามมิตรจะตัดสินใจเดินหน้าเมื่อถึงเวลาสมบูรณ์แล้ว เราจะไม่ผลีผลามเพราะตอนนี้ถือว่าเรามีความคล่องตัวมากกว่าเพื่อไปรับฟังปัญหา แต่เราไม่ได้สัญญาว่าจะให้ และช่วยรัฐบาลบ้าง แต่จะช่วยนำเสนอนโยบายที่ดีๆ เพื่อต่อยอดต่อไป เมื่อถามว่า มองการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์อย่างไร นายสมศักดิ์ปฏิเสธตอบคำถาม ระบุแค่ว่าจะไปวิพากษ์วิจารณ์ผู้ใหญ่ได้อย่างไร" เมื่อถามต่อไปว่า อ่านใจนายทักษิณ ชินวัตร ออกหรือไม่นั้น นายสมศักดิ์กล่าวว่า ท่านรักประชาชน ดังนั้นท่านต้องปล่อยให้ตนทำงาน เพราะประชาชนยังมีหนี้อยู่ 'เสก โลโซ' โพสต์เฟสบุ๊คหนุน 'สมศักดิ์-สุเทพ-อภิสิทธิ์-เนวิน' ดัน 'ประยุทธ์' อยู่ต่อมติชนออนไลน์ รายงานว่านายเสกสรรค์ ศุขพิมาย หรือ 'เสก โลโซ' ร็อกเกอร์ชื่อดังวัย 44 ปี โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊ค SEK LOSO แสดงความเห็นทางการเมือง โดยได้โพสต์ข่าวภาพนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตร พร้อมระบุกับผู้ติดตามว่า หากรักตน ขอให้เลือกนายสมศักดิ์ เทพสุทิน สุเทพ เทือกสุบรรณ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายเนวิน ชิดชอบ โดยต้องสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อดูแลบ้านเมือง จนกว่าจะสงบเรียบร้อย "ถ้ารักเฮียให้สนับสนุนพี่สมศักดิ์ เทพสุทิน,พี่สุเทพ เทือกสุบรรณ,พี่มาร์ค อภิสิทธิ์, พี่เนวิน ชิดชอบ ฯลฯ และแน่นอนที่สุด ต้องสนับสนุนให้นายกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดูแลบ้านเมืองไปก่อนจนกว่าจะสงบเรียบร้อยดีแล้วเราค่อยมาเลือกตั้งกัน!!" ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
เผยตลาดอสังหาฯ กรุงเทพ เดือน ก.ค. 2561 หดตัว แต่มูลค่าเพิ่มเน้นขายของแพง Posted: 17 Aug 2018 02:29 AM PDT Submitted on Fri, 2018-08-17 16:29 ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ระบุจำนวนหน่วยและโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดใหม่ใน กทม. เดือน ก.ค. 2561 ลดลงมาก แต่มูลค่ากลับเพิ่มขึ้นเพราะมีโครงการราคาแพงเกิดขึ้นหลายแห่ง
17 ส.ค. 2561 ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) แถลงว่าในเดือน ก.ค. 2561 ภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีการเปิดตัวโครงการลดลงค่อนข้างมาก โดยในเดือนนี้ มีจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ทั้งหมด 28 โครงการ ลดลงจากเดือนมิ.ย. 2561 จำนวน 15 โครงการ ทำให้จำนวนหน่วยขายและมูลค่าลดลงตาม โดยเป็นการพัฒนาในกลุ่มที่อยู่อาศัยทั้งหมด 28 โครงการ มีจำนวนหน่วยขายรวม 8,705 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนาโครงการรวม 41,690 ล้านบาท ประเภทที่มีมูลค่าการพัฒนาสูงสุด คืออาคารชุด 31,441 ล้านบาท (75%) รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ 5,617 ล้านบาท (14%) ส่วนอันดับ 3 คือ บ้านเดี่ยว 2,487 ล้านบาท (6%) ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมดตามลำดับ ดังนั้นภาพรวมของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเดือนนี้ส่วนใหญ่หากเป็นบ้านเดี่ยวจะเน้นที่ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์ราคา 2-3 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดจะเน้นที่ราคา 5-10 ล้านบาท ในเดือน ก.ค. นี้ถึงแม้จะมีจำนวนหน่วยขาย และมูลค่าโครงการที่ลดลง แต่เนื่องจากมีสินค้าแพงเข้าสู่ตลาดในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยในเดือนนี้เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้น (ประมาณ 15%) เนื่องจากการพัฒนาในเดือนนี้มีจำนวนหน่วยขายที่มีราคาตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไปมีประมาณ 38% จึงทำให้ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยโดยรวมของเดือนนี้เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับราคาขายเฉลี่ยของเดือน มิ.ย. 2561 ซึ่งราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยของเดือนนี้มีราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 4.789 ล้านบาท แต่เดือนที่ผ่านมามีราคาขายเฉลี่ยที่ 4.176 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับปานกลางถึงค่อนข้างสูงเป็นสำคัญ เมื่อพิจารณาอัตราการขายได้ จะพบว่าในเดือนแรกของการเปิดขายมีอัตราการขายได้เฉลี่ยที่ 38% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาที่มีอัตราการขายได้ที่ 37% ต่อเดือน โดยประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่มีอัตราการได้สูงสุด และมีจำนวนหน่วยขายเป็นส่วนใหญ่ของตลาด อันดับ 1 คือ อาคารชุดระดับราคา 1-2 ล้านบาท จำนวน 345 หน่วย ขายได้แล้ว 258 หน่วย (75%) รองลงคือ อาคารชุดระดับราคาต่ำกว่า 0.5-1.0 ล้านบาท จำนวน 868 หน่วย ขายได้แล้ว 616 หน่วย (71%) และอันดับ 3 คืออาคารชุดระดับราคา 2-3 ล้านบาท จำนวน 1,1.06 หน่วย ขายได้แล้ว 670 หน่วย (61%) ตามลำดับ ผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนนี้ จะพบว่าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (มหาชน) จำนวน 9 บริษัท คือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (มหาชน) และบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัทในเครือ และบริษัททั่วไปอีกจำนวนหนึ่ง ในด้านทำเลที่ตั้ง จะพบว่าในเดือนนี้มีโครงการที่เปิดตัวใหม่และตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพชั้นในจำนวน 7 โครงการ ตั้งอยู่ในเขตเมืองชั้นกลางและส่วนต่อขยายของเมือง (intermediate area) จำนวน 17 โครงการ เช่น ถนนราชพฤกษ์ ถนนติวานนท์ ถนนประชาอุทิศ ถนนศรีนครินทร์ ถนนพระราม 2 ถนนลาดพร้าว เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอีก 4 โครงการที่อยู่ในพื้นที่รอบนอกซึ่งเป็นย่านชุมชนที่อยู่อาศัยในย่านนั้น เช่น ย่านรังสิต-ปทุมธานี ย่านถนนบางบัวทอง-สุพรรณบุรี เป็นต้น ในเดือน ก.ค. นี้ทาง REI ได้พบโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่รอเปิดขายใหม่ในอนาคตอีก 460 โครงการตามโดยได้แสดงชื่อโครงการ และที่ตั้งโดยสังเขปไว้ ซึ่งความคืบหน้าจะได้นำเสนอต่อไป จะสังเกตได้ว่ามีโครงการหลายแห่งที่ได้ประกาศตัวหรือเปิดตัวทางหน้าหนังสือพิมพ์ อย่างไรก็ตามในการเปิดขายจริง (ที่มีโบรชัวร์และสำนักงานขายที่พร้อมต้อนรับผู้สนใจซื้อไปเยี่ยมชม) ยังไม่มี จึงถือเป็นโครงการที่ยังไม่เปิดตัวและเมื่อเปิดตัวจริงแล้ว จะได้ดำเนินการสำรวจต่อไป
ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
ภาคประชาชนแจงผลหารือกับผู้บริหารกรมสรรพากร Posted: 17 Aug 2018 02:14 AM PDT Submitted on Fri, 2018-08-17 16:14 เครือข่ายภาคประชาชนแจงผลหารือกับผู้บริหารกรมสรรพากร กรณีการยื่นหนังสือเรียกร้อง 'ยุติการจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม' เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2561 ระบุกรมสรรพากรคาดได้ข้อสรุปสิ้นเดือน ส.ค. นี้ 17 ส.ค. 2561 เพจขบวนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน ได้เผยแพร่รายงานผลการยื่นหนังสือเรียกร้องกรมสรรพากร "ยุติการจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม" เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2561 เวลา 10.30 น. โดยระบุว่านายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน (ขสช.) นายชูวิทย์ จันทรส เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ (ครปอ.) นายวิวัฒน์ ตามี่ แกนนำเครือข่ายกลุ่มชาติพันธ์ จังหวัดเชียงใหม่ นายมานะ ช่วยชู หัวหน้าโครงการพัฒนาชุมชนเป็นสุขที่ภาคใต้ จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยตัวแทนภาคีเครือข่ายที่รับทุนสนับสนุนจากกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และได้รับความเดือดร้อนจากการจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม รวมกันกว่า 50 คน ได้เดินทางไปที่กรมสรรพากรและเข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกต่อ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส อธิบดีกรมสรรพากร ผ่านทางนายเกรียงศักดิ์ ประสงค์สุกาญจน์ ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการกำกับและตรวจสอบภาษี กรมสรรพากร โดยมีข้อเรียกร้องสำคัญคือให้กรมสรรพากรยุติการจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม ภายหลังการยื่นหนังสือ นายคำรณ พร้อมด้วยตัวแทนภาคีเครือข่ายขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชนและเครือข่ายที่ได้รับความเดือดร้อนจากการจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม ได้เข้าหารือกับผู้บริหารกรมสรรพากร ได้แก่ นายเกรียงศักดิ์ ประสงค์สุกาญจน์ ผู้อำนวยการกองมาตรฐานกำกับและตรวจสอบภาษี นายอาทร ศรีเชียงสา เลขานุการกรมสรรพากร และคณะ ได้ผลการหารือสรุปว่าพลเอกฉัตรชัย สาริกัลป์ยะ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพได้เร่งรัดให้ กรมสรรพกร สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ สสส. ประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางออกในการจัดการด้านภาษีแก่ภาคีที่รับทุนจาก สสส. สำหรับกรมสรรพากร นายเกรียงศักดิ์ ประสงค์สุกาญจน์ ผู้อำนวยการกองมาตรฐานกำกับและตรวจสอบภาษี ได้ให้ข้อมูลว่านายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส อธิบดีกรมสรรพากร ได้มีความห่วงใยและกังวลใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมากและเร่งให้ดำเนินการวินิจฉัยเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้เพราะได้รับข้อร้องเรียนจากภาคีเครือข่ายประกอบกับได้คำชี้แจ้งและรับข้อมูลใหม่เพิ่มเติมจาก สสส. เพื่อประกอบการพิจารณาการคำนวณภาษีใหม่ให้มีความเป็นเป็นธรรมและถูกต้องตามความเป็นจริง ต่อปัญหาการถูกติดตามเรียกเก็บภาษีกับภาคีทั่วประเทศในขณะนี้นั้น นายเกรียงศักดิ์ ชี้แจงในประเด็นนี้ว่าจะดำเนินการกำชับให้สรรพากรพื้นที่ทุกพื้นที่ ระงับการดำเนินการใดๆ ไว้ก่อนเพื่อรอแถลงผลการพิจารณาอย่างเป็นทางการ ส่วนภาคีใดที่ได้จ่ายภาษีไปก่อนแล้ว หากผลการพิจารณาว่าเป็นการเรียกภาษีที่ไม่ถูกต้องก็สามารถทำเรื่องขอเงินคืนได้ ทางกรมสรรพากรขออภัย ในความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชน ภาคีเครือข่ายต่างๆ โดยจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในเร็ววันนี้ และคาดว่าเรื่องนี้จะเสร็จสิ้นภายในเดือน ส.ค. 2561 นี้ ทั้งนี้ทาง ขสช.ได้แจ้งต่อผู้แทนกรมสรรพากรว่าหากยังไม่ได้รับข้อสรุปที่ถูกต้องเป็นธรรมภายในสิ้นเดือน ส.ค. 2561 นี้ตามที่มีการชี้แจง ขสช. จะนำปัญหาเรื่องนี้ร้องเรียนในระดับสูงขึ้นไป ความเป็นมาของปัญหาการจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรมกับภาคีเครือข่าย สสส.ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน (ขสช.) เป็นองค์กรภาคสังคมด้านการพัฒนาสุขภาวะของประชาชนหลากหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มเด็ก เยาวชน ครอบครัว สตรี คนพิการ แรงงานนอกระบบ ผู้บริโภค คนจนเมืองและชนบท กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มเกษตร ฯลฯ มีจุดยืนร่วมกันในการสนับสนุนกลไกการปฏิรูประบบสุขภาพของคนไทย ขสช. ได้รับข้อร้องเรียนจากภาคีเครือข่ายว่า ภาคีเครือข่ายที่ได้รับการสนับสนุนโครงการจากกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายใต้ลักษณะสัญญา "ตัวแทนเข้าร่วมดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพ" กับ สสส. ขณะนี้ต้องประสบปัญหาความเดือดร้อนเป็นอย่างมากจากการถูกติดตามเรียกภาษีจากสรรพากรพื้นที่ทั่วประเทศ ต้นตอของปัญหาดังกล่าว เกิดจากการตีความสัญญาที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงของหน่วยงานของรัฐบางหน่วยงาน และเห็นว่าข้อตกลงดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพของ สสส. เป็นสัญญา "จ้างทำของ" เหมือนการจัดจ้างของทางราชการโดยทั่วไป และให้ถือว่างบประมาณที่ได้รับเพื่อดำเนินโครงการเป็นรายได้จากการจ้างทำของที่จะต้องนำมาคำนวณภาษีเหมารวมทั้งหมด" ตามข้อเท็จจริงแล้ว ภาคีเครือข่ายและ สสส. ได้ทักท้วงโต้แย้งมาโดยตลอดว่าการดำเนินงานโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ไม่ใช่สัญญาจ้างทำของ แต่เป็นสัญญาที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงการเป็น "ตัวแทนเข้าร่วมดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพ" กับ สสส. เป็นการทำงานของภาคีที่มีอุดมการณ์ร่วมกันและเข้ามาร่วมดำเนินงานในโครงการต่างๆ กับ สสส. อันเป็นการปฏิบัติงานหรือการจัดกิจกรรมต่างๆ ในลักษณะของการพัฒนาชุมชน การจัดกิจกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพประชาชนตามกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เช่น เด็ก เยาวชน ผู้พิการ ผู้สูงอายุ รวมถึงการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการสร้างเสริมสุขภาพ ไม่ใช่การประกอบกิจการทางธุรกิจการค้าใด ๆ อย่างไรก็ตามโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก สสส. และมีกิจกรรมที่ต้องชำระภาษีตามกฎหมาย ก็ได้มีการชำระภาษีรายได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายที่ประชาชนคนไทยทุกคนที่มีรายได้พึงชำระภาษีเพื่อนำไปพัฒนาสังคมและประเทศชาติอยู่แล้ว การตีความสัญญาของ สสส. ที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงดังกล่าว ทำให้มีการติดตามเรียกเก็บภาษีย้อนหลังกับภาคีเครือข่ายสุขภาพจากสรรพากรพื้นที่ทั่วประเทศ ไม่น้อยกว่า 300 โครงการ บางรายถูกติดตามเรียกภาษีย้อนหลังเป็นเงินมากถึง 5 ล้านบาท ซึ่งภาคีเครือข่ายไม่มีความสามารถที่จะชำระได้อยู่แล้วเพราะไม่มีกำไรจากการทำกิจกรรมร่วมกับ สสส. สร้างความเดือดร้อนต่อการดำเนินชีวิตของพี่น้องภาคีเครือข่ายเป็นอย่างมาก อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
'แอมเนสตี้' ระบุไม่สามารถฉายหนัง 'Joshua : Teenager vs Superpower' ได้ แต่ยังมีงานเสวนาอยู่ Posted: 17 Aug 2018 01:31 AM PDT Submitted on Fri, 2018-08-17 15:31 แอมเนสตี้ ประเทศไทย ระบุกิจกรรม 'Movies that Matter' ไม่สามารถฉายภาพยนตร์สารคดี 'Joshua : Teenager vs Superpower' ได้ เนื่องจากเหตุขัดข้องบางประการประกอบกับเหตุผลที่อยู่นอกเหนือการควบคุม แต่ยืนยันจัดงานพูดคุยในประเด็น 'นักกิจกรรมเยาวชนและแรงบันดาลใจ' ในวันที่ 18 ส.ค. นี้อยู่
17 ส.ค. 2561 สืบเนื่องจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จะจัดกิจกรรม 'Movies that Matter' โดยมีการฉายภาพยนตร์เรื่อง 'Joshua : Teenager vs Superpower' ภาพยนตร์สารคดีเจ้าของรางวัลขวัญใจผู้ชมจากเทศกาลหนังซันแดนซ์ประจำปี 2017 ที่ได้แรงบันดาลใจจากนักเรียนมัธยมธรรมดาๆ ที่ชื่อ 'โจชัว หว่อง' ในวัย 14 ปี ผู้ที่ลุกขึ้นมาลงประท้วงรัฐบาลจีนให้ถอดถอนหลักสูตรการศึกษาใหม่ในแผ่นดินฮ่องกง พวกเขากลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของฮ่องกงในปี 2014 โดยนิตยสารไทม์ ได้ให้โจชัว หว่องเป็นบุคคลแห่งปี 2014 ส่วนนิตยสาร ฟอร์ชูน ก็ได้โจชัว หว่องเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 2015
รวมทั้งมีการเสวนาพูดคุยแลกเปลี่ยนในประเด็น 'นักกิจกรรมเยาวชนและแรงบันดาลใจ' กับวิทยากรซึ่งประกอบด้วย ศุภลักษณ์ บำรุงกิจ ตัวแทนเยาวชนนักกิจกรรมและอดีตรองประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนและฮ่องกง และยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้ดำเนินรายการจาก iLaw ในวันเสาร์ที่ 18 ส.ค. 2561 เวลา 13.00-16.00 น. ณ The Circus Studio (G-Village Bangkok) นั้น
วันนี้ (17 ส.ค.) เพจ Amnesty International Thailand ชี้แจงว่า "แอมเนสตี้ต้องขออภัยทุกคนที่ตั้งใจมาดูหนังเรื่อง Joshua : Teenager vs Superpower ในงานฉายหนังของเราที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 18 ส.ค. มา ณ ที่นี้ด้วยครับ แต่เนื่องจากเหตุขัดข้องบางประการ ประกอบกับเหตุผลที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ทำให้เราไม่สามารถฉายหนังเรื่องดังกล่าวได้แล้ว แต่เรายังคงยืนยันจัดงานพูดคุยในประเด็น 'นักกิจกรรมเยาวชนและแรงบันดาลใจ' ต่อไป พร้อมร่วมคุยกับวิทยากรทั้ง 3 คนเหมือนเดิม เพื่อเปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นกันได้อย่างเป็นกันเอง"โดยแอมเนสตี้ แจ้งว่าเริ่มลงทะเบียนเวลาบ่ายโมง ณ G-Village Bangkok (The Circus Studio) https://bit.ly/2Mi3YUZ
ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
'สุวพันธุ์' ชี้เป็นสิทธิของ 'เครือข่ายขอคืนผืนป่าดอยสุเทพ' ที่จะชุมนุม 26 ส.ค. นี้ Posted: 17 Aug 2018 12:16 AM PDT Submitted on Fri, 2018-08-17 14:16 หลังมติกรรมการบ้านพักตุลาการให้รื้อ บ้านป่าแหว่ง 45 หลัง เร่งฟื้นฟูคืนพื้นที่ป่า 'สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ' รมว.สำนักนายกรัฐมนตรี ชี้เป็นสิทธิของเครือข่ายขอคืนผืนป่าเชิงดอยสุเทพ ที่จะชุมนุม 26 ส.ค. ทางกลุ่มได้ขออนุญาตอย่างเป็นทางการ ขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ระบุทราบมติให้รื้อบ้านพักตุลาการทั้งหมดแล้ว แต่ต้องรอเอกสารอย่างเป็นทางการก่อน
17 ส.ค. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่านายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการประชุมของคณะกรรมการปัญหาบ้านพักข้าราชการตุลาการ เชิงดอยสุเทพ ต.ดอนแก้ว แม่ริม จ.เชียงใหม่ วานนี้ (16 ส.ค. 2561) ที่มีมติเห็นควรให้รื้อบ้านจำนวน 45 หลังออกก่อน ส่วนอาคารชุด 9 หลัง เห็นควรให้รื้อออกเช่นกัน จากนั้นจะส่งคืนพื้นที่ให้กรมธนารักษ์ เพื่อปรับปรุงผืนป่าต่อไปว่าได้รับทราบผลการประชุมแล้ว และกำลังรอเอกสารอย่างเป็นทางการ ส่วนกรณีที่ตัวแทนเครือข่ายขอคืนผืนป่าเชิงดอยสุเทพ ยืนยันจะชุมนุมที่ประตูท่าแพ ในวันที่ 26 ส.ค. เพื่อรอคำตอบจากรัฐบาลนั้น นายสุวพันธุ์กล่าวว่าทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้ขออนุญาตชุมนุมอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นสิทธิของประชาชน และขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมายการชุมนุม เมื่อถามว่าในส่วนของรัฐบาลจะมีมติเรื่องการรื้อบ้านพักตุลาการก่อนการชุมนุมหรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่ายังมีบางเรื่องที่เป็นข้อกฎหมาย และยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะเสร็จทันหรือไม่ มติกรรมการบ้านพักตุลาการให้รื้อ บ้านป่าแหว่ง 45 หลัง เร่งฟื้นฟูคืนพื้นที่ป่าเว็บไซต์ข่าวสด รายงานเมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2561 ว่าที่ห้องประชุมอาคารศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการปัญหาบ้านพักข้าราชการตุลาการ เชิงดอยสุเทพ ต.ดอนแก้ว แม่ริม จ.เชียงใหม่ โดยมีคณะกรรมการเข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ตัวแทนตำรวจภูธรภาค.5 มทบ.33 ตัวแทนจากสำนักงานอัยการ กรมธนารักษ์ ตัวแทนสำนักบริหารพื้นที่ 16 ในส่วนตัวแทนเครือข่ายขอคืนผืนป่าเชิงดอยสุเทพ ที่เข้าประชุม ประกอบด้วย นายบัณรส บัวคลี่ นายชัชวาล ทองดีเลิศ นายธีระศักดิ์ รูปสุวรรณ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ จากการหารือกับตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนในวันนี้ เห็นควรที่จะรื้อบ้านจำนวน 45 หลังออก ส่วนอาคารชุด 9 หลัง ก็เห็นควรให้รื้อออกเช่นกัน แต่สามารถอยู่ได้เท่าที่จำเป็น โดยจะต้องรื้อบ้าน 45 หลังก่อน จากนั้นจะส่งคืนพื้นที่ให้กรมธนารักษ์เพื่อปรับปรุงผืนป่าต่อไป จากนี้จะใช้เวลา 2-3 วัน ในการปรับแก้ความเห็นบางอย่างให้ชัดเจน ก่อนจะส่งให้คณะกรรมการชุดใหญ่ของรัฐบาลต่อไป ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษา ค้านกฎกระทรวง ศธ. ระบุเสี่ยงต่อการเป็นเครื่องมือปิดกั้นเสรีภาพ Posted: 16 Aug 2018 11:04 PM PDT Submitted on Fri, 2018-08-17 13:04 สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ค้านร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษาฉบับแก้ไข ระบุมีเนื้อความความหมายกำกวม สุ่มเสี่ยงต่อการเป็นเครื่องมือสำหรับปิดกั้นสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพทางการแสดงออกของนักเรียน นิสิต นักศึกษา 'Newground' เรียกร้องให้เพื่อนนักเรียน นักศึกษา คนรุ่นใหม่ ตัดสินใจด้วยตนเอง ด้าน รมว.ศึกษาธิการ ระบุร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเดิมมีอยู่แล้วตั้งแต่ปี 2548 ไม่ใช่การละเมิดสิทธิเด็ก ไม่เกี่ยวกับเรื่องการชุมนุมทางการเมือง 17 ส.ค. 2561 สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึก กรณีร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา เรื่อง ข้อเรียกของสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษา ถึงนายกรัฐมนตรี (ผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) โดยในจดหมายเปิดผนึกระบุว่าดังที่ เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2561 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษาฉบับแก้ไข ตามเสนอของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีสาระสำคัญต่างจากกฎกระทรวงดังกล่าวฉบับก่อนหน้า 3 ประการ ดังนี้ 1. ห้ามการรวมกลุ่ม มั่วสุม อันน่าจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยหรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน 2. ห้ามกระทำเกี่ยวกับการแสดงพฤติกรรมทางชู้สาวอันไม่เหมาะสม เดิมที่ห้ามเฉพาะการแสดงพฤติกรรมทางชู้สาวซึ่งไม่เหมาะสมในที่สาธารณะเท่านั้น และกำหนดเพิ่มเติมห้ามกระทำการลามกอนาจาร และ 3. ห้ามกระทำเกี่ยวกับการออกนอกสถานที่พักเพื่อเที่ยวเตร่หรือรวมกลุ่มอันเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น เดิมห้ามเฉพาะเวลากลางคืน สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ในฐานะองค์กรกิจกรรมของนักเรียนและนิสิตนักศึกษา เล็งเห็นว่าร่างกฎกระทรวงดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการศึกษาเรียนรู้ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา เนื่องจากมีข้อบัญญัติซึ่งรุกล้ำความเป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง อีกทั้งมีเนื้อความความหมายกำกวม สุ่มเสี่ยงต่อการเป็นเครื่องมือสำหรับปิดกั้นสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพทางการแสดงออกของนักเรียน นิสิต นักศึกษา สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย จึงเรียกร้องให้รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการยกเลิกร่างกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว และให้ความสำคัญกับสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นเจ้าของชีวิตของตน ในตัวนักเรียน นิสิต นักศึกษา ทั้งนี้โปรดตระหนักว่า นักเรียนและนิสิตนักศึกษาคือผู้ที่จำต้องแบกรับผลจากการดำเนินกิจการทั้งปวงของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ
ในเพจของ สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย ระบุเมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. ว่าวันนี้ตัวแทนสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งปรัเทศไทย (สนท.) ได้เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกต่อนายกรัฐมนตรี ผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เรียกร้องให้มีการยกเลิกการแก้ไขกฎกระทรวงกำหนดความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา เนื่องจากมีเนื้อความกำกวม ซึ่งอาจนำไปสู่การจำกัดและปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองของนักเรียนและนักศึกษา ทั้งยังเป็นการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของนักเรียนและนักศึกษาอีกด้วย ทางกระทรวงศึกษาธิการได้ส่งปลัดกระทรวงและโฆษกกระทรวงมาพบ และได้รับข้อเรียกร้องของทางสหภาพฯ แต่กระทรวงยังไม่ได้ตอบว่ามีมาตรการคุ้มกันสิทธิเสรีภาพของนักเรียนและนิสิตศึกษาที่เป็นรูปธรรมอย่างไร ดังนั้นทางสหภาพ ฯ จะติดตามความคืบหน้าของข้อเรียกร้องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด หากไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทางสหภาพฯ จะกลับมาที่กระทรวงศึกษาธิการอีกครั้งเพื่อทวงถามความคืบหน้าต่อไป อนึ่งสามารถร่วมลงชื่อกับข้อเสนอของสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้ที่ หยุด!!! ร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษาฉบับแก้ไข นอกจากนี้ สมัชชาเสรีแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย ได้เผยแพร่ภาพการทำกิจกรรมบริเวณหน้าป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วย Newground เรียกร้องให้เพื่อนนักเรียน นักศึกษา คนรุ่นใหม่ ตัดสินใจด้วยตนเอง
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2561 ที่ผ่านมา กลุ่ม Newground ได้ออกแถลงการณ์ ถึงเพื่อนคนรุ่นใหม่ ต่อกรณีร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา โดยระบุว่าเนื่องจากมาตรา 64 ของ พรบ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 บัญญัติให้ นักเรียนและนักศึกษาต้องประพฤติตนตามระเบียบของโรงเรียนหรือสถานศึกษา และตามที่กำหนดในกฎกระทรวง รัฐบาลเลยมีกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียน และนักศึกษา พ.ศ. 2548 ไว้ และ 14 ส.ค. ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแก้ไขเพิ่มเติมหลักการร่างกฎกระทรวงดังกล่าว มีสาระสำคัญดังนี้ 1. ห้ามรวมกลุ่ม มั่วสุม ที่อาจทำให้เกิดความไม่สงบ 2. ห้ามแสดงพฤติกรรมชู้สาว "ทุกสถานที่" 3. ห้ามเที่ยวเตร่สร้างความเดือดร้อน ทั้งกลางวันและกลางคืน แถลงการณ์ฉบับนี้ นิวกราว องค์กรศึกษา วิจัย และสนับสนุนให้เกิดการเข้าถึงทรัพยากรของคนรุ่นใหม่ และคุณภาพชีวิตประชากรในอนาคต ขอเรียกร้องให้เพื่อนนักเรียน นักศึกษา คนรุ่นใหม่ ตัดสินใจด้วยตนเอง และช่างแม่งกระทรวงพวกนี้ได้แล้ว รมว.ศึกษาธิการ ระบุร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเดิมมีอยู่แล้วตั้งแต่ปี 2548 ไม่ใช่การละเมิดสิทธิเด็ก ไม่เกี่ยวกับเรื่องการชุมนุมทางการเมืองไทยรัฐออนไลน์ รายงานเมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2561 ว่าตามที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2561 ที่ผ่านมา ได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา (ฉบับที่...) พ.ศ. ...ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ซึ่งมีการระบุข้อความห้ามการรวมกลุ่มมั่วสุม อันน่าจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยเพิ่มขึ้นมา สร้างความกังวลใจให้แก่บรรดานิสิต นักศึกษา ที่ทำกิจกรรมทางการเมือง ว่าการออกกฎกระทรวงดังกล่าวเพื่อสกัดกั้นการชุมนุมของนิสิต นักศึกษา นั้น นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเดิมมีอยู่แล้วตั้งแต่ปี 2548 เป็นหลักการกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษาทั่วไป ซึ่งกฎเดิมไม่มีเรื่องการมั่วสุมและเด็กแว้น แต่ระบุไว้ว่าเด็กคนใดออกนอกบ้านยามวิกาลให้ควบคุมตัว ซึ่งเด็กในบริบทปัจจุบันต้องออกไปเรียนพิเศษเมื่อกลับบ้านรถก็ติด จึงได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมความประพฤติที่เหมาะสม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และคำนึงถึงความปลอดภัยแก่นักเรียนและนักศึกษา "มีคนออกมาโวยวายเรื่องนี้ผมก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่การละเมิดสิทธิเด็ก ไม่เกี่ยวกับเรื่องของการห้ามการชุมนุมทางการเมือง แต่เป็นการระบุห้ามรวมกลุ่มมั่วสุมที่สร้างความเดือดร้อนให้ตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งต้องตีความคำว่ามั่วสุมให้เข้าใจด้วย ไม่ได้มีนัยทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น เพราะในส่วนของการชุมนุมทางการเมืองมีคำสั่ง คสช.ที่ห้ามชุมนุมเกิน 5 คนอยู่แล้ว" รมว.ศธ. กล่าว ด้านนายชลำ อรรถธรรม รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ในฐานะโฆษก ศธ. กล่าวว่า ร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ศธ.ได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ไม่ได้มีเจตนารมณ์สกัดกั้นการชุมนุมของนิสิตนักศึกษาในการทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
สมัชชาคนจนขอให้ยกเลิกโครงการเขื่อนท่าแซะ จ.ชุมพร Posted: 16 Aug 2018 09:34 PM PDT Submitted on Fri, 2018-08-17 11:34 สมัชชาคนจนออกแถลงการณ์ขอให้ยกเลิกโครงการเขื่อนท่าแซะ จ.ชุมพร ให้รัฐบาลทบทวนและพิจารณาแนวทางการจัดการน้ำวิธีอื่น เพื่อหาแนวทางการจัดการน้ำที่เหมาะสมและยั่งยืน เปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2561 สมัชชาคนจนได้ออกแถลงการณ์ขอให้ยกเลิกโครงการเขื่อนท่าแซะ จ.ชุมพร โดยมีเนื้อหาระบุว่าจากการเคลื่อนไหวของพี่น้องประชาชนในนามกลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำท่าแซะ ต.สองพี่น้อง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ในการเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เพื่อคัดค้านขอให้ยกเลิกโครงการเขื่อนท่าแซะ ซึ่งทางจังหวัดจะนำข้อสรุปการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ระหว่างวันที่ 20-21 ส.ค. 2561 นี้ ที่ จ.ชุมพร ซึ่งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (การบริหารจัดการน้ำ) ทางจังหวัดชุมพรจะเสนอโครงการทบทวนการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำท่าแซะ (เขื่อนท่าแซะ) ในวงเงินงบประมาณ 3,800 ล้านบาท หน่วยงานที่เสนอคือ โครงการชลประทานชุมพรโดยไม่สนใจความเหมาะสมด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม สิ่งแวดล้อม และทางเลือกในการจัดการน้ำที่ยั่งยืน และการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ห่วงกังวลต่อปัญหาด้านผลกระทบจากการสร้างเขื่อน ที่จะเกิดขึ้นต่อพื้นที่ทำกินและพื้นที่ที่อยู่อาศัยของราษฎรมากกว่า 400 ครอบครัว และจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่ากรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ด้านทิศเหนือ ซึ่งเป็นป่าฝนต้นน้ำแหล่งสุดท้ายของจังหวัดชุมพร ที่มีความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพสูง ซึ่งจะจมอยู่ใต้น้ำอย่างถาวร และโอกาสความเสี่ยงในการเกิดแผ่นดินไหวที่จะทำให้เขื่อนกลายเป็นภัยพิบัติร้ายแรงเนื่องจากพื้นที่การก่อสร้างเขื่อนท่าแซะ และอ่างเก็บน้ำของเขื่อน ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนระนอง ซึ่งรอยเลื่อนแห่งนี้ เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ปี 2555 เคยเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 4 ริกเตอร์มาแล้ว แต่ครั้งนั้นโชคดีที่มีความลึกลงไปในแผ่นดินประมาณ 10 กิโลเมตร จึงไม่ได้สร้างความเสียหายมาก โดยนักธรณีวิทยาเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของรอยเลื่อนระนองดังกล่าวเป็นผลมาจากการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อนสุมาตราที่ยังมีพลังอยู่ และโครงการเขื่อนท่าแซะยังไม่มีรายงานผลการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ใดๆ อีกด้วย สมัชชาคนจนขอให้รัฐบาลทบทวนและพิจารณาแนวทางการจัดการน้ำวิธีอื่น เพื่อหาแนวทางการจัดการน้ำที่เหมาะสมและยั่งยืน โดยเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม เช่น การขุดลอกขยายคลองชลประทานเพื่อเร่งระบายน้ำ หรือ การวางแผนกำหนดผังเมืองเพื่อไม่ให้กีดขวางเส้นทางน้ำ ไม่ใช่อ้างการสร้างเขื่อนท่าแซะแต่เพียงอย่างเดียวในการแก้ปัญหาเพื่อป้องกันน้ำท่วม ซึ่งจากบทเรียนการสร้างเขื่อนของสังคมไทยที่ผ่านมา เห็นได้ว่าปัญหาที่เกิดจากการสร้างเขื่อนที่ไม่มีการศึกษาผลกระทบอย่างครอบคลุมรอบด้าน นอกจากเขื่อนจะไม่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงแล้ว เขื่อนกลับเป็นตัวก่อให้เกิดปัญหาความเดือดร้อนซ้ำซากให้แก่ประชาชนในพื้นที่ จนไม่อาจฟื้นฟูเยียวยาให้ทรัพยากรธรรมชาติกลับคืนมา เพื่อหล่อเลี้ยงชุมชนและผู้คนได้ วาทกรรมของคำว่าการพัฒนาที่มองไม่เห็นหัวของราษฎรในพื้นที่ จึงไม่อาจก่อให้เกิดความคุ้มค่าใดๆ ได้อีกต่อไป สมัชชาคนจนในนามองค์กรภาคประชาชนของกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาที่ไม่เป็นธรรมของรัฐ ขอสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำท่าแซะ ในการปกป้องทรัพยากรและวิถีชีวิตชุมชน โดยขอให้ทบทวน ชะลอ หรือยกเลิกโครงการเขื่อนท่าแซะ ที่จะส่งผลกระทบต่อราษฎรในพื้นที่ โดยให้นำเรื่องดังกล่าวออกจากข้อเสนอการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ที่จะนำเสนอต่อ ครม.สัญจรระหว่างวันที่ 20-21 ส.ค. 2561 นี้ เพื่อไม่ต้องการให้เกิดโครงการที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งกับแนวนโยบายการพัฒนาของรัฐ บนฐานทรัพยากรธรรมชาติ ที่ถูกทำให้กลายเป็นพื้นที่ช่วงชิงผลประโยชน์ทางการเมืองเพื่อการดำรงอยู่ของอำนาจรัฐ กับฐานทรัพยากรอาหารในวิถีการดำรงชีพของชาวบ้าน ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น