ประชาไท Prachatai.com |
- 'โคฟี อันนัน' อดีตเลขาธิการสหประชาชาติถึงแก่อสัญกรรมแล้ว
- เตรียมพร่องน้ำ 'เขื่อนวชิราลงกรณ' ผ่าน Spillway รับมือพายุโซนร้อนเบบินคา
- กทม.แจงรถผู้ว่าฯ 'อัศวิน' ไม่ได้โดนล็อกล้อ
- สุรินทร์สำรวจคนไทยไร้สิทธิ์ พบเหตุไม่แจ้งเกิด-พระ ทหารเกณฑ์ ชื่อถูกจำหน่ายออกจากทะเบียนราษฎ์
- 'สภาวิศวกร' ชี้บทเรียนเหตุการณ์สะพานถล่มที่อิตาลี ไทยต้องเตรียมความพร้อมที่ไม่ประมาท
- ชัยชนะของสหพันธ์แรงงานแท็กซี่นิวยอร์กซิตี เรียกร้องทางการออกกฎกำกับ Uber-Lyft สำเร็จ
- ศาลเริ่มสืบพยานคดีเจ้าหน้าที่ยิงประชาชนที่ทุ่งยางแดง เมื่อปี 2558
'โคฟี อันนัน' อดีตเลขาธิการสหประชาชาติถึงแก่อสัญกรรมแล้ว Posted: 18 Aug 2018 05:51 AM PDT Submitted on Sat, 2018-08-18 19:51 'โคฟี อันนัน' อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ (UN) และเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึงแก่อสัญกรรมแล้วด้วยวัย 80 ปี 18 ส.ค. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่ามูลนิธิโคฟี อันนันแถลงผ่านทวิตเตอร์ว่า มูลนิธิและครอบครัวอันนันขอแถลงด้วยความเศร้าเสียใจอย่างยิ่งว่า นายอันนันถึงแก่อสัญกรรมเมื่อเช้านี้หลังจากล้มป่วยเป็นเวลาไม่นาน ภรรยาและครอบครัวอยู่เคียงข้างเขาในช่วงหลายวันมานี้ เขาเป็นรัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่และต่อสู้เพื่อโลกที่เป็นธรรมและสันติมาทั้งชีวิต หลังหมดหน้าที่ในยูเอ็น ยังคงทุ่มเททำงานเพื่อสันติภาพอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยในฐานะประธานมูลนิธิโคฟี อันนันและประธานกลุ่มผู้อาวุโสที่ตั้งขึ้นโดยเนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ เป็นแรงบันดาลให้แก่คนทุกวัย ไม่ว่าที่ใดมีความทุกข์หรือต้องการความช่วยเหลือ เขาจะเข้าไปช่วยเหลือผู้คนด้วยความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ เขาจะคงอยู่ในหัวใจของทุกคนไปตลอดกาล ท้ายนี้ครอบครัวขอความเป็นส่วนตัวในช่วงเวลาโศกเศร้านี้ นายอันนันเป็นเลขาธิการยูเอ็นคนที่ 7 และเป็นชาวแอฟริกันคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้ อยู่ในตำแหน่งสองวาระตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2540 ถึง 31 ธ.ค. 2549 ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกับยูเอ็นในปี 2544 เกิดเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2481 ในกานา เชี่ยวชาญทั้งภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และแอฟริกันกลายภาษา สำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ที่วิทยาลัยมาคาเลสเตอร์ รัฐมินนิโซตาของสหรัฐ ก่อนไปศึกษาต่อด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่นครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ และเริ่มงานในยูเอ็น สมรสกับนางติตี อาลากีจา ชาวไนจีเรียในปี 2508 มีธิดา 1 คน และบุตร 1 คน ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
เตรียมพร่องน้ำ 'เขื่อนวชิราลงกรณ' ผ่าน Spillway รับมือพายุโซนร้อนเบบินคา Posted: 17 Aug 2018 11:12 PM PDT Submitted on Sat, 2018-08-18 13:12 กฟผ.แจ้งเตรียมพร่องน้ำ 'เขื่อนวชิราลงกรณ' ผ่านประตูระบายน้ำล้น (Spillway) วันละ 10 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มเติมจากช่องทางปกติ ระหว่างวันที่ 23-27 ส.ค. 2561 รับมือพายุโซนร้อนเบบินคาและมรสุมกำลังแรง ส่วนวันนี้ (18 ส.ค.) ที่เชียงใหม่ฝนตกหนักน้ำป่าไหลหลาก ถนนเชียงใหม่-เชียงราย ขาดรถไม่สามารถผ่านได้ 18 ส.ค. 2561 เว็บไซต์ Energy News Center รายงานว่านายณัฐวุฒิ แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยผู้ว่าการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ข้อมูล ณ วันที่ 18 ส.ค. 2561 เวลา 10.00 น เขื่อนวชิราลงกรณมีปริมาณน้ำในเขื่อน 7,896 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) หรือ ร้อยละ 89 ซึ่งเกินกว่าเกณฑ์การควบคุมตอนบน (Upper Rule Curve) และมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำไม่ต่ำกว่าวันละ 100 ล้าน ลบ.ม. เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงและอิทธิพลของพายุโซนร้อนเบบินคาทำให้มีฝนตกหนาแน่นบริเวณเหนืออ่างเก็บน้ำตอนบนอย่างต่อเนื่อง เขื่อนวชิราลงกรณจึงจำเป็นต้องพร่องน้ำตามนโยบายของศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤต สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) โดยจะระบายน้ำผ่านช่องทางปกติ วันละ 43 ล้าน ลบ.ม. และระบายผ่านทางระบายน้ำล้น (Spillway) วันละ 10 ล้าน ลบ.ม. รวมเป็นวันละ 53 ล้าน ลบ.ม. ตั้งแต่วันที่ 23-27 ส.ค. 2561 ส่งผลให้ลำน้ำท้ายเขื่อนจะมีปริมาณมากขึ้น จึงขอให้ประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท้ายเขื่อนอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ กฟผ. ได้ติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำของเขื่อนวชิราลงกรณอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งเขื่อน กฟผ. ทั่วประเทศ ซึ่งแผนการระบายน้ำและการบริหารจัดการน้ำเป็นไปตามนโยบายจากกรมชลประทานและคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำแต่ละจังหวัด โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนเป็นสำคัญ และขอให้ประชาชนมั่นใจว่า เขื่อนของ กฟผ. ทุกแห่งยังคงมั่นคง แข็งแรง ปลอดภัย มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยติดตามพฤติกรรมของเขื่อนตลอดเวลา อีกทั้งประชาชนยังสามารถติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดได้ทางเว็บไซต์ http://WATER.EGAT.CO.TH หรือ http://www.vrk.egat.com และแอพพลิเคชั่น EGAT Water ซึ่งสามารถดาวน์โหลดค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำได้อย่าง Real Time ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งสามารถติดตามภาพสถานการณ์น้ำในเขื่อนจริงผ่านกล้อง CCTV ของแต่ละเขื่อนได้อีกด้วย เชียงใหม่ฝนตกหนักน้ำป่าไหลหลาก ถนนเชียงใหม่-เชียงราย ขาดรถไม่สามารถผ่านได้
อสมท.เชียงใหม่ รายงานว่าเมื่อเวลา 03.00 น. ของเช้าวันที่ 18 ส.ค. 2561 ได้เกิดฝนตกหนัก น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้ทางเบี่ยงในพืนที่การก่อสร้าง ของโครงการก่อสร้างเส้นทาง ทล.118 ถนนเชียงใหม่-เชียงราย (บ้านปางแฟน อ.ดอยสะเก็ด) ตั้งแต่ กม.42 -กม.50 ขาด จำนวน 5 แห่ง รถทุกชนิดไม่สามารถผ่านได้ ขณะนี้โครงการฯ ได้ปิดการใช้เส้นทางไว้ก่อน เพื่อรอให้น้ำลดและได้เตรียมเครื่องจักร รอการแก้ไข ทั้งนี้ขอประชาสัมพันธ์ในการใช้เส้นทางเพื่อการเดินทางจาก เชียงใหม่ ไปพะเยา และเชียงรายดังนี้ดังนี้ เส้นทางที่ 1 เชียงใหม่ (ทล.11)-ลำพูน-ลำปาง (ทล1)-พะเยา-เชียงราย ระยะทางประมาณ 350 กม., เส้นทางที่ 2 เชียงใหม่ (ทล.1001) พร้าว (ทล.1150) เวียงป่าเป้า แม่สรวย เชียงราย ระยะทางประมาณ 250 กม. และ เส้นทางที่ 3 เชียงใหม่ (ทล.107) ฝาง- (ทล.109) แม่สรวย (ทล.118)-เชียงราย ระยะทาง ประมาณ 280 กม. ล่าสุดความคืบหน้าสถานการณ์นำท่วมถนนทางเบี่ยงงานก่อสร้างถนน เชียงใหม่ เชียงราย (ทล.118) เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ช่วงบ้านปางแฟน ดอยสะเก็ด กม.42-กม.50 พบว่าทางเบี่ยงจำนวน 5 แห่ง น้ำเริ่มลดลงบ้างแล้ว พบว่าทางเบี่ยงเสียหาย 2 จุด ที่ กม.45และกม.47 การจราจรไม่สามารถผ่านได้ และมีรถบรรทุกสิบล้อตกลงในทางเบี่ยงที่ขาด (กม.47) ล่าสุดมีทางเบี่ยงขาดเพิ่มที่ กม.46 อีกหนึ่งจุด ด้าน ไทยรัฐออนไลน์ ได้อัพเดทสถาการณ์น้ำท่วมเมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. ดังนี้ 1. เชียงใหม่มีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะ อ.ดอยสะเก็ด เกิดน้ำป่าไหลหลากจากดอย ทำให้ถนนทางเบี่ยงระหว่างโครงการก่อสร้างเส้นทาง ทล.118 ถนนเชียงใหม่-เชียงราย บริเวณ กม.43, 45 และ 47 ถูกตัดขาด รถผ่านไม่ได้ แนะนำเส้นทางอื่นแทน
ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
กทม.แจงรถผู้ว่าฯ 'อัศวิน' ไม่ได้โดนล็อกล้อ Posted: 17 Aug 2018 10:16 PM PDT Submitted on Sat, 2018-08-18 12:16 18 ส.ค. 2561 สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น รายงานว่า ตามที่มี ข้อมูลเผยแพร่ไปว่า รถของผู้ว่าฯ กทม.โดนล็อกล้อ บริเวณหน้า พล.ม.2 ขณะที่เดินทางมาร่วมงานไทยนิยม ยั่งยืน เพื่อชุมชนอยู่ดีมีสุข บริเวณกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ซึ่ง กทม. กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม จัดขึ้นหมุนเวียนไปตามพื้นที่ต่างๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อนำบริการไปสู่ชุมชน โดยรถดังกล่าว กรุงเทพมหานคร ยืนยันว่าไม่ใช่รถของผู้ว่าฯ กทม. แต่เป็นรถของผู้ที่เดินทางมาร่วมงาน เนื่องจากมีผู้สนใจเดินทางมาร่วมงานจำนวนมาก ทำให้พื้นที่จอดรถด้านในเต็ม อีกทั้ง ทำให้บางส่วนนำรถออกไปจอดริมถน ทั้งนี้ รถของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นตู้ โฟล์คสวาเกน Volkswagen สีบอร์นเงิน หมายเลขทะเบียน ฮย 3706 กทม. ไม่ได้จอดริมถนน แต่ได้ขับเข้าไปจอดอยู่ลาดจอดรถด้านในของ พล.ม.2 รอ.แล้ว สื่อรายงานรถผู้ว่าฯ กทม. โดนล็อก18 ส.ค. 2561 สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น รายงานว่า ในกิจกรรมงานไทยนิยมยั่งยืนเพื่อชุมชนอยู่ดีกินดี ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ประชาชนที่เดินทางมาร่วมงานด้วยรถยนต์ส่วนตัว ต่างมีใบสั่ง ติดไว้ที่หน้ารถ และโดนล็อกล้อ รวมถึงรถของหน่วยงานราชการ และของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดงานในครั้งนี้ด้วย โดยในใบสั่งระบุค่าปรับ 700 บาท ออกโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พญาไท อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยภายในกิจกรรมไทยนิยมยั่งยืนเพื่อชุมชนอยู่ดีกินดี ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง กทม. กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม ได้ประสานไปยัง สน.พญาไท เพื่อให้เจ้าหน้าที่ มาปลดล็อกล้อรถทั้งหมดที่เดินทางมาในกิจกรรมนี้แล้ว สำหรับกิจกรรมงานไทยนิยมยั่งยืนเพื่อชุมชนอยู่ดีกินดี จัดโดยกรุงเทพมหานคร ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม นั้น MRG Online รายงานว่าในพิธีเปิดงาน พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวเปิดงานว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาพบปะประชาชนโดยกิจกรรมนี้ กรุงเทพมหานครตระหนักถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากโครงการไทยนิยมยั่งยืนตามนโยบายในการพัฒนาประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ที่เน้นส่งเสริมศักยภาพของชุมชนให้การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อัพเดทข้อมูลเมื่อเวลา 19.06 น. ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
สุรินทร์สำรวจคนไทยไร้สิทธิ์ พบเหตุไม่แจ้งเกิด-พระ ทหารเกณฑ์ ชื่อถูกจำหน่ายออกจากทะเบียนราษฎ์ Posted: 17 Aug 2018 09:51 PM PDT Submitted on Sat, 2018-08-18 11:51 สำรวจคนไทยไร้สิทธิ อ.ศรีณรงค์ จ.สุรินทร์ พบเยาวชนอายุ 14 ปี กลายเป็นคนไทยไร้สิทธิ เหตุพ่อแม่ไม่แจ้งเกิด ทำชื่อติดอยู่ทะเบียนบ้านกลาง ขณะที่ 2 ราย เป็นพระสงฆ์ ทหารเกณฑ์ ไม่ได้กลับบ้านนาน ชื่อถูกจำหน่ายออกทะเบียนราษฎ์ ทำไร้สิทธิคนไทย เผยอยู่ระหว่างประสานขอคืนสิทธิ สะท้อนปัญหาคนไทยเข้าไม่ถึงสิทธิ
18 ส.ค. 2561 นางสาวยุพิน ระย้าทอง ผู้ประสานงานหน่วยหลักประกันสุขภาพประชาชน มาตรา 50(5) กล่าวว่าจากที่ได้ร่วมสำรวจประชากรกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ อ.ศรีณรงค์ จ.สุรินทร์ โดยเป็นมติจากสภาองค์กรชุมชน พบบุคคลที่ไม่มีเลข 13 หลักและบัตรประชาชน 3-4 ราย ทั้งที่เป็นคนไทยและอาศัยอยู่ในประเทศไทยมาโดยตลอด ในจำนวนนี้ 1 ราย เป็นเยาวชนอายุ 14 ปี จากการสืบค้นทะเบียนพบว่า ชื่อของเด็กยังคงอยู่ที่ทะเบียนบ้านกลางใน จ.ชลบุรี เนื่องจากในช่วงที่เกิดพ่อแม่ได้ไปทำงานที่จังหวัดชลบุรีและได้คลอดน้องที่โรงพยาบาลในพื้นที่และไม่ได้ไปแจ้งเกิด และภายหลังพ่อแม่ได้ย้ายกลับมาที่ จ.สุรินทร์แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ไปแจ้งเกิด จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านพ้นไปเด็กจึงกลายเป็นผู้ที่เข้าไม่ถึงสิทธิ ขณะที่พี่ชาย 2 คน มีบัตรประชาชนแล้ว ซึ่งขั้นตอนในการคืนสิทธิให้กับเด็กนั้น จะต้องนำตัวเด็กเดินทางไปยืนยันตัวตนที่ว่าการอำเภอที่เจ้าตัวได้ถูกขึ้นทะเบียนบ้านกลางไว้ เนื่องจากไม่สามารถทำเรื่องโอนย้ายปลายทางได้ ซึ่งทั้งตัวเด็กและครอบครัวรายได้ไม่มาก จึงไม่มีเงินที่จะใช้เป็นการใช้จ่ายเดินทาง อีก 1 รายนั้น เป็นพระสงฆ์ที่ออกจากบ้านไปตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านเลย ทำให้ญาติคิดว่าเสียชีวิตแล้วและถูกจำหน่ายชื่อออกจากทะเบียนราษฎร์ในปี 2551 โดยระบุว่าเป็นผู้เสียชีวิต แต่ภายหลังได้เดินทางกลับมาที่บ้าน ปัจจุบันอายุ 70 ปีแล้ว และได้บวชเป็นพระสงฆ์ ซึ่งรายนี้ทางปลัดอำเภอระบุว่าในการยืนยันสถานะจะใช้วิธีการสอบเครือญาติ หากมีผู้ยืนยันตัวตนจะคืนสถานะบุคคลให้ ซึ่งเป็นกรณีที่สามารถจัดการเองได้ในพื้นที่ ส่วนที่เหลืออีก 1 รายนั้นเป็นทหารเกณฑ์ที่ออกจากบ้านไปนานเช่นกัน ชื่อนายทองคำ โสภา เกิดเมื่อปี 2499 ซึ่งรายนี้นอกจากไม่พบข้อมูลในทะเบียนราษฎร์แล้ว การสืบค้นย้อนหลังโดยอ้างอิงเครือญาติยังทำได้ยาก เพราะพ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้ว โดยเขาเกิดที่ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ นายทะเบียนที่ช่วยค้นหาประวัติเบื้องต้นจึงแนะนำเขาให้กลับไปที่ อ.ท่าตูม ที่เป็นบ้านเกิดเพื่อรื้อค้นข้อมูลย้อนหลังในการยืนยันตัวตน อาทิ หลักฐานการศึกษา เป็นต้น แต่ติดปัญหาเรื่องค่าเดินทางเช่นกัน ทำให้ยังไม่ได้รับคืนสิทธิความเป็นคนไทย ทั้งนี้ ทั้ง 3 ราย ในกรณีที่เจ็บป่วยและต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ที่ผ่านมาต้องจ่ายค่ารักษาเอง เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงบริการ ดังนั้นจึงต้องพิสูจน์สถานะบุคคลเพื่อคืนสิทธิเพื่อทำให้เข้าถึงการรักษาได้ รวมถึงสิทธิอื่นๆ โดยในกรณีของเด็กอายุ 14 ปี และกรณีของทหารเกณฑ์ เบื้องต้นศูนย์ประสานงานฯ คิดว่าจะร่วมกันทอดผ้าป่าเพื่อนำเงินที่ได้มาเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางพาทั้ง 2 คนไปยืนยันตัวตนที่จังหวัดชลบุรีและสุรินทร์ โดยเงินที่เหลือจะนำไปใช้ในกรณีอื่นที่ต้องพิสูจน์สถานะต่อไป นางสาวยุพิน กล่าวว่า ในการทำบัตรประชาชนหรือเลข 13 หลักให้กับคนไทยไร้สิทธิ ใน อ.ศรีณรงค์ จ.สุรินทร์ ที่ผ่านมานายทะเบียนและเจ้าหน้าที่อำเภอต่างให้ความร่วมมือดีมาก ในการช่วยสืบค้น เราทำงานร่วมกันตั้งแต่เปิดหน่วยหลักประกันสุขภาพประชาชน 50 (5) อ.ศรีณรงค์ เพื่อช่วยเหลือบุคคลที่มีปัญหาในการใช้สิทธิการรักษา ซึ่งส่วนตัวมองว่าเมื่อคนเหล่านี้เป็นคนไทย เกิดและอยู่ในประเทศไทย ก็ควรได้รับสวัสดิการจากภาครัฐเช่นเดียวกับคนไทยคนอื่นๆ โดยเฉพาะสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยให้มีขั้นตอนการพิสูจน์สถานะที่ชัดเจน และต้องบอกว่าทั้งบัตรประชาชนและเลข 13 หลักวันนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก การที่บุคคลคนหนึ่งจะมีบัตรประชาชนหรือเลข 13 หลัก จึงเป็นเรื่องสำคัญ "ส่วนที่มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย (มพศ.) และเครือข่ายได้ร่วมทำการสำรวจจำนวนคนไทยไร้สิทธิเพื่อผลักดันให้คนเหล่านี้ได้รับสิทธิความเป็นคนไทยกลับคืนนั้น มองว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน เนื่องจากหลายคนที่ไม่มีบัตรประชาชนมีหลากหลายสาเหตุ บางคนไม่มีตั้งแต่เกิดเพราะแค่ไม่ได้แจ้งเกิด ขณะที่บางคนไม่กล้าออกไปไหนเพราะไม่มีบัตรประชาชนและกลัวที่จะถูกจับ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องเศร้า เราต้องช่วยกันเพื่อให้คนไทยเหล่านี้ได้รับสิทธิคนไทยกลับคืน โดยในส่วนหน่วยหลักประกันสุขภาพประชาชน 50(5) อ.ศรีณรงค์ คงติดตามต่อเนื่องรวมถึงสำรวจคนไทยไร้สิทธิในพื้นที่ต่อไป" ผู้ประสานงานหน่วยหลักประกันสุขภาพฯ กล่าว ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
'สภาวิศวกร' ชี้บทเรียนเหตุการณ์สะพานถล่มที่อิตาลี ไทยต้องเตรียมความพร้อมที่ไม่ประมาท Posted: 17 Aug 2018 09:41 PM PDT Submitted on Sat, 2018-08-18 11:41
18 ส.ค. 2561 ศ.ดร.อมร พิมานมาศ เลขาธิการสภาวิศวกร ระบุถึงกรณีเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2561 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์สะพานโมรานดิที่ประเทศอิตาลีพังถล่มลงมามีผู้เสียชีวิตจนถึงปัจจุบัน 39 รายแล้ว ปัจจุบันก็ยังอยู่ระหว่างค้นหาผู้ที่ยังติดใต้ซากสะพานอีก การถล่มของสะพานที่อิตาลีครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก และแม้ว่าจะเกิดขึ้นห่างไกลจากประเทศไทย แต่ก็ถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลตัวเลย เพราะแต่ละประเทศก็มีสะพานใช้งานจำนวนมาก รวมถึงประเทศไทยด้วย ในทางวิศวกรรม สะพานจำแนกได้ หลายรูปแบบ เช่น สะพานช่วงสั้น มักมีช่วงพาดไม่เกิน 20-40 ม. สะพานช่วงปานกลางมีช่วงพาดประมาณ 40-80 ม. และ สะพานช่วงยาวมีช่วงพาดเกิน 100 ม. ขึ้นไป สะพานยังอาจแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ตามวัสดุที่ใช้ก่อสร้างได้แก่ สะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก สะพานคอนกรีตอัดแรง และ สะพานเหล็ก สะพานที่มีขนาดใหญ่และช่วงพาดยิ่งยาว และที่ผ่านการใช้งานมานานก็ยิ่งมีระบบโครงสร้างที่ซับซ้อน ก็อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีก ปัจจัยที่ทำให้สะพานถล่ม มี 5 สาเหตุหลักคือ 1. การออกแบบผิดพลาด 2. การก่อสร้างผิดพลาดหรือไม่ถูกวิธี 3. วัสดุเสื่อมสภาพ 4. น้ำหนักบรรทุกมากเกินไป เช่น รถบรรทุกขนาดใหญ่ และ 5. ภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว และ แรงลม เป็นต้น การถล่มของสะพานอาจเกิดขึ้นได้ ทั้งขณะที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และ ที่เปิดใช้งานแล้ว ในบ้านเราพบการพังถล่มของสะพานเกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้าง สาเหตุเกิดขึ้นจากระบบค้ำยันและนั่งร้านไม่แข็งแรงพอ แต่การวิบัติของสะพานโมรานดิในประเทศอิตาลี เป็นการวิบัติของสะพาน ที่มีอายุการใช้งานมากว่า 50 ปีแล้ว เพราะสะพานแห่งนี้เริ่มเปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 การวิบัติที่เกิดขึ้นจัดว่าเป็นการวิบัติแบบเฉียบพลัน สาเหตของการวิบัติยังไม่ทราบแน่ชัด และต้องรอการพิสูจน์ทางนิติวิศวกรรมศาสตร์โดยผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม สะพานโมรานดิ มีลักษะเป็นสะพานขึงช่วงยาว เหล็กที่ใช้ขึงตัวสะพานฝังอยู่ในแท่งคอนกรีต ที่ดึงพื้นสะพานเพียงด้านละ 1 จุดเท่านั้น สันนิษฐานว่า วัสดุในการรับน้ำหนัก ได้แก่ เหล็กที่ใช้ขึงสะพาน อาจเกิดการวิบัติที่ตัวเหล็กเอง หรือ ที่ข้อต่อเหล็ก เนื่องจากการเสื่อมสภาพ การเกิดสนิม หรือ ความล้าของข้อต่อที่เกิดจากน้ำหนักรถบรรทุกและยานพาหนะอื่นที่วิ่งผ่านไปมาหลายล้านรอบตลอด 50 กว่าปีที่ผ่านมา การถล่มของสะพานที่อิตาลีนี้ ถือเป็นบทเรียนสำคัญว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้ อาจเกิดขึ้นได้อีก ณ ที่ใดก็ได้ในโลกนี้ ในทางวิศวกรรม เหตุการณ์ดังกล่าวมีหนทางป้องกันได้โดยใช้วิธีการตรวจติดตามสุขภาพโครงสร้างสะพาน (Structural health monitoring system) ซึ่งเหมือนการตรวจสุขภาพร่างกายคน โดยแบ่งได้เป็น การตรวจสอบรายวัน รายปี และการตรวจสอบพิเศษ การตรวจสอบทำได้ทั้งการตรวจสอบด้วยสายตา โดยสังเกตรอยร้าว การบิด การเคลื่อนตัว หรือ แม้กระทั่งเสียงโครงสร้างที่ดังลั่นผิดปกติ หรือ การสั่นสะเทือนที่มากผิดสังเกต ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญานเตือนภัยบอกเหตุผิดปกติในโครงสร้างล่วงหน้าได้ทั้งสิ้น นอกจากการตรวจสอบด้วยสายตาแล้ว การตรวจวัดด้วยเครื่องมือทางวิศวกรรม อาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงแบบไม่ทำลาย ในปัจจุบันสามารถวัดค่าความเค้น ความเครียด การเสียรูปของสะพานและทำการประมวลผลแบบเรียลไทม์ได้ ช่วยให้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่ซ่อมแซมหรือเสริมกำลังได้ทันท่วงที สาเหตุหนึ่งที่สะพานพังถล่ม อาจจะเกิดจากการละเลยเรื่องการตรวจสอบและดูแลรักษา อย่าลืมว่าโครงสร้างทุกประเภท มีอายุการใช้งาน โดยเฉพาะโครงสร้างประเภทสะพาน ที่ต้องรับรองน้ำหนักยานพาหนะที่เคลื่อนผ่านไปมา ทำให้เกิดแรงพลศาสตร์กระทำต่อโครงสร้าง เป็นอันตรายยิ่งกว่า น้ำหนักที่แช่อยู่นิ่งๆ เสียอีก และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งโครงสร้างจะเกิดความล้า (fatigue) นำไปสู่การวิบัติได้ หนทางที่ดีที่สุดคือต้องไม่ประมาท ต้องจัดให้มีโปรแกรมการตรวจสอบและดูแลรักษาสะพานอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยงการถล่มของสะพานได้ ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
ชัยชนะของสหพันธ์แรงงานแท็กซี่นิวยอร์กซิตี เรียกร้องทางการออกกฎกำกับ Uber-Lyft สำเร็จ Posted: 17 Aug 2018 09:28 PM PDT Submitted on Sat, 2018-08-18 11:28 เมื่อไม่นานนี้นิวยอร์กซิตี ตลาดใหญ่ที่สุดของ Uber ออกข้อกำหนดระงับไม่ให้ Uber และ Lyft เพิ่มจำนวนรถชั่วคราว เพราะการกระทำของบรรษัทเหล่านี้ส่งผลต่อปากท้องของคนขับรถที่ต้องยื้อแย่งและตัดราคากันเอง จนทำให้คนขับรถบางส่วนฆ่าตัวตายเพราะปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า แต่ความสำเร็จในครั้งนี้ก็มาจากการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของสหพันธ์แรงงานแท็กซี่นิวยอร์กที่ประท้วงมายาวนาน เว็บไซต์ข่าวการเคลื่อนไหวสันติวิธี Waging Nonviolence นำเสนอเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้ของสหพันธ์แรงงานแท็กซี่นิวยอร์ก ที่เพิ่งได้รับชัยชนะครั้งสำคัญไปเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา จากการที่พวกเขาสามารถเรียกร้องให้สภาเมืองนิวยอร์กซิตีออกข้อกำหนดเพื่อกำกับกิจการเรียกรถรับส่งอย่าง Uber และ Lyft เนื่องจากบริการเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความแออัดในการแย่งงานกันเองของคนขับรถเหล่านี้และทำให้เกิดการกดค่าแรง ทางการของนิวยอร์กซิตีออกข้อกำหนดห้ามไม่ให้บริษัทเรียกรถรับส่งเพิ่มจำนวนรถรับส่งของตัวเองภายในช่วง 12 เดือน ยกเว้นแต่รถรับส่งที่ให้ผู้ใช้รถเข็นสามารถขึ้นได้ นอกจากนี้ยังมอบอำนาจให้คณะกรรมการแท็กซีและลิมูซีนของเมืองการันตีว่าคนทำงานขับรถต้องได้รับค่าแรงยังชีพ 15 ดอลลาร์ ผู้อำนวยการบริหารของสหพันธ์แรงงานแท็กซี่นิวยอร์ก ไพราวี ดีไซ กล่าวหลังการรับฟังคำประกาศของสภานิวยอร์กว่ามันเป็นความหวังใหม่ของแรงงานหลายแสนคน การตัดสินใจของสภาเมืองนิวยอร์กในครั้งนี้เป็นเรื่องไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะว่าบริษัทอย่าง Uber พยายามสกัดกั้นการกำกับจากภาครัฐมาตั้งแต่ 3 ปีที่แล้วจากที่พวกเขามีเส้นสายกับคนระดับสูงของนิวยอร์กซิตี เช่น นายกเทศมนตรี แอนดรูว์ คูโอโม เส้นสายพวกนี้ทำให้ Uber ออกรถคันใหม่ๆ ได้จำนวนมากจนทำให้เกิดภาวะรถจากบริการพวกนี้ล้นเกินมากกว่ารถแท็กซี่ทั่วไป การที่รถให้บริการมีจำนวนมากเกินไปเช่นนี้ทำให้เกิดภาวะกดค่าจ้างกันเอง ทำให้รายได้ลดลงไปอย่างมาก สภาพเช่นนี้ทำให้มีคนขับรถฆ่าตัวตายไป 6 ราย ในช่วง 6 เดือน มีบางรายที่ระบุถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจขับรถรับจ้างเป็นแรงจูงใจในการฆ่าตัวตาย เช่น ผู้ฆ่าตัวตายรายหนึ่งชื่อ ดักลาส ชิฟเตอร์ เขาเขียนแถลงการณ์ต่อต้านสภาพการณ์ปัจจุบันของธุรกิจนี้ก่อนที่จะยิงตัวเองเสียชีวิตที่หน้าศาลากลางเมือง แถลงการณ์ของเขาระบุว่าเขาต้องทำงาน 120 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ รวมถึงมีการประณาม Uber คูโอโม และอดีตนายกเทศมนตรีไมเคิล บลูมเบิร์ก ว่าร่วมกันสร้างสภาพความยากลำบากจนทำให้พวกเขาต้องจบชีวิตลง การเสียชีวิตของชิฟเตอร์ ตามมาด้วยการฆ่าตัวตายของคนขับรถรายอื่นๆ บางรายฆ่าตัวตายเพราะหนี้กองท่วม บางรายก็เป็นผู้อพยพจากเยเมนที่สูญเงินให้กับสัญญาเช่ารถทั้งหมด ญาติของคนที่ฆ่าตัวตายให้สัมภาษณ์ต่อสื่อว่า คำสั่งของรัฐบาลล่าสุดจะทำให้คนทำงานขับรถและครอบครัวมีกินมีใช่มีหลังคาคุ้มหัวและสามารถจ่ายค่าไฟได้ สำหรับจอร์จ ชิฟเตอร์ แล้ว หลังจากการเสียชีวิตของพี่น้องเขาเข้าก็เข้าไปมีส่วนร่วมกับการรณรงค์ของสหพันธ์แท็กซีฯ ทางอ้อม จอร์จบอกว่าเขาต้องการทำให้เกิดความเป็นธรรมจะได้ไม่ต้องมีใครทนทุกข์จนเสียชีวิตอีก ริชาร์ท เชา ญาติอีกรายหนึ่งของแท็กซี่ผู้ฆ่าตัวตายเป็นคนขับรถมานาน 13 ปี และได้เหรียญตราแท็กซี่ ซึ่งเป็นเสมือนใบอนุญาตรถสีเหลือง อย่างไรก็ตามหลังการมาของ Uber และ Lyft ก็ทำให้มูลค่าเหรียญตราต่ำลงจาก 1.3 ล้านดอลลาร์ เหลือ 300,000 ดอลลาร์ บริษัทอย่าง Uber ไม่จำเป็นต้องซื้อเหรียญตรานี้ ดีไซระบุว่าถึงแม่สหพันธ์แท็กซี่ในนิวยอร์กซิตีจะเป็นองค์กรค่อนข้างเล็กที่ไม่ได้มีพลังในการล็อบบีอะไรมาก แต่พวกเขาก็สามารถส่งอิทธิพลบางส่วนได้ จากการที่ข้อกำหนดล่าสุดจากฝ่ายทางการออกมาแบบตอนสนองต่อนโยบายของสหพันธ์ฯ โดยตรงดีไซบอกว่ามันเป็นชัยชนะจากการจัดตั้งระดับรากหญ้า ที่อาศัยการเคลื่อนไหวประท้วงหน้าศาลากลางมากกว่า 20 ครั้งเพื่อกระตุ้นให้ทางการสนใจเรื่องการฆ่าตัวตายของคนขับแท็กซีและสภาพการทำงานที่โหดร้าย นอกจากเรื่องข้อกำกับใหม่แล้วทางสหพันธ์ฯ ยังมีโครงการด้านสุขภาพจิตเอาไว้รองรับคนขับรถที่เผชิญกับปัญหาการเงินหนักๆ อย่างการล้มละลายและการถูกไล่ที่ด้วย ดีไซ กล่าวอีกว่าถึงแม้พวกเขาจะเคยพ่ายแพ้เมื่อ 3 ปีที่แล้วให้กับ Uber รวมถึงเรื่องที่ Uber มีตลาดใหญ่ที่สุดคือนิวยอร์กและน่าจะถูกล็อบบีจากบริษัทหนักสุด แต่พวกเขาก็สามารถเอาชนะได้และหวังว่าชัยชนะในครั้งนี้จะเป็น "ไฟลามทุ่ง" ให้เกิดการออกกฎกำกับในเมืองอื่นๆ แต่กฎหมายเหล่านี้ก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นสำหรับดีไซและสหพันธ์ฯ สภาเมืองยังออกกฎหมายเพิ่มเพื่อเอื้อต่อการจัดสวัสดิการสุขภาพของคนขับรถ ช่วยเหลือหนี้สิน และตั้งสำนักงานเพื่อการมีส่วนร่วมที่เน้นส่งเสริมความหลากหลาย การครอบคลุมเสมอภาค และความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะเรื่องการปฏิเสฑการให้บริการ เช่น คนดำและชาวละตินในนิวยอร์กมักจะร้องเรียนว่าพวกเขาถูกเลือกปฏิบัติจากคนขับรถ เรียบเรียงจาก New NYC regulations on Uber and Lyft a victory for union organizing, Waging Nonviolence, 11-08-2018 ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
ศาลเริ่มสืบพยานคดีเจ้าหน้าที่ยิงประชาชนที่ทุ่งยางแดง เมื่อปี 2558 Posted: 17 Aug 2018 09:14 PM PDT Submitted on Sat, 2018-08-18 11:14 ศาลปัตตานีเริ่มสืบพยานชาวบ้าน 4 ครอบครัวฟ้อง เรียกค่าเสียหายจากกองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักนายก กรณีเจ้าหน้าที่ยิงประชาชนในพื้นที่ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เสียชีวิต 4 คน เมื่อปี 2558 18 ส.ค. 2561 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมแจ้งว่าสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2560 ชาวบ้าน 4 ครอบครัว ซึ่งเป็นมารดาและบิดาของผู้ตาย เป็นโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 8 ยื่นฟ้องคดีแพ่ง เรียกค่าเสียหายจากกองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตามลำดับ ในข้อหาละเมิด ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จากกรณีเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2558 เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจใช้กองกำลังปฎิบัติการในพื้นที่บ้านโต๊ะชูด ต.พิเทน อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี แล้วเจ้าหน้าที่ได้ยิงชาวบ้านเสียชีวิต 4 คน (โดยมีสองคนเป็นนักศึกษา) เมื่อวันที่ 14-17 ส.ค. 2561 ฝ่ายบิดามารดาของผู้ตายทั้งสี่ ซึ่งเป็นโจทก์ ได้นำสืบพยานบุคคลต่อศาล จำนวน 12 ปาก ได้แก่ 1. บิดามารดาผู้ตายทั้งสี่ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนี้ จำนวน 7 ปาก 2. เพื่อนของผู้ตายทั้งสี่และผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุจำนวน 4 ปาก และ 3. ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์บ้านโต๊ะชูด ทั้งนี้ฝ่ายโจทก์ยังคงมีประเด็นข้อเท็จจริงที่จะสืบพยานบุคคลอีก 4 ปาก ศาลจึงกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ครั้งต่อไปในวันที่ 25 ก.ย. และนัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 26-28 ก.ย. 2561 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ ศาลจังหวัดปัตตานี
ติดตามเรื่องราวของคดีนี้ได้ที่ https://voicefromthais.wordpress.com/?s=โต๊ะชูด ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น