โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

เพ็ญ ภัคตะ: นกกระดาษสีแดง

Posted: 20 Nov 2010 09:45 AM PST

นกกระดาษสีแดงต้านแรงสู้
โบยบินสู่เสรีที่ใฝ่หา
หมื่นแสนคุกกักขังเพียงกายา
เรียวปีกกล้าทะยานท้าฝ่าคลื่นลม

นกกระดาษสีแดงทั่วแหล่งโลก
จงนำโชคอวยชัยไปสั่งสม
วันนี้ถูกศาสตราถลาล้ม
วันหน้าย่อมชื่นชมรัฐประชา

นกกระดาษสีแดงร่วมสร้างสรรค์
ปลุกตะวันปันเมฆเสกเวหา
ปลดปล่อยไทจากทาสนานเนิ่นช้า
ไปเถิดหนอสกุณา...ฟ้าของเธอ

ฝากติดตามถามข่าวเหล่าวิหค
เคยผินผกราวไพรอาจไผลเผลอ
หรือจากพรากแพ้ใจไม่พบเจอ
นกเขาไฟ นกละเมอ นกแสงตะวัน

ยินข่าวนกสีเหลืองนั้นตายแล้ว
ติดบ่วงแก้วเกียรติกามลืมความฝัน
เพลินอยู่ในวังวนแห่งคนธรรพ์
วิมานเลิศเฉิดฉันเหยียดชั้นชน

พิราบขาวราวปีกฉีกโรยอ่อน
การะเกดกางกรซ่อนสับสน
เริ่มปรองดองผองกาลีมีเล่ห์กล
เจ้าขุนทองไปปล้นอยู่หนใด

ฟ้าวันนี้จึงมีแต่นกกระดาษ
แดงพิลาสประกาศฝันอันยิ่งใหญ่
โบยบินสู่เข็มทิศประชาไท
ปีกปราชัยพร้อมเปลี่ยนหล้าพลิกฟ้าดิน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ถอดบทเรียน วาตภัยที่ตันหยงลูโล๊ะ ปัตตานี

Posted: 20 Nov 2010 09:36 AM PST

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสฑูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน                                                    

หลังจากวันอีดิลอัฎฮา ๒ วันกล่าวคือวันพฤหัสที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ผู้ เขียนร่วมกับ อาจารย์นัสรูดีน กะจิ บรรดาครูสอนสาสนาโรงเรียนรุ่งโรจน์วิทยา  อำเภอจะนะและครอบครัวของผู้เขียนได้รับของบริจาคชุดหนึ่งจากเพื่อน ผศ. ดร. วุฒิศักดิ์ พิศสุวรรณให้ไปมอบกับผุ้ประสบวาตภัย

คณะผู้เขียนก็เลยตัดสินใจแบ่งของบริจาคออกสองชุด ชุดที่๑ ไปมอบให้ชุมชนดาโต๊ะ จังหวัดปัตตานี อีกชุดหนึ่งมอบให้ชาวบ้านปาตาตันหยงลูโล๊ะเพราะได้ทราบข่าวจากสำนักข่าวอามานว่าที่นี่ไม่ค่อยได้รับของบริจาค

เวลาประมาณ ๑๕ นาฬิกาผู้เขียนและคณะถึงปากทางเข้าบ้านดาโต๊ะแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะคลื่นผู้คนทั้งรถยนต์ จักยานยนต์จากทั่วทุกสารทิศจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่างมุ่งหน้าสู่บ้านดาโต๊ะ ผู้เขียนใช้ความพยายาเข้าไปหนึ่งชั่วโมงก็ต้องตัดสินใจหันหัวรถกลับเพราะรถติดมากยิ่งกว่ากรุงเทพมหานคร  และท้ายสุดมอบสิ่งของฝกเพื่อนที่ปากทางเอาเข้าไปให้ในหมู่บ้าน

หลังจากนั้นผู้เขียนเลยมุ่งหน้าสู่ปาตาตันหยงลูโละทันที่แต่ด้วยเวลาละหมาดค่ำมาถึงจึงแวะละหมาดค่ำที่มัสยิดประวัติศาสตร์กรือเซะ ก่อนทางเข้าหมู่บ้าน

หลังจากนั้นได้เข้าหมู่บ้านช่วงเวลากลางคืนผ่านนาเกลือที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก  บ้านเรือน เสียหาย 30 หลังคาเรือน โดยมี 14 หลังที่เสียหายทั้งหลัง    เรื่อประมงหลายสิบลำ 

จากการลงพื้นที่ของผู้เขียนและคณะ ได้สัมภาษณ์โต๊ะอิหม่ามอิรอเฮม มะดีเย๊าะและชาวบ้านได้เล่าเหตุการณ์ที่ประสบภัยว่าหน้ากลัวมากและไม่เคยประสบมาก่อนที่น้ำจากทะเลหนุนสูงเข้าท่วมชุมชนและไปถึงในอีกชุมชนหนึ่งข้างนอกพวกเขาต้องรีบอพยพไปขึ้นที่สูงในอีกชุมชนหนึ่งโดยทิ้งทรัพย์สินไว้ในบ้าน  พอกลับเข้ามาหลังน้ำรดพบว่าทั้งนาเกลือ  บ้านเสียหายเสียหาย 30 หลังคาเรือน โดยมี 14 หลังที่เสียหายทั้งหลัง    เรื่อประมงหลายสิบลำและบางส่วนของที่ละหมาดก็เสียหาย

ชุมชนที่นี่อยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนตำบลตันหยงลูโละ เป็นส่วนหนึ่งของอำเภอเมืองจังหวัดปัตตานี อยู่ติดชายฝั่งทะเลอ่าวไทย มีพื้นที่ 3 ตารางกิโลเมตร อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ในดินสินในน้ำ บริเวณฝั่งทะเลเหมาะสำหรับเลี้ยงหอยแครง และทำนาเกลือ ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพทำนาเกลือ ซึ่งในอดีตตำบลตันหยงลูโล๊ะเคยเป็นแหล่งการทำนาเกลือที่สร้างรายได้หลักให้แก่ชุมชนเป็นอ ย่างมาก เพราะมีรสชาติที่กลมกล่อม อร่อย รสชาติดี ดังนั้น จึงมีเรือสำเภาจากที่ต่างๆ มาจอดที่อ่าวตันหยงลูโล๊ะ เพื่อมารับเกลือ ชาวบ้านจะบรรทุกเกลือใส่เรือเล็กแล้วนำไปขึ้นที่เรือสำเภา โดยจะตักใส่ภาชนะที่ทำด้วยหวายสานขึ้นรูปคล้ายกระบุงแล้วขึ้นคานหาบ ในระหว่างการหาบจะมีเกลือบางส่วนที่ตกหล่นระหว่างการขนขึ้นเรือ ดังนั้น ผู้ขายเกลือจะต้องเพิ่มเกลือให้ผู้ซื้อ 1 หาบ ต่อการซื้อ 10 หาบ ลักษณะเช่นนี้ยังปรากฏให้เห็นอยู่ แม้ว่าผู้ซื้อจะใช้ถังตวงโดยคิดเป็นกันตัง (กันตังของเกลือมีน้ำหนักเท่ากับ 5 ลิตร ซึ่งต่างจากกันตันในการตวงของแบบอื่นที่มีน้ำหนักเพียง 4 ลิตร)

ปัจจุบันเกลือปัตตานีเป็นสินค้าส่งออกไปยังจังหวัดสตูล และประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศมาเลเซีย โดยมีแหล่งผลิตเกลือหลงเหลืออยู่ที่ตำบลบานา ตำบลบาราเฮาะ ตำบลสะนิง และตำบลตันหยงลูโละ ซึ่งในส่วนของตำบลตันหยงลูโล๊ะ มีจำนวนผู้ผลิตเกลือประมาณ 40   ราย คิดเป็นพื้นที่ทั้งสิ้น 228 ไร่ ในพื้นที่

ปัจจุบันการบริโภคเกลือจะใช้เกลือเม็ด มีทั้งระดับในเชิงพาณิชย์และใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น หมักปลาทำบูดู ใส่ในน้ำแข็งเพื่อหล่อเย็นในกรรมวิธีของไอศครีม กะปิ ฯลฯ

จากการประสบภัยครั้งนี้ที่ทำนาเกลือเสียหายย่อมส่งผลกระทบต่อชาวบ้านที่ทำนาเกลืออย่างแน่นอน  และจะเป็นลูกโซ่สำหรับที่อื่นซึ่งนำเกลือจากที่นี่ไปประกอบอาหาร

ชาวบ้านหากเป็นหนี้นายทุนนำเงินมาลงทุนก็อาจจะไม่สามารถจ่ายหนี้ได้โดยเฉพาะ ผู้ผลิตเกลือ ที่ ไม่ได้รวมกลุ่มเป็นชมรม  ต่างคนต่างขาย ในขณะบางส่วนที่รวมกลุ่มกันได้ก็ยังขาดผู้ดำเนินการหลักอย่างมีคุณภาพในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวที่จะก่อให้เกิดอำนาจในการต่อรองราคาที่เป็นธรรม ยกระดับมาตรฐานการผลิตที่มีคุณภาพ ช่วยให้ผู้ผลิตรายย่อย และสมาชิกมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

จากจุดนี้ก็ยากฝากหน่วยงานขอรัฐเข้ามาหนุนเสริมช่วยพี่น้องช่วงลำบาก

สำหรับบ้านเรือนที่พังเสียหายถึงแม้บางส่วนจะได้วัสดุ อุปกรณ์เพื่อทำบ้านใหม่จากรัฐหรือเอกชนก็ยังกังวลในการสร้างเพราะที่ดินนั้นเป็นที่ดินราชพัสดุ พร้อมทั้ง บ้านหลายหลังยังตั้งอยู่ในแนวเขตโครงการก่อสร้างถนนเลียบอ่าวปัตตานี

ชุมชนปาตามีมากว่า 30 ปีแล้ว เดิมชาวบ้านมาปลูกบ้านประมาณ 20 หลัง ต่อมาคนในหมู่บ้านมากขึ้น บางคนไม่มีที่ดินของตัวเอง และไม่มีเงินพอที่จะซื้อที่ดินสร้างบ้านได้ จึงเข้ามาจับจองที่ดินราชพัสดุในชุมชนแห่งนี้เพื่อสร้างบ้านมากขึ้น ทำให้ชุมชนขยายตัว

เพราะเดิมเป็นพื้นที่ดินงอก บางช่วงมีทรายมาทับถมหน้าหาดที่เป็นหาดโคลน ชาวบ้านจึงขุดทรายมาถมที่สร้างบ้าน พื้นที่งอกเพิ่มก็หายไป ช่วงหลังๆ ชายหาดไม่ได้งอกเพิ่มแล้ว ดังนั้น น่าจะใช้โอกาสที่เกิดภัยพิบัติครั้งนี้ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยหาทางออกร่วมกับชาวบ้านโดยเฉพาะผู้ว่าราชการปัตตานีคนปัจจุบันีเป็นคนบ้านตันหยงลูโล๊ะ

ความเสียครั้งนี้หากไม่มีป่าชายเลนน่าจะหนักว่านี้  ชาวบ้านคนหนึ่งเล่าให้ฟังเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า เสมือนเขื่อนหรือกำแพงธรรมชาติที่คอยปะทะพายุและคลื่นลมทะเล ช่วยปกป้องบ้านเรือนและทรัพย์สินของมนุษย์ไม่ให้เสียหาย

จากผลกระทบในครั้งนี้ทำให้ป่าชายเลนที่นี้ได้รับผลกระทบไปด้วยซึ้งความเป็นจริงมนุษย์เริ่มทำลายป่าชายเลนตลอดอยู่แล้ว

จากวิกฤตในครั้งนี้เช่นกันหน่วยงานของรัฐ ควรร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบล จังหวัด ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกันฟื้นฟูป่าชายเลนที่นี้เพราะป่าชายเลนที่นี่หรือที่ไหนๆจะมีประโยชน์ (ซึ่งศ.ดร.สนิท แก้วอักษร นักวิชาการชาวไทยที่ศึกษาวิจัยป่าชายเลน ) ดังนี้

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนบ้าน

ป่าชายเลนเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์นานาชนิด สัตว์น้ำตัวเล็กๆ ต้องอาศัยระบบรากที่ซับซ้อนของ พืชป่าชายเลนสำหรับวางไข่ อนุบาลตัวอ่อนและหลบภัย ลิงแสมที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลน ก็ได้จับปู ปลา เป็นอาหาร ดังนั้นการทำลายป่าชายเลน จึงเท่ากับเป็นการทำลายบ้านที่เป็นแหล่งอาหารของสัตว์มากมาย

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงครัว

ยามน้ำขึ้น ป่าชายเลนจะมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยฝูงปลาหลากหลายชนิดต่างพากันออกมาหากินบนพื้นผิวป่าชายเลน ใบไม้ในป่าชายเลนที่ร่วงหล่น จะสลายตัวกลายเป็นธาตุอาหารอันอุดมสมบูรณ์สำหรับการดำรงอยู่ของสัตว์น้ำนานาชนิด เพื่อเติบโตกลายเป็นอาหารอันโอชะของมนุษย์ต่อไป

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงไม้

ระบบนิเวศของป่าชายเลนถูกกำหนดด้วยการขึ้นลงของน้ำทะเล ชาวบ้านจะช่วยกันปลูกป่าเพื่อนำต้นไม้มาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันและหารายได้เลี้ยงครอบครัว เช่น เผาไม้โกงกางเพื่อทำเป็นฟืนและถ่านที่มีคุณภาพดี ใช้ไม้สร้างที่อยู่อาศัย ทำเครื่องใช้ในครัวเรือน และเครื่องมือทำประมง เป็นต้น

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนบ้าน

ป่าชายเลนเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์นานาชนิด สัตว์น้ำตัวเล็กๆ ต้องอาศัยระบบรากที่ซับซ้อนของ พืชป่าชายเลนสำหรับวางไข่ อนุบาลตัวอ่อนและหลบภัย ลิงแสมที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลน ก็ได้จับปู ปลา เป็นอาหาร ดังนั้นการทำลายป่าชายเลน จึงเท่ากับเป็นการทำลายบ้านที่เป็นแหล่งอาหารของสัตว์มากมาย

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงครัว

ยามน้ำขึ้น ป่าชายเลนจะมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยฝูงปลาหลากหลายฃนิดต่างพากันออกมาหากินบนพื้นผิวป่าชายเลน ใบไม้ในป่าชายเลนที่ร่วงหล่น จะสลายตัวกลายเป็นธาตุอาหารอันอุดมสมบูรณ์สำหรับการดำรงอยู่ของสัตว์น้ำนานาชนิด เพื่อเติบโตกลายเป็นอาหารอันโอชะของมนุษย์ต่อไป

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงไม้

ระบบนิเวศของป่าชายเลนถูกกำหนดด้วยการขึ้นลงของน้ำทะเล ชาวบ้านจะช่วยกันปลูกป่าเพื่อนำต้นไม้มาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันและหารายได้เลี้ยงครอบครัว เช่น เผาไม้โกงกางเพื่อทำเป็นฟืนและถ่านที่มีคุณภาพดี ใช้ไม้สร้างที่อยู่อาศัย ทำเครื่องใช้ในครัวเรือน และเครื่องมือทำประมง เป็นต้น

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงยา

วิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าชายเลน ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้จากรากเหง้าแห่งภูมิปัญญาการรักษาโรคอย่างมีประสิทธิภาพจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นต่อไป ด้วยคุณค่าทางสมุนไพรของพันธุ์ไม้เกือบทุกชนิดในป่าชายเลน อาทิ เหงือกปลาหมอดอกม่วง มีสรรพคุณแก้โรคมะเร็ง โรคหืดหอบ วัณโรค และอัมพาต เป็นต้น

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงบำบัดน้ำเสีย

รากที่สลับซับซ้อนและหนาแน่นคล้าย "ตะแกรง" ของพันธุ์ไม้ป่าชายเลน มีศักยภาพสูงในการดูดซับสารพิษ และเก็บกักตะกอน กลั่นกรองขยะ สิ่งปฏิกูลของเสียต่างๆ ที่มาจากพื้นบก อันเนื่องมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เป็นการลดมลภาวะทางน้ำ ส่งผลให้น้ำใสสะอาด

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงฟอกอากาศ

ท่ามกลางสังคมเมืองที่แออัด ทำให้เกิดมลภาวะทางอากาศเพิ่มขึ้น หลายคนไขว่คว้าหาอากาศบริสุทธิ์ ป่าชายเลนจึงเป็นสวรรค์สำหรับคนเมือง เพราะช่วยฟอกอากาศ สร้างความสดชื่นแก่ทุกคน ท่ามกลางกระแสน้ำขึ้น น้ำลง ความโดดเด่นงดงามอย่างมหัศจรรย์ของพันธุ์ไม้ และเสียงกู่ร้องบรรเลงของสัตว์นานาชนิด

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงเรียนธรรมชาติ

การศึกษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของป่าชายเลน เปรียบเสมือนได้ท่องสำรวจในห้องสมุดขนาดใหญ่ อางค์ประกอบและเรื่องราวสรรพสิ่งต่างๆ ในป่าชายเลน ล้วนมีคุณค่าควรแก่การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับระบบนิเวศชายฝั่ง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดอาหารโปรตีนที่สำคัญของโลก รวมทั้งวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อยู่ร่วมกับป่าชายเลนได้อย่างมีความสุข

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนกำแพงธรรมชาติ

รากของพันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่โผล่ขึ้นมาแผ่กว้างเหนือดิน และหยั่งลึกลงใต้ดิน ช่วยยึดเกาะดินไว้ไม่ให้พังทลาย ป่าชายเลนที่ขึ้นเป็นแนวเขตบริเวณชายฝั่งทะเลจึงทำหน้าที่เหมือนเขื่อนหรือกำแพงธรรมชาติที่คอยปะทะพายุและคลื่นลมทะเล ช่วยปกป้องบ้านเรือนและทรัพย์สินของมนุษย์ไม่ให้เสียหาย

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำ

ชาวประมงส่วนใหญ่เริ่มต้นกิจวัตรประจำวันด้วยการเก็บเกี่ยวทรัพยากรจากป่าชายเลน ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หอย ปู ปลา หรือสัตว์น้ำอื่นๆ พวกเขาสำนึกในคุณค่าของป่าชายเลนว่าเป็นโรงผลิตอาหารทะเลหรืออู่ข้าวอู่น้ำ ทำให้พวกเขามีอาหารดีๆ รับประทาน และแบ่งขายได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องลงทุน

การฟื้นฟูป่าชายเลนโดยธรรมชาติ

การเริ่มต้นชีวิตใหม่ของป่าชายเลน ไม่จำเป็นต้องหาซื้อเมล็ดพันธุ์ หรือต้นกล้ามาปลูกแต่อย่างใด ด้วยกลไกการปรับตัวให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมได้ เมล็ดลักษณะพิเศษของพืชป่าชายเลน เช่น โกงกาง เป็นฝักแหลมยาว เมื่อแก่จึงหล่นจากต้น และปักบนดินที่อ่อนนุ่ม พร้อมที่จะเจริญเติบโตเป็นต้นไม่ใหญ่ต่อไปโดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์

นี่คือบทเรียนที่ได้รับจากภัยพิบัติครั้งนี้ที่มนุษย์ได้ทำลายธรรมชาติ ระบบนิเวศก่อนหน้านี้แต่คนไทยก็ยังมีน้ำใจล้นหลามในการช่วยเพื่อนร่วมชาติ โดยไม่คำนึงชาติพันธ์และศาสนา

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นายกให้ ศอฉ.ทบทวนคำสั่งห้ามจำหน่ายสินค้าระหว่างชุมนุม

Posted: 20 Nov 2010 08:42 AM PST

นายกรัฐมนตรีเตรียมหารือ ศอฉ.ให้ทบทวนคำสั่งห้ามจำหน่ายสินค้าระหว่างชุมนุม ห่วงจะสร้างความเกลียดชัง แตกแยกมากขึ้น ยืนยันพร้อมยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ที่มีความสงบเรียบร้อยทันที

20 พ.ย. 53 - สำนักข่าวไทยรายงานว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินออกคำสั่งเรื่องให้เจ้า พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งยึดหรืออายัดสินค้าหรือวัตถุอื่นใดที่ ก่อให้เกิดความแตกแยกว่า เพิ่งทราบเรื่องนี้เมื่อเช้า (20 พ.ย.) ซึ่งเรื่องทำนองนี้เคยมีคนเสนอให้ตนไปฟ้องหมิ่นประมาทกับสินค้าที่เข้าข่าย แต่ก็ไม่ได้ฟ้องเพราะเห็นเป็นความผิดส่วนตัว

“ผมเข้าใจ ศอฉ.ดีว่าการออกคำสั่งดังกล่าว เพราะเกรงว่าจะมีเรื่องการหมิ่นสถาบัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเข้มงวดกวดขัน แต่เรื่องคำสั่งเกี่ยวกับสินค้าที่ออกไป จะนำไปสู่ความแตกแยกมากขึ้น เพราะไปกระทบกระเทือนสิทธิจึงอยากให้ทบทวนคำสั่งดังกล่าว ผมจะคุยกับ ศอฉ.และดูที่มาที่ไปและรายละเอียดของคำสั่ง ผมไม่ได้อยู่ในศอฉ. จึงไม่รู้ว่ามีคำสั่งนี้ออกมา แต่ก็คงต้องนำคำสั่งมาทบทวนและอยากให้ ศอฉ.มองไกลกว่านี้ เพราะเมื่อเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คำสั่งพวกนี้ก็ไม่มีผลอยู่แล้ว จึงอยากให้ดูว่าเส้นแบ่งระหว่างการใช้สิทธิเสรีภาพกับการทำให้เกิดความ เกลียดชังอยู่ตรงจุดไหน ต้องหาความพอดีตรงนี้ คงต้องคุยกันว่าจะหาทางปรับปรุงอย่างไรให้เหมาะสม ไม่ให้เป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง ขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายว่าไม่ควรกระทำสิ่งใดที่จะนำไปสู่ความไม่สงบหรือ สร้างความเกลียดชังต่อกัน หากละเว้นได้ก็จะเป็นประโยชน์”นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะดูภาพรวมว่า สถานการณ์มีความสงบเรียบร้อยหรือไม่ ถ้าเรียบร้อยก็จะยกเลิก ต้องดูภาพรวมเป็นสำคัยและขณะนี้ถือว่าสถานการณ์ดีขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้ เงื่อนไขของการชุมนุมทั้งของคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงไม่ใช่เหตุผลหลักของ การใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

ที่มาข่าว:

นายกฯให้ศอฉ.ทบทวนคำสั่งห้ามจำหน่ายสินค้าระหว่างชุมนุม (สำนักข่าวไทย, 20-11-2553)
http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/132404.html

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศอฉ. เรียก "สุรชัย แซ่ด่าน" พบ

Posted: 20 Nov 2010 08:32 AM PST

20 พ.ย. 53 - ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่าที่บ้านเลขที่ 2/1 ซอยปิยะบุตร ถนนพัฒนาการคูขวาง ต.ในเมือง อ.เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) แกนนำกลุ่มแดงสยาม ได้มีตำรวจ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช นำหนังสือซึ่งเป็นคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อนำมอบให้กับนายสุรชัย แต่นายสุรชัยและภรรยาไม่อยู่ที่บ้าน

คนในบ้านได้แจ้งให้ทราบว่า นายสุรชัยและภรรยา เดินทางไปให้สัมภาษณ์ความคิดเห็นและวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองเป็นการ อัดเทปรายการโทรทัศน์ ที่สตูดิโอภาคใต้ ของเอเชียอัพเดท เพื่อออกอากาศรายการดังกล่าวผ่านดาวเทียมไทยคม 2 ตำรวจจึงเดินทางออกจากบ้านดังกล่าว ไปยังสตูดิโอภาคใต้ของเอเชียอัพเดท ซึ่งตั้งอยู่ที่อาคารพาณิชย์เลขที่ 6/35 หน้าโรงแรมทวินโลตัส ถนนพัฒนาการคูขวาง ต.ในเมือง อ.เมืองนครศรีธรรมราช

โดยขณะที่ตำรวจ นำหนังสือไปส่งให้ นายสุรชัย กำลังอยู่ในห้องอัดรายการ นางปราณี วัฒนานุสรณ์ อายุ 53 ปี ภรรยาของนายสุรชัย ออกรับหนังสือและเซ็นต์รับแทน โดยมีใจความโดยสรุป ให้นายสุรชัย เดินทางไปพบเจ้าหน้าที่ของ ศอฉ. ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2553 เวลา 10.00 น. ที่หอประชุมกองทัพบก

ภายหลังเสร็จ จากการอัดเทปรายการ นายสุชัย กล่าวว่า ไม่ได้ตกอกตกใจอะไรกับหนังสือคำสั่งดังกล่าว เพราะตนไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย คนอื่นๆอีกหลายคนก็ถูกสั่งให้ไปพบเจ้าหน้าที่ ศอฉ. เมื่อเป็นคำสั่งก็ต้องเดินทางไป แต่เขาไม่ได้แจ้งรายละเอียดถึงเรื่องที่จะให้ไปพบว่าเป็นเรื่องอะไร แต่จากการคาดเดาและคาดการณ์ของตน อาจเป็นเรื่องของขบวนการล้มเจ้า ได้ข่าวว่ามีรายชื่อตนไปเกี่ยวข้องเกี่ยวพัน ว่าเป็นที่ปรึกษาของขบวนการล้มเจ้า ความจริงมีการตรวจสอบไปครั้งหนึ่งแล้ว ว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตนจึงเชื่อว่า ศอฉ.อาจเรียกตนไปเพื่อแก้เกี้ยวก็อาจเป็นได้ เพราะตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรกันแล้ว ไม่มีอะไรทำ หรืออาจจะทำตามหน้าที่ของพวกเขาก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน ต้องคอยดูกันต่อไป นายสุรชัย กล่าวอย่างฉุนกึก หลังอ่านข้อความในคำสั่งจบลง

ที่มาข่าว:

ศอฉ. เรียก "สุรชัย แซ่ด่าน" พบ (ไทยรัฐออนไลน์, 20-11-2553)
http://www.thairath.co.th/content/pol/128454

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กวีประชาไท: ชมเชยฮูบปั้นหล่อเจ้าอะนุวง

Posted: 20 Nov 2010 08:22 AM PST

ทอดแขนชี้ลงสู่เบื้องน้ำแม่ของ
อะโหสิลบโสกหมองพะยาบาด
ตายยากแสน ท่ละมานการฮวมชาด
สงคามเพื่อเอกะลาดปดป่อยลาว

อะโหสิเดลัดสานหมู่ช้างม้า
คบเลี้ยวกินชิ้นมังสาข้าพะเจ้า
เฮือล่องของหลายเติบนำหัวลาวเฮา
ไผจุดเผานะคอนหลวงเวียงจัน

สุดอาลัย พะแก้วพากหอพะ
แต่ก่จะอดไจย่างอึดกั้น
ส้างสามิดคตะพาบไหม่ฮ่วมกัน
ข้ามก่ายความคัดง้างบั้นตะกี้

เพื่อนำพา สากนสู่สะไหมไหม่
ลึกสึ้งไกกว้างกะแสแผ่ฮังสี
อินดูจีนแจ้งขะหยายมั่นไมตี
สามักคีพูมิพากสู่ฮักแพง

เจ้าอะนุวง มื้อนี้ยืนตะหง่าน
ตอกย้ำพีละกำอาดหานเพิ้นก้าแก่น
โฮมดินดอนต้อนเหย้าพิกพื้นแดน
ลาวอิดสะหละแม่นปึกแผ่นสิวิไล
 

บทกวีโดย บัวละพา  ไชยะวาปี
ในกานโอกาสสะเหลิมสะหลองฮูบปั้นหล่อเจ้าอะนุวง
ชมเชยกานส้างตั้งนะคอนหลวงเวียงจัน 450 ปี
ชมเชยวันปดป่อยและส้างตั้ง สปป.ลาว คบฮอบ 35 ปี

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แถลงการณ์สมัชชาสังคมก้าวหน้า จี้รัฐปล่อยนักโทษการเมือง

Posted: 20 Nov 2010 08:13 AM PST

เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 53 ที่ผ่านมา กลุ่มสมัชชาสังคมก้าวหน้าได้ออกแถลงการณ์ “ไม่มีความยุติธรรม ไม่มีทางสงบสุข ต้องปล่อยนักโทษการเมืองทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไข” โดยมีรายละเอียดดังนี้


 

 แถลงการณ์
ไม่มีความยุติธรรม ไม่มีทางสงบสุข
ต้องปล่อยนักโทษการเมืองทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไข

เราประชาชนผู้รักความเป็นธรรม มาชุมนุมที่หน้าเรือนจำคลองเปรมแห่งนี้ เพื่อยืนยันว่าเราไม่ทอดทิ้งเพื่อนๆ เสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตย ที่ตกเป็นเหยื่อของอำมาตย์และกลายเป็นนักโทษทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนักโทษแกนนำ นักโทษประชาชนที่ติดคุกอยู่ต่างจังหวัด หรือนักโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

เสื้อแดงเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของประชาชนรากหญ้าเพื่อประชาธิปไตยอันเป็น การต่อสู้เพื่อสิทธิในการแสดงออกทางการเมือง เสรีภาพ ความเสมอภาค 1คน 1 เสียง มาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล รวมทั้งต้องการปฏิรูประบบยุติธรรมอย่างถอนรากถอนโคน เนื่องจากเราเจ็บปวดจากการถูกดูถูกเหยียดหยาม ถูกเลือกปฏิบัติ ปิดกั้น กีดกัน ใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งเป็นการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของพวกเรา ไม่ให้มีสิทธิมีเสียงและมีอำนาจในการตัดสินใจใดๆ ตามระบอบประชาธิปไตย

เราขอยืนยันว่าประเทศไทยจะไม่มีวันมีประชาธิปไตยและความยุติธรรม ตราบใดที่ยังมีนักโทษการเมือง และถ้าสังคมเราไม่มีประชาธิปไตยและความยุติธรรม สังคมไทยจะไม่มีวันสงบสุข และจะยังคงจมอยู่ในวงจรอาชญากรรมของรัฐแบบเรื้อรังนี้ต่อไป

ดังนั้นเพื่อสร้างความสงบสุขในสังคมไทย สมัชชาสังคมก้าวหน้าขอเรียกร้องให้รัฐบาลกระทำตามข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

1. ปล่อยนักโทษการเมืองเสื้อแดงทุกคนทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข
2. ยกเลิกกฎหมายเผด็จการทุกฉบับ ได้แก่ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ กฎอัยการศึก กฎหมายคอมพิวเตอร์ฯ และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
3. หยุดการปิดกั้นสื่อทุกชนิด เพื่อให้ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงออก
4. ทหารที่สั่งฆ่าประชาชนต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง และนำมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม
5. รัฐบาลนี้ต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบที่ก่อให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บสูญหายในเหตุการณ์เมษายนและพฤษภาคม 2553

สมัชชาสังคมก้าวหน้า
19 พ.ย. 53 หน้าเรือนจำคลองเปรม


 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นายกรัฐมนตรีเผยพูดถึงปัญหาตั้งครรภ์ไม่พร้อมมาตั้งแต่ปีก่อนแล้ว

Posted: 20 Nov 2010 05:52 AM PST

มาร์คเตรียมให้ พม. รณรงค์ทำความเข้าใจและสร้างค่านิยมที่ถูกต้องให้กับกลุ่มเสี่ยงที่ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม พร้อมทั้งเข้มงวดกวดขันสถานพยาบาลและคลีนิคต่างๆ

ศูนย์สื่อทำเนียบรัฐบาล รายงานวันนี้ (20 พ.ย.) ว่า เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ศูนย์อาชีวเวชศาสตร์ และเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม จังหวัดระยอง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีปัญหาซากเด็กทารกเป็นจำนวนมากที่วัดไผ่เงิน ว่า  ตน พูดถึงปัญหาการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมมาตั้งแต่ปีที่แล้ว  และได้พยายามให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงาน หลักในการรณรงค์ทำความเข้าใจและสร้างค่านิยมที่ถูกต้อง ซึ่งมีการดำเนินการมาโดยตลอด

แต่เราต้องยอมรับว่าเป็นปัญหาที่ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนค่านิยม  อีกทั้งเราต้องพยายามต้องเดินหน้ารณรงค์ในเชิงรุกมากขึ้นให้เข้าถึงกลุ่ม เสี่ยงจริง ๆ ควบคู่กับการเข้มงวดกวดขันสถานพยาบาลและคลีนิคต่าง ๆ    ส่วนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตนเห็นว่าไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเพราะมีความยืดหยุ่นพอสมควร

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ทำไมสตรีไทยต้องมีสิทธิทำแท้งเสรี

Posted: 20 Nov 2010 05:11 AM PST

สิทธิของสตรีที่จะควบคุมร่างกายตนเอง โดยไม่มีนักการเมือง พระ ผู้พิพากษา หรือพวกอนุรักษ์นิยมหัวไดโนเสาร์ มาควบคุม เป็นสิทธิมนุษยชนหรือสิทธิพลเมืองพื้นฐาน “สิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกาย” นี้ หมายถึงสิทธิที่จะตั้งท้องหรือไม่ และสิทธิที่จะยุติการตั้งท้องถ้าไม่พร้อม สิทธิในการทำแท้งอย่างปลอดภัยนั้นเอง

พวกที่อ้าง “ศีลธรรม” เพื่อนำความคิดของตนเอง มาบังคับใช้กับคนอื่น โดยสนับสนุนกฎหมายห้ามทำแท้งอย่างที่มีอยู่ในไทยในปัจจุบัน เป็นพวกที่ใช้เผด็จการเพื่อกดขี่คนอื่น เพราะถ้าคุณเป็นสตรีที่ไม่เห็นด้วยกับการทำแท้งคุณก็ไม่ต้องทำ แต่คุณไม่มีสิทธิ์เหนือร่างกายผู้หญิงคนอื่นที่คิดต่าง ถ้าคุณเป็นผู้ชายคุณมีสิทธิ์พูดและคิด แต่ไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งสิ้นในการสนับสนุนการบังคับผู้หญิงไม่ให้ทำแท้ง คนที่อยากเผด็จการกับร่างกายสตรี เป็นพวกที่นิยมระบบทาส เพราะการใช้อำนาจเหนือร่างกายผู้อื่นคือระบบทาส

 พวกที่อ้าง “ศีลธรรม” ในการห้ามทำแท้ง เป็นพวกสองมาตรฐาน เพราะเน้น “สิทธิจอมปลอมของทารกที่ยังไม่เกิด” เหนือ “สิทธิแม่” แต่ยิ่งกว่านั้นพวกนี้เป็นคนที่ให้ความชอบทำกับการมีกองทัพเพื่อฆ่าคน และให้ความชอบธรรมกับการฆ่าคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ นอกจากนี้พวกที่คัดค้านการทำแท้งมักจะสนับสนุนโทษประหารชีวิต

หัวหอกในการจำกัดสิทธิสตรีไทยในการทำแท้งคือ จำลอง ศรีเมือง ที่เป็นหัวหน้าแก๊งพันธมิตรฯ จำลอง คนนี้เคยเป็นทหารรับจ้างเพื่อฆ่าคนในลาว เป็นคนที่มีส่วนในเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา และเป็นคนที่เคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พรรคพวกของเขามองว่าพลเมืองไทยมี “ประชาธิปไตยมากเกินไป”

สิทธิการทำแท้งเป็นเรื่องชนชั้น เพราะในขณะที่คนจนหรือกรรมาชีพในโรงงานต้องเสี่ยงกับการทำแท้งอย่างไม่ปลอดภัยในสถานที่เถื่อน หรือเสี่ยงกับการติดหนี้มหาศาลเพื่อไปทำแท้งในคลินิก คนรวยและลูกสาวของครอบครัวชั้นสูง สามารถใช้เงินซื้อการทำแท้งปลอดภัยในไทยหรือในต่างประเทศ และเขาทำเป็นประจำ

พวกอนุรักษ์นิยมเสื้อเหลืองโกหกว่าการทำแท้งกับการมีเพศสัมพันธ์แบบ “สำส่อน” เกี่ยวโยงกัน แต่เราต้องเปิดเผยความจริงว่าสตรีส่วนใหญ่ที่เลือกทำแท้งในไทยและที่อื่น เป็นคนที่มีคู่ถาวร จำนวนมากมีลูกแล้วด้วย แต่จุดร่วมคือไม่พร้อมจะตั้งท้อง ยิ่งกว่านั้นพวกเสื้อเหลืองอนุรักษ์นิยมเป็นพวกที่คัดค้านการให้เพศศึกษากับวัยรุ่น และคัดค้านการตั้งเครื่องขายถุงยางในห้องน้ำมหาวิทยาลัยและที่อื่นๆ ที่วัยรุ่นใช้ พวกเสื้อเหลืองอนุรักษ์นิยมมองด้วยความผิดเพี้ยน ว่าการมี sex หรือเพศสัมพันธ์คือ “สิ่งสกปรก” เพราะเขาเองทำให้สกปรกเองผ่านการซื้อขายเพศ การถ่ายภาพแล้วไปปล่อยตามอินเตอร์เน็ท หรือการเอาเปรียบบังคับเด็กๆ แต่การมีเพศสัมพันธ์อย่างเท่าเทียมกันและสมัครใจ ระหว่างวัยรุ่นกันเอง หรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่ เป็นสิ่งงดงาม

กฎหมายห้ามทำแท้งของไทย ที่รัฐอำมาตย์บังคับใช้มานาน เป็นการกดขี่สตรีภายใต้สองมาตรฐานของศีลธรรม และเป็นสิ่งที่บังคับให้สตรีไทยต้องไปเสี่ยงกับความอันตราย

การจำกัดสิทธิของผู้หญิงที่จะเลือกทำแท้ง เป็นผลจากความคิดจารีตเรื่องครอบครัว ที่พยายามควบคุมแง่ต่างๆ ของเพศสัมพันธ์ในสังคม ความคิดอนุรักษ์นิยมมองว่าชายกับหญิง แต่โดยเฉพาะผู้หญิง ต้องแต่งงานก่อนมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งหมายความว่าการมีเพศสัมพันธ์มีเพื่อมีลูกเป็นหลัก และผู้หญิงจะมีบทบาทหลักในการดูแลลูกภายใต้กรอบจารีตของครอบครัวทุนนิยม การที่ผู้หญิงจะมีเพศสัมพันธ์ตามความต้องการทางเพศธรรมชาติ ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ “ผิดอับอายขายหน้า” ดังนั้นการป้องกันตัวเองจากการตั้งครรภ์ด้วยการคุมกำเนิด ย่อมเป็นสิ่งต้องห้ามในวัยรุ่นที่ยังไม่แต่งงาน และการทำแท้งถูกทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามเช่นกัน แต่คาดว่าในประวัติศาสตร์ ยุคก่อนการค้นพบวิธีคุมกำเนิด การทำแท้งเป็นวิธีการปกติของผู้หญิงไทยในการจำกัดจำนวนบุตร

เราต้องมองว่าประเด็นหลักของพวกที่คัดค้านการทำแท้งไม่ใช่ศาสนาหรือศีลธรรม ทั้งๆ ที่ถูกอ้างมาตลอด ประเด็นหลักคือการพยายามควบคุมผู้หญิงและเพศสัมพันธ์

ในประเทศที่รัฐบาลส่งเสริมสุขภาพของพลเมือง หรือในประเทศที่รัฐถูกกดดันโดยขบวนการสิทธิสตรี เริ่มมีการยอมรับสิทธิในการเลือกทำแท้งเสรี ตัวอย่างที่ดีคือประเทศยุโรปตะวันตกที่มีรัฐสวัสดิการ

ถ้าพิจารณาประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะพบว่ามีแค่สองประเทศเท่านั้นที่ยอมให้ผู้หญิงมีสิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกายตนเอง โดยยอมให้มีสิทธิทำแท้งเสรี สองประเทศนั้นคือสิงคโปร์ และเวียดนาม

ในประเทศสิงคโปร์ก่อนปี ค.ศ. 1969 การทำแท้งเป็นเรื่องผิดกฎหมายตามกฎหมายที่เป็นมรดกจากยุคอาณานิคมอังกฤษ แต่ตั้งแต่ 1969 เป็นต้นไปมีการเสนอให้เปิดเสรีมากขึ้นในเรื่องทำแท้ง จนในปี 1974 มีการอนุญาตให้เลือกทำแท้งได้ สาเหตุหลักที่มีการเปลี่ยนกฎหมายคือประเด็นเรื่องความปลอดภัยสำหรับผู้หญิง รัฐบาลสิงคโปร์เข้าใจว่าการห้ามทำแท้ง ไม่ได้ยับยั้งการทำแท้งอย่างแท้จริง เพราะเพียงแต่บังคับให้คนไปทำแท้งในสถานที่อันตรายและผิดกฎหมายที่ไม่มีแพทย์ให้บริการ และบ่อยครั้งผู้ที่เป็นหัวหอกในการเสนอให้ทำแท้งเสรี คือหมอที่เคยต้องรักษาผู้หญิงที่มีปัญหาจากการทำแท้งเถื่อน คาดว่าอัตราการทำแท้งในปี 1996 เท่ากับ 15.9 ครั้ง ต่อประชากรผู้หญิงทุก 1,000 คน ซึ่งต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของเอเชีย

อย่างไรก็ตาม ในปี 1987 รัฐบาลสิงคโปร์เริ่มเปลี่ยนนโยบายไปสู่แนวจารีตอีกครั้ง เมื่อออกกฎหมายบังคับให้สตรีต้องไปปรึกษานักจิตวิทยาก่อนตัดสินทำแท้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งในใจกลางสังคมทุนนิยม ที่ไม่เคยหายไป

ในประเทศเวียดนาม ในยุคอาณานิคมฝรั่งเศส การทำแท้งถือว่าผิดกฎหมาย แต่หลังจากที่เวียดนามเหนือได้รับเอกราชผ่านการต่อสู้กับฝรั่งเศส สตรีมีสิทธิเลือกทำแท้งตั้งแต่ทศวรรษที่ 60 เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญกับสิทธิเจริญพันธ์และสุขภาพของผู้หญิง แต่ในเวียดนามใต้ ซึ่งเป็นรัฐบาลเผด็จการทหารในค่าย “โลกเสรี” ของสหรัฐอเมริกา ไม่มีการเปิดโอกาสให้สตรีมีสิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกายแต่อย่างใด ต่อมาเมื่อคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะและรวมชาติในปี 1975 มีการขยายสิทธิทำแท้งไปทั่วประเทศ

นอกจากผู้หญิงจะมีสิทธิ์ทำแท้งแล้ว ในช่วงแรกหลัง 1975 มีการพัฒนาการบริการของรัฐในเรื่องสุขภาพอนามัยสำหรับสตรี ซึ่งรวมถึงการบริการในด้านการคุมกำเนิดอีกด้วย และกฎหมายคุ้มครองสุขภาพอนามัยของประชาชนปี 1989 เน้นว่าผู้หญิงมีสิทธิที่จะเลือกทำแท้ง และได้รับการบริการในทุกด้านที่เกี่ยวกับสุขภาพสตรี ในขณะเดียวกันมีการห้ามทำแท้งหรือติดอุปกรณ์คุมกำเนิดในสถานที่ที่ไม่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐ บ่อยครั้งพนักงานภาครัฐและคนจนสามารถได้รับบริการทำแท้งและการรักษาสุขภาพอื่นๆ โดยไม่คิดค่าบริการ และที่สำคัญคือ ในปี 1991 มีการออกกฎระเบียบให้ผู้หญิงลางานเพื่อทำแท้ง ซึ่งเป็นประเด็นที่มักถูกมองข้าม

กรณีเวียดนาม ที่มีเสรีภาพในการทำแท้ง เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เพราะเวียดนามเป็นประเทศที่ค่อนข้างจะยากจนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สถานภาพของผู้หญิงในเรื่องสุขภาพเจริญพันธ์ค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับประเทศไทย

จากการสำรวจความเห็นและประสบการณ์ของพนักงานสาธารณะสุขในหลายประเทศของเอเชีย [ดู Susheela Singh, Deirdre Wulf และ Heidi Jones (1997) ในหนังสือ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเด็นถกเถียงทางการเมือง” ของ ใจ อึ๊งภากรณ์ ๒๕๕๓] ค้นพบว่าผู้หญิงในทุกประเทศจะไปทำแท้ง ไม่ว่าจะถูกหรือผิดกฎหมาย อัตราการทำแท้งเฉลี่ยในเอเชียคือ 3% ของประชากรต่อปี หรือการทำแท้งทั้งหมด 4.2 ล้านกรณีต่อปี ซึ่งในตัวเลขดังกล่าวมีอัตราการทำแท้งผิดกฎหมาย 3 ล้านรายต่อปี

ในประเทศที่มีสิทธิ์ทำแท้งเสรี ผู้หญิงจะสามารถทำแท้งในโรงพยาบาลที่มีมาตรฐาน ซึ่งสร้างความปลอดภัยกับผู้หญิง ส่วนในประเทศที่การทำแท้งเป็นเรื่องผิดกกหมาย อย่างประเทศไทย ผู้หญิงต้องไปเสี่ยงกับการทำแท้งเถื่อนที่อันตรายต่อชีวิต สำหรับผู้หญิงที่มีรายได้สูง เขาสามารถใช้เงินเพื่อซื้อความปลอดภัยในการทำแท้งได้ แม้แต่ในประเทศที่ห้ามทำแท้ง ดังนั้นผู้ที่เสี่ยงภัยมากที่สุดคือผู้หญิงยากจน โดยเฉพาะในชนบท ในกลุ่มผู้หญิงที่ไปทำแท้งเถื่อน ประมาณ หนึ่งในสาม เกิดปัญหาสุขภาพ และประมาณครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้ต้องเข้าโรงพยาบาล

สรุปแล้วการทำแท้งเป็นประเด็นชนชั้นในสองมิติคือ ในมิติความคิดทางการเมือง แนวคิดจารีตเรื่องครอบครัวของทุนนิยม ที่จำกัดการทำแท้ง เป็นแนวคิดที่ให้ประโยชน์กับชนชั้นปกครอง ทั้งๆ ที่ทำให้ผู้หญิงต้องเสี่ยงภัย และในมิติรูปธรรมของการทำแท้ง คนจนมักต้องเสี่ยงภัยมากกว่าคนรวยเสมอ นี่คือสาเหตุที่เราต้องสนับสนุนสิทธิการทำแท้งเสรีสำหรับสตรีไทย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ทนายนปช.-เสื้อแดงเลย-มุกดาหาร วางดอกไม้แดงหน้าเรือนจำมุกดาหาร

Posted: 19 Nov 2010 09:47 PM PST

ทนาย นปช.คารม พลทะกลาง-เสื้อแดงเลย-มุกดาหาร วางดอกไม้แดงหน้าเรือนจำมุกดาหาร ให้กำลังใจคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัว

19 พฤศจิกายน 2553 ในโอกาสครบรอบ 6 เดือน ของการจับกุมคุมขังประชาชนด้วยข้อหาเผาศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร   นายคารม พลทะกลาง ทนาย นปช. พร้อมด้วยคนเสื้อแดงมุกดาหาร และพี่น้องเสื้อแดงที่เดินทางมาจาก จ.เลย โดยรถบัส ทั้งหมดประมาณ 120 คน ร่วมกันวางดอกไม้แดงหน้าเรือนจำมุกดาหารเพื่อเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องที่ถูกจองจำอยู่ข้างใน และเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวพวกเขาเหล่านั้น   โดยทนายคารมนำกล่าวในขณะวางดอกไม้ว่า “ขอให้กำลังพี่น้องในเรือนจำ  เราทุกคนต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย ไม่ได้ทำผิดคิดร้ายอะไร  ขอให้ได้รับอิสรภาพไวๆ” 

 

ทั้งนี้ ทั้งหมดไม่ได้เข้าเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำ เนื่องจากคนจำนวนมาก อาจเป็นเรื่องยุ่งยากของทางเรือนจำ  อย่างไรก็ตาม ทนายคารม และพี่น้องเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง ได้เขียนข้อความให้กำลังใจลงในโปสการ์ด และมอบให้ญาติส่งต่อให้แก่พี่น้องในเรือนจำ  

ในโอกาสเดียวกันนี้  คนเสื้อแดง จ.เลย นำทีมโดยลิเกดอกคูณ หรืออัชฌิมา  แสงสุวรรณ และ อ.จิราภรณ์  ฤทธิ์มนตรี  ได้นำรายได้จากการจัดคอนเสิร์ตที่ จ.เลย เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา  มามอบเพื่อเป็นการช่วยเหลือและกำลังใจให้แก่นักโทษการเมืองและครอบครัว ทั้งที่ได้รับการประกันแล้ว และยังถูกคุมขังอยู่ รวมทั้งสิ้น 27 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 54,000 บาท

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น