ประชาไท | Prachatai3.info |
- จับตาวาระ กสท.: เตรียมออกหลักปฏิบัติการประมูลคลื่นทีวีดิจิตอล
- 'เป่านกหวีด' บทความใน The Economist ฉบับที่ไม่วางจำหน่ายในไทย
- แกนนำคนงาน บ.จอร์จี้ฯ แจ้งความอีกหลังโดนแย่งแถลงการณ์ก่อนแจกเพื่อนพนักงาน
- แอลเบเนียประกาศไม่รับเป็นแหล่งกำจัดอาวุธเคมี หลังประชาชนประท้วง
- เดลินิวส์ชี้แจง ไม่เกี่ยวข้องกับการโพสต์ภาพยั่วยุ
- กลุ่มนักเรียน-เยาวชนปฏิบัติสมาธิที่ มธ. เรียกร้องคนไทยชุมนุมอย่างมีสติ
จับตาวาระ กสท.: เตรียมออกหลักปฏิบัติการประมูลคลื่นทีวีดิจิตอล Posted: 17 Nov 2013 09:11 AM PST เตรียมออกหลักปฏิบัติการประมูลคลื่นทีวีดิจิตอล เพื่อให้การประมูลเป็นธรรม โปร่งใส ด้านกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ สภาผู้แทนฯ เรียก กสทช.ชี้แจงประเด็นการจัดประมูลทีวีดิจิตอล 20 พ.ย.นี้ 17 พ.ย.2556 การประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) วันจันทร์ที่ 18 พ.ย. นี้ กสท.เตรียมออก(ร่าง)หลักปฏิบัติการประมูลคลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ ซึ่งหลักปฏิบัติที่เตรียมจะพิจารณานี้ เป็นแนวทางสำคัญของการดำเนินการประมูลให้เป็นธรรม โปร่งใส และเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดได้กำหนดหลักปฏิบัติการประมูลไว้ 6 หมวด ดังนี้ 1.การเตรียมการประมูล 2.การเข้าสู่สถานที่การจัดประมูล 3.การประมูล 4.การติดต่อสื่อสารระหว่างการประมูล 5.การประกาศและรับรองผลการประมูล 6.มาตรการรักษาความเป็นธรรม และผลประโยชน์ของรัฐในการประมูล รวมถึง ภาคผนวก ก หนังสือยินยอมเพื่อการรักษาข้อมูลสารสนเทศที่ต้องห้ามเปิดเผยและป้องกันการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และภาคผนวก ข สิ่งของและอุปกรณ์ที่อนุญาตนำเข้าห้องประมูล เป็นต้น สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. กล่าวว่า เกณฑ์นี้จะมีผลบังคับใช้ต่อผู้เข้าร่วมประมูลทุกราย ขอฝากให้ทุกบริษัทช่วยกันจับตาร่างนี้เพื่อให้ทุกเกณฑ์เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และสำนักงานควรมีการซักซ้อมสร้างความเข้าใจก่อนการประมูลจริง นอกจากนี้ ที่ประชุมเตรียมพิจารณาข้อมูลชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ตามที่ ศุภชัย ศรีหล้า ประธานคณะกรรมาธิการฯ มีหนังสือเชิญ ประธาน และกรรมการ กสทช.ทุกท่าน เข้าร่วมประชุม เพื่อสอบถามข้อมูลข้อเท็จจริงในประเด็นที่เกี่ยวกับการจัดประมูลทีวีดิจิตอล ทั้งในเรื่อง ข้อกฎหมาย หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ความแตกต่างข้อดีข้อเสียระหว่างการให้สัมปทานกับการจัดประมูลคลื่นความถี่เพื่อขอรับใบอนุญาต รวมถึงผลกระทบด้านต่างๆ ต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบกิจการ มาตรการแก้ไขและเยียวยาที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งขอข้อมูลการขอสนับสนุนเงินงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา หน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆ จาก กสทช.รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณ ตั้งแต่ปี 2553 – 2556 ขอทราบรายละเอียดงบประมาณค่าใช้จ่าย และแผนการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชน การใช้อำนาจชะลอการเปิดประมูลทีวีดิจิตอลได้หรือไม่ ข้อมูลต่างประเทศที่มีการประมูลคลื่นความถี่ทีวีดิจิตอล การจัดการคลื่นสัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม และประเด็นแนวทางการควบคุมเนื้อหารายการโทรทัศน์ที่มีการฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ในรายการที่ใช้ถ้อยคำหมิ่นประมาทหรือไม่เหมาะสม และเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม ทั้งโทรทัศน์ภาคพื้นดินและผ่านดาวเทียม สุภิญญา กล่าวถึงการที่ กสทช.ถูกตรวจสอบเป็นเรื่องการประมูล หรือการตั้งคำถามเข้ามาทั้งจากกรรมาธิการ กลุ่มต่างๆ หรือแม้แต่สหภาพฯ เป็นเรื่องที่ดี เพราะการประมูลย่อมมีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จึงเป็นหน้าที่ กสทช.ควรชี้แจง ซึ่งตนเชื่อว่าข้อมูลที่จะเตรียมหารือเพื่อเข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการ จะออกมาด้วยดี สามารถสร้างความเข้าใจในการประมูลครั้งนี้ที่ยึดตามกรอบกฎหมาย ส่วนถ้ามีข้อบกพร่องอะไรจะช่วยกันปรับปรุง แต่หากจะไม่ให้เกิดการประมูลเลยคงเป็นไปไม่ได้เพราะจะกระทบต่อทิศทางการปฏิรูปโครงสร้าง และระบบโทรทัศน์ไทย ที่เราอยากจะใช้โอกาสการประมูลครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนระบบโทรทัศน์จากระบบอะนาล็อกเป็นดิจิตอลเท่านั้น แต่ถือเป็นโอกาสสำคัญในการเปลี่ยนระบบสัมปทานกึ่งผูกขาดมาเป็นระบบใบอนุญาต ที่เปิดโอกาสตลาดให้มีการแข่งขันมากขึ้น สุดท้ายแล้วผู้บริโภคจะมีทางเลือกในการรับชมมากขึ้น อันนี้เป็นหลักสำคัญที่ กสทช.ต้องดำเนินการตามแผนแม่บทกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2555 – 2559) ซึ่งในวันพุธที่ 20 พ.ย. นี้ เวลา 10.00 น. จะเข้าร่วมชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการชุดดังกล่าว ณ ห้องประชุมหมายเลข 213 – 214 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา 2 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
'เป่านกหวีด' บทความใน The Economist ฉบับที่ไม่วางจำหน่ายในไทย Posted: 17 Nov 2013 08:31 AM PST บทความในอิโคโนมิสต์ฉบับวันที่ 16 พ.ย. ระบุว่ากลุ่ม "ชินวัตร" อาจจะมั่นใจเกินไปว่าได้ความไว้วางใจจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมแล้ว และทำเกินตัวเกินไปที่ผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมผ่านรัฐสภา แต่ก็ยากจะแพ้เลือกตั้ง และสิ่งที่ฝ่ายต้านทักษิณกลัวที่สุดก็คือการเข้าหาราชสำนักของทักษิณนั่นเอง นิตยสารรายสัปดาห์อิโคโนมิสต์ (The Economist) ซึ่งวางแผนในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2556 ในเล่มมีบทความชื่อ "เป่านกหวีด" หรือ "Blowing the whistle" มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองไทย อย่างไรก็ตามอิโคโนมิสต์ฉบับนี้ไม่มีการวางจำหน่ายในประเทศไทย ในรอบหลายปีมานี้ อิโคโนมิสต์หลายฉบับ ถูกงดจำหน่ายในประเทศไทย เช่นเมื่อปี 2554 อิโคโนมิสต์ ฉบับ 5 กุมภาพันธ์ 2554 ไม่มีการวางจำหน่าย โดยสายส่งปฏิเสธนำเข้าและจัดส่งหนังสือ "เพราะมีเนื้อหาไม่เหมาะสมกับประเทศไทย" โดยในเล่มมีรายงานข่าวเกี่ยวกับประเทศไทยในกรณีการบังคับใช้กฎหมาย "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" ในหัวข้อ "When more is less. The increasing use of lèse-majesté laws serves no one" (เมื่อยิ่งมากก็ยิ่งน้อย การใช้กฎหมายหมิ่นฯ ที่เพิ่มขึ้นไม่ควรมีใครถูกดำเนินคดี) (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) หรือในปี 2553 ผู้จัดจำหน่ายในประเทศไทย งดวางจำหน่ายอิโคโนมิสต์ฉบับวันที่ 20 มีนาคม 2553 ที่มีคำโปรยที่หน้าปกว่า "The battle for Thailand" โดยบริษัทเวิร์ล มีเดีย ผู้แทนจัดจำหน่ายในประเทศไทยระบุว่า ดิ อิโคโนมิสต์ตัดสินใจระงับการจัดจำหน่ายในประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็กล่าวว่าไม่มีคำสั่งห้ามการจัดจำหน่ายออกมาเป็นทางการ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) http://prachatai.com/journal/2010/03/28430 นอกจากนี้ในรอบปี 2551 - 2552 มีการงดวางจำหน่ายนิตยสารอิโคโนมิสต์ 4 ฉบับ ในจำนวนนี้มี 2 ครั้งที่เป็นการสั่งห้ามจำหน่ายจากตำรวจสันติบาล (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) สำหรับรายละเอียดของบทความ "เป่านกหวีด" มีรายละเอียดบางส่วน ดังต่อไปนี้ 000 เป่านกหวีด (Blowing the whistle) "อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ ชินวัตร แพ้ศึกแต่กำลังจะชนะสงคราม" ภาวะสงบศึกของการสู้รบบนท้องถนนในช่วงปี 2006-2010 ได้จบลงแล้ว ผู้ประท้วงได้กลับมาแน่นขนัดกรุงเทพฯ อีกครั้งพร้อมเสียงเป่านกหวีดที่แสบแก้วหู ในกรุงเทพฯ ซึ่งเต็มไปด้วยพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่ประชาชนเคารพนับถือแต่ทรงประชวร ขบวนการที่ดูเหมือนจะสันติในช่วงต้นเดือนนี้ ได้กลายมาเป็นสิ่งที่คุกคามการดำรงอยู่ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย การถอยของเธอที่น่าจะช่วยได้บ้าง แต่ความแตกแยกทางการเมืองกลับยิ่งดูห่างไกลกว่าที่เคยเป็นมา และเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพของไทยอีกด้วย สาเหตุของรอยร้าวดังกล่าวก็ตรงไปตรงมา ผู้มีสิทธิเลือกตั้งของไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากจนในชนบท มักเลือกตั้งรัฐบาลที่มีความภักดีต่อทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยระหว่างปี 2544-2549 ซึ่งผู้มีอำนาจ ทั้งชนชั้นนำในกรุงเทพฯ ตุลาการ ทหาร ชนชั้นสูง และศาล ทนไม่ได้เสียเลย พวกเขาไล่ทักษิณออกไปด้วยการรัฐประหารในปี 2549 ทำให้เผชิญกับข้อหาคอร์รัปชั่นหากเขาเดินทางกลับประเทศ และบริหารประเทศด้วยการโทรศัพท์มาจากดูไบ ในปี 2550 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ยังเลือกตั้งรัฐบาลที่มาจากตัวแทนของเขา และฝ่ายค้านก็หาวิธีตามกฎหมายเพื่อกำจัดรัฐบาลออกไปและตั้งรัฐบาลที่นำโดยพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมคือประชาธิปัตย์ และในปี 2554 พวกเขาก็ทำเหมือนเดิมอีกครั้ง ด้วยการเลือกน้องสาวของทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภาวะสงบศึกที่ตามมา แสดงให้เห็นถึงความยับยั้งชั่งใจจากทั้งสองฝ่าย ในท้ายที่สุด ก็ดูเหมือนว่าฝ่ายชนนั้นนำจะเข้าใจเสียทีว่าพวกเขาจำเป็นต้องยอมรับกับทักษิณ และยิ่งลักษณ์เองนั้น ในขณะที่ได้สร้างความฉันท์มิตรกับกองทัพและไม่แตะต้องอะไรที่จะกระทบกระเทือนผลประโยชน์ ก็ได้ทำให้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพถูกบังคับใช้อย่างเข้มแข็งกว่าที่เคยเป็นมา จากนั้น พี่น้องชินวัตรอาจจะมั่นใจเกินไปว่าพวกเขาได้ความไว้วางใจจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมแล้ว พวกเขาก็ทำเกินตัวไป ที่ผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่งผ่านรัฐสภา ซึ่งจะล้มล้างความผิดคดีคอร์รัปชั่นหลายพันคดี รวมถึงคดีที่เป็นวัตถุประสงค์หลักของกฎหมายนี้นั่นก็คือคดีของทักษิณด้วย และการนิรโทษเหมาเข่งก็ทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ รอดพ้นจากคดีสังหารที่พวกเขากำลังเผชิญจากเหตุการณ์การใช้กำลังสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงในปี 2553 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90 คน และทหารก็จะหลุุดพ้นจากการเกี่ยวข้องใดๆ เช่นเดียวกัน ความไม่พอใจจากการผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมดังกล่าว ทำให้ฝ่ายชนชั้นนำออกมาสู่การประท้วงบนท้องถนนอีกครั้ง บ้างก็ใส่เสื้อเหลืองแบบที่พวกเขาเคยใส่เมื่อครั้งก่อน แต่จากความผิดพลาดที่น่าประหลาดใจ การผ่านกฎหมายฉบับนี้ทำให้พรรคประชาธิปัตย์อยู่ในตำแหน่งทางศีลธรรมที่เหนือกว่าและทวีความแตกแยกระหว่างคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ จากมหาวิทยาลัยเกียวโต ใช้คำกล่าวว่า ทักษิณนั้นข้ามศพเพื่อที่จะกลับบ้าน พวกที่มองโลกในแง่ดีในพรรคประชาธิปัตย์ก็คงจะพอมองเห็นจุดจบของการครองอำนาจของทักษิณ และโอกาสในการกลับมาสู่อำนาจของประชาธิปัตย์ซึ่งบางคนมองว่าอำนาจนั้นเป็นสิทธิที่ติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยซ้ำ ซึ่งพวกเขาก็ได้ชัยชนะ ยิ่งลักษณ์สัญญาว่าจะไม่ผลักดันร่างดังกล่าวต่อหากว่าถูกปัดตกในชั้นวุฒิสภา ซึ่งเกือบครึ่งเป็น ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งมากกว่าจากการเลือกตั้ง และส.ว. ทั้งหมด 141 คนโหวตคว่ำร่างดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา ในวันเดียวกัน ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศซึ่งตัดสินข้อพิพาทระหว่างกัมพูชาเรื่องเขตแดนเรื่องเขาพระวิหารก็ได้ช่วยยิ่งลักษณ์ไว้ ฝ่ายค้านเองก็พยายามหยิบประเด็นนี้มาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล แต่คำตัดสินก็ออกมาอย่างเป็นกลางและยากที่จะทำให้ถูกตีความว่าฝ่ายไทยขายหน้า ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังคงประท้วงต่อไป ด้วยเหตุผลว่าพ.ร.บ.นิรโทษกรรมยังไม่ได้ตกไปเสียทีเดียว เพราะยิ่งลักษณ์ยังมีเวลาอีก 180 วันที่อาจจะละเมิดคำสัญญาและเสนอเข้าสู่สภาล่างใหม่อีกครั้ง ในขณะที่สุเทพและ ส.ส.ประชาธิปัตย์อีกแปดคนลาออกจากการเป็น ส.ส. เพื่อนำการประท้วง พวกเขาประกาศให้มีการนัดหยุดงานทั่วประเทศแบบเอเชียใต้เมื่อวันที่ 13 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไร อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงจุดนั้น การประท้วงก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแล้ว หากแต่พวกแกนนำการชุมนุมต้องการที่จะล้มรัฐบาล แต่ฝ่ายค้านของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องรู้ว่าเธอน่าจะชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง เสื้อแดงอาจจะไม่พอใจกับรัฐบาลที่ล้มเหลวในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือการไม่สามารถนำผู้ที่รับผิดชอบในการสลายการชุมนุมปี 2553 มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะไปหา ทักษิณ เศรษฐีพันล้านเชื้อสายไทย-จีน นับว่าเป็นผู้นำที่แปลกสำหรับผู้คนที่ไม่ได้มีเชื้อสายจีนจากภาคอีสาน แต่พวกเขาชอบนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นประชานิยม เช่น นโยบายจำนำข้าวทั้งในรัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกวิจารณ์โดยไอเอ็มเอฟ ในสองย่อหน้าสุดท้าย อิโคโนมิสต์ฟันธงว่า หากทักษิณไม่มีทางที่จะแพ้จากการเลือกตั้ง กองทัพก็ไม่น่าจะทำการรัฐประหารอีกครั้ง เพราะการทำรัฐประหารจะต้องเกี่ยวพันกับพระมหากษัตริย์ในการลงพระปรมาภิไธย ขณะเดียวกัน วันที่ 5 ธันวาคมที่จะถึงนี้ ก็จะทรงเฉลิมพระชนมพรรษาปีที่ 86 แล้ว ดิ อิโคโนมิสต์ยังได้กล่าวถึงเอกสารในวิกิลีกส์ที่เปิดผยบทสนทนาของทูตสหรัฐประจำประเทศไทยในปี 2548 ที่ระบุถึงประเด็นผู้สืบสันตติวงศ์ และท่าทีของทักษิณต่อประเด็นดังกล่าว ในย่อหน้าสุดท้าย อิโคโนมิสต์วิเคราะห์ว่า ในความเป็นจริงแล้ว ทักษิณเองก็ต้องการการยอมรับจากพระมหากษัตริย์เช่นเดียวกับนักการเมืองคนอื่นๆ เช่นกัน คงไม่มีอะไรดีสำหรับทักษิณมากกว่าการพระราชทานอภัยโทษ และสิ่งที่ทำให้ศัตรูของเขากลัว ไม่ใช่เรื่องที่เขาแอบเป็นผู้นิยมสาธารณรัฐ แต่มันคือเรื่องที่เขาอาจจะผูกมิตรกับราชสำนักซึ่งจะทำให้เครือข่ายของเขาอยู่ในอำนาจไปอีกนานหลายปี ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
แกนนำคนงาน บ.จอร์จี้ฯ แจ้งความอีกหลังโดนแย่งแถลงการณ์ก่อนแจกเพื่อนพนักงาน Posted: 17 Nov 2013 12:17 AM PST แกนนำคนงาน บ.จอร์จี้ฯ แจ้งความ หลังโดน ผจก. แย่งเอกสารแถลงการณ์สหภาพแรงงาน ที่เตรียมแจกเพื่อนพนักงาน ระบุเป็นการคุกคามการทำกิจกรรมสหภาพ เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2556 ที่ผ่านมา สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอและตัดเย็บเสื้อผ้าสัมพันธ์ ได้แจ้งข่าวกับผู้สื่อข่าวว่าในช่วงเวลาพักเที่ยงขอวันที่ 16 พ.ย. แกนนำสหภาพฯ คนหนึ่งกำลังนำเอกสารแถลงการณ์ของสหภาพแรงงาน ที่จะนำไปแจกในช่วงเลิกงานไปเก็บไว้ในล๊อกเกอร์ ได้ถูกผู้บังคับบัญชาระดับเมเนเจอร์คนหนึ่งได้เข้ามาขอดูเอกสารและยื้อแย่งเอกสารจากแกนนำสหภาพแรงงาน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มคนงานเป็นอย่างมาก โดยหลังเลิกงานแกนนำสหภาพแรงงาน จึงได้เข้าแจ้งความที่ สภอ. สันกำแพง และคนงานได้มีการรวมตัวกันหน้าโรงงานเพื่อฟังผลการชี้แจงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากสหภาพแรงงาน ซึ่งตัวแทนสหภาพแรงงานระบุว่าการกระทำนี้ถือว่าเป็นการคุกคามการทำกิจกรรมของสหภาพแรงงาน
อนึ่งอนึ่งเมื่อวันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมาเจรจากับตัวแทนนายจ้างครั้งที่ 6 โดยนายจ้างส่งผู้จัดการโรงงานชื่อ สตีฟ เข้าเจรจา แต่ผลการเจรจายังไม่คืบหน้านายจ้างยังยันคำเดิมว่าจะรับข้อเสนอทั้งหกข้อก่อนหน้านี้ แต่ประเด็นข้อเรียกร้องเรื่อง การจ่ายเงินให้พนักงานรายชิ้นที่ทำได้จริงไม่ต่ำกว่า 310 บาท และโบนัส บริษัทยังคงยืนยันที่จะพิจารณาในปีหน้า โดยในวันอังคารนี้ (19 พ.ย.) นี้ทั้งสองฝ่ายจะมีการพูดคุยกันอีกครั้งหนึ่ง ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
แอลเบเนียประกาศไม่รับเป็นแหล่งกำจัดอาวุธเคมี หลังประชาชนประท้วง Posted: 16 Nov 2013 09:13 PM PST รัฐบาลแอลเบเนียปฏิเสธคำร้องขอจากสหรัฐฯ ไม่ยอมให้ใช้ประเทศเป็นแหล่งทำลายอาวุธเคมี หลังจากมีการประท้วงในช่วงที่ยังเจรจากันอยู่ ทำให้สหรัฐฯ และรัสเซียซึ่งทำข้อตกลงกำจัดอาวุธเคมีต้องหาแหล่งกำจัดใหม่ 16 พ.ย. 2556 สาธารณรัฐแอลเบเนียตัดสินใจไม่อนุญาตให้มีการนำอาวุธเคมีจากซีเรียเข้ามาทำลายภายในประเทศ หลังจากที่มีประชาชนประท้วงในเมืองหลวงกรุงติรานาและในเมืองอื่นๆ ก่อนหน้านี้สหรัฐเมริการ้องขอให้แอลเบเนียเป็นแหล่งทำลายอาวุธเคมีในซีเรีย จากที่ก่อนหน้านี้ไม่นานแอลเบเนียเองก็ได้ทำลายอาวุธเคมีที่มีอยู่ในครอบครอง โดยการเจรจาเริ่มตึงเครียดในช่วงที่ใกล้ครบกำหนดเส้นตายการออกแผนการทำลายอาวุธเคมีจำนวน 1,300 ตันของซีเรียเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ประชาชนชาวแอลเบเนียหลายร้อยคนได้ออกมาชุมนุมตั้งแต่ช่วงเช้าของวันครบกำหนดเส้นตายเพื่อเรียกร้องไม่ให้รัฐบาลแอลเบเนียยอมรับข้อตกลงให้ประเทศเป็นแหล่งทำลายอาวุธเคมี ก่อนที่ต่อมารัฐบาลแอลเบเนียประกาศว่าพวกเขาไม่ให้มีปฏิบัติการทำลายอาวุธเคมีของซีเรียในประเทศตน นายกรัฐมนตรี เอดี รามา ประกาศผ่านรายการโทรทัศน์ภายในประเทศว่า เป็นไปไม่ได้ที่แอลเบเนียจะเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีสมรรถภาพมากพอ สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงติรานากล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ยอมรับการตัดสินใจของแอลเบเนีย โดยจะมีการดำเนินการกับกลุ่มประเทศพันธมิตร องค์การห้ามอาวุธเคมี และสหประชาชาติ เพื่อเดินหน้ากำจัดอาวุธเคมีของซีเรียต่อไป โดยในตอนนี้ทางการสหรัฐฯ ยังไม่ได้ตัดสินใจแน่ชัดว่าจะให้ที่ใดเป็นแหล่งจำกัดอาวุธเคมีต่อไป หลังจากการประชุมขององค์การห้ามอาวุธเคมีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีการกำหนดการเคลื่อนย้ายอาวุธเคมีทั้งหมดในซีเรียออกจากอาณาเขตประเทศภายในวันที่ 5 ก.พ. 2557 และให้วัตถุผลิตอาวุธเคมีทุกชนิดถูกทำลายภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2557 โดยประเทศนอร์เวย์ได้ให้สัญญาว่าจะส่งเรือบรรทุกและเรือรบเพื่อช่วยขนย้ายอาวุธเคมีจากซีเรีย แต่นอร์เวย์เองไม่ยอมรับให้มีการทำลายอาวุธเคมีในประเทศตนเพราะขาดความเชี่ยวชาญ เหตุการณ์อาวุธเคมีในซีเรียได้รับความสนใจจากนานาชาติหลังเกิดเหตุการณ์โจมตีที่เขตกูตาในกรุงดามาสกัสเมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่ซีเรียยังอยู่ในภาวะสงครามกลางเมือง เป็นเหตุให้มีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก
เรียบเรียงจาก OPCW: Albania rejects US request to host destruction of Syrian chemical weapons, the Independent, 16-11-2013 Albania shuns Syria chemical weapons destruction, BBC, 15-11-2013 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
เดลินิวส์ชี้แจง ไม่เกี่ยวข้องกับการโพสต์ภาพยั่วยุ Posted: 16 Nov 2013 08:35 PM PST กองบรรณาธิการเดลินิวส์ ออนไลน์ ชี้แจงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่มีผู้คัดลอกหน้าข่าวในเดลินิวส์ และใส่ข้อความเพิ่มเติมในลักษณะยั่วยุ แล้วนำไปเผยแพร่ในเฟซบุ๊กของกองบัญชาการตำรวจนครบาล และมีการส่งต่อในสื่อออนไลน์ 17 พ.ย. 2556 - เมื่อเวลา 21.37 น. วานนี้ (16 พ.ย.) เดลินิวส์ได้รายงานข่าวชี้แจง โดยพาดหัวข่าวว่า "เดลินิวส์ แจงไม่เกี่ยวข้องมือดีโพสต์ภาพยั่วยุ" พาดหัวรองว่า "กองบรรณาธิการเดลินิวส์ออนไลน์ ย้ำชัดโดนก๊อปปี้หน้าเว็บไซต์ข่าวนี้ไปใส่ข้อความเพิ่ม ทำให้เสียหายและอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้" โดยเป็นการชี้แจงหลังมีผู้คัดลอกหน้าข่าวจากเดลินิวส์ และใส่ข้อความเพิ่มเติมในลักษณะยั่วยุ เผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ต่างๆ สำหรับรายละเอียดการชี้แจงระบุว่า "เดลินิวส์ออนไลน์ นำเสนอข่าว ม็อบราชดำเนินเดือดไล่ตีตำรวจ โดยมีเนื้อหาระบุว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ย.กลุ่มผู้ชุมนุมเครือข่ายนักศึกษา ประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท. ) เคลื่อนขบวนออกจากพื้นที่ชุมนุมบริเวณ หน้ากองทัพบก เพื่อรณรงค์ ติดธงชาติที่ด่านตำรวจ ในพื้นที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อรณรงค์ให้ทุกฝ่ายมีสำนึกรักชาติ โดยเริ่มผูกธงชาติที่ด่านมัฆวาน เป็นด่านแรก แต่เมื่อขบวนเคลื่อนมาถึง บริเวณแยกสนามม้านางเลิ้ง ปรากฏว่ามีตำรวจ ปิดกั้นเส้นทาง ทำให้นายนิติธร ล้ำเหลือที่ปรึกษา ต้องเจรจา และใช้เวลาประมาณ 5 นาที จึงเคลื่อนขบวน ผ่านมาได้ แต่เกิดมีการกระทบกระทั่งระหว่างกลุ่มมวลชนกับตำรวจโดยกลุ่มผู้ชุมนุมใช้ด้ามธงวิ่งไล่ตีตำรวจ แต่แกนนำได้เข้าห้ามปรามไว้ได้ทัน เหตุการณ์เลยไม่บานปลาย" "ต่อมาขบวนเคลื่อนมาถึง ที่บริเวณด่านทำเนียบรัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้รถขยายเสียง พูดว่า ขออย่าทำร้ายตำรวจ ต่อเนื่องตลอดเวลา ทำให้แกนนำต้องเปิดเพลงประจำของกลุ่ม คปท. กลบเสียงเครือขยายเสียง แต่เหตุการณ์ทั้งหมดก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย" "แต่ภายหลังกลับมีผู้ไม่ประสงค์ดีก๊อบปี้หน้าข่าวดังกล่าวและใส่ข้อความเพิ่มเติมในลักษณะยั่วยุโดยมีข้อความเพิ่มเติมว่า "เดลินิวส์ยืนยัน ม็อบระยำ ทำร้ายตำรวจ!!!" เผยแพร่ในเฟซบุ๊กของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ประชาสัมพันธ์ และยังมีการส่งต่อไปในสื่อสังคมออนไลน์อื่น ๆ อีกด้วยนั้น" "ทั้งนี้กองบรรณาธิการเดลินิวส์ ออนไลน์ ขอยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำครั้งนี้แต่อย่างใด" ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
กลุ่มนักเรียน-เยาวชนปฏิบัติสมาธิที่ มธ. เรียกร้องคนไทยชุมนุมอย่างมีสติ Posted: 16 Nov 2013 08:10 PM PST สมาพันธ์นักเรียนไทยฯ - เยาวชนสนับสนุนสันติวิธี รวมตัวนั่งสมาธิที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เรียกร้องคนไทยชุมนุมอย่างมีสติ สนับสนุนความขัดแย้งอย่างมีเหตุผล และสังคมประชาธิปไตย โดยไปรำลึกที่ประติมากรรม 6 ตุลา 19 และอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16 แยกคอกวัวด้วย 17 พ.ย. 2556 - เวลา 10.30 น. วันนี้ ที่หน้าหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ วันนี้ กลุ่มเยาวชนสนับสนุนสันติวิธี และสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย ร่วมกับผู้สนใจ ได้จัดกิจกรรม "แสดงพลัง "สงบสยบความรุนแรง" เพื่อสังคมไทยที่มีเหตุผล และสติ" ในเพจกิจกรรมของกลุ่ม ชี้แจงเหตุผลการจัดกิจกรรมว่า "นับวันสถานการณ์บ้านเมืองยิ่งเร่าร้อน หากคงต้องใช้ถ้อยคำรุนแรง ไร้เหตุผล และ Hate speech คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำไปสู่หายนะเช่นในอดีตที่ผ่านมา ในฐานะเยาวชน พลเมืองไทย ขอสนับสนุนการชุมนุมอย่างมีสติ ปราศจากความรุนแรง เคารพในสิทธิส่วนตัว และส่วนรวม เราจึงขอเชิญเพื่อนเยาวชน และเพื่อนผู้ใหญ่ทุกท่านร่วมนั่งสมาธิ เรียกร้องคนไทยชุมนุมกันอย่างมีสติ สนับสนุนสันติภาพ การเมืองที่มีสติ สนับสนุนความขัดแย้งอย่างมีเหตุผล และสังคมประชาธิปไตย" โดยกิจกรรมของกลุ่มเริ่มตั้งแต่เวลา 10.30 น. ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จากนั้นจะมีการปฏิบัติสมาธิ และจะเดินไปที่ประติมากรรม 6 ตุลาคม 2519 ที่อยู่ในบริเวณใกล้กันด้วย เพื่อรำลึกถึงสถานการณ์ความรุนแรงในอดีต ทั้งนี้วอยซ์ทีวีรายงานด้วยว่าทางกลุ่มเยาวชนได้เดินทางไปที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาคม 2516 สี่แยกคอกวัว เพื่อนั่งสมาธิเป็นเวลา 30 นาที (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) ขณะที่ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ผู้ประสานงานสมาพันธ์นักเรียนไทยฯ โพสต์ในเฟซบุคของเขาว่า "17 พฤศจิกายน นี้ ตอนเช้าทางสมาพันธ์นักเรียนฯ และกลุ่มเยาวชนที่ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงจะแสดงพลัง "สงบสยบความรุนแรง" ด้วยการปฏิบัติสมาธิ (อันไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาใดๆ แต่เป็นการให้อยู่กับตนเองใคร่ครวญพิจารณา อย่างสงบสันติ) เพื่อคัดค้านความรุนแรงและสนับสนุนสันติภาพ สันติวิธี ความขัดแย้งอย่างมีเหตุมีผล มากกว่าจะเป็น hate speech สร้างความเกลียดชัง" "เรามิได้คาดหวังว่าจะมีผู้ร่วมมากมายนัก แต่ขอให้ถือว่าเป็นจุดสะท้อนหนึ่งในขบวนการสังคม ที่ต้องการความขัดแย้ง อย่างไม่เสียเลือดเสียเนื้อ-การใส่ร้ายโจมตีสาดเสียเทเสีย เราต้องการเหตุผล เรามีบทเรียนจากอดีตมาพอแล้ว ที่ปัจจุบันเราจะต้องไม่ซ้ำรอย" เนติวิทย์ระบุในสเตตัสของเขา ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น