โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

Miss Universe 2013: การเมือง เรือนร่าง นางงาม

Posted: 15 Nov 2013 09:09 AM PST

การประกวดนางงามจักรวาล หรือที่รู้จักกันในนาม เวที "Miss Universe" ในปีนี้ จัดขึ้นที่กรุงมอสโค ประเทศรัสเซีย ค่ำวันที่ 9 พฤศจิกายน ตามเวลาท้องถิ่น (เวลาตี 1 โดยประมาณตามเวลาในประเทศไทย ของวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา)


photo from missuniverse.com

เวทีการประกวดนี้ จัดขึ้นทุก ๆ ปี โดยจะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงสถานที่และประเทศที่ใช้ในการจัดงานทุก ๆ  ปี โดยมีนายโดนัลด์ ทรัมป์ นักธุรกิจชื่อดังชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งได้ซื้อกิจการองค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization) มาจาก Gulf and Western Industries ในปี 1996 เป็นผู้อำนวยการการประกวดเวทีดังกล่าว

ทำไมเวทีประกวด Miss Universe ซึ่งมีจุดประสงค์เพียงแค่ประชันความงามของสาวสวยจากทั่วทุกมุมโลก จึงความสำคัญมากถึงขั้นจะต้องแข่งขันกับทุกปี? หรือแท้ที่จริงแล้วการประกวดนางงามเวที Miss Universe นั้นอาจมิใช่แค่การประกวดความงามและประชันโฉมกันเท่านั้น หากแต่จัดขึ้นโดยมีเหตุผลด้านเศรษฐกิจการเมืองมารองรับ

 

การเมืองเรื่องการประกวด

การประกวดเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการประกาศชื่อเมืองและประเทศที่จะใช้ในการประกวด จากนั้นแต่ละประเทศก็จะเริ่มต้นเฟ้นหานางงามที่เหมาะสมเพื่อมาเก็บตัวและทำกิจกรรมร่วมกันในกองประกวด จนกระทั่งรอบโชว์ตัวหรือ "Preliminary" มาถึง คะแนนการประกวดก็จะส่งผลต่อการเข้ารอบในวันประกวดจริง โดยแยกคะแนนจากรอบโชว์ชุดว่ายน้ำ (Swimming Suit Competition), โชว์ชุดราตรี (Evening Gown Competition), และการสัมภาษณ์รายบุคคล

ซึ่งในปีนี้ กองประกวดปรับเปลี่ยนการถามคำถามที่เรียบง่ายมาสู่ "Truth of Dare" ซึ่งหมายถึงการให้ผู้เข้าประกวดแนะนำตัวและตอบคำถามที่ได้จากการจับฉลาก และการทำท่าทางหรืออัปกิริยาต่าง ๆ ที่ตามคำสั่งฉลากที่จับได้ ซึ่งมันจะเป็นคำสั่งที่แหวกแนว ตลกขบขัน และไม่จริงจัง อันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของนางงามที่มีมิติ [1] กล่าวคือ ในด้านหนึ่งนางงามเหล่านี้งามสง่า เลอค่าและสูงส่ง ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกด้านที่เป็นธรรมชาติ ตลกขบขัน มองโลกในแง่ดี โดยคงความสวยงามเอาไว้ได้

ในวันประกวดจริง จะมีเพียงผู้ที่ได้รับคะแนนสะสมในรอบ Preliminary สูงสุด 15 อันดับเท่านั้นที่จะได้ผ่านเข้ารอบเป็น Semifinalist จากนั้นทั้ง 15 คนจะต้องเดินโชว์ชุดว่ายน้ำเพื่อเข้าสู่รอบ 10 คนสุดท้าย และจะเหลือเพียง 5 คนสุดท้ายเท่านั้นหลังจากที่ประชันโฉมในชุดราตรี ทั้ง 5 คนที่ผ่านเข้ารอบจะมีเพียงการตอบคำถามบนเวทีและการเดินโชว์ครั้งสุดท้าย (Final Look) เพื่อประเมินความเหมาะสมก่อนจะประกาศผลว่าใครคือ Miss Universe ประจำปีนั้น ๆ

การประกวดเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างน้อยใน 2 มิติ ได้แก่ 1. การเมืองเรื่องนางงาม และ 2. การเมืองเรื่องเวทีการประกวด

 

1. การเมืองเรื่องนางงาม: นางงามทั้ง 86 คนบนเวทีการประกวด Miss Universe แลดูเป็นภาพลักษณ์ด้านวัฒนธรรมที่งดงาม ปราศจากความเป็นการเมือง หากแต่ในความเป็นจริงเบื้องหลังของการประกวดกลับกลายเป็นการเมืองระหว่างประเทศ

อันที่จริงแล้ว นางงาม Miss Universe มีภาระหน้าที่เฉกเช่นเดียวกับองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ กล่าวคือ เธอคือผู้ธำรงรักษาคุณค่าและบรรทัดฐานระหว่างประเทศให้ดำรงอยู่ต่อไป ผ่านกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพและการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส (อันเป็นการประกอบสร้างและผลิตซ้ำความเป็นหญิงที่ดีตาม "Normativity" หรือระเบียบแบบแผนทางเพศนั่นเอง)

การส่งนางงามเข้าประกวดก็มีลักษณะที่มิได้แตกต่างไปจากการส่งตัวแทนของประเทศเข้าร่วมองค์กรระหว่างประเทศแต่อย่างใด เพราะกิจกรรมที่สาวงามได้มาทำร่วมกันก็เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงการสร้างสรรค์และธำรงรักษาสันติภาพโลกด้วยความงามทั้งภายในและภายนอกของพวกเธอ

ไม่เฉพาะเพียงแต่การถูกเสนอให้เป็นตัวแทนของประเทศในการเข้าร่วมการประกวด การนำเอาวัฒนธรรมแห่งชาติของผู้เข้าร่วมการประกวดทุกคนมาทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่มีตัวตนและสามารถสวมใส่ห่อหุ้มร่างกายได้ผ่านชุดประจำชาติยังถือเป็นการตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างเรือนร่างของผู้หญิงกับวัฒนธรรมแห่งชาติอีกด้วย

 

2. การเมืองเรื่องเวทีการประกวด: การจัดเวทีประกวดยึดโยงกับการเมืองระหว่างประเทศอย่างเหนียวแน่น เนื่องด้วยการประกวดถูกจัดขึ้นด้วยความร่วมมือกันระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์นักธุรกิจชื่อดังเจ้าของบรรษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาและ NBC เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ของสหรัฐอเมริกา ดังนั้น การใช้อำนาจครอบงำเพื่อตอกย้ำความเป็นเจ้ามหาอำนาจของโลกผ่านการมอบมงกุฎแก่สาวงามจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกา ในฐานะประเทศเจ้าของเวทีการประกวด เคยได้รับตำแหน่งเป็นผู้ชนะบนเวทีโลกมาทั้งสิ้น 8 ครั้งเลยทีเดียวตลอดช่วงเวลา 61 ปีที่ผ่านมา [2]

อย่างไรก็ตาม กระบวนการตัดสินบนเวทีนี้ถูกตั้งข้อสงสัยในความคลุมเครืออยู่บ่อยครั้ง จนมีการสถาปนาคำศัพท์ที่ว่า "Trump's Choice" อันหมายความว่าเป็นนางงามที่ผ่านเข้ารอบมาได้ด้วยการตัดสินใจของทรัมป์ โดยไม่อิงกติกา

กระบวนการตัดสินบนเวทีนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจและผลประโยชน์แห่งชาติของบรรดาชาติมหาอำนาจที่แฝงฝังอยู่ในทุกขั้นตอนการประกวด

 

 

ความเป็นไปในเวทีประกวดปี 2013

ข้อสังเกตประการสำคัญที่ทั้งโลกต่างจับตามองการประกวดในปีนี้คือ สถานที่จัดการประกวด ซึ่งก็คือประเทศรัสเซีย ที่มีนโยบายกีดกันการแสดงออกถึงความหลากหลายทางเพศ อันเป็นเหตุให้แอนดี้ โคเฮน พิธีกรประจำเวทีการประกวด ผู้ซึ่งแสดงออกถึงรสนิยมทางเพศอย่างเปิดเผมออกมาประกาศถอนตัวเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม

ในขณะเดียวกันก็มีสาวงามจำนวนหนึ่งออกมาประกาศถอนตัวออกจากการประกวด เช่น สาวงามจากประเทศอัลเบเนีย โคโซโว และจอร์เจียได้ประกาศไม่เข้าร่วมการประกวดประจำปีนี้เนื่องด้วยความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศที่ทั้ง 3 ประเทศมีต่อมหาอำนาจรัสเซียเจ้าภาพประจำปี 2013 ประเด็นดังกล่าวเป็นเหตุให้ฟาดิล เบริชา ช่างภาพชื่อดังประจำกองประกวด ผู้ถือสัญชาติอัลเบเนีย ถอนตัวออกจากการประกวดในปีนี้ด้วยเช่นกัน

ข้อสังเกตที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ โอลิเวีย คัลโป สาวงามจากสหรัฐอเมริกา สัญชาติเจ้าของการประกวด ซึ่งเป็นผู้ชนะการประกวด Miss Universe 2012 ได้ปรากฏตัวอยู่บนเวทีบ่อยครั้งในฐานะ "พี่เก่า" นั้น อาจสามารถสะท้อนให้เห็นได้ด้วยว่า ตำแหน่ง "พี่เก่า" นี้เป็นบุคคลที่มีอภิสิทธิ์ที่จะขึ้นไปปรากฏตัวบนเวทีแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเกม

การปรากฏตัวของเธอเป็นไปเพื่อตอกย้ำความสูงส่ง/เลอค่าของตำแหน่งที่นางงามและประเทศต้นสังกัดนางงามจะได้รับ ผ่านภารกิจของ Miss Universe ที่มักเป็นการร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพ การรณรงค์โครงการที่เกี่ยวข้องกับผู้ด้อยโอกาสในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก อีกทั้งยังผลิตซ้ำมาตรฐานความงามของรูปร่างหน้าตาของหญิงสาวจากภูมิภาคต่าง ๆ ต่อไป การจัดเวทีประกวดนางงามจึงเป็นผลผลิตของการกระทำซ้ำ/ผลิตซ้ำความงามแบบมาตรฐาน ในขณะเดียวกันชุดคุณค่าความงามแบบมาตรฐาน (เชิงนามธรรม) ของทุกภูมิภาคก็ดำรงอยู่ได้ด้วยการจัดเวทีประกวดนางงาม (ในเชิงรูปธรรม)

อีกทั้งไม่ต้องสงสัยด้วยเลยว่า การปรากฏตัวของเธอบนเวทีเป็นเครื่องย้ำชัดว่าเวทีนี้เคยมีมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ครอบครองตำแหน่งและมงกุฎมาแล้ว ดังนั้น การปรากฏตัวบนเวที "บ่อยครั้ง" ของเธอจึงมิใช่เรื่องแปลก

อย่างไรก็ตาม ในการประกวดปีนี้ สาวงามจากสหรัฐอเมริกากลับไม่ได้รับเลือกเข้าสู่รอบ 5 คนสุดท้าย และในท้ายที่สุด ผลการประกวดประจำปีนี้ก็ตกเป็นของกาบริเอล่า อิสเล่อร์ สาวงามจากประเทศเวเนซูเอล่า ตามด้วยสาวงามจากประเทศสเปน เอกวาดอร์ ฟิลิปปินส์ และบราซิล ตามลำดับ [3]

 

ชาติ, ความงาม, เรือนร่าง

แม้ว่าการประกวดนางงามในระดับโลกถูกจัดขึ้นเพื่อตอบสนองจุดประสงค์หลัก คือการสร้างและผลิตซ้ำความงามสากลขึ้นเป็นมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ความงามดังกล่าวมิใช่ความสวยงาม น่าหลงใหลเพียงแค่รูปร่าง หน้าตา และบุคลิกภาพ ของผู้เข้าประกวด หากแต่ความงามทางกายภาพจะต้องมาพร้อมกับทุนอื่น ๆ ที่ตนมี ทั้งทุนทางสังคมและทุนทางเศรษฐกิจ

แม้ว่าการประกวดจะอ้างว่าจัดขึ้นเพื่อตอบสนองการยอมรับความงามแบบสากลที่มีความแตกต่างหลากหลาย กล่าวคือ ไม่ว่าผู้เข้าร่วมการประกวดจะมาจากประเทศใด ภูมิภาคใด ชาติพันธุ์ใด ทรงผมใด หน้าตาแบบใด เสื้อผ้าแบบใด พวกเธอก็สามารถได้รับการยอมรับว่างดงามได้ไม่แพ้กัน อย่างไรก็ตาม การกล่าวว่าความงามที่ปรากฏบนเวทีนี้เป็นความงามในเชิงสัมพัทธ์ย่อมเป็นการกล่าวเกินจริง เพราะเวทีนี้ไม่ได้เปิดกว้างอย่างแท้จริงต่อความหลากหลายในมิติอื่น ๆ เช่นผู้เข้าร่วมการประกวดมีเพศสภาวะแบบใด มีความบกพร่องทางร่างกายหรือไม่ มีรูปร่างที่ผิดแผกจากมาตรฐานที่กองประกวดคาดหวังหรือไม่ เป็นต้น เช่นนั้นแล้ว ความหลากหลายที่ปรากฏบนเวทีย่อมเป็นเพียงความหลากหลายที่มีกรอบหรือถูกตีเส้นไว้อย่างจำกัดนั่นเอง

เหนือสิ่งอื่นใด ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างการประกวดนางงามและธุรกิจของโดนัล ทรัมป์ก็คือก่อสร้างทรัมป์ทาวเวอร์ อันเป็นสัญลักษณ์สะท้อนการลงทุนของทรัมป์ในประเทศนั้น ๆ กล่าวคือ การสร้างตึกทรัมป์ทาวเวอร์เปรียบได้กับการล่าอาณานิคมในรูปแบบใหม่ ที่เจ้าอาณานิคมอย่างบรรษัทยักษ์ใหญ่ชาติอเมริกันของนายทรัมป์ ได้ใช้ตึกเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจับจองเป็นเจ้าของพื้นที่หรือดินแดนต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงนัยทางเพศโดยจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ตึกทรัมป์ทาวเวอร์จึงมีคุณลักษณะเสมือน "Phallic Architecture" หรือสถาปัตยกรรมที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของ "องคชาติ" ของชายผิวขาวชาวตะวันตกที่รุกล้ำกล้ำกรายเข้าสู่พื้นที่อันบริสุทธิ์งดงามอันเปรียบเสมือน "โยนี" ของหญิงสาวผิวสีชาวตะวันออก

เช่นนั้นแล้ว หากเราอธิบายว่านางงามนั้นว่า "งาม" เพราะความงามเพียงลำพังย่อมไม่เพียงพอ หากแต่การประกวดความงามในครั้งนี้เป็นการประกวดความงามของทั้งเรือนร่างสตรีบนเวทีและภูมิศาสตร์ทางเศรษฐกิจของประเทศของตนต่างหาก กล่าวคือ เรือนร่างของพวกเธอที่ใช้ในการอวดโฉมบนเวทีนั้น เกิดจากการการหนุนนำของชาติเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากนายทุนยักษ์ใหญ่ชาวอเมริกัน

ด้วยเหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า เหล่าสาวงามจากประเทศต่าง ๆ กำลังรับภาระอันใหญ่หลวงจากประเทศของตนและประชาคมโลกในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ ในแง่หนึ่งพวกเธอก็ต้องแบกรับค่านิยมและบรรทัดฐานระหว่างประเทศในการธำรงรักษาสันติภาพ แต่ในอีกด้านหนึ่งพวกเธอก็ถูกรัฐของตนใช้เป็นเครื่องตอบสนองความต้องการของเพศชาย ล่อลวงและเรียกร้องการลงทุนและการจับจองเรือนร่างจากชายผิวขาวชาวตะวันตก

การประกวดนางงามบนเวที Miss Universe จึงสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของรัฐสมัยใหม่ที่แม้ว่าจะคงไว้ซึ่งความเป็นชายที่หาญกล้า แข็งแกร่ง ไม่ย่อท้อต่อการรุกรานของชาติศัตรู แต่ในขณะเดียวกันรัฐสมัยใหม่ก็ยังคงไว้ซึ่งการใช้ความเป็นหญิงเป็นเครื่องมือในกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศด้วยเช่นกัน

 

เอกสารอ้างอิง:

เชิงอรรถ:

  1. เช่น ชาลิตา แย้มวัณณังค์ หรือ "ลิตา" สาวงามจากประเทศไทย ถูกถามว่า หากเธอสามารถมีพลังพิเศษได้ เธอจะมีพลังแบบใด (ในส่วนของ "Truth") และจากนั้นก็ได้รับคำสั่งให้ลองแนะนำตัวเป็นภาษาสัตว์ประหลาด (ในส่วนของ "Dare") ในขณะเดียวกัน กาบริเอล่า อิสเลอร์ สาวงามผู้พิชิตมงกุฎประจำปีนี้ถูกถามว่ามื้ออาหารที่สมบูรณ์แบบสำหรับคุณมีลักษณะอย่างไร และจากนั้นก็ได้รับคำสั่งให้เป่าหมากฝรั่งให้แตก เป็นต้น
  2. หากนับรวมประเทศเปอร์โตริโกที่ครึ่งหนึ่งมีสถานะเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาก็จะนับได้ทั้งหมด 13 ครั้งเลยทีเดียว
  3. ผลการประกวดประจำปีนี้ ตำแหน่ง Miss Universe ตกเป็นของ สาวงามจากประเทศเวเนซูเอล่า ทั้งนี้เธอได้ฝ่าฟันเข้าสู่รอบโชว์ชุดว่ายน้ำ 15 คน  อันประกอบไปด้วย คอสตาริก้า, ยูเครน, จีน, เอกวาดอร์, สหราชอาณาจักร, อินโดนีเซีย, เวเนซูเอล่า, โดมินิกัน, เปอร์โตริโก, สเปน, สหรัฐอเมริกา, นิการากัว, สวิตเซอร์แลนด์, อินเดีย, บราซิล, และฟิลิปปินส์ ในขณะที่ในรอบโชว์ชุดราตรี สาวงามทั้ง 10 คนจากประเทศยูเครน, ฟิลิปปินส์, โดมินิกัน, สหรัฐอเมริกา, อินเดีย, สหราชอาณาจักร, สเปน, เอกวาดอร์, เวเนซูเอล่า, และบราซิล ต่างก็แสดงความงดงาม บุคลิกภาพ และความสวยงามของเครื่องแต่งกายจนในที่สุดก็เข้าสู่รอบ 5 คนสุดท้ายอันประกอบไปด้วยประเทศเอกวาดอร์, บราซิล, สเปน, ฟิลิปปินส์, และเวเนซูเอล่า
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุเทพ เทือกสุบรรณ ยกระดับการชุมนุม 'ถอนรากถอนโคน' ระบอบทักษิณ

Posted: 15 Nov 2013 05:26 AM PST

สุเทพ เทือกสุบรรณ ชี้กฎหมายนิรโทษกรรมเป็นผลไม้พิษของต้นไม้พิษ 'ระบอบทักษิณ' จึงขอกำจัดต้นตอความเลวร้ายอย่างถอนรากถอนโคน โดยใช้ 4 มาตรการ ถอดถอน 310 ส.ส. - ไม่เสวนาแต่เป่านกหวีดใส่บริวารทักษิณ - 3. ไม่ซื้อขายสินค้าเครือทักษิณ - 4. ข้าราชการทั่วประเทศหยุดงาน

การปราศรัยเมื่อวันที่ 15 พ.ย. โดยสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำการชุมนุมที่ ถ.ราชดำเนิน (ที่มา: Blue Sky TV)

15 พ.ย. 2556 - ตามที่เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศชุมนุมต่อจนกว่าร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะหายไปจากสารบบ มีการนำ 9 ส.ส.ประชาธิปัตย์เพื่อมานำการต่อสู้ และมีการประกาศ 4 มาตรการอารยะขัดขืน ได้แก่ หนึ่ง หยุดงาน หยุดเรียน ระหว่างวันที่ 13-15 พ.ย. สอง หยุดชำระภาษี สาม ปักธงชาติ ตามบ้านเรือนหรือพาหนะ และให้พกนกหวีด สี่ ถ้าพบเห็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และผู้เกี่ยวข้องไม่ต้องพูดด้วย แต่ให้เป่านกหวีดใส่ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) และเมื่อวันที่ 13 พ.ย. สุเทพได้นัดหมายให้ผู้ชุมนุมมาร่วมฟังมาตรการในเวลา 18.00 น. วันที่ 15 พ.ย. นั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

 

ผู้ชุมนุมเริ่มสมทบ รอฟังมาตรการจากสุเทพ

ล่าสุดที่ ถ.ราชดำเนิน ตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วันนี้ (15 พ.ย.) ตั้งแต่ช่วงเย็นเริ่มมีผู้ชุมนุมมาสมทบมากขึ้น มีการสลับปราศรัยโดยผู้ชุมนุมกลุ่มต่างๆ โดยในเวลา 17.14 น. อาจารย์และนักศึกษากลุ่มหนึ่งจาก ม.เกษมบัณฑิต ขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวว่านักศึกษาที่มาร่วมชุมนุมวันนี้ถือเป็นการแสดงอารยขัดขืน ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นอกจากนี้มีขบวนกลองยาวจากเขตบางบอน และชุมชนต่างๆ ในกรุงเทพฯ มาร่วมสมทบการชุมนุมด้วย ทำให้มีบรรยากาศคึกคัก

 

ส.ว.สรรหาปราศรัยคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ต่อมาเวลา 18.05 น. ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ได้ปราศรัยคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 โดยระบุว่าจะทำให้การเจรจากับต่างชาติไม่ต้องผ่านสภา และขอให้ประชาชนให้กำลังใจศาลรัฐธรรมนูญ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องรักษาประเทศไทย ขจัดสิ่งเลวร้ายออกจากแผ่นดินไทย และขอให้ช่วยกันต่อสู้ไม่ว่าจะกี่วัน กี่คืน จนกว่าชัยชนะจะเป็นของประชาชน

 

'แก้วสรร' ระบุประเทศถูกผีสิง ต้องไล่ผีสิงออกไป

เวลา 18.28 น. แก้วสรร อติโพธิ อดีต ส.ว. ขึ้นปราศรัยกล่าวว่า พวกเราไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่หายใจแล้วเสียภาษี แต่เรามาสู้เพื่อลูกหลาน ไม่ให้ผลประโยชน์ถูกเหี้ยเอาไปกิน ซึ่งเราไม่ยอม ทั้งนี้มีการยึดการปกครองประเทศด้วยระบอบทักษิณ เอาเงินสร้างอำนาจ ได้อำนาจเอามาสร้างเงิน สร้างประชานิยม แล้วก็สร้างพวก เมื่อได้พวกก็เอาไปสร้างอำนาจ ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยเจอแบบนี้ วงจรทั้งหมดนี้ทำให้เขาเติบโตขึ้นทุกขณะ มีคนเสื้อแดงเป็นทาสรับใช้

แก้วสรรปราศรัยต่อไปว่า เราไม่ได้สู้กับยิ่งลักษณ์ เราสู้กับระบอบทักษิณ สู้กับความนึกคิดที่ครอบงำประเทศนี้อยู่ "ประเทศนี้ถูกผีสิงเราต้องไล่ผีสิงนี้ออกไป" ทั้งนี้ ยิ่งลักษณ์ เสื้อแดง และ ส.ส. เป็นขี้ข้าทักษิณทั้งนั้นแบบไม่มีการแบ่งแยก และเรากำลังอยู่ใต้เผด็จการ

ตอนหนึ่ง แก้วสรร ปราศรัยว่าในช่วงที่น้ำท่วม กทม. นั้น พื้นที่รอบสนามบินสุวรรณภูมิน้ำไม่ท่วมเป็นเพราะมีคอนเนคชั่นกับระบอบทักษิณ และตำหนิยิ่งลักษณ์ว่าไม่มีบทบาททางการเมืองอะไร มีการฉายภาพนายกรัฐมนตรีไปเยือนต่างประเทศและใส่ชุดประจำชาติของประเทศต่างๆ และได้กล่าวว่า "ไปเกาหลีใส่ชุดฮันบก ไปจีนใส่ชุดกี่เพ้า ลองไปแอฟริกาแล้วแก้ผ้าหน่อยสิวะ" และกล่าวด้วยว่า วันๆ ให้พี่ชายใช้อำนาจ แล้วก็ดีแต่ไปต่างประเทศ "นี่หรือนายกรัฐมนตรี ปัทโธ่เอ้ย" โดยแก้วสรร ได้ทิ้งท้ายกับผู้ชุมนุมด้วยว่า เกิดเป็นคนอย่ากินหญ้า อย่าให้เขาหลอก

 

สุเทพขึ้นปราศรัย "จะร่วมกันติดสินใจครั้งสำคัญ"

ต่อมาเมื่อเวลา 18.50 น. วันนี้สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำผู้ชุมนุมได้ขึ้นปราศรัย หลังจากประกาศใช้มาตรการอารยะขัดขืนครบ 3 วัน โดยสุเทพปราศรัยว่า "เรามากันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยวันนี้ เพราะเป็นวันที่พวกเราได้นัดหมายกันมาตัดสินใจครั้งสำคัญ เพื่อบ้านเมืองให้รอดพ้นจากการใช้อำนาจฉ้อฉลคุกคามสุจริตชนที่รักบ้านเมือง รอดพ้นจากการทำลายชาติจากคนทุจริต โคตรโกง โกงทั้งโคตร"

"การต่อสู้นับตั้งแต่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมา เป็นปรากฏการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งเห็นพลังของคนหนุ่มสาว นักเรียน นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน เคียงบ่าเคียงไหล่กับเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา พ่อค้า แม่ขาย นักธุรกิจ ผู้ใช้แรงงาน ครูอาจารย์ และพี่น้องประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินทั่วไป คนทั้งหมดนี้ได้ร่วมต่อสู้อย่างเข้มแข็งจนรัฐบาลโคลนนิ่งยิ่งลักษณ์ สภาทาส ต้องถอยต่อพลังอำนาจของมหาประชาชน"

 

แท้จริงแล้วระบอบทักษิณคือต้นตอความเลวร้ายทั้งหมด

"พลังชั่วร้ายของพวกเขา ไม่อาจต้านทานพลังมหาประชาชนได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม การชุมนุมที่ยาวนาน 16 วัน บนเวทีมหาประชาชนที่เรามาฟังปราศรัยนั้น แท้ที่จริงแล้วกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง ภูเขาของความชั่วร้าย เป็นส่วนยอดของต้นไม้พิษที่เรียกว่าระบอบทักษิณ แท้จริงแล้วระบอบทักษิณคือต้นตอของความเลวร้ายทั้งหมด ที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย ระบอบทักษิณทำลายคุณธรรม ความดีงาม คุกคามคนสุจริต สนับสนุนคนชั่วช้าให้มีอำนาจ เอาอำนาจประชาชนไปทุจริต โกงบ้านกินเมือง กดขี่คนยากไร้ เอาคนยากจนเป็นเครื่องมือ เพื่อแสวงอำนาจ คุกคามกระบวนยุติธรรม ศาลสถิตยุติธรรม"

"ระบอบทักษิณ ทำให้รัฐสภาเป็นตรายางของนายทุน ที่เข้ามามีอำนาจโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งที่ซื้อสิทธิ ขายเสียง ทุจริตการเลือกตั้ง โกงการเลือกตั้ง ทำให้สภา กลายเป็นเครื่องมือให้คนไม่ดีเข้ามาปกครองบ้านเมือง ครอบงำมหาประชาชน โดยอ้างความชอบธรรมจากการเลือกตั้งที่ไม่สุจริต ในที่สุด เสียงข้างมากลากไปทำให้เกิดเผด็จการรัฐสภา ทำให้เกิดสภาทาส และเป็นศูนย์รวมอำนาจระบอบทักษิณ"

 

อัด ส.ส.เสียงข้างมาก ทำตัวเหมือนรัฐสภาเยอรมัน

สุเทพ ปราศรัยว่า "พฤติกรรม ส.ส.ข้างมาก ที่ทำตัวเป็นทาส บริวารนายทุนระบอบทักษิณ เหมือนรัฐสภาเยอรมันที่สนับสนุฮิตเลอร์ นำเยอรมันเข้าสู่สงครามโลก ชาวโลกตายนับร้อยล้านคน ก็เหมือนระบอบทักษิณใช้สภาเครื่องมือชั่วร้าย สมุนและบริวารหาประโยชน์ส่วนตน โกงชาติอย่างต่อเนื่องตลอดมา"

"ระบอบทักษิณ ได้พยายามล้มล้างหลักการถ่วงดุลอำนาจ ทำลายหลักการตรวจสอบอำนาจรัฐ เช่น แก้รัฐธรรมนูญให้ ส.ว. กลายมาเป็นเครื่องมือฟื้นฟูระบอบทักษิณ ระบอบทักษิณได้ทำเสมือนว่าเข้าหาประชาชน ไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจ ทำเสมือนว่าประชาชนเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยที่ไร้ค่าไม่มีราคา แต่ความเป็นจริงแล้วประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงที่ใครเอาไปไม่ได้"

 

บ้านเมืองมีปัญหาไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้เพราะระบอบทักษิณ

"ทุกวันนี้ การใช้อำนาจรัฐ ในลักษณะหุ่นเชิดทำให้บรรดาการใดๆ ขึ้นอยู่กับคนๆ เดียวเท่านั้น นี่มันเป็นเผด็จการทำลายระบบคุณธรรม และประชาธิปไตย ดังวาทกรรมที่่ว่า "มีวันนี้เพราะพี่ให้" สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่านักโทษชายกำลังวางแผนสั่งการทุกอย่าง พยายามใช้สภาทาสออกกฎหมายนิรโทษกรรมล้างผิดให้ตัวหัวโจกระบอบทักษิณ ไม่สนใจใยดีเสียงทักท้วงประชาชน"

"ดังนั้น บ้านเมืองอันเป็นที่รักของเราจึงจมอยู่ในปัญหา ความขัดแย้ง การโกงกิน ที่ติดต่อยาวนาน ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ดีกว่าได้ เพราะปัญหาเลวร้าย คือระบอบทักษิณ สมุนบริวาร ข้าทาสของมัน"

"และเวทีของมวลมหาประชาชนและคนไทยทั่วประเทศได้ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ จึงได้ร่วมมือกันยกระดับการต่อสู้ ยกระดับการเรียนรู้ของมวลชนจากเวทีสามเสน สู่ราชดำเนินและทั่วประเทศไทย และไปทั่วโลก"

 

ระบุกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นเพียงผลไม้พิษจากต้นไม้พิษ

ตอนหนึ่งสุเทพปราศรัยว่า "ในวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา ต่อหน้ามวลมหาประชาชนหลายแสนคนที่นี่ และเพื่อนร่วมชาติอีกนับล้าน เรายกระดับการต่อสู้สู่อารยะขัดขืนขั้นต้นสามวัน 13-14-15 พฤศจิกายน เพราะเราเห็นแล้วว่าการปกป้องรักษาชาติด้วยการทำให้กฎหมายนิรโทษกรรมสาบสูญถูกรัฐบาลนี้ใช้เล่ห์ชะลอยับยั้งไว้ และจะนำกลับมาอีกเมื่อเราหลงลืมไป แต่เราไม่ลืม เราจะต้องเดินหน้า กำจัดมันออกไปให้ได้"

"พี่น้องทั้งหลาย กฎหมายนิรโทษกรรมเป็นผลไม้พิษ ของต้นไม้พิษคือระบอบทักษิณ"

"ดังนั้น การกำจัดความเลวร้ายต้องทำลายต้นตอความเลวร้าย ผมจึงขอมติมหาประชาชน ณ ที่นี้ ว่าเราได้ทำอารยะขัดขืนขั้นต้นร่วมกันมา 3 วันแล้วแม้จะไม่ปรากฏภาพชัดเจนเป็นกระแส แต่ผลการประเมินบอกเราว่าวันแรกๆ อาจมีคนเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเป็นธรรมดา เพราะเป็นวิธีต่อสู้แบบใหม่ แต่เมื่อเราได้ชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ ชี้แจงให้ชัดเจนว่า มาตรการนี้เป็นความสมัครใจร่วมมือร่วมใจกัน เป็นแนวทางสันติ อหิงสา ไม่รุนแรง คนทั้งหลายจึงมีความเข้าใจทั่วกัน เราจึงได้เห็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา สถานศึกษาหยุดเรียนหยุดสอน คนลางาน คนชะลอการเสียภาษี คนติดธงชาติ คนติดนกหวีด บางคนทำด้วยใจอารยะขัดขืนแต่ไม่บอกใครก็มีเหมือนกัน"

"แม้รัฐบาลชั่วช้าของระบอบทักษิณจะหยามหยันว่ามาตรการนี้ของเราแป๊ก ไม่ได้ผล แต่ภาพวันนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของอารยะขัดขืนประจักษ์แก่สายตาคนทั้งประเทศทั้งโลกแล้วว่าคนที่มาที่นี่ จะมาที่นี่ไม่ได้ ถ้าไม่ได้หยุดงานกันมา เพื่อที่จะบอกให้รัฐบาลระบอบทักษิณว่าอย่าได้ดูถูกพลังมวลมหาประชาชน"

 

ประกาศขจัด 'ต้นไม้พิษ' ยกระดับการต่อสู้ 'ขจัดระบอบทักษิณ'แบบถอนรากถอนโคน

"อารยะขัดขืนที่ผ่านมา นี่คือยุทธวิธีหนึ่ง ไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายคือขจัดต้นไม้พิษคือระบอบทักษิณให้หมดไป"

จากนั้นสุเทพ ได้ประกาศว่า "มวลมหาประชาชนราชดำเนิน พี่น้องชาวไทยรักชาติรักแผ่นดิน ผมขอประกาศ ยกระดับการต่อสู้ ... ขอยกระดับการต่อสู้ของเรา เป็นการขจัดระบอบทักษิณแบบถอนรากถอนโคนให้หมดไปจากแผ่นดินไทย ถ้าพี่น้องเห็นชอบด้วยส่งเสียงอีกครั้งครับ" โดยประชาชนที่มาร่วมชุมนุมได้โห่ร้องส่งเสียงกึกก้อง

"พี่น้องทั้งหลาย นั่นหมายความว่าเราคนไทยผู้รักชาติ รักแผ่นดินทั่วประเทศ ได้ทำสัญญาใจร่วมกันแล้ว ว่านับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เราจะดำเนินการทุกอย่างเพื่อขจัดระบอบทักษิณแบบถอนรากถอนโคน เราจะร่วมกัน ขจัดระบอบทักษิณแบบถอนรากถอนโคนให้หมดไปจากแผ่นดิน เพื่อที่จะได้เปลี่ยนแปลงนำประเทศไทยไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่สมบูรณ์แบบ"

"และเราจงสัญญาร่วมกันว่าเราจะต่อสู้ด้วยกันต่อไป จนกว่าระบอบทักษิณหมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย ไม่หมดไม่เลิก"

 

เผย 4 มาตรการถอนรากระบอบทักษิณ หนึ่ง ถอดถอน 310 ส.ส.

ต่อมาสุเทพได้ประกาศ 4 มาตรการเพื่อการ "ขจัดระบอบทักษิณแบบถอนรากถอนโคน" ระบุว่า "คือมาตรการที่เราจะร่วมมือกัน ระบอบทักษิณ เพื่อที่จะนำไปสู่การถอนรากถอนโคนขจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย" โดยสุเทพกล่าวต่อว่า

"มาตรการที่ 1 จะร่วมกันจัดการบรรดา ส.ส. ทาสทั้งหลาย เราจะร่วมมือกันจัดการกับ ส.ส.ทาส สภาทาส ที่บังอาจลงมติให้ กม.ล้างผิดให้คนโกง จัดการกับ ส.ส. ทั้ง 310 คนนั้น เพราะ ส.ส.เหล่านั้นประพฤติตัวเป็นข้าทาสที่ไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ รวมทั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ใช้มายา เล่ห์เหลี่ยม เอาเจ้าหน้าที่ตำรวจมาข่มขู่ประชาชน"

"วิธีการของเราคือจะเดินหน้าถอดถอน ส.ส. ทาสทั้ง 310 คน เราจะร่วมกันลงชื่อถอดถอน ส.ส. ทาสทั้ง 310 คน ให้พ้นจากตำแหน่ง ให้หลุดจากความเป็น ส.ส. โดยจะยกร่างคำร้อง และเราจะสนับสนุนให้ทุกเครือข่ายทุกเวทีดำเนินการเช่นเดียวกัน เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป"

"จะมีการตั้งเต็นท์ลงชื่อ ให้ถ่ายบัตรประชาชนแนบมาด้วย เดี๋ยวมันจะหาว่าคนปลอม" สุเทพกล่าวติดตลก และกล่าวต่อไปว่า "จากนั้นจะส่งตัวแทนเดินสายรวบรวมรายชื่อของประชาชน ที่จะร่วมกันถอดถอน ส.ส.ทาสเหล่านั้นทุกหนทุกแห่งจะทำให้เสร็จภายใน 19 พ.ย. นี้"

"เพื่อทำให้สภาทาสเป็นอัมพาต รัฐบาลก็จะไม่มีสภาทาสมาเป็นเครื่องมือใช้งานอีกต่อไป"

 

สอง เป่านกหวีดใส่ 'สมุนระบอบทักษิณ'

สุเทพปราศรัยต่อว่า "มาตรการที่ 2 มาตรการนี้ เราจะมุ่งหน้าจัดการกับสมุนของทักษิณเป็นการเฉพาะ" และอธิบายว่า "พวกเราประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดิน ต้องร่วมกันแสดงความรังเกียจ โดยการกระทำอารยะต่อต้านบรรดาสมุน บริวาร ข้าทาสระบอบทักษิณที่มันเหิมเกริมอำนาจ วิธีการที่เราจะทำ คือเรากระทำด้วยการประณามขึ้นมาประณามบนเวทีนี้ก็ได้ เจอหน้าพวกมันไม่ต้องยกมือไหว้มัน ไม่พูด ไม่คุยด้วย ไม่เสวนาด้วย ไม่สังฆกรรมด้วย พบที่ไหนเป่านกหวีดใส่อย่างเดียว"

"สมุนบริวารของทักษิณที่อยู่ในบัญชี เช่น ธาริต เพ็งดิษฐ์, สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์,  นิคม ไวยรัชพานิช และบรรดา ส.ส. ทาสทั้งหลาย เราต้องทำให้มันไม่กล้าเดินถนน ให้มันรู้สำนึกว่าที่ได้รับผลอย่างนี้เพราะมึงทำตัวเหนือประชาชนมานานแล้ว ทำอย่างนี้กันทั้งประเทศ ระบอบทักษิณมันจะได้อ่อนเปลี้ยลง"

 

สาม ไม่ซื้อสินค้าของเครือทักษิณทุกชนิด

"มาตรการที่ 3 เรื่องใหญ่มาก และจะเป็นครั้งแรกในประเทศไทย นั่นคือ เราจะร่วมแรงร่วมใจกันต่อต้านสินค้าในเครือทักษิณ เราชาวไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินพร้อมใจกัน ไม่ซื้อ ไม่สนับสนุน ไม่ทำธุรกรรม ในบรรดาผู้ค้าในเครือระบอบทักษิณทั้งหมดทุกชนิด"

"เพราะบรรดาสินค้าเหล่านั้นมันเป็นท่อน้ำเลี้ยงที่สูบเลือดสูบเนื้อคนไทย ไปหล่อเลี้ยงระบอบทักษิณ เราจึงต้องจัดการกับท่อน้ำเลี้ยงระบอบทักษิณตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไป"

"เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ปรึกษากัน ไปเสาะหา ไปดำเนินการให้มันเห็น ผมได้ข่าวว่า พรุ่งนี้จะมีคนทำเป็นตัวอย่างโปรดติดตามข่าวกันให้ดี" สุเทพเปรยล่วงหน้า

 

มาตราการที่สี่ บอกถ้าชุมนุมเป็นล้าน ข้าราชการทั่วประเทศหยุดงานแน่ 

ต่อมาสุเทพได้ปราศรัยว่า "มาตรการที่ 4 มาตรการนี้สำคัญมาก คือเราจะชวนพี่น้องข้าราชการทั้งประเทศหยุดงานพร้อมกันทั้งประเทศ สามมาตรการแรกตัดขาระบอบทักษิณให้ง่อยเปลี้ย รอวันประกาศอารยขัดขืนขั้นสูงสุด คือขอให้พี่น้องข้าราชการของเราหยุดงานทั้งประเทศร่วมกับพี่น้องประชาชน แต่มาตรการนี้จะเป็นไปได้ ต้องมีพี่น้องประชาชนทั้งหลายออกมาแสดงตัวร่วมการต่อสู้ ให้พี่น้องข้าราชการทั้งหลาย มั่นใจได้เสียก่อนว่าพี่น้องข้าราชการจะยืนอยู่ข้างฝ่ายชนะ คนที่จะออกมาร่วมต่อสู้กัน ต้องออกมาให้มากมายมหาศาลนับล้านคน"

"เมื่อ 11 พ.ย. ออกกันมาเป็นแสนๆ วันนี้ 15 พ.ย. มากกว่าวันที่ 11 พ.ย. อย่างน้อย 2 เท่าตัว แต่ยังไม่ถึงล้าน เราต้องทำให้ถึงล้านให้ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องร่วมมือกันพี่น้องประชาชนที่มาชุมนุมที่นี่ทุกคน ต้องไปชวนญาติชวนมิตรมาอีก 10 คน"

"วันที่มวลมหาประชาชนมีจำนวนถึงล้านที่กรุงเทพฯ และอีกหลายล้านทั่วประเทศ วันนั้นข้าราชการทุกคนเขาก็กล้าที่จะหยุดงานทั่วประเทศเพราะเขาเชื่อว่าเราชนะแน่นอน"

 

ย้ำเป็นโอกาสครั้งเดียวของประเทศไทยในการขจัดระบอบทักษิณ

"ผมขอยืนยันกับพี่น้องผู้รักชาติรักแผ่นดินทั้งหลาย ต้องสู้แนวทางนี้เท่านั้น เพราะเป็นการต่อสู้ที่สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธและไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ เราจึงต้องการหัวใจของคนนับล้าน ร่วมกันต่อสู้และผมกราบเรียนกับพี่้น้องทั้งหลายว่านี่เป็นโอกาสครั้งเดียวของประเทศไทยที่จะขจัดระบอบทักษิณให้หมดไปจากแผ่นดินไทย ผมขอย้ำว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดเพียงครั้งเดียว เป็นโอกาสเดียวที่จะร่วมมือกันกำจัดระบอบทักษิณและตระกูลโกงให้หมดไปจากแผ่นดินไทย ครั้งนี้ ครั้งเดียวเท่านั้น"

"ดังนั้น อย่าไปกลัว เลิกกลัวได้แล้ว ไม่สู้ก็เป็นขี้ข้ามันทั้งชาติ อย่าให้ลูกหลานเป็นขี้ข้ามันต่อไป ออกมาสู้ด้วยกันวันนี้"

สุเทพได้ยกตัวอย่างประเทศอื่นที่เคยเป็นเช่นนี้มาแล้วด้วย โดยปราศรัยว่า "เคยมีประเทศอื่น เขาทำสำเร็จมาแล้ว ยกตัวอย่างประเทศอินโดนีเซีย ประธานาธิบดีซูฮาร์โต ทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ในที่สุดประชาชนอินโดนีเซียก็ขับไล่ โค่นล้มสำเร็จมาแล้ว ที่ประเทศฟิลิปปินส์ประธานาธิบดีมาร์คอส ปกครองครอบงำมา 30 ปี เผด็จการคอร์รัปชั่นแบบทักษิณ ก็ถูกโค่นล้มมาแล้วเหมือนกัน"

"เพราะฉะนั้นถ้าพี่น้องทั้งหลาย ไม่ต้องการเห็นประเทศของเราวิบัติเสียหาย จนยากแก่การฟื้นฟูเหมือนที่เคยเกิดกับฟิลิปปินส์หรืออินโดนีเซียต้องลงมือต่อสู้วันนี้ ขจัดระบอบทักษิณร่วมกันจนถึงที่สุด"

 

ขอให้ออกมาชุมนุมมากๆ ตั้งแถวจากลานพระรูปถึงท่าพระจันทร์

"เราต้องช่วยกันจริงๆ แต่ละคนช่วยกันรับผิดชอบ พี่น้องหนึ่งคนต้องชวนญาติมิตร 10 คนเป็นอย่างน้อย ชวนคนอื่นได้ยิ่งดี ให้ขบวนประชาชนยาวจากลานพระบรมรูปทรงม้า จนถึงท่าพระจันทร์ ถ้าเรามารวมได้มากมายแน่นขนัดขนาดนั้น พี่น้องข้าราชการเขาจะมั่นใจทันที เราจะร่วมสร้างประวัติศาสตร์ที่ข้าราชการหยุดงานไม่เป็นเครื่องมือระบอบทักษิณต่อไป เพราะฉะนั้นตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ต้องชักชวนพี่น้องเราทั่วสารทิศมาเพิ่มขึ้นๆ ทุกวัน ครบล้านวันไหนใช้มาตรการเด็ดขาดสุดท้ายวันนั้น ออกมาให้เร็ว ออกมาทันที เราต้องจบเรื่องนี้ให้ได้โดยเร็ว และขอให้พี่น้องคอยจับตาคนในตระกูลชินวัตร"

"พี่น้องทั้งหลาย วันนี้เปิดหัวใจพูดกัน ผมจะร่วมต่อสู้กับพี่น้องจนถึงที่สุดแต่ถ้าพี่น้องไม่ยอมออกมาให้เป็นล้าน ผมก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างอยู่ในมือพี่น้อง พวกผมทุกคนบนนี้เอาหัวใจวางไว้กับหัวใจพี่น้อง ขอให้เรารวมใจเป็นหนึ่งเดียว และดำเนินการด้วยสุดแรงของทุกคน ภายในเดือนนี้ ระบอบทักษิณจะต้องถูกขจัดออกจากแผ่นดินไทย ชัยชนะต้องเป็นของประชาชน"

โดยสุเทพทิ้งท้ายไว้ก่อนเป่านกหวีดว่า "ขอเป่านกหวีดยกสำคัญ ขจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นจากแผ่นดินไทย" โดยผู้ชุมนุมได้โห่ร้องกึกก้อง

หลังจากนั้น อัญชะลี ไพรีรัก ได้ปราศรัยด้วยว่า ถ้าเจอนายกรัฐมนตรีขอให้เป่านกหวีดใส่ "ปีนี้ ถ้าไม่เรียกว่าปีแสบหู แล้วจะเรียกว่าปีอะไร" อัญชะลีกล่าว นอกจากนี้ยังปราศรัยอ้างว่าสมชาย และเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ได้เดินทางไปฮ่องกง และลูกของทักษิณก็หนีไปแล้ว และได้ประกาศว่าจะเอาตัวอย่างสินค้ามาแสดงในที่ชุมนุมเพื่อให้ผู้ชุมนุมได้ร่วมกันบอยคอต โดยประกาศให้ผู้ชุมนุมไม่ดูวอยซ์ทีวี และไม่ใช้สินค้าที่โฆษณาในวอยซ์ทีวี ไม่ฟังเพลงของใบเตย อาร์สยาม

และมีการปราศรัยด้วยว่า บรรดารัฐมนตรีทั้งหลายใครมีการค้าอะไร พวกโรงแรมเครือคุณปลื้มเราจะไม่ไปพักไม่ไปซื้อ ไม่ไปใช้ และประกาศด้วยว่า "ถ้าเราใจเด็ดๆ แม่นๆ ไม่กินไม่ใช้ไม่สมาคม เจอที่ไหนเป่านกหวีดใส่ ระบอบทักษิณอยู่ไม่ได้แน่" นอกจากนี้มีการประกาศชื่อร้านแต่งเล็บแห่งหนึ่งในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ และระบุว่าลูกสาวทักษิณไปใช้บริการที่นั่น และเชิญชวนไม่ให้ประชาชนไปแต่งเล็บที่ร้านแห่งนั้น

ขณะที่สถานการณ์ที่เวที ถ.ราชดำเนิน เมื่อเวลา 20.00 น. มีการร้องเพลงพระราชนิพนธ์ "แผ่นดินของเรา" โดยหลังจากนั้นมีการสลับขึ้นมาปราศรัยของแกนนำกลุ่มต่างๆ ด้วย

 

บรรยากาศชุมนุมในวันที่ 15 พ.ย. ที่สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ถ่ายทอดสด โดยจอใหญ่สุดที่สะพานมัฆวานรังสรรค์เป็นการชุมนุมของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) จอเล็กด้านบนคือการชุมนุมของกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ และจอเล็กด้านล่างคือการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน

 

กปท.จะไม่ร่วมกับกลุ่มไหน เพราะยกระดับ 'ปฏิวัติประชาชน' แล้ว

สำหรับความเคลื่อนไหวของการชุมนุมอื่นๆ นั้น "เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย" หรือ คปท. ซึ่งชุมนุมอยู่ที่ ถ.ราชดำเนิน เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์นั้น อุทัย ยอดมณี แกนนำ คปท. ได้นำผู้ชุมนุมขึ้นรถโดยสาร 4 คันไปให้กำลังใจคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถ.แจ้งวัฒนะ ซึ่งจะวินิจฉัยคดีแก้รัฐธรรมนูญในวันที่ 20 พ.ย. นี้ นอกจากนี้ได้เดินทางไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพื่อติดตามหลังจากร้องเรียนว่ามีชายชุดดำ และกองกำลังชาวต่างชาติลักลอบเข้ามาในประเทศเพื่อก่อความรุนแรงในการชุมนุม

ส่วนการชุมนุมของกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ หรือ กปท. ที่ ถ.ราชดำเนิน ด้านสะพานผ่านฟ้าลีลาศ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ คณะเสนาธิการร่วม กปท. ระบุว่า จะไม่มีการเคลื่อนไหว หรือไปร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มใด เพราะที่ผ่านมาได้ยกระดับเป็นประชาชนปฏิวัติ ปฏิรูปประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนกรณีพรรคประชาธิปัตย์ จะประกาศยกระดับการชุมนุมขับไล่รัฐบาลในวันนี้ กปท.ก็จะตั้งมั่นในพื้นที่ แต่ก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะแม้ต่างมีวัตถุประสงค์กัน แต่มีเป้าหมายสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน

 

'พิภพ ธงชัย' ปราศรัยเวที คปท. แนะสุเทพเรื่องอารยะขัดขืน 4 ข้อ

ในเวลาประมาณ 23.20 น. พิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นปราศรัยที่เวที คปท. กล่าวถึงมาตรการ 4 ข้อที่เสนอโดยสุเทพ เทือกสุบรรณว่า ในข้อเรียกร้อง 4 นั้น ข้อแรกเรื่องถอดถอน ส.ส. 310 คน เป็นกระบวนการของพรรคการเมือง ส่วนที่จะไม่สมาคมกับบริวารทักษิณนั้น ก็เป็นการแสดงความแอนตี้ เป็นวัฒนธรรมแบบใหม่ เพราะสังคมไทยไม่ค่อยมีการแสดงลักษณะแบบนั้น

ส่วนข้อสามที่จะไม่ซื้อขายสินค้าในเครือข่ายบริวารทักษิณนั้น น่าจะหมายถึงเครือข่ายบริษัทต่างๆ ของ ครม. ด้วย ถือว่าเป็นการเรียกร้องต่อผู้ชุมนุมว่าควรจะร่วมใจกันอย่างนี้ อย่าง ชาเขียวยี่ห้อหนึ่ง ก็มีการพูดกันในเฟสบุ๊คว่าจะไม่ซื้อ หรือบอยคอต  ทั้งนี้ในเชิงคุณภาพของชาเขียว ชาเขียวที่ใส่น้ำตาลหรือแช่เย็น คนญี่ปุ่นเขาไม่ทานกัน เขาถือว่ามันมีปัญหาคุณภาพ ชาควรกินร้อนๆ และเสนอด้วยว่าอยากให้สุเทพ มาชี้แจงด้วยว่ามีสินค้าอะไรบ้างที่จะบอยคอต เพราะพี่น้องประชาชนคงไม่รู้ว่าบริษัทที่เกี่ยวกับรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์มีอะไรบ้าง เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์น่าจะออกมาบอก และน่าจะเอาจริงที่ว่า อย่างน้อยบริเวณพรรคประชาธิปัตย์ และในที่ชุมนุม ก็ควรมีการแสดงว่าจะต้องไม่มีสินค้าแบบนี้

 

แนะเรื่อง ขรก.หยุดงาน ต้องบอกล่วงหน้าและแจ้งให้ชัด หวังปลายทางควรเป็นการปฏิรูป

ส่วนข้อสี่ที่สุเทพ เสนอให้หยุดงานนั้น พิภพเสนอว่า ในต่างประเทศนั้น การนัดหยุดงานของหน่วยงานราชการจะต้องประกาศล่วงหน้าว่าจะหยุดวันไหน คนใช้บริการหน่วยงานรัฐจะได้รู้ จะได้วางแผนถูกว่าจะต้องรีบไปใช้บริการจากหน่วยงานวันไหน ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องแสดงรายละเอียด

ทั้งนี้หากรัฐบาลมีการยุบสภาและการเลือกตั้ง ในช่วงเวลานี้พรรคประชาธิปัตย์อาจจะมีความได้เปรียบเพราะพรรครัฐบาลมีปัญหาเรื่องคะแนนนิยม แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เดินหน้าประชานิยมไม่ต่างจากเพื่อไทยก็อาจจะแพ้และได้ ส.ส. ไม่ถึง 160 เสียง ทั้งนี้พิภพเสนอด้วยว่าปลายทางของการต่อสู้ของประชาชนนั้น ควรเป็นการปฏิรูปประเทศไทยซึ่งไม่ใช่มีตัวเลือกแค่สองวิธีคิดของพรรคการเมือง

นอกจากนี้ในช่วงเวลาประมาณ 00.10 น. เข้าสู่วันใหม่ พิธีกรบนเวทีได้ประกาศซักซ้อมผู้ชุมนุมสำหรับการเดินขบวนในวันพรุ่งนี้ โดยขอให้ผู้ชุมนุมยึดแนวทางสันติวิธี ให้ฟังเสียงจากรถนำขบวนที่บัญชาการการชุมนุม และให้เตรียมน้ำดื่มใส่กระเป๋าเป้ และผ้าขนหนู มะนาวฝาน สำหรับป้องกันแก๊สน้ำตา

 

คปท. เตรียมเคลื่อนประชิดแนวป้องกันตำรวจเพื่อปักธงชาติ

อนึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงหัวค่ำ เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า นิติธร ล้ำเหลือ แกนนำ คปท. ปราศรัยด้วยว่า พรุ่งนี้่ คปท.จะเดินทางไปตรวจเยี่ยมทุกแนวเขต พ.ร.บ.ความมั่นคงทุกด่าน "แต่ไม่ต้องตกใจเราจะไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม สันติ อหิงสา เอาธงชาติไปติดทุกด่าน ให้รู้ว่านี่คือแผ่นดินไทย แล้วถ้ายังห้าม วันทำการเราจะเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วเอาธงชาติคืนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นอกจากนี้จะเป็นกิจกรรมตื่นเต้น ซึ่งยังไม่บอก"

"เราจะไปปลุกจิตสำนึกของข้าราชการ จากนี้่จนอาทิตย์หน้าเราจะเอาธงชาติไปติดหน่วยราชการทุกหน่วย อันนี้แค่ยกระดับเท้า แล้วเราจะยกระดับกันไปเรื่อยๆ" นิติธรกล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ 'นายก-รมว.มหาดไทย'

Posted: 15 Nov 2013 03:10 AM PST

รวมทั้งยื่นวุฒิสภาถอดถอนนายกรัฐมนตรี และ 2 รัฐมนตรี กล่าวหาทุจริตและกระทำผิดกฎหมาย ส่ง ป.ป.ช. ภายใน 15 วัน



15 พ.ย. 2556 - สำนักข่าวไทยรายงานว่าฝ่ายได้ค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้รับ แต่ไม่ระบุว่าจะบรรจุวาระเมื่อใด โดยทวงถามถึงเอกสารคำร้องข้อกล่าวหายื่นถอดถอน อ้างวิปรัฐบาลร้องขอ ขณะที่ฝ่ายค้านยืนยันตามธรรมเนียมปฏิบัติไม่ต้องยื่นเอกสารดังกล่าว มองเป็นการช่วยรัฐบาล โดยประธานสภาฯ เตรียมหารือฝ่ายกฎหมายในวันจันทร์หน้า

ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกันนี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นผู้นำรายชื่อ ส.ส. รวม 146 คน ยื่นต่อวุฒิสภา ถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี และนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวหาทุจริตและกระทำผิดกฎหมาย เพื่อให้ส่ง ป.ป.ช. ภายใน 15 วัน และเวลา 16.00 น. จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อประธานสภาฯ แต่ไม่เผยรายละเอียด

ด้านรองประธานวุฒิสภากล่าวว่า หลังจากนี้จะตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อ หากไม่มีปัญหาจะยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภายใน 15 วัน ซึ่งหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด วุฒิสภาจะดำเนินการถอดถอนตามกระบวนการต่อไป

ที่มา: สำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เอแบคโพลล์แจงภาพตัดต่อโพลล์ความเป็นผู้นำ 'อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์'

Posted: 15 Nov 2013 02:25 AM PST

ชี้ภาพตัดต่อผลสำรวจปลอมในโซเชียลเน็ตเวิร์คไม่ใช่ของเอแบคโพลล์ ยืนยันในเจตนารมณ์ของสำนักวิจัยฯ ที่จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองใดๆ ตามนโยบายของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ



ที่มาภาพ: ขบวนการเสรีไทยเฟซบุ๊ค
 

การชี้แจงของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์



15 พ.ย. 2556 - หลังจากที่มีการเผลแพร่ภาพเปรียบเทียบภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำของ นายอภิสิทธ์ิ เวชชาชีวะ กับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยอ้างว่าเป็นผลการสำรวจของเอแบคโพลล์นั้น

วันนี้ (15 พ.ย.) สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้แจ้งต่อสื่อมวลชนว่าตามที่ได้มีการนำผลโพลล์ภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำของ นายอภิสิทธ์ิ เวชชาชีวะ กับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เผยแพร่ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค โดยอ้างว่าเป็นผลสำรวจของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ นั้น ดร. ปรีชา เมธาวัสรภาคย์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ขอชี้แจงว่าผลสำรวจดังกล่าวไม่ใช่ผลสำรวจของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ และขอยืนยันในเจตนารมณ์ของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ที่จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองใดๆ ตามนโยบายของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสวนา สื่อไทย: วาทกรรมได้ดินแดน เสียดินแดน

Posted: 15 Nov 2013 01:35 AM PST

บ.ก.ข่าวต่างประเทศ เดอะเนชั่น ยืนยันสาระสำคัญของคำตัดสินศาลโลกคือตัวปราสาทและผืนดินใต้ปราสาทเป็นของกัมพูชา เหลือให้ไปเจรจากันเอาเอง สุเจน กรรพฤทธิ์ กองบ.ก.สารคดีชี้ หากคนไทยไม่ทะเลาะกันเอง อาจจะได้เปรียบมากกว่านี้ แยม-ฐปนีย์ บอกคลั่งชาติได้แต่อย่ากระหายสงคราม

เสวนาหัวข้อ สื่อไทย: วาทกรรมได้ดินแดน เสียดินแดน โดย Media Inside Out เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2556

 

15 พ.ย. 2556 Media Inside Out จัดเสวนาหัวข้อ สื่อไทย: วาทกรรมได้ดินแดน เสียดินแดน โดยมีสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี บรรณาธิการข่าวต่างประเทศ หนังสือพิมพ์ เดอะเนชั่น, ฐปนีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวรายการสามมิติ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 และสุเจน กรรพฤทธิ์ กองบรรณาธิการนิตยสารสารคดี

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี บรรณาธิการข่าวต่างประเทศ เดอะเนชั่น กล่าวว่าสองประเด็นใหญ่ๆ เรื่องแรกคือ คำพิพากษาสร้างความงุนงง ทั้งที่จริงๆ ไม่มีอะไรให้งง เหตุที่งงเพราะมีอคติครอบงำอยู่ ถ้าอ่านโดยปราศจากอคติใดๆ หรือไม่มีความกลัว ตื่นเต้นว่าจะออกมาอย่างไร วิตกจริตว่าจะได้หรือเสียอะไร และกลัวผลของมัน แต่ตามจริงคำพิพากษาก็เห็นอยู่ทนโท่แล้ว โดยศาลบอกว่าปราสาทพระวิหารและพื้นที่ใต้ปราสาทอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชา

ประเด็นต่อมา ปีนี้ศาลให้คำใหม่มาถกเถียงหลังจากคำว่า vicinity ซึ่งก็เถียงกันมาห้าสิบปีแล้ว แต่ปีนี้ศาลให้คำใหม่ คือคำว่า promontory

เขาเล่าเกร็ดเพิ่มเติมว่าศาลโลกเป็นศาลที่ให้บริการดีมาก หลังอ่านคำพิพากษาเจ้าหน้าที่ก็แจกเอกสารทันที และเจ้าหน้าที่จะคอยบอกว่าศาลจะอ่านครึ่งแรกเป็นภาษาฝรั่งเศส ยี่สิบนาที ภาษาอังกฤษ 40 นาที ส่วนสำคัญที่สุดศาลจะอ่านเพียงสี่สิบวินาที เมื่อถึงจุดที่สำคัญ เจ้าหน้าที่จะมาบอกนักข่าว ซึ่งจุดสำคัญนั้นก็คือย่อหน้าที่ 98 ซึ่งศาลกำหนดคำว่า promontory ซึ่งเขาเปิดพจนานุกรมของออกฟอร์ดแปลว่าสิ่งที่ยื่นไปในทะเล

จากนั้นเขาเขียนเป็นภาษาไทย แปลว่าชะง่อนผา แต่รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายณัฐวุฒิ โพธิสาโร ทักท้วงว่าน่าจะแปลว่าจะงอย หรือจะเป็นชะโงก แต่ทูตวีรชัย พลาศรัยอกว่าผิดทั้งคู่ ต้องแปลว่ายอดเขา เป็นการแปลจากภาษาฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเส้นเขตแดนเส้นไหนที่จะเอามาใช้อ้าง เพราะมีแผนที่ที่จะมาใช้อ้างอิงอีกหลายฉบับซึ่งไม่ตรงกันเลยสักฉบับ เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันได้อีกยาวบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ เครือเนชั่นกล่าวว่า สาระสำคัญนอกจากย่อหน้า 98 ที่กำหนดเขตที่ใช้คำใหม่คือ promontory ซึ่งแปลตามภาษาฝรั่งเศสว่ายอดเขาซึ่งยังมีปัญหาว่าจะกินอาณาบริเวณเท่าไหร่

อีกย่อหน้าที่สำคัญมากคือ ย่อหน้า 99 ที่ระบุว่า ศาลยอมรับว่าการขีดเส้นเขตแดนตามคำพิพากษาศาลโลกปี พ.ศ. 2505 ตามที่ไทยยกขึ้นมาว่าทำได้ยากในภูมิประเทศจริงนั้น ศาลยอมรับว่ายากจริงๆ และได้กำหนดมาตรการเพิ่มเติมว่า ให้สองฝ่ายไปหาทางออกร่วมกัน 'In good faith' คือให้มีเจตนาดีต่อกันอย่างประนีประนอม และที่สำคัญที่สุดคือ ห้ามฝ่ายใดฝ่ายใดหนึ่งทำคนเดียวซึ่งคำพิพากษาปี 2505 ไม่มีวรรคนี้อยู่

ย่อหน้า 99.The Court notes Thailand's argument about the difficulty of transposing the Annex I map and thus of ascertaining the precise location on the ground of the Annex I map line in the area described in the preceding paragraph. The 1962 Judgment did not, however, address thatquestion and the Court cannot now, in the exercise of its jurisdiction under Article 60 to interpret the 1962 Judgment, deal with a matter which was not addressed by that Judgment. Nevertheless, the parties to a case before the Court have an obligation  to implement  the judgment of the Court in good faith. It is of the  essence  of  that obligation that it does not permit either party to impose a unilateral solution.

บรรณาธิการโต๊ะข่าวต่างประเทศกล่าวว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง สื่อทำหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ สื่อเป็นผู้ผลิตซ้ำวาทกรรมซึ่งชนชั้นนำในสังคมนั้นต้องการสื่อ "ยิ่งมาพิจารณาในแง่มุมระดับชาติ ที่ไทยจะต้องทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนบ้าน ผมไม่คิดว่าสื่อไทยจะหลุดจากกรอบนี้ได้ ต้องรายงานบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของชาติไทยคืออะไร แต่เขานิยมผลประโยชน์ของชาติบนความเข้าใจที่แตกต่างกันมาตั้งแต่ต้น ประเด็นพระวิหารถูกใช้เป็นเครื่องมืออันหนึ่งเพื่อห้ำหั่นอีกฝ่ายหนึ่ง เป้าหมายวาทกรรมไม่ใช่เพื่อทะเลาะกัมพูชาแต่เพื่อทะเลาะกันเอง

ฐปนีย์ เอียดศรีไชย แลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำข่าวในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ชาวบ้านในพื้นที่หวาดกลัวเรื่องการสู้รบ อยากเห็นปราสาทพระวิหารได้กลับมาเปิดเพื่อการท่องเที่ยว ไม่อยากอยู่แบบเตรียมกระเป๋าใบหนึ่งแล้ววิ่งเข้าหลุมหลบภัย

สำหรับประเด็นการเท่าทันสื่อในการรายงานข่าวเรื่องข้อพิพาทเขาพระวิหารนั้น ฐปนีย์มองว่าแม้แต่คนทำสื่อเองก็ยังรู้สึกเหมือนประชาชนว่า ที่เขาทำข่าวไปนั้นถูกหรือผิด เพราะสื่อก็เลือกอธิบายในสิ่งที่เขาคิด แต่ส่วนตัวเธอเป็นสื่อเรามองว่าขอแค่ในพื้นที่ที่ทำงานอยู่ สื่อต้องให้ข้อมูลกับสังคมในทางที่ถูกต้อง สำหรับเรื่องนี้ทุกครั้งที่ไปทำข่าว ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ชายแดนก็จะศึกษา ถ้าไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้เราก็จะหลงไปกับวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมา

ฐปนีย์ยอมรับว่าช่วงแรกก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนแรกที่กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลก ก็ยังลุ่มหลงไปกับวาทกรรมรักชาติ  แต่พอได้มาศึกษาและวิเคราะห์พิจารณาได้ว่าบางเรื่องสื่อก็มีความสำคัญในการปลุกระดมหรือปลุกปั่นวาทกรรมเหล่านั้น เมื่อเริ่มมีการต่อสู้คดี เราก็จะเริ่มพูดกันว่าเราจะต้องไม่สูญเสีย 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นสิ่งที่คนในเมืองพูดกัน แต่คนที่ชายแดนเขาจะพูดว่าเขาไม่อยากสู้รบ ดังนั้นในฐานะทีเป็นสื่อ เธอเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการนำเสนอความเห็น เน้นเรื่องข้อเท็จจริงและคำอธิบายมากกว่าอารมณ์ความรู้สึก พยายามให้ข้อมูลสิ่งที่คนต้นทางให้มา

ฐปนีย์กล่าวทิ้งท้ายว่า สังคมไทยบาดเจ็บมาเยอะแล้ว วันนี้เราเห็นความสัมพันธ์ของรัฐบาลสองประเทศสามารถพูดคุยกันได้ ปีหน้าไม่รู้จะเป็นอย่างไร อาจจะมีการฟ้องร้องกันใหม่ ก็ขอให้ติดตามและพยายามดูข้อเท็จจริง รักชาติได้ คลั่งชาติได้ แต่ทำไมต้องกระหายสงคราม เพราะสุดท้ายแล้วคนที่เดือดร้อนไม่ใช่พวกคุณ คนที่เดือดร้อนอยู่ที่ชายแดน

สุเจน กรรพฤทธิ์ กองบรรณาธิการสารคดี วิพากษ์ว่านักข่าวอ่อนแอมากในแง่องค์ความรู้ ถ้าจะพูดไปเรื่องการได้หรือเสียดินแดน ปัญหาลักษณะนี้ไม่ได้มีพื้นที่เดียว ฝั่งพม่าก็มี อีกกรณีที่ใหญ่มากๆ ก็คือที่เชียงราย กองกำลังทหารไทยวางกำลังนอกประเทศอยู่ลึกไปเกือบสิบกิโล ขณะที่พม่าก็ล้ำเข้าในเขตไทยอีกสิบกว่ากิโลเมตร

เขาตั้งข้อสังเกตว่าคำพิพากษาศาลโลกปี พ.ศ. 2505 ศาลลงมติ 9 ต่อ 3 ปีนี้ศาลโลกลงมติ 15+2 ต่อ 0 และผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ไทยเลือกเข้าไป ก็ยังโหวตไปในทิศทางเดียวกัน มติเช่นนี้มีความหมายมาก แต่ยังไม่ค่อยมีคนพูดถึง

สุเจนกล่าวว่า หากย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ช่วงที่มีการพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ก็เหมือนนักเลงท้องถิ่นอย่างสยามมาเจอนักเลงระดับโลก คือฝรั่งเศสซึ่งใครมีปืนมากกว่าก็ชนะ ถ้ามองในมุมนี้ไทยก็ได้ภาคอิสานมา ฝรั่งเศสเขาก็ได้ของเขาในส่วนที่เป็นลาว

"ไม่ต้องเท้าความว่ากลุ่มการเมืองไหนที่ทำให้การตีความกลับไปที่ศาลโลก พูดอย่างน่าเกลียดหน่อย จริงๆ ไทยอาจจะได้เปรียบด้วยซ้ำถ้าไม่ยกเรื่องนี้ขึ้น"

สุเจนกล่าวว่าลาวเองก็จับตาคดีนี้อยู่ เพราะแผนที่ 1: 200,000 นั้นเกี่ยวพันกันหมด 11 ระวางซึ่งใช้ในการแบ่งเส้นเขตแดนไทย-ลาวด้วย

สุเจนตั้งข้อสังเกตต่อไปถึงบทบาทของอาเซียน ซึ่งหลายฝ่ายคาดหวังว่าจะเข้ามาทำหน้าไกล่เกลี่ยข้อพิพาท แต่ทั้งไทยและกัมพูชาล้วนมองข้ามอาเซียนไป กัมพูชาเองก็ไปที่คณะมนตีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก่อนจะมาสู่ศาลโลก ในส่วนของวาทกรรมเสียดินแดนเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในหัวของนักข่าว ปัญหานี้ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครือข่ายลดอุบัติเหตุ ร่วมรำลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน

Posted: 15 Nov 2013 01:23 AM PST

15 พ.ย. 2556 - นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) และในฐานะคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้วันอาทิตย์สัปดาห์ที่สามเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็น "วันโลกรำลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน"  (World Day Of Remembrance For Road Traffic Victims)  และเป็นวันสำคัญของชาติ โดยในปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2556 เป็นวันที่สมาชิกทั่วโลกพร้อมใจกันจัดกิจกรรม เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้มองเห็นความสำคัญของปัญหาด้านอุบัติเหตุ เข้าใจถึงผลกระทบ รับรู้ถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น และตระหนึกถึงสิ่งที่ต้องทำเพื่อป้องกันมิให้อุบัติเหตุทางถนนเกิดขึ้น  โดยเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1896  นับเป็นวันที่มีอุบัติเหตุจราจรเกิดขึ้นครั้งแรกในโลก... เหยื่ออุบัติเหตุจราจรรายแรกของโลกเป็นชาวอังกฤษ ชื่อ นางบริดเก็ต ดริสดอลล์ (Bridget Driscoll) อายุ 44 ปี เธอถูกรถชนขณะร่วมชมขบวนแห่รถของบริษัท Anglo-French Motor Carriage Company ที่นำรถมาจัดแสดงบริเวณ the Crystal Palace in London โดยรถที่วิ่งชนเธอใช้ความเร็วเพียง 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เธอคือเหยื่ออุบัติเหตุจราจรรายแรกของโลก และแน่นอนว่านี่มิใช่เหยื่อรายสุดท้าย...

นายพรหมมินทร์ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในหลายประเทศทั่วโลกที่กำลังเผชิญกับผลกระทบจากอุบัติเหตุจราจรอย่างหนักหน่วง ทำให้รัฐบาลต้องยกให้ปัญหาดังกล่าวเป็นวาระแห่งชาติ โดยกำหนดให้ปี 2554-2563 ให้ทุกภาคส่วนดำเนินโครงการทศวรรษความปลอดภัยทางถนน เพื่อกำหนดมาตรการแนวทางการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนให้ลดลง  ทั้งนี้จากข้อมูลองค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่า ปี พ.ศ. 2573 หรืออีก 19 ปีข้างหน้า หากแต่ละประเทศไม่มีมาตรการที่ดีในการป้องกันอุบัติภัยทางถนน จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเฉลี่ยปี ละ 2.4 ล้านคน ซึ่งทำให้อันดับสาเหตุการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุขยับสูงขึ้นจากอันดับ 9 ในปี พ.ศ. 2547 เป็นอันดับ 5 นำหน้าโรคร้ายหลายโรค รวมถึงโรคเอดส์ และโรคมะเร็ง  ในปี 2573 อย่างแน่นอน   โดยในปัจจุบันปัญหาอุบัติเหตุจราจรได้คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกมากถึงปีละ 1.3 ล้านคน   บาดเจ็บพิการปีละ 50 ล้านคน  และ อุบัติเหตุจราจร คือ สาเหตุอันดับ 1 ที่คร่าชีวิตกลุ่มวัยรุ่นซึ่งมีอายุระหว่าง 15-29 ปี  ส่วนประเทศไทยมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนปีละหมื่นกว่าคน  บาดเจ็บเฉลี่ยกว่า 1 ล้านคน สาเหตุหลักการเสียชีวิตมาจาก ดื่มแล้วขับ กว่า 50 %

"ผู้ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ถือเป็นเหยื่อของระบบที่บกพร่อง ทั้งระบบการขนส่ง  การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อน  ล้วนส่งผลให้ประชาชนสังเวยชีวิตบนถนนจำนวนมาก  การที่คนไทยทนทุกข์และสูญเสียคนที่รัก คนในครอบครัวเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข ซึ่งทุกคนควรระลึกถึงบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อ ส่วนการจัดกิจกรรมรำลึกในปีนี้ ทางคณะผู้จัดงานได้มีการเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ทั้งนี้การร่วมรำลึกถึงผู้สูญเสีย ผู้ตกเป็นเหยื่อไม่จำเป็นต้องทำให้ตรงวันหรือแค่วันจัดงานเพียงวันเดียว แต่สามารถทำได้ทุกวัน ด้วยการร่วมสร้างจิตสำนึกความปลอดภัยในการใช้รถ ใช้ถนน  เคารพกฎจราจร  เพื่อหยุดการตกเป็นเหยื่ออุบัติเหตุทางถนนรายต่อไป"   นายพรหมมินทร์ กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โมเดลใหม่การพัฒนา: ยกระดับการศึกษาเพื่อเติมเต็มศักยภาพของมนุษย์

Posted: 15 Nov 2013 01:08 AM PST

ทีดีอาร์ไอห่วงประสิทธิภาพแรงงานไทยตามไม่ท้นการเติบโตกระทบเป็นห่วงโซ่ ผลพวงจากการปัญหาคุณภาพการศึกษาที่ยังต้องแก้ไข เสนอโมเดลใหม่การพัฒนา ต้องยกระดับการศึกษาเติมเต็มส่วนขาด และการพัฒนาอาชีวศึกษาให้เป็นทางเลือกที่แท้จริง ด้วยข้อเสนอ 4 สร้าง ฟังรายละเอียดทั้งหมดได้ในงานสัมมนาวิชาการทีดีอาร์ไอประจำปี 2556 ในวันที่ 18 พ.ย.นี้


    
บนเส้นทางสู่ "เศรษฐกิจแห่งวันพรุ่งนี้" ที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ยั่งยืน มีนวัตกรรม และนำพาชีวิตที่ดีให้แก่สมาชิกทุกระดับในสังคม การศึกษาจึงไม่ควรเป็นแค่ "เครื่องมือ" ของการพัฒนา "แรงงาน" ในฐานะปัจจัยการผลิต เพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงปริมาณ แต่การศึกษาควรมีคุณค่าความหมายในตัวเอง เป็นจุดหมายปลายทางในตัวเอง และเป็นไปเพื่อพัฒนา "มนุษย์" แต่ละคน ซึ่งต่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรีในตัวเอง อีกทั้งมีความปรารถนาในการเรียนรู้ที่แตกต่างหลากหลาย

โจทย์หลักของการศึกษาจึงมิใช่การตอบสนองต่อตลาดแรงงาน "อย่าง" ไร้คุณภาพ หรือตอบสนองต่อตลาดแรงงาน "ที่" ไร้คุณภาพ  ในทางตรงกันข้าม การศึกษาควรมีพันธกิจในการพัฒนา "ผลิตภาพ" ของมนุษย์ ด้วยการส่งเสริมให้มนุษย์แต่ละคนสามารถพัฒนาและบรรลุศักยภาพสูงสุดของตนในทางที่ตนเลือก

อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีว่าระบบการศึกษาของไทยมีปัญหามากมาย โดยเฉพาะการใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ กล่าวคือ ใช้ทรัพยากรมาก แต่ผลสัมฤทธิ์ต่ำ โดยในช่วงปี 2546-2556 งบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการเพิ่มขึ้นจาก 1.6 แสนล้านบาทเป็น 4.6 แสนล้านบาท แต่ในทางตรงกันข้าม ผลคะแนนการทดสอบมาตรฐานของนักเรียนไทยในระดับนานาชาติกลับมีแนวโน้มต่ำลง โดยเฉพาะผลการสอบ TIMSS 2011 ในช่วงปี 2538-2554 ซึ่งวิชาคณิตศาสตร์ลดลงถึง 95 คะแนน และวิชาวิทยาศาสตร์ลดลงถึง 74 คะแนน และมีนักเรียนไทยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 และ 60 ที่มีผลการสอบ TIMSS 2011 ต่ำกว่าระดับขั้นพื้นฐานในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ตามลำดับ ซึ่งหมายความว่านักเรียนยังมีทักษะด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ไม่เพียงพอต่อการแก้โจทย์ปัญหาในวิชาและในชีวิตประจำวัน

เมื่อพิจารณาระบบการศึกษาไทยดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พบว่า ระบบการศึกษาไทยยังมีปัญหาด้านคุณภาพอยู่มาก ทั้งสายสามัญศึกษาและสายอาชีวศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายอาชีวศึกษาที่ยังไม่สามารถเป็นทางเลือกที่แท้จริงให้กับนักเรียนที่สนใจเรียนต่อในสายอาชีพ เช่นนี้แล้ว การพัฒนาคุณภาพของระบบการศึกษาเพื่อสร้างทางเลือกคุณภาพที่หลากหลาย ทั้งสายสามัญศึกษาและสายอาชีวศึกษา จึงเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นและเร่งด่วนบนเส้นทางของการสร้างระบบการศึกษาเพื่อเติมเต็มศักยภาพของนักเรียน
    
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีนักเรียนเลือกเรียนสายอาชีวะลดลง สัดส่วนนักเรียนสายอาชีวะระดับ ปวช. ต่อสายสามัญระดับมัธยมปลาย ลดลงจาก 40:60 ในปี 2551 เป็น 35:65 ในปี 2555 ปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงน่าจะทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานอาชีวะมากขึ้น

เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว กระทรวงศึกษาธิการจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มสัดส่วนนักเรียนสามัญ/นักเรียนอาชีวะเป็น 49:51 ดังนั้น สิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการควรทำ ก็คือการยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้เรียนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรด้านงบประมาณและครู  

ภายใต้กรอบแนวคิด "การศึกษาเพื่อเติมเต็มศักยภาพของนักเรียน" บทความเรื่อง "การพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อผลิตภาพ" โดย ผศ. ปกป้อง จันวิทย์ และคุณศุภณัฏฐ์ ศศิวุฒิวัฒน์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เสนอว่าทิศทางของการปฏิรูปการศึกษาควรดำเนินไปตามแนวทาง "4 สร้าง" เพื่อสร้างระบบการศึกษาที่สามารถเติมเต็มศักยภาพของนักเรียน ได้แก่

การสร้างคน เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะขั้นพื้นฐานที่สามารถใช้ชีวิตได้ในสังคมเศรษฐกิจสมัยใหม่ และพร้อมที่จะเลือก "ทาง" ของตนได้อย่างมีคุณภาพ เช่น อ่านเป็น คิดเป็น รู้จักโลก รู้จักตัวเองและมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต เป็นต้น

การสร้างทางเลือกคุณภาพ โดยการปฏิรูประบบการศึกษาให้มีคุณภาพ เพื่อสร้างทางเลือกที่ดี มีคุณภาพ ให้นักเรียนได้เลือกอย่างหลากหลาย และเป็นระบบการศึกษาที่มีความรับผิดชอบ (accountability) ต่อนักเรียน  

การสร้างระบบข้อมูลเพื่อการตัดสินใจอย่างมีคุณภาพ โดยการพัฒนาระบบข้อมูล ระบบสื่อสารข้อมูล และระบบแนะแนวที่ดี เพื่อเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจเลือกอย่างมีคุณภาพของนักเรียนการสร้างการมีส่วนร่วม โดยเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนตลอดกระบวนการเรียนรู้

แนวทาง "4 สร้าง" มีรายละเอียดอย่างไร และปัญหามากมายในระบบการศึกษาไทย ควรจะได้รับการสะสางแบบไหน ร่วมหาคำตอบได้ในงานสัมมนาทางวิชาการประจำปี 2556 ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2556 ณ ห้องบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ บี ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ นำเสนอผลการศึกษาหัวข้อ "การพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อผลิตภาพ" (Human Capital Development for Better Productivity) โดย ผศ. ปกป้อง จันวิทย์ และคุณศุภณัฏฐ์ ศศิวุฒิวัฒน์

ทีดีอาร์ไอเชิญชวนผู้สนใจและประชาชนติดตามการเสนอผลงานศึกษาแบบเต็มๆ ผ่านการถ่ายทอดสดทางเว็บไซต์ www.tdri.or.th และร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านทางเฟซบุ๊ก facebook: tdri.thailand หรือทวิตเตอร์ twitter: @tdri_thailand
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดตัว ‘พรรคเพื่อสันติ’ พร้อมปักหมุดยึดฐานเสียงมุสลิมใต้

Posted: 14 Nov 2013 11:55 PM PST

'ชัยค์ริฎอ' นำทีมเปิดตัวพรรคเพื่อสันติพรุ่งนี้ที่นราธิวาส ชูนโยบาย 7 ด้าน เน้นใช้ความยุติธรรมดับไฟใต้ พร้อมปักหมุดยึดฐานเสียงมุสลิมชายแดนใต้ สงขลาและฝั่งอันดามัน จากกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติสู่ช่องทีวี white channal กระทั่งตั้งเป็นพรรคการเมือง

 

15 พ.ย. 2556 - นายมัรวาน อามะ ผู้ประสานงานของพรรคเพื่อสันติประจำจังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่า เวลา 16.00 น.วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2556 นี้ จะมีการเปิดตัวพรรคเพื่อสันติ ที่โรงแรมอิมพีเรียล อ.เมือง จ.นราธิวาส โดยนายปราโมทย์ สะมัดดี หรือชัยค์ริฎอ อะหมัด สมะดี หัวหน้าพรรคจะเป็นผู้แถลงข่าวเปิดตัว พร้อมกับคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อสันติ

นายมัรวาน เปิดเผยด้วยว่า พรรคเพื่อสันติ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา และได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วที่กรุงเทพมหานคร ขณะนี้มีผู้สมัครเป็นสมาชิกพรรคกว่า 1,000 คนแล้ว

นายมัรวาน เปิดเผยอีกว่า นโยบายของพรรคเพื่อสันติมี 7 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านความมั่นคงของประเทศ 2.ด้านพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งเน้นด้านความยุติธรรม และต้นเหตุของปัญหา ประกอบด้วย การศึกษาและยาเสพติด 3.ด้านเมืองหลวง 4.ด้านเยาวชน ครอบครัว การศึกษา สังคมและการปราบปรามยาเสพติด 5.ด้านเกษตรและการพัฒนาชนบท 6.ด้านเศรษฐกิจและการเงินการคลัง 7.ด้านสาธารณสุข

นายมัรวาน เปิดเผยด้วยว่า พื้นที่เป้าหมายในการขยายฐานสมาชิกของพรรคเน้นพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รองลงมาคือจังหวัดสงขลา และจังหวัดแถบชายฝั่งทะเลอันดามัน

ที่มาของพรรคเพื่อสันติ

นายมัรวาน เปิดเผยต่อไปว่า พรรคเพื่อสันติเกิดมาจากการก่อตั้งกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ เมื่อเดือนตุลาคม 2544 มีเป้าหมายเพื่อการช่วยเหลือมุสลิมที่ได้รับความไม่เป็นธรรมจากรัฐ

ต่อมาในปี 2550 กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้จัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคคนมุสลิม โดยมีนักวิชาการนักวิจัยมุสลิมดูแลตรวจสอบขั้นตอนการผลิตและส่วนผสมของอาหารสำหรับมุสลิม จากนั้นปี 2551 กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้ตั้งสำนักงานข่าวมุสลิม ชื่อ Thailand News Darusalam หรือ TND เพื่อรายงานข่าวสารให้คนมุสลิมอ่านโดยเฉพาะ

หลังจากนั้นปี 2553 ได้ตั้งกลุ่มออมทรัพย์มุสลิม ชื่อว่า อิสลามอามานะห์ เพื่อให้บริการทางการเงิน ปี 2554 ได้จดทะเบียนเป็นมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ เพื่อช่วยเหลือดูแลพี่น้องมุสลิมที่เดือดร้อน

ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2555 ได้จัดตั้งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ชื่อ White Channal นำเสนอรายการสอนศาสนาอิสลาม ต่อมาเดือนกันยายน 2555 ได้ก่อตั้งสถาบันวิจัยส่งเสริมการเมืองการปกครองแบบอิสลามขึ้น จนกระทั่งได้ก่อตั้งพรรคเพื่อสันติเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา

สำหรับกำหนดการเปิดตัวพรรคเพื่อสันติในวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2556 เริ่มตั้งแต่เวลา 16.00 – 22.30 น. เริ่มจากการแถลงข่าว เปิดตัวพรรคเพื่อสันติต่อสื่อมวลชน

จากนั้นเวลา 17.00 มีการบรรยายพิเศษหัวข้อ "มุสลิมสามารถเลือกผู้นำที่ดีได้" โดยดร.อนิส พัฒนปรีชาวงศ์ จากนั้นเวลา 20.00 น.เป็นต้นไป จะมีการเสวนาพิเศษหัวข้อ "เพื่อสันติ...เพื่อสันติจะทำอะไร"โดย อาจารย์มุรีด ทิมะเสน และอาจารย์ศิดดิ๊ก มูฮัมหมัดสะอีด ดำเนินรายการโดย

เวลา 21.30 – 22 .30 น. เวทีปราศรัย "พรรคเพื่อสันติ" โดยชัยคฺริฎอ อะหมัด สมะดี หัวหน้าพรรค และ คณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อสันติ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทูตวีรชัยลั่น ไม่มีใครเอาแผ่นดินนี้ไปได้ ตราบที่ยังเจรจาไม่จบ

Posted: 14 Nov 2013 07:23 PM PST

ทูตวีรชัยวอนเคารพการทำงานภายในและการเจรจากับกัมพูชา ชี้ การประเมินคาดเดาไปก่อนว่าไทยเสียพื้นที่เท่าไหร่ เพิ่มงานหนักเหมือนเอาหินมาผูกหลังทีมเจรจา

วีรชัย พลาศรัย  เอกอัครราชทูตประจำกรุงเฮกประเทศเนเธอแลนด์ ร่วมเสวนา "เบื้องหลังคดีตีความปราสาทพระวิหาร" ที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมือเช้าวันที่ 15 พ.ย. 2556

วีรชัย พลาศรัย  เอกอัครราชทูตประจำกรุงเฮกประเทศเนเธอแลนด์ 

 

15 พ.ย. นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอแลนด์ ร่วมเสวนา "เบื้องหลังคดีตีความปราสาทพระวิหาร" ที่คณะนิติศาสตร์จุฬาฯ อธิบายเพิ่ม ไทยได้อะไรบ้าง-เสียอะไรบ้าง

โดยทูตวีรชัยระบุไทยได้สามอย่างหลักๆเป็นสิ่งที่ได้และไม่ต้องเจรจากันอีก ทางการต่างประเทศจบแล้ว

ไทยได้อะไร

หนึ่ง ภูมะเขือไม่ได้รวมอยู่ในคำว่าบริเวณใกล้เคียงตามคำพิพากษา 2505 ซึ่งกัมพูชาเคลม แต่ศาลไม่ได้ตัดวินให้เป็นของไทยเท่าที่ทราบไม่มีประเทศไหนในโลกที่อ้างสิทธิในภูมะเขือ แต่ผมคิดว่าไม่มีในทางปฏิบัติก็คือ น่าจะเป็นของเรา ไม่รู้ว่ากัมพูชาจะว่าอย่างไรแต่ถ้าเรานั่นโต๊ะเจรจาเราก็ต้องบอกว่าเป็นของเรา

สอง เส้นบนแผนที่หนึ่งต่อสองแสนที่กัมพูชาใช้เป็นหลักฐานและถ่ายทอดเส้นเขตแดนออกมาเส้นนี้ศาลไม่รับ ตกไป 4.6ตารางกิโลเมตรไม่มีอีกต่อไป ไม่ต้องมาเจรจา

สาม เส้นบนแผนที่หนึ่งต่อสองแสนที่เขาอ้างมาตลอดว่าผูกพันไทยโดยผลคำพิพากษา 2505 เราบอกไม่ใช่ และคำพิพากษานี้ที่มัดคอ เป็นหนามยอกอก ถือว่าถอนออกหมดแล้วศาลบอกว่าคำพิพากษา 2505 กำหนดแคบลง ซึ่งยังไม่รู้ว่ามีพื้นที่เท่าไหร่ ต้องเจรจา นอกนั้นไม่สามารถบอกว่าผูกพันไทยได้อีกแล้ว

เขาย้ำว่าทั้งสามประการนี้ได้มาโดยไม่ต้องมีการเจรจาอีกต่อไป

ไทยเสียอะไร

เสียหลักฐานเส้นเขตแดนบนแผนที่ตามมติครม. ที่ไทยอ้างศาลให้เส้นนี้ตกไปด้วยเหตุผลว่าศาลได้ค้นพบหลักฐานสองชิ้นในคดีเก่า

จากนั้นหัวหน้าทีมทนายสู้คดีพิพาทเส้นเขตแดนเขาพระวิหารกล่าวถึงคำตัดสินย่อหน้า 98 ซึ่งศาลบรรยายว่า promontory เป็นอย่างไร ก็มีปัญหาว่าจะเอาเส้นนี้ไปใส่ในแผนที่อย่างไรเพราเส้นนี้ทำขึ้นในปี ค.ศ. 1904-1907เมื่อร้อยกว่าปีแล้ว ซึ่งทางไทยได้พยายามต่อสู้และศาลรับฟัง ดังที่ปรากฏต่อมาใน ย่อหน้า  99 ของคำพิพากษา ว่าศาลรับทราบความยากในการถ่ายทอดเส้นบนแผนที่อันหนึ่งลงไปในแผนที่อีกอันหนึ่งซึ่งมาตราส่วนต่างการสัณฐานโลกต่างกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยโดย ทนายเอลินา มิรองได้พยายามนำเสนอในศาล ทูตวีรชัยกล่าวว่าข้อต่อสู้นี้ ทีมทนายฝ่ายไทยทำให้ศาลรับฟังได้ ดยต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตาของคณะทำงาน และศาลให้เจรจาซึ่งไม่ได้กำหนดเวลาว่าจะต้องเจรจาให้เสร็จสิ้นเมื่อไหร่โดยตัวเขาเองเชื่อว่าคนรุ่นนี้อาจจะเจรจาไม่เสร็จแต่คนรุ่นหน้าอาจจะเจรจาได้สำเร็จ

"เรามีเวลา ค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำเคารพกระบวนการเจรจาภายใน เคารพการเจรจาภายนอกถ้าไปบอกว่าเราเสียกี่ไร่ๆ จะไม่มีประโยชน์ ต่อการเจรจาโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนทีประเมินเป็นภาครัฐไม่ว่าฝ่ายบริหารนิติบัญญัติ ตุลาการ มันมีผลผูกพันได้......ใครเป็นนักเจรจาจะทราบวามันเหนื่อยขนาดไหนแล้วยิ่งเอาหินผูกหลังเรา เราไปเจรจาให้คนที่เอาหินมาผูกหลังเรานั่นแหละ"

ทั้งนี้เขาชี้แจงว่าผลผูกพันหลักจากศาลโลกก็คือต้องไปเจรจากับทางกัมพูชา

"สำหรับคำพิพากษาว่าเสียดินแดนไหม ผมตอบไม่ได้ผมไม่ได้เล่นลิ้น ผมตอบได้อย่างเดียวผลคำพิพากษานี้เราต้องไปเจรจากับกัมพูชาแล้วเรามีโอกาสเสียดินแดนไหม ผมไม่ตอบเพราะผมมาจากหน่วยงานที่ผมต้องไปเจรจาแน่ๆผมตอบไม่ได้ ผมปิดบังข้อมูลประชาชนหรือเปล่า ท่านตัดสินเอาเอง ถ้าด่าผมที่จุดนี้แต่ประโยชน์ตกแก้ประเทศชาติ เชิญ" เอกอัครราชทูตประจำกรุงเฮกกล่าว  พร้อมย้ำว่า ไม่มีใครมาเอาแผ่นดินนี้ไปได้ตราบที่การเจรจายังไม่จบ

สำหรับคำถามที่หลายคนสงสัยว่าไทยไม่ยอมรับคำตัดสินศาลโลกได้หรือไม่ เพราะมีกรณีที่สหรัฐไม่รับคำตัดสินศาลโลกเหมือนกัน นายวีรชัยกล่าวว่า ตอนนี้ไม่ได้บอกว่ารัฐบาลไทยรับหรือไม่รับคำตัดสินศาลโลก แต่เราบอกว่าเราจะต้องมาคุยกับกัมพูชาก่อน สำหรับการอ้างเรื่องข้อพิพาทระหว่างนิคารากัวกับสหรัฐ โดยที่สหรัฐไม่ยอมรับคำตัดสินศาลโลกนั้น เขาชี้แจงว่า สหรัฐใช้การวีโต้แล้วเจรจา แล้วจากนั้นนิคารากัวก็ถอนคดีออก เมื่อถอนคดีก็ทำให้เสมือนว่าคดีไม่เคยมีอยู่ คำตัดสินศาลโลกก็เสมือนไม่มีอยู่ แต่จะบอกว่าสหรัฐเขี้ยวไปเจรจาบอกให้เขาถอน ก็เป็นสิทธิของเขา

แต่คดีระหว่างนิคารากัวกับสหรัฐอเมริกานั้น ในทางกฎหมาย จริงๆ แล้วไม่ใช่การไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลโลก แต่มันคือไม่มีอะไรให้ปฏิบัติตามเพราะนิคารากัวถอนข้อพิพาทออกไป

นายณัฐวุฒิ โพธิสาโร รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางหลังจากนี้มี 3 ประการคือ

หนึ่ง ต้องเจรจาด้วยสันติวิธี

สอง ต้องมีท่าทีในการรักษาอธิปไตยรักษาประโยชน์ชาติ แต่ต้องมีท่าทีที่ดีกับกัมพูชาซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านและจะเป็นประชาคมร่วมกันในสองปีข้างหน้า

และประการสุดท้าย ท่าทีของเราต้องไม่กระทบต่อเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของเราต่อประชาคมโลก

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เหตุวุ่นวายหลังพายุไห่เยี่ยนในฟิลิปปินส์ ทำให้การช่วยเหลือยากขึ้น

Posted: 14 Nov 2013 06:57 PM PST

เหตุการณ์พายุไห่เยียน สร้างความเสียหายอย่างมากต่อพื้นที่ส่วนหนึ่งของฟิลิปปินส์ แต่ก็ยังต้องเจออุปสรรคซ้ำซ้อนจากเหตุอาชญากรรมและความวุ่นวายทำให้การช่วยเหลือเข้าถึงได้ยาก ซึ่งปัจจัยหนึ่งน่าจะมาจากวัฒนธรรมการครอบครองอาวุธปืนของฟิลิปปินส์

14 พ.ย. 2556 สำนักข่าวเดอะการ์เดียนรายงานสถานการณ์บรรเทาทุกข์จากภัยพายุใต้ฝุ่นไห่เยี่ยนซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประเทศฟิลลิปินส์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา  โดยระบุว่าขณะที่หลายประเทศพยายามส่งความช่วยเหลือให้กับเมืองทาโคลบาน แต่สภาพในเมืองก็มีความตึงเครียดและความไม่ปลอดภัยอยู่สูง สร้างความหวาดกลัวให้ประชาชนผู้ประสบภัยในเมือง

เหตุภัยพิบัติพายุไห่เยี่ยนคร่าชีวิตผู้คนไป 2,357 ราย จากการเปิดเผยตัวเลขผู้เสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่ทางการฟิลิปปินส์เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ล่าสุดทั้งทางการสหรัฐฯ และญี่ปุ่นได้พยายามเข้าให้ความช่วยเหลือ โดยมีการส่งกองกำลังทหาร ทั้งความช่วยเหลือทางอากาศและเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์เข้าไปในพื้นที่ ซึ่งสำหรับญี่ปุ่นแล้วเป็นการวางกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

มีความพยายามช่วยเหลือเมืองทาโคลบานโดยการส่งอาหาร ยา และทีมค้นหากู้ภัย ไปในเมือง แต่ก็มีข่าวเรื่องความรุนแรงและความขัดแย้งในวันพุธที่ผ่านมา เช่นเรื่องที่มีคนเหยียบกันจนเสียชีวิต 8 ราย ขณะแย่งชิงอาหารกันในโรงสีข้าวร้าง ขบวนความช่วยเหลือของกาชาดฟิลิปปินส์ถูกแจ้งว่าโดนกลุ่มติดอาวุธจี้ปล้น จนกระทั่งต่อมากลุ่มติดอาวุธถูกตำรวจยิงเสียชีวิต อีกทั้งยังมีกรณีเด็กชายอายุ 13 ปีถูกชายไม่ทราบชื่อแทงที่คอและหน้าท้อง

นอกจากนี้ยังมีบางส่วนที่เป็นกระแสข่าวลือ เช่นมีการเตือนผ่านเฟซบุ๊กให้ระวังผู้ค้ามนุษย์ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นคนทำงานบรรเทาทุกข์ หรือกรณีที่มีนักโทษแหกคุกจากเรือนจำช่วงที่มีพายุและคอยดักปล้นพัสดุ ซึ่งทางการฟิลิปปินส์เรียกร้องให้ประชาชนอยู่ในความสงบและอย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

อย่างไรก็ตาม กรณีเมืองทาโคลบานซึ่งมีการประกาศเคอร์ฟิวช่วงกลางคืนตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา นักข่าวบีบีซี รูเพิร์ต วิงฟิลด์-ฮาเยส รายงานข่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมาบอกว่าทาโคลบานมีสภาพเหมือน "เขตสงคราม" ภาพจากวิดีโอแสดงให้เห็นรถถังแล่นผ่านใจกลางเมืองที่ถูกทำลายโดยพายุ มีทหารติดปืนกลหลบอยู่หลังกำแพง ซึ่งไม่มีการบ่งบอกแน่ชัดว่าเตรียมการป้องกันอะไร

ทั้งนี้ มีองค์กรให้ความช่วยเหลือบางแห่งที่กลัวเรื่องความปลอดภัยในเมืองทาโคลบานได้สั่งให้ทีมงานของตนเองออกจากพื้นที่ สิ่งที่ทำให้เกิดความกังวลในเรื่องนี้คือการที่แม้จะมีคนทำงานให้ความช่วยเหลือเข้าไปในเมืองทาโคลบานจำนวนมากแต่ยังมีส่วนน้อยที่ได้รับความช่วยเหลือ มีคนทำงานบรรเทาทุกข์คนหนึ่งกล่าวว่ามีการส่งข้อความบันทึกหมุนเวียนในหมู่คนทำงานให้ความช่วยเหลือแนะนำว่าพวกเขาไม่ควรเดินทางไปมาภายในทาโคลบาน เพราะมีเจ้าหน้าที่สหประชาชาติบางส่วนถอนตัวออกไปด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยแล้ว

บารังไกย์ (คำเรียกหมู่บ้านหรือตำบลในฟิลิปปินส์) 26 แห่ง จากทั้งหมด บารังไกย์ 138 แห่งในทาโคลบานที่ได้รับการช่วยเหลือ หลังจากที่มีการเคลียร์ซากปรักหักพังและซากต้นไม้ในพื้นที่แล้ว


วัฒนธรรมครอบครองปืนในฟิลิปปินส์
อเล็ก สปิลเลียส ผู้สื่อข่าวกล่าวในรายงานข่าวของเดอะเทเลกราฟว่า แม้ประธานาธิบดีเบนิกโน อากีโน จะมีความพยายามอย่างมากในการแก้ไขวิกฤติครั้งนี้ แต่ฟิลิปปินส์มีรัฐบาลกลางที่อ่อนแอ รวมถึงประชาชนประสบภาวะยากจนอยู่ก่อนแล้ว รวมถึงมีอาวุธปืนแพร่หลาย ทำให้มีการใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กันเป็นอุปสรรคต่อขบวนผู้ให้ความช่วยเหลือซึ่งมักจะต้องรอเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์ก่อนเสมอถึงจะผ่านทางไปได้

เดอะเทเลกราฟระบุว่าประชาชนในฟิลิปปินส์มีอาวุธปืนในครอบครองรวมแล้ว 3.9 ล้านกระบอก ทั้งในแบบที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย เทียบอัตราส่วนแล้วคิดเป็นร้อยละ 4.7 ของประชากรฟิลิปปินส์ทั้งหมด ซึ่งแม้โดยรวมจะดูไม่มาก แต่ฟิลิปปินส์ก็มีอัตราคดีฆาตกรรมมากกว่าสหรัฐฯ ถึง 3 เท่า

เดอะเทเลกราฟกล่าวอีกว่าผู้ใช้ปืนผิดกฎหมายไม่ได้มีแต่แก๊งค์โจรหรือกลุ่มกบฏเท่านั้น ยังรวมถึงพลเรือนบางคนและนักการเมืองผู้ต้องการมี 'กองทัพส่วนตัว' ด้วย ปืนในฟิลิปปินส์เป็นเรื่องปกติมากถึงขั้นร้านค้าต่างๆ ในเมืองต้องมีป้ายปิดประกาศห้ามพกปืนเข้ามาภายในร้านหรือในอาคาร และยามรักษาความปลอดภัยทุกคนจะมีปืนพก ปืนลูกซอง หรือทั้งสองชนิด

นักวิเคราะห์มักจะโทษว่า ประวัติศาสตร์ช่วงอาณานิคมทำให้ฟิลิปปินส์กลายเป็นประเทศที่ชอบครอบครองอาวุธปืน โดยมาจากการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรม 'ลูกผู้ชาย' (machismo) กับการเผยแพร่แนวคิดเรื่องสิทธิในการพกพาอาวุธโดยสหรัฐฯ

ฟิลิปปินส์ได้รับเอกราชเมื่อราว 70 ปีที่แล้ว แต่รัฐบาลกลางก็ยังไม่สามารถใช้อำนาจได้เต็มที่ในประเทศหมู่เกาะที่มี 80 จังหวัด และมีภาษาหลายสิบภาษา หลังได้รับเอกราชก็มีขบวนการกบฏคอมมิวนิสต์อยู่หลายสิบปีจนกระทั่งค่อยๆ ยุบตัวลงเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ก็เคยมีกลุ่มกบฏชาวมุสลิมแบบกึ่งปกครองตนเองจนกระทั่งมีการเซ็นสัญญาสันติภาพเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็ยังคงมีอาวุธอยู่รอบบริเวณนั้น

เดอะเทเลกราฟกล่าวอีกว่า ฟิลิปปินส์ยังประสบปัญหาความยากจน มีอุปสรรคเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน สามารถสร้างถนนได้เพียงร้อยละ 20 ของประเทศเท่านั้น การเดินทางด้วยเรือเฟอร์รี่ระหว่างเกาะก็ยังขาดความปลอดภัยโดยอาจมีการบรรทุกน้ำหนักเกินจนเรือจมได้ ส่วนพื้นที่หมู่เกาะที่ได้รับผลกระทบจากพายุไห่เยี่ยนก็เป็นกลุ่มประชากรที่ยากจนที่สุดในประเทศ โดยร้อยละ 40 ของประชากรที่นั่นมีรายได้ต่ำกว่า 2 ดอลลาร์ (ราว 60 บาท) ต่อวัน

และแม้ว่า ประธานาธิบดีคนล่าสุดของฟิลิปปินส์จะมีการปฏิรูปเศรษฐกิจ ทำให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมากเอื้ออำนวยต่อการแข่งขันในระยะยาว แต่เหตุการณ์พายุครั้งล่าสุดก็อาจทำให้การเติบโตชะงักงันไป



เรียบเรียงจาก
Typhoon Haiyan: Philippines aid effort hampered by lawlessness, The Guardian, 14-11-2013
http://www.theguardian.com/world/2013/nov/14/typhoon-haiyan-philippines

Typhoon Haiyan: US aircraft carrier arrives in Philippines - and will soon be joined by Japan at forefront of rescue operation, The Independent, 14-11-2013
http://www.independent.co.uk/news/world/asia/typhoon-haiyan-us-and-japan-at-forefront-of-rescue-operation-8938489.html

Typhoon Haiyan: gun culture of the Philippines hinders relief efforts, The Telegraph, 12-11-2013
http://www.telegraph.co.uk/news/worldnews/asia/philippines/10444736/Typhoon-Haiyan-gun-culture-of-the-Philippines-hinders-relief-efforts.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น