ประชาไท | Prachatai3.info |
- เหมืองทองคำจังหวัดเลยในตลาดหุ้น ความขัดแย้งของผลประโยชน์ต้นเหตุความทุกข์ยากของประชาชน
- สุรพศ ทวีศักดิ์: อำนาจที่บิดเบือนความจริงและความยุติธรรม
- รายงาน: เสียงนักโทษการเมือง ต่อ ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม
- ปริศนาด่านตรวจ ณ ชายแดนใต้ “ไขกุญแจ ภายในกล่อง” (ตอนที่ 1)
- เริ่มต้นนับหนึ่งกับกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้
- 19 พันธมิตรปกป้องแม่น้ำโขงร้องผู้นำ 4 ประเทศหยุดเขื่อนดอนสะโฮง
- ASEAN Weekly: บทบาทกองทัพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- กรมการปกครองสั่ง ‘ระงับ’ ทำป้ายหนุนนิรโทษฯแล้ว
- กวีตีนแดง: ถนนนี้กลับบ้าน (The Road Home)
- เหตุการณ์หน้าศูนย์ประชุมฯ เชียงใหม่ จากมุมของผม: 'hate speech' vs คำผรุสวาท
- นิติราษฎร์แถลงข้อวิจารณ์และจุดยืนต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
- กรมการปกครองร่อนหนังสือด่วนที่สุด สั่งทุกอำเภอทำป้ายหนุนพรบ.นิรโทษฯ
- สภาผ่านฉลุย พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย 310 ต่อ 0 ปชป.วอล์กเอาท์
เหมืองทองคำจังหวัดเลยในตลาดหุ้น ความขัดแย้งของผลประโยชน์ต้นเหตุความทุกข์ยากของประชาชน Posted: 01 Nov 2013 11:10 AM PDT
หลังหมดยุคของพลเอกกิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ ที่ก้าวเข้ามาเป็นกรรมการและกรรมการบริหารทุ่งคาฮาเบอร์ และกรรมการผู้จัดการทุ่งคำ ในช่วงระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2551 ถึง 31 สิงหาคม 2552 ก็ยากจะหาใครในสองบริษัทดังกล่าวที่มีบทบาทโดดเด่นเทียบเท่า เหตุสำคัญก็เพราะช่วงที่พลเอกกิตติศักดิ์ดำรงตำแหน่งสามารถทำกำไรให้กับทุ่งคำถึง 111.8 ล้านบาท จนเป็นเหตุให้ทุ่งคาฮาเบอร์ซึ่งเป็นบริษัทแม่เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้ จากเดิมที่ประสบผลขาดทุนอย่างต่อเนื่อง แผนกรกฎ : ความเข้าใจต่อเวที พับลิค สโคปปิง ของผู้การเสือ และใครอยู่เบื้องหลัง ? หลังปฏิบัติการตามแผนกรกฎครั้งที่สอง ของกองกำลังตำรวจซึ่งเป็นกำลังหลัก ผสมพนักงานทุ่งคำเป็นบางส่วน จำนวนรวมกัน 700 คน เพื่อปิดกั้นประชาชนที่เห็นต่างในนามกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดไม่ให้เข้าร่วมเวทีพับลิก สโคปปิ้ง เพื่อจัดทำรายงาน EHIA ประกอบการขอประทานบัตรแปลงที่ 76/2539 ต.นาโป่ง อ.เมือง จ.เลย เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2556 (ครั้งแรกใช้กองกำลังตำรวจเป็นกองกำลังหลัก ผสมทหาร อาสารักษาดินแดน และพนักงานทุ่งคำเป็นบางส่วน จำนวนรวมกัน 1,000 คน เพื่อสกัดกั้นประชาชนที่เห็นต่างในนามกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดไม่ให้เข้าร่วมเวทีพับลิก สโคปปิง เพื่อจัดทำรายงาน EHIA ประกอบการขอประทานบัตรแปลงที่ 104/2538 (แปลงภูเหล็ก) ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2555) มีคำถามหนึ่งที่คนในพื้นที่จังหวัดเลยใคร่รู้อย่างมากว่า "เหตุใด 'ผู้การเสือ' หรือ พล.ต.ต.ศักดา วงศ์ศิริยานนท์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย ใช้แผนกรกฎปิดกั้นประชาชนไม่ให้เข้าร่วมเวทีพับลิก สโคปปิง ถึงสองครั้งสองครา ?" ปิคนิคแก๊ส ละครแห่งความขัดแย้ง ในช่วงระยะเวลา 2 – 3 ปี ที่ผ่านมา ข่าวหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือข่าวปมขัดแย้งคดีโอนหุ้น 101 ล้านบาท ของบริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด ("แอสเซ็ท") ที่เชื่อมโยงไปยังบริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ("ปิคนิค") และกลุ่มบริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด ("เวิลด์แก๊ส") ความขัดแย้งของผลประโยชน์ ปิดตำนานอื้อฉาวของปิคนิคแก๊ส ไม่ว่าความขัดแย้งของผลประโยชน์ระหว่างนางวิมลรัตน์ และ พล.ต.ท.ชัจจ์ กับ พล.ต.ท.สมยศ และพวกยังดำรงอยู่ เพราะคดีความต่าง ๆ ที่ต่างฝ่ายต่างฟ้องกันยังไม่สิ้นสุด ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็คือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นตำแหน่งในปัจจุบัน ได้เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของแอสเซ็ทเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแอสเซ็ทเองก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของเวิลด์แก๊สอีกทอดหนึ่งด้วย เชื้อร้ายกำลังลุกลามมาที่ทุ่งคาฮาเบอร์และทุ่งคำ รูปแบบการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นในปิคนิคและเวิลด์แก๊ส (ดูรูปแบบการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเพื่อล้างวิกฤติการณ์ของปิคนิคในตลาดหุ้นไทย ช่วงปี 2548 – 2556 ท้ายบทความ) โดยดึงแอสเซ็ทเข้ามาเพื่อยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินของปิคนิคไปแอสเซ็ท เพื่อให้แอสเซ็ทเข้ามาถือหุ้นใหญ่ของเวิลด์แก๊สแทนปิคนิค แล้วท้ายที่สุดก็ให้เวิลด์แก๊สย้อนกลับไปถือหุ้นปิคนิคเพื่อล้างมลทินเรื่องอื้อฉาวที่ปิคนิคก่อขึ้นมาให้หมดสิ้น โดยมีตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องมากหน้าหลายตา ถึงแม้ไม่อาจชี้ชัดลงไปได้ว่ามันเป็นละครหรือเกมตบตากรรมการ/องค์กรที่กำกับกติกา แมลงเม่าซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย สื่อมวลชน รวมทั้งสาธารณชนที่เฝ้าดูติดตามข่าวสารในช่องทางต่าง ๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทำให้นายสุริยาหลุดลอดไปจากความผิดและความรับผิดชอบที่ตนเองได้ก่อไว้
เอกสารอ้างอิง (ทุกรายการสืบค้นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2556) ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สุรพศ ทวีศักดิ์: อำนาจที่บิดเบือนความจริงและความยุติธรรม Posted: 01 Nov 2013 10:56 AM PDT
บางคนมองว่า ปรากฏการณ์เสื้อแดงตั้งแต่หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เป็นเพียงการต่อสู้เพื่อทักษิณ หรือเป็นเครื่องมือของทักษิณและพรรคเพื่อไทย แต่หากไม่ปิดหูปิดตาหรือโกหกตัวเองมากเกินไป เราย่อมเห็นความจริงว่าใน "เสื้อแดง" นั้นมีทั้งสู้เพราะรักทักษิณ เพราะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เพราะคัดค้านรัฐประหาร รับไม่ได้กับการใช้รัฐประหาร และองค์กรที่ตั้งขึ้นจากรัฐประหารจัดการกับนักการเมืองที่ประชาชนเลือก รับไม่ได้กับการที่รัฐบาลประชาธิปัตย์และกองทัพอ้างเรื่อง "ขบวนการล้มเจ้า" สลายการชุมนุมของเสื้อแดงในปี 2553 จนเกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก รับไม่ได้กับอำนาจนอกระบบ ต้องการประชาธิปไตย ต้องการแก้ไข/ยกเลิก กฎหมายอาญามาตรา 112 ไปจนถึงปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ กองทัพ ระบบตุลาการไทยให้เป็นประชาธิปไตย ฉะนั้น จึงไม่อาจสรุปง่ายๆ ว่า ปรากฏการณ์เสื้อแดงไม่ใช่ปรากฏการณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แม้ทักษิณและคนรักทักษิณ (ที่อาจตั้งคำถามได้ว่าพวกเขามี "อุดมการณ์ประชาธิปไตย" จริงหรือไม่) พวกเขาก็ยืนยันที่จะสู้ใน "วิถีทางประชาธิปไตย" ผ่านเวทีการเลือกตั้ง เราจึงอาจเรียกรวมๆได้ว่า ปรากฏการณ์เสื้อแดงเป็นปรากฏการณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในอีกก้าวหนึ่งอย่างแน่นอน จะว่าไป เส้นทางต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้นคดเคี้ยวยาวนาน มองจากขบวนการเสื้อแดง ย้อนไปหาประวัติศาสตร์พฤษภาคม 2535, 6 ตุลาคม 2519, 14 ตุลาคม 2516 ไปจนถึงปฏิวัติสยาม 2475 ถึงกบฏ ร.ศ.103 ถึงยุคเทียนวรรณปัญญาชนผู้เรียกร้องให้ "เลิกทาส" และให้มีระบบการปกครองแบบ "ปาลีเมนท์" แม้ว่ารอยต่อ จุดเชื่อมทางความคิด อุดมการณ์ของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เหล่านี้จะไม่แนบสนิทเป็นเนื้อเดียว เพราะมีลักษณะเฉพาะ มีความซับซ้อนเฉพาะของตนเองตามบริบททางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองที่เปลี่ยนไป แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งหมดนั้นเป็นการต่อสู้ที่มี "จุดร่วม" สำคัญอันเดียวกัน เป็นจุดร่วมอย่างที่ไมเคิล ไรท เรียกว่าการต่อสู้เพื่อให้มี "สิทธิที่จะคิดอย่างเสรี สิทธิที่จะมีการปกครองที่มีเหตุผลและยุติธรรม" ในหนังสือ "ฝรั่งหลังตะวันตก" ไมเคิล ไรท บอกว่า หัวใจสำคัญของการเกิด "Renaissance (ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ)" ในยุโรปคริสต์ศตวรรษที่ 14-16 คือ เป็นยุคของการต่อสู้เพื่อ "สิทธิที่จะคิดอย่างเสรี สิทธิที่จะมีการปกครองที่มีเหตุผลและยุติธรรม" จากอำนาจครอบงำกดขี่ของศาสนจักร และระบบกษัตริย์ Renaissance ในยุโรปไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่ล้มลุกคลุกคลานใช้เวลาร่วมสองร้อยปี แต่กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าการต่อสู้นั้นได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ยังคงมีการต่อสู้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะการกดขี่อย่างไร้เหตุผลและความอยุติธรรมในรูปแบบต่างๆ ไม่ได้หายไปจากโลก นอกจากนี้ ไมเคิล ไรท ยังมองว่า Renaissance ไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของชาวยุโรป ใครจะเรียนรู้ หยิบไปใช้หรือปฏิเสธมันก็ได้ และ Renaissance ก็ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นที่ยุโรปที่เดียวเท่านั้น มันอาจเกิดขึ้นที่ไหนๆ ในโลกก็ได้ ที่มีการต่อสู้เพื่อสิทธิที่จะคิดอย่างเสรี สิทธิที่จะมีการปกครองที่มีเหตุผลและยุติธรรม เขามองว่าการต่อสู้ของเทียนวรรณ เรื่อยมาถึง 14 ตุลา, 6 ตุลา ก็คือ Renaissance ของไทยที่ยังล้มลุกคลุกคลาน มองจากแง่นี้ปรากฏการณ์เสื้อแดงก็คือส่วนหนึ่งของการต่อสู้ที่ยังล้มลุกคลุกคลาน ต่อสู้กับอะไรหรือ? Renaissance ก็คือการต่อสู้กับ "ความมืด" ยุคนี้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ยุคสว่างทางปัญญา" (Enlightenment) อิมมานูเอล ค้านท์ นักปรัชญาชาวเยอรมันบอกว่าวิธีสลายความมืดก็คือ "enlighten-ทำให้เกิดแสงว่าง" ในที่ที่มันมืด หากความมืดเกิดจากอำนาจครอบงำกดขี่ของศาสนจักรและระบบกษัตริย์ ก็ต้องทำให้เกิดแสงสว่างทางปัญญาด้วยการต่อสู้ให้มีเสรีภาพในการใช้เหตุผลของตนเองในที่สาธารณะในทุกๆเรื่อง ค้านท์เขียนว่า ในสังคมทุกยุคสมัยมักจะมีบุคคลที่มีความคิดอิสระเป็นตัวของตัวเอง และมีสำนึกอย่างแรงกล้าที่จะต่อสู้เพื่อสิทธิที่จะคิดอย่างเสรี สิทธิที่จะมีการปกครองที่มีเหตุผลและยุติธรรม พวกเขาเรียกร้องเสรีภาพในการใช้เหตุผลของตนเองในที่สาธารณะในทุกๆเรื่อง แต่บุคคลเช่นนี้มักถูกทำร้ายโดยอำนาจรัฐเสมอมา อำนาจรัฐที่ "บิดเบือน" ความจริงและความยุติธรรม หากเรานับการต่อสู้ของคนเสื้อแดงเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคม "ตาสว่าง" หรือเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ให้เกิด Renaissance ในสังคมไทยที่ยังล้มลุกคลุกคลาน เพราะเป็นการต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการใช้เหตุผลของตนเองในที่สาธารณะในทุกๆ เรื่อง เพื่อสิทธิที่จะคิดอย่างเสรี สิทธิที่จะมีการปกครองที่มีเหตุผลและยุติธรรม เมื่อมีคนจำนวนหนึ่งเป็นนักโทษการเมืองที่ยังอยู่ในคุก ก็ชอบธรรมแล้วที่รัฐบาลประชาธิปไตยต้องนิรโทษกรรมให้พวกเขา แต่การนิรโทษกรรมที่ล่าช้า เสมือนใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อหาทางนิรโทษกรรมแบบ "เหมาเข่ง" ดังที่กำลังพยายามทำกันอยู่ ย่อมทำให้รัฐบาลหมดความชอบธรรม ยิ่งกว่านั้นการไม่นิรโทษกรรมนักโทษคดี 112 ย่อมเท่ากับตกอยู่ใต้อำนาจที่บิดเบือน "ความจริง" และ "ความยุติธรรม" บิดเบือนความจริงว่า พวกเขาไม่ใช่ "นักโทษการเมือง" ทั้งๆ ที่เป็นความจริงว่า พวกเขาต่อสู้ด้วยแรงจูงใจทางการเมืองเพื่อสิทธิที่จะคิดอย่างเสรี สิทธิที่จะมีการปกครองที่มีเหตุผลและยุติธรรม เมื่อบิดเบือนความจริงก็เท่ากับบิดเบือนความยุติธรรมที่พวกเขาควรได้รับเฉกเช่นนักโทษการเมืองอื่นๆ การที่รัฐไทยบิดเบือนความจริงและความยุติธรรมดังกล่าว สะท้อนว่าสังคมไทยยังไม่พ้นจาก "ยุคมืด" เพราะประชาชนยังไม่มีเสรีภาพในการใช้เหตุผลของตนเองในที่สาธารณะในทุกๆ เรื่อง แสงสว่างทางปัญญาจึงยังไม่เกิด แต่คำถามสำคัญคือ แล้วทำไมรัฐบาลที่มาจากการสละชีวิตเลือดเนื้อของประชาชนจึงต้องตกอยู่ใต้อำนาจที่บิดเบือนความจริงและความยุติธรรม เป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเช่นเดิมอีก ถ้ายังเป็นอยู่เช่นนี้ เมื่อไรสังคมไทยจะหลุดพ้นจาก "ยุคมืด" ได้เสียที จะยอมให้พลเมืองผู้มีความคิดอิสระ มีจิตสำนึกแรงกล้าในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ และความยุติธรรม ต้องถูกทำลายไปอีกเท่าใด จึงจะเพียงพอกับการ "บูชายัญ" อำนาจที่บิดเบือนความจริงและความยุติธรรม
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
รายงาน: เสียงนักโทษการเมือง ต่อ ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม Posted: 01 Nov 2013 08:05 AM PDT
ประชาไทสำรวจความคิดเห็นจากนักโทษการเมืองบางส่วนจากเรือนจำหลักสี่ ไม่กี่วันก่อนที่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะผ่านวาระ3 พวกเขาคือผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากกฎหมายนี้ และถูกอ้างเป็นหลักการพื้นฐานของการเริ่มผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม ก่อนที่จะมีการปรับเนื้อหาให้ครอบคลุมส่วนอื่นๆ และสร้างการถกเถียง การเคลื่อนไหวต่อต้านจากทุกส่วน แม้แต่ในหมู่คนเสื้อแดงหรือแนวร่วมที่เคยร่วมกันต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย
โกวิทย์ แย้มประเสริฐศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 11 ปี 8 เดือน ปรับ 6,600 บาท ในข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน, มีวัตถุระเบิด, ลักทรัยพ์โดยร่วมกันงัดเซเว่นอีเลฟเว่น ศาลอุทธรณ์พิพากษาเหลือ จำคุก 9 ปี 4 เดือน ปรับ 6,100 บาท เนื่องจากเห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน โจทก์ไม่สามารถนำสืบได้ว่า จำเลยเข้าไปขโมยของที่เซเว่นฯ จริงหรือไม่ แต่จำเลยมีของกลางไว้ในครอบครองจึงเป็นความผิดฐานรับของโจร และในส่วนความผิดฐานใช้เส้นทางคมนาคม ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองได้ขับรถยนต์ออกจากที่ชุมนุมเพื่อเดินทางกลับบ้านจึงไม่เป็นความผิด คงเหลือโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคน (โกวิทย์ แย้มประเสริฐ และ ประสงค์มณีอินทร์) คนละ 9 ปี 4 เดือน ปรับเท่าเดิม (อ่านเพิ่มเติมใน http://prachatai.com/journal/2011/06/35712) "เราเห็นด้วยที่จะไม่ให้แกนนำและคนสั่งการ ที่ผ่านมาเขาสั่งยิงพี่น้องเรา" "แกนนำเองเขาก็ยังไม่ยอมรับ เขาพร้อมสู้ดคีอยู่แล้ว" "ร่างของวรชัยทำถูกต้องแล้ว นายใหญ่ไม่รับ (การนิรโทษกรรม) แต่ให้พี่น้องได้ออกจากคุก หรือถ้าไม่ได้ออกจริงๆ ช้าไปอีกหน่อยก็ไม่มีปัญหา เราสู้ถึงชั้นฎีกาอยู่แล้ว เราต้องการลงโทษคนสั่งยิ่งพี่น้องเราเท่านั้น แต่ถ้าเราได้ประกันตัวไปสู้คดีก็จะดี จะได้สู้เต็มที่" |
ปริศนาด่านตรวจ ณ ชายแดนใต้ “ไขกุญแจ ภายในกล่อง” (ตอนที่ 1) Posted: 01 Nov 2013 06:33 AM PDT ไขกุญแจ
หมายเหตุ บทความชิ้นนี้ปรับปรุงจากรายงานฉบับสมบูรณ์ "ปริศนาด่านตรวจ ณ.ชายแดนใต้" นำเสนอวิชา Seminar on Issues in Politics, Government, Economy, Society and Culture in Southern Border Provinces คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่มา: PATANI FORUM ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เริ่มต้นนับหนึ่งกับกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้ Posted: 01 Nov 2013 06:22 AM PDT
"สันติภาพก็คือสงบ อยู่อย่างสบายๆ จะเดินหน้าไม่ต้องไปกลัว เดินหลังไม่ต้องไปกลัว" หนุ่มขายน้ำปั่นในตลาดจะบังติกอ ปัตตานี บอก "เดี๋ยวนี้ตัวดูสบาย แต่ใจน่ะกลัว" คำว่ากลัวของเขานั้นแน่นอนว่า ก็คือกลัวว่าจะต้องตกเป็นเป้าของเหตุร้ายหรืออยู่ตรงกลางระหว่างเขาควายของคนถือปืนนั่นเอง ชาวบ้านอีกหลายคนในปัตตานีสะท้อนความเห็นคล้ายกัน สันติภาพของพวกเขาในรูปแบบที่จับต้องได้ก็คือความปลอดภัย ชาวบ้านเหล่านี้ล้วนเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต เพราะเมื่อถามถึงความหวังต่อสันติภาพ ไม่ปรากฏว่าจะมีรายใดที่วาดฝันสวยหรูว่าจะเกิดสันติภาพขึ้นได้โดยเฉพาะในระยะเวลาอันใกล้แม้ว่ากระบวนการการพูดคุยระหว่างคู่ความขัดแย้งคือรัฐบาลและบีอาร์เอ็นจะเริ่มขึ้นแล้วก็ตาม หลายคนบอกว่ามันคงยากอย่างยิ่งเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน บางรายก็บอกว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความจริงใจของทั้งสองฝ่าย ขณะที่อีกหลายรายเสนอให้คู่ความขัดแย้งฟังเสียงประชาชนบ้างว่าต้องการอะไร เสียงของชาวบ้านไม่กี่รายที่ว่านี้คือเสี้ยวหนึ่งที่อยู่ในสารคดีสั้นเรื่องใหม่ ต้นบท: กระบวนการการสร้างสันติภาพชายแดนใต้ ซึ่งสำรวจประเด็นที่จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจในเรื่องของการสร้างสันติภาพโดยไล่เลียงทั้งความเห็นของผู้รู้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะเป็นพุทธ มุสลิม ชาวบ้านหรือทหาร โดยเน้นจุดหนักอยู่ที่การแสดงบทบาทของภาคประชาชน คำถามสำคัญก็คือ ถึงที่สุดแล้วการสร้างสันติภาพคืออะไร ศรีสมภพ จิตรภิรมย์ศรี นักวิชาการของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้เชี่ยวชาญปัญหาภาคใต้บอกว่า "การที่ฝ่ายหนึ่งรบชนะ ก็คือสันติภาพเหมือนกัน แต่สันติภาพบนความเจ็บปวด ไม่ได้แก้ปัญหารากเหง้า หรือว่าการมุ่งเน้นหยุดการใช้ความรุนแรง อย่างคนไทยก็ ให้อภัยกันนะ ลืมความหลัง มันไม่ใช่" ศรีสมภพย้ำว่า การสร้างสันติภาพที่แท้จริงต้องแก้ปัญหาที่เป็นต้นตอความขัดแย้งให้ได้ นี่ก็กลายเป็นอีกส่วนหนึ่งของที่มาของเนื้อหาในสารคดีที่มีความเห็นของหลายฝ่ายว่า แต่ละฝ่ายตีโจทย์สันติภาพกันอย่างไร เพราะการตีโจทย์พลาดก็คือแก้ปัญหาผิดทาง อย่างที่ประสิทธิ์ เมฆสุวรรณ ประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ชี้ว่า การตีโจทย์ความขัดแย้งของหลายฝ่ายนั้นยังไม่ถูก ความเข้าใจของประชาชนทั่วไปต่อเรื่องต้นตอของปัญหาความขัดแย้งก็มีน้อยมาก ส่วนหนึ่งเพราะทั้งสังคมและภาครัฐพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดในเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา พูดง่ายๆว่า ปัญหาที่เป็นต้นตอที่มาของความต้องการจะแบ่งแยกดินแดนนั้น สังคมไทยยังไม่เข้าใจกันอย่างเต็มที่และอย่างทั่วถึง และแน่นอนว่า เมื่อไม่เข้าใจต้นตอที่มาของปัญหา การแก้ปัญหาก็ไม่ตรงจุด ในขณะที่สิ่งนี้เป็นส่วนสำคัญของการสร้างสันติภาพ "กระบวนการสันติภาพ คือการคุยกันว่า เราจะอยู่ด้วยกัน จะไม่สู้กันอีก เราจำเป็นต้องเปิดกว้าง หมายถึงว่า ผมจะไว้ใจคุณได้อย่างไร และคุณจะไว้ใจผมได้อย่างไร นั่นหมายถึงผมจะรับผิดชอบชีวิตคุณ และคุณรับผิดชอบชีวิตผม นั่นคือความไว้วางใจที่แท้จริง ถึงตอนนั้นเราก็ไม่ต้องมีปืนไว้ป้องกันตัว เพราะเมื่อมีความไว้วางใจกันอย่างเต็มที่แล้วเท่านั้น เราจึงจะสร้างสันติภาพได้" ข้อคิดจากไอแซค แคน คนทำงานภาคประชาสังคมจากพม่า ดินแดนที่ใช้เวลาอย่างยาวนานต่อสู้กับความขัดแย้งภายใน คำพูดของเขาเน้นให้เห็นว่าการสร้างความไว้วางใจเพื่อทำงานด้วยกันให้ได้เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เรียกว่ายังต้องทำงานกันอีกมากนักเพื่อจะให้เกิดสันติภาพ ทั้งนี้ยังไม่นับเรื่องของการที่ต้องรับมือกับกลุ่มคนที่ "ไม่เอาสันติภาพ" ซึ่งมีอยู่ในทุกฝ่ายและที่จะพยายามทุกทางเพื่อทำลายสันติภาพ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
19 พันธมิตรปกป้องแม่น้ำโขงร้องผู้นำ 4 ประเทศหยุดเขื่อนดอนสะโฮง Posted: 01 Nov 2013 05:59 AM PDT 1 พ.ย. 2556 – องค์กรพันธมิตรในนาม "19 สมาชิกของพันธมิตรปกป้องแม่น้ำโขง" ออกจดหมายเปิดผนึกถึงประมุขรัฐบาลของประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง ดำเนินการยับยั้งโครงการเขื่อนดอนสะโฮงโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ……. ถึง สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ฯพณฯ ทองสิง ทำมะวง นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฯพณฯ เหวียน เติ๋น ยวุ๋ง นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ฯพณฯ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 เรื่อง : ภัยคุกคามแม่น้ำโขง : ขอเรียกร้องให้ประมุขรัฐบาลของประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง ดำเนินการยับยั้งโครงการเขื่อนดอนสะโฮงโดยทันที กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เราพันธมิตรปกป้องแม่น้ำโขง รู้สึกหวั่นวิตกในแผนการของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวที่เสนอให้สร้างเขื่อนดอนสะโฮงขึ้นในบริเวณใจกลางของพื้นที่สีพันดอน ซึ่งเป็นพื้นที่อันมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อระบบนิเวศของแม่น้ำโขง โครงการเขื่อนดอนสะโฮงนี้ จะทำลายล้างพื้นที่ในอาณาบริเวณของทั้งสีพันดอนและแม่น้ำโขง แม่น้ำที่เป็นเสมือนมารดาของลุ่มน้ำในภูมิภาคลงไปอย่างไม่อาจที่จะเยียวยาได้อีกต่อไป แม้แต่สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงเอง ครั้งหนึ่งยังได้เคยระบุไว้ในรายงานของตนว่า "ระบบนิเวศของสี่พันดอนนั้น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นเสมือนหนึ่งโลกใบเล็ก ๆ ใบหนึ่งที่มีระบบนิเวศที่เกาะเกี่ยวโยงใยกับแม่น้ำโขงทั้งสาย" และยังได้สรุปว่า "เนื่องจากลักษณะทางธรรมชาติอันพบได้ยากยิ่งนี้ ทุกภาคส่วนจักต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะอนุรักษ์และปกป้องพื้นที่สีพันดอนนี้จากโครงการพัฒนาใด ๆ ก็ตาม" เขื่อนดอนสะโฮง จะเปลี่ยนแปรลักษณะของพื้นที่สีพันดอนและพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงไปอย่างมิอาจหวนคืน เขื่อนแห่งนี้จะก่อให้เกิดประตูกีดขวางกั้นทางน้ำฮูสะโฮง ที่จะทำให้ปลาไม่สามารถว่ายผ่านได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการประมงหลายคนได้เคยกล่าวว่า พื้นที่ดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นพื้นที่ที่จะก่อให้เกิดสิ่งเลวร้ายที่สุดหากเลือกเป็นพื้นที่สำหรับการสร้างเขื่อน เนื่องจากฮูสะโฮงเป็นทางน้ำที่มีปลาว่ายอพยพผ่านมากที่สุดในแม่น้ำโขง จึงเป็นจุดที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนที่สำคัญยิ่งต่อการประมงน้ำจืดในที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก การสร้างเขื่อนจะทำให้เกิดการจุดลอกดินและหินที่ท้องแม่น้ำในบริเวณฮูสะโฮงออกมามากกว่า 2 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อเปิดทางให้มีน้ำไหลเข้าฮูสะโฮงเป็นจำนวนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ กำลังการผลิตติดตั้ง 260 เมกะวัตต์ของเขื่อน ย่อมถือว่าเป็นผลประโยชน์แสนกระจ้อยร่อย เมื่อเทียบกับผลกระทบด้านลบอย่างรุนแรงที่มีต่อการประมงและวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เช่นเดียวกัน จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านอาหารของผู้คนนับล้านที่อยู่ในประเทศสปป.ลาว และในประเทศเพื่อนบ้าน คือ ประเทศกัมพูชา ประเทศไทยและประเทศเวียดนาม โครงการนี้ยังจะเป็นภัยคุกคามต่อปลาอพยพขนาดใหญ่ที่หายากและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมทั้งปลาบึกและปลาเอิน ภัยคุกคามที่จะมีผลต่อการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวในภูมิภาคนี้ จะกลายเป็นปัญหาร้ายแรงอันจะยิ่งซ้ำเติมให้ปัญหาความขัดแย้งอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วทั้งในประเทศและระหว่างกันให้เลวร้ายลงไปอีก พวกเราแทบจะไม่เหลือความเชื่อถือต่อศักยภาพของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) หรือข้อตกลงแม่น้ำโขง พ.ศ. 2538 ในการจัดการกับภัยคุกคามอย่างมีประสิทธิภาพและเพียงพอ ในกรณีภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นจากเขื่อนดอนสะโฮงหรือโครงการอื่น ๆ ที่เสนอจะสร้างบนแม่น้ำโขงสายประธาน สาเหตุที่สำคัญที่เป็นตัวบ่งชี้ คือความล้มเหลวของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในการแก้ปัญหาความไม่ลงรอยกันระหว่างรัฐบาลของชาติสมาชิก ในประเด็นที่ว่ากระบวนการ "การปรึกษาหารือล่วงหน้า" ที่มีขึ้นเพื่อการสร้างเขื่อนไซยะบุรีนั้น ยังคงเป็นกระบวนการที่คั่งค้างอยู่ หรือได้เสร็จสิ้นไปแล้ว รัฐบาลลาวกำลังอ้างว่าเขื่อนดอนสะโฮง "ไม่ได้ตั้งอยู่บนแม่น้ำโขงสายประธาน" และด้วยเหตุนี้เอง จึงได้ใช้กระบวนการ "แจ้งให้ทราบล่วงหน้า" แทน "กระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า" ต่อประเทศเพื่อนบ้าน เราขอคัดค้านข้ออ้างนี้ของสปป.ลาวอย่างถึงที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนไร้ข้อกังขาว่า เขื่อนดอนสะโฮงนั้นเป็นโครงการที่ตั้งอยู่ในแม่น้ำโขงสายประธาน ซึ่งจะก่อผลกระทบอย่างที่สุดต่อการไหลของกระแสน้ำและการอพยพย้ายถิ่นของปลา และจะส่งผลกระทบข้ามพรมแดนอย่างมหาศาล ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เราเชื่อว่าคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงจะประสบความล้มเหลวอีกครั้งหนึ่งในการทำให้เกิดการจัดการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้ง และปล่อยให้การตัดสินใจในเรื่องเขื่อนดอนสะโฮงตกอยู่ในมือของรัฐบาลสปป.ลาวแต่เพียงผู้เดียว เราเห็นด้วยกับข้อกังวลที่มีการกล่าวในสาธารณะโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง เกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ และการขาดความโปร่งใสในโครงการเขื่อนดอนสะโฮง บุคคลเหล่านี้รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศเวียดนาม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมกัมพูชา และสมาชิกของคณะกรรมการแม่น้ำโขงระดับชาติของไทย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตระหนักถึงความเป็นห่วงเหล่านี้ เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลแม่น้ำโขงทั้งหลาย ได้เสนอต่อรัฐบาลลาวให้แสดงเคารพต่อจิตวิญญาณของการร่วมมือกันอย่างแท้จริงในภูมิภาคนี้ ในช่วงเวลาแห่งความคลุมเครือไม่ชัดเจนในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเขื่อนดอนสะโฮง รวมทั้งโครงการอื่น ๆ บนแม่น้ำโขงสายประธาน กระบวนการใด ๆ ที่กำลังดำเนินอยู่ในทุก ๆ โครงการจะต้องถูกระงับไว้ก่อน มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องจัดให้มีพื้นที่ร่วมแบบใหม่ขึ้นมาเพื่อทำการตรวจสอบ ชี้แจงและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้ผ่านทางกลไกการตัดสินใจระดับภูมิภาค บนพื้นฐานของหลักความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ต้องมีการศึกษาในเรื่องต่าง ๆ ที่จำเป็น รวมถึงการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนสำหรับโครงการทั้งหมดต้องเกิดขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ดังนั้น พวกเรา พันธมิตรปกป้องแม่น้ำโขง ขอเรียกร้องความร่วมมือมายัง ฯพณฯ ท่าน ขอได้โปรดตระหนักถึงจิตวิญญาณของความตกลงในภูมิภาคแม่น้ำโขง และดำเนินการแทรกแซงให้ยกเลิกการสร้างเขื่อนดอนสะโฮงโดยทันที อีกทั้งระงับการตัดสินใจใด ๆ เกี่ยวกับโครงการบนแม่น้ำโขงสายประธานลงไว้ก่อน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมแก่ประชาชนทั่วทั้งภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง การก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ในลุ่มแม่น้ำโขง คือการสังเวยแม่แห่งธรรมชาติ และวิถีชีวิตของผู้คนหลายสิบล้านคนเพื่อสิ่งที่เรียกว่าเป็น "การพัฒนา" ดังนั้น การตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวจึงไม่ควรเป็นความรับผิดชอบของเหล่ารัฐบาลเท่านั้น รัฐบาลของประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงจักต้องตระหนักถึงสิทธิของผู้คนในลุ่มแม่น้ำโขง ในฐานะผู้มีส่วนได้เสียที่เสมอภาคและเท่าเทียมกันในกระบวนการตัดสินใจ ขอแสดงความนับถืออย่างสูง ลงนามโดย 19 สมาชิกของพันธมิตรปกป้องแม่น้ำโขง 3S Protection Network Both ENDS Centre for Social Research and Development (CSRD) Culture and Environment Preservation Association (CEPA) Fisheries Action Coalition Team (FACT) Focus on the Global South GreenID Ian Baird, Department of Geography, University of Wisconsin-Madison International Rivers Mekong Watch Mekong Watch Tasmania NGO Forum on Cambodia PanNature The Corner House Mekong Energy and Ecology Network (MEE Net) Towards Ecological Recovery and Regional Alliance (TERRA) Vietnam River Network (VRN) WARECOD (Center for Water Resources Conservation and Development) World Rainforest Movement (WRM) ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ASEAN Weekly: บทบาทกองทัพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Posted: 01 Nov 2013 12:25 AM PDT 1 พ.ย. 2556 - รายการ ASEAN Weekly ดำเนินรายการโดยสุลักษณ์ หลำอุบล และดุลยภาค ปรีชารัชช สัปดาห์นี้พูดคุยเกี่ยวกับบทบาทกองทัพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรณีกองทัพอินโดนีเซีย กองทัพพม่า และกองทัพไทย โดยที่กองทัพอินโดนีเซียที่เคยมีบทบาททางการเมืองมาก ได้กลับเข้ากรมกองหลังสิ้นสุดยุคการปกครองอันยาวนานของซูฮาร์โตและเข้าสู่ยุคปฏิรูป ขณะที่กรณีพม่าและไทย กองทัพยังคงมีบทบาทเป็นผู้เล่นสำคัญในทางการเมือง ทั้งนี้อาจารย์ดุลยภาคกล่าวว่า จุดเด่นของการเมืองประเทศโลกที่สาม หรือประเทศกำลังพัฒนาคือบทบาทของทหารกับการเมือง ทำรัฐประหาร การเถลิงอำนาจ การลงจากอำนาจ ทั้งนี้การเข้ามาของกองทัพเป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการของประชาธิปไตยในประเทศเหล่านี้ แต่โครงสร้างสังคมการเมืองที่ทหารเข้ามามีบทบาทคือโครงสร้างของรัฐขุนศึก คือมักมีปัญหาเรื่องการสร้างรัฐสร้างชาติ มีขั้วอำนาจในทางการเมือง หรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่สลับซับซ้อน แล้วมีการชิงไหวชิงพริบของรัฐบาลพลเรือนจนเกิดความอ่อนแอเปราะบาง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เปิดช่องให้กองทัพเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมือง โดยประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กองทัพมีบทบาททางการเมืองอย่างอินโดนีเซีย หรือพม่านั้น เคยเป็นรัฐในอาณานิคมมาก่อน โดยมีโครงสร้างระบบราชการที่รวมศูนย์อำนาจ ทำให้การเมืองเป็นแบบอำมาตยาธิปไตยหรือรัฐรวมศูนย์ และยังเป็นมรดกตกทอดที่ชนชั้นนำที่สืบสิทธิต่อจากผู้ปกครองอาณานิคมเดิม ที่แม้จะเกลียดเจ้าอาณานิคมอย่างไรก็ตาม ก็ยังคงสืบทอดกลไกบริหารราชการแบบนี้ และองค์ประกอบต่อมาได้แก่ บทบาทของกองทัพญี่ปุ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และขบวนการชาตินิยม จึงทำให้เกิดโครงสร้างของสถาบันทางการเมืองชุดหนึ่งคือสถาบันกองทัพ ในช่วงท้าย อาจารย์ดุลยภาคกล่าวด้วยว่า บริบทการเมืองโลก สภาวะแวดล้อมโลกที่เปลี่ยนไปทำให้กองทัพต้องปรับตัวไม่มากก็น้อย แต่จะอยู่ในอัตราแบบค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้จะเห็นว่าอินโดนีเซียมีการปฏิรูปการเมืองก็จริง แต่บางครั้งมีอาการชะงักงัน ซึ่งเป็นธรรมดา เพราะการเมืองทั้งของเก่าของใหม่เกิดทับกัน โดยอินโดนีเซียที่มีการเปลี่ยนแปลงเพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านหลังการครองอำนาจของซูฮาร์โต มีการลองผิดลองถูก ซึ่งมีทั้งด้านที่สำเร็จและล้มเหลว กรณีพม่าช่วงหลังการเลือกตั้งปี 2553 ก็อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กรมการปกครองสั่ง ‘ระงับ’ ทำป้ายหนุนนิรโทษฯแล้ว Posted: 31 Oct 2013 11:34 PM PDT อธิบดีกรมการปกครอง ออกหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ระงับการดำเนินการตามหนังสือก่อนหน้าที่ขอทุกอำเภอทำป้ายหนุนพรบ.นิรโทษฯ แล้ว ระบุคลาดเคลื่อนจากแนวนโยบายของกรมฯ 1 พ.ย.2556 นายศิริพงษ์ ห่านตระกูล อธิบดีกรมการปกครอง ออกหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ระงับการดำเนินการตามหนังสือที่ มท 0301.1/ว 25810 ลงวันที่ 31 ต.ค.56 โดยระบุว่า ตามที่ได้ขอความร่วมมือให้ที่ทำการปกครองจังหวัด อำเภอ จัดทำคัทเอาท์หรือป้ายไวนิลเพื่อสนับสนุนการสร้างความปรองดองของคนในชาติ นั้น กรมการปกครองพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อความในหนังสือนำส่งและข้อความตัวอย่างมีความคลาดเคลื่อนจากแนวนโยบายของกรมฯ ที่ประสงค์ให้เกิดความรัก ความสามัคคี ความปรองดองของคนในชาติ จึงให้ระงับการดำเนินการตามหนังสือดังกล่าวไว้ก่อน ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าเมื่อเวลาประมาณ 12.49 น. มีการส่งข้อความ SMS ถึงนายอำเภอทุกอำเภอ เพื่อแจ้งระงับตามหนังสือดังกล่าวด้วย โดยหนังสือที่ถูกแจ้งยกเลิกไปนั้น เป็นการขอให้จังหวัดแจ้งขอความร่วมมือทุกอำเภอจัดทำคัดเอาท์ หรือป้ายไวนิลข้อความ สนับสนุนการปรองดองของชาติโดยการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม โดยติดตั้งให้ประชาชนทั่วไปรับทราบ โดยมีข้อความตัวอย่างที่แนบมากับหนังสือประกอบด้วย "อำเภอ.......ขอสนับสนุนการปรองดองขอคนในชาติโดยการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" "สามัคคี คือ พลัง ปรองดอง แม้มุมมองต่างความคิด สร้างความสมานฉันท์ ร่วมกันสนับสนุน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" "อำเภอ......ขอเชิญพี่น้องประชาชนร่วมสนับสนุนความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ สนับสนุนพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม"
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กวีตีนแดง: ถนนนี้กลับบ้าน (The Road Home) Posted: 31 Oct 2013 10:19 PM PDT จะเอาเลือดเนื้อประชาชน แล้วเรา... ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เหตุการณ์หน้าศูนย์ประชุมฯ เชียงใหม่ จากมุมของผม: 'hate speech' vs คำผรุสวาท Posted: 31 Oct 2013 10:11 PM PDT ผมคิดว่า เราต้องแยกให้ออกระหว่างสิ่งที่เป็น "hate speech" กับคำผรุสวาท ผมว่าอย่างแรกไม่โอเค แต่อย่างหลังเกิดขึ้นได้เสมอ (แม้จะไม่เหมาะสมก็ตามที) มีคนเขียน "เหตุการณ์หน้าศูนย์ประชุมฯ เชียงใหม่" ถึงขั้นกล่าวหาฝ่ายที่สนับสนุนเขื่อนพูดว่า "อยากจับพวกมันนัก ไอ้พวกนี้ต้องจับมันมา "เชือดคอ" ทิ้ง!!!" ผมยืนยันได้ว่าบรรยากาศช่วงนั้นตึงเครียดจริง แต่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้น และมี "เหตุ" พอควรที่ทำให้ฝ่ายที่สนับสนุนเขื่อน "เดือด" แต่สุดท้ายลงเอยด้วยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่พฤเริ่มเดินทางมาถึงศูนย์ประชุมเมื่อประมาณบ่ายโมง ซึ่งในตอนนั้นสื่อยังไม่มา ข้อเท็จจริง "นอกห้องประชุม" ในส่วนของผมเป็นอย่างนี้ พฤเถียงกับตำรวจหน้าประตูที่ไม่ใช่ทางเข้า 1. เหตุการณ์ช่วงเที่ยงโอเค จนกระทั่งพฤ โอโดเชา ชาวปกากญอ แกนนำค้านเขื่อนแม่ขานเริ่มมาถึงประมาณบ่ายโมงครึ่ง พาพี่น้องปกากญอกลุ่มหนึ่งเดินวนถือป้ายประท้วง ร้องตะโกนภายนอกอาคารประชุม อ้างว่าเช้าห้องประชุมไม่ได้ ถูกกีดกัน (ซึ่งก็เป็นความจริงส่วนหนึ่ง) ไม่ใช้เครื่องขยายเสียง แต่เสียงพฤก็ดังพอที่จะดึงดูดความสนใจของตำรวจ นักข่าว ฯลฯ 2. พฤตะโกนร้องอยู่หน้าประตู (ซึ่งความจริงเขาปิด ไม่ใช้เป็นทางเข้า) อยู่นานประมาณครึ่งชั่วโมง นักข่าวและเจ้าหน้าที่มากันเต็ม มีการโต้เถียงกับตำรวจเล็กน้อย เริ่ม heat up ตำรวจเสนอให้พฤเข้าประชุม เพราะพฤอ้างว่าเข้าประชุมไม่ได้ ตอนนั้นยังไม่มีการโต้เถียงกับชาวบ้านที่สนับสนุนเขื่อน กลุ่มผู้สนับสนุนเขื่อนด่าทอคนที่คัดค้าน 3. พฤพามวลชนย้ายจากหน้าประตูที่เข้าไม่ได้ ขยับจะมาประตูที่เข้าได้ตามที่ตำรวจแนะนำ แต่ยังไม่เข้า หยุดขบวนและมีการแลกเปลี่ยนค่อนข้างดุเดือดกับเจ้าหน้าที่ มีอาจารย์จากพระจอมเกล้าเข้ามาขอเคลียร์ มวลชนที่สนับสนุนเขื่อนเริ่มเข้ามารุมล้อมประณาม (ประมาณไม่ถึงสิบคน) ด่าทอพฤ เอ็นจีโอ และนักศึษา ไม่ชัดเจนว่าเป็นเสื้อแดง หรือชาวบ้านทั่วไปในสันป่าตอง+หางดงที่จะได้ประโยชน์จากการสร้างเขื่อนแม่ขาน 4. การโต้เถียงดุเดือดมากขึ้น พฤตัดสินใจพามวลชนของเขาขยับไปอีกมุมหนึ่ง โดยไม่เข้าไปในห้องประชุม ในช่วงที่ว่า "ตึงเครียด" จะ "รุมสกรัม" พี่น้องปกากญอยังยิ้มได้ 5. กลุ่มเสื้อแดงบางคน (เอาเฉพาะที่เห็นว่าใส่เสื้อแดงนะครับ) เริ่มตามมา มีการข่มขู่ท้าทาย ตำรวจนอกเครื่องแบบเช้าไปห้ามปรามเสื้อแดงไม่ให้พูด เงียบไปบ้าง ด่าออกมาบ้างเป็นรายบุคคล แต่ค่อย ๆ ซาไป 6. นักข่าวสาวคนหนึ่ง ไม่รู้สื่อฉบับไหนวิ่งมาบอกกลุ่มของพฤว่า เสื้อแดงระดมพลเป่านกหวัดระดมพลมา 300 คน ลุงคนนี้ใส่เสื้อ "Turh Today" เสื้อแดง แต่คัดค้านเขื่อนแม่แจ่ม 7. หลังจากนั้นจนเลิกประชุม ไม่มีมวลชนเสื้อแดงมาอย่างที่นักข่าวบอก ฝ่ายเอ็นจีโอ กลุ่มชาวบ้าน นักศึกษาแถลงข่าวได้ตามปรกติ ไม่มีใครเข้ามาข่มขู่ 8. เสื้อแดงมีหลายเฉด เพราะช่วงที่มีการแถลงข่าว ดาบชิต แกนนำเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งก็มาร่วมด้วย เข้ามาพูดคุยกับแกนนำค้านเขื่อนแม่แจ่มเป็นอย่างดี โปรดอย่าเหมาว่าเสื้อแดงเอาเขื่อนทั้งหมด และโปรดอย่าเหมาว่าคนที่เอาเขื่อนเป็นเสื้อแดง ดาบชิต แกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่ พูดคุยกับประธานเครือข่ายค้านเขื่อนแม่แจ่ม หลังการแถลงข่าว 9. ประชาชนอย่าแตกแยกกันเองดีกว่า ผมว่าเรารวมกำลังสู้กับรัฐดีกว่า ต้องยอมรับความจริงว่าคนที่สนับสนุนเขื่อนมีอยู่จริง ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเขาเป็นสมุนของการเมืองค่ายไหน หรือว่าเขามีการเมืองสีไหน ไม่เกี่ยวกันจริง ๆ อ่าน "เหตุการณ์หน้าศูนย์ประชุมฯ เชียงใหม่"
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในเฟซบุคบัญชีส่วนตัว และได้รับอนุญาตให้นำมาเผยแพร่อีกครั้ง ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
นิติราษฎร์แถลงข้อวิจารณ์และจุดยืนต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม Posted: 31 Oct 2013 08:59 PM PDT ชมวิดีโอการแถลงข้อวิจารณ์และจุดยืนของ 'คณะนิติราษฎร์' ที่มีต่อ "ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ...." ที่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมาธิการฯ เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่สอง โดยการแถลงดังกล่าวจัดขึ้นที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2556 ท่ามกลางผู้สนใจเข้าฟังเป็นจำนวนมาก
วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ปิยบุตร แสงกนกกุล สาวตรี สุขศรี subsribe เพื่อรับข่าวสารใหม่ๆ ของประชาไท ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กรมการปกครองร่อนหนังสือด่วนที่สุด สั่งทุกอำเภอทำป้ายหนุนพรบ.นิรโทษฯ Posted: 31 Oct 2013 08:34 PM PDT กรมการปกครอง ทำหนังสือด่วนที่สุด ถึง ที่ทำการปกครองจังหวัดทุกจังหวัด ระบุ ขอความร่วมมือทุกอำเภอจัดทำคัดเอาท์ หรือป้ายสนับสนุนการปรองดองของชาติโดยการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม กรมการปกครอง ทำหนังสือด่วนที่สุด ถึง ที่ทำการปกครองจังหวัดทุกจังหวัด โดยมีเนื้อหาดังนี้ ถึง ที่ทำการปกครองจังหวัดทุกจังหวัด กรมการปกครอง ขอให้จังหวัดแจ้งขอความร่วมมือทุกอำเภอจัดทำคัดเอาท์ หรือป้ายไวนิลข้อความ สนับสนุนการปรองดองของชาติโดยการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม โดยติดตั้งให้ประชาชนทั่วไปรับทราบ ตามตัวอย่างข้อความที่ส่งมาพร้อมนี้่ ทั้งนี้ ให้จังหวัดรวบรวมผลการดำเนินการพร้อมภาพถ่ายของอำเภอส่งให้กรมการปกครองทราบ ภายในวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2556 สำหรับตัวอย่างข้อความนั้นประกอบด้วย "อำเภอ.......ขอสนับสนุนการปรองดองขอคนในชาติโดยการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" "สามัคคี คือ พลัง ปรองดอง แม้มุมมองต่างความคิด สร้างความสมานฉันท์ ร่วมกันสนับสนุน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" "อำเภอ......ขอเชิญพี่น้องประชาชนร่วมสนับสนุนความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ สนับสนุนพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม" หมายเหตุ : ล่าสุด กรมการปกครองได้มีคำสั่งระงับคำสั่งดังกล่าว อ่านที่ กรมการปกครองสั่ง 'ระงับ' ทำป้ายหนุนนิรโทษฯแล้ว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สภาผ่านฉลุย พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย 310 ต่อ 0 ปชป.วอล์กเอาท์ Posted: 31 Oct 2013 07:58 PM PDT เมื่อเวลา 4.25 น. สภาผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย วาระ 3 ฉลุย ด้วยเสียง 310 ต่อ 0 งดออกเสียง 4 ขณะ ส.ส. ปชป.วอล์กเอาท์ ขัตติยาลั่นเอาคนผิดมาลงโทษไม่ได้ มือของท่านได้เปื้อนเลือดไปแล้ว
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เรียกร้องให้ทุกคนสามารถอภิปรายได้โดยเดินตามข้อบังคับและรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การประชุมเดินไปได้ และรวมกันวางกติกาเช่นนี้ในอนาคต โดยให้ประธานเป็นผู้ควบคุม อย่างเช่นสมัยตนเองเป็นรัฐบาลที่เปิดอภิปรายได้เต็มที่โดยไม่มีการปิดอภิปรายแม้จะล่วงเลยไปหลายวัน ทำให้ประธานสั่งพักการประชุม 5 นาที เพื่อไปเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำกันได้ เวลา 04.24 น. กลุ่มส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจวอล์กเอาต์ เดินออกจาสภาฯ เนื่องจากไม่ได้อภิปราย สำหรับรายชื่อ ส.ส. 4 คนที่ใช้สิทธิงดออกเสียง ได้แก่ นายวรชัย เหมะ สส.สมุทรปราการ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สส.บัญชีรายชื่อและรมช.พาณิชย์ นพ.เหวง โตจิราการ สส.บัญชีรายชื่อ และ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ
ที่มา: มติชนออนไลน์, โพสต์ทูเดย์ และ ไทยรัฐออนไลน์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น