โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

หมายเหตุประเพทไทย #157 จีนและการทูตรถไฟความเร็วสูง

Posted: 14 May 2017 07:41 AM PDT

หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ และชานันท์ ยอดหงษ์ เล่าเรื่อง "การทูตรถไฟความเร็วสูง" (High-speed Rail Diplomacy) ที่จีนตั้งเป้าหมายเชื่อมโยงเมืองท่าและแหล่งอุตสาหกรรมย่านชายฝั่งตะวันออกของจีนเข้ากับเมืองสำคัญในเอเชียกลางจนถึงภูมิภาคยุโรป โดยเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ "One Belt, One Road" หรือ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" หรือที่เรียกว่า "นโยบายเส้นทางสายไหมทางเศรษฐกิจและเส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ 21" ที่มุ่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งเครือข่ายระบบรางและท่าเรือน้ำลึก ซึ่งจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในด้านภูมิรัฐศาสตร์ และอิทธิพลของจีนที่ขยายจากตะวันออกไปยังตะวันตกอีกด้วย

เมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศที่มีรถไฟความเร็วสูงก่อนหน้านี้ ถือว่าจีนใช้เวลาสั้นมากในการพัฒนาเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูง โดยเริ่มศึกษาในปี 2004 และเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงเส้นทางแรกในปี 2008 ก่อนที่จะเริ่มส่งออกและขายเทคโนโลยีด้านขนส่งทางรางให้กับประเทศต่างๆ ในโลก โดยประเมินว่าภายในปี 2030 จีนจะมีส่วนแบ่งถึง 1 ใน 3 ของมูลค่าของอุตสาหกรรมรถไฟความเร็วสูงในโลก

นอกจากนี้ปองขวัญยังกล่าวถึงบทบาทของจีนที่มาในรูปแบบของแหล่งเงินทุนเพื่อช่วยเหลือด้านการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานสำหรับประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งประเทศเหล่านี้ก็มองหาแหล่งเงินกู้รวมทั้งเทคโนโลยีที่ไม่แพง ทั้งนี้จีนเองผลักดันสถาบันการเงินและองค์กรระหว่างประเทศที่จีนเป็นผู้นำ ให้เข้ามามีบทบาทส่งเสริมยุทธศาสตร์ "One Belt, One Road" และการทูตรถไฟความเร็วสูง ซึ่งความเคลื่อนไหวของจีนดังกล่าวจึงทำให้ชาติที่พัฒนารถไฟความเร็วสูงมาก่อนอย่างญี่ปุ่นเริ่มปรับตัวโดย นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเองก็เริ่มเดินสายเสนอขายแพ็กเกจรถไฟความเร็วสูงรวมถึงแหล่งเงินกู้เช่นกัน

ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่

https://www.facebook.com/maihetpraphetthai

หรือลงทะเบียนรับชมที่ https://youtube.com/prachatai

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดีเดย์ 15 พ.ค. บังคับใช้กฎหมาย 'จับ-ปรับ' รถตู้โดยสารมีที่นั่งเกิน 13 ที่นั่ง

Posted: 14 May 2017 05:34 AM PDT

ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.นี้ เป็นต้นไป เริ่มบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายให้รถตู้โดยสารสาธารณะทุกประเภทให้ไม่เกิน 13 ที่นั่ง และต้องจัดวางรูปแบบที่นั่งแถวหลังสุดให้มีช่องทางเดิน ไม่น้อยกว่า 20 เซนติเมตร เพื่อใช้เป็นทางเดินออกประตูด้านท้ายของรถ

 
 
 
14 พ.ค. 2560 สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่าตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.นี้ เป็นต้นไป จะเริ่มบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายกับผู้ประกอบการและเจ้าของรถตู้โดยสารทุกคันในการปรับปรุงแก้ไขการจัดวางที่นั่งผู้โดยสารในรถตู้โดยสารสาธารณะทุกประเภทให้ไม่เกิน 13 ที่นั่ง และต้องจัดวางรูปแบบที่นั่งแถวหลังสุดให้มีช่องทางเดิน ขนาดความกว้างไม่น้อยกว่า 20 เซนติเมตร เพื่อใช้เป็นทางเดินออกประตูด้านท้ายของรถได้สะดวกขึ้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุและประตูทางเข้าไม่สามารถเปิดได้ เพื่อลดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน โดยประตูหลังต้องสามารถเปิดออกจากภายในตัวรถได้ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นหรือเกิดอุบัติเหตุและมีค้อนทุบกระจก และมีข้อความ "ทางออกฉุกเฉิน" เป็นตัวอักษรภาษาไทยสีแดงสะท้อนแสงมีความสูงไม่น้อยกว่า 5 เซนติเมตร ติดอยู่เหนือบริเวณที่เปิดปิดประตู หรือบริเวณขอบประตูด้านบนทางออกฉุกเฉินให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
 
หากพบการฝ่าฝืนจะพิจารณาอัตราโทษปรับเบื้องต้น ควบคู่กับการแนะนำและตักเตือน สร้างความเข้าใจกับผู้ประกอบการ พร้อมชี้แจงมาตรการการบังคับใช้กฎหมายซึ่งจะมีความเข้มข้นขึ้น หลังจากที่ได้ให้ระยะเวลาผู้ประกอบการขนส่งหรือเจ้าของรถตู้ในการเตรียมความพร้อมปรับปรุงจำนวนที่นั่งให้เป็นไปตามกฎหมาย คู่ขนานกับการสร้างความเข้าใจ การรับรู้ ตลอดจนการให้คำปรึกษามาอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณีรถที่ไม่มีที่เปิดประตูด้านท้ายจากภายในตัวรถได้ผ่อนผันให้ติดตั้งค้อนทุบกระจกเพิ่มเติมในบริเวณใกล้บานกระจกด้านท้ายในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจน และสะดวกในการหยิบใช้งาน รวมถึงกรณีรถตู้ที่มีการจัดวางที่นั่งผู้โดยสารไม่เกิน 13 ที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว โดยที่นั่งแถวหลังสุดเป็นแบบ 3 ที่นั่ง และไม่มีช่องทางเดินออกฉุกเฉินด้านท้าย ต้องถอดที่นั่งแถวหลังสุดให้มีช่องทางเดิน หรือปรับปรุงที่นั่งแถวหลังสุด ให้พนักพิงเบาะหลังเป็นแบบพับไปข้างหน้าหรือปรับเอนไปข้างหลัง และติดตั้งค้อนทุบกระจกเพิ่มเติมในบริเวณใกล้บานกระจกด้านท้ายด้วยเช่นเดียวกัน
 
กรมการขนส่งทางบกขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการยกระดับความปลอดภัย ไม่ให้เกิดความสูญเสียรุนแรงในการเดินทางด้วยรถตู้โดยสารสาธารณะนำรถเข้ารับการตรวจสภาพและแก้ไขรายการทางทะเบียนตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่กำหนด สำหรับรถตู้โดยสารประเภทประจำทางในเส้นทางหมวด 2 (เส้นทางกรุงเทพ-ต่างจังหวัด) และหมวด 3 (เส้นทางระหว่างจังหวัด) ให้ดำเนินการภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2560 รถตู้ในเส้นทางหมวด 1 (เส้นทางในเมือง) และหมวด 4 (เส้นทางภายในจังหวัด) ให้ดำเนินการภายในวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 และรถตู้โดยสารประเภทไม่ประจำทาง (รถเช่าเหมา) ให้ดำเนินการภายในวันที่ 5 สิงหาคม 2560
 
ทั้งนี้ หากพบการฝ่าฝืนจะดำเนินการลงโทษขั้นสูงสุดทุกกรณี ทั้งนี้กรมการขนส่งทางบกยังเดินหน้าสแกนรถโดยสารสาธารณะทุกคันและพนักงานขับรถทุกคน ตามรายการตรวจสอบที่กรมการขนส่งทางบกจัดทำขึ้น (Checklist) เช่น การติดตั้งระบบ GPS Tracking การติดตั้งเข็มขัดนิรภัยต้องมีครบทุกที่นั่งและสามารถใช้งานได้ จำนวนที่นั่งไม่เกินตามที่กำหนด สภาพยางและล้อต้องอยู่ในสภาพปลอดภัย มีค้อนทุบกระจก ติดตั้งถังดับเพลิงครบถ้วน เป็นต้น ส่วนพนักงานขับรถต้องมีใบอนุญาตขับรถถูกต้อง สภาพร่างกายมีความพร้อม ไร้สารเสพติดและแอลกอฮอล์เป็นศูนย์ 100% พร้อมแนะนำประชาชนพบเห็นรถตู้ไม่ปลอดภัย ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แจ้ง 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทหารส่งภาพวงจรปิดวิสามัญ ‘ชัยภูมิ ป่าแส’ ทั้งฮาร์ดดิสก์ให้ตำรวจ

Posted: 14 May 2017 05:19 AM PDT

รอง ผบก.ภ.จ.เชียงใหม่ ระบุทหารส่งข้อมูลจากกล้องวงจรปิดให้แล้วทั้งฮาร์ดดิสก์ ไม่กล้าเปิดกลัวเกิดผิดพลาดส่งต่อกองพิสูจน์หลักฐานตรวจก่อน ชี้ถ้าทหารนำแผ่นซีดีมาให้สามารถเปิดดูได้ทันที แต่ส่งมาทั้งฮาร์ดดิสก์หากเปิดแล้วไม่มีภาพ-ขัดข้อง ตำรวจเดือดร้อนแน่ จึงรอกองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบให้แน่นอนว่าภาพมีการตัดต่อหรือไม่

 
 
ภาพการค้นรถ
 
เว็บไซต์ข่าวสด รายงานว่าเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2560 ที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 5 พ.ต.อ.มงคล สัมภวผล รอง ผบก.ภ.จ.เชียงใหม่ กล่าวถึงคดีวิสามัญนายชัยภูมิ ป่าแส นักเคลื่อนไหวชาติพันธุ์ ชาวลาหู่ จนเสียชีวิต ขณะตรวจค้นยาเสพติดที่ อ. เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ว่าคดีของนายชัยภูมิ มีทั้งหมด 4 คดี 4 สำนวนคือ 1.สอบสวนการเสียชีวิต 2.คดีที่นายชัยภูมิกับเพื่อนถูกกล่าวหาว่ามียาเสพติด และมีเครื่องกระสุนวัตถุระเบิด 3.คดีที่ถูกกล่าวหาว่าต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และ4.คดีที่เจ้าพนักงานใช้อาวุธปืนยิงชัยภูมิจนเสียชีวิต ส่งอัยการแล้ว 1 สำนวนคือสอบสวนการตาย ส่วนเรื่องยาเสพติด ไม่เกิน 2 สัปาดาห์จึงออกสำนวนได้ เพราะเพื่อนนายชัยภูมิถูกฝากขังอยู่ แต่คดีที่ถูกกล่าวหาว่าต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ได้สิ้นสุดเพราะนายชัยภูมิเสียชีวิตแล้ว
 
พ.ต.อ. มงคล กล่าวอีกว่า สำหรับวงจรปิดนั้น ทหารได้ส่งให้พนักงานสอบสวนแล้ว โดยเอามาให้ทั้งฮาร์ดดิสก์ ตำรวจไม่กล้าเปิดดู กลัวจะเกิดการผิดพลาด จึงใช้สก็อตเทปพันและเซ็นต์ชื่อกำกับ ส่งต่อไปยังกองพิสูจน์หลักฐานดำเนินการตรวจสอบก่อน หากทหารนำแผ่นซีดีมาให้เราสามารถเปิดดูได้ทันที แต่ส่งมาทั้งฮาร์ดดิสก์หากเปิดแล้วไม่มีภาพหรือขัดข้อง ตำรวจเดือดร้อนแน่จึงต้องรอกองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบให้แน่นอนว่าภาพนั้นมีการตัดต่อหรือไม่
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

7 ปี 'บุญทิ้ง' อาสากู้ชีพถูกยิงเสียชีวิตช่วงสลายแดง ญาติเผยคดีไม่คืบ ไม่มีใครกล้าเป็นพยาน

Posted: 14 May 2017 05:09 AM PDT

ครบรอบ 7 ปี 'บุญทิ้ง ปานศิลา' อาสาสมัครกู้ชีพวชิรพยาบาล ถูกยิงเสียชีวิต ช่วงสลายการชุมนุม นปช. โดย ศอฉ. ญาติเผยคดีไม่คืบ ไม่มีใครกล้าเป็นพยาน

14 พ.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงหัวค่ำวันนี้เมื่อ 7 ปีที่แล้ว บริเวณถนนราชปรารภ หน้าร้านไพศาลเอนเจอเนียริ่ง ในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. โดย ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) 'บุญทิ้ง ปานศิลา' อาสาสมัครกู้ชีพวชิรพยาบาล วัย 25 ปี ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณนั้น ขณะที่เขาถูกยิงเขาสวมชุดสีขาวของวชิรพยาบาล นอนจมกองเลือดอยู่บริเวณนั้น ก่อนที่ กิตติพันธ์ ขันทอง ชายหนุ่ม วัยไล่เลี่ยกันอีกคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์พยายามเข้าช่วยเหลือ และถูกยิงเสียชีวิตในเวลาต่อมาเช่นกัน

ภาพของ 'ด.ช.ฟีโน่' ลูกชาย 'บุญทิ้ง ปานศิลา' อาสาสมัครกู้ชีพวชิรพยาบาล ขณะที่บุญทิ้งถูกยิงเสียชีวิตฟีโน่มีอายุเพียง 9 เดือน (ภาพนี้ถ่ายเมื่อ 21 เม.ย.57 : ที่มา แฟ้มภาพประชาไท)

ญาติของบุญทิ้งเล่าว่า บุญทิ้งมีพื้นฐานนิสัยชอบบริการสังคม ชอบช่วยเหลือคนในทุกเรื่องที่เขาทำได้ ที่ผ่านมาเขาเคยเข้าไปบริการช่วยเหลือผู้ชุมนุมทางการเมืองทุกสีเสื้อ

ในการทำงานกู้ชีพ เขาเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วด้วยมอร์ไซต์คู่ใจเข้าช่วยเหลือผู้คนในเหตุฉุกเฉินต่างๆ รวมถึงวันที่ 14 พ.ค.2553 ด้วย

ญาติเผยคดีไม่คืบ ไม่มีใครกล้าเป็นพยาน

ผู้สื่อข่าวสอบถาม อรพิน สติปัญญา อายุ 50 ปี ผู้เป็นแม่ยายและแม่บุญธรรมของบุญทิ้ง เกี่ยวกับคดีของบุญทิ้ง อรพิน กล่าวว่า ไม่มีใครเป็นพยานในที่เกิดเหตุ ถูกนำไปพ่วงรวมกับคนที่เสียชีวิตในจุดเดียวกัน ตนเคยไปให้ข้อมูลที่ศาลเพียงครั้งเดียวเพื่อยืนยันว่าเป็นญาติ ขณะนี้คดีไม่มีความคืบหน้า

อรพิน เล่าว่า เวลาที่ครอบครัวไปรำลึกจุดที่บุญทิ้งถูกยิง คนบริเวณนั้นมักมาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อตนร้องขอให้ไปเป็นพยานให้ในศาล ก็ถูกปฏิเสธ

ซ้ายมือ อรพิน สติปัญญา อายุ 50 ปี ผู้เป็นแม่ยายและแม่บุญธรรมของบุญทิ้ง (ภาพนี้ถ่ายเมื่อ 21 เม.ย.57 : ทีมา แฟ้มภาพประชาไท)

อรพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า เช้าวันที่ 15 พ.ค.53 หลังวันเกิดเหตุ ตนเข้าไปเอารถมอเตอร์ไซค์คู่ใจขอบุญทิ้งที่ถูกทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุ ตำรวจก็ประกาศให้พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ใช้กระสุนจริง

7 ปีที่ไม่มีบุญทิ้ง อรพิน กล่าวว่า กระทบกับครอบครัว เนื่องจากเขามีลูก ตอนนี้ก็ 8 ขวบแล้ว ปี 2 ซึ่งบุญทิ้งจากลูกไปตั้งแต่ลูกอายุเพียง 9 เดือน มันก็ทำให้ลูกเขาขาดพ่อ จึงเป็นภาระของตนด้วย เนื่องจากแม่หรือภรรยาของบุญทิ้งต้องทำงานประจำ ตนจึงรับหน้าที่พาไปเรียน เช่น วันนี้ก็พาไปเรียนฟุตบอล ถ้ามีพ่อ ชีวิตเขาก็จะต่างกันไป พ่อก็จะพาไปส่ง

สำหรับบุญทิ้งนั้น อรพิน กล่าวว่า เขาไม่มีแม่และพ่อ เพราะถูกทิ้งตั้งแต่เขายังเด็กๆ และมาอยู่กับครอบครัวของตนจนเป็นลูกเขยเรา จึงเหมือนคนในครอบครัว เป็นลูกตนแท้ๆ เลย

สำหรับ บุญทิ้ง ถูกยิงช่วงหัวค่ำของวันที่ 14 พ.ค.53 บริเวณถนนราชปรารภ หน้าร้านไพศาลเอนเจอเนียริ่ง (ถัดจากปั้มเชลล์ไปทางแนวทหารประมาณ 10 เมตร (ดูจาก Google map ที่ http://goo.gl/VoDJvs)

ขณะที่บุญทิ้งถูกยิงเขาสวมชุดสีขาวของวชิรพยาบาล (ในภาพ ชุดที่ฟีโน่เอาเสื้อพ่อมาใส่นั้นเป็นการตัดเย็บขึ้นใหม่ เนื่องจากชุดเดิมเต็มไปด้วยคราบเลือด) เขานอนจมกองเลือดอยู่บริเวณนั้น ก่อนที่กิตติพันธ์ ขันทอง ชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันอีกคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์พยายามเข้าช่วยเหลือ และถูกยิงเสียชีวิตในเวลาต่อมาเช่นกัน

หลังเกิดหตุ วันที่ 15 พ.ค.53 พ.ญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่า กทม. ออกมาบอกว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะเป็นอุบัติเหตุ ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ยกมือขึ้นเพื่อบอกทหารว่าจะเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ แต่ระหว่างนั้นมีคนวิ่งเข้าออกบริเวณดังกล่าว จึงเกิดความเข้าใจผิดขึ้น" (ดู ข่าวสดออนไลน์ วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 พ.ญ.มาลินีแจงยิงอาสาฯดับเหตุเข้าใจผิด)

ครอบครัว 'บุญทิ้ง-กิตติพันธ์' รำลึก 7 ปี 

หลายปีที่ผ่านมาครอบครัวของบุญทิ้งและกิตติพันธ์มักไปรำลึกในจุดเกิดเหตุร่วมกัน และยังมีเจ้าหน้าที่กู้ชีพของวชิรพยาบาลที่มาร่วมรำลึกด้วยทุกปี และเช่นเดียวกับทุกปี ช่วงค่ำวันนี้ทั้ง 2 ครอบครัว ได้ไปจุดเทียน วางดอกไม้รำลึกบริเวณจุดเกิดเหตุด้วย โดยครอบครัวของกิตติพันธ์  มาก่อนในช่วงหัวค่ำ จากนั้นช่วงประมาณ 20.00 น. อรพิน ได้เดินทางมารำลึก การเสียชีวิตของบุญทิ้ง เพียงลำพัง

อรพิน แม่ยายของบุญทิ้ง ได้เดินทางมารำลึก การเสียชีวิตของบุญทิ้ง เพียงลำพัง

ภาพครอบครัวกิตติพันธ์ พร้อมด้วย ญาติผู้เสียชีวิตช่วงเดือน พ.ค.53 รวมจุดเทียนและวางดอกไม้ (ภาพจาก Banrasdr Photo)

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วานนี้ (13 พ.ค.60) อานนท์ นำภา ได้โพสต์วิดีโอคลิปถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กรำลึกการเสียชีวิตของ 'ชาติชาย ชาเหลา' บริเวณถนนพระราม 4 

สำหรับชาติชาย เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.55 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้อ่านคำสั่งชันสูตรพลิกศพ การเสียชีวิตของเขา โดยสั่งว่า ผู้ตายคือนายชาติชาย ชาเหลา ถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์  ถนนพระราม 4 เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 53 เวลา 23.37 น. โดยเหตุและพฤติการณ์การตาย สืบเนื่องมาจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด ขนาด .223 (5.56 ม.ม.) เป็นเหตุให้สมองฉีกขาดร่วมกับกะโหลกศีรษะแตกอย่างมาก ซึ่งวิถีกระสุนปืนมาจากแนวด่านตรวจแข็งแรงของเจ้าพนักงาน ซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบ ถ.พระราม 4 โดยยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ (อ่านรายละเอียดคำสั่งศาล)

คลิปที่เกี่ยวข้อง : 

VDO clip ที่ majoranticoup ถ่ายไว้ได้(ฝั่งตรงข้ามถนน)
http://www.youtube.com/watch?v=D3uAr7ItJxk
http://www.youtube.com/watch?v=1qImcWPb0fg
http://www.youtube.com/watch?v=4whFTFmnk1w

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 7-13 พ.ค. 2560

Posted: 14 May 2017 03:35 AM PDT

 
สธ.กำหนดยุทธศาสตร์เร่งด่วนแก้พยาบาลขาด เน้น 'บรรจุ-หนุนความก้าวหน้า'
 
กระทรวงสาธารณสุข หนุนการพัฒนางานการพยาบาลของประเทศไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน กำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาขาดแคลนพยาบาล เป็นยุทธศาสตร์เร่งด่วน เน้นบรรจุพยาบาล สนับสนุนให้พยาบาลมีความก้าวหน้าในวิชาชีพและสร้างขวัญกำลังใจ ส่งเสริมทุนการศึกษา อบรมให้เป็นพยาบาลเฉพาะทาง ลดความเหลื่อมล้ำเรื่องค่าตอบแทนต่างๆ ตลอดจนกำหนดให้มีการผลิตผู้ช่วยพยาบาลเพื่อลดภาระงานที่ไม่จำเป็น
 
เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 ที่โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ กทม. นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปาฐกถาพิเศษในการประชุมวิชาการพยาบาล วันพยาบาลสากล ประจำปี 2560 ในหัวข้อ "บทบาทพยาบาลในยุค Thailand 4.0" โดยมีพยาบาลวิชาชีพ ผู้บริหารการพยาบาล อาจารย์พยาบาล ผู้ปฏิบัติการพยาบาลและผู้สนใจ จำนวน 300 คน เข้าร่วมประชุม
 
นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ในอนาคตการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในด้านคุณภาพชีวิต ตั้งแต่จัดระบบการดูแล การพัฒนาระบบการเงินการคลัง การลดความเหลื่อมล้ำและการสร้างโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐ กระทรวงสาธารณสุขได้นำมากำหนดเป็นแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีด้านสาธารณสุข พ.ศ.2560-2579 ประกอบด้วยความเป็นเลิศ 4 ด้านคือ ด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ด้านการจัดบริการ ด้านการพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพ และด้านการบริหารจัดการจากนโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีและการปฏิรูปประเทศไทยด้านสาธารณสุขภายใต้เป้าหมาย "ประชาชนสุขภาพดี เจ้าหน้าที่มีความสุข ระบบสุขภาพยั่งยืน"
 
กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายพัฒนาและยกระดับคุณภาพการบริการด้านการพยาบาลและสาธารณสุข เพื่อขยายการให้บริการและเพิ่มขีดความสามารถของสถานพยาบาลทั่วประเทศ และลดปัญหาสุขภาพของประชาชนในระดับปฐมภูมิ เพื่อให้การพัฒนางานการพยาบาลของประเทศไทยมีเป้าหมายสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) กำหนดนโยบายในการแก้ไขปัญหาขาดแคลนพยาบาลเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ต้องมีการดำเนินการเร่งด่วน โดยเน้นด้านการบรรจุพยาบาล การสนับสนุนให้พยาบาลมีความก้าวหน้าในวิชาชีพและสร้างขวัญกำลังใจ ส่งเสริมทุนการศึกษา อบรมให้เป็นพยาบาลเฉพาะทาง ลดความเหลื่อมล้ำเรื่องค่าตอบแทนต่างๆ ตลอดจนกำหนดให้มีการผลิตผู้ช่วยพยาบาลเพื่อลดภาระงานที่ไม่จำเป็น
 
เนื่องจากปัจจุบันภาระงานการบริการสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีความต้องการบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุขมากขึ้น ข้อมูลจากสำนักพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2559 มีพยาบาลที่ปฏิบัติงานในกระทรวงสาธารณสุขที่เป็นข้าราชการและจ้างงานอื่นๆ จำนวนประมาณ 160,000 คน โดยปฏิบัติงานสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขประมาณ 100,000 คน ซึ่งอัตราส่วนการดูแลคิดเป็นค่าเฉลี่ย พยาบาล 1 คนต่อประชากร 600 คน ในขณะที่อัตราส่วนที่เหมาะสม ควรอยู่ที่ พยาบาล 1 คนต่อประชากร 400 คน
 
สำหรับการประชุมวิชาการ วันพยาบาลสากล ประจำปี 2560 ครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ วันที่ 3-5 พฤษภาคม 2560 เพื่อให้พยาบาลวิชาชีพตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นผู้ดูแลสุขภาพประชาช (Nurses care for others) การพยาบาลเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน (It is the right thing to do)การผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ (Change is possible) และการพัฒนาความมีสุขภาพดีของทุก ๆ คน (It is our health) โดยในการประชุมจะมีพิธีมอบรางวัลพยาบาลดีเด่น สาขาเกียรติคุณ สาขาการบริการพยาบาล สาขาการศึกษาพยาบาล และสาขานวัตกรรมทางการพยาบาล โดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เพื่อเชิดชูและยกย่องพยาบาลที่มีผลงานดีเด่น ในการพัฒนาวิชาชีพการพยาบาล นอกจากนี้ยังมีมีนิทรรศการ "90 ปี สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ: ความสำเร็จที่ยั่งยืนสู่ยุคพยาบาล 4.0" ซึ่งเป็นนิทรรศการผลงานวิจัยและผลงานวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนของ องค์กรสมาชิกของสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทย
 
 
ยอดตั้งโรงงาน 4 เดือนแรกแผ่ว มี 1,533 โรงงาน ลดลง 5.07% จากปี 2559 ที่มี 1,615 โรงงาน
 
นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า การขอใบอนุญาต ประกอบกิจการ รง.4 และขยายกิจการในเดือนมกราคม-เมษายน 2560 มีจำนวนโรงงานทั้งสิ้น 1,533 โรงงาน ลดลง 5.07 % จากช่วงเดียวกันในปี 2559 ที่มีอยู่ 1,615 โรงงาน ส่วนมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 1.17 แสนล้านบาท พบลดลง 29.51% จากช่วงเดียวกันของปี 2559 ที่อยู่ที่ 1.66 แสนล้านบาท
 
นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวยอมรับว่า ภาพรวมการขอใบอนุญาต รง.4 ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่าที่ลดลง เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดกลางและเล็กที่เริ่มมีการลงทุน แต่เชื่อมั่นว่าโครงการขนาดใหญ่จะเข้ามาลงทุนในช่วงปลายปีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ เป็นต้น รวมทั้งนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่จะส่งผลให้เอกชนลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากขณะนี้เอกชนรอดูความชัดเจนของมาตรการต่างๆก่อนจะลงทุนจริง พร้อมมั่นใจว่าจำนวนและมูลค่าการลงทุนของยอดขอรง.4 ปีนี้ไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมาหรือประมาณ 5 พันกว่าโรงงาน หรือมูลค่าลงทุนอยู่ที่ประมาณ 5 แสนล้านบาท
 
"มูลค่าการลงทุนและจำนวนที่ลดลงยังไม่น่ากังวลมากนัก เนื่องจากสิ้นปีเอกชนจะแห่เข้ามาขอใบ รง.4เหมือนปกติทุกปี แต่สิ่งที่น่าสังเกต คือ จำนวนจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้นโดยใน 4 เดือนมีจำนวนจ้างแรงงาน 6.5 หมื่นคน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 6.1 หมื่นคน โดยเฉพาะในเดือนเมษายนที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดเล็กและใช้จำนวนแรงงานมาก โดยเบื้องต้นส่วนใหญ่น่าจะไม่ใช่กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่กระทรวงกำลังเร่งผลักดันอยู่"นายสมชายกล่าว
 
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนภาคเอกชน ขณะนี้ภาคเอกชนยัง อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดสิทธิประโยชน์ต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน เชื่อว่าจะค่อยๆทยอยการลงทุนเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป โดยขณะนี้ผู้ประกอบการกำลังปรับปรุงกระบวนการผลิตไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 และขยายกำลังการผลิตให้เต็มศักยภาพ และคาดว่า ในอนาคตจะมีการลงทุนอย่างแน่นอน เนื่องจากมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นแรงกระตุ้นในการลงทุน แต่ต้องใช้เวลาศึกษาข้อมูล อย่างละเอียดก่อนที่จะมีการลงทุน
 
 
ชาวประมงขอรัฐผ่อนปรนการใช้แรงงานต่างด้าว
 
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 7 พฤษภาคม 60 ที่สมาคมประมงปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายอติชาติ ชัยศรี นายกสมาคมประมงปราณบุรี พร้อมด้วยคณะกรรมการและผู้ประกอบการเรือประมงราว 200 คน รวมตัวเพื่อขอให้รัฐบาลช่วยเหลือหลังขาดแคลนปัญหาแรงงานต่างด้าว โดยยมีทหารจากศูนย์การทหารราบค่ายธนะรัชต์ ตำรวจ สภ.ปากน้ำปราณ ดูแลความเรียบร้อย
 
นายอติชาติ กล่าวว่าขณะนี้เรือประมงนับร้อยลำต้องจอดอยู่ฝั่งไม่สมารถออกหากินได้ ต่างได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาขาดแคลนแรงงานในเรือประมงพาณิชย์จากการออกใบอนุญาตแรงงานเพื่อนบ้าน โดยมีข้อเรียกร้องให้มีการผ่อนผันเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าและจากปัญหาจาก พรบ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 17 กรณีการจัดการสิ่งปลูกสร้างรุกลำน้ำของกรมเจ้าท่าซึ่งมีปัญหากับผู้ประกอบการจำนวนมากโดยมีโทษปรับรายวันจากการคำนวณพื้นที่รุกล้ำเป็นตารางเมตรและมีโทษจำคุก นอกจากนั้นยังมีปัญหาการวัดระวางเรือแล้วแต่ก็ยังถูกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจจับกุมและยึดเรือ ทั้งนี้ในวันพรุ่งนี้ (8 พ.ค.) ตนพร้อมด้วยกรรมการจะไปยื่นหนังสือถึงความเดือดร้อน ร่วมกับสมาคมประมงแห่งประเทศไทย ถึงนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการเรือประมงทั่วประเทศในขณะนี้
 
 
บังคับใช้แล้ว ขยายเวลานายจ้างยื่นส่งเงินสมทบ
 
ราชกิจจานุเบกษา หน้า ๓ เล่ม ๑๓๔ ตอนพิเศษ ๑๒๖ ง ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบ และการนําส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e – Payment) พ.ศ. ๒๕๖๐
 
โดยที่ปัจจุบันได้มีการนําระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม 
 
ของประเทศเพื่อพัฒนาการแข่งขันและการยอมรับของนานาอารยประเทศ ซึ่งจําเป็นต้องมีการพัฒนาให้หน่วยงานภาครัฐปรับปรุงประสิทธิภาพในการให้บริการโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว และเพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจของนายจ้างและเพื่อประโยชน์ของลูกจ้างให้ได้รับความคุ้มครอง เห็นสมควรขยายกําหนดเวลาให้นายจ้างยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและนําส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e – Payment)
 
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๘๔/๒ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ 
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๑/๒๕๖๐ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่ออํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ลงวันที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ 
 
ข้อ ๑ ให้ขยายกําหนดเวลา กรณีนายจ้างยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนําส่งเงินสมทบตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งแก้ไข 
 
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยวิธีการนําส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e – Payment) ออกไปอีกเจ็ดวันทําการนับแต่วันที่พ้นกําหนดวันที่สิบห้าของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสมทบไว้ การดําเนินการตามวรรคหนึ่งให้ใช้สําหรับการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนําส่งเงินสมทบสําหรับค่าจ้างตั้งแต่เดือนที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับเป็นต้นไป เป็นระยะเวลาสิบสองเดือน
 
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นไป 
 
ประกาศ ณ วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ 
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล 
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
 
 
กองความปลอดภัยแรงงาน ตั้งทีมเฉพาะกิจปฎิบัติการภายใน 60 วัน ดูแลงานก่อสร้างโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง
 
นายอำนวย ภู่ระหงษ์ ผู้อำนวยการกองความปลอดภัยแรงงาน เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป (8พ.ค.) จะมีการตั้งทีมเฉพาะกิจปฎิบัติการภายใน 60 วัน ให้ดูแลงานก่อสร้างที่มีการยกชิ้นงานขนาดใหญ่ การใช้เครื่องจักรรูปแบบพิเศษ หลังเกิดอุบัติเหตุรถเครนที่กำลังยกแผ่นปูนพลิกคว่ำ หล่นทับคนงานเสียชีวิต 3 ราย ที่ ถนนสรงประภา หน้าวัดดอนเมือง โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง พร้อมทั้งเตรียมเชิญ การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ผู้รับเหมารายใหญ่มาพูดคุยวางแผนในเดือนพ.ค.นี้ ว่า จะมีการดูแลพื้นที่ในส่วนที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จรวมถึงควบคุมอย่างไรเพื่อให้ไม่เกิดอุบัติเหตุการสูญเสียขึ้นอีก
 
ทั้งนี้ สถิติการเจ็บป่วย การตายของแรงงานช่วง ต.ค. 2558 - มี.ค. 2559 และ ต.ค.2559 - มี.ค. 2560 ที่ได้รับอันตรายร้ายแรง การเสียชีวิต ทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะและหยุดงานไม่เกิน 3 วัน ลดลงร้อยละ 7.8
 
 
ก.แรงงาน เผยสถิติประสบอันตรายลดลงเกินเป้า
 
กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เผยสถิติการประสบอันตรายจากการทำงานลดลงเกินเป้า พร้อมเผยการดำเนินการตรวจเข้มความปลอดภัยในการทำงานตามมาตรการ ย้ำดำเนินการต่อเนื่องตามมาตรการ ๓-๓-๒ แม้ผลการประสบอันตรายลดลงน่าพอใจ
 
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(กสร.) เปิดเผยว่า การประสบอันตรายจากการทำงานของลูกจ้างนับเป็นความสูญเสียสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตัวลูกจ้าง ครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ของประเทศ พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานให้ความสำคัญกับการดำเนินการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้กำหนดให้เรื่องของความปลอดภัยในการทำงานเป็นหนึ่งใน ๘ วาระปฏิรูปแรงงาน จากการดำเนินงานที่ผ่านมาส่งผลให้สถิติการประสบอันตรายจากการทำงานของลูกจ้างกรณีร้ายแรง(เสียชีวิต ทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะบางส่วน และหยุดงานเกินสามวัน) ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปี พ.ศ. ๒๕๕๗ มีการประสบอันตรายเท่ากับ เท่ากับ ๓.๔๔ ต่อ ๑,๐๐๐ ราย และปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เท่ากับ ๓.๑๕ ต่อ ๑,๐๐๐ ราย สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ช่วง ๖ เดือนแรก (วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ – ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐) เปรียบเทียบในห้วงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ – ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ พบอัตราการประสบอันตรายจากการทำงานของลูกจ้าง กรณีร้ายแรงเท่ากับ ๑.๓๙ ต่อ ๑,๐๐๐ ราย ลดลงร้อยละ ๗.๕๖ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งลดลงเกินกว่าเป้าหมายของกสร.ที่ตั้งไว้ว่าลดลงอย่างน้อยร้อยละ ๕ ต่อปี
 
อธิบดีกสร.กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเมษายน ๒๕๖๐ ที่ผ่านมากสร.ได้ดำเนินการตรวจจะตรวจในประเภทกิจการที่มีการใช้ปั้นจั่นหรือเครน และกิจการที่มีการใช้สารเคมีตามมาตรการ ๓-๓-๒ มีสถานประกอบกิจการที่การใช้ปั้นจั่นผ่านการตรวจ จำนวน ๕๘๐ แห่ง ลูกจ้างที่เกี่ยวข้อง ๖๔,๕๔๖ คน มีการออกคำสั่งปรับปรุง ๒๐๑ แห่ง ส่งเรื่องดำเนินคดี ๔ แห่ง สถิติการประสบอันตรายลดลงร้อยละ ๓๘.๒๗ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ด้านความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตรายมีสถานประกอบกิจการผ่านการตรวจ จำนวน ๙๔๔ แห่ง ลูกจ้างที่เกี่ยวข้อง ๑๒๐,๗๙๕ คน มีการออกคำสั่งปรับปรุง ๒๗๐ แห่ง ส่งเรื่องดำเนินคดี ๑ แห่ง สถิติการประสบอันตรายลดลงร้อยละ ๒๙ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าการดำเนินการได้ผลเป็นที่น่าพอใจอย่างไรก็ตามกสร.จะทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผลการดำเนินการเป็นไปอย่างยั่งยืน
 
สำหรับมาตรการ ๓ – ๓ – ๒ เป็นการดำเนินงานตามแผน ๘ วาระปฏิรูปเร่งด่วนของกระทรวงแรงงาน โดยแผนดังกล่าวจัดเป็นแผนปฏิบัติการเพื่อคุ้มครองอันตรายที่เกิดขึ้นจากการทำงาน ประกอบด้วย ๓ เดือนแรก คือ ก.พ.- เม.ย.๖๐ จะตรวจสอบความปลอดภัยการทำงานใน ๕ ประเภทกิจการ ได้แก่ ๑.กิจการที่มีการใช้ปั้นจั่นหรือเครน ๒.กิจการที่มีการใช้สารเคมี ๓.กิจการขนส่งทางบก ๔.กิจการที่มีการใช้แรงงานเด็ก และ๕.กิจการเกี่ยวกับประมงและต่อเนื่อง ๓ เดือนที่สอง คือ พ.ค.- ก.ค.๖๐ จะตรวจใน ๓ ประเภทกิจการ ได้แก่ ๑.กิจการที่มีการใช้เครื่องบด/เครื่องตัดโลหะ ๒.กิจการที่มีการทำงานในที่อับอากาศ ๓.กิจการที่มีการทำงานในที่สูง สำหรับระยะสุดท้ายช่วง ส.ค.-ก.ย. ๖๐ จะตรวจใน ๒ ประเภทกิจการ ได้แก่ ๑. กิจการก่อสร้าง ๒.การป้องกันและระงับอัคคีภัย
 
 
เพจหางานอุตรดิตถ์แฉ แรงงานค่าจ้างเดือนละไม่ถึง 5,000 ถูกนายจ้างกดขี่ข่มเหง
 
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม นายมรุเดช ไทยดิตถ์ อายุ 32 ปี เจ้าของเพจ UTT JOB บริษัทจัดหางาน จ.อุตรดิตถ์ กล่าวว่า จ.อุตรดิตถ์ มีปัญหาการมีงานทำของคนเป็นจำนวนมาก ภาวะการตกงานมีสูงมาก เนื่องจากระบบของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องต่อการจัดหางานไม่เอื้อต่อการหางานของคนภายใน จ.อุตรดิตถ์ ยังคงใช้วิธีการเดิมๆ คือการให้คนหางานไปลงชื่อไว้ แล้วก็ไม่มีการติดต่อกลับหา ฐานข้อมูลถ้าอยากได้เบอร์สถานประกอบการเพื่อติดต่อก็ต้องไปที่สำนักงานจัดหางาน แทนที่จะทำในรูปแบบโซเชียลมีเดีย แต่กลับไม่มีให้บริการแต่อย่างใด หรือมีแต่ไม่มีการจัดการให้น่าสนใจและน่าเชื่อถือ
 
นายมรุเดชกล่าวว่า มองเห็นปัญหานี้มานานแล้ว จึงได้สร้างกลุ่ม UTT JOB ขึ้นมา เพื่อเป็นช่องทางการหางาน และให้ห้างร้านสถานประกอบการได้หาคนทำงาน ช่วยเหลือปัญหาทางเศรษฐกิจของจังหวัด โดยเริ่มต้นจากตนเองและกระจายไปยังคนในจังหวัดที่ต้องการทำงาน หลังจากเปิดเพจจี้ขึ้นมา ปรากฏว่ามีการตอบรับจากคนหางานและสถานประกอบการอย่างมาก จนทุกวันนี้มีสมาชิกที่ได้งานทำจำนวนมาก และในเพจเวลานี้มีสมาชิกกว่า 30,000 คน ถือได้ว่าเป็นร้อยละ 10 ของจำนวนประชากร จ.อุตรดิตถ์
 
"หลังจากมีสมาชิกเข้ามามากขึ้นก็ทำให้พบปัญหาที่ทำให้เศรษฐกิจไม่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าหลายๆ ด้าน เช่น ปัญหาการกดขี่แรงงานมากจนเกินไป เช่นสถานประกอบการจะให้ทดลองงานให้เงินเดือน 5,000 บาท แต่เมื่อครบการทดลองงานแล้ว 3 เดือน สถานประกอบการก็จะให้ออกพร้อมหาคนงานมาทดลองงานใหม่ ซึ่งลักษณะดังกล่าวเป็นการกดขี่ค่าแรง โดยอาศัยช่วงจังหวะทดลองงาน หากได้บรรจุงานก็จะต้องเพิ่มเงินเดือนให้คนงาน ปัญหาการให้ค่าจ้างไม่ถึงตามที่กฎหมายค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ และปัญหาที่ลูกจ้างไม่มีสิทธิร้องเรียนหน่วยงานทางราชการหรือเกี่ยวข้องเพื่อเอาผิดต่อนายจ้างได้เลย เพราะนายจ้างส่วนใหญ่ล้วนแต่ส่วนราชการเกรงใจมากกว่า" นายมรุเดชกล่าว
 
 
ครม. เห็นชอบให้สัตยาบัน ILO ฉบับที่ 111 ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานและอาชีพ
 
เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2560 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) ฉบับที่ 111 ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานและอาชีพ ค.ศ. 1958 (พ.ศ. 2501) 2. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำสัตยาบันสารเพื่อการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศดังกล่าว และ 3. มอบหมายให้ รง. จดทะเบียนสัตยาบันสารดังกล่าวต่อองค์การแรงงานระหว่างประเทศต่อไป
 
สาระสำคัญของอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 111 เป็น 1 ใน 8 อนุสัญญาหลักของ ILO ภายใต้หมวดการขจัดการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานและประกอบอาชีพ โดยเป็นอนุสัญญาเชิงส่งเสริมให้มีนโยบายและมาตรการระดับชาติเพื่อป้องกันและขจัดการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานและอาชีพ และมุ่งส่งเสริมโอกาสและการปฏิบัติที่ทัดเทียมในการจ้างงานและการประกอบอาชีพ โดยรายละเอียดของอนุสัญญาฯ เป็นอนุสัญญาเชิงส่งเสริมให้มีนโยบายและมาตรการระดับชาติเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติและส่งเสริมโอกาสความเสมอภาคการปฏิบัติที่ทัดเทียมในการจ้างงานและการประกอบอาชีพที่ครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การเข้าถึงบริการแนะแนวอาชีพและจัดหางานการเข้าถึงการฝึกอบรมและการทำงาน ความก้าวหน้าในอาชีพ ความมั่นคงในการทำงานค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับงานที่ทำ สภาพการจ้างและสวัสดิการจากการทำงาน โดยพิจารณาการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเชื้อชาติ สีผิว เพศ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง รากเหง้า (National Extraction) สถานภาพทางสังคม และฐานอื่น ๆ ที่ประเทศให้สัตยาบันกำหนดฐานเพิ่มเติมโดยการปรึกษาหารือกับองค์การนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งจะส่งผลให้ความเท่าเทียมในโอกาสหรือการได้รับการปฏิบัติในการจ้างงานหรืออาชีพนั้นหมดไปหรือด้อยลง โดยไม่เกี่ยวกับสัญชาติ (คนต่างชาติ)
 
ที่มา: มติคณะรัฐมนตรี, 9/5/2560
 
ก.แรงงาน เตือนผู้ที่จะไปทำงานนักร้องในสิงคโปร์ ควรได้รับสัญญาจ้างก่อน
 
กระทรวงแรงงาน เตือนคนไทยที่จะไปทำงานสายบันเทิง "นักร้อง-นักดนตรี" ในประเทศสิงคโปร์ ควรจะต้องทำสัญญาจ้าง หรือมีการออกใบอนุญาตทำงานก่อนเดินทางไป เพราะพบร้องขอให้ช่วยหลังถูกยกเลิกสัญญาก่อนกำหนด
 
เมื่อวันที่ 10 พ.ค.60 นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้มีแรงงานไทยที่ไปทำงานประเทศสิงคโปร์ในตำแหน่งนักร้องได้ขอความช่วยเหลือจากสำนักงานแรงงานในประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากถูกนายจ้างยกเลิกใบอนุญาตทำงานก่อนหมดสัญญาจ้าง ทั้งยังจ่ายค่าจ้างไม่ตรงตามที่ตกลงไว้ ด้วยเหตุผลว่าคนงานไม่สามารถทำงานในตำแหน่งนักร้องได้ ทั้งๆ ที่นายจ้างหักเงินค่าจ้างเพื่อจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมการจ้างแรงงานต่างชาติ (Levy) แล้ว โดยนายจ้างได้จัดส่งใบอนุญาตการทำงานที่ออกโดยกระทรวงแรงงานสิงคโปร์ให้คนงาน แต่นายจ้างไม่มีการทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งคนงานทำงานได้เพียงระยะหนึ่งนายจ้างก็บอกเลิกสัญญา
 
นายวรานนท์ กล่าวว่า การเข้ามาทำงานในสถานบันเทิงประเทศสิงคโปร์ ตำแหน่งนักร้อง นักดนตรี ธุรกิจบันเทิง หรืออื่นๆ นายจ้างจะต้องขออนุญาตจ้างงานชาวต่างชาติจากกระทรวงแรงงานสิงคโปร์ หากอนุมัติการจ้างงานแล้วจะออกใบอนุญาตการทำงานให้กับลูกจ้างจึงจะถือว่าเป็นการทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งนายจ้างจะต้องส่งหนังสือยืนยันว่า คนงานจะได้รับใบอนุญาตทำงานเมื่อเดินทางมาถึงประเทศสิงคโปร์ให้กับคนงานก่อน
 
"กรมการจัดหางานจึงขอเตือนคนหางานที่จะไปทำงานในประเทศสิงคโปร์ กลุ่มประเภทอาชีพนักร้อง นักดนตรีและธุรกิจบันเทิง ควรมีนายจ้างและได้รับใบอนุญาตการทำงานก่อนที่จะเดินทางไปทำงาน ตลอดจนเพิ่มความระมัดระวังในการทำสัญญาจ้างกับนายจ้างให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสัญญาจ้างจะต้องเป็นลายลักษณ์อักษร ต้องศึกษารายละเอียดสัญญาจ้างให้รอบคอบ ชัดเจน และต้องทำความเข้าใจสภาพชีวิตความเป็นอยู่ สังคม ค่าครองชีพ วัฒนธรรม สอบถามข้อมูลการไปทำงานสิงคโปร์อย่างถูกต้องได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โทร. 0-2245-6708-9 เว็บไซต์ www.mol.go.th/anonymouse/foreignlabour/39818 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694" นายวรานนท์กล่าว
 
 
ครม.ไม่อนุมัติ 10,992 อัตราข้าราชการพยาบาลใหม่ให้ สธ. แนะนำตำแหน่งว่างมาบริหาร
 
ครม.มีมติอนุมัติการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้ สธ.ตามมติ คปร. เพิ่มอัตราข้าราชการพยาบาลวิชาชีพ 450 อัตราเพื่อบรรจุ โครงการผลิตพยาบาลเพื่อจังหวัดชายแดน ให้ รพ.สต.พื้นที่ชายแดน ไม่อนุมัติอัตราข้าราชการพยาบาลวิชาชีพตั้งใหม่ 10,992 อัตรา ให้ สธ.สธ.นำตำแหน่งว่างมาบริหารรองรับบรรจุพยาบาลตามจำเป็น ให้ สธ.ปรับการทำงานให้พยาบาลวิชาชีพทำภารกิจเฉพาะที่ต้องใช้พยาบาลวิชาชีพ
 
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2560 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมได้มีมติอนุมัติการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับกระทรวงสาธารณสุขตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปณ.) ในการประชุม ครั้งที่ 1/2560 วันที่ 30 มีนาคม 2560 ตามที่สำนักงาน กพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
 
สาระสำคัญของเรื่อง
 
คปร.ในการประชุมครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 ได้พิจารณาเรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) แล้ว มีมติอนุมัติโดยมีเงื่อนไขให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ดำเนินการ ดังนี้
 
1. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพให้กับ สป.สธ. เพื่อบรรจุผู้สำเร็จการศึกษาจากโครงการผลิตบุคลากรพยาบาลเพื่อพัฒนาสุขภาพประชาชนในจังหวัดชายแดนตามรอยสมเด็จย่ารวม 450 อัตรา ทั้งนี้ ให้คณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวงสาธารณสุข (อ.ก.พ.สธ.) กำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ ปีละ 50 อัตรา ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560-2568 เป็นระยะเวลา 9 ปี และให้ สป.สธ. พิจารณาจัดสรรตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพดังกล่าวให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในพื้นที่ชายแดน และให้กำหนดเป็นตำแหน่งที่ต้องตรึงไว้เป็นการประจำในพื้นที่โดยมิให้เปลี่ยนชื่อตำแหน่งเป็นสายงานอื่น และไม่ให้ สธ. ขอเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพจนกว่าจะสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
 
2. ไม่อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ จำนวน 10,992 อัตรา โดยให้ สป.สธ.นำตำแหน่งว่างที่มีอยู่และตำแหน่งที่จะว่างในอนาคตมาบริหารจัดการเพื่อรองรับการบรรจุพยาบาลวิชาชีพตามความจำเป็น
 
3. ให้ สธ.ปรับปรุงการทำงานในโรงพยาบาลให้มีลักษณะการผสมผสานทักษะความชำนาญงานเฉพาะด้าน เพื่อให้บุคลากรในโรงพยาบาลทำหน้าที่สนับสนุนการทำงานร่วมกับพยาบาลวิชาชีพ รวมทั้งปรับลดหรือทบทวนให้พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติเฉพาะภารกิจที่ต้องใช้พยาบาลวิชาชีพ เพื่อให้พยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลได้ปฏิบัติงานการพยาบาลผู้ป่วยอย่างเหมาะสมและเกิดผลดีต่อผู้รับบริการ
 
4. ให้ สธ. พิจารณาการจ้างพนักงานราชการหรือใช้วิธีการจ้างพนักงานจากภายนอกองค์กร (Outsource) เพื่อทดแทนการบรรจุเป็นข้าราชการ ในภารกิจที่มีความจำเป็นต้องใช้บุคลากรเพิ่มเติม
 
5. ให้ สป.สธ. รายงานผลการดำเนินการตามข้อ 1 และข้อ 3 ให้ คปร.ทราบภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ อ.ก.พ. กระทรวงสาธารณสุขมีมติอนุมัติการกำหนดตำแหน่งอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพในแต่ละปี
 
 
วันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ ขบวนแรงงานประกาศข้อเสนอ 3 ข้อ แก้ปัญหาความไม่ปลอดในการทำงาน
 
วันที่ 10 พฤษภาคม 2560 ได้มีการจัดงาน วันความปลอดภัยแห่งชาติ อันตรายจากแร่ใยหิน ทำไมต้องเลิกใช้ งดนำเข้า จัดโดย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย แผนงานพัฒนาวิชาการและกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ที่โรงแรมทีเค พาเลซ กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีผู้เข้าร่วมจากผู้ใช้แรงงานกลุ่มต่างๆ ซึ่งก่อนเปิดงานได้มีการฉายวิดีทัศน์เรื่องการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความไม่ปลอดภัยในการทำงาน จากกรณีไฟไหม้โรงงานผลิตตุ๊กตาเคเดอร์ พร้อมร่วมกันยืนรำลึกถึงความสูญเสียชีวิตของคนงานเคเดอร์
 
ดร.ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า เรื่องความปลอดภัยในการทำงานมีความก้าวหน้ามากทั้งด้านกฎหมาย การดูแล และการตระหนักถึงการทำงานและดูแลเรื่องความปลอดภัยในการทำงานมากขึ้น ประเด็นเรื่องการใช้แร่ใยหินมีการทำงานรณรงค์มาช้านานเรื่องอันตรายจากแร่ใยหิน แต่ว่าความรับรู้ทางสังคมกับยังมีน้อย ถึงความอันตรายจากแร่ใยหิน ซึ่งควรต้องมีการสร้างความรับรู้กับสังคมให้ตระหนักถึงอันตรายจากแร่ใยหิน เพระอันรายจากแร่ใยหินอยู่ที่บ้านเรา ซึ่งหลายประเทศได้ยกเลิกการใช้แร่ใยหินไปแล้ว
 
นางสมบุญ สีคำดอกแค ประธานเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงาน กล่าวว่า สถาบันความปลอดภัยที่ต้องการให้การคุ้มครองดูแลแรงงานแต่ว่า กับได้มาแบบแขนกุดขาขาดจึงได้รับการชดเชย อย่างแนวนโยบายอุบัติเหตุต้องเป็นศูนย์แต่ว่าเป็นแบบผักชีโรยหน้าหรือไม่ เมื่อสภาแครือข่ายฯได้มีการรับเรื่องราวร้องทุข์กรณีเจ็บป่วยจากการทำงานกรณีการยกของหนักปวดหลัง ซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่าป่วยปกติไม่ได้ เป็นพยาธิวิทยา ไม่ใช่การป่วยเนื่องจากการทำงานส่งผลให้นายจ้างเลิกจ้างต้องตกงานมีผลกระทบมากมาย และมีคนป่วยแบบนี้จำนวนมากในโรงงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นโยบายอุบัติเหตุเป็นศูนย์ ยังทำให้เรื่องการป่วยเนื่องจาการทำงานไม่เข้าถึงสิทธิการรักษาและการชดเชย ด้วยต้องการที่จะไม่ให้มีการเจ็บป่วยเนื่องจากงานนอกจากแขนขาขาดบาดหรือตาย เป็นข่าวเท่านั้น
 
อย่างประเด็นการรณรงค์เรื่องแร่ใยหิน ที่ส่งผลต่อสุขภาพคนที่สัมผัสกับแร่ใยหิน ซึ่งไม่ใช่แค่คนทำงานเกี่ยวข้องเท่านั้น แต่คนที่ใช้อย่างประชาชนที่ใช้ปลูกบ้าน หรือใช้อุปกรณ์ก่อสร้างที่มีแร่ใยหินแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจเป็นปอดอักเสบ และป่วยเป็นมะเร็งปอดได้ อยากให้รัฐเข้าถึงตรวจสอบได้ในโรงงานที่ใช้แร่ใยหินด้วย เพราะลูกจ้างไม่สามารถทำได้ด้วยต้องทำงานกับนายจ้าง ประเด็นต่อมาต้องทำให้คนงานเข้าสู่การดูแลป้องกัน และเข้าถึงประเด็นสุขภาพ ได้รับการวินิจฉัยการป่วยเนื่องจากการทำงาน และเข้าถึงสิทธิเงินทดแทน รัฐอย่ากลัวเรื่องนายจ้างไม่ได้รางวัลย์โรงงานปลอดจากอุบัติเหตุ และคนเจ็บป่วยจากการทำงาน ความไม่ปลอดภัยต้องเป็นศูนย์ หากรัฐแก้ปัญหาตรงจุด
 
ศ.ดร. นพ. พรชัย สิทธิสรัญกุล คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า คณะกรรมการประกันสังคม มีคณะกรรมการแพทย์เพื่อพิจารณาการเจ็บป่วยไม่เนื่องจากงาน มีบาดเจ็บ เจ็บป่วยไม่เนื่องจากการทำงาน ประเด็นแร่ใยหิน หากมีสารพิษในอากาศปอดก็จะได้ผลกระทบ ซึ่งวัสดุที่มีแร่ใยหิน คือกระเบื้องทนไฟ ส่วนแรกคือคนงาน และส่วนต่อมาคือนำไปใช้ ทำให้เกิดอันตรายต่อปอด ซึ่งแร่ใยหินเป็นส่วนก่ออันตราย หากสูดเอาเศษที่แตกหัก ช่วงที่เรื้อถอน ซึ่งการรื้อถอนก็ต้องมีข้อควรระวัง
 
แนวคิดการแก้ไขปัญหาเรื่องแร่ใยหินความพยายามที่จะให้เกิดการยกเลิกการใช้หรือการนำเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรม มีการประชุมระดับเอเชีย และประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เพื่อที่จะทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน มีการขับเคลื่อนในกลุ่มทีแบน ในการขับเคลื่อนเรื่องแร่ใยหิน และมีการตั้งคณะทำงาน เพื่อรณรงค์ทำความเข้าใจในการป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยจากแร่ใยหิน และสองก็ผลักดันด้านกฎหมาย และสามก็แบนแร่ใยหิน สี่ก็ให้กรมคุ้มครองแรงงานและสวัสดิการสังคม กระทรวงแรงงานเข้าไปควบคุมดูแลลดการใช้แร่ใยหิน จากประเภทที่5 เหลือแค่4 เหลือ 0.01 ดูแลเรื่องความปลอดภัยควบคุมมากขึ้น ซึ่งมีการแบนเรื่องคัมมอกโซน ยาปราบสัตรูพืชที่มีความเป็นอันตราย และใช้มีการควบคุมการนำเข้า และการใช้
 
ยุทธศาสตร์ที่สองเข้าพบรัฐมนตรี รณรงค์ข้อมูล และยุทธศาสตร์ที่สาม คือยังไม่พบคนที่ป่วยเนื่องจากแร่ใยหิน เพราะอะไรที่ยังไม่มีการแบนแร่ใยหิน อย่างคนญี่ปุ่น ที่แบนแร่ใยหินแล้ว นอกจากโรคจากแร่ใยหินก็จะมีโรคปอดจากฝุ่นถ่านหิน จากฝุ่นหินทราย เพื่อยืนยันในการรักษาดูแล หากพร้อมก็จะเข้าสู่การวินิจฉัยโรคจากการทำงานได้ และเข้าสู่การวินิจฉัยโรคจากฝุ่นเหล่านี้เพื่อเข้าสู่กองทุนเงินทดแทน โดยไม่มีการปฏิเสธโรคจากการทำงาน
กองทุนเงินทดแทน เป็นการตั้งขึ้นเพื่อให้เขตพื้นที่ เมื่อป่วยให้ไปคลีนิกโรคจากการทำงานเมื่อคิดว่าป่วยจากการทำงาน มีการเริ่มผลิตแพทย์ผู้เชียวชาญโรคจากการทำงาน แต่ถูกควบคลุมคุณภาพจากแพทยสภา ประวัติการทำงาน คนที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่คล้ายกัน ต้องมีการเก็บข้อมูลเพื่อส่งไยังแพทย์ผู้เชียวชาญด้านอาชีวอนามัย
 
ศ.ดร.พ.สุรศักดิ์ รณตรีเทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มะเร็งจากแร่ใยหินจะเป็นที่เยื้อหุ้มปอด ซึ่งการจะวินิจฉัยว่าใช่หรือไม่จะต้องพบมีแร่ใยหินที่ปอดก่อน และมะเร็งที่ผนังช่องท้อง หรือเยื้อหุ้มปอดจากเหตุแร่ใยหิน และก็มะเร็งรังไข เนื่องจากเป็นแบบเส้นแหลมจึงเข้าไปทะลุทะลวงได้ลึก ไคโทไซต์ เป็นแร่ที่อันตราย และมีการนำเข้าจากประเทศรัสเซีย อุตสาหกรรมที่ใช้แร่ใยหิน คือจะถูกนำมาใช้ในผ้าเบรก คัช กระเบื้องกันไฟ ซึ่งต่างประเทศต้องมีชุดที่ป้องกัน เมื่อมีการรื้อถอน พนักงานอู่ซ่อมรถ อู่ต่อเรือต้องมีชุดในการป้องกันเพราะว่ามีผลกระทบต่อคนทำงานอย่างมาก สิ่งแวดล้อมประชาชนก็ได้รับผลต่างๆได้หากมีการนำไปทิ้งในพื้นที่ต่างๆแล้วมีการฟุ้งกระจาย และส่วนหนึ่งที่เห็นด้วยกับการใช้แร่ใยหิน จะให้เหตุผลมีผู้ป่วยในแฟมแค่ 12 รายเท่านั้น คือมีผลกระทบน้อย จึงเห็นว่ามีผู้ป่วยจำนวนไม่มาก จะให้มีการใช้แร่ใยหินต่อไปไดแต่ป็นแบบป้องกันได้หรือไม่ ซึ่งมีโรงงาน 20 แห่งที่ใช้แร่ใยหิน ตรวจสอบไปเหลือ 14 แห่งที่ยังใช้อยู่ และเมื่อตรวจไปที่คนทำงานก็สามารถที่จะตรวจตามความเสี่ยงเนื่องจากการทำงาน จาก 14 โรงงานมีการถ่ายภาพรังสีปอดจริงแต่ฟิมล์ไม่มีคุณภาพพอ จึงพบว่าคนทำงานมีความเป็นปกติอยู่ และก็มีการหาดูกลุ่มคนงานก่อสร้าง ซึ่งต้องเป็นแรงงานที่อยู่นอกระบบ และจัดอบรมกันไปเรื่องการรื้อถอนกระเบื้องที่ปลอดภัยอย่างไร ก็ได้รับความสนใจ และก็อยากได้ข้อมูลคนทำงานที่สัมผัสกับแร่ใยหินซึ่งจะมีผลใช้เวลาก่อตัวของโรคราว 10-30 ปีซึ่งออกงานกันไปแล้ว และรูปแบบการดูแลคนป่วยตอนนั้นจะทำอย่างไร เป็นระบบไหนเพราะว่ากองทุนเงินทดแทนก็คงไม่ดูแลแล้ว จะมีการเก็บเงินจากบริษัทหรือไม่ ซึ่งมีคนที่ป่วยเป็นมะเร็งหุ้มปอดที่ลำปาง 100 กว่าราย ที่สวนดอกเชียงใหม่ 7 ราย มีรวมแล้ว 200 กว่ารายที่ป่วยเนื่องจากมะเร็งในเยื้อหุ้มปอด หากมีการตรวจพบมากขึ้น ซึ่งต้องขจัดที่ต้นเหตุคือยกเลิกใช้แร่ใยหิน
 
ดร.พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมกล่าวว่า เรื่องสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงานนั้นหากจะทำงานเชิงรุกอาจต้องมีศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ และคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยควรต้องเข้าไปมีส่วนร่วม และทางกระทรวงแรงงานจะจัดสัปดาห์ความปลอดภัยในการทำงานในเดือนกรกฎาคม และมีการพูดถึงไทยแลนด์ 4.0 เพื่อขับเคลื่อนเรื่องความปลอดภัยในการทำงานปี 2560 มีการรณรงค์ ทั้งการทำงาน สารปราบศัตรูพืช และการทำงานก่อสร้าง ต้องการที่จะลดอัตรายการประสบอันตรายในการทำงาน โดยตั้งเป้าไว้ 2 ล้านคน หากพูดถึงเซพตี้ไทยแลนในงานสัปดาห์ความปลอดภัยก็ต้องตั้งเป้าหมายเพื่อลดอุบัติเหตุ อุบัติภัย และลดโรคจากการทำงาน ซึ่งเป็นแผน 20 ปี พรบ.ความปลอดภัยอาชีวอนามัยในการทำงาน หลังเกิดสถาบันความปลอดภัย ซึ่งก็มีการบังคับกับภาครัฐดวย จากเดิมไม่มีการดูแลคนทำงานภาครัฐเลย
 
ทั่วประเทศที่ไม่มีคลีนิกโรคจากการทำงาน คือพิษณุโลก บึงกาฬ หนองบัวลำพูน ซึ่งมีแพทย์ไม่เพียงพอ ตามโรงพยาบาลต่างๆอย่างน้อยจะมีแพทย์ ปรือพยาบาลที่เชียวชาญโรคจากการทำงาน ซึ่งพยาบามกระตุ้น คนที่สงสัยว่าป่วยจากการทำงานให้ส่งไปที่คลีนิกโรคจากการทำงาน หากประวัติอาชีพชัดเจนก็เชื่อได้ว่าการป่วยจากการทำงาน หากแพทย์ซักประวัติน้อยก็จะไม่มีข้อมูลเข้ามาว่าป่วยจากการทำงาน แนวโน้มนายจ้างเมื่อพบหรือสงสัยว่าลูกจ้างป่วยเนื่องจากการทำงานก็จะส่งลูกจ้างไปโรงพยาบาลเอกชนไม่มีการส่งตัวไปโรงงานที่มีการวินิจฉัยโรคจากการทำงาน หากไปโรงพยาบาลรัฐมีการรายงานการป่วยจากการทำงานแน่นอนหากเอกชนจะไม่ค่อยรายงานเรื่องป่วยจากงานแน่นอน
 
กฎหมายที่มาดูแลเรื่องแร่ใยหินเป็นของกรมอุตสาหกรรมไม่เกี่ยวกับสาธารณสุข หรือต้องมีการตรวจเรื่องวัสดุอันตราย ซึ่งช่วงที่การรอเพื่อยกเลิก ต้องมีการป้องกันตัวเอง และมีการรวมตัวเพื่อให้นายจ้างมีการจัดอุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากแร่ใยหินด้วย และกว่าจะรู้ว่าป่วยก็ใช้เวลาถึง 30 ปี ซึ่งออกจากงานแล้ว แต่ละคนต้องช่วยกันดูแลหากทราบว่าใครทำงานเกี่ยวเนื่องกับแร่ใยหินให้บอกคนเหล่านั้นให้ไปตรวจสุขภาพเพื่อดูและและป้องกันเบื้องต้น การยกเลิกแร่ใยหินยังต้องใช้เวลาด้วยเป็นอำนาจของกรมอุตสาหกรรม ซึ่งต้องใช้เวลาในการตรวจสอบหาข้อมูลเพิ่มเติมในความเป็นไปได้ในการยกเลิกการใช้แร่ใยหิน
 
ในฐานะบอร์ด(คณะกรรมการ) สถาบันความปลอดภัยนั้น ยังมีการจัดการเรื่องวิชาการ ยังไม่ได้ลงเชิงระบบภัยสุขภาพ และไม่ได้เน้นตรงนี้ว่า มีอะไรที่จะทำให้เกิดความปลอดภัยในกการทำงาน และอะไรที่ส่งผลกระทบต่อการทำงาน ซึ่งลงไปที่การแก้ไขอุบัติเหตุมากกว่าโรคจากการทำงาน
 
นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า หลังจากกรณีโศกนาฎกรรมสร้างความสูญเสียชีวิตของแรงงานจากกรณีไฟไหม้โรงงานผลิตตุกตาเคเดอร์ต้องสูญเสียชีวิตคนงาน 188 คน บาดเจ็บพิการ 469 คน อีกอีกหลายครั้งที่ต้องสูญเสีย เนื่องจากความไม่ปลอดภัย กว่าจะมาเป็นวันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ ต้องมีการเคลื่อนไหวมากมายเพื่อให้เกิดการดูแลเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน โดยการรณรงค์ การล่าลายมือชื่อเพื่อเสนอ ให้มีการตั้งสถาบันความปลอดภัยในการทำงาน เกิดพระราชบัญญัติส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงาน ตั้งสถาบันความปลอดภัยแต่ว่าชีวิตของคนงานการเข้าถึงสิทธิ การได้รับการดูแล การชดเชย ทดแทน ยังไม่ได้รับสิทธิ สถิติความไม่ปลอดภัยในการทำงานยังคงไม่มีการดูแล ซึ่งทางคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยมีนโยบายขับเคลื่อนเรื่องให้รัฐดูแลเรื่องความปลอดภัยในการทำงานตลอด ประเด็นปัญหาในการทำงานนี้ใช้เวลามานานและยังคงมีคนป่วยจากการทำงาน พร้อมโรคใหม่ๆจำนวนมาก เช่นประเด็นแร่ใยหินวันนี้ก็ไม่ทราบว่าใครป่วยและป่วยจำนวนเทาาไรตัวเลขไม่ชัด เพราะว่าการฟักตัวของโรคใช้ระยะเวลานาน ซึ่งคนที่ทำงานก็ไม่อยู่ในงานแล้ว และการทำงานของคสรท.เรื่องการยกเลิกแร่ใยหินคงต้องลงพื้นที่ให้ความรู้ทำความเข้าใจกัน และต้องมีการทบทวนวางแผนกันในการให้การศึกษาให้ความรู้กับประชาชนคนทำงาน ข้อเรียกร้องวันแรงงานก็ต้องมีการติดตาม
 
เรื่องความปลอดภัยต้องก้าวข้ามเชื้อชาติ เพราะงานก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นแรงงานข้ามชาติ อย่าให้ภาครัฐมาบิดเบือน คนทำงานทุกคนต้องได้รับสิทธิ เข้าถึงการคุ้มครองดูแล
จากนั้นทางเครือข่ายได้อ่านคำประกาศเจตนารมณ์เนื่องในวัน"ความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ"10 พฤษภาคม 2560
 
วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 หรือย้อนไปเมื่อ 24 ปีที่แล้ว เกิดเพลิงไหม้โรงงานผลิตตุ๊กตาของบริษัท เคเดอร์อินดัสเตรียล ไทยแลนด์ อ.สามพราน จ.นครปฐม ส่งผลให้คนงานนับพันต้องวิ่งหนีตายอลหม่าน เหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นเหตุให้คนงานเสียชีวิต 188 คน และมีผู้บาดเจ็บอีก 469 คน
 
เพื่อไม่ให้ชีวิตของคนงานต้องสูญเปล่า สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และขบวนการแรงงานจากภาคส่วนต่างๆยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลประกาศให้ วันที่ 10 พฤษภาคม ของทุกปีเป็น "วันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ" โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2540 เห็นชอบให้วันที่ 10 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันอันตรายและการดูแลความปลอดภัยในการทำงานของคนทำงานในทุกสาขาอาชีพเป็นจุดเริ่มต้นให้ขบวนการแรงงานเคลื่อนไหวเรียกร้องความปลอดภัยในการทำงาน และใช้เวลา 21 ปีเพื่อผลักดันการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทํางาน จนเป็นผลสำเร็จ
 
กว่า 6 ปีของการประกาศใช้กฎหมาย แต่ก็ยังไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง ด้วยเงื่อนไข และข้อจำกัด อีกทั้งขาดการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐ มีบุคลากรที่จำกัด ทำให้สถานการณ์เรื่องความปลอดภัยยังอยู่ในสภาพที่ต้องผลักดันต่อไป โดยเฉพาะเรื่องสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ที่ยังขาดทิศทางการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้แรงงาน ทำให้คนงานขาดโอกาสในการเข้าถึงสิทธิตามกฎหมาย และการเข้าถึงบริการอาชีวอนามัย การเข้าถึงการวินิจฉัยโรค รักษาเยียวยาและทดแทน สถานการณ์ล่วงเลยปรากฏการณ์และโรคใหม่ๆ ทางด้านอาชีวอนามัยจากการทำงาน อันตราย จากการใช้ การสัมผัสสารเคมี ทำให้คนงานเป็นโรคมะเร็ง เจ็บป่วยทุกข์ทรมานอย่างมาก
 
แร่ใยหิน (Asbestos) ซึ่งนำมาใช้มากทั้งที่ผลิตจากภายในประเทศและนำเข้า คืออุตสาหกรรมผลิตกระเบื้องซีเมนต์ อุตสาหกรรมผลิตเบรคและคลัทช์ อุตสาหกรรมผลิตท่อน้ำ ยากำจัดศรัตรูพืช เป็นต้น
แร่ใยหินเข้าสู่ร่างกายทางจมูกโดยการหายใจเข้าไป อวัยวะเป้าหมายสำคัญคือ ปอด ผลจากการศึกษาทางระบาดวิทยา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับแร่ใยหิน ทำให้เชื่อได้ว่า แร่ใยหินทุกชนิดมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรค มะเร็งปอด และมะเร็งเยื่อหุ้มปอดและเยื่อบุช่องท้อง (Mesothelioma) แอสเบสโตสิส (Asbestosis) เป็นโรคปอดเรื้อรังที่เกิดเฉพาะกับผู้ที่สัมผัสกับแร่ใยหินเท่านั้น เนื่องจากปฏิกิริยาทางชีวภาพระหว่างเส้นใย แร่ใยหินและเนื้อเยื่อปอด ทำให้ปอดเกิดเป็นแผลเป็น ปอดที่ถูกทำลายไปแล้วไม่สามารถรักษาให้กลับคืนมาดีได้ดังเดิม
 
ดังนั้น ข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.)และสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย เนื่องในวันความปลอดภัยในปีนี้และได้ยื่นเป็นข้อเรียกร้องวันกรรมกรสากลต่อรัฐบาลไปแล้วเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2560 คือ
 
1.รัฐต้องเร่งรัดให้มีการพัฒนากลไกการเข้าถึงสิทธิ์ การบังคับใช้ พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 อย่างจริงจัง ภายใต้การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน และยกเลิกการใช้แร่ใยหินในทุกรูปแบบ
 
2. รัฐต้องจัดสรรเงินงบให้กับสถาบันความปลอดภัยฯ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการเรื่องความปลอดภัย ให้มีประสิทธิภาพ
 
3. ให้รัฐยกเลิกแร่ใยหินทุกรูปแบบ และในระหว่างที่ยังยังยกเลิกไม่หมดให้กระทรวงอุตสาหกรรมประกาศให้แร่ใยหินเป็นวัตถุอันตรายประเภท 4 ให้กระทรวงแรงงานประกาศให้สภาพแวดล้อมที่ทำงานเกี่ยวกับการใช้แร่ใยหินจาก 5 เส้นใยเหลือ 0.01 เส้นใย
 
แม้รัฐบาลประกาศเดินหน้าโครงการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทย (Safety Thailand) มีการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่าง 6 กระทรวง แต่การจัดการเรื่องความปลอดภัยจะสำเร็จไปไม่ได้หากปราศจากการมีส่วนร่วมจากภาคีต่างๆ โดยเฉพาะภาคีของผู้ใช้แรงงาน และที่สำคัญยิ่ง สิ่งที่คาดหวังว่าความต้องการของพวกเราพี่น้องคนงานทั้งหลาย คือ "พลังของพวกเราที่จะร่วมกันผลักดัน"เฉกเช่นในอดีตที่ผ่านมา ที่เราผ่านความยากลำบากในการต่อสู้แต่เราก็สามารถฟันฝ่ามาสู่ความสำเร็จระดับหนึ่ง จึงเชื่อว่า ความสำเร็จจะอยู่ไม่ไกลหากเราสามัคคีรวมพลังกันพร้อมกับประสานงานขับเคลื่อนพร้อมกับเครือข่ายทางสังคมจะยิ่งทำให้ความสำเร็จเกิดขึ้นในเร็ววัน
 
เราขอประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันว่า เราจะร่วมกันผลักดันให้เรื่องความปลอดภัยเป็นวาระสำคัญให้บรรลุเป้าหมายความปลอดภัยของคนงานทั้งมวล
เราขอประกาศเจตนารมณ์ว่าเราจะร่วมกันรณรงค์ผลักดันให้ถึงที่สุด
 
 
ประกันสังคม แจงค่าบริการทางการแพทย์อยู่ระหว่างปรับเพิ่ม
 
กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม ชี้ค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายปีผู้ประกันตนอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับเพิ่มตามความเหมาะสม ล่าสุดปรับค่าบริการในปี 2557 แจงปี 2560 ประเมินสถานการณ์พบค่าบริการทางการแพทย์สูงขึ้น เผยสำนักงานประกันสังคมตั้งอนุกรรมการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนประกาศใช้ต่อไป
 
นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยถึง ถึงกรณี นพ.พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชนขอให้สำนักงานประกันสังคมปรับขึ้นค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายปีผู้ประกันตน ซึ่งคงที่มานาน 6 ปีว่า จากกรณีดังกล่าว สำนักงานประกันสังคมขอเรียนว่า ได้มีการปรับค่าบริการทางการแพทย์มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้ปรับค่าบริการพื้นฐานในปี 2557 หลังจากนั้นได้มีการติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดรวมทั้งข้อมูลการใช้บริการเทียบกับข้อมูลของโรงพยาบาลในระบบทั้งหมดรายงานพบว่าค่าบริการทางการแพทย์ยังมีความเพียงพอ และมีการปรับการจ่ายการบริการ ทางการแพทย์ในปี 2558-2559 รวม 12 รายการ
 
โดยมีเรื่องที่สำคัญ เช่น การเพิ่มวงเงินสำหรับการผ่าตัดเตรียมเส้นเลือดเพื่อการฟอกไตหรือวางท่อรับ-ส่งน้ำยา ล้างช่องท้อง (เพิ่ม 10,000 บาท จากเดิม 20,000 บาท ต่อ 2 ปี) การเพิ่มการเข้าถึงยาละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วยหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Stroke) และผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลับ (STEMI) โดยจ่ายค่ายาให้แก่สถานพยาบาล และการเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดให้ครอบคลุมทั้ง กรณีใช้เนื้อเยื่อของตนเองเนื้อเยื่อของ พี่น้อง และเนื้อเยื่อของผู้บริจาค จาก 750,000 บาท เป็น 1,300,000 บาท โดยเน้นให้ผู้ประกันตนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพและการจ่ายให้เป็นธรรมกับโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน
 
เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวต่อไปว่า ล่าสุดสำนักงานประกันสังคมได้ประเมินสถานการณ์ในปี 2560 พบว่าสถานพยาบาลมีต้นทุนเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีปริมาณการใช้บริการที่เพิ่มขึ้น คณะกรรมการการแพทย์ได้ให้คำแนะนำในการปรับอัตราค่าบริการทางการแพทย์ โดยได้นำเสนอคณะกรรมการประกันสังคม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งคณะกรรมการประกันสังคมได้ให้ข้อเสนอแนะรวมทั้งให้มีการตั้งอนุกรรมการเพื่อพิจารณาอย่างรอบคอบภายใน 90 วัน โดยมี พลโท น.พ.กฤษฎา ดวงอุไร เป็นประธาน ซึ่งมีการประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง
 
ได้ข้อสรุปให้มีการปรับการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์เพิ่มขึ้นทุกรายการตั้งแต่เหมาจ่าย/โรคเรื้อรัง/โรคที่ต้องใช้ยาราคาสูงและต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการรักษา รวมทั้งมีการจ่ายเพิ่มสำหรับการรักษาที่มีค่ารักษาพยาบาลเกิน 1 ล้านบาท เช่นการรักษาผู้ป่วยที่ประสบเหตุจากไฟไหม้ ทั้งนี้จะสรุปรายละเอียดอีกครั้งในวันที่ 17 พฤษภาคม 2560 ก่อนที่จะเสนอ คณะกรรมการการแพทย์ และ คณะกรรมการประกันสังคมเพื่อพิจารณาให้ความเห็นก่อนประกาศใช้
 
อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนา และปรับปรุงชุดสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนเพื่อให้มีสวัสดิการที่ดี และมีคุณภาพการดำรงชีวิตต่อไป
 
 
"เครือข่ายพยาบาลวิชาชีพลูกจ้างชั่วคราว" รณรงค์ผ่านโซเชียลขู่ลาออกยกกระทรวง หลังครม.ไม่อนุมัติบรรจุตำแหน่งใหม่กว่า1หมื่นอัตรา
 
เครือข่ายพยาบาลวิชาชีพลูกจ้างชั่วคราว กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้รณรงค์ผ่านเฟซบุ๊กเพจ " Nurse Team Thailand " โดยเชิญชวนพยาบาลทุกคนร่วมเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เพื่อแสดงจุดยืน กรณีรัฐบาลไม่อนุมัติตำแหน่งใหม่ให้พยาบาล 10,992 อัตรา พร้อมขู่จะลาออกยกกระทรวง หากภายในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ตำแหน่งใหม่ยังไม่ได้รับการบรรจุ เพราะสะท้อนให้เห็นถึงการที่รัฐบาลไม่เห็นความสำคัญของพยาบาลเท่ากับรัฐบาลทิ้งประชาชน
 
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวกดดันของกลุ่มวิชาชีพพยาบาล เกิดจากความไม่พอใจผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมาได้ เห็นชอบตามมติของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ(คปร.)ที่ไม่อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพจำนวน 10,992 อัตรา โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขนำตำแหน่งว่างที่มีอยู่และตำแหน่งที่จะว่างในอนาคตมาบริหาร – จัดการ เพื่อรองรับการบรรจุพยาบาลวิชาชีพตามความจำเป็น อีกทั้งยังให้พิจารณาการจ้างพนักงานราชการ หรือ ใช้วิธีจ้างพนักงานจากภายนอก องค์กร (Out source ) ในภารกิจที่มีความจำเป็นต้องใช้บุคลากรเพิ่มเติม เพื่อทดแทนการบรรจุเป็นข้าราชการ
 
นอกจานี้ครม. ยังอนุมัติเพิ่มข้าราชการพยาบาลวิชาชีพ 450 อัตรา เพื่อบรรจุในโครงการผลิตพยาบาลเพื่อจังหวัดชายแดนของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่ชายแดนอีกด้วย
 
 
โศกนาฏกรรมซ้ำรอย คนงานล้างถังเก็บน้ำ ขาดอากาศ 3 ศพ
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุกู้ชีพ 1169 จากโรงพยาบาลพัทลุงว่า มีเหตุคนงานก่อสร้างทำถังน้ำประปาขนาดใหญ่ บริเวณริมอ่างเก็บน้ำป่าพะยอม ท้องที่ ม.6 ต.เกาะเต่า อ.ป่าพะยอม ขาดอากาศหายใจหมดสติ 4 ราย ขณะลงไปล้างทำความสะอาดถังที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ หลังรับแจ้งจึงเดินทางรุดสอบที่เกิดเหตุ พร้อมเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัยพัทลุง เขตพื้นที่ป่าพะยอม
 
ในที่เกิดเหตุ พบกลุ่มคนงานกำลังนำร่างของเพื่อนคนงานทั้ง 4 คน นำตัวส่งโรงพยาบาลป่าพะยอม แต่ปรากฏว่าเสียชีวิตระหว่างทาง 3 คน ส่วนอีกรายแพทย์กำลังช่วยชีวิต แต่อาการยังน่าเป็นห่วง เบื้องต้นทราบชื่อผู้เสียชีวิต คือนายพรรณรงค์ อาย 46 ปี นายอภิรัช อายุ 21 ปี และ นายสรชัย อายุ 24 ปี ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บอีกรายคือ นายรุจ อายุ 45 ปี
 
จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุคนงานทั้งหมดได้ดำเนินการก่อสร้างถังประปาหมู่บ้าน จำนวน 8 ถัง เป็นถังปูน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 เมตร สูง 3 เมตร ล่าสุดได้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว 7 ถัง แล้วสร้างเสร็จไปแล้ว 4 ถัง โดยเมื่อวานนี้มีฝนตกลงมา ทำให้คนงานกลุ่มดังกล่าวได้ลงไปตรวจสอบทำความสะอาดและอุดปะรอยร้างของถังน้ำลูกที่ 4 ที่ยังมีน้ำขังอยู่
 
คนงานได้โรยตัวลงไปทางช่องฝาปิดถัง ที่มีขนาดความกว้าง 80 เซนติเมตร แต่เมื่อลงไปอยู่ในถังน้ำเพียงไม่นาน ปรากฏว่าคนงานเริ่มมีอาการหมดสติ 3 คน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บพยายามปืนป่ายขึ้นมาร้องขอความช่วยเหลือ โดยที่อยู่ในสภาพอิดโรยและใกล้จะหมดสติ คนงานจึงได้รีบนำเอารถแบคโฮมาเปิดฝาถังให้กว้างขึ้น เพื่อนำเพื่อนคนงานขึ้นมา แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียชีวิตไป 3 ศพแล้ว
 
 
'วิษณุ' แจง ครม.ไม่ไฟเขียวบรรจุพยาบาลเพิ่ม เหตุ คปร.ดูรอบคอบแล้ว
 
เมื่อวันที่ 11 พ.ค.60 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพยาบาลวิชาชีพชั่วคราวขู่ลาออก เนื่องจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา ไม่อนุมัติพยาบาล 10,992 อัตรา เข้าบรรจุเข้ารับราชการว่า ทราบว่าทางสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) จะชี้แจงหรืออาจจะชี้แจงไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะเรื่องนี้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ได้พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบหลายครั้ง ได้ผ่อนผันให้ไปจำนวนมากแล้วหลายอัตราแล้ว ขึ้นอยู่กับกระทรวงสาธารณสุขจะเอาอัตราเหล่านั้นไปจัดสรรอย่างไร ซึ่งบางคนอาจสมประโยชน์ และไม่สมประโยชน์ เป็นเรื่องของทางกระทรวง แต่สิ่งที่ ก.พ.ออกคำชี้แจงไปถือว่าชัดเจนแล้ว อยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้อ่าน
 
เมื่อถามว่า เหตุผลที่ไม่เปิดบรรจุเนื่องจากต้องการประหยัดงบประมาณแผ่นดินใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า มันมีอะไรมากกว่านั้น ถ้าจะตอบว่าไม่จริง ไม่เกี่ยวกับการประหยัดก็คงไม่ใช่ เพราะต้องประหยัด แต่ไม่ใช่เหตุผลใหญ่ ยังมีอีกหลายเหตุ เพราะถ้าเอาตามอัตราที่แต่ละกระทรวงเรียกร้องให้บรรจุ ก็ต้องเพิ่มอัตรกำลังอีกเป็นแสนคน ในขณะที่วันนี้ข้าราชการทั่วประเทศ ตลอด 10-20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่รัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำปฏิรูประบบราชการในปี 44-45 สามารถตรึงอัตรากำลังไว้ได้ที่ประมาณ 4 แสนคน ถือว่าน่าพอใจ หากจะเอาตามที่แต่ละกระทรวงให้เพิ่มคนก็จะเพิ่มไปอีกประมาณ 1 แสนคน
 
เมื่อถามว่า จะมีผลกระทบหรือไม่ เมื่อพยาบาลกลุ่มนี้ขู่ลาออกหากไม่ได้รับการบรรจุ นายวิษณุ กล่าวว่า ขอให้ฟังคำชี้แจงของ ก.พ. มีอะไรก็ให้ทางกระทรวงเจรจาบอกความจำเป็น แต่อัตราที่ ก.พ.ให้ไปก็เป็นจำนวนหมื่นแล้ว
 
 
สธ.แจงพยาบาลอดบรรจุกว่า 1 หมื่นตำแหน่ง(ฉบับเต็ม)
 
กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)แทบลุกเป็นไฟ หลังมีการเยแพร่มติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2560ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งระบุว่า ไม่อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ จำนวน 10,992 อัตรา โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.)นำตำแหน่งว่างที่มีอยู่และตำแหน่งที่จะว่างในอนาคตมาบริหารจัดการเพื่อรองรับการบรรจุพยาบาลวิชาชีพตามความจำเป็น ซึ่งเป็นไปตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.)ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ(คปร.) ต่อมาเกิดกระแสในกลุ่มพยาบาลสังกัดสธ. ระบุว่า "ไม่บรรจุลาออกยกกระทรวง 30 กันยายน 2560"
 
ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 11 พฤษภาคม ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.) เรียกหน่วยงานภายในที่เกี่ยวข้องเข้าหารือเป็นการเฉพาะ อาทิ ที่ปรึกษารมว.สธ. ปลัดสธ. รองปลัดสธ. และผู้แทนสภาการพยาบาล เป็นต้น ทั้งนี้ ไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้ารับฟัง โดยศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวภายหลังการหารือว่า ตำแหน่งที่สธ.ขอให้กับพยาบาลนี้ไม่ได้ขอให้มีการบรรจุในปีเดียว แต่เป็นการขอในระยะเวลา 3 ปี
 
"นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยในเรื่องนี้มาก หลังจากครม.มีมติ ท่านก็ส่งโน้ตให้กับตนทันที และบอกให้ไปบริหารหมุนตำแหน่งว่างภายในของกระทรวงก่อนแล้ว ถ้ายังมีปัญหาอยู่ท้ายที่สุดแล้วก็สามารถมาคุยกันได้ใหม่ ตนได้เรียนนายกฯไปว่า สธ.จะมาปรับระบบการบริหารอัตรากำลังให้ดีที่สุดใช้อัตราว่างให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ถ้ามีปัญหาจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนก็จะนำเรียนนายกฯอีกครั้งหนึ่ง"ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าว
 
ศ.คลินิก เกียริตคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวอีกว่า สธ.มีเจ้าหน้าที่ทำงานทั้งสิ้นประมาณ 4 แสนกว่าคน มีอัตราว่างประมาณ 1 หมื่น โดยอาจดูเหมือนมาก แต่คิดเป็นเพียง 5 %ของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ซึ่งคปร.อาจจะเห็นจากส่วนนี้จึงมองว่าสธ.น่าจะไปบริหารจัดการอัตราว่างให้เหลือน้อยที่สุด เมื่อหารือภายในแล้วคาดว่าสธ.จะสามารถลดอัตราว่างลงได้และเหลือประมาณ 2-3 % แต่ไม่เฉพาะของพยาบาลแต่เป็นของเจ้าหน้าที่สธ.ทั้งหมด
 
รมว.สธ. กล่าวด้วยว่า สรุปคืออย่างไรก็ตาม สธ.ยังขาดอัตรากำลังพยาบาลแน่ๆ การประสานงานกับคปร.และก.พ.คงต้องมความใกล้ชิดมากว่านี้ จึงจะปรึกษาดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เพื่อขอตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง 3 หน่วยงาน โดยเอาหน่วยงานกลาง อย่างเช่น มหาวิทยาลัยมาศึกษาในเรื่องอัตรากำลังที่เหมาะสมและการที่จะบรรจุพยาบาลทั้งในส่วนของข้าราชการและพนักงานราชการ ซึ่งสธ.เป็นกระทรวงให้บริการ เพราะฉะนั้น อัตรากำลังของทุกวิชาชีพต้องมีความเหมาะสม
 
"ตำแหน่งที่สธ.มีอยู่ตอนนี้ก็จะพยายามบรรจุวิชาชีพต่างๆรวมทั้งพยาบาลให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เรื่องนี้นายกฯเห็นความสำคัญและเป็นห่วงมาก ซึ่งการขอตั้งคณะกรรมการร่วมกับคปร.และก.พ.นั้น จะเป็นการทำความเข้าใจเชิงลึกกันมากขึ้น สธ.ก็จะชี้แจงถึงความจำเป็นและความขาดแคลนอัตรากำลังจริงๆ รวมถึง การพิจารณาในเรื่องอื่นๆทั้งการก้าวหน้าในอาชีพและสวัสดิการต่างๆด้วย เพื่อหาทางออกร่วมกัน ไม่ได้นิ่งนอนใจ หลังจากนั้นเมื่อทุกหน่วยงานเข้าใจตรงกันแล้วจะนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง พยาบาลต้องอยู่คู่โรงพยาบาลอยู่แล้ว แต่ต้องเข้าใจว่าระบบบริหารประเทศและงบประมาณมีแค่ไหน อย่างไรด้วย ขออย่าเพิ่งเสียกำลังใจ "ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าว
 
ด้านนพ.โสภณ เมฆธน ปลัดสธ. กล่าวว่า สำหรับวิชาชีพพยาบาล ในปี 2559 มีการบรรจุตำแหน่งข้าราชการไปแล้ว 1,700 คน ส่วนในปี 2560 จะมีอัตราพยาบาลว่างได้บรรจุเป็นข้าราชการอีก 2,621 ตำแหน่ง ในจำนวนนี้มีบุคคลได้รับการจัดสรรเข้าบรรจุแล้ว 1,200 ตำแหน่ง โดยกระทรวงฯได้จัดสรรให้เขตตรวจราชการสธ.ไปบริหารจัดการแล้ว คาดว่าจะได้รับการบรรจุในอีก 1-2 เดือน
 
ส่วนอีก 1,400 ตำแหน่ง จะได้รับการบรรจุประมาณเดือนกันยายน 600ตำแหน่ง และในเดือนตุลาคมจะมีตำแหน่งจากการเกษียณในเดือนตุลาคมนี้อีก 800 ตำแหน่ง กรณีที่สธ.ขออนุมัติตำแหน่งข้าราชการให้กับพยาบาลเพิ่มอีกกว่า 1 หมื่นตำแหน่งนั้น เป็นการขออนุมัติในกรอบ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2561-2563 ปีละราว 3,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นอัตราที่สธ.คำนวณแล้วว่าต้องขอเพิ่มจากอัตราตำแหน่งว่างปกติที่กระทรวงมีอยู่ในแต่ละปี จึงจะสามารถบรรจุพยาบาลที่ตกค้างอยู่ได้เพียงพอ และในปี 2564 จะไม่ต้องขอตำแหน่งส่วนนี้เพิ่มเติมอีก
 
ทั้งนี้ ปัจจุบันพยาบาลสังกัด สธ.มีจำนวนทั้งสิ้น 100,855 คน ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการแล้ง 87,252 คน คิดเป็นประมาณ 90 % อีก 10 %ที่ยังไม่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการ ราว 13,000 คน แยกเป็น พนักงานราชการ 260 คน พนักงานกระทรวงสาธารณสุข 6,538 คน และลูกจ้างชั่วคราว 6,805 คน
 
 
ฟัน 'นายจ้าง' ปล่อยคนงานซ่อมถังประปาดับ 3 ศพ
 
วันที่ 11 พฤษภาคม นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยกรณีคนงานก่อสร้างเสียชีวิตขณะซ่อมถังประปาประจำหมู่บ้านขนาดใหญ่ บริเวณริมอ่างเก็บน้ำป่าพะยอม จ.พัทลุง ว่า กสร.ได้สั่งการให้พนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดพัทลุง และศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 9 เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่เกิดเหตุ โดยได้สอบปากคำนายรุต กงไกรจักร ลูกจ้างผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้ให้ข้อเท็จจริงว่า ลูกจ้างทั้ง 4 คนเป็นลูกจ้างของของห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) เพชรภูผาโยธากิจ มีนางสมพร จันทร์มี เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ สาเหตุเกิดจากลูกจ้างทั้ง 4 คนลงไปปะรอยร้าวในถังน้ำขนาดกว้าง 8 เมตร ลึก 2.7 เมตร โดยลงไปในช่องฝาปิดที่มีขนาด 80 x 80 เซนติเมตร ส่งผลให้มีลูกจ้างเสียชีวิต 3 คน คือ นายพรรณรงค์ อายุ 46 ปี นายอภิรัช ภักดีสุวรรณ อายุ 21 ปี นายสรชัย ทองบ้านนา อายุ 24 ปี และนายรุต อายุ 45 ปี ได้รับบาดเจ็บ
 
นายสุเมธกล่าวต่อไปว่า ในเบื้องต้นพนักงานตรวจความปลอดภัยได้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่และรวบรวมพยานหลักฐานว่านายจ้างได้มีการปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานในที่อับอากาศ พ.ศ.2547 รวมทั้งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 หรือไม่ ซึ่งหากตรวจสอบแล้วนายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ปล่อยให้ลูกจ้างเข้าไปทำงานโดยไม่มีการประเมินอันตรายว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อับอากาศ และลูกจ้างที่เข้าไปทำงานไม่ได้รับการอบรมตามที่กฎหมายกำหนด หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่ได้มีการกำหนดไว้จะดำเนินคดีทันที โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ พนักงานตรวจความปลอดภัยจะเดินทางไปสอบข้อเท็จจริงนายจ้างในวันที่ 12 พฤษภาคมนี้
 
 
ทอท.เตรียมตั้งบริษัทลูก เลิกจ้างบริษัทภายนอก
 
ทอท. จ่อไม่ต่อสัญญาเอาท์ซอร์ส เตรียมตั้งบริษัทลูกดำเนินธุรกิจหลักทั้งหมด เหตุคู่สัญญามีปัญหาบ่อย-ควบคุมไม่ได้ ขู่รายใดผิดเงื่อนไขก่อน พร้อมฉีกสัญญา
 
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า คณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท. มีนโนบายจะไม่ต่อสัญญาจ้างบริษัทภายนอก (Outsource) ให้ดำเนินธุรกิจหลักขององค์กร เพราะที่ผ่านมาคู่สัญญาหลายรายทำงานมีปัญหาและส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ ทอท. เช่น ปัญหาเจ้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) หยุดงานประท้วงเพื่อขอขึ้นค่าแรง ปัญหาการขับสะพานเทียบไปชนเครื่องบินเสียหาย หรือปัญหากระเป๋าเดินทางชำรุดหรือสูญหาย
 
ทอท. จะจัดตั้งบริษัทลูก 2 แห่งคือ บริษัทด้านการรักษาความปลอดภัย และบริษัทด้านให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น เพื่อเข้าไปดำเนินการธุรกิจหลักที่อยู่ในเขตการบิน (Airside) ของท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งแทน ทั้งธุรกิจการขับสะพานเทียบเครื่องบิน การรักษาความปลอดภัย และการขนส่งสัมภาระ
 
การจัดตั้งบริษัทลูกทั้ง 2 แห่งจะมีความชัดเจนเรื่องสัดส่วนผู้ถือหุ้นและสามารถจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทได้ในเดือน ก.ค. นี้ จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการระดมทุนและจัดตั้งบอร์ด คาดว่าจะเริ่มดำเนินธุรกิจได้ในปี 2561
 
บริษัทลูกจะเข้าไปดำเนินธุรกิจต่างๆ เมื่อสัญญาระหว่าง ทอท. และบริษัทภายนอกสิ้นสุดลง โดยเบื้องต้นจะเริ่มจากธุรกิจรักษาความปลอดภัยก่อน เพราะสัญญาจ้างรักษาความปลอดภัยที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานภูเก็ต และเขตปลอดอากร (Free Zone) จะหมดอายุพร้อมในปีงบประมาณ 2561 หรือในเดือน ก.ย. ปี 2562
 
ขณะนี้บริษัทลูกด้านรักษาความปลอดภัยจึงเหลือระยะเวลาเตรียมตัวอีก 1 ปี 2 เดือน และคาดว่าจะต้องมีการจ้างพนักงานดูแลรักษาความปลอดภัยที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกว่า 1,000 คน ถ้าหากรวมทั้งหมดอาจสูงถึง 2,000 คน
 
สำหรับธุรกิจการขนถ่ายสัมภาระที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้น ปัจจุบันมีสายการบินไทยและบริษัทบางกอกไฟลท์เซอร์วิส (BFS) เป็นผู้ดำเนินการ และ ทอท. ไม่มีเป้าหมายที่จะยกเลิกสัญญาเพื่อเข้าไปดำเนินการเองแต่อย่างใด แต่ ทอท. จะหาโอกาสเข้าไปดำเนินการเป็นรายที่ 3 เมื่อการจราจรหนาแน่นถึงระดับที่เงื่อนไขกำหนดไว้
 
อย่างไรก็ตาม ถ้าคู่ค้ารายใดทำผิดเงื่อนไขก่อนสัญญาหมดอายุ ทอท.พร้อมยกเลิกสัญญาและให้บริษัทลูกเข้าไปดำเนินการแทนทันที ซึ่งปัจจุบัน ทอท. มีคู่สัญญาในธุรกิจหลักหลายสิบราย
"ต้องรอว่าสัญญาต่างๆ จะหมดอายุเมื่อไหร่ หรือถ้าไม่หมดอายุ เราก็ส่งหนังสือไปเตือนOutsourceว่าถ้าทำผิด เราก็พร้อมจะเลิกสัญญา"
 
 
ประกันสังคมแจ้งหยุดให้บริการสายด่วน 1506 เหตุปรับปรุงระบบตั้งแต่ 1 มิ.ย. 60
 
สปส.แจ้งหยุดให้บริการสายด่วนประกันสังคม 1506 ชั่วคราว ตั้งแต่ 1 มิ.ย.60 เพื่อพัฒนาระบบ รองรับการใช้บริการของผู้ประกันตน ทันสมัย รับกับโซเชียลมีเดีย
 
นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สำนักงานประกันสังคมได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ รองรับการส่งเสริมและขับเคลื่อนนโยบาย Thailand 4.0 ที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริการภายในองค์กรและการปรับเปลี่ยนการทำงานในยุคดิจิทัล รวมถึงการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อเข้าถึงงาน บริการภาครัฐในรูปแบบใหม่ ผ่านการขับเคลื่อนด้วยกลไก "ประชารัฐ" ที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมให้บริการสายด่วน 1506 แก่ผู้ประกันตน โดยมีเจ้าหน้าที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งสายด่วน 1506 ของสำนักงานประกันสังคมจะให้บริการทั้งข้อสอบถามและเรื่องร้องเรียนผ่านทางโทรศัพท์พูดคุยกับเจ้าหน้าที่โดยตรงและการติดต่อผ่านทางอินเตอร์เน็ตคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสามารถโต้ตอบข้อสอบถามได้ทันทีโดยการแชทกับเจ้าหน้าที่ อีกทั้งยังเป็นช่องทางในการรับเรื่องร้องทุกข์ เพื่อประสานงานให้กับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาให้กับผู้ประกันตนในเรื่องนั้นๆ
 
นพ.สุรเดช กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ประกันตนจำนวนกว่า 12 ล้านคน ที่อยู่ในความดูแลของสำนักงานประกันสังคม และปัจจุบันมีผู้ที่โทรเข้ามาที่สายด่วน 1506 เฉลี่ยเดือนละ 200,000 สาย ซึ่งสายด่วน 1506 นั้น ให้บริการข้อมูลของหน่วยงานอื่นๆ ในกระทรวงแรงงานด้วย โดยร้อยละ 80 ของสายที่โทรสอบถาม จะเป็นการสอบถามเรื่องประกันสังคม ซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มคู่สาย เพื่อรองรับงานของสำนักงานประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีช่องทางอื่นๆ ในการติดต่อกับสำนักงานประกันสังคมทั้งทางเว็บไซต์ การติดต่อผ่านเขตพื้นที่หรือจังหวัด รวมถึงการเดินทางมาติดต่อด้วยตัวเอง
 
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการสอดรับกับนโยบาย Thailand 4.0 ดังกล่าว สำนักงานประกันสังคมขอหยุด การให้บริการสายด่วน 1506 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 60 เป็นต้นไป เพื่อพัฒนาระบบการให้บริการสายด่วน 1506 ตอบสนองความต้องการของผู้ประกันตน และให้มีความทันสมัย รองรับ Social Media ทั้งนี้ระหว่างหยุดการให้บริการ นายจ้าง ผู้ประกันตนสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ สำนักงานประกันสังคมทั่วประเทศ หรือติดต่อทางโทรศัพท์ได้ที่หมายเลข 02 956 2539 ถึง 40 ในวันและเวลาราชการ
 
 
"วิกฤตครูอาชีวะ" ขาดแคลนสะสมกว่าหมื่นอัตรา เผยปี 2559 ขอกำลังคนเป็นพนักงานราชการ 15,000 แต่ได้แค่ 990
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหนังสือพิมพ์ "ลูกศิลป์" หนังสือพิมพ์ ฝึกปฏิบัติของคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้เผยแพร่ข่าวเรื่อง วิกฤตครูอาชีวะขาดแคลนสะสมนับหมื่น โดยในเนื้อข่าวระบุว่า จากการตรวจสอบ สถานการณ์การขาดแคลนครูในระดับอาชีวศึกษา พบรายงานกลุ่มงานจัดการงานบุคคล สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) ระบุว่า วงการอาชีวศึกษากำลังประสบปัญหาขาดแคลนครูสะสมอย่างต่อเนื่อง จากที่ควรมี 33,243 คน แต่มีอยู่จริงเพียง 15,206 คน
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามผู้บริหารและอาจารย์ในวิทยาลัยอาชีวศึกษาหลายแห่งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ต่างระบุตรงกันว่าการขาดแคลนครูช่าง ส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอนจริง
 
โดย นางภาวดี บัวศรี อาจารย์ประจำวิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง กรุงเทพฯ เผยว่า ในระบบมีการบรรจุครูเป็นข้าราชการน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นครูอัตราจ้าง ทั้งที่มีการเปิดสอบทุกปี แต่กลับเรียกเข้าบรรจุเป็นจำนวนน้อยกว่าคนที่ไปสอบ หรือน้อยกว่าจำนวนครูที่ระบบต้องการ
 
ขณะที่ นายดำรงเดช สุริยา ผู้อำนวยการวิทยาลัยสารพัดช่างสกลนคร จังหวัดสกลนคร ยอมรับว่า จำเป็นต้องจ้างบุคลากรที่จบตามสาขานั้นๆ มาสอนวิชาพื้นฐาน แต่ครูอัตราจ้างไม่มั่นคงเหมือนข้าราชการ สอนเพียงไม่กี่ปีก็ลาออก ทำให้วิทยาลัยต้องหาคนมาทดแทน จึงเกิดปัญหาการสอนไม่ต่อเนื่อง
 
ด้านนางสาวนงค์นุช สีสะใบ ครูอัตราจ้างวิทยาลัยเทคนิคชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ กล่าวว่า เป็นครูอัตราจ้างมา 14 ปี แต่ยังไม่ได้รับการบรรจุ รู้สึกว่าไม่มีความมั่นคงของอาชีพ เพราะไม่มีสวัสดิการและเงินเดือนที่เพียงพอ
 
นางปัทมา วีระวานิช ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษา สอศ. ชี้แจงว่าปี 2559 สอศ. ยื่นขอกำลังคนเป็นพนักงานราชการกว่า 15,000 คน แต่ได้รับจัดสรรกลับมาเพียง 990 คนเท่านั้น เนื่องจากปัญหาด้านการรับครูอัตราจ้างแทน ทั้งนี้ในปี 2560 สอศ.จะเสนอโครงการแก้ปัญหาขาดแคลนครู เพื่อเพิ่มและคืนครูเข้าสู่ระบบ คิดเป็นงบประมาณกว่า 170 ล้านบาท
 
นางปัทมา กล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาไม่ได้รับการบรรขุของครูอัตราจ้าง สอศ.มีการแก้ปัญหาโดยเปิดสอบบรรจุทั้งรอบเฉพาะของครูอัตราจ้าง และรอบบุคลากรภายนอก ซึ่งครูอัตราจ้างสามารถสอบได้ทั้ง 2 รอบ
 
"สอศ.พยายามช่วยครูอัตราจ้างอย่างเต็มที่ เพราะบางคนอยู่เป็น 10-20 ปี รู้ระบบอาชีวะเป็นอย่างดี เมื่อมีอัตราจ้างบางคนอาจหลุดออกมาจากระบบ แต่เราก็พยายามรักษาพวกเขาไว้อย่างเต็มกำลัง" นางปัทมา กล่าว
 
 
สธ.จ่อประชุม "พยาบาล" ทั่วประเทศสัปดาห์หน้า ทำความเข้าใจอดบรรจุ ขรก. เร่งอัปสวัสดิการ พกส.ดึงดูดใจ
 
สธ.เตรียมประชุมทำความเข้าใจพยาบาลทั่วประเทศสัปดาห์หน้า ชี้ตั้งคณะทำงานร่วม คปร.-ก.พ.ให้ได้ข้อมูลตรงกัน เร่งอัปสิทธิสวัสดิการ พกส.ช่วยดึงดูดให้ไม่เป็นข้าราชการ ด้านอุปนายกสภาการพยาบาลคนที่ 2 แจงข้อมูลพยาบาลของ ก.พ.คลาดเคลื่อน อัตรากำลังน้อยกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนด
 
จากกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่อนุมัติข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งวิชาชีพพยาบาลจำนวน 10,992 ตำแหน่ง จนพยาบาลจำนวนมากต่างออกมาคัดค้านมติดังกล่าว ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่าจำนวนดังกล่าวเป็นการขอข้าราชการตั้งใหม่ในระยะเวลา 3 ปี ส่วนปี 2560 คาดว่าจะบรรจุพยาบาลด้วยตำแหน่งข้าราชการเดิมได้ประมาณ 2,600 ตำแหน่ง ด้านคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ก็ชี้แจงสาเหตุที่ไม่อนุมัติว่า เพราะ สธ.มีตำแหน่งว่างจำนวนมาก ควรนำมาบริหารจัดการก่อน และจำนวนพยาบาลของไทยก็สูงกว่าอัตราที่องค์การอนามัยโลกกำหนด
 
(12 พ.ค.) นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สัปดาห์หน้า สธ.จะหารือและทำความเข้าใจกับพยาบาลทั่วประเทศ ผ่านการประชุมทางระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ส่วนเรื่องที่ ก.พ.ออกมาระบุว่าจำนวนพยาบาลวิชาชีพของไทยมีอัตราสูงกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนด เนื่องจาก ก.พ.กับ สธ.ใช้ฐานข้อมูลคนละชุดกัน ดังนั้น รมว.สาธารณสุข จึงได้มีแนวคิดที่จะมีการตั้งกรรมการร่วมกันขึ้น เพื่อที่ต่อไปในอนาคตจะได้มีการใช้ฐานข้อมูลเดียวกันในการหารือและเพื่อให้มีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
 
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองปลัด สธ. กล่าวว่า ขณะนี้พยาบาลที่ยังไม่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการมีประมาณ 13,000 คน ทั้งในส่วนของพนักงานราชการ พนักงานกระทรวงสาธารณสุข และลูกจ้างชั่วคราว ซึ่งหากใช้ตำแหน่งข้าราชการเดิมที่มีอยู่ ซึ่งจะว่างลงในแต่ละปี คาดว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 5-6 ปีในการที่จะบรรจุพยาบาลเหล่านี้เป็นข้าราชการได้ อย่างไรก็ตาม ในแต่ละปีจะมีพยาบาลทยอยเพิ่มเข้ามาในระบบด้วย เนื่องจากแต่ละปีจะมีพยาบาลจบใหม่ประมาณ 4,000 คน โดยเข้ามาอยู่ในสังกัด สธ.ประมาณปีละ 3,000 คน ที่เหลืออาจไปอยู่หน่วยงานราชการสังกัดอื่นหรือภาคเอกชน ซึ่งหากได้ตำแหน่งข้าราชการตั้งใหม่วิชาชีพจำนวนราว 10,000 ตำแหน่ง ทยอย 3 ปีนั้น ก็จะไม่ต้องมีการขอตำแหน่งเพิ่มเติมอีก เพราะจะพอดีกับจำนวนเกษียณ ดังนั้น การตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อหารือกับคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) และ ก.พ. ทาง สธ.ก็ต้องให้ข้อมูลเพื่อให้เห็นถึงความจำเป็นและความขาดแคลนพยาบาล ซึ่งสุดท้ายแล้วจะได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ คปร.และ ก.พ. แต่หากบรรจุไม่ได้ทั้งหมดก็ต้องหารือว่า จะมีกระบวนการจ้างงานประเภทไหนให้มีแรงจูงใจไม่ให้เป็นข้าราชการได้
 
"สธ.ก็พยายามผลักดันในส่วนของพนักงานกระทรวงสาธารณสุข (พกส.) เพื่อให้มีแรงจูงใจพอ หลักการก็จะคล้ายกับพนักงานราชการคือ ได้รับเงินเดือนที่สูงกว่าข้าราชการ สำหรับการเพิ่มสิทธิสวัสดิการ พกส.คือ 1.เงินเดือนมากกว่าราชการ 1.2-1.4 เท่า โดยพยาบาลอาจได้อยู่ที่ 1.4 เท่า 2.การตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญ ซึ่งพนักงานราชการไม่มี โดยขณะนี้สามารถตั้งได้แล้ว 3.สามารถลาศึกษาต่อได้ และ 4.สิทธิการรักษาพยาบาลซึ่งใช้สิทธิประกันสังคม หากสิทธิอยู่ที่ รพ.ที่เจ้าตัวทำงานอยู่ ก็สามารถใช้สิทธิรักษารวมถึงครอบครัวได้ ทั้งนี้ เชื่อว่า จะสามารถช่วยดึงดูดให้ไม่อยากเป็นข้าราชการได้ แต่ยังติดปัญหาเพียงเรื่องเดียวคือ เงินเดือน เนื่องจากใช้เงินบำรุง รพ.ในการจ่ายค่าตอบแทน จึงทำให้ยังมีข้อจำกัดอยู่ จึงจ้างด้วยการเป็น พกส.ทั้งหมดไม่ได้" นพ.สมศักดิ์ กล่าว
 
ด้าน ดร.กฤษดา แสวงดี อุปนายกสภาการพยาบาลคนที่ 2 กล่าวว่า จากการประชุมร่วมกับ รมว.สาธารณสุข ได้สั่งการให้ดำเนินการตามมติ ครม.ไปก่อน โดยใช้อัตราตำแหน่งข้าราชการที่ว่างลงของปีนี้มาบริหารจัดการ ซึ่งในส่วนของพยาบาลคิดว่าน่าจะอยู่ประมาณ 3 พันกว่าอัตรา อย่างไรก็ตาม เรื่องการขออัตรากำลังเพิ่มนั้นยังต้องมีการดำเนินต่อไป และควรมีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างสธ. คปร. ก.พ. และหน่วยงานกลาง เพราะที่ผ่านมาต่างคนต่างทำงาน ใช้ข้อมูลกันคนละชุด สธ.ก็ทำข้อมูลและขออัตรากำลังไป ส่วนก.พ.ก็ทำข้อมูลเองแล้วก็ไม่อนุมัติ ดังนั้น จึงควรหารือร่วมกัน
 
ดร.กฤษดา กล่าวว่า ส่วนที่ ก.พ.ชี้แจงว่าอัตราพยาบาลวิชาชีพของไทยสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำขององค์การอนามัยโลก เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน องค์การอนามัยโลกทำการศึกษาจากทั่วโลกและเสนอแนะว่า แต่ละประเทศควรมีสัดส่วนแพทย์ พยาบาลไม่ต่ำกว่า 2.5 ต่อพันประชากร โดยมีพยาบาล 2 ต่อ 1,000 คน หรือ 1 ต่อ 500 คน ถ้าต่ำกว่านี้ถือว่ามีวิกฤตกำลังคนที่จะทำให้อัตราการตายของแม่และเด็กสูงขึ้น และประชาชนจะไม่สามารถเข้าถึงบริการคลอดที่ปลอดภัย ฉะนั้น อย่าเข้าใจผิดในการใช้ตัวเลขสัดส่วนพยาบาลต่อประชากรในการวางแผนกำลังคนสุขภาพ ซึ่งประเทศไทยเพิ่มการผลิตพยาบาลตั้งแต่ปี 2535 เพื่อก้าวพ้นวิกฤต คือมีเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 2 ต่อพัน หรือ 1 ต่อ 500 แต่เพราะมีปัญหาการจ้างงาน ทำให้พยาบาลออกจากอาชีพ ที่เหลืออยู่ก็รับภาระ 1 ต่อ 600 คน ต่ำกว่าภาวะวิกฤตที่องค์การอนามัยโลกกำหนด
 
 
กกจ. อุ้มผู้พ้นโทษ...ปูทางอาชีพ แล้วกว่า 9,000 คน
 
กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน สร้างโอกาสให้ผู้พ้นโทษ เดินหน้าเร่งสร้างอาชีพ โดยจัดสาธิตอาชีพ ฝึกอาชีพอิสระ เผย 7 เดือน (ตุลาคม 2559-เมษายน 2560) ให้บริการจัดหางานแล้วกว่า 700 ราย มีงานทำเกือบ 200 ราย พร้อมปูทางอาชีพอิสระแล้วกว่า 9,000 ราย
 
นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า หลังจากที่กรมการจัดหางานได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือในการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยและการสงเคราะห์ผู้ต้องขังภายหลังพ้นโทษกับกรมราชทัณฑ์ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมคุมประพฤติ สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคม 2559 ที่ผ่านมานั้น กรมการจัดหางานได้เดินหน้าหางานให้กับผู้พ้นโทษอย่างต่อเนื่องโดยการจัดสาธิตอาชีพและฝึกทักษะอาชีพอิสระระยะสั้นให้แก่ผู้ต้องขัง รวมทั้งให้คำปรึกษา แนะนำ แนะแนวอาชีพ และลงทะเบียนจัดหางาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนายจ้าง/สถานประกอบการ และประชาชนทั่วไปมั่นใจได้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีฝีมือ สามารถทำงาน และอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างปกติสุข ซึ่งผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2559 (ตุลาคม 2558 – กันยายน 2559) มีผู้พ้นโทษมาใช้บริการจัดหางานจำนวนทั้งสิ้น 948 ราย ได้รับการบรรจุงานจำนวน 216 ราย รวมรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเป็นจำนวน 2,031,500 บาท หรือ 24,378,000 บาท/ปี และในปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – เมษายน 2560) มีผู้พ้นโทษมาใช้บริการจัดหางานจำนวนทั้งสิ้น 773 ราย บรรจุงานให้จำนวน 191 ราย รวมรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเป็นจำนวน 1,825,000 บาท หรือ 21,900,000 บาท/ปี โดยตำแหน่งงานที่ได้รับการบรรจุมากที่สุด 5 อันดับ คือ 1.แรงงานด้านการผลิต 2.พนักงานรักษาความปลอดภัย 3.พนักงานขับรถยนต์ 4.พนักงานขายสินค้า และ 5.เสมียนพนักงานทั่วไป นอกจากนี้ ยังได้ให้ความรู้ทางอาชีพแก่ผู้ต้องขังในปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – เมษายน 2560) จำนวน 9,122 ราย จำแนกเป็นแนะแนวอาชีพ/ทดสอบความพร้อมทางอาชีพ จำนวน 8,133 คน สาธิตการประกอบอาชีพอิสระ จำนวน 989 คน
 
นายวรานนท์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตาม มีผู้พ้นโทษบางส่วนไม่ประสงค์จะรับความช่วยเหลือ เนื่องจาก มีอาชีพรองรับหลังพ้นโทษอยู่แล้ว เช่น ทำนา ทำสวน ทำไร่ เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ค้าขาย ช่างซ่อม ประกอบธุรกิจส่วนตัว รับเหมาก่อสร้าง รับเหมาติดตั้งไฟฟ้า เปิดอู่ซ่อมรถยนต์ รับจ้าง เป็นต้น สำหรับในส่วนของผู้พ้นโทษที่ประสงค์จะเข้ารับการฝึกทักษะฝีมือแรงงาน สามารถแจ้งความประสงค์ดังกล่าวกับกรมการจัดหางานได้ ซึ่งกรมจะได้ประสานกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อจัดฝึกอบรมอาชีพเสริมในหลักสูตรต่างๆ ต่อไป เช่น การปูกระเบื้อง การฝึกอาชีพเสริมสาขาช่างไม้เครื่องเรือน ช่างเชื่อมผลิตภัณฑ์เบื้องต้น ช่างไฟฟ้า ช่างแอร์ ช่างยนต์ ช่างเสริมสวย นวดแผนไทย การประกอบอาหาร และการจัดสวน เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือโทร.สายด่วนกรมการจัดหางาน 1694
 
ที่มา: กระทรวงแรงงาน, 13/5/2560
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

TCIJ: ทำไมต้องมี ‘บัตรคนจน’? หวั่นซ้ำซ้อน-ซ้ำรอยปัญหา ‘บปช.สมาร์ทการ์ด’

Posted: 14 May 2017 02:35 AM PDT

รัฐบาลจะออก 'บัตรสิทธิประโยชน์ผู้ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ' หรือ 'บัตรคนจน' ในเดือนตุลาคม 2560 นำมาซึ่งคำถามของสังคมว่าทำไมไม่ใส่ข้อมูลไปในบัตรประชาชนที่มีกันทุกคนอยู่แล้ว ? TCIJ ตรวจสอบการใช้บัตรสมาร์ทการ์ด ปี 2486-2557 รวม 7 รุ่น พบจุดอ่อนของบัตรคือความล้าหลังของเทคโนโลยี เช่น ใช้งานกับโปรแกรมอ่านบัตรบางโปรแกรมไม่ได้ ต้องมีการปรับปรุงซอฟต์แวร์

ที่มาภาพประกอบ: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์<--break- />

ช่วงเดือน เม.ย. 2560 ที่ผ่านมา กรมบัญชีกลางได้เปิดเผยถึงการจัดทำบัตรสิทธิประโยชน์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า'บัตรคนจน'  เพื่อมอบให้กับผู้ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ว่า กรมบัญชีกลางได้หารือกับธนาคารกรุงไทยเพื่อเป็นผู้จัดทำบัตรดังกล่าว รูปแบบจะคล้ายกับบัตรประชาชน คือมีชื่อ มีรูป เป็นบัตรมีชิปการ์ด บัตรจะมีอายุ 5 ปี สามารถนำมาใช้กับเครื่องรับบัตรอัตโนมัติ (EDC) ที่กำลังติดตั้งในโครงการอีเพย์เมนต์ (e-Payment) และสามารถเป็นบัตรเอทีเอ็ม (ATM) หรือบัตรเดบิต (Debit) ได้ในอนาคต เบื้องต้น บัตรดังกล่าวจะนำมาใช้เป็นส่วนลด หรือนำไปใช้กับสวัสดิการที่รัฐจะให้ เช่น ส่วนลดค่าน้ำ ค่าไฟ ใช้บริการรถเมล์ รถไฟฟรี โดยสามารถเพิ่มหรือลดสวัสดิการด้วยการใช้วิธีการใส่โปรแกรมเข้าไปในระบบอีเพย์เมนต์ และใส่โปรแกรมเข้าไปในหน่วยงานที่จะรับบัตร เช่น ไฟฟ้า ประปา ส่วนเบี้ยยังชีพคนชราจะเป็นระยะต่อไปที่จ่ายให้ผ่านบัตร โดยในระยะแรกกรมบัญชีกลางจะทดลองนำเบี้ยยังชีพคนชราที่จ่ายโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มาจ่ายโดยกรมบัญชีกลาง แบบเงินสดหรือโอนเข้าบัญชีก่อน หลังจากนั้นหากไม่มีปัญหาก็พร้อมจะจ่ายผ่านบัตรสวัสดิการ และในอนาคตรัฐจะโอนสวัสดิการ เช่น เบี้ยยังชีพคนชรา ฯ ผ่านบัตรนี้ได้

ต่อกรณีนี้ หลายฝ่ายได้ออกมาตั้งคำถามว่า ทำไมถึงไม่บันทึกข้อมูลผู้เข้าโครงการลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐลงในบัตรประชาชน ซึ่งปัจจุบันก็เป็นเทคโนโลยีแบบสมาร์ทการ์ด (Smart card) อยู่แล้ว จะต้องทำบัตรใหม่ให้ซ้ำซ้อนอีกทำไม ทั้งที่ประเทศไทยเคยมีนโยบาย 'คนไทย 1 ใบก็พอ' มาตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2553 รวมทั้ง ครม. ได้มีมติให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐบูรณาการข้อมูลตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. 2559 และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เองก็เคยระบุว่า "บัตรประชาชนน่าจะมีการระบุอาชีพและรายได้ เพื่อแยกแยะให้ได้ว่ารัฐบาลจะได้ใช้งบประมาณอย่างไรให้เหมาะสม" (อ่านเพิ่มเติม: ทำไมถึง ? ดัน "บัตรประชาชนใส่รายได้-อาชีพ" - รบ.ยันไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน)

ประมูลผลประโยชน์มหาศาล ใช้ไม่ได้จริง รัฐสูญงบซ้ำซ้อน

อินโฟกราฟฟิคแสดงความ 'ไม่ฉลาด' ของ 'บัตรฉลาด(สมาร์ทการ์ด)'  ที่มา: หนังสือ 'เมนูคอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์' ที่เรียบเรียงจากโครงการ 'คู่มือประชาชนรู้ทันคอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์' โดย มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ดูภาพอินโฟกราฟฟิคขนาดใหญ่ (คลิ๊กที่นี่)

เริ่มแรกในประเทศไทยนั้น ภาคเอกชนเป็นผู้นำเทคโนโลยี 'สมาร์ทการ์ด' มาใช้ก่อน คือบัตรเครดิตของธนาคารกสิกรไทยรุ่น 'บัตรเครดิตกสิกรไทยอัจฉริยะ' หรือ 'ทีเอฟบีบัตรอัจฉริยะ' เมื่อปี 2536 ต่อมาหลาย ๆ รัฐบาลในอดีตได้มีความพยายามจัดซื้อจัดหาสมาร์ทการ์ด มาใช้ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่บัตรประชาชนเท่านั้น โดยหน่วยงานรัฐหน่วยงานแรกที่พยายามจะนำเทคโนโลยีสมาร์ทการ์ดมาใช้ คือกระทรวงแรงงานเมื่อปี 2545 ในโครงการทำบัตรรับรองของสำนักงานประกันสังคม แต่มีกระแสข่าวการทุจริตในโครงการนี้ ทำให้บัตรสมาร์ทการ์ดของสำนักงานประกันสังคมไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงจนถึงปัจจุบัน จากนั้นในช่วงปี 2547 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มโครงการการใช้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดของไทย มีงานศึกษาจาก Gartner Group ระบุว่า ในขณะนั้นโครงการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกล้มเหลวกว่าร้อยละ 70 โดยมีสาเหตุมาจากความไม่รัดกุมในการนำไปใช้ และขาดการศึกษาอย่างถ่องแท้ รวมทั้งยังขาดความพร้อมของหน่วยงานบางแห่งที่ไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันได้ ทำให้การทำธุรกรรมไม่สามารถสื่อสารข้อมูลระหว่างกันอย่างทั่วถึง ตลอดจนมีปัญหาเรื่องระบบความปลอดภัยของข้อมูล ต่อมาในปี 2548 ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ก็ได้ออกมาเตือนถึงปัญหาการใช้บัตรสมาร์ทการ์ด ว่าระบบการจัดการบัตรที่กระทรวงมหาดไทยมีอยู่นั้นไม่สามารถใช้กับสมาร์ทการ์ดได้ทุกยี่ห้อ ปัญหาใหญ่ของการใช้สมาร์ทการ์ดในช่วงแรกเริ่ม จึงเป็นระบบของรัฐที่มีอยู่ไม่รองรับเทคโนโลยีสมาร์ทการ์ด

นอกจากนี้ในการประมูลสมาร์ทการ์ดหลายรุ่น มักจะมีการล้มประมูล-แล้วประมูลใหม่หลายรอบ รวมถึงการไม่สามารถตรวจรับสินค้าได้ มีข่าวคราวการเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจบางกลุ่ม เนื่องจากมูลค่าของการจัดทำบัตรสมาร์ทการ์ดนี้มีสูงระดับหลักร้อยล้านถึงพันล้าน และอีกปัญหาที่สำคัญคือ บัตรในแต่ละรุ่นจะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ขึ้นกับว่าการจัดซื้อในแต่ละครั้งนั้นซื้อจากผู้ผลิตรายใด และมีการเพิ่มลักษณะ เฉพาะอะไรลงไปหรือไม่ และเมื่อใช้ไปสักระยะเวลาหนึ่งก็เกิดปัญหาความล้าหลังของเทคโนโลยี คือใช้งานกับโปรแกรมอ่านบัตรบางโปรแกรมไม่ได้ ต้องมีการปรับปรุงซอฟต์แวร์ตลอดเวลา นอกจากนี้ในอดีตก็ยังมีปัญหาระหว่าง 2 หน่วยงาน ที่คอยจัดหาทั้งตัวบัตรและระบบใช้งาน คือกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กับกระทรวงมหาดไทย เกิดปัญหาการประสานงานระหว่าง 2 หน่วยงานและเกิดความขัดแย้งในการตรวจรับงานบ่อยครั้ง

ด้านปัญหาการขาดแคลนบัตรนั้นพบว่า ในช่วงปี 2553 ด้วยการผลิตและส่งมอบที่ล่าช้าได้ส่งผลให้ประชาชนกว่า 240,000 คน ต้องกลับมาใช้ 'บัตรเหลือง' อีกครั้งกว่าครึ่งปี (หลังที่เคยมีการอวดอ้างมาตั้งแต่ปี 2548 แล้วว่าการใช้สมาร์ทการ์ดจะทำให้คนไทยไม่ต้องใช้บัตรเหลืองแทนบัตรประชาชนอีกต่อไป) รวมทั้งตั้งแต่มีการทำบัตรประชาชนให้เด็กอายุ 7 ขวบขึ้นไป ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ก็ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดอย่างต่อเนื่อง แม้แต่อธิบดีกรมการปกครองยังเคยออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า การทำบัตรประชาชนให้เด็กอายุ 7 ขวบขึ้นไป นี้ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณ เพราะบัตรหนึ่งใบรวมต้นทุนค่าบัตรและการลงโปรแกรมข้อมูลและเลขหลังบัตรราคาอยู่ที่ประมาณ 100 บาท ซึ่งถือว่าสูงมาก

ในด้านผลกระทบโดยรวมต่อประชาชน ข้อมูลจากการหนังสือ 'เมนูคอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์' เมื่อปี 2557 ที่เรียบเรียงจากโครงการ 'คู่มือประชาชนรู้ทันคอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์' โดยมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า รัฐบาลดำเนินโครงการบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดโดยไม่มีการเตรียมความพร้อมเรื่องระบบข้อมูล จากเดิมที่มุ่งหวังจะใช้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดเพื่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ ทั้งข้อมูลระบบทะเบียนราษฎร์ ข้อมูลระบบประกันสุขภาพ ข้อมูลระบบประกันสังคม ฯลฯ แต่จากความไม่พร้อมดังกล่าว ทำให้ข้อมูลอื่น ๆ นอกจากข้อมูลระบบทะเบียนราษฎร์ไม่ได้ถูกบรรจุลงในบัตร ส่งผลให้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดไม่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่ควรจะเป็น ซึ่งแทบไม่ต่างจากบัตรประชาชนแถบแม่เหล็กแบบเดิมที่มีราคาเพียงใบละประมาณ 15 บาท รวมถึงเรื่องการกำหนดเงื่อนไขการประมูลไว้สูง โดยมิใช่เงื่อนไขด้านเทคนิค ทำให้ผู้เข้าร่วมประมูลมีน้อยราย ขาดการแข่งขันอย่างทั่วถึง เป็นเหตุให้ราคาประมูลสูงกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะในการประมูลราคาจ้างเหมาผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 1 ที่ตั้งราคาประมูลเริ่มต้นไว้สูงถึงใบละ 120 บาท ในขณะที่เคยมีรายงานว่ากระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถจัดทำบัตรดังกล่าวได้ในราคาใบละประมาณ 40 บาทเท่านั้น และปัญหาความไม่โปร่งใสในการประมูล ทำให้การดำเนินการจัดจ้างผลิตบัตรประชาชนล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ราว 2 ปีครึ่ง ในขณะที่มีความต้องการใช้บัตรประชาชนถึงปีละกว่า 10 ล้านใบ ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก และปัญหาความล่าช้าในการจ้างผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด ทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณในการจัดซื้อบัตรแถบแม่เหล็กเพื่อใช้แทนบัตรสมาร์ทการ์ด ตัวอย่างเช่นในช่วงเวลาที่ดำเนินโครงการบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดทั้ง 3 รุ่น ระหว่างปี 2547-2552  กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ต้องจัดซื้อบัตรแถบแม่เหล็กเพื่อใช้ทำบัตรประชาชนอย่างน้อย 21 ล้านใบคิดเป็นงบประมาณกว่า 320 ล้านบาท

บัตรประชานแบบสมาร์ทการ์ดอีก 7 รุ่น

คณะกรรมการบูรณาการและปฏิรูประบบการทะเบียนแห่งชาติ ในรัฐบาลพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นประธานคณะกรรมการ ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ประชาชนมีบัตรหลักบัตรเดียวในการขอรับบริการจากรัฐ (e-Citizen) สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนเป็น 'บัตรสมาร์ทการ์ด' เนื่องจากกรมการปกครอง ได้ออกบัตรประจำตัวประชาชนเป็นแบบแถบแม่เหล็กมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เห็นว่าเทคโนโลยีบัตรพลาสติกมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และมีราคาถูกลง ประกอบกับแนวนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้การบริการของภาครัฐมีความสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกส่วนราชการ จึงได้เปลี่ยนจากบัตรแถบแม่เหล็กเป็นบัตรสมาร์ทการ์ด ซึ่งมีความปลอดภัยและจัดเก็บข้อมูลได้มาก เพื่อให้สามารถจัดเก็บข้อมูลของส่วนราชการต่าง ๆ ที่ประสงค์เพื่อการบริการและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน  บัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์หรือบัตรสมาร์ทการ์ด ที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยเลือกใช้เป็นเทคโนโลยีชนิด Contact smart cards ชนิดจาวา (Java Card) ซึ่งจะต้องใช้คู่กับเครื่องอ่านบัตร (Smart card Reader)  ซึ่งรัฐบาลได้มีการจัดซื้อจัดหา และใช้งานบัตรประชาชนแบบ Smart card นี้มาแล้วหลายรุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นจะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ขึ้นกับว่าการจัดซื้อในแต่ละครั้งนั้นซื้อจากผู้ผลิตรายใด และมีการเพิ่มลักษณะเฉพาะอะไรลงไปหรือไม่

บัตรประจำตัวประชาชนสมาร์ทการ์ดรุ่นนำร่อง (ใช้ระหว่างปี 2547-2548) บัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ หรือบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด มีรูปแบบคล้ายบัตรประชาชนรุ่นที่ 4 โดยเพิ่มไมโครชิพบันทึกข้อมูล และเพิ่มรายการเจ้าของบัตรที่มีชื่อสกุลภาษาอังกฤษ ดำเนินการโดยสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่ลงนามบันทึกข้อตกลงกับ 111 หน่วยงาน ในการเชื่อมโยง การใช้ข้อมูล โดยใช้สมาร์ทการ์ดใบเดียวไม่ต้องพกบัตรหลายใบ เช่น บัตรประกันสังคม บัตรรับรองสิทธิการพยาบาล การใช้บัตรประชาชนต่อใบอนุญาตหนังสือเดินทาง โดยไม่ต้องใช้ทะเบียนบ้าน อนาคตขยายการเชื่อมต่อข้อมูลในบัตรกับส่วนข้าราชการอื่น ๆ มาจนกระทั่งปัจจุบัน วันเริ่มใช้บัตร 1 เม.ย. 2547 บัตรรุ่นนี้ออกมาจำนวน 10,000 บัตร ต่อมาได้มีการพัฒนาบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด ออกมาอีก 6 รุ่น ข้อเสียของบัตรรุ่นนี้คือ ความล้าหลังของเทคโนโลยี คือใช้งานกับโปรแกรมอ่านบัตรบางโปรแกรมไม่ได้ต้องมีการปรับปรุงซอฟต์แวร์

บัตรประจำตัวประชาชนสมาร์ทการ์ดรุ่นที่ 1 ที่มาภาพ: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง

บัตรประจำตัวประชาชนสมาร์ทการ์ดรุ่นที่ 1 (ใช้ระหว่างปี 2548-2549) เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2548 โดยออกบัตรให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2548 และให้กับประชาชนในกรุงเทพฯ เดือนพ.ย. 2548 โดยมีข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในบัตร (IC-Chip) เฉพาะข้อมูลด้านทะเบียนราษฎรและบัตรประจำตัวประชาชนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมการปกครองเท่านั้น ซึ่งบัตรรุ่นนี้มีพื้นที่ในการเก็บข้อมูลเพียง 28 กิโลไบต์ (Kbytes) ลักษณะของบัตรสมาร์ทการ์ดรุ่นนี้คือด้านบนซ้ายของหน้าบัตรยังไม่มีเครื่องหมายรูปครุฑ มีแถบแม่เหล็กอยู่ด้านหลังบัตร มีข้อมูลตัวอักษรสำหรับการอ่านด้วยระบบ อู่ซีอาร์ และมีรหัสบัตรด้านหลังขึ้นต้นด้วย PM0 บัตรรุ่นนี้ออกมาจำนวน 12 ล้านใบ (บัตรรุ่นนี้จัดการประมูลครั้งสุดท้ายในเดือน มิ.ย. 2547 โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ราคาเริ่มต้นที่ใบละ 108.9 บาท ซึ่งกลุ่มกิจการร่วมค้า CST เป็นผู้ชนะการประมูลโดยเสนอราคา 888 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละ 74 บาท) ข้อเสียของบัตรรุ่นนี้ดังที่กล่าวไปคือ มีพื้นที่ในการเก็บข้อมูลเพียง 28 กิโลไบต์ และจัดเก็บข้อมูลด้านทะเบียนราษฎรและบัตรประจำตัวประชาชนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมการปกครองเท่านั้น รวมทั้งความล้าหลังของเทคโนโลยี คือใช้งานกับโปรแกรมอ่านบัตรบางโปรแกรมไม่ได้ต้องมีการปรับปรุงซอฟต์แวร์

บัตรประจำตัวประชาชนสมาร์ทการ์ดรุ่นที่ 2 ที่มาภาพ: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง

บัตรประจำตัวประชาชนสมาร์ทการ์ดรุ่นที่ 2 (ใช้ระหว่างปี 2551-2553) บัตรรุ่นนี้ออกมาตั้งแต่เดือน พ.ค. 2551 ซึ่ง ณ เวลานั้นถือเป็นบัตรรุ่นที่มีความพร้อมและใช้ประโยชน์ได้มากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ เนื่องจากได้บรรจุข้อมูลที่ประชาชนได้รับประโยชน์จำนวนมาก ตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐานตามหน้าบัตร ข้อมูลตามทะเบียนบ้าน ข้อมูลทะเบียนอื่น ๆ และยังได้บรรจุข้อมูลของหน่วยงานอื่น ๆ อีก 4 หน่วยงาน รวมส่วนของกรมการปกครองด้วยเป็น 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นบัตรขนาด 64 กิโลไบต์ (Kbytes) ลักษณะของบัตรรุ่นนี้ คือ ด้านบนซ้ายของหน้าบัตรมีเครื่องหมายรูปครุฑ ยังไม่มีเส้นสีแดงพาดผ่านรูปถ่าย และมีรหัสบัตรด้านหลังขึ้นต้นด้วย JC0 บัตรรุ่นนี้ออกมาจำนวน 26 ล้านใบ (บัตรรุ่นนี้จัดการประมูลครั้งสุดท้ายในเดือน ก.ค. 2550 โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กำหนดราคาเริ่มต้นที่ 1,612 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละ 62 บาท การประมูลครั้งนี้ กิจการร่วมค้า VSK เป็นผู้ชนะการประมูลโดยเสนอราคา 921 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละประมาณ 35.4 บาท)

บัตรรุ่นนี้จัดเก็บข้อมูลดังต่อไปนี้ 1. ข้อมูลด้านการทะเบียนของกรมการปกครอง ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1.1 ข้อมูลส่วนที่สามารถเปิดเผยได้ (Public) โดยหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตจากกรมการปกครองและได้รับซอฟต์แวร์ในการตรวจสอบข้อมูล จึงสามารถอ่านข้อมูลได้ ประกอบ ด้วยข้อมูลตามรายการหน้าบัตรทุกรายการ 1.2 ข้อมูลทะเบียนอื่นที่เป็นส่วนบุคคล (Private) ประกอบด้วยข้อมูลตามรายการทะเบียนบ้านสูติบัตร การสมรส การหย่า การเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล 2. ข้อมูลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประกอบด้วย ข้อมูลสิทธิการรักษาพยาบาล ประเภทของสิทธิ์ สถานบริการหลัก สถานบริการรอง ประเภทการจ่ายเงิน และอื่น ๆ ซึ่งบัตรประจำตัวประชาชนแต่ละใบสามารถบอกสิทธิการรักษาพยาบาลของเจ้าของบัตรได้ทุกใบ 3. ข้อมูลขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกประกอบด้วยชั้นบัตร เลขที่บัตร เหรียญที่ได้รับ เป็นต้น 4. ข้อมูลของหน่วยบัญชาการกำลังสำรอง ประกอบด้วยข้อมูลวันที่ลงบัญชีทหาร ภูมิลำเนาทหารเลขที่หนังสือสำคัญ ปีที่สำเร็จการศึกษา เป็นต้น 5. ข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ประกอบด้วย ข้อมูลทะเบียนเกษตรกร โดยข้อเสียของบัตรรุ่นนี้คือความล้าหลังของเทคโนโลยี คือใช้งานกับโปรแกรมอ่านบัตรบางโปรแกรมไม่ได้ ต้องมีการปรับปรุงซอฟต์แวร์

บัตรประจำตัวประชาชนสมาร์ทการ์ดรุ่นที่ 3 ที่มาภาพ: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง

บัตรประจำตัวประชาชนสมาร์ทการ์ดรุ่นที่ 3 (ใช้ระหว่างปี 2554-2555) เริ่มออกบัตรตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค. 2554 คุณลักษณะของบัตร (spec) โดยรวมเหมือนกับรุ่นที่ 2 แต่จะเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูล (EEPROM) เป็น 80 กิโลไบต์ (Kbytes) และยังมีการจัดเก็บข้อมูลของส่วนราชการอื่นเหมือนกับรุ่นที่ 2 แต่มีส่วนที่แตกต่างจากบัตรรุ่นเดิมอยู่บ้าง ส่วนลักษณะอื่น ๆ โดยรวมจะเหมือนกับบัตรรุ่น 2 ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ลักษณะของบัตรประจำตัวประชาชนอเนกประสงค์นี้ คือ มีเส้นสีแดง (MicroText) 2 เส้นพาดผ่านรูปถ่าย และด้านล่างของบัตร ข้อความภายในเส้นเป็นคำว่า THAILAND โฮโลแกรมด้านหลังบัตร มีรูปพระบรมมหาราชวังเพิ่มซ้อนอยู่บนแผนที่ประเทศไทย และมีรหัสบัตรด้านหลังขึ้นต้นด้วย JC1 บัตรรุ่นนี้ออกมาจำนวน 26 ล้านใบ (บัตรรุ่นนี้จัดการประมูลครั้งสุดท้ายในเดือน พ.ค. 2552 โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กำหนดราคาเริ่มต้นที่ 960 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละประมาณ 37 บาทการประมูลครั้งนี้ กิจการร่วมค้า VK ซึ่งประกอบด้วยบริษัทหลักเดียวกันกับกิจการร่วมค้า VSK ที่ชนะการประมูลในปี 2550 เป็นผู้ชนะการประมูลโดยเสนอราคา 902 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละประมาณ 34.7 บาท) ข้อเสียของบัตรรุ่นนี้คือความล้าหลังของเทคโนโลยี คือใช้งานกับโปรแกรมอ่านบัตรบางโปรแกรมไม่ได้ต้องมีการปรับปรุงซอฟต์แวร์

และในปี 2554 นี้ก็ได้มีการเริ่มทำบัตรประชาชนสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2554 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่10 ก.ค. 2554 ที่ให้กลุ่มบุคคลอายุ 7 ปีบริบูรณ์ ต้องทำบัตรประจำตัวประชาชนภายใน 60 วัน ซึ่งหากเด็กยื่นคำขอมีบัตรเกินกำหนดก็ไม่ถูกเปรียบเทียบปรับแต่อย่างใด

บัตรประจำตัวประชาชนสมาร์ทการ์ดรุ่นที่ 4 (ใช้ระหว่างปี 2555-2556) เป็นบัตรที่จัดทำเสริมขึ้นมาระหว่างรอการประกวดราคาจัดซื้อ เริ่มออกบัตรตั้งแต่ปี 2555 - เม.ย. 2556 พื้นที่จัดเก็บข้อมูล (EEPROM) 80 กิโลไบต์ (Kbytes) และยังมีการจัดเก็บข้อมูลของส่วนราชการอื่นเหมือนกับรุ่นที่ 3 รูปแบบบัตรเหมือนกับรุ่นที่ 3 แต่เลขเลเซอร์หลังบัตรขึ้นต้นด้วย KN0-XXXXXXX-X  รหัสบัตรด้านหลังขึ้นต้นด้วย KN0 บัตรรุ่นนี้ออกมาจำนวน 3.9 ล้านใบ ข้อเสียของบัตรรุ่นนี้คือใช้งานกับโปรแกรมอ่านบัตรบางโปรแกรมไม่ได้ ต้องมีการปรับปรุงซอฟต์แวร์ก่อน

บัตรประจำตัวประชาชนสมาร์ทการ์ดรุ่นที่ 5 (ใช้ระหว่างปี 2556-2557) เริ่มออกบัตร 7 พ.ค. 2556 มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูล (EEPROM) 80 กิโลไบต์ (Kbytes) และยังมีการจัดเก็บข้อมูลของส่วนราชการอื่นเหมือนกับรุ่นที่ 3 รูปแบบบัตรเหมือนกับรุ่นที่ 3 แต่เลขเลเซอร์หลังบัตรขึ้นต้นด้วย JT0-XXXXXXX-XX การใช้งาน และการใช้ประโยชน์จากบัตร กรมการปกครองได้ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การอนุญาตให้หน่วยงานของรัฐและเอกชนใช้โปรแกรมสำหรับการอ่านข้อมูลจากบัตรประจำตัวประชาชนเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2552 เพื่อให้ภาครัฐ และภาคเอกชน ได้ใช้ประโยชน์จากบัตรประจำตัวประชาชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงในการใช้ประโยชน์จากบัตรแล้ว จำนวน 111 หน่วยงาน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2556) รหัสบัตรด้านหลังขึ้นต้นด้วย JT0 บัตรรุ่นนี้ออกจำนวน 16 ล้านใบ ข้อเสียของบัตรรุ่นนี้คือแม้จะทำงานเร็วกว่าบัตรรุ่นเดิม ประมาณ 3 ถึง 4 เท่า แต่พบว่าใช้งานกับโปรแกรมอ่านบัตรบางโปรแกรมไม่ได้ ต้องมีการปรับปรุงซอฟต์แวร์ก่อน

บัตรประจำตัวประชาชนสมาร์ทการ์ดรุ่นที่ 6 (ใช้ระหว่างปี 2557-ปัจจุบัน) เริ่มออกใช้งานตั้งแต่ต้นปี 2557 มีลักษณะภายนอกเหมือนกับบัตรรุ่นที่ 3 รหัสบัตรด้านหลังขึ้นต้นด้วย JC2 มีจำนวน 1.9 ล้านใบ ข้อเสียของบัตรรุ่นนี้คือแม้ความเร็วในการทำงานเท่ากับบัตรรุ่นที่ 4 แต่พบว่าใช้งานกับโปรแกรมอ่านบัตรบางโปรแกรมไม่ได้ ต้องมีการปรับปรุงซอฟต์แวร์ก่อน

ย้อนดูบัตรประชาชนไทย 4 รุ่นแรก

ข้อมูลที่รวบรวมโดย สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เมื่อเดือน ก.ย. 2559  ระบุว่าตั้งแต่ปี 2486 สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 รัฐบาลโดยการนำของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีแนวคิดทำเอกสารเฉพาะตัวบุคคล จึงได้เสนอออก พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2486 เป็นกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวประชาชนฉบับแรกของไทย ซึ่งเป็นผลของการออกหนังสือเดินทางสำหรับราษฎรตาม พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 ทำให้ทางราชการเห็นความจำเป็นที่จะต้องทำเอกสารเป็นหลักฐาน เพื่อแสดงว่าใครคือใครอยู่ที่ไหน รูปพรรณเป็นอย่างไร เพื่อประโยชน์ในการปกครองท้องที่ และการควบคุมราษฎรของทางราชการรวมทั้งประชาชนก็จะได้ประโยชน์ในการติดต่อซึ่งกัน โดยเฉพาะการค้าขาย มาบังคับใช้เป็นการเฉพาะครั้งแรกเพื่อให้ทำบัตรประจำตัวประชาชนแก่คนไทย แต่บังคับใช้เฉพาะราษฎรในจังหวัดพระนคร และจังหวัดธนบุรี (กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน) โดยมีบัตรประจำตัวประชาชนมาแล้วตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันทั้งหมด 5 รุ่น (รุ่นหลัก 4 รุ่น และรุนที่ 5 คือบัตรแบบสมาร์ทการ์ด ที่ยังมีแยกย่อยอีก 7 รุ่น) โดย 4 รุ่นหลักมีดังต่อไปนี้

บัตรประชาชนรุ่นแรก ตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2486 ที่มาภาพ: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง

บัตรประจำตัวประชาชนรุ่นแรก (ใช้ระหว่างปี 2486-2505) มีลักษณะเป็นบัตรรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พับเป็น 4 ตอนคล้ายบัตรยืมหนังสือของห้องสมุดมีขนาดกว้าง 4 นิ้วยาว 3 นิ้ว คล้ายบัตรยืมหนังสือของห้องสมุด มีทั้งหมด 8 หน้า ปกหน้า (ด้านหน้า) มีรูปครุฑ และคำว่า"บัตรประจำตัวประชาชน" พร้อมเลขทะเบียนที่ออกบัตร ปกหลัง (ด้านหลัง) เป็นคำเตือน สำหรับผู้ถือบัตร เช่น ต้องพกติดตัวและแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้เสมอ ต้องขอเปลี่ยนบัตรเมื่อบัตรหมดอายุต้องแจ้งขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในบัตร เมื่อมีการเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล หรือที่อยู่ เป็นต้น บัตรประจำตัวประชาชนตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ มีอายุการใช้ 10 ปี เมื่อบัตรหมดอายุแล้ว ต้องทำคำร้องขอเปลี่ยนบัตร โดยเสียค่าธรรมเนียมไม่เกิน 25 สตางค์ ส่วนบุคคลซึ่งจะต้องมีบัตรตามกฎหมาย คือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์จนถึง 70 ปีบริบูรณ์ และกำหนดให้ยื่นคำร้องภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ผู้นั้นต้องมีบัตรตามพระราชบัญญัตินี้ คือ พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2486 สำหรับ

ข้อเสียของบัตรประจำตัวประชาชนรุ่นแรก คือ มีจุดอ่อนในด้านการพกพา ทั้งนี้เนื่องจากมีลักษณะใหญ่เกินไป ทำให้เกิดความไม่สะดวกต่อผู้ใช้ที่จะต้องนำพกพาติดตัวไปด้วยเสมอ ประกอบกับลักษณะของบัตร หลักการ และวิธีการทางกฎหมายในเรื่องการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนล้าสมัย

บัตรประชาชนรุ่นที่ 2 ประมาณการว่ามีการใช้บัตรรุ่นนี้ตั้งแต่ปี 2506 จนถึงสิ้นปี 2530 รวม 24 ปี ประมาณไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบัตร ที่มาภาพ: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง

บัตรประจำตัวประชาชนรุ่นที่ 2 (ใช้ระหว่างปี 2506-2530) ต่อมาความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองโดยเฉพาะความเจริญของภูมิภาคส่งผลให้ราชการ และประชาชนคนไทยต้องปรับตัว และปรับวิถีทางของความเป็นอยู่ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นการติดต่อทางสังคม และเศรษฐกิจของประชาชนก็เปิดกว้างขวางขึ้น ในรัฐบาลของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวประชาชนให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และให้สามารถบังคับใช้กับประชาชนคนไทยทั่วประเทศโดยการออกบัตรจะมี "กรมการปกครอง" เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการออกบัตรประจำตัวประชาชนทั่วประเทศ สาระสำคัญที่แตกต่างกับฉบับปี 2486 มีหลายประการ เช่น การกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ที่ต้องมีบัตรต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทยอายุระหว่าง 17 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 70 ปีบริบูรณ์ บัตรมีอายุ 6 ปี กำหนดค่าธรรมเนียมในการออกบัตรหรือเปลี่ยนบัตร ไว้ฉบับละ 5 บาท และให้ยกเลิกบัตรประจำตัวประชาชนรุ่นแรก และใช้บัตรประชาชนรุ่นที่ 2 แทน

โดยตัวบัตรมีลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีสีขาวดำ รายการผู้ถือบัตรพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดธรรมดาเคลือบพลาสติกใส ขนาดกว้าง 6 เซนติเมตร ยาว 9 เซนติเมตร ด้านหน้า เป็นรูปตราครุฑอยู่ตรงกลาง มีข้อความ "สำนักงานทะเบียนบัตรประจำตัวประชาชนกระทรวงมหาดไทย" วันที่ออกบัตร และวันบัตรหมดอายุ ด้านหลัง เป็นรายการของผู้ถือบัตร ประกอบด้วยรูปถ่ายที่มีเส้นบอกส่วนสูง เป็นนิ้วฟุต ใต้รูปจะมีเลข และตัวอักษรแสดงถึงอำเภอที่ออกบัตร และเลขทะเบียนบัตร และตราประจำตำแหน่งเจ้าพนักงานออกบัตรปรากฏอยู่ทางด้านซ้าย ส่วนด้านขวาจะมีชื่อตัว ชื่อสกุล วันเดือนปีเกิด อายุ ที่อยู่ และลายมือชื่อเจ้าพนักงานออกบัตร พร้อมขยายอายุผู้มีบัตร 17 ปีแต่ไม่เกิน 70 ปี อายุบัตร 6 ปี ค่าธรรมเนียมในการออกบัตร และเปลี่ยนบัตร 5 บาทจำนวนบัตรประจำตัวประชาชนรุ่นนี้ ตั้งแต่ปี 2506-2530 รวม 24 ปี ประมาณไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบัตร จึงเป็นที่รู้จักและแพร่หลายของคนไทยในช่วงระหว่างปีดังกล่าว ข้อเสียของบัตรประจำตัวประชาชนรุ่นที่ 2 คือ พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2505 ใช้บังคับได้ประมาณ 21 ปี พบว่า มีจุดอ่อนหลายประการ คือ อายุของผู้ที่จะต้องมีบัตรที่กำหนดไว้ 17 ปีบริบูรณ์ ไม่สัมพันธ์กับกฎหมายคุ้มครองแรงงานประกอบกับกฎหมายฉบับนี้ กำหนดการให้นับอายุตามปีพุทธศักราช ทำให้จำนวนประชาชนผู้ขอยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนจะมายื่นทำบัตรกันมากในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-ก.พ. ของทุกปี และปัญหาทางข้อกฎหมายทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง

บัตรประชาชนรุ่นที่ 3 เริ่มมีการจัดเก็บข้อมูลผู้ทำบัตรและการตรวจสอบรายการบัตรเดิม ดำเนินการในรูปของฐานข้อมูลระบบคอมพิวเตอร์ เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2531 ที่มาภาพ: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง

บัตรประจำตัวประชาชนรุ่นที่ 3 (ใช้ระหว่างปี 2531-2538) ในสมัยรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้ยกเลิก พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2505 และตรา "พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526" ขึ้นใช้บังคับแทน กฎหมายนี้ได้ปรับปรุงจุดอ่อนของกฎหมายฉบับก่อน ได้แก่ การลดอายุของผู้ที่จะต้องขอมีบัตรจาก 17 ปีบริบูรณ์ เป็น 15 ปีบริบูรณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน การนับอายุผู้ขอมีบัตร 15 ปีบริบูรณ์ ให้นับชนวันเดือนปีเกิดของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นการนับอายุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นอกจากนั้น ได้ขยายระยะเวลาการขอมีบัตรเพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้ 60 วัน เป็น 90 วัน กำหนดให้บัตรที่ยังใช้ได้ในวันที่ผู้ถือบัตร มีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ สามารถใช้ได้ต่อไปจนกว่าผู้ถือบัตรจะเสียชีวิต กำหนดลักษณะความผิดเกี่ยวกับบัตร และบทลงโทษเพิ่มขึ้น และไม่เก็บค่าธรรมเนียมในการขอมีบัตรครั้งแรก หรือขอมีบัตรใหม่เมื่อบัตรเดิมหมดอายุ การเปลี่ยนแปลง พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน ในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสูงขึ้น ทั้งประเทศค่ายเสรีประชาธิปไตย ค่ายสังคมนิยม ค่ายคอมมิวนิสต์ และค่ายประเทศที่สาม ทำให้มีบุคคลต่างด้าวเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นทั้งในลักษณะของผู้เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย และผู้อพยพหลบหนีเข้าเมืองโดยมิชอบ ความต้องการบัตรประจำตัวประชาชนในหมู่ของคนต่างด้าวเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยได้เหมือนคนไทย ก่อให้เกิดปัญหาการปลอมแปลงบัตรประจำตัวประชาชนระบาดอย่างหนักนอกจากนี้ตัวแปรทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เริ่มเข้ามามีบทบาทในภาคเอกชน และภาคราชการไทยสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องกระตุ้นให้มีการเรียกร้องปรับปรุงรูปโฉมของบัตรประจำตัวประชาชนให้สวยงาม ก้าวหน้าทันสมัย และสามารถป้องกันการปลอมแปลงได้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ คณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีจึงได้มีมติในปี 2529 เห็นชอบโครงการปรับปรุงระบบการผลิตบัตรประจำตัวประชาชนด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอและอนุมัติให้ดำเนินการได้ ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว เป็นจุดเริ่มต้นของการพลิกโฉมหน้าของบัตรประจำตัวประชาชน มาสู่รูปแบบใหม่เป็นบัตรประจำตัวประชาชนรุ่นที่ 3

โดยบัตรประจำตัวประชาชนรุ่นที่ 3 เป็นบัตรรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 5.4 เซนติเมตร ยาว 8.4 เซนติเมตร คล้ายกับบัตรประชาชนรุ่นที่ 2 ที่โดดเด่น คือ รูปถ่ายเจ้าของบัตรเป็นรูปพิมพ์สี และเคลือบวัสดุพิเศษป้องกันการปลอมแปลง ตัวบัตรจะเป็นสีขาว และมีลายพื้นเป็นเส้นสีฟ้าทั่วบัตรทั้งสองด้านด้านหน้าของบัตรมีรูปครุฑอยู่ตรงกลาง มีตัวอักษรคำว่า "บัตรประจำตัวประชาชน" อยู่ด้านบนครุฑคำว่า "กรมการปกครอง" อยู่ด้านซ้าย คำว่า "กระทรวงมหาดไทย" อยู่ด้านขวา ส่วนด้านล่างครุฑมีลายมือชื่อเจ้าพนักงานผู้ออกบัตร และตราประจำตำแหน่งด้านหลังของบัตรแถวบนสุดจะมีเลขประจำตัว 13 หลัก ซึ่งเป็นเลขชุดเดียวกับที่ปรากฏในทะเบียนบ้าน ถัดมาจะมีเลข 8 หลัก ซึ่งเลข 2 หลักแรกบ่งบอกถึงรอบของการออกบัตร ส่วนเลข 6 หลัก ต่อมาหมายถึงลำดับที่ของการทำบัตร ถัดลงมาด้านซ้ายจะมีรูปถ่ายของผู้ถือบัตรเป็นรูปสีธรรมชาติ โดยมีเส้นแสดงส่วนสูงเป็นเซนติเมตร ส่วนด้านขวาจะมีรายการของผู้ถือบัตร ประกอบด้วย ชื่อตัว ชื่อสกุล วันเดือนปีเกิด วันออกบัตร วันบัตรหมดอายุ และที่อยู่ ลักษณะที่พัฒนาซึ่งถือว่า เป็นจุดเด่นของบัตรรุ่นนี้ คือ รูปถ่ายผู้ถือบัตรเป็นรูปสี พิมพ์รายการผู้ถือบัตรด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ มีการป้องกันการปลอมแปลงด้วยการเคลือบวัสดุป้องกันการปลอมแปลงชนิดพิเศษ มีลายสัญลักษณ์รูปสิงห์ และคำว่า "กรมการปกครอง" ฝังอยู่ในเนื้อวัสดุไม่สามารถมองเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า การจัดเก็บข้อมูลผู้ทำบัตร และการตรวจสอบรายการบัตรเดิมถูกดำเนินการในรูปของฐานข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์

วันเริ่มใช้บัตร ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2531 เป็นต้นมา ส่วนข้อเสียของบัตรประจำตัวประชาชนรุ่นที่ 3 คือ มีความล้าหลังในเรื่องระบบฐานข้อมูลทะเบียนบัตรประจำตัวประชาชน และการให้บริการประชาชนที่มีความล่าช้า

บัตรประชาชนรุ่นที่ 4 หรือ 'บัตรประจำตัวประชาชนไฮเทค' เนื่องจากทุกขั้นตอน ตั้งแต่การพิมพ์คำขอมีบัตร รายการบุคคลของผู้ขอมีบัตร รวมถึงภาพใบหน้า การลงลายมือชื่อของเจ้าพนักงานออกบัตรและการตรวจสอบหลักฐานรายการบัตรเดิม ดำเนินการด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น ที่มาภาพ: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง

บัตรประจำตัวประชาชนรุ่นที่ 4 (ใช้ระหว่างปี 2539-2546) ช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 กระแส 'โลกาภิวัตน์' เริ่มเป็นที่กล่าวถึงในสังคมไทย ส่งผลให้เกิดแนวคิดในการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนให้ทันสมัย ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้เสนอ "โครงการจัดทำระบบการให้บริการประชาชนทางด้านการทะเบียนและบัตรด้วยระบบคอมพิวเตอร์" โดยเป้าหมายหลักที่จะนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการออกบัตรประจำตัวประชาชนอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งระบบเปลี่ยนแปลงรูปโฉมของบัตรให้ทันสมัย และเพื่อเป็นการปรับปรุงระบบการให้บริการประชาชน ให้สะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง ทั้งนี้ การผลิตบัตรจะกระจายไปถึงสำนักทะเบียนแต่ละแห่ง ประชาชนที่มาทำบัตรสามารถรอรับบัตรได้ทันทีด้วยความรวดเร็ว ภายในวันที่ติดต่อขอทำบัตร โดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบรับ บ.ป. 2 หรือใบเหลืองอีกต่อไป โครงการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2538 หลังจากติดตั้งระบบ และให้บริการด้านทะเบียนราษฎรแล้วกรมการปกครอง จึงสามารถเปิดระบบให้บริการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนแบบใหม่เป็นครั้งแรก ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร โดยถือปฐมฤกษ์ในวันที่ 5 ธ.ค. 2539 ทั้งนี้ยังคงใช้ พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 เพื่อบริการประชาชนในการขอทำบัตรในกรณีต่าง ๆ สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาเพื่อรองรับการจัดทำบัตรระบบใหม่ ได้แก่ การออกกฎกระทรวง กำหนดลักษณะของบัตร และการประกาศกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการเท่านั้น

โดยบัตรประจำตัวประชาชนรุ่นที่ 4 จะมีลักษณะคล้ายบัตรเครดิต ทำด้วยพลาสติก มีความยืดหยุ่น และแข็งแรง ขนาดมาตรฐานสากล (ISO) กว้าง 5.4 เซนติเมตร ยาว 8.6 เซนติเมตร หนา 0.76 มิลลิเมตร พื้นบัตรทั้ง 2 ด้านเป็นสีขาว มีลายสีฟ้าด้านหน้าของบัตร มีรูปถ่ายเจ้าของบัตร พร้อมรายการเกี่ยวกับประวัติของเจ้าของบัตร ได้แก่เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ชื่อตัว ชื่อสกุล วันเดือนปีเกิด ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน หมู่โลหิต วันที่ออกบัตรวันที่บัตรหมดอายุ และมีลายมือชื่อเจ้าพนักงานผู้ออกบัตร ด้านหลังของบัตร มีคำว่า "บัตรประจำตัวประชาชน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย" รูปครุฑและแถบแม่เหล็ก สำหรับบันทึกข้อมูลของเจ้าของบัตร นอกจากนี้จะมีรหัสกำกับบัตร ซึ่งเป็นชุดของตัวเลขผสมตัวอักษร เพื่อควบคุมกำกับการออกบัตรของแต่ละสำนักทะเบียน รวมทั้งใช้แถบแม่เหล็กบันทึกข้อมูลผู้ถือบัตร และควบคุมรหัสการออกบัตร ผลิตด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งระบบ ประชาชนที่มาทำบัตรรอรับการบริการได้ทันทีภายในวันเดียวที่มายื่นทำบัตร โดยไม่ต้องรอใช้ใบเหลืองที่เป็นใบทดแทนบัตรประชาชนระหว่างรอบัตรใช้บัตรประชาชน บัตรรุ่นใหม่นี้ เรียกกันว่า "บัตรประจำตัวประชาชนไฮเทค" เนื่องจากทุกขั้นตอน ตั้งแต่การพิมพ์คำขอมีบัตร รายการบุคคลของผู้ขอมีบัตร ซึ่งรวมถึงภาพใบหน้า การลงลายมือชื่อของเจ้าพนักงานออกบัตรและการตรวจสอบหลักฐานรายการบัตรเดิม ดำเนินการด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น การให้บริการจัดทำบัตรระบบใหม่ด้วยคอมพิวเตอร์นั้น ได้ดำเนินการในรูปแบบของการตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์ภาค จำนวน 9 ภาค เพื่อควบคุม และดูแลระบบการดำเนินงานของสำนักทะเบียนทุกแห่งทั่วประเทศ ส่วนข้อเสียของบัตรประจำตัวประชาชนรุ่นที่ 4 คือ ระบบเทคโนโลยีในการจัดเก็บข้อมูลมีความล้าหลังและต้นทุนของบัตรมีราคาสูง

 

อ่านเพิ่มเติม:
คนไทยรู้ยัง: คุณใช้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดรุ่นที่เท่าไร? ออกมากี่ใบ?
จับตา: เปรียบเทียบบัตรประชาชนตั้งแต่ปี 2486-2557

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ช่องฟ้าวันใหม่โดนมัลแวร์เรียกค่าไถ่ WannaCry

Posted: 14 May 2017 02:23 AM PDT

14 พ.ค. 2560 เว็บไซต์ Blognone รายงานว่า ชั่วโมงนี้หลายคนคงรู้จักมัลแวร์ WannaCry ซึ่งเป็นมัลแวร์เรียกค่าไถ่ชื่อดังที่กำลังระบาดไปทั่วโลก และตอนนี้ในไทยก็มีองค์กรที่ประกาศว่าได้รับผลกระทบแล้วคือช่องสถานีโทรทัศน์ฟ้าวันใหม่
 
ทางสถานีได้ประกาศเรื่องดังกล่าวเมื่อคืนวานทางแฟนเพจ BLUESKY Channel โดยผลลัพธ์จากมัลแวร์นี้ทำให้ทางสถานีต้องหยุดให้บริการเว็บไซต์ fahwanmai.com (ณ เวลาที่เขียนข่าว ยังไม่สามารถเข้าได้) และย้ายไปให้บริการที่เว็บไซต์ blueskychannel.tv เป็นการชั่วคราว เพื่อให้ฝ่ายไอทีของบริษัทการล้างคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบ
 
มัลแวร์เรียกค่าไถ่ WannaCry (หรือชื่ออื่นคือ WCry, WannaCrypt ฯลฯ) ได้เริ่มโจมตีองค์กรหลายประเทศ เช่น หน่วยงานประกันสุขภาพของอังกฤษ, Renault-Nissan, Telefonica, การรถไฟเยอรมัน โดยตอนนี้วิธีป้องกันสำหรับผู้ที่ยังไม่โดนคือให้อัพเดต Windows เป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่ออุดช่องโหว่ และปิดฟีเจอร์ SMBv1 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของมัลแวร์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

องค์กรไทยพม่าสนับสนุนเสรีภาพสื่อ กรณีบริษัทเหมืองฟ้องนักข่าว

Posted: 14 May 2017 02:11 AM PDT

ผู้สนับสนุนเสรีภาพสื่อและภาคประชาสังคมทั้งไทยและพม่าเรียกร้องรัฐบาลไทยให้คุ้มครองหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น และผู้สื่อข่าวซึ่งรายงานปัญหาที่เกิดขึ้นจากเหมืองเฮงดาที่เป็นของคนไทยแต่ประกอบการในพม่า

 

ปรัชญ์ รุจิวนารมย์ ผู้สื่อข่าวบริษัท เนชั่น นิวส์ เน็ตเวิร์ค จำกัด
 
14 พ.ค. 2560 องค์กรไทยและพม่าได้ออกแถลงการณ์ร่วมกรณีเหมืองไทยในพม่าฟ้องนักข่าว โดยระบุว่าพวกเราซึ่งมีชื่อด้านท้ายนี้ ขอกระตุ้นให้รัฐบาลไทยคุ้มครองเสรีภาพสื่อ ลดการเอาผิดทางอาญากับการหมิ่นประมาท และปรับปรุงเนื้อหาของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ. 2550 ให้สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศ รวมทั้งสิทธิที่จะมีเสรีภาพด้านความเห็นและการแสดงออก
 
เราได้รับแจ้งว่าเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 บริษัท เมียนมาร์ พงษ์พิพัทธ์ (Myanmar Phongpipat Co. Ltd. - MPC) ซึ่งประกอบกิจการเหมืองแร่ได้ฟ้องคดีต่อปรัชญ์ รุจิวนารมย์ ผู้สื่อข่าว (จำเลยที่ 1) บริษัท เนชั่น นิวส์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (จำเลยที่ 2) ในข้อหาหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59, 83, 91, 326 และ 328 และการละเมิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 เราเรียกร้องให้ทางบริษัท MPC ถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าวโดยทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข สอดคล้องกับหลักการชี้นำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (UN Guiding Principles on Business and Human Rights) ทางบริษัท MPC ควรคุ้มครองและเคารพสิทธิมนุษยชนและจัดให้มีการเยียวยาต่อผลกระทบร้ายแรงใด ๆ ที่เป็นผลมาจากการดำเนินงานของตน
 
MPC อ้างว่าปรัชญ์ รุจิวนารมย์ และหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของบริษัท โดยได้รายงานการปล่อยหางแร่ออกจากเหมืองดีบุกและไหลลงสู่แม่น้ำโดยตรง ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักสำหรับการบริโภคของชาวบ้านที่หมู่บ้านเมืองเพียว เขตตะนาวศรี พม่า 
 
เนื่องจากปรัชญ์ รุจิวนารมย์ และหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นได้เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวทั้งทางสื่อสิ่งพิมพ์และออนไลน์ในวันที่1 มีนาคม 2560 เป็นเหตุให้ถูกฟ้องคดีหมิ่นประมาททางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ รวมทั้งข้อหาอื่น ๆ
 
ในบทความที่ชื่อ "เหมืองแร่ไทยทำลายทรัพยากรน้ำในเมียนมา" ปรัชญ์ได้อ้างข้อมูลที่ได้รับฟังมาโดยตรงจากชุมชนที่ได้รับผลกระทบที่เมืองเพียว ซึ่งมีการปนเปื้อนของน้ำดื่ม "เราไม่สามารถใช้น้ำนี้ได้เลย แม้แต่ใช้รดน้ำต้นไม้ เพราะเป็นน้ำที่ไหลออกมาโดยตรงจากเหมืองแร่" เอยีเว (Eyi We) กล่าวระหว่างการเยี่ยมของกรรมการสิทธิมนุษยชนไทย
 
จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความเป็นพิษด้านสิ่งแวดล้อมของดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ นักวิจัยด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งศึกษาการปนเปื้อนของโลหะหนักในพื้นที่เมื่อปี 2558 ผลการศึกษาพบว่าน้ำที่มาจากบ่อเก็บกักตะกอนของเหมืองเฮงดาปนเปื้อนด้วยแมงกานีส สารหนู และตะกั่วจำนวนมาก จากตัวอย่างน้ำ 34 ตัวอย่างที่มีการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม และมีการนำเสนอข้อมูลต่อที่ประชุมของคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และองค์กรพัฒนาเอกชนเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 ที่สำนักงานของกสม. งานวิจัยของดร.ธนพล เพ็ญรัตน์เผยให้เห็นการปนเปื้อนของแมงกานีสในระดับที่สูงกว่าค่ามาตรฐานที่ปลอดภัยถึง 53-600 เท่าในน้ำตัวอย่างที่ทำการทดสอบใกล้เหมือง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดื่มหลักของชาวบ้าน
 
การแจ้งความดำเนินคดีและข้อหาที่มีต่อปรัชญ์ รุจิวนารมย์และหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น สะท้อนให้เห็นการใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย ซึ่งละเมิดสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การเอาผิดทางอาญากับเสรีภาพในการแสดงออกทำให้เกิดบรรยากาศของความหวาดกลัวสำหรับสื่อมวลชนและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งรายงานข่าวของพวกเขาทั้งในประเด็นสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ล้วนสำคัญต่อการตอบสนองประโยชน์สาธารณะ สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกได้รับการคุ้มครองตามข้อ 19 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) ซึ่งไทยเป็นรัฐภาคี ตามกฎหมายระหว่างประเทศ การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้ และให้ทำโดยได้สัดส่วนและจำเป็นเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมาย
 
หากศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานหมิ่นประมาททางอาญาตามมาตรา 328 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ผู้สื่อข่าวเดอะเนชั่นอาจได้รับโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
เรายังคงกังวลกับการใช้กฎหมายหมิ่นประมาททางอาญาและพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อจำกัดสิทธิที่จะมีเสรีภาพด้านความเห็นและการแสดงออกในประเทศไทย รวมทั้งเพื่อข่มขู่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและผู้สื่อข่าว เราประณามการใช้กฎหมายหมิ่นประมาททางอาญาเพื่อข่มขู่ผู้สื่อข่าว และชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากการใช้กลยุทธ์การฟ้องคดีเพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมหรือแสดงความคิดเห็นของประชาชน(strategic act (litigation) against public participation - SLAPP)
 
โทษจำคุกในคดีหมิ่นประมาท นับว่าไม่ได้สัดส่วนกับการจำกัดสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก และเป็นรูปแบบการลงโทษต่อการหมิ่นประมาทที่ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ตามความเห็นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเป็นคณะผู้ชำนาญการที่ดูแลการปฏิบัติตามกติกา ICCPR ประเทศไทยควรลดการเอาผิดทางอาญากับการหมิ่นประมาทโดยทันที และปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่งทำให้เกิดข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชน
 
สิทธิที่จะมีเสรีภาพด้านความเห็นและการแสดงออกเป็นพื้นฐานสำคัญของทุกสังคม เสรีภาพเหล่านี้สนับสนุนให้เกิดความโปร่งใส การตรวจสอบได้ และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์ก็ต่อเมื่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ผู้สื่อข่าว และสื่อมวลชน ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติหน้าที่ตามวิชาชีพของตนอย่างสงบ และสามารถทำงานโดยไม่กลัวต่อการข่มขู่หรือการคุกคามโดยใช้กระบวนการศาล
นักปกป้องสิทธิมนุษยชนมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนสิทธิมนุษยชน ซึ่งครอบคลุมถึงสิทธิที่จะมีชีวิตรอด สิทธิที่จะได้รับอาหารและน้ำ สามารถเข้าถึงมาตรฐานด้านสุขภาพขั้นสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สามารถเข้าถึงที่พักอาศัยที่เพียงพอ การได้รับชื่อและสัญชาติ การได้รับการศึกษา เสรีภาพในการเดินทางและการไม่ถูกเลือกปฏิบัติ เป็นความรับผิดชอบของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่จะต้องรวบรวมข้อมูล รายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชน และตรวจสอบโครงการและกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนในท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อม และรัฐมีหน้าที่คุ้มครองบุคคลเหล่านี้ ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ไม่ควรมีการใช้กลยุทธ์การฟ้องคดีเพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมหรือแสดงความคิดเห็นของประชาชนเพื่อขัดขวางการวิพากษ์วิจารณ์และปิดปากผู้ทำงานปกป้องสิทธิ ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิและความรับผิดชอบของปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล และองค์กรของสังคมในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างสากล (Declaration on the Right and Responsibility of Individuals, Groups and Organs of Society to Promote and Protect Universally Recognized Human Rights and Fundamental Freedoms)
 
ประเทศไทย
 
ลงนามโดยองค์กร
1. Reporters Without Borders
2. เสมสิกขาลัย Spirit in Education Movement (SEM)
3. Earth Rights International
4. มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน Community Resource Centre Foundation
5. โครงการฟื้นฟูนิเวศในภูมิภาคแม่น้ำโขง TERRA
6. สมาคมพิทักษ์สิทธิชุมชนเขาคูหา Kaokuha Community Rights Protection Association
7. มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม EnLaw
8. Focus on the Global South 
9. มูลนิธิสืบนาคะเสถียร Seub Nakasatien Foundation
10. กลุ่มจับตาปัญหาที่ดิน Land Watch Thai
11. Sustainable Agriculture Foundation Thailand
12. มูลนิธิผสานวัฒนธรรม Cross Cultural Foundation
13. เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก Alternative Agriculture Network
14. สมาคมส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม Human Rights and Environment Promotion Association
15. โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ Campaign for Public Policy for Mineral Resources
16. โครงการพัฒนาคนรุ่นใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม Young Leadership for Social Change Program
17. องค์กรแม่น้ำนานาชาติ Internatioanl Rivers
18. เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง The Network of Thai People in Eight Mekong Provinces
19. Mymekong.org
20. กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch)
21. International Accountability Project (IAP)
22. มูลนิธิบูรณะนิเวศ Ecological Alert and Recovery - Thailand
23. ศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา Karen Studies and Development Centre)
24. กลุ่มรักษ์เชียงของ Chiang Khong Conservation Group
 
บุคคล
 
1. เอกชัย อิสระทะ Eakachai Issaratha
2. อาภา หวังเกียรติ Arpa Wangkiat
3. ไพรินทร์ เสาะสาย Phairin Sohsai
4. พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ Pornpen Khongkachonkiet
5. นภวรรณ งามขำ Noppawan Ngamkame
6. เพียรพร ดีเทศน์ Pianporn Deetes
7. นายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ Suwit Kularbwong
8. ศิริพร ฉายเพ็ชร Siriphorn Chaiphet
9. เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ Lertsak Kumkongsak
10. ธารา บัวคำศรี Tara Buakamsri
11. เรวดี ประเสริฐเจริญสุข Ravadee Prasertcharoensuk
12. ชุมพล คำวรรณะ Chumpol Kamwanna
13. ประสาท นิรันดรประเสริฐ Prasat Nirundornprasert
14. วิชชุกร ตั้งไพบูลย์ Vichukorn Tangpaiboon
15. อำนาจ เกตุชื่น Amnat Ketchuen
16. ธีระชัย ศาลเจริญกิจถาวร Teerachai Sanjaroenkijthawon
17. ญาศศิภาส์ สุกใส Yasasipa Suksai
18. ชวิศา อุตตะมัง Chawisa Uttamang
19. จามร ศรเพชรนรินทร์ Jamon Sonpednarin
20. ทวีศักดิ์ เกิดโภคา Taweesak Kerdpoka
21. รพีพัฒน์ มัณฑนะรัตน์ Rapeepat Mantanarat
22. จารยา บุญมาก Jaraya Boonmark
23. ลัลธริมา หลงเจริญ Lantharimar Longcharoen
24. จิตติมา ผลเสวก Jittima Pholsawek
25. สาธิต รักษาศรี Satit Raksasri
26. วิชัย จันทวาโร Wichai Juntavaro
27. จักรกริช ฉิมนอก Chakkrit Chimnok
28. นฤมล ทับจุมพล Assistant Professor Dr.Narumon Thabchumpon
29. สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์ Sayan Chuenudomsavad
30. อารีวัณย์ สมบุญวัฒนกุล Areewan Sombunwatthanakun
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธต้อนรับ-ผู้นำเกาหลีใต้สั่งประชุมฉุกเฉินทันที

Posted: 13 May 2017 03:56 PM PDT

เช้าตรู่วันนี้เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธไม่ทราบชนิดจากเมืองใกล้ชายแดนจีน-เกาหลีเหนือ นับเป็นความเคลื่อนไหวยั่วยุของเกาหลีเหนือ ประเดิมการรับตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ของ 'มุน แจอิน' และเป็นการทดสอบขีปนาวุธรอบล่าสุดหลังทิ้งช่วงมา 2 สัปดาห์ ด้าน 'มุน แจอิน' ผู้นำเกาหลีใต้คนใหม่สั่งประชุมฉุกเฉินทันที

(ซ้าย) แผนที่แสดงที่ตั้งของเมืองคูซอง ชายแดนเกาหลีเหนือ-จีน ที่มีรายงานว่าเกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธเมื่อเช้าตรู่วันนี้ (ขวา) ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ มุน แจอิน (แฟ้มภาพ/วิกิพีเดีย)

14 พ.ค. 2560 สำนักข่าวยอนฮัปรายงานว่า เช้าตรู่วันนี้ (14 พ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธบริเวณเมืองคูซอง จังหวัดพย็องอันบุก ใกล้กับชายแดนจีน ขณะเดียวกันประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนใหม่ มุนแจอิน สั่งประชุมฉุกเฉินร่วมกับสภาความมั่นคงแห่งชาติทันที

"เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธไม่ทราบชนิดเมื่อเวลา 05.27 น. วันนี้ (03.27 น. ตามเวลาประเทศไทย) บริเวณเมืองคูซอง จังหวัดพย็องอันบุก" แถลงการณ์ของคณะเสนาธิการร่วมระบุ ทั้งนี้ขีปนาวุธดังกล่าวตกออกไปไกลถึง 700 กิโลเมตร

รายงานของยอมฮัประบุว่านับเป็นการเคลื่อนไหวยั่วยุครั้งแรกของเกาหลีเหนือ นับตั้งแต่มุน แจอินเข้าสู่ตำแหน่ง นอกจากนี้ยังเป็นการทดสอบรอบล่าสุด หลังจากเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนเกาหลีเหนือมีการทดสอบขีปนาวุธเช่นกัน

ขณะที่อัลจาซีรา รายงานว่า เลขานุการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น โยชิฮิเดะ สุกะ กล่าวว่า การยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือเป็นการละเมิดมติของสหประชาชาติ และญี่ปุ่นประท้วงอย่างแข็งขันต่อการกระทำนี้ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ ก็ประท้วงการกระทำของเกาหลีเหนือเช่นกัน

อัลจาซีราระบุด้วยว่าในรอบ 2 เดือนมานี้ เกาหลีเหนือทำการทดสอบขีปนาวุธไปแล้ว 4 ครั้ง ทั้งนี้แม้ครั้งก่อนนี้เกาหลีเหนือจะประสบความล้มเหลวในการทดสอบ เพราะขีปนาวุธร่วงลงมาหลังยิงขึ้นไปได้ไม่กี่นาที แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธและเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้เชื่อว่า เกาหลีเหนือประสบผลสำเร็จในทางเทคนิคจากทดสอบขีปนาวุธเหล่านี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น