โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ไม่ให้ประกันอาจารย์มหาลัยรัฐ คดี ม.112 เหตุแชร์โพสต์ 'สมศักดิ์ เจียม' ปมหมุดคณะราษฎร

Posted: 09 May 2017 01:26 PM PDT

ศาลมีคำสั่งไม่ให้ประกัน อาจารย์ผู้ต้องหาคดี ม.112 เหตุแชร์โพสต์เรื่องหมุดคณะราษฎรของ สมศักดิ์ เจียมฯ หลังเจ้าตัวใช้ตำแหน่งและเพื่อนอาจารย์เป็นหลักประกัน พร้อมระบุไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนีตั้งแต่ต้น โดยศาลให้เหตุผลทำสถาบันพระมหากษัตริย์เสื่อมเสียและอัตราโทษสูง เกรงหลบหนี

9 พ.ค.2560 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ทนายความของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวอาจารย์มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ผู้ต้องหาในคดีข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 จากการแชร์โพสต์เฟซบุ๊กของ 'Somsak Jeamteerasakul' เรื่องหมุดคณะราษฎร ผู้ต้องหาได้ใช้ตำแหน่งอาจารย์ของตนและตำแหน่งของเพื่อนอาจารย์มหาวิทยาลัยของตนร่วมกันตีเป็นวงเงินประกัน 927,000 บาท

เวลาประมาณ 18.20 น. ศาลมีคำสั่งไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่าเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง และการกระทำนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว เพราะเกรงว่าจะหลบหนีหรืออาจจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานด้วยว่า ในการยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวครั้งนี้ ทางผู้ต้องหาให้เหตุผลว่าตนถูกจับกุมจากลานจอดรถของคอนโด ซึ่งเป็นที่พักของตนไปที่มทบ.11 โดยทหารตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย. และผู้ต้องหาไม่ได้รับหมายเรียกจากพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด หากทราบว่าถูกกล่าวหาจะมามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนีตั้งแต่ต้น และการถูกจับกุมตัวโดยไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว สร้างความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากตนมีภาระหน้าที่ในเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และต้องดูแลบุตรวัยประถมศึกษาอีก 2คน

อีกทั้งตนยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา ยังไม่ได้ถูกพิพากษาว่าได้กระทำความผิดจริง ซึ่งขัดกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 11 (1) ที่ว่า "ทุกคนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทางอาญามีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดตามกฎหมายในการพิจารณาคดีที่เปิดเผย ซึ่งตนได้รับหลักประกันที่จำเป็นทั้งปวงสำหรับการต่อสู้คดี" และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ข้อ 14 (1) กล่าวว่า "บุคคลทุกคนซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดอาญาต้องมีสิทธิได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่ามีความผิด" เช่นเดียวกับที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รับรองสิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไว้ตลอดมา การขังจำเลยไว้ระหว่างพิจารณาไว้ก่อนเสมอ อาจถือเป็นการลงโทษจำเลยล่วงหน้า

เหตุการณ์การดำเนินคดีจากการแชร์โพสต์ของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เรื่องหมุดคณะราษฎรครั้งนี้ ส่งผลให้มีการจับกุมดำเนินคดีกับผู้ต้องหารวม 5 คน ที่ถูกจับกุมควบคุมตัวเข้ามทบ.11 เมื่อวันที่ 29 เม.ย.2560 ซึ่งมีเพียงนายประเวศ ประภานุกูล อาชีพทนายความ ซึ่งถูกจับกุมเข้าค่ายทหารในวันเดียวกันเป็นคนที่ 6 ที่ถูกดำเนินคดีจากการโพสต์สเตตัสของตนเอง โดยทั้งหมดถูกแยกกันดำเนินคดีคนละคดีจากการแชร์โพสต์เดียวกัน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ตอบสารพันคำถามคมนาคม

Posted: 09 May 2017 01:23 PM PDT

คลิปหลังบรรยาย TU101 ที่ธรรมศาสตร์ 'ชัชชาติ สิทธิพันธุ์' ตอบสารพันคำถามเกี่ยวกับคมนาคมที่นักศึกษายกมือถาม ตั้งแต่เรื่องความคุ้มค่าของรถไฟความเร็วสูง ห้ามนั่งท้ายรถกระบะ รถสี่ล้อแดงเชียงใหม่ ทำไมคอนโดต้องติดรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าแน่นช่วงเช้าแก้อย่างไร

แท็กซี่โบกได้ทุกที่แต่ไม่ไปส่ง Grab/Uber รถคันแรกขัดแย้งหรือสอดคล้องกับนโยบายพัฒนาขนส่งมวลชน จนถึงเรื่องหากย้อนเวลาได้จะกลับไปแก้ไขนโยบาย 2 ล้านล้านหรือไม่

000

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 ที่ห้องบรรยาย SC1059 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต หลังจาก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม บรรยายพิเศษหัวข้อ "การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมไทยผ่านการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ต้นทุนที่สูญเสียไประหว่างรถไฟฟ้ายังไม่ได้สร้าง" โดยการบรรยายเป็นส่วนหนึ่งของวิชา TU101 โลก อาเซียน และไทยนั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ต่อมาภายหลังการบรรยาย เป็นช่วงอภิปรายและตอบคำถาม มีนักศึกษาตั้งคำถามหลายประเด็น เช่น 1) รถไฟความเร็วสูง ค่าบริการอยู่ที่เท่าไหร่ คนระดับไหนสามารถใช้ได้ 2) สร้างรถไฟความเร็วสูงเสร็จแล้วจะมีคนใช้หรือไม่ ขนาดรถไฟฟ้าสายสีม่วงยังไม่มีคนใช้เท่าไหร่เพราะคนไทยมีรถส่วนตัวใช้แล้ว และมีนิสัยชอบใช้รถส่วนตัวมากกว่าใช้รถไฟและรถสาธารณะ 3) คิดเห็นอย่างไรต่อโครงการคลองไทย จะทำสำเร็จไหม ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์มากแค่ไหน และประโยชน์จะส่งถึงประชาชนหรือไม่ 4) นโยบายรถคันแรกขัดแย้งหรือสอดคล้องกับนโยบายพัฒนาระบบขนส่งมวลชน 5) จะแก้ปัญหารถแดงที่เชียงใหม่อย่างไร

6) คิดอย่างไรกับกฎหมาย ห้ามนั่งท้ายรถกระบะ และห้ามนั่งแค็บ 7) ถ้าโครงการรถไฟความเร็วสูงสำเร็จการใช้รถกระบะจะลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญหรือไม่ 8) การสร้างทางรถไฟความเร็วสูงหรือขยายเลนถนนให้เพิ่มขึ้นต้องกินพื้นที่รอบๆ ซึ่งจะกระทบต่อคนในพื้นที่ มีแผนรองรับผลกระทบอย่างไร 9) ทำไมคอนโดมิเนียมชอบอยู่ตามแนวรถไฟฟ้า ทั้งที่สร้างเสร็จแล้วและกำลังก่อสร้าง ทำไมจึงไม่เป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านจัดสรร 10) การเดินทางจากต่างจังหวัดเข้า กทม. ส่วนใหญ่นิยมใช้รถตู้ แต่มีการจัดระเบียบรถตู้ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิโดยย้ายจุดขนส่งไปที่หมอชิตแทน ซึ่งไม่เชื่อมต่อรถไฟฟ้า ตอนนี้ที่ยังไม่มีรถไฟฟ้าความเร็วสูง มีแนวโน้มที่ศูนย์กลางขนส่งจะกลับไปที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิได้หรือไม่

11) ลดการจราจร ลดรถติด ต้องใช้ระบบขนส่งสาธารณะ แต่ระบบรถเมล์ยังไม่มีประสิทธิภาพ รถเมล์ไปไม่ถึงปลายทางตามที่ระบุไว้ทำให้ผู้โดยสารไม่สะดวก จะปรับแก้ไขอย่างไรจะสร้างแรงจูงใจให้คนใช้รถเมล์อย่างไร 12) เรือด่วนคลองแสนแสบ ควรเดินหน้าต่อไปหรือพอแค่นี้ เพราะมีเรื่องคลื่นกัดเซาะตลิ่ง 13) เสนอเรื่องปฏิรูประบบรถเมล์ด้วยการชวนรถไฟฟ้ามาร่วมทำเส้นทางรถเมล์ เพื่อเป็นฟีดเดอร์ป้อนผู้โดยสาร 14) เช้าๆ รถไฟฟ้าเต็มคนแน่น ผู้โดยสารขึ้นไม่ได้ควรแก้อย่างไร 15) ค่าใช้จ่ายของการโดยสารรถไฟความเร็วสูง เมื่อเทียบกับวิธีเดินทางอื่นเช่น รถทัวร์ เครื่องบิน มีการศึกษาแล้วหรือไม่ ว่าแบบไหนถูกกว่ากัน สำหรับคนที่มีเงินพร้อมที่จะจ่ายจะได้รับประโยชน์เต็มที่ ส่วนคนมีรายได้น้อย  เขาจะได้รับผลกระทบหรือเปล่า

16) แท็กซี่มีจุดแข็งคือเห็นปุ๊บแล้วเรียกได้ ปัญหาคือเขาไม่รับเรา จะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร 17) จะทำนโยบายให้สมดุลอย่างไรระหว่างการสร้างขนส่งสาธารณะที่ดีกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมหลักอย่างการผลิตรถยนต์ 18) มีความเห็นอย่างไรต่อ Grab และ Uber 19) ประเมินนโยบายคมนาคมของรัฐบาลปัจจุบัน 20) โครงการ 2 ล้านล้านบาทที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตก หากย้อนเวลากลับไปได้จะแก้ไขอะไร สนใจกลับมาทำงานด้านการเมืองอีกไหม ฯลฯ โดยชัชชาติตอบคำถามพร้อมทั้งอภิปรายโดยมีรายละเอียดดังที่ปรากฏอยู่ในคลิปนี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ระเบิดบิ๊กซีปัตตานี แอมเนสตี้ฯ ร้องรัฐเร่งสอบสวนตามมาตรฐานสากล ประยุทธ์สั่งเร่งล่าตัวคนร้าย

Posted: 09 May 2017 01:11 PM PDT

แอมเนสตี้ชี้ระเบิดปัตตานีเป็นเหตุสะเทือนขวัญ วอนรัฐเร่งสอบสวนตามมาตรฐานสากล ประยุทธ์ ห่วงใยผู้บาดเจ็บ สั่งเร่งล่าตัวคนร้าย บีบีซีไทยเผยนักวิเคราะห์ชี้บีอาร์เอ็นส่งสัญญาณให้รัฐฟังข้อเรียกร้อง

9 พ.ค. 2560 จากเหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดในห้างบิ๊กซี อ.เมือง จ.ปัตตานี วันนี้ (9 พ.ค.60) ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 50 คน โดยมีผู้บาดเจ็บสาหัส 4 คน (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

ล่าสุด พาเทล ผู้อำนวยการแอมเนสตี้สำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวว่า การโจมตีที่ศูนย์การค้าในปัตตานีนับเป็นการกระทำที่จงใจสร้างความสะเทือนขวัญต่อพลเรือน และยังแสดงให้เห็นว่าผู้ก่อเหตุไม่คำนึงถึงชีวิตของผู้คนแต่อย่างใด

"ทางการไทยต้องสั่งการให้มีการสอบสวนอย่างอิสระและมีประสิทธิภาพทันที โดยรัฐมีหน้าที่ในการนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ให้มีการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมสอดคล้องกับมาตรฐานสากล และไม่บังคับใช้การลงโทษด้วยการประหารชีวิต ทุกขั้นตอนที่ทางการไทยดำเนินการเพื่อยุติและป้องกันการโจมตีกรณีดังกล่าวต้องเคารพพันธกรณีที่ไทยมีต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ" แชมพา พาเทล กล่าวเสริม

โดย องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ระบุว่ามีเด็กรวมอยู่ด้วยและได้ออกแถลงการณ์ประณามเหตุการณ์ดังกล่าว เช่นเดียวกับองค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ อีกหลายแห่ง

ประยุทธ์ ห่วงใยผู้บาดเจ็บ สั่งเร่งล่าตัวคนร้าย

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความห่วงใยผู้บาดเจ็บซึ่งมีมากกว่า 40 ราย รวมทั้งผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทั้งครอบครัว ผู้ประกอบการ ห้างร้านบริเวณใกล้เคียง และเจ้าของทรัพย์สินที่เสียหาย โดยได้สั่งการผ่านรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและผู้บัญชาการทหารบกให้เร่งติดตามตัวคนร้ายมาลงโทษโดยเร็ว พร้อมกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลช่วยเหลือผู้ประสบเหตุอย่างเต็มที่

ส่วนปฏิบัติการนับจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ฝากให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกนาย เพราะแม้จะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดแล้ว แต่คนร้ายมักอาศัยโอกาสที่เจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่อื่นลงมือก่อเหตุความไม่สงบขึ้น จึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนร่วมกันเฝ้าระวัง และช่วยให้ข้อมูลข่าวสารแก่เจ้าหน้าที่ทั้งเบาะแสของเหตุการณ์ในครั้งนี้ หรือเบาะแสในกรณีเหตุการณ์ อื่นๆ เพื่อประโยชน์ในการหยุดยั้งพฤติกรรมรุนแรงของคนร้าย ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่อาจมีความจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลรักษาความปลอดภัย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก พี่น้องประชาชนจึงอาจจะไม่ได้รับความสะดวกบ้าง

ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันที่จะเดินหน้าพูดคุยสันติสุขอย่างต่อเนื่อง เพราะมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะกระทำทุกวิถีทางเพื่อคืนความสงบสุขสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และขอประณามการกระทำของคนร้ายที่รุนแรงและโหดเหี้ยมในครั้งนี้

ผบ.ตร.สั่งล่าคนร้าย

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ศชต. เร่งดำเนินการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด พร้อมทั้งเก็บรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุทั้งหมด เพื่อที่จะขยายผลและจับกุมคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุในครั้งนี้

นักวิเคราะห์ชี้บีอาร์เอ็นส่งสัญญาณให้รัฐฟังข้อเรียกร้อง

บีบีซีไทย รายงานด้วยว่า รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช นักวิชาการอิสระด้านการจัดการความขัดแย้ง กล่าวกับบีบีซีไทย โดยมองแนวโน้มเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในวันนี้ว่าเป็นปฏิบัติการ ของกลุ่มบีอาร์เอ็น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะเป็นการส่งสัญญาณไปถึงรัฐบาลอีกครั้งหนึ่งให้รับฟังข้อเรียกร้องเรื่องการขอให้มีผู้สังเกตการณ์/สักขีพยานในการพูดคุยสันติภาพ

รุ่งรวี ระบุว่าบีอาร์เอ็นจะยังคงใช้ปฏิบัติการทางการทหารเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองต่อไปและพลเรือนก็มักจะตกเป็นเหยื่อของการปะทะต่อรองกันของทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครทราบว่าเราจะไปถึงจุดที่เรียกว่า "ภาวะชะงักงันอันเจ็บปวด" (hurting stalemate) เมื่อใด ซึ่งในทางทฤษฎีบอกว่าคู่ขัดแย้งจะเริ่มต้องการพูดคุยกัน และไม่มีใครทราบว่าเมื่อใดรัฐบาลไทยจะพร้อมให้องค์กรระหว่างประเทศและประเทศที่สามเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการสันติภาพ ที่มากกว่าการให้มาเลเซีย ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก ซึ่งหากดูในหลายประเทศที่มีความขัดแย้งด้วยอาวุธในลักษณะนี้ กระบวนการสันติภาพมักจะต้องมีองค์กรที่หลากหลายเข้ามาให้การสนับสนุน

รุ่งรวี เห็นว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา การปฏิบัติการของฝ่ายขบวนการดูมีลักษณะที่จำกัดเป้าหมายที่ผู้ถืออาวุธมากขึ้นซึ่งนับเป็นแนวโน้มที่ดี แต่หากครั้งนี้ เป็นปฏิบัติการของบีอาร์เอ็น พวกเขาจะต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากในและต่างประเทศ หากบีอาร์เอ็นต้องการจะขอให้นานาชาติเข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ ตัวแทนเหล่านี้ย่อมต้องหยิบยกเอาเรื่องการโจมตีพลเรือนขึ้นเป็นประเด็นหารือ แม้ในภาวะสงคราม การทำร้ายพลเรือนด้วยการโจมตีโดยไม่จำกัดเป้าหมายเช่นนี้นับเป็นสิ่งที่ ผิดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

 

ที่มา : บีบีซีไทย, กรุงเทฑธุรกิจออนไลน์ Voice TV และ แอมเนสตี้ฯ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้ว่าฯ สตง.ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ 'วิษณุ' การันตีลงนามจัดซื้อเรือดำน้ำไม่ต้องผ่านรัฐสภา

Posted: 09 May 2017 10:00 AM PDT

ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เผยตรวจสอบยังไม่มีนัยสำคัญที่ผิดปกติ เป็นไปตามระเบียบที่สำนักงบฯ ยังไม่ยืนยันขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ชี้จัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ ไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนแบบสนธิสัญญา  'วิษณุ' การันตีลงนามจัดซื้อเรือดำน้ำไม่ต้องผ่านรัฐสภา

9 พ.ค. 2560 การตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ล่าสุดวันนี้ (9 พ.ค.60) พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน  เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบยังไม่มีนัยสำคัญที่ผิดปกติ และเป็นไปตามระเบียบที่สำนักงบประมาณชี้แจง โดยที่ผ่านมาได้ตรวจสอบตามประเด็นที่มีการตั้งข้อสังเกต ทั้งการชี้แจงของกองทัพเรือ หลักฐาน เอกสารที่ได้เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รวมถึง เอกสารที่รัฐบาลที่ผ่านมาเคยเสนอ 

พิศิษฐ์  กล่าวว่า  แผนการใช้จ่ายเงินของกองทัพเรือ เป็นการจัดสรรงบประมาณของกองทัพเรือ ไม่ได้นำมาจากงบกลาง ซึ่งจะไม่กระทบกับหน่วยงานหรือการพัฒนาด้านอื่นๆ และเป็นการทยอยจ่าย ปีละไม่เกิน 2,000 ล้านบาท  และการจัดซื้อดังกล่าวมีการรับประกัน ทั้งอะไหล่และยุทโธปกรณ์ พร้อมยืนยันเป็นการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ  ยังไม่พบบริษัทคนกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง 

"หาก สตง. พบข้อสังเกตที่มีนัยสำคัญ ที่ทำให้เห็นว่าการใช้จ่ายเงินนั้น ทำให้เกิดความเสียหาย หรือความล้มเหลว สตง.ยังคงมีอำนาจตั้งข้อสังเกต เสนอแนะ แนะนำให้มีการทบทวน เพิ่มเติม ปรับลด หรือแก้ไขสัญญา เพื่อให้เกิดความถูกต้อง รัดกุม เหมาะสมและเกิดประโยชน์อย่างสูงสุด" พิศิษฐ์ กล่าว

ส่วนที่มีผู้ร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินว่า เรื่องการทำสนธิสัญญาอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น พิศิษฐ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่  ต้องพิจารณาและต้องดูเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญด้วย เพราะที่ผ่านมาการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ ไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนแบบสนธิสัญญา

'วิษณุ' การันตีลงนามจัดซื้อเรือดำน้ำไม่ต้องผ่านรัฐสภา

ขณะที่วานนี้ (8 พ.ค.60) วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุกรณี ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบการลงนามจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน อาจเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.วิธีงบประมาณ ที่ระบุให้การของบผูกพันต้องดำเนินการภายใน 60 วันหลังวันที่ 1 ต.ค. 2559 และรัฐธรรมนูญมาตรา 178 ที่ระบุว่าเป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน โดยระบุว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 178 หากเป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศต้องให้ สนช.พิจารณา แต่เรื่องนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นแล้วว่าไม่เข้าข่ายมาตรา 178 เพราะหนังสือสัญญาบางอย่างก็ไม่เข้าข่ายตามาตรา178  

วิษณุ ยังระบุว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ยืนยันแล้วว่าการจัดซื้อเรือดำน้ำได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง

 

ที่มา : สำนักข่าวไทย และ Voice TV

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ASEAN Weekly: สำรวจค่ายวัดและกลศึกอยุธยา-อังวะคราวเสียกรุงครั้งที่ 2

Posted: 09 May 2017 09:09 AM PDT

กดติดตามรับชมคลิปใหม่ๆ ที่

 

 

ในโอกาสครบรอบ 250 ปีปัจฉิมกาลอยุธยา ASEAN Weekly เทปนี้ ดุลยภาค ปรีชารัชช พาชม "วัดแม่นางปลื้ม" พร้อมสำรวจชัยภูมิและกลศึกของกองทัพในสมัยรัฐจารีตทั้งสองฝ่าย โดย "วัดแม่นางปลื้ม" เป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งที่มีความสำคัญ ด้วยเป็นหนึ่งในค่ายวัดของพม่าช่วงสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 มีที่ตั้งอยู่ใกล้กับหัวรอ และอยู่ตรงข้ามกับป้อมมหาไชยในกำแพงพระนคร โดยมีคลองคูเมืองคั่นอยู่ นับเป็นจุดที่แคบที่สุดจุดหนึ่งของแนวป้องกันของอยุธยา

ทั้งนี้ภายหลังศึกพระเจ้าอลองพญาที่สามารถตั้งค่ายประชิดกรุงศรีอยุธยาจากด้านวัดหน้าพระเมรุ ทำให้หลังจากนั้นในสงครามคราวเสียงกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 นักการทหารอยุธยาพยายามแก้ไขไม่ให้ต้องรับศึกแบบประชิดกำแพงพระนคร ด้วยการตั้งค่ายสำคัญบริเวณวัดรอบพระนคร เช่น วัดหน้าพระเมรุ วัดพุทไธสวรรย์ วัดเกาะแก้ว วัดมณฑป วัดพิชัย วัดไชยวัฒนาราม อย่างไรก็ตามเมื่อกองทัพพม่าสามารถขับไล่ทหารอยุธยาจากค่ายวัดได้ ก็เข้ามาตั้งป้อมสวมทับบริเวณค่ายวัดประชิดพระนครทุกด้าน จนกระทั่งเมื่อผ่านฤดูน้ำหลากไปแล้ว ก็มีการใช้กลศึกขุดอุโมงค์เพื่อเข้าประชิดกำแพงก่อนจุดไฟสุมรากกำแพงที่ป้อมมหาไชยบริเวณหัวรอ สามารถเข้าพระนครได้ในที่สุด

สำหรับวัดแม่นางปลื้ม นอกจากตัววัดที่อยู่ในจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์แล้ว "หลวงพ่อขาว" ภายในวิหารวัดก็มีพุทธศิลป์โดดเด่น บ้างก็มีผู้เสนอข้อสันนิษฐานแนวประติมานวิทยาว่ามีลักษณะคล้ายพระพุทธรูปพม่า โดยอาจจะสร้างในช่วงที่กองทัพพม่าเข้ามาอยู่บริเวณค่ายวัดเพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจ ทั้งนี้ดุลยภาคเสนอว่าปริศนาดังกล่าวจะเป็นกรณีศึกษาที่ส่งผลดีต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย-พม่าในปัจจุบัน หากนักโบราณคดีทั้ง 2 ประเทศเข้ามาร่วมศึกษาค้นคว้า จะทำให้เกิดขยายพรมแดนความรู้แก่แวดวงวิชาการและสำหรับประชาชนทั้ง 2 ประเทศ

ติดตาม ASEAN Weekly ย้อนหลังที่ 
https://www.facebook.com/AseanWeekly/ หรือ https://www.youtube.com/prachatai

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลฏีกาไม่เชื่อว่าตาย ออกหมายจับ ‘เด่น คำแหล้’ เลื่อนพิพากษาเป็นเดือนหน้า

Posted: 09 May 2017 08:12 AM PDT

ศาลฎีกาไม่เชื่อว่าตาย ออกหมายจับ เด่น คำแหล้ นักต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดินจากทุ่งลุยลายที่หายตัวไปเมื่อปีที่แล้ว เลื่อนอ่านคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 15 มิ.ย. 2560

9 พ.ค. 2560 ตามที่ศาลจังหวัดภูเขียวได้มีหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาและฟังคำสั่งของศาลฎีกาถึง เด่น คำแหล้ จำเลยที่ 1 กับสุภาพ คำแหล้ จำเลยที่ 4 ผู้เป็นภรรยา ในคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม แต่เด่นได้หายตัวไปตั้งแต่ 16 เม.ย. 2559 สุภาพจึงต้องไปฟังคำพิพากษาเพียงลำพัง ที่ผ่านมาศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุก 6 เดือน

ถนอมศักดิ์ ระวาดชัย ทนายความศูนย์ศึกษาและพัฒนานักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า ศาลฎีกาได้มีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 (เด่น คำแหล้) เป็นบุคคลที่เสียไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีบุคคลรู้แน่ว่าจำเลยที่ 1 ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เท่านั้น ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย การที่เด่นไม่มาฟังคำพิพากษานั้น ศาลถือว่าเด่นหลบหนี จึงไม่ระงับคดีอาญา และให้ศาลจังหวัดภูเขียวดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งดังกล่าว ศาลจังหวัดภูเขียวจึงได้มีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยที่ 1 และปรับนายประกัน ได้มีคำสั่งให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ออกไปเป็นวันที่ 15 มิ.ย.2560

ศรายุทธ ฤทธิพิณ จากสำนักข่าวปฎิรูปที่ดินภาคอีสาน รายงานว่า คดีความนี้มีที่มาสืบเนื่องจากวันที่ 1 ก.ค. 2554 เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ และฝ่ายปกครอง สนธิกำลังกันบุกเข้าควบคุมตัวชาวบ้านรวม 10 คน และแจ้งข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม มีการแยกสำนวนฟ้อง ออกเป็น 4 คดี 10 ราย ดังนี้ คดีที่ 1 นายคำบาง กองทุย และนางสำเนียง กองทุย คดีที่ 2 นายทอง กุลหงส์ และนายสมปอง กุลหงส์ คดีที่ 3 นายสนาม จุลละนันท์ และคดีที่ 4 นายเด่น คำแหล้ นางสุภาพ คำแหล้ นายบุญมี วิยาโรจน์ นางหนูพิศ วิยาโรจน์ และนางเตี้ย ย่ำสันเทียะ


ในส่วนคดีที่ 4 คือนายเด่น คำแหล้ และพวกรวม 5 คน ศาลจังหวัดภูเขียวนัดอ่านฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2556 โดยยืนตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 คือนายเด่น และนางสุภาพ จำคุกเป็นเวลา 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และไม่ให้ประกันตัว เพราะเกรงว่าจะหลบหนี ส่วนอีก

3 ราย ศาลยกฟ้อง โดยจำเลยที่ 1 และที่ 4 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุก 6 เดือน และศาลไม่อนุญาตฎีกา จำเลยทั้งสองต้องถูกคุมขัง

ต่อมาในวันที่ 9 พ.ค. 2556 ทางสมาชิก คปอ. และพีมูฟ ได้ชุมนุมที่กรุงเทพมหานคร เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาจากหน่วยงานภาครัฐ และได้ร่วมกันเดินรณรงค์ไปยังศาลฎีกา พร้อมกับยื่นหนังสือขอให้ศาลฎีกาปล่อยตัวจำเลยชั่วคราว ประกอบกับช่วงดังกล่าวทนายความได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล ซึ่งศาลอนุญาตในเวลาต่อมา และสามารถประกันตัวผู้ต้องหาได้ในที่สุด ผลการยื่นประกันขอให้ปล่อยตัวจำเลยที่ 1 และที่ 4 ชั่วคราวในระหว่างฎีกา ปรากฏว่าศาลอนุมัติให้ประกันตัวจำเลยทั้ง 2 โดยได้เพิ่มหลักทรัพย์จากรายละ 200,0000 บาท เป็นรายละ 300,000 บาท

เด่น คำแหล้ เป็นประธานโฉนดชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ และเป็นแกนนำนักต่อสู้สิทธิที่ดินทำกิน ได้หายตัวไปในวันที่ 16 เมษายน 2559 ภายหลังจากเข้าไปหาหน่อไม้ในบริเวณสวนป่าโคกยาว รอยต่อระหว่างเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนามและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว หายไปนับจากวันดังกล่าว



 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์เตรียมมาตรการหนุนนักเรียนจัดกิจกรรมนอกห้องเรียนในช่วงวันหยุด

Posted: 09 May 2017 06:42 AM PDT

ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกฯ เผยนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษา เตรียมให้คณะกรรมการประชารัฐส่งเสริมเด็กไทยศึกษาหาความรู้นอกห้องเรียนในช่วงวันหยุด ย้ำประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาล นอกจากการให้ข่าวด้วยวาจาแล้ว ต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็น press release ด้วย 

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล 

9 พ.ค. 2560 รายงานข่าวจากเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า วันนี้ (9 พ.ค.60) เมื่อเวลา 14.35 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)  ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ  พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้ปรารภต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ เมื่อวานนี้ (8 พ.ค.60) โดยให้ความสนใจเกี่ยวกับการส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียน โดยเฉพาะต้องการให้เด็กนักเรียนใช้เวลาว่างในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ศึกษาหาความรู้นอกโรงเรียน ซึ่งคณะกรรมการประชารัฐที่รับผิดชอบเรื่องการศึกษา มีความเห็นที่สอดคล้องตรงกับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี โดยจะส่งเสริมให้นักเรียนทำจัดกิจกรรมนอกห้องเรียน เช่น การศึกษาเรียนรู้การทำนา หรือการทำการเกษตรอื่น ๆ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ให้กับนักเรียนอีกทางหนึ่ง รวมทั้ง ที่ประชุมได้มีการหารือถึงแนวทางและวิธีการเรียนการสอนภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้เด็กนักเรียนไทยมีความเข้าใจได้ง่ายขึ้นและสามารถนำภาษาอังกฤษมาสื่อสารในชีวิตประจำวันได้อย่างแท้จริงและมีประสิทธิภาพ

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเน้นย้ำถึงนโยบายการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลว่า ให้แบ่งการประชาสัมพันธ์ออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้ ระดับที่ 1 คือ ระดับนโยบาย โดยผู้ให้ข้อมูลในเรื่องดังกล่าวคือนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี ระดับที่ 2  คือ โฆษกกลุ่มงานจะเป็นผู้ให้ข้อมูล ซึ่งมีกลุ่มงานทั้งหมด 6 กลุ่ม ได้แก่ เรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย ด้านการต่างประเทศ และการประชาสัมพันธ์ทั่วไป และระดับที่ 3 คือ รัฐมนตรีและโฆษกกระทรวง จะเป็นผู้ให้ข้อมูลในรายละเอียดของงานที่แต่ละกระทรวงดำเนินการ

อย่างไรก็ตามนอกจากการให้ข้อมูลและข่าวด้วยวาจาแล้ว ต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็น press release ด้วย เพื่อเป็นหลักฐานในอนาคตถึงสิ่งต่าง ๆ ที่รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ดำเนินการไปแล้ว รวมทั้งรัฐบาลชุดต่อไปจะได้ใช้ข้อมูลดังกล่าวประกอบการศึกษาพิจารณาในการดำเนินการต่อไป 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เลือกตั้งเกาหลีใต้-เอ็กซิทโพลระบุผู้นำฝ่ายค้าน 'มุน แจอิน' จ่อขึ้นแท่นประธานาธิบดี

Posted: 09 May 2017 05:00 AM PDT

เกาหลีใต้จัดการเลือกตั้งประธาธิบดีหลัง 'พัก กึนเฮ' ถูกสภาลงมติถอดถอน โดยผลเอ็กซิทโพลระบุ 'มุน แจอิน' ผู้ชิงตำแหน่งจากพรรคฝ่ายค้านมีคะแนนนำที่ 41% ตามมาด้วยคู่ชิงจากพรรครัฐบาลเดิม 'ฮอง จุนพโย' 23.3% และ 'อัน ชอลซู' จากพรรคประชาชน 21.8%

9 พ.ค. 2560 หลังเปิดคูหามาตั้งแต่ 06.00 น. จนกระทั่งเมื่อเวลา 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น มีการปิดหีบเลือกตั้งเกาหลีใต้แล้ว โดยคณะกรรมการเลือกตั้งแห่งชาติ (NEC) ของเกาหลีใต้ ระบุว่ามีผู้ออกมาใช้สิทธิ 77.2% หรือ 32.8 ล้านคน จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 42.48 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.4% จากการเลือกตั้งเมื่อปี 2012 และเป็นสถิติที่สูงที่สุดนับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อ 1997 ที่มีผู้มาใช้สิทธิ 80.7%

ขณะที่ผลเอ็กซิทโพลระบุ 'มุน แจอิน' ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้จากพรรคฝ่ายค้านได้คะแนน 41.4% จ่อขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่แทนที่ 'พัก กึนเฮ' ที่ถูกสภาลงมติถอดถอน ขณะที่ฮอง จุนพโย คู่ชิงจากพรรครัฐบาลเดิมได้คะแนน 23.3% ตามมาด้วย อัน ชอลซู จากพรรคประชาชนที่ได้คะแนน 21.8%

มุน แจอิน หาเสียงเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2560 (ที่มาของภาพประกอบ: แฟ้มภาพ/YouTube/문재인 공식채널)

ทั้งนี้ที่เกาหลีใต้ ตั้งแต่เวลา 06.00 ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง มีการจัดเลือกตั้งประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี หรือ เกาหลีใต้ ทั้งหมด 13,964 หน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศ โดยในการเลือกตั้งครั้งนี้คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติ (NEC) เลื่อนเวลาปิดหีบจากเวลา 18.00 น. ในการเลือกตั้งครั้งก่อน มาเป็น 20.00 น.

สำหรับการเลือกตั้งจัดขึ้นหลังจากที่เมื่อ 10 มีนาคมที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ รับรองมติของรัฐสภาเกาหลีใต้ถอดถอน พัก กึนเฮ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมปีก่อน รัฐสภาลงมติ 234 เสียง ต่อ 56 เสียง ถอดถอนพัก กึนเฮ  ต่อข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับเหตุคอร์รัปชั่นโดยคนใกล้ชิด

การเลือกตั้งในวันนี้จะเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่าง มุน แจอิน ผู้นำพรรคประชาธิปไตยเกาหลี หรือพรรคมินจู (Democratic Party of Korea) ซึ่งมีบิดาอพยพมาจากจังหวัดฮัมมุงนัม ในเกาหลีเหนือ โดย มุน แจอิน เคยลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกัน พัก กึนเฮในปี 2012 แต่พ่ายแพ้ไป ขณะที่ในการเลือกตั้งรอบนี้ เขามีคะแนนนิยมนำมาโดยตลอด ในขณะที่พรรคมินจูเองก็กลายพรรคฝ่ายค้านที่มีจำนวน ส.ส. มากที่สุดในสภา หลังผ่านการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อปี 2016

ส่วนคู่แข่งสำคัญคือ ฮอง จุนพโย อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดกยองซังนัม ซึ่งอดีตพรรครัฐบาลที่ฟอร์มตัวใหม่ในนามพรรคเสรีภาพเกาหลี (Liberty Korea Party) ส่งเขาลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี นอกจากนี้ยังมี อัน ชอลซู จากพรรคประชาชน (People's Party) หรือกุกมินนุย ซึ่งเป็นพรรรคสายกลาง

โดยปัจจุบันในสภานิติบัญญัติแห่งเกาหลีทั้งหมด 300 ที่นั่ง พรรคประชาธิปไตยเกาหลีซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านมี ส.ส. 120 ที่นั่ง พรรคเสรีภาพเกาหลีหรือพรรครัฐบาลเดิมมี ส.ส. 107 ที่นั่ง พรรรคประชาชนมี ส.ส. 40 ที่นั่ง พรรคบารึนมี ส.ส. 20 ที่นั่ง พรรคยุติธรรมมี ส.ส. 6 ที่นั่ง พรรคแซนูรีมี ส.ส. 1 ที่นั่ง ส.ส. ไม่สังกัดพรรค 7 ที่นั่ง และมีตำแหน่งว่าง 1 ที่นั่ง

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 2 พ.ค. มี ส.ส.เกาหลีใต้ 13 คนแยกตัวออกจากพรรคบารึน (Bareun Party) ซึ่งแยกตัวออกจากพรรคแซนูรี พรรครัฐบาลเดิม โดย ส.ส. กลุ่มนี้กับไปรวมกับพรรครัฐบาลที่ฟอร์มตัวใหม่ในชื่อ พรรคเสรีภาพเกาหลี (Liberty Korea Party) เพื่อสนับสนุนผู้สมัครประธานาธิบดี ฮองจุนพโย

อนึ่งระหว่างวันที่ 25-30 เมษายน มีการเลือกตั้งของชาวเกาหลีใต้โพ้นทะเล 204 หน่วยเลือกตั้ง ใน 116 ประเทศทั่วโลก โดยมีผู้มาออกเสียง 221,981 คน หรือร้อยละ 75.3 ของผู้ที่ลงทะเบียนเลือกตั้งต่างประเทศ นับเป็นสถิติสูงสุดในการจัดเลือกตั้งต่างประเทศของเกาหลีใต้

 

แปลและเรียบเรียงจาก

S. Koreans cast ballots in presidential election, Yonhap, 2017/05/09 09:27

Chronology of major events leading to 2017 presidential election, Yonhap, 2017/05/09 09:00

Exit poll strongly indicates Moon Jae-in's victory in presidential election, Yonhap, 2017/05/09 20:05

Over 77 pct of voters cast ballots in presidential election, Yonhap, 2017/05/09 21:48

National Assembly (South Korea), Wikipedia
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เกิดเหตุคาร์บอม บิ๊กซี ปัตตานี เจ็บกว่าครึ่งร้อย

Posted: 09 May 2017 03:17 AM PDT

จ.ปัตตานี เกิดเหตุคาร์บอมหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี พร้อมด้วยเหตุระเบิดศูนย์การค้าไดอาน่า ล่าสุดมีรายงานผู้บาดเจ็บกว่า 50 ราย 'บิ๊กซี' แสดงความเสียใจ เผยพร้อมช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ 'ยูนิเซฟ' แถลงประณาม

ที่มาภาพ เฟซบุ๊ก บุษยมาส อิศดุลย์

9 พ.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (9 พ.ค.60) เมื่อเวลาประมาณ 14.30 น. เกิดเหตุระเบิดคาร์บอมหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี หรือ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) สาขาจังหวัดปัตตานี ตั้งอยู่ริมถนนสาย ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี และศูนย์การค้าไดอาน่า หรือ บริษัท ศูนย์การค้าไดอาน่าคอมเพล็กซ์ จำกัด สาขาจังหวัดปัตตานี ตั้งอยู่บนถนนนาเกลือ ซ.6 ต.อาเนาะรู อ.เมือง จ.ปัตตานี โดยที่ห้างบิ๊กซีเกิดระเบิด 2 ลูกติดต่อกัน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลักจากเกิดเหตุระเบิดลูกแรกภายในห้างบิ๊กซี เจ้าหน้าที่ต้อนให้ทุกคนออกมารวมตัวกันข้างนอกห้างพร้อมปิดกั้นบริเวณที่เกิดเหตุ เวลาผ่านไปประมาณ 20 นาทีเกิดเหตุระเบิดคาร์บอมดังสนั่น ตรวจสอบเป็นรถอีอีซุ ดีแมค ทะเบียน บจ.3303 ยะลา

เบื้องต้นมีผู้บาดเจ็บ 40  กว่าราย มีรถจักรยานยนต์และรถยนต์เสียหายกว่า 100 คัน ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้ประสานรถดับเพลิงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อีโอดีมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ รายละเอียดเพิ่มเติมทีมข่าวจะรายงานให้ทราบต่อไป

รายชื่อผู้บาดเจ็บ 1. สมศักดิ์ ศรีอักษร 2.อนุสรณ์ เลิศประสิทธิ์ 3.สุทธิชัย ศิริวรวงค์เจริญ 4.เลิศ แก้วสกุล 5.ชัยวัฒน์ 6.สุทธิชัย 7.ซัยนัลฮาบีดิน สุรอระยอ 8.ตูแวมะ เซะอูเซ็ง 9.อีรฟัน ยูโซ๊ะ 10.ซุลกิฟลี เซ็ง 11.สาปีกา สุรอระยอ 12.นูรซาฟีกา สุรอระยอ 13.ตูแวยารอ บินคงเลาะ 14.นูรีดา สามะ 15.นูเฟีย จาโรจน์หยา 16.ริฟาร์ อาแว 17.ฟาดีละห์ โต๊ะยูโซ 18.สุไรดา สาเมาะ 19.ซูนีตา อีแต 20.ซารีฮะ แยนา 21.แวเม๊าะ เจ๊ะแม 22.ปัทมา ฮาแว 23.รอฮานี เจะแว 24.ยาวาเหร์ เย็ง 25.เกศรินทร์ สือนิ 26.วรกมล ชูวงค์ 27. สุพิณ คณานุรักษ์ 28. ประภัสสร วงค์รก 29. ศิริพร แก้วสกุล 30. อริญรดา แก้วศรีบุญ 31. วรีพรรณ มากศรี 32. แววมณี ไข่มุก 33. สุนทรี 34. สายทิพย์ 35.ไม่ทราบชื่อ นามสกุล โต๊ะเซ็ง 36.ไม่ทราบชื่อสกุล 7.ไม่ทราบชื่อสกุล 38.ไม่ทราบชื่อสกุล 39.ไม่ทราบชื่อสกุล และ 40.ไม่ทราบชื่อสกุล

มีรายงานข่าวเพิ่มเติมถึงรายชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 20 คน ประกอบด้วย ชาญณรงค์ กุมภิค อดิภรณ์ แม่นสกุล ฉัตรทวี ดาราเซ๊ะ ยัจมีย์ มูซอ ฟาฮัด หะยียูโซ๊ะ บาฮารี ซีนา นารีมาน มาหะมะ ฮาเซ็ง โต๊ะซง โซฟีเยาะ ฮาแว ปัทมา หมุดแหล๊ะ ซาฟีวาตี มะดือเร๊ะ อามีเนาะ มะแอ มารีนา ฮะห์ ปรีดา สุสูเราะ วิลาวรรณ คำภิระ ปัญจรัส แม่นสกุล บุญเรือง เพ่งพัฒตรา กนกอร สุวรรณชาตรี สุมิตรดา แก้วสกุล ปวีณา นวลจันทร์ ศีริจรรญา แป้นคง นูรีซา ต่วนสุหลง ฟ้ารุ่ง โต๊ะเซ็ง และอดิภรณ์ แม่นสกุล

ภาพขณะเกิดระเบิดลูกที่ 2 

วิดีโอแสดงให้เห็นระเบิดลูกที่ 2 นาทีที่ 6.50

บิ๊กซี แสดงความเสียใจ เผยพร้อมช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ

เมื่อเวลา 16.53 น. เฟซบุ๊ก BigCBigService โพสต์ภาพพร้อมข้อความว่า บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว และพร้อมให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ต่อผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ครั้งนี้

ยูนิเซฟแถลงประณาม

ขณะที่ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือยูนิเซฟ ออกแถลงการณ์ของโธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ต่อเหตุระเบิดที่จังหวัดปัตตานี โดยระบุว่า "จากรายงานข่าวเกี่ยวกับเหตุระเบิด ณ ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานีเมื่อบ่ายวันนี้ ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายสิบคน โดยในจำนวนนั้นมีเด็กรวมอยู่ด้วย ยูนิเซฟขอประณามเหตุระเบิดครั้งนี้ ซึ่งเป็นการก่อเหตุในสถานที่ที่ทราบกันดีว่ามีเด็กและประชาชนอยู่พลุกพล่าน ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง เพราะไม่ควรมีเด็กคนใดต้องตกอยู่ในความเสี่ยงอันตรายเช่นนี้"

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี  สาขานี้ เมื่อปี 2555 เคยเกิดเหตุระเบิดในลักษณะนี้มาแล้ว โดยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2555 เวลาประมาณ 24.00 น. แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการระเบิดเพลิงไหม้ที่ห้างสรรพสินค้าในจังหวัดปัตตานีจำนวน  3 ห้างด้วยกัน คือ ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ห้างซุปเปอร์ดีพาร์ทเมนต์สโตร์ หรือซุปเปอร์ศรีเมือง และเคพี มินิมาร์ท (อ่านต่อ)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พล.อ.ธวัชชัย ขอบคุณสื่อวลี ‘จับนักข่าวยิงเป้า’ ทำคนรู้จักทั้งปท. ยันสร้างสนามกอล์ฟให้ลูกน้องได้ ‘แดก’

Posted: 09 May 2017 02:26 AM PDT

พล.อ.ธวัชชัย ยันไม่ได้อภิปรายว่าจะจับสื่อไปยิงเป้า แต่หมายถึงบุคคลอื่น  และได้ขอถอนคำพูดไปแล้ว ขอบคุณสื่อทำคนรู้จักทั้งประเทศ แจงตั้งบริษัท-สร้างสนามกอล์ฟ ให้ลูกเมียกำลังพลชั้นผู้น้อยได้แดก

9 พ.ค. 2560 จากกรณีที่ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เจ้าของคำพูด "สื่อที่เผยแพร่ก็น่าเอายิงเป้าให้หมด" ระหว่างการอภิปราย ร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .... ในระว่างการประชุม สปท. เมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) หลังจากนั้น พล.อ.ธวัชชัย ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อและสังคม

ล่าสุดวานนี้ (8 พ.ค.60) พล.อ.ธวัชชัย แถลงข่าวชี้แจงว่า ตนไม่ได้อภิปรายว่าจะจับสื่อไปยิงเป้า แต่หมายถึงบุคคลอื่น ซึ่งตนได้ขอถอนคำพูดไปแล้ว ย้ำว่าไม่ได้ก้าวก่ายการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน เพราะตนก็ทำหน้าที่ตรงไปตรงมาและอยู่ในกฎกติกาในอาชีพของตนเอง มาโดยตลอด ทั้งนี้ การนำเสนอข่าวต้องตรวจสอบว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ซึ่งการมีข่าวเช่นนี้ ตนไม่ได้เกิดความเสียหายอยู่แล้ว เพราะไม่ได้ต้องการเข้าสู่วงการการเมือง และได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคชาติพัฒนามาแล้ว ส่วนจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งหนึ่งในสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 250 คน หรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคต

พล.อ.ธวัชชัย กล่าวด้วยว่า ขอขอบคุณสื่อที่ทำให้คนรู้จักตนทั่วประเทศจากข่าวนี้ จริง ๆ แล้วตนไม่อยากจะดังอะไรเพราะทำงานไปตามหน้าที่ รายละเอียดต่างๆก็เป็นเรื่องที่สมาชิกสามารถนำมาเสริมคณะกรรมาธิการฯ ได้ในการอภิปรายเสนอความจริง แต่มีบางคนออกมาไล่ให้ตนไปรบที่ภาคใต้หรือที่อื่น ๆ ตนขอยืนยันว่า ตนออกรบมาทั้งชีวิตและไม่เคยอยู่หลังลูกน้อง ไปถามลูกน้องได้

"มีสื่อบางสื่อนำประวัติของผมมาเปิดเผย เรื่องบริษัทต่าง ๆ ซึ่งเป็นสวัสดิการผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสิ้น ผมยืนยันได้สร้างสนามกอล์ฟและอะไรต่าง ๆ ให้ลูกเมียกำลังพลชั้นผู้น้อยได้แดก ได้เงินวันละ 300-400 บาท เพื่อการศึกษาของลูกเขา ไม่ว่าจะเป็นที่ จ.บุรีรัมย์ ผมสร้าง 100 เปอร์เซ็นต์เลย ตั้งแต่ไม่มีอะไร จนปัจจุบันเป็นที่ออกกำลังกายของคนในจังหวัด รวมทั้งที่ จ.สุรินทร์ โคราช ร้อยเอ็ด แต่ผมไม่ได้เป็นคนตีกอล์ฟ แต่ก็ทำให้ลูกน้อง สร้างตลาดให้ลูกน้องใครขยันก็ทำมาหากิน จะได้มีเงินมีทอง" พล.อ.ธวัชชัย กล่าว

 

ที่มา : เว็บไซต์วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา และ ข่าวสดออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผบ.ทบ. เผยกลาโหมรอชง 'รถเกราะจีน' 34 คัน เข้า ครม. 'ประวิตร' ไม่ทราบเรื่องซื้อรถถัง

Posted: 09 May 2017 02:00 AM PDT

ผบ.ทบ.เผยจัดซื้อรถถัง VT4 อยู่ระยะที่ 2 ได้รับอนุมัติ 10 คัน ก่อนหน้านั้นอีก 28 คัน ในส่วนรถถังออฟลอตมีอยู่ 20 คัน และจะมา 5 คัน ในปีนี้ ตามข้อตกลง จนครบ 48 คัน ขณะที่รถเกราะล้อยาง VN-1 จากจีน 34 คัน วงเงิน 2 พันล้าน อยู่ที่กระทรวงกลาโหมรอเข้าสู่การพิจารณาของครม. ประวิตร ไม่ทราบเรื่องซื้อรถถัง โยนถาม ผบ.ทบ. 

ภาพการฝึกการดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง (ที่มาภาพ เฟซบุ๊กแฟนเพจ Army PR Center)

เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ช่วงเข้า พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) เยี่ยมชมการฝึกการดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริงของกรมทหารม้าเฉพาะกิจที่ 4 กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ พร้อมด้วยหน่วยสนับสนุนการรบและหน่วยสนับสนุนทางการช่วยรบ โดยให้มีการบูรณาการการฝึกของหน่วยต่างๆ ตามวงรอบการฝึกประจำปี 2560 ณ บ้านดีลัง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติการรบร่วมของหน่วยระดับกองพันและทหารหน่วยต่างๆ ในสถานการณ์เสมือนการปฏิบัติจริงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หน่วยเกิดความพร้อมรบ กำลังพลมีความมั่นใจในยุทโธปกรณ์มากขึ้น ซึ่งหากเมื่อมีภัยคุกคามเกิดขึ้นก็จะสามารถเข้าปฏิบัติการได้อย่างทันท่วงที

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) เยี่ยมชมการฝึกการดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริงของกรมทหารม้าเฉพาะกิจที่ 4 กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (ที่มาภาพ เฟซบุ๊กแฟนเพจ Army PR Center)

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานด้วยว่า พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวถึงยุทโธปกรณ์ที่ใช้ ว่า ถือเป็นการปฏิบัติของกรมทหารม้าที่ 4 ยุทโธปกรณ์หลัก ก็คือรถถัง M60 เป็นของ A3 เข้าประจำการปี 2539 โดยศักยภาพแล้วมีอายุการใช้งานที่ 20 กว่าปี ก็ยังสามารถใช้งานได้ ทั้งนี้ได้สอบถามในเรื่องของการซ่อมบำรุงเครื่อง ปัจจุบันก็ยังมีการซ่อมบำรุงน้อย เพียงแต่อัพเกรดขึ้นไป ถือเป็นกำลังหลัก แต่ที่เป็นปัญหาจริงๆ คือรถถังชนิด M 41 ที่รับมาตั้งแต่ปี 2505 จำนวน 272 คัน ซึ่งปัจจุบันส่วนหนึ่งได้มีการจำหน่ายไปแล้ว อีกส่วนหนึ่งยังคงใช้งานอยู่ในกองพันรถถังทั้ง 4 กองทัพภาค ถือเป็นโครงการที่เราได้จัดหารถถังที่ทดแทนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการที่ผ่านมาก็คือ รถถังออปล็อตของประเทศยูเครนได้รับแล้ว 20 คันอีก 5 กำลังจะมา และที่มีการลงนามสัญญาในปีที่แล้วคือรถถัง VT4 จากจีน จำนวน 28 คัน ตามสัญญาจะมาในปีหน้าแต่จะเร่งรัดให้มาทันในปีนี้และจะนำไปบรรจุที่ กองร้อยกองบังคับการ กองพันทหารม้าที่ 6 (ม. พัน 6) และ กองร้อยกองบังคับการ กองพันทหารม้าที่ 21 (ม. พัน 21 )จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดร้อยเอ็ด 

เมื่อถามว่า ในการจัดซื้อรถถัง VT4 จะชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า สำหรับยุทโธปกรณ์ที่ใช้อยู่ค่อนข้างจะเก่ากว่า 50 ปี มีการจัดหามาใน 2 ระบบคือ จัดหามาจากประเทศยูเครน ซึ่งยังมีปัญหาในเรื่องของสงครามภายในประเทศการส่งยังไม่ครบขั้นตอน ส่วนระยะที่ 2 ได้ไปดูที่ประเทศจีนและมีคณะกรรมการเปรียบเทียบกัน 4 ประเทศคือจีน รัสเซีย ยูเครน สิงคโปร์ และท้ายที่สุดคณะกรรมการก็เลือกของประเทศจีน เพราะจากที่ได้ไปดูรายการส่งกำลังบำรุงค่อนข้างจะชัดเจน และข้อตกลงสุดท้ายคือการมาสร้างศูนย์ซ่อมสร้าง เพื่อมาดูแลเรื่องอะไหล่ในพื้นที่ของเราเอง ทำให้มีความมั่นใจจึงมีมากขึ้น ขณะที่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในส่วนของการจัดศูนย์ซ่อมสร้างนั้นอยู่ในขั้นตอนของกระทรวงกลาโหมที่ดูในภาพรวมที่อยู่ในความดูแลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถือเป็นขั้นตอนใหญ่ 

เมื่อถามว่า การจัดซื้อ รถถัง VT4 ต้องจัดซื้อกี่ระยะถึงจะพบอัตราทดแทน พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า การจัดซื้ออยู่ในระยะที่ 2 ได้รับอนุมัติจำนวน 10 คัน และในก่อนหน้านั้นอีกจำนวน 28 คัน ในส่วนของรถถังออฟลอตมีอยู่ 20 คัน และจะมา 5 คัน ในปีนี้ ในปีต่อๆ ไปตามข้อตกลงทั้งหมด จนครบจำนวน 48 คัน

ไทยโพสต์รายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ผบ.ทบ.ระบุว่า การจัดหายานเกราะล้อยางระยะต่อไปในปีงบประมาณ 2560 ทบ. ได้คัดเลือกรถเกราะล้อยาง VN-1 จากจีน 34 คัน วงเงินประมาณ 2 พันล้านบาท ขณะนี้ขั้นตอนอยู่ที่กระทรวงกลาโหมรอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.)

ไทยโพสต์ รายงานด้วยว่า ในปีนี้ถือเป็นการปรับแนวทางการใช้ยุทธยานยนตร์ของกองทัพบกครั้งใหญ่ เมื่อคณะกรรมการคัดเลือกแบบของ ทบ.เห็นชอบให้จัดหารถถังหลัก VT-4 ของจีนในระยะที่ 1 (ปีงบประมาณ 2559) จำนวน 28 คัน ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2560) 11 คัน ซึ่งผ่านความเห็นชอบจาก ครม.ไปแล้ว และมีโครงการจะซื้อให้ครบ 49 คันในปีงบประมาณ 2561 เพื่อใช้ทดแทน M-41 ที่กำลังปลดประจำการ ขณะที่คณะกรรมการ ทบ.ยังเห็นชอบเลือกรถเกราะล้อยาง VN-1 ของจีน โดยส่งเรื่องไปที่ กห.แล้วรอความเห็นชอบจาก ครม.

ประวิตร ไม่ทราบเรื่องซื้อรถถัง โยนถาม ผบ.ทบ. 

ขณะที่วันนี้ (9 พ.ค.60) สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.อ.ประวิตร กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงเรื่องการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพบก ว่า ยังไม่มีการเสนอเรื่องมาที่ตน ถ้าผ่านตนแล้วจึงจะสามารถนำเข้าที่ประชุม ครม. ได้ ส่วนเรื่องการจัดซื้อรถถังนั้น ตนไม่ทราบขอให้ไปถามผู้บัญชาการทหารบก ส่วนเรื่องเรือดำน้ำ ได้ผ่านครม.ไปเรียบร้อยแล้ว ทางกองทัพเรือ ยืนยันมาว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญแน่นอน กองทัพเรือเป็นหน่วยงานดำเนินการทุกขั้นตอนแล้ว 

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการพัฒนาของกองทัพมีการจัดซื้อยุทโธปกรณ์แบบอื่นที่มีราคาสูงกว่าเรือดำน้ำอีก แต่ไม่เป็นประเด็นมากนัก เพราะเข้าใจว่าเรือดำน้ำเป็นของใหม่และที่ผ่านมาโดนคัดค้านตลอด แต่ตอนนี้สำเร็จจึงถูกจับตาซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้  เงินที่ใช้เป็นงบประมาณของกองทัพในการดำเนินการจัดซื้อ ซึ่งทราบว่าทางกองทัพเรืออยากซื้อถึง 3 ลำ แต่งบประมาณไม่พอจึงต้องทยอยจัดซื้อ ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในการพัฒนาศักยภาพของกองทัพให้เกิดความมั่นคง 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทูตไทยที่โซลส่งจดหมายชี้แจงกรณี 'ไผ่ ดาวดิน' รับรางวัลสิทธิมนุษยชนกวางจู

Posted: 09 May 2017 01:15 AM PDT

เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซลส่งจดหมายถึงมูลนิธิ 18 พฤษภารำลึกของเกาหลีใต้ ที่จะมอบรางวัลให้ 'ไผ่ ดาวดิน' โดยชี้แจงว่าไผ่ ดาวดิน ทำผิดกฎหมายไทยคือ ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และผิดเงื่อนไขการประกันตัว ย้ำประเทศไทยให้คุณค่าต่อเสรีภาพแต่ต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตกฎหมาย เพื่อความสงบเรียบร้อยและความกลมเกลียวของสังคม

ศรัณย์ เจริญสุวรรณ เอกอัครราชทูตประจำกรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี (ซ้าย) หนังสือของทูตไทยประจำกรุงโซล ชี้แจงมูลนิธิ 18 พฤษภารำลึกของเกาหลีใต้ (ขวา)

9 พ.ค. 2560 มีรายงานว่า ศรัณย์ เจริญสุวรรณ อดีตอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตของสถานเอกอัครราชทูตไทย ที่กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ตั้งแต่ต้นปี 2559 ได้ส่งจดหมายลงวันที่ 2 พฤษภาคม แสดงความกังวลที่มูลนิธิ 18 พฤษภารำลึกของเกาหลีใต้จะมอบรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชนให้กับ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน ซึ่งปัจจุบันถูกคุมขังระหว่างรอดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยรายละเอียดของจดหมายมีดังนี้

เรียน คุณชามุงซ็อก

ผมได้ทราบว่ามูลนิธิ 18 พฤษภารำลึกตัดสินใจที่จะมอบรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชนประจำปี 2017 ให้กับนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา

ผมขอถือโอกาสนี้ชี้ให้เห็นว่า นายจตุภัทร์ได้กระทำผิดกฎหมายของราชอาณาจักรไทย ปัจจุบันเขาถูกควบคุมตัวในข้อหากระทำผิดมาตรา 112 (หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) ในประมวลกฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นายจตุภัทร์ได้รับการประกันตัวตั้งแต่ต้นในช่วงที่เขาถูกจับ อย่างไรก็ตามมีการยกเลิกการประกันตัวเนื่องจากเขากระทำผิดซ้ำ ซึ่งผิดเงื่อนไขการประกันตัว คดีของเขาได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรมภายใต้ศาลยุติธรรม

ผมขอเน้นว่าประเทศไทยสนับสนุนและให้คุณค่าอย่างยิ่งต่อเรื่องเสรีภาพการแสดงออก การสมาคมและการรวมตัว และเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย อย่างไรก็ตามสิทธิเหล่านี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ และจำต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความกลมเกลียวของสังคม

ด้วยความจริงใจ

ศรัณย์ เจริญสุวรรณ
เอกอัครราชทูต

อนึ่ง มีรายงานว่า จตุภัทร์ ได้รับเชิญให้ไปรับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชน (Gwang Ju Prize for Human Rights) ประจำปี 2017 จากมูลนิธิ 18 พฤษภารำลึก (May 18 Memorial Foundation) สาธารณรัฐเกาหลี โดยเมื่อวันที่ 29 เมษายน ผอ.มูลนิธิ 18 พฤษภารำลึก ส่งจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซล ขอให้รัฐบาลไทยอนุญาตให้จตุภัทร์ได้รับการประกันตัวและให้เดินทางไปยังเกาหลีใต้เพื่อรับรางวัล

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม มีการยื่นขอประกันตัวจตุภัทร์เป็นครั้งที่ 9 เพื่อให้สามารถเดินทางไปรับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชน แต่ศาลขอนแก่นไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยระบุว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่ง (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

6 นักศึกษายื่นคำคัดค้านคดีละเมิดอำนาจศาล หลังจัดกิจกรรมให้กำลังใจ 'ไผ่ ดาวดิน'

Posted: 09 May 2017 12:57 AM PDT

นักศึกษา 6 คน ผู้ถูกกล่าวหาในคดีละเมิดอำนาจศาล เข้ายื่นคำคัดค้านคำกล่าวหาต่อศาลจังหวัดขอนแก่น ตามที่ศาลกำหนดนัดให้ยื่นภายใน 15 วัน ยืนยันแสดงความเห็นโดยสุจริต ภายใต้หลักการสิทธิและเสรีภาพ ชี้ไม่ได้รบกวนการพิจารณาคดีของศาลในคดี 'ไผ่'

เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า นักศึกษา 6 คน ผู้ถูกกล่าวหาในคดีละเมิดอำนาจศาล จากกรณีจัดกิจกรรมหน้าศาลจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อให้กำลังใจ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ 'ไผ่ ดาวดิน' เข้ายื่นคำคัดค้านคำกล่าวหาเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อศาลจังหวัดขอนแก่น ตามที่ศาลกำหนดนัดให้ยื่นภายใน 15 วัน ยืนยันแสดงความเห็นโดยสุจริต ภายใต้หลักการสิทธิและเสรีภาพ พร้อมระบุด้วยว่าไม่ได้รบกวนการพิจารณาคดีของศาลในคดี 'ไผ่ ดาวดิน' 

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานรายละเอียดเพิ่มเติม จากกรณีที่เครือข่ายนักศึกษา 4 ภาค จัดกิจกรรมหน้าศาลจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 60 เพื่อให้กำลังใจ จตุภัทร์ และสะท้อนปัญหาในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งในวันดังกล่าว จตุภัทร์ถูกนำตัวมาศาลเพื่อสอบคำให้การ หลังอัยการจังหวัดขอนแก่นยื่นฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จากการแชร์บทความ "พระราชประวัติกษัตริย์พระองค์ใหม่ของไทย" ของเว็บข่าวบีบีซีไทย จากนั้น นักศึกษาที่ร่วมกิจกรรม 7 คน ถูกศาลจังหวัดขอนแก่นออกหมายเรียกให้มาแก้ข้อกล่าวหา เนื่องจากผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลจังหวัดขอนแก่นกล่าวหาว่า กระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

ต่อมา วันที่ 24 เม.ย. 60 นักศึกษา 6 คน ที่ถูกออกหมายเรียก ได้แก่ อภิวัฒน์ สุนทรารักษ์ นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, พายุ บุญโสภณ, อาคม ศรีบุตตะ, จุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ, ภานุพงศ์ ศรีธนานุวัฒน์ นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (กลุ่มดาวดิน) และณรงค์ฤทธิ์ อุปจันทร์ นักศึกษาคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ (กลุ่มพลเมืองคนรุ่นใหม่) เดินทางมาศาล ขณะที่สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ 'นิว' อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักกิจกรรมกลุ่มพลเมืองโต้กลับ ไม่ได้รับหมายเรียก จึงไม่ได้มาศาล  ศาลจังหวัดขอนแก่นได้แจ้งข้อกล่าวหานักศึกษาทั้ง 6 ว่า มีการกระทำที่เป็นการละเมิดอำนาจศาล

หลังผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 6 คน ให้การปฏิเสธ ศาลได้เลื่อนนัดไต่สวนไปเป็นวันที่ 31 พ.ค. 60 พร้อมทั้งให้ทำคำคัดค้านเป็นลายลักษณ์อักษรมายื่นต่อศาล ภายใน 15 วัน จากนั้นได้อนุญาตปล่อยชั่วคราวทั้ง 6 โดยให้บุคคลอื่นทำสัญญาประกันในวงเงินคนละ 50,000 บาท

ทั้งนี้ คำคัดค้านข้อกล่าวหาที่ผู้อำนวยการฯ ศาลจังหวัดขอนแก่นกล่าวหาว่า ละเมิดอำนาจศาล จากการ "ทำการปราศรัย ร้องเพลง แสดงท่าทาง และนำอุปกรณ์มาเป็นสัญลักษณ์แสดงความไม่พอใจการพิจารณาของศาล บริเวณหน้าศาล" ได้ขอให้ศาลพิจารณาพิพากษายกคำกล่าวหา เนื่องจากการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้เป็นการรบกวนและขัดขวางกระบวนการพิจารณาคดีของศาลในคดีที่จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา เป็นจำเลย  โดยในวันเกิดเหตุ ศาลสามารถพิจารณาคดีได้โดยอิสระตั้งแต่เริ่มการพิจารณาจนเสร็จสิ้น

คำคัดค้านฯ ยืนยันว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาในวันดังกล่าวเป็นเพียงการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและแสดงออกโดยสุจริต เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของนักศึกษาและเยาวชนต่อกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น  ซึ่งประชาชนทั่วไปในสังคมก็ได้มีแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกให้เห็นทั่วไปเป็นปกติ โดยไม่ได้ส่งผลขัดขวางการอำนวยการความยุติธรรมของศาลแต่อย่างใด  เนื่องจากศาลต้องยึดหลักการพิจารณาคดีและการใช้ดุลพินิจโดยถูกต้องและเป็นธรรมตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญโดยเคร่งครัดอยู่แล้ว

ผู้ถูกกล่าวหายังได้ชี้ว่า ตนไม่ได้กระทำความผิดอาญา เนื่องจากไม่ได้ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย  หรือก่ออันตรายใด ๆ อีกทั้งกิจกรรมของนักศึกษาไม่ได้กระทำในห้องพิจารณาคดีหรือในบริเวณศาล  ดังนั้น จึงไม่เป็นการรบกวนหรือขัดขวางการพิจารณาคดีของศาล และไม่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยอันถึงกับเป็นการละเมิดอำนาจศาล  เนื่องจากการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลจะต้องเป็นการกระทำที่รุนแรงพอจะขัดขวางการอำนวยความยุติธรรมของศาล

นอกจากนั้น ผู้ถูกกล่าวหาได้ระบุเหตุผลว่า ในวันดังกล่าว  ศาลจังหวัดขอนแก่นไม่ได้มีข้อกำหนดห้ามไม่ให้กระทำสิ่งใดก่อนหรือในระหว่างการพิจารณาคดี  และไม่ได้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของศาลห้ามไม่ให้ทำกิจกรรมดังกล่าว พวกเขาจึงเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า สามารถแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่นทั่วไปในสังคม  ทั้งนี้ เมื่อศาลมีการออกข้อกำหนดอย่างชัดเจนในวันอื่นต่อมา  ผู้ถูกกล่าวหาก็ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลเรื่อยมา

คำคัดค้านฯ ของนักศึกษา ได้ชี้แจงว่า  การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมปรากฏอยู่อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางวิชาการตามสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและหลักการสิทธิมนุษยชนสากลรับรองไว้ ข้อกล่าวหาของผู้กล่าวหาจึงไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และไม่เป็นประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรมในภาพรวม  เนื่องจากความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลมุ่งคุ้มครองกระบวนพิจารณาในศาลให้เป็นไปโดยอิสระและเรียบร้อย การใช้กฎหมายในฐานความผิดนี้จึงไม่ควรตีความอย่างกว้างขวาง ไปในทางเอาผิดผู้ที่แสดงความคิดเห็นต่อคำสั่งของศาล หรือกระบวนการยุติธรรมเป็นการทั่วไป  ในทางกลับกัน การที่มีผู้แสดงความคิดเห็นต่อกระบวนการยุติธรรม จะเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรมในระยะยาว ให้อำนวยความยุติธรรมในสังคมได้อย่างยั่งยืน

ผู้ถูกกล่าวหายังได้แสดงความเห็นว่า ความคิดเห็นของตนที่แสดงต่อกระบวนการยุติธรรมไม่อาจมีอิทธิพลเหนือความคิดของบุคคลอื่นได้  เนื่องจากประชาชนทุกคนมีเสรีภาพทางความคิดและเสรีภาพทางความเชื่อ สามารถใช้วิจารณญาณของตนได้อยู่แล้ว

นักศึกษาผู้ถูกกล่าวหาย้ำในคำคัดค้านฯ ว่า การกระทำของพวกตนอยู่ภายใต้หลักการสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในการแสดงออกและในการแสดงความคิดเห็นตามตราสารระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคีและมีผลผูกพันโดยตรง ทั้งในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights: UDHR) ซึ่งระบุในข้อ 19 ว่า "ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความเห็นและการแสดงออก" และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) ซึ่งระบุในข้อ 19 เช่นกันว่า "1.บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง 2.บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออก สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา รับและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและความคิดทุกประเภท โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ทั้งนี้ ไม่ว่าด้วยวาจา เป็นลายลักษณ์อักษร หรือการตีพิมพ์ ในรูปของศิลปะหรือโดยอาศัยสื่อประการอื่นตามที่ตนเลือก" อีกทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันก็ได้บัญญัติรับรองสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวไว้อย่างชัดแจ้งด้วย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลไม่ให้ประกันตัว ‘ไผ่ ดาวดิน’ ไปรับรางวัลที่กวางจู

Posted: 08 May 2017 11:08 PM PDT

ศาลขอนแก่นไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว 'ไผ่ ดาวดิน' จำเลยคดี ม.112 หลังยื่นหลักทรัพย์ประกัน 7 แสน เพื่อขอไปรับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชน ประจำปี 60 โดยมูลนิธิ 18 พฤษภารำลึก ที่ประเทศเกาหลีใต้ ศาลให้เหตุผลว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่ง

เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา เวลา 13.34 น. วิบูลย์ บุญภัทรรักษา หรือ ทนายอู๊ด พ่อของ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุ คำสั่งศาลงมาแล้ว ผลไม่อนุญาตให้บุตรชายของตนได้รับสิทธิประกันตัว

คำสั่งศาล โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กโดย วิบูลย์ 

สำหรับ จตุภัทร์ เป็นนักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ขณะนี้เขาไม่ได้รับสิทธิการปล่อยตัวชั่วคราวและถูกควบคุมตัวอยู่ที่ทัณฑสถานบำบัด จังหวัดขอนแก่น มาตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค.2559 เนื่องจากถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 จากการแชร์เฟซบุ๊กข่าวเกี่ยวกับพระราชประวัติ ร.10 ที่เผยแพร่ในบีบีซีไทย

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานด้วยว่า ในการยื่นประกันตัวครั้งนี้ วิบูลย์ ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวต่อศาลจังหวัดขอนแก่น โดยใช้เงินสด 700,000 บาท เพื่อขอให้ปล่อยตัวไผ่ไปรับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2560 โดยมูลนิธิ 18 พฤษภารำลึก (May 18 Memorial Foundation) ที่ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 16-18 พ.ค. 2560

คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระบุว่า จตุภัทร์ไม่เคยมีพฤติการณ์หลบหนี แต่ให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามหมายเรียกโดยมาศาลตามคำสั่งทุกครั้ง จึงขออนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวในครั้งนี้ เพื่อเดินทางไปรับรางวัลที่ประเทศเกาหลีใต้ด้วยตนเอง และให้จำเลยได้มีโอกาสเตรียมคดีและต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ซึ่งการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดีย่อมทำให้ไม่กระทบต่อเสรีภาพของจำเลยด้วย ทั้งนี้ จำเลยย่อมเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลตามกฎหมายทุกขั้นตอน ไม่หลบหนี หรือทำให้การดำเนินคดีของศาลได้รับผลเสียหาย

คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวยังระบุอีกว่า คดีนี้แม้จะเป็นคดีที่ข้อกล่าวหาร้ายแรง แต่พฤติการณ์การกระทำผิดของจตุภัทร์ ไม่ได้เข้าองค์ประกอบความผิดตามข้อกล่าวหา ศาลจังหวัดขอนแก่นเองก็เคยอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวมาแล้ว
จตุภัทร์ให้เหตุผลอีกว่า เขายังเป็นเพียงผู้ถูกฟ้องคดี ยังไม่ได้ผ่านการพิจารณาพิพากษาของศาลว่าเป็นผู้มีความผิด อีกทั้งการถูกกล่าวหาในฐานความผิดที่มีอัตราโทษสูงและเป็นข้อหาความมั่นคง ไม่ได้เป็นเหตุผลเบ็ดเสร็จเพียงพอว่า จตุภัทร์มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนี หรือเป็นอุปสรรค หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการดำเนินคดีของศาล

ทั้งนี้ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 11 (1) ที่ว่า "ทุกคนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทางอาญามีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดตามกฎหมายในการพิจารณาคดีที่เปิดเผย ซึ่งตนได้รับหลักประกันที่จำเป็นทั้งปวงสำหรับการต่อสู้คดี" และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ข้อ 14 (1) กล่าวว่า "บุคคลทุกคนซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดอาญาต้องมีสิทธิได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่ามีความผิด" เช่นเดียวกับที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รับรองสิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไว้ตลอดมา การขังจำเลยไว้ระหว่างพิจารณาไว้ก่อนเสมออาจถือเป็นการลงโทษจำเลยล่วงหน้า

อย่างไรก็ตาม ศาลจังหวัดขอนแก่นไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่ง

สำหรับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชน ก่อตั้งขึ้นโดยเหยื่อจากการปราบปรามการเรียกร้องประชาธิปไตยที่เมืองกวางจู โดยมูลนิธิ 18 พฤษภารำลึก (May 18 Memorial Foundation) มีกิจกรรมมอบรางวัลให้นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของเอเชียทุกปี ในปีนี้ ไผ่ ดาวดิน ได้รับการเสนอชื่อจากสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะรางวัล คนไทยคนแรกที่เคยได้รับรางวัลนี้ คือ อังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของสมชาย นีละไพจิตร ทนายความที่ถูกบังคับให้สูญหาย โดยได้รับรางวัลในปี 2549

ภาพประชาสัมพันธ์กิจกรรม มองรางวัล 2017 Gwangju Prize for Human Rights จากว็บไซต์ The May 18 Memorial Foundation

ก่อนหน้านี้ ผู้อำนวยการมูลนิธิ 18 พฤษภารำลึก ได้ส่งจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมทั้ง รมว. กระทรวงการต่างประเทศ, รมว. กระทรวงยุติธรรม และเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซล ขอให้รัฐบาลไทยอนุญาตให้ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ได้รับประกันตัวและให้เดินทางไปยังเกาหลีใต้เพื่อรับรางวัลดังกล่าวด้วยตนเอง ในวันที่ 18 พ.ค. 2560 ที่เมืองกวางจู ประเทศเกาหลีใต้ 

ต่อมา เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซลได้มีจดหมายตอบกลับถึงประธานมูลนิธิฯ โดยชี้เเจงว่าสถานทูตฯ รับทราบถึงกรณีที่มูลนิธิ 18 พฤษภารำลึก ได้ตัดสินใจมอบรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชนประจำปี 2560 แก่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา โดยชี้แจงว่า จตุภัทร์ได้กระทำผิดกฎหมาย และปัจจุบันถูกคุมขังในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เขาเคยได้การประกันตัวในช่วงแรกที่ถูกจับกุม แต่ก็ถูกถอนประกันเนื่องจากเขาผิดเงื่อนไขการให้ประกันตัวด้วยการกระทำความผิดซ้ำอีก ทั้งนี้ ทูตไทยย้ำว่า คดีของจตุภัทร์ได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมโดยศาลยุติธรรม

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประเด็นความขัดแย้งเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ปัญหาท้าทายว่าทีผู้นำคนใหม่ 'โสมขาว'

Posted: 08 May 2017 10:24 PM PDT

ดิแอตแลนติควิเคราะห์การเลือกตั้งล่าสุดในเกาหลีใต้ ถึงแม้ผู้นำคนถัดไปของเกาหลีใต้มีแนวโน้มที่จะเป็นสายสันติ แต่ท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ในปัจจุบันก็อาจเป็นปัญหาท้าทาย<--break- />

เกาหลีใต้มีการเลือกตั้งในวันที่ 9 พ.ค. นี้ โดยนับเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเนื่องจากกำลังเกิดวิกฤตคาบสมุทรเกาหลีที่ผู้คนจับตามองว่าสหรัฐฯ รวมถึงประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ จะมีท่าทีอย่างไรเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ หลังจากที่มีการพยายามกดดันกันด้วยการแสดงแสนยานุภาพของอาวุธกันมาก่อนหน้านี้แล้ว

แน่นอนว่าในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของเกาหลีใต้นี้คงหลีกเลี่ยงจะพูดถึงเรื่องนโยบายต่อเกาหลีเหนือไปไม่ได้ โดยทั่วไปแล้วกลุ่มอนุรักษ์นิยมในเกาหลีใต้มักจะมีท่าทีเรียกร้องให้ใช้กำลังกับเกาหลีเหนือ ส่วนสายเสรีนิยมมักจะใช้แนวคิดแบบ "นโยบายอาทิตย์ฉายแสง" ของอดีตประธานาธิบดีคิมแดจุง ที่เน้นการผ่อนคลายความตึงเครียดกับเกาหลีเหนือ และพยายามใช้สันติวิธีเพื่อชักจูงเกาหลีเหนือมากกว่า

จากประวัติการเลือกตั้งในเกาหลีใต้ตั้งแต่ช่วงศตวรรษ 1990 พวกเขามักเลือกรัฐบาลอนุรักษ์นิยมกับเสรีนิยมสลับกัน ทำให้การดำเนินนโยบายต่อเกาหลีเหนือสับเปลี่ยนไปมาด้วย จะมีก็แต่ พัก กึนเฮ อดีตประธานาธิบดีคนล่าสุดที่ดูเหมือนจะผสมเอาทั้งสายใช้กำลังและสายสันติวิธีไว้ด้วยกันในแบบที่เธอเรียกตัวเองว่า "การเมืองความเชื่อใจ" (Trust politic) ที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของความหวาดระแวงและความขัดแย้งมาสู่ความเชื่อมั่นและความเชื่อใจ แต่โลกก็รู้ว่าคำประกาศของ พัก กึนเฮ มีสิ่งที่เป็นสาระสำคัญอยู่น้อย หลังจากที่มีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับ ชเวซุนซิล คนทรงเจ้าเพื่อนสนิทของเธอที่คอยช่วยแก้คำปราศรัยให้

ดิแอตแลนติครายงานว่าการถอดถอน พัก กึนเฮ เนื่องด้วยเรื่องอื้อฉาวดังกล่าวนี้ยังทำให้เกิดกระแสเสรีนิยมในการเมืองเกาหลีใต้ขณะที่เรื่องอื้อฉาวก็ส่งผลทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมแปดเปื้อนไปด้วย เมื่อพิจารณาจากการที่พรรคฝ่ายเสรีนิยมแพ้ไปด้วยคะแนนไม่มากในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และผลโพลในปัจจุบันก็ออกมาว่า มุน แจอิน จากพรรคประชาธิปไตยเกาหลี หรือพรรคมินจู ซึ่งเป็นพรรคสายเสรีนิยมมีคะแนนนำ จึงมีโอกาสสูงที่ประธานาธิบดีคนต่อไปของเกาหลีใต้จะเป็น มุน แจอิน

มุนแจอิน เคยทำงานเป็นเสนาธิการในรัฐบาลเสรีนิยมของ โน มูฮยอน มาก่อนจึงมีความเป็นไปได้ที่เขาจะดำเนินนโยบายต่อเกาหลีเหนือในแบบเสรีนิยมด้วยการเน้นปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ ผ่านการเจรจาหารือ 6 ฝ่าย อย่างในช่วงต้นศตวรรษที่ 2000 เน้นส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการกีฬา มีกระบวนการรวมประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไปผ่านระบบตลลาดเดี่ยว แต่เรื่องนี้ก็มีปัญหาความท้าทายจากท่าทีของสหรัฐฯ ต่อเกาหลีเหนือในปัจจุบัน ในฐานะที่สหรัฐฯ เป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของเกาหลีใต้

ท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ยุคโดนัลด์ ทรัมป์ ดูมีท่าทีแข็งกร้าวต่อเกาหลีเหนือมากกว่ารัฐบาลก่อน มีการประกาศว่า "ยุคสมัยแห่งการอดกลั้นเชิงยุทธศาสตร์หมดลงไปแล้ว" นอกจากนี้ทรัมป์ยังสร้างความขุ่นเคืองให้กับชาวเกาหลีใต้ด้วยการบอกว่าจะสั่งให้เกาหลีใต้จ่ายเงินค่าติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธข้ามทวีปในชั้นบรรยากาศหรือ THAAD ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์ เรื่องการติดตั้ง THAAD เองก็กลายเป็นประเด็นที่พูดถถึงกันในการเลือกตั้งครั้งนี้เช่นกัน

ดิแอตแลนติคมองว่าถ้าหาก มุน แจอิน ชนะ จะกลายเป็นการที่สายสันติในเกาหลีต้องเผชิญกับสายใช้กำลังแบบสหรัฐฯ เรื่องนี้เทียบได้กับสมัยของ คิม แดจุง และ โน มูฮยอน ที่เป็นผู้นำในยุคเดียวกับจอร์จ ดับเบิลย บุช ซึ่งนโยบายของ คิม แดจุง ก็ได้รับการสนับสนุนจากบุชเป็นอย่างดี

แต่ในสมัยของ โน มูฮยอน หลังเหตุโจมตี 9-11 บุชก็เริ่มประกาศว่าเกาหลีเหนือคือ "อักษะแห่งความชั่วร้าย" ขณะเดียวกัน โน มูฮยอน ก็อาศัยช่วงกระแสต่อต้านสหรัฐฯ ภายในเกาหลีใต้จากเหตุการณ์ที่มีรถหุ้มเกราะของสหรัฐฯ ชนเด็กนักเรียนเกาหลีใต้เสียชีวิต 2 ราย โดยอาศัยจุดนี้หาเสียงจนชนะ แต่ในปี 2004 โน มูฮยอน ถึงขั้นเคยบอกว่า คิมจองอิล ผู้นำเกาหลีเหนือในขณะนั้น "มีเหตุผลที่ดีที่เขาต้องการอาวุธนิวเคลียร์" ทำให้ โน มูฮยอน ดูเป็นคนคาดเดาไม่ได้ในสายตาสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ไมเคิล กรีน ผู้อำนวยการอาวุโสด้านกิจการเอเชียของสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ สมัยบุชเปิดเผยว่าในแง่การทำงานแล้วเกาหลีใต้ในยุค โน มูฮยอน ยังไปกันได้ด้วยดีกับบุช โดยที่ โน มูฮยอน เคยขอให้สหรัฐฯ อย่าเปิดฉากสงครามคาบสมุทรเกาหลี ขณะเดียวกันเกาหลีใต้ก็ทำตัวเป็นพันธมิตรที่ดีด้วยการส่งทหารจำนวนมากไปช่วยสร้างอิรักขึ้นใหม่หลังสหรัฐฯ บุกอิรักแม้ว่าจะมีการต่อต้านจากในเกาหลีใต้เอง ทำให้บุชให้ค่า โน มูฮยอน มากกว่าผู้นำฝรังเศสและเยอรมนีในยุคนั้นเสียอีก

ในยุคต่อๆ มาเกาหลีใต้ได้ผู้นำที่ท่าทีก้าวร้าวต่อเกาหลีเหนือมากขึ้น แต่สหรัฐฯ กลับได้สายที่ก้าวร้าวน้อยกว่าอย่าง บารัก โอบามา ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากในแง่ผลลัพธ์ของคาบสมุทรเกาหลี

ดิแอตแลนติคมองว่าไม่ว่าจะมีการท้าทาย ยั่วยุ กันระหว่างสองผู้นำเกาหลีอย่างใดก็ตาม ทั้งคู่ต่างก็ไม่ต้องการให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบ และไม่ว่ารัฐบาลเกาหลีใต้-สหรัฐฯ จะแสดงออกสายใช้กำลังหรือสายสันติอย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ได้เป็นไปตามที่แสดงออกเช่นนั้นทั้งหมด ในสมัยของ คิม แดจุง และ โน มูฮยอน พวกเขาโต้ตอบการที่กองทัพเรือเกาหลีเหนือรุกล้ำน่านน้ำทะเลเหลืองด้วยกำลังจนสังหารลูกเรือของเกาหลีเหนือไปจำนวนมาก ขณะที่ในสมัยของ ลี มยอกบัก ที่เป็นสายก้าวร้าวกลับแค่โจมตีเกาหลีเนือด้วยวาจาหลังเกาหลีเหนือใช้เรือดำน้ำจมเรือเกาหลีใต้ทำให้ลูกเรือเสียชีวิต 46 นาย ตัว มุน แจอิน ก็เคยให้สัมภาษณ์กับวอชิงตันโพสต์ว่า เขาเชื่อว่าทรัมป์น่าจะเป็นคนที่ดุมีเหตุผลมากกว่าที่มองเห็นภายนอก

ดิแอตแลนติคสรุปว่าสิ่งที่อันตรายจริงๆ ไม่น่าจะเป็นคำพูดที่แสดงความเป็นศัตรูต่อกันแต่เป็น "มือที่ไม่นิ่งพอ" สงครามจะเกิดไม่ใช่เพราะโวหารแข็งกร้าวของพวก "สายเหยี่ยว" แต่เป็นการคำนวนที่ผิดพลาดหรือการจับสัญญาณผิด เช่น ในกรณีที่รัฐบาลทรัมป์ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินคาร์ล วินสัน ไปก็ถือเป็นข้อผิดพลาดในแบบที่ชวนให้เกาหลีเหนือเข้าใจผิดๆ จนเพิ่มความตึงเครียดและอาจจะเริ่มโจมตีเกาหลีใต้ก่อน พวกเขาจึงเสนอให้รัฐบาลใหม่ของเกาหลีใต้ควรจะส่งเสริมการสื่อสารและความร่วมมือที่ดีขึ้นระหว่างสองประเทศพันธมิตร

 

 

เรียบเรียงจาก

The Korean Peninsula's Other High-Stakes Drama, The Atlantic, 05-05-2017

https://www.theatlantic.com/international/archive/2017/05/north-korea-south-korea-kim-jong-un-nuclear-trump/524910/

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น