โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ไฟแนนเชียลไทม์: พม่าภายใต้ทุนนิยมแบบทหาร

Posted: 12 May 2017 02:40 PM PDT

แนะนำรายงานจากไฟแนนเชียลไทม์ว่าด้วยเรื่องของพม่า ที่ถึงแม้ว่าจะมีการเลือกตั้งจนได้รัฐบาลพลเรือน แต่อิทธิพลกองทัพพม่าโดยเฉพาะบทบาททางเศรษฐกิจไม่ได้หายไปไหน ทั้งนี้สหรัฐฯ เพิ่งยกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจหลังจากโดดเดี่ยวพม่ามานาน แต่ไฟแนนเชียลไทม์ระบุว่าการทำเช่นนี้กลับเอื้อต่อกลุ่มทุนฝ่ายทหารที่มาในรูปแบบของรัฐวิสาหกิจที่ครอบงำภาคธุรกิจใหญ่ๆ ของประเทศ

แฟ้มภาพนครย่างกุ้งเมื่อปี 2010 (ที่มา: Soe Lin/Flickr/CC BY 2.0)

แฟ้มภาพกองทัพพม่าขนขีปนาวุธแสดงแสนยานุภาพ เนื่องในวันกองทัพพม่าปีที่ 71  (ที่มา: The Global New Light of Myanmar, 28 March 2016)

12 พ.ค. 2560 ไฟแนนเชียลไทม์ระบุว่าบรรษัทเศรษฐกิจเมียนมา (MEC) และรัฐวิสาหกิจเมียนมา (MEHL) ประกอบด้วยกลุ่มคนจากกระทรวงกลาโหมและเหล่าเจ้าหน้าที่กองทัพ พวกเขาครอบงำธุรกิจทั้งหลายแหล่เอาไว้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจบุหรี่ไปจนถึงการนำเข้าปิโตรเลียม แม้ว่าจะมีการบริหารเศรษฐกิจระดับประเทศโดยรัฐบาลพลเรือน ออง ซาน ซูจี แต่ก็มีธุรกิจใหญ่หลายแห่งในพม่าที่มีหุ้นส่วนเป็นอดีตทหารที่เคยมีส่วนในการสังหารประชาชนจำนวนมากในยุคเผด็จการมาก่อนโดยที่พวกเขาไม่สนใจการรุกไล่ที่ประชาชนหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนใดๆ ด้วย

เรื่องนี้ทำให้ไฟแนนเชียลไทม์ตั้งคำถามว่าการยกเลิกคว่ำบาตรในพม่าทำให้โครงสร้างอำนาจเปลี่ยนไปมากแค่ไหนหลังมีรัฐบาลเป็นพลเรือน มีนักวิเคราะห์จากในพม่าเองมองว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ฝ่ายทหารจะยังคงมีอำนาจอยู่เพราะกลุ่มเหล่านี้อยู่ในแกนกลางของรัฐพม่าไปแล้ว รัฐวิสาหกิจของพม่าก็กำลังต้องการ "หาโอกาสกับชาติตะวันตก" อย่างไรก็ตามฝ่ายนักวิเคราะห์ของสหรัฐฯ มองได้อีกแง่หนึ่งว่าการที่พม่าเปิดด้านธุรกิจกับชาติตะวันตกมาขึ้นอาจจะทำให้ทหารพม่ามีมาตรฐานที่สูงขึ้นบ้างก็ได้สำหรับทั้งเรื่องการจัดการ แรงงาน หลักนิติธรรม และสิ่งแวดล้อม โดยจะมีการดูความเสี่ยงต่อภาพลักษณ์เป็นรายเคสไปด้วย

ไฟแนนเชียลไทม์ระบุอีกว่าบรรษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆอย่างโคคา โคลา และไมโครซอฟท์ก็เคยเผชิญกับความเสี่ยงทางภาพลักษณ์จากการถูกเปิดโปงเรื่องทำธุรกิจร่วมกับเผด็จการในพม่ามาก่อน บ้างก็ถูกสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการได้ประโยชน์ผ่านการผ่องถ่ายทรัพย์สินของรัฐในช่วงก่อนเผด็จการทหารลงจากอำนาจ จากข้อมูลองค์กรความโปร่งใสนานาชาติปี 2558 ในรายงานขององค์กรความโปร่งใสยังระบุอีกว่าฝ่ายทหารพม่าก็มีการแฝงตัวเองเข้าไปอยู่ในภาคส่วนธุรกิจทำให้พวกเขายังมีอำนาจควบคุมอยู่มากโดยไม่ผ่านการตรวจสอบจากประชาชน

ในเชิงการเมืองแล้วถึงแม้พรรคของอองซานซูจีจะชนะแบบถล่มทลายในการเลือกตั้งแต่ทหารก็ยังมีโควต้าที่นั่งในสภาอยู่ส่วนหนึ่งจนทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญได้ แน่นอนว่ากลุ่มรัฐวิสากิจและบรรษัทเศรษฐกิจพม่าที่มีทหารระดับสูงเกี่ยวข้องก็เข้าไปอยู่ในโครงสร้างทางการเมืองด้วย โดยมีการเผยแพร่เรื่องนี้ผ่านวิกิลีคส์ในกรณีที่รัฐวิสากิจพม่ารับสินบนเพื่อเอื้อสัญญาต่อบริษัทต่างชาติ ซึ่งบรรษัทพม่าเหล่านี้มีตั้งแต่โรงงานผลิตกระบอกฉีดยาใช้แล้วทิ้ง การชำระบริการโทรศัพทืมือถือ ไปจนถึงกอล์ฟคลับ

อย่างไรก็ตามจากปากคำของตัวแทนรัฐวิสาหกิจพม่าโต้แย้งในเรื่องนี้โดยให้สัมภาษณ์ในไฟแนนเชียลไทม์ว่าพวกเขากำลังพยายามปรับตัวเองให้กลายเป็นบริษัทธรรมดาทั่วไปมากขึ้นและกระทรวงกลาโหมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในกิจการของพวกเขาอีกแล้ว พวกเขายอมรับว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารและสถาบันกองทัพมีหุ้นส่วนอยู่โดยที่ได้รับเงินปันผลเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น อย่างไรก็ตามมีนักวิจารณ์มองว่าความมั่งคั่งของรัฐวิสากิจพม่าอาจจะมีมากกว่าที่ประชาชนทั่วไปรับรู้ ไมค์ อาวิส จากกลุ่มโกลบอลวิตเนสกล่าวว่าบริษัทของทหารเป็นแค่ส่วนยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ภาคใต้ภูเขาน้ำแข็งยังมีเครือข่ายธุรกิจที่เป็นของกลุ่มครอบครัวทหารและอดีตนายพลครอบงำธุรกิจต่างๆ ที่มีผลประโยชน์มหาศาล

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่

Myannar: the Military-commercial complex, Financial Times

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คดีกวาดจับหน้ารามฯ ญาติทวงกองทุนยุติธรรม-ยื่นคำร้องประกันตัว 6 เดือนไม่คืบ

Posted: 12 May 2017 11:48 AM PDT

กรณีกวาดจับนักศึกษาและผู้พักอาศัยย่านรามคำแหงหลังรัฐบาลปูดข่าว 'คาร์บอม' เมื่อตุลาคม 59 - ล่าสุดญาติจำเลย 9 ราย ทวงถามคำร้องขอกู้เงินประกันตัวกับกองทุนยุติธรรม หลังยื่นไปนาน 6 เดือนไม่คืบหน้า ตรวจสอบพบเอกสารตกค้าง 1 ศาลไม่อนุมัติ 4 กำลังพิจารณา 1 และไม่มีเอกสาร 3

12 พ.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (11 พ.ค.60) เวลา 11.00 น. ทางญาติและครอบครัวของจำเลย 9 คน ในคดีที่เรียกกันว่ากวาดจับหน้าม.รามคำแหง หลังข่าว "คาร์บอม" เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว (2559) เดินทางไปติดตามความคืบหน้าการดำเนินการเอกสารคำร้องขอรับความช่วยเหลือกู้เงินประกันตัวจำนวน 1,000,000 บาทโดยประมาณ ที่สำนักงานกองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม อาคารซอฟแวร์ปาร์ค ชั้น 22 ถนนแจ้งวัฒนะ ต.คลองเกลือ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยมี เศรษฐวุฒิ เพชรสง นักวิชาการยุติธรรมชำนาญการ ให้การต้อนรับ

โดยการเดินทางไปทวงถามความคืบหน้าของคำร้องขอกู้เงินประกันตัวครั้งนี้สืบเนื่องจากทางญาติและครอบครัวของจำเลยเคยยื่นคำร้องดังกล่าวไปทางสำนักงานกองทุนยุติธรรมจังหวัดปัตตานีและนราธิวาสเมื่อเดือน พ.ย. และ ธ.ค. 2559 ตามลำดับแล้ว แต่ยังไม่มีหนังสือแจ้งผลจากสำนักงานดังกล่าวตามที่เจ้าพนักงานเคยแจ้งเอาไว้ จึงมีความประสงค์จะยื่นใหม่ที่สำนักงานกรุงเทพฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ได้อธิบายถึงขั้นตอนการขอรับบริการและขอความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมเสร็จสิ้น จากนั้นทางครอบครัวของจำเลยได้สอบถามว่า พวกตนเคยส่งเอกสารเพื่อยื่นคำขอรับความช่วยเหลือไปแล้วเมื่อ 4-5 เดือนก่อน โดยได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ที่จังหวัดปัตตานีและนราธิวาสว่า ต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการรวม 84 วันทำการ อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวยังเงียบอยู่ ส่งผลให้มาเข้ายื่อนคำร้องใหม่ที่กรุงเทพฯ โดยหวังว่าจะรวดเร็วและชัดเจนกว่าสำนักงานสาขาต่างจังหวัด

ด้านเศรษฐวุฒิ และเจ้าพนักงานสำนักงานกองทุนยุติธรรมกรุงเทพฯ ได้ดำเนินการประสานและตรวจสอบความคืบหน้าคำร้องของทั้ง 9 จำเลย ปรากฎว่ามีคำร้องของจำเลยที่ 7 คือ อัมรัน มะยี อายุ 23 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ตกค้างอยู่ที่สำนักงานกรุงเทพฯ ซึ่ง เศรษฐวุฒิ แจ้งว่า คำร้องดังกล่าวถึงที่สำนักงานกรุงเทพฯ เมื่อเดือน ม.ค.2560 แต่ไม่แน่ใจว่าผิดพลาดในการดำเนิการอย่างไรจึงมีคำร้องตกค้าง

เศรษฐวุฒิ กล่าวว่า ถือว่าเป็นความผิดของตนที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ จึงอยากขอโทษทางญาติและครอบครัวของ อัมรันที่ทำการดำเนินการเอกสารล่าช้าไปหลายเดือน แต่ตนสัญญาว่าจะรีบดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในหนึ่งอาทิตย์หลังจากนี้ ส่วนที่เหลือศาลไม่อนุมัติ 4 กรณี กำลังพิจารณาคำขอฯ 1 กรณี และเอกสารยังไม่ถึงอีก 3 กรณี   

โดยสามารถสรุปรายละเอียดความคืบหน้าในส่วนที่เหลือ ดังนี้ จำเลยที่ 2 อับดุลบาซิร สือกะจิ จำเลยที่ 3 มูบารีห์ กะนา จำเลยที่ 4 อุสมาน กะเด็งหะยี และจำเลยที่ 9 นิเฮง ยีนิง ศาลไม่อนุมัติให้มีการปล่อยตัวชั่วคราว ขณะที่ จำเลยที่ 5 มีซี เจ๊ะหะ จำเลยที่ 6 ปฐมพร มิหิแอ และจำเลยที่ 8 วิรัติ หะมิ ขณะนี้นี้เอกสารคำร้องขอฯ ยังไม่ถึง ส่วนจำเลยที่ 1 ตามีซี โตะตาหยง ขณะนี้อยู่ในขั้นพิจารณาคำขอรับความช่วยเหลือ ผลสรุปยังไม่ออกมา

เศรษฐวุฒิ กล่าวให้กำลังใจเพิ่มเติมว่า อย่าเพิ่งท้อใจ เพราะการขอประกันตัวถือเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคน ฉะนั้น ตนขอเสนอให้ญาติของทั้ง 4 จำเลยดังกล่าว ไปเขียนหนังสือรับรองความประพฤติของจำเลยขึ้นมาใหม่พร้อมหาผู้รับรองพฤติกรรมในสภาทนายความหรือจากหน่วยงานความมั่นคง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ด้านญาติและครอบครัวจำเลยทั้ง 9 จำนวนรวม 30 คน เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 พ.ค.2560 และวันที่ 8 พ.ค. เดินทางต่อไปที่ศาลอาญา ถนนรัชดา ตามกำหนดการนัดพร้อม ตรวจพยานหลักฐาน กรณีอัยการโจทก์ยื่นฟ้อง ตาลมีซี โต๊ะตาหยง และพวกรวม 9 คน ฐานความผิด "ร่วมกันอั้งยี่ ซ่องโจร มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย" แต่ศาลมีคำสั่งเลื่อนนัดเป็นวันที่ 24 ก.ค. เหตุอัยการยื่นเอกสารหลักฐานกว่า 10 ฉบับ ทนายจำเลยจึ่งขอเลื่อนนัดเพื่อตรวจดูเอกสารให้ละเอียดเสียก่อน (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม : เลื่อนนัดพยานหลักฐาน คดีกวาดจับหน้ารามฯ หลังข่าว 'คาร์บอม' เป็นปลาย ก.ค.นี้)

วันที่ 9 และ 11 พ.ค. ที่ผ่านมา กลุ่มญาติดังกล่าว เดินทางไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อเยี่ยมจำเลยทั้ง 9 ก่อนเดินทางไปที่สำนักงานกองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 11 พ.ค. และเดินทางกลับในวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา

ภาพกลุ่มญาติเข้าเยี่ยมจำเลย ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือน ต.ค.2559 มีการจับกุมนักศึกษาและชาวมุสลิมที่พักย่าน ม.รามฯ ไปกว่า 40 คน ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. เป็นต้นมา ทั้งหมดมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดชายแดนภาคใต้  เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอ้างเหตุสงสัยว่าคนเหล่านี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเตรียมการก่อวินาศกรรมคาร์บอมบ์ในช่วงที่จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD) ที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 9-10 ต.ค.2559 (อ่านต่อ) และพอดีว่าช่วงเวลานั้นตรงกับโอกาสครบรอบ 1 ปี การสลายการชุมนุมที่ตากใบด้วย แต่จากข่าวที่ปรากฎยังไม่พบของกลางเป็นวัตถุระเบิดตามคำฟ้อง มีเพียงกล่องลังที่ใส่น้ำบูดูเท่านั้นที่เจ้าหน้าที่ยึดได้จากห้องพัก ขณะนี้ผู้ถูกจับกุมถูกทยอยปล่อยจนเกือบหมด แต่ความจริงยังมีอีก 9 คนถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำพิเศษ กทม. และดำเนินคดีดังกล่าว

อนึ่ง กองทุนยุติธรรมถูกจัดตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2549 ปัจจุบันพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ.2558 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2559 มีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนำหรับการใช้จ่าย เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดีการขอปล่อยตัวผู้ต้องหา หรือจำเลย ชั่วคราว การช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน และสนับสนุนโครงการการให้ความรู้ด้านกฎหมายให้กับประชาชน ส่วนขั้นตอนการพิจารณาของกองทุนยุติธรรมนั้น เริ่มจากญาติของผู้ต้องหาหรือจำเลยยื่นคำขอรับความช่วยเหลือ เจ้าหน้าแสวงหาข้อเท็จจริง เจ้าหน้าที่ทำรายงานความเห็น ผู้มีอำนาจพิจารณาคำขอฯ และแจ้งผลไปยังญาติของผู้ต้องหาหรือจำเลย โดยใช้ระยะเวลาดำเนินการในขั้นตอนนี้รวม 43 วัน หลังจากนั้นผู้มีอำนาจพิจารณาให้แสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีก 25 วัน จึงจะเรียกมาทำสัญญาดำเนินการให้ความช่วยเหลือ โดยรวมระยะเวลาในการดำเนินการทั้งสิน 68 วัน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ลูกเสธ.แดง เผยถูก จนท. ห้ามวางดอกไม้-จุดเทียน ครบรอบ 7 ปีที่พ่อถูกลอบยิง

Posted: 12 May 2017 09:40 AM PDT

ขัตติยา สวัสดิผล บุตรสาว เสธแดง โพสต์เฟซบุ๊กเผย จนท. แจ้ง มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ วางดอกไม้และจุดเทียน รำลึก 7 ปี ที่พ่อลอบยิงเสียชีวิต 13 พ.ค.นี้ เจ้าตัววอนขอความเห็นใจ ให้ได้แสดงความรัก ความคิดถึง และความกตัญญู

ภาพ ขัตติยา สวัสดิผล จุดเทียนรำลึกการเสียชีวิตของ เสธ.แดง เมื่อวันที่ 13 พ.ค.58 บริเวณสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสวนลุมพินี 

12 พ.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (12 พ.ค.60) เมื่อเวลา 10.17 น. เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'ขัตติยา สวัสดิผล' ของ ขัตติยา สวัสดิผล บุตรสาว หรือ เดียร์ บุตรสาวของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ซึ่งเสียชีวิตในเหตุการณ์ช่วงสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. โดย ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เมื่อวันที่ 13 พ.ค.2553 

ขัตติยา โพสต์ข้อความว่า เมื่อวานนี้ ตนได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่รัฐ สอบถามถึงการจัดกิจกรรมรำลึก 7 ปี ที่คุณพ่อหรือพล.ต.ขัตติยะ ในวันที่ 13 พ.ค. ที่จะถึงนี้ โดย ตนให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่รัฐไปว่า ตนและครอบครัวไม่ได้จัดกิจกรรมอะไร ที่จะทำคงมีเพียงแต่ตนและพี่สาวไปวางดอกไม้ ยกมือไหว้ และจุดเทียนให้แก่คุณพ่อในช่วงเย็นๆ ณ จุดที่ท่านโดนลอบยิง เหมือนทุกปีที่ทำ ก็เท่านั้น แต่คำตอบที่ตนได้กลับมาจากทางเจ้าหน้าที่คือ มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ตนและพี่สาววางดอกไม้และจุดเทียน หรือทำอะไรได้ โดยไม่ให้เหตุผลประกอบใดๆ ทั้งสิ้น

"เดียร์อยากสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องว่า คำสั่งไม่อนุญาตนี้ เป็นจริงหรือไม่คะ หากจริง เหตุใดท่านถึงขัดขวางการแสดงความกตัญญูและการรำลึก ที่ลูกสาว 2 คนต้องการทำให้แก่คุณพ่อของเราคะ ทั้งที่จุดที่คุณพ่อโดนยิง คือหน้าสถานีรถไฟใต้ดินลุมพินีนั้น ก็เป็นที่สาธารณะ ที่ผ่านมา มีครอบครัวที่โดนกลั่นแกล้งด้วยเหตุผลทางการเมืองมากมาย มีลูกหลายคนที่ต้องพรากจากพ่อ บ้างจากเป็น บ้างจากตาย คุณพ่อของเดียร์จากไปด้วยความตาย มาวันนี้เป็นวันครบรอบ 7 ปี ขอให้เราได้วางดอกไม้และจุดเทียน เพื่อแสดงความรัก ความคิดถึง และความกตัญญู ให้แก่คุณพ่อได้ไหมคะ เห็นใจเราเถอะค่ะ" ขัตติยา โพสต์

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รองหัวหน้า ปชป. อัด ร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ ต่อท่อให้ทหารมีเอี่ยวหลังเลือกตั้ง

Posted: 12 May 2017 06:42 AM PDT

สาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (แฟ้มภาพ)

12 พ.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่า สาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) มีมติให้คงสัดส่วนผู้บัญชาการเหล่าทัพในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ตามร่างของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการวางยุทธศาสตร์ด้วยรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากประชาชน ของรัฐบาลประชาธิปไตยเเบบไทยๆ เป็นรัฐบาลทหารที่มาจากคนกลุ่มเดียว มีความเด็ดขาด รวดเร็ว แต่ขาดความละเอียดครบถ้วนไม่ครอบคลุมถึงความต้องการประชาชนทุกระดับชั้น จนทำให้ยุทธศาสตร์ชาติที่กำลังวางอยู่ไม่ชอบธรรมโดยหลักการไม่เห็นด้วยกับการวางยุทธศาสตร์ไว้ล่วงหน้า 20 ปี เพราะสุ่มเสี่ยงต่อความเปลี่ยนเเปลงกระทันหันในอนาคต การอ้างว่ารัฐบาลต่อไปแก้ไขได้ไม่ยาก ก็ไม่จริง เพราะมีคณะกรรมการประกอบไปด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพ รวมถึงนายกฯ นั่งค้ำขวางอยู่ ถ้าอยากจะแก้ยุทธศาสตร์แต่คณะกรรมการฯไม่ยอม จะทำได้หรือเปล่า ปัญหาคือ คณะกรรมการตั้งโดยรัฐบาลทหาร ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ไม่อิสระ ไม่เป็นไปตามหลักการวางยุทธศาสตร์เพื่อนาคต เเต่เพื่อใครคนใดคนหนึ่งหรือไม่

"จากที่ผ่านมา กฎหมายส่งเข้าสนช.วาระ 2-3แบบนี้ส่วนมากก็ผ่าน แต่ไม่อยากให้เงียบไปแบบนี้ อยากชี้ให้เห็นว่า ยุทธศาสตร์ชาติควรมุ่งประโยชน์ชาติอย่างเเท้จริง แต่วันนี้กลับเขียนตุนต้นทุนตั้งคณะกรรมการต่อท่อเอาไว้ จะทำให้รัฐบาลในอนาคตไม่เป็นอิสระส่วนที่อ้างกันว่า คณะกรรมการฯชุดดังกล่าวจะป้องกันการปฏิวัติได้ในอนาคตได้ก็ไม่จริง ไร้สาระ นับประสาอะไรกับที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับพล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน อดีตนายกรัฐมนตรี เคยบอกจะไม่ยึดอำนาจ แต่สุดท้ายพอสถานการณ์บีบบังคับ ก็ทำ ที่พูดไม่ใช่จะตำหนิ แต่ชี้ให้เห็นว่า อย่ามาอ้าง ในทางกลับกัน พ.ร.บ.นี้จะยิ่งเร่งให้เกิดยึดอำนาจขึ้นไปอีก ถ้าเเนวคิดคณะกรรมการฯ ไม่ตรงกับรัฐบาลในอนาคต ยิ่งติดกับดัก ไปต่อไม่ได้ จะแก้ไขก็ไม่ได้ จึงย้ำว่า เป็นเพียงต้นทุนของรัฐบาลทหาร ต่อท่ออำนาจ ขอเอี่ยวการบริหารงานประเทศหลังเลือกตั้งด้วย เพราะไม่อยากวางมือ" สาธิต กล่าว

ขณะที่เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล www.thaigov.go.th ได้เผยแพร่ข้อความทางหน้าเพจเชิญชวนประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับจัดทำร่าง พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และร่าง พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ที่กำหนดให้มีการเปิดรับฟังความเห็นของประชาชน โดย สนช. มีมติเห็นชอบในหลักการของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวแล้ว เพื่อนำความคิดเห็นมาประกอบการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ทั้งสองของ สนช.ต่อไป

 

ที่มา : มติชนออนไลน์ และไทยรัฐออนไลน์

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ก.แรงงาน เข้ม สอบชาวแอฟริกาเข้ามาทำธุรกิจค้าพลอยเมืองจันท์

Posted: 12 May 2017 06:14 AM PDT

กระทรวงแรงงาน เผยมีมาตรการเข้มตรวจสอบคนต่างด้าวชาวแอฟริกาลักลอบทำงานค้าพลอยที่จันทบุรี เผยยอดออกใบอนุญาตทำงานธุรกิจค้าพลอยแล้วกว่า 500 ราย พบส่วนใหญ่เป็นสัญชาติ กินี มาลี แกมเบียและโกตดิวัวร์ ขณะที่มีการจัดตั้งจดทะเบียนบริษัทค้าพลอยจำนวน 306 แห่ง 

 
12 พ.ค.2560 รายงานข่าวจากกระทรวงแรงานน แจ้งว่า วรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้กรมการจัดหางานประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมตรวจสอบจับกุมดำเนินคดีแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานผิดกฎหมาย ตามนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐบาลในการป้องกันและปราบปรามคนต่างชาติกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งจากกรณีที่มีชาวแอฟริกาใช้ VISA TOURISM เป็นนักท่องเที่ยวเข้ามาประกอบธุรกิจค้าขายพลอยโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานในจังหวัดจันทบุรี นั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ กรมการจัดหางานได้มีมาตรการในการตรวจสอบจับกุมอย่างต่อเนื่อง และตรวจสอบความถูกต้องเรื่องการจดทะเบียนบริษัท ความจำเป็นในการขออนุญาตทำงานการทำงานของคนต่างด้าว โดยให้มีสัดส่วนการจ้างตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด รวมทั้งมีการตรวจสอบการดำเนินธุรกิจที่ถูกต้องอีกด้วย ทั้งนี้ กรมการจัดหางาน  โดยสำนักงานจัดหางานจังหวัดจันทบุรีจะได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานอื่นในจังหวัดเพื่อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อไป 
 
วรานนท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรีพบว่าชาวแอฟริกาเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรจำนวนประมาณ 700 คน ส่วนใหญ่ได้ VISA TOURISM หรือ VISA Non immigrant O ปัจจุบันมีการจัดตั้งจดทะเบียนบริษัทค้าพลอยจำนวน 306 แห่ง ออกใบอนุญาตทำงานเกี่ยวกับธุรกิจดังกล่าว จำนวน 562 คน โดยส่วนใหญ่เป็นสัญชาติกินี 442 คน มาลี 72 คน แกมเบีย 12 คน โกตดิวัวร์ 11 คน และอื่น ๆ 537 คน (มาลากาซี แซมเบีย กาน่า ไนจีเรีย เคนยา เซียร์ราลีโอน แคเมอรูน) นอกจากนี้ยังมีชาวแอฟริกาเข้ามาทำงานในตำแหน่งครูสอนภาษาอังกฤษอีกจำนวน 14 คน เป็นสัญชาติแคเมอรูน 12 คน กาน่า 1 คน และแซมเบีย 1 คน ทั้งนี้ หากคนต่างด้าวประสงค์จะทำงานในประเทศไทยจะต้องมีใบอนุญาตทำงาน และเดินทางเข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากทำงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 – 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยสามารถติดต่อขอใบอนุญาตทำงานได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัดหรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานที่ทำงานของคนต่างด้าว สอบถามข้อมูลได้ที่ สายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทนายเผยสหรัฐฯ มีกำหนดปล่อยตัว 'เชลซี แมนนิง' อาทิตย์หน้า

Posted: 12 May 2017 05:56 AM PDT

เชลซี แมนนิง ผู้ที่เคยส่งเอกสารแฉการกระทำแย่ๆ ของกองทัพรัฐบาลสหรัฐฯ ในสงครามอิรักกำลังจะพ้นโทษหลังจากที่ก่อนหน้านี้เธอถูกตัดสินจำคุกยาวนานถึง 35 ปี และอยู่ในสภาพย่ำแย่จากการที่เรือนจำไม่ยอมให้เธอเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับการแปลงเพศของเธอ เธอได้รับการลดโทษและมีกำหนดการจากทำเนียบขวาว่าจะปล่อยตัวเธอภายในวันที่ 17 พ.ค. ที่จะถึงนี้
 
12 พ.ค. 2560 เชลซี แมนนิง อดีตนักวิเคราะห์ข่าวกรองของกองทัพสหรัฐฯ เคยถูกตัดสินลงโทษข้อหานำเอกสารลับของทางการเกี่ยวกับสงครามอิรักส่งให้กับเว็บไซต์จอมแฉวิกิลีคส์ ล่าสุดทนายความของแมนนิงเปิดเผยเมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมาว่าแมนนิงจะได้รับการปล่อยตัวภายในอาทิตย์หน้าโดยที่ฝ่ายทนายยังไม่ได้ระบุวันปล่อยตัวชัดเจน
 
ทางการสหรัฐฯ เคยตัดสินลงโทษให้แมนนิงจำคุก 35 ปี เมื่อปี 2556 จนกระทั่งถึงเมื่อเดือน ม.ค. 2560 ที่ผ่านมา บารัค โอบามา สั่งลดโทษแมนนิงก่อนที่เขาจะออกจากตำแหน่งหลังจากที่มีประชาชนมากกว่า 115,000 คน ลงชื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเธอ โดยที่แถลงการณ์ของทำเนียบขาวเมื่อเดือน ม.ค. ระบุว่าเธอจะได้รับการปล่อยตัวภายในวันที่ 17 พ.ค.นี้
 
ในช่วงที่แมนนิงประจำการอยู่ที่อิรัก เขาเคยส่งเอกสารจำนวนมากกว่า 700,000 ชุดให้กับวิกิลีคส์ซึ่งเอกสารหลายฉบับเผยแพร่เรื่องราวที่น่าอับอายที่สุดในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐฯ เรื่องนี้ทำให้แมนนิงถูกคุมขังมาตั้งแต่ปี 2553 ก่อนที่จะถูกตัดสินว่ามีความผิดในอีกราว 3 ปีหลังจากนั้น เรื่องราวที่แมนนิงช่วยเหลือเปิดโปงกองทัพสหรัฐฯ ทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จักกันในระดับนานาชาติ
 
ทนายความของแมนนิงแถลงร่วมกันว่า จนถึงตอนนี้แมนนิงเป็นผู้ที่จำคุกยาวนานที่สุดมากกว่าผู้เปิดโปงคนอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยที่เหล่าทนายความมองว่าเป็นการลงโทษที่ยาวนานเกินไป รุนแรงเกินไป และโหดร้ายเกินไป

แบรดลีย์ แมนนิง ก่อนที่จะแปลงเพศและเปลี่ยนชื่อเป็นเชลซี แมนนิง (ที่มา: วิกิพีเดีย)
แมนนิงเป็นหญิงข้ามเพศผู้มีชื่อเดิมคือแบรดลีย์ แมนนิง ในระหว่างที่เธอถูกคุมขังอยู่เธอก็เริ่มทำการแปลงเพศเป็นหญิง รวมถึงเปลี่ยนชื่อเป็นเชลซี หลังจากมีข่าวเรื่องการลดโทษ แมนนิงกล่าวว่า เธอคงได้เห็นอนาคตของตัวเองในฐานะของเชลซีในที่สุด เธอบอกอีกว่าก่อนหน้านี้ "อิสรภาพเคยเป็นแค่ความฝัน แล้วก็เป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการถึง แต่ในตอนนี้มันอยู่ตรงนี้แล้ว พวกคุณทำให้ฉันมีชีวิตอยู่ได้เสมอมา"
 
ก่อนหน้านี้เคยมีกรณีที่แมนนิงพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน รวมถึงประท้วงด้วยการอดอาหารขณะอยู่ในคุกทหาร ซึ่งทางกลุ่มสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกันบอกว่า เธอทำไปเพื่อประท้วงการที่เรือนจำปฏิเสธไม่ยอมให้เธอได้รับการรักษาพยาบาลและเข้าถึงสิทธิอื่นๆ รวมถึงสิทธิในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ด้านการแปลงเพศของเธอ
 
แมนนิงรับสารภาพว่าเธอเป็นผู้เปิดโปงเอกสารลับของรัฐบาลเหล่านี้เพราะเธอต้องการเปิดเผยให้เห็นว่ากองทัสหรัฐฯ ไม่ใส่ใจต่อสิทธิมนุษยชนและผลกระทบจากสงครามที่มีต่อพลเรือน ถึงแม้รัฐบาลสหรัฐฯ และนักวิจารณ์บางคนจะอ้างว่าการเปิดโปงของเธออาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อคนที่เปนแหล่งข้อมูล แต่แมนนิงบอกว่าเธอคัดเลือกเปิดโปงแต่เอกสารที่จะไม่ส่งผลเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่และฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯ
 
แปลและเรียบเรียงจาก
Chelsea Manning to be released next week, say lawyers, Aljazeera, 10 May 2017
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จ่อเรียก 2 อดีต น.ศ.อุเทน รับทราบข้อกล่าวหา ขับจยย.บุกจุฬาฯ ขู่ 'เนติวิทย์'

Posted: 12 May 2017 04:38 AM PDT

ตร.เตรียมเชิญตัว 2 อดีตนักศึกษา อุเทนถวาย เข้าพบ 15 พ.ค.นี้ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ก่อความเดือดร้อนรำคาญและข่มขู่ให้ผู้อื่นตกใจ หลังต้องสงสัยขับจยย.บุกจุฬาฯ ขู่ 'เนติวิทย์'

ภาพ 2 ผู้ไม่หวังดี (ภาพจากผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ 'Tanawat Wongchai')

12 พ.ค. 2560 จากกรณีเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าที่ประธานสภานิสิตจุฬาปีการศึกษา 2560 เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่ สน.ปทุมวัน หลังถูกผู้ไม่หวังดี 2 คน ขับรถจักรยานยนต์เข้ามาภายในตึกเก่าคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ยี่ห้อ scomadi สีดำ ไม่ทราบหมวดทะเบียน หมายเลข 1433 ด้วยท่าที่คุกคามและเดินเข้าไปค้นหา เนติวิทย์ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

ล่าสุดวันนี้ (12 พ.ค.60) สื่อหลายสำนัก เช่น ผู้จัดการออนไลน์ โพสต์ทูเดย์ ฯลฯ รายงานตรงกันว่า ที่ สน.ปทุมวัน พ.ต.อ.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผกก.สน.ปทุมวัน เปิดความคืบหน้าจากเหตุชายวัยรุ่น 2 รายขี่จักรยานยนต์เข้ามาบริเวณโรงอาหารของตึกรัฐศาสตร์ เพื่อตามหา เนติวิทย์  ลักษณะท่าทางคุกคามและใช้ถ้อยคำในลักษณะข่มขู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจพอทราบข้อมูลเบื้องต้นแล้วเตรียมเชิญตัว 2 อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย เข้าพบพนักงานสอบสวนในวันจันทร์ ที่ 15 พ.ค. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา 2 ข้อ คือ ก่อความเดือดร้อนรำคาญและข่มขู่ให้ผู้อื่นตกใจ ส่วนข้อหาบุกรุกนั้นไม่ได้แจ้งเนื่องจากเป็นสถานที่ราชการอยู่แล้ว ประกอบกับเป็นช่วงเวลากลางวัน สามารถเข้าออกได้ปกติ 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติม กระแสความไม่พอใจ เนติวิทย์ รอบล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้รับเลือกจากสภานิสิตจุฬาให้เป็นประธานสภาฯ โดยหลังจากนั้นเขาได้ให้สัมภาษณ์ผ่านไลฟ์เฟซบุ๊กของ Nawakhun Sanasilapin ที่เสนอเรื่องการปฏิรูปการรับน้อง และที่เป็นประเด็นคืด เรื่องเกี่ยวกับการถวายการเคารพพระบรมรูปฯ ซึ่งสื่อบางสำนักเสนอข่าวในลักษณะว่า เนติวิทย์ เสนอให้ยกเลิกพิธีกรรมดังกล่าว อย่างไรก็ตามหากรับชมสิ่งที่เขาพูดผ่าน ไลฟ์เฟซบุ๊กของ Nawakhun นาทีที่ 9.50 นั้น ระบุว่า เป็นการเสนอให้นิสิตมีทางเลือกในการแสดงออกนอกจากถวายแบบหมอบคลานแล้ว ก็สามารถยืนเคารพได้ และต้องไม่บังคับทั้งทางตรงและทางอ้อมด้วย

"ถวายบังคม คุณต้องเปิดพื้นที่ครับ ให้คนที่เขามีพื้นที่ที่เขาไม่อยากถวายแบบหมอบคลาน เปิดพื้นที่ให้เขายืนเคารพก็ได้ ต้องไม่บังคับนะ บางคณะมันบังคับ นะครับ มันไม่ใช่บอกว่า โอโห ไม่บังคับหมด มันมีการบังคับกันกันอยู่โดย อ้อมๆ อยู่ มันต้องแก้ไขตรงนี้ เราจะต้องลงไปดูแล" เนติวิทย์ กล่าว ในไลฟ์เฟซบุ๊กของ Nawakhun Sanasilapin นาทีที่ 9.50

ทั้งนี้ การหมอบคลาน ได้ถูกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกาศยกเลิกไปแล้ว (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ประกาศการยกเลิกหมอบคลาน) โดยความตอนหนึ่งในประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ ระบุด้วยว่า 

..แลธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้ในประเทศสยามนี้ เหนว่าเปนการกดขี่แก่กันแขงแรงนัก ผู้น้อยที่ต้องหมอบคลานนั้น ได้ความเหน็จเหนื่อยลำบาก เพราะจะให้ยศแก่ท่านผู้ใหญ่ ก็การทำยศที่ให้คนหมอบคลานกราบไหว้นี้ไม่ทรงเหนว่ามีประโยชน์แก่บ้านเมือง แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ผู้น้อยที่ต้องมาหมอบคลานกราบไหว้ให้ยศต่อท่านผู้ที่เปนใหญ่นั้น ก็ต้องทนลำบากอยู่ จนสิ้นวาระของตนแล้วจึ่งจะได้ออกมา พ้นท่านผู้ที่เปนใหญ่ ธรรมเนียมอันนี้แลเหนว่าเปนต้นแห่งการที่เปนการกดขี่แก่กันทั้งปวง เพราะฉนั้นจึ่งจะต้องละพระราชประเพณีเดิม ที่ถือว่าหมอบคลานเปนการเคารพอย่างยิ่งในประเทศสยามนี้เสีย ด้วยทรงพระมหากรุณา ที่จะให้ท่านทั้งหลายได้ความศุข ไม่ต้องทนยากลำบากหมอบคลาน เหมือนอย่างแต่ก่อน แลธรรมเนียมที่หมอบคลานนั้น ให้เปลี่ยนอิริยาบถเปนยืนเปนเดิน ธรรมเนียมที่ถวายบังคมแลกราบไหว้นั้น ให้เปลี่ยนอิริยาบถเปนก้มสีสะ ธรรมเนียมที่ยืนที่เดินแลก้มสีสะนี้ ไช้ได้เหมือนกับธรรมเนียมที่หมอบคลานถวายบังคมแลกราบไหว้ บางทีท่านผู้ที่มีบันดาศักดิ์ ซึ่งชอบธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้ตามเดิม เหนว่าดีนั้นจะมีความสงไสยสนเท่ห์ว่า การที่เปลี่ยนธรรมเนียม หมอบคลาน ให้ยืนให้เดิน จะเปนการเจริญแก่บ้านเมืองด้วยเหตุไรก็ให้พึงรู้ว่า การที่เปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ เลิกหมอบคลาน ให้ยืนให้เดินนั้น เพราะจะให้เหนเปนแน่ว่า จะไม่มีการกดขี่แก่กัน ในการที่ไม่เปนยุติธรรมอีกต่อไป เมืองใดประเทศใดผู้ที่เปนใหญ่ มิได้ทำการกดขี่แก่ผู้น้อย เมืองนั้นประเทศนั้นก็คงมีความเจริญเปนแน่ ตั้งแต่นี้สืบไป พระบรมวงษานุวงษ แลข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย ซึ่งจะเฝ้าทูลอองธุลีพระบาทในพระที่นั่ง แลที่เสดจออกแห่งหนึ่งแห่งใด จงประพฤติ ตามพระราชบัญญัติที่ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดไว้เปนข้อบัญญัติสำรับข้าราชการต่อไป จงทุกข้อทุกประการ จึ่งได้โปรดเกล้าฯ ให้ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงษ สมันตพงษพิสุทธมหาบุรุศย์รัตโนดม ผู้สำเรจราชการแผ่นดิน ตั้งเปนข้อพระราชบัญญัติไว้สำรับแผ่นดินต่อไปดังนี้ ฯะ..

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

1 ปี เด่น คำแหล้ นักสู้สิทธิที่ดินหายตัว เครือข่ายหวังสานเจตจำนง ชี้ปัญหาขาด ก.ม.ต้านอุ้มหาย

Posted: 12 May 2017 03:23 AM PDT

รำลึก 1 ปีกว่า เด่น คำแหล้ นักต่อสู้สิทธิที่ดินจากทุ่งลุยลาย หายตัวไร้ร่องรอย ชี้อุ้มหายมีจริง 30 ปี 90 ราย โครงสร้างอำนาจรัฐจับมือนายทุน ซ้ำไร้กฎหมายคุ้มครอง ต้านการอุ้มหาย นักวิชาการอัดรัฐตัวการทำป่าเหี้ยน นโยบายย้อนแย้ง ไม่ต่อเนื่อง คนที่ซวยคือชาวบ้าน

12 พ.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ 7-8 พ.ค. ที่ผ่านมา ที่วัดบ้านทุ่งลุยลาย ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน(คปอ.) Focus on the Global South และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม จัดงาน "เวทีรำลึกความทรงจำการหายตัว นายเด่น คำแหล้" รำลึกถึง เด่น คำแหล้ ประธานโฉนดชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เป็นแกนนำเรียกร้องการปฏิรูปที่ดินของชุมชน ซึ่งหายตัวไปเมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2559 โดยชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันออกค้นหาตัว ได้พบร่องรอยหลายอย่าง รวมถึงหัวกะโหลกมนุษย์ แต่ยังไม่สามารถฟันธงว่าอยู่หรือตาย อะไรทำให้หายตัวไป

อุ้มหายไม่ใช่คำคุย ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครอง รัฐจับมือทุนทำชาวบ้านสูญเสีย

ผู้สื่อข่าว สรุปใจความสำคัญที่นำเสนอในเสวนาหลายเวทีของงานรำลึก เด่น คำแหล้ ประกอบด้วย

  • การอุ้มหายเกิดขึ้นจริง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 มีจำนวนถึง 90 คน

  • แม้ไทยลงนามในกฎหมายระหว่างประเทศเรื่องการต่อต้านการทรมานและบังคับสูญหาย แต่ไม่ได้มีผลกับการบังคับใช้กฎหมายภายในประเทศเพราะไม่มีกฎหมายภายในประเทศที่สอดคล้องกัน เมื่อไม่มีกฎหมายรองรับ รัฐจึงถือว่าไม่มีภาระหน้าที่และข้อบังคับที่จะใช้ในกรณีการบังคับสูญหาย เมื่อมีคนหาย ก็มีแต่ชาวบ้านที่เริ่มออกตามหา ด้วยเหตุนี้นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนจึงเสี่ยงต่อการถูกอุ้มหายกันถ้วนหน้า

  • เมื่อมีคดีบุคคลสูญหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ยิ่งจะดำเนินการสอบสวนหาข้อมูลได้ยากขึ้น เช่นกรณีการสูญหายของพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ ที่หายตัวไปภายหลังถูกเจ้าหน้าที่รัฐควบคุมตัว แต่ไม่มีบันทึกว่าได้ปล่อยตัวไปที่ไหน มีความคลุมเครือในเชิงกระบวนการทีต้องสอบสวนต่อไป

  • การมีกฎหมาย มอบหมายภาระหน้าที่และแนวทางการดำเนินการเมื่อมีคนถูกอุ้มหาย ทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ใช้กฎหมายมีเครื่องมือในการปฏิบัติหน้าที่เมื่อมีเหตุดังกล่าว ทั้งยังเป็นกลไกการตรวจสอบการทำให้บุคคลสูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ

  • แต่ก่อนสังคมยอมรับการซ้อมทรมาน บังคับให้สูญหาย เพราะเชื่อว่าเป็นหนึ่งในวิธีการเค้นหาความจริง ทุกวันนี้สังคมเปลี่ยนไป เริ่มมีเสียงเรียกร้องให้เกิดการตรวจสอบเมื่อเกิดการทรมานและการถูกบังคับสูญหาย แต่เจ้าหน้าที่รัฐยังเคยชินกับการซ้อมทรมานและบังคับสูญหายอยู่

  • กระทรวงยุติธรรมได้ยกร่างกฎหมายต่อต้านการซ้อมทรมานและการบังคับสูญหายให้กับ สนช. แต่ก็ถูกปัดตก ด้วยเหตุผลที่ว่ากำลังจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้กระทรวงยุติธรรมนำร่างกฎหมายไปสอบถามผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยไม่กำหนดเงื่อนไขเวลา

  • กรณีของเด่น มีความยากตรงที่ไม่ทราบพฤติการณ์ของการหายตัวไป สืบหายาก จะสันนิษฐานว่าตายแล้วได้ต่อเมื่อได้รับการยืนยันว่าหัวกะโหลกที่พบในป่าเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเป็นของเด่น ส่วนสาเหตุการตายนั้นต้องสืบสวนกันต่อไปหลังจากนั้น

  • ส่วนหนึ่งของปัญหามาจากการทำให้ที่ดินกลายเป็นสินค้า การร่วมมือจากภาครัฐและทุนเอกชน ทำให้เกิดการไล่รื้อที่ดินของชาวบ้านและเป็นที่มาของระดับมาตรการขนาดเบาไปถึงหนัก การอุ้มหายก็เป็นหนึ่งในมาตรการเหล่านั้น

  • คำถามจึงมีว่า นักต่อสู้ฯ ต้องกลับมาคิดว่าจะสู้อย่างไรไม่ให้เกิดการสูญเสียแบบเด่นอีก

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ในทุกเวทีเสวนาได้เรียกร้องให้ทางการกระตือรือร้นกับเรื่องการต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดินของชาวบ้านมากขึ้น และขอให้กลุ่มชาวบ้านรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ สร้างเครือข่ายใหญ่ เพื่อผลักดันให้สิทธิที่ดินของชุมชนเป็นวาระที่รัฐบาลต้องพิจารณา และเพื่อลดโอกาสการถูกอุ้มหายอย่างไร้เบาะแสเพราะติดต่อกันตลอด

อัดรัฐตัวการทำป่าเหี้ยน นโยบายย้อนแย้ง ไม่ต่อเนื่อง คนที่ซวยคือชาวบ้าน

จากซ้ายไปขวา เหมราช ลบหนองบัว บุญเลิศ วิเศษปรีชา นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ทวีศักดิ์ มณีวรรณ

การเสวนาหัวข้อ "เด่น คำแหล้ กับปัญหาที่ดินในสังคมไทย" โดย เหมราช ลบหนองบัว ดำเนินรายการ มี นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ทวีศักดิ์ มณีวรรณ จากสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) และ บุญเลิศ วิเศษปรีชา จากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นวิทยากร

ทวีศักดิ์ กล่าวว่า สื่อประเภทต่างๆ และนโยบายของรัฐ ทำให้คนไทยมักมองคนชนบทเป็นคนทำลายธรรมชาติ ทั้งที่ชาวบ้านในเขตป่าดูแลป่าไม้ เพราะต้องพึ่งน้ำพึ่งป่าในการดำรงชีวิต การทำลายป่าไม้จำนวนมาก แท้จริงมาจากโครงการสัมปทานป่าไม้ เห็นควรว่ารัฐต้องมีนโยบายสนับสนุนให้ชาวบ้านปกป้องป่าไม้ด้วยตนเอง แทนที่จะมาทวงป่าด้วยการไล่ชาวบ้านออกไป

นโยบายทวงคืนผืนป่าของรัฐบาล คสช. ที่มุ่งเพิ่มพื้นที่ป่าทั่วประเทศจากร้อยละ 31 เป็นร้อยละ 40 เท่ากับเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าถึง 26 ล้านไร่ นั่นหมายถึงจะมีชาวบ้านจำนวนมากที่ต้องออกมาจากที่อยู่เดิมในเขตป่า นอกจากนั้น นโยบายของรัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมามีความย้อนแย้ง โดยยกตัวอย่างนโยบายสนับสนุนให้ปลูกยางของรัฐบาลชุดก่อนๆ แต่นโยบายชุดนี้มาไล่ตัดต้นยางเพราะหาว่าบุกรุกพื้นที่ป่า รวมถึงการทำลายป่าเพื่อจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในรัฐบาล คสช. แต่กลับมาเพิ่มพื้นที่ป่าในบริเวณอื่นด้วยการขับไล่ชาวบ้าน ตนสังเกตว่าอัตราการถูกดำเนินคดีของชาวบ้านและแกนนำเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2557

บุญเลิศ กล่าวว่า ชาวบ้านมักตกเป็นจำเลยของสังคมเพราะความรุนแรงเชิงโครงสร้างของการเมืองและอำนาจทำให้เป็นแบบนั้น การลดลงของป่าไม้นั้นแท้จริงมาจากฝีมือของรัฐด้วย ไม่ว่าจะเป็นการตัดถนน การสร้างเขื่อน หรือแม้แต่นโยบายส่งเสริมพืชเศรษฐกิจ ทำให้เกษตรกรถางป่าขยายพื้นที่เพาะปลูก ตอนนี้บรรยากาศการเมืองเปลี่ยนไป แม้อุทยานแห่งชาติจะยังพอรองรับการอยู่อาศัยของชาวบ้านอยู่บ้าง แต่ไม่มีพื้นที่ทางการเมืองให้ชาวบ้านกับรัฐบาลได้พูดคุยกัน

นิรันดร์ กล่าวว่า สิทธิที่ดินนั้นถือเป็นทุนชีวิตของคนไทยทุกคน มีชัย ฤชุพันธ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบอกไว้ว่า สิทธิชุมชนไม่หายไปจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็ต้องมารอพิสูจน์กัน

ภาคประชาสังคมต้องรวมตัวกันต่อสู้กับอำนาจรัฐเพื่อสิทธิของชุมชน สานต่อเจตนารมณ์ของเด่น ไม่เช่นนั้นเท่ากับเด่นได้ตายเปล่า "พ่อเด่นตายไป ทุกวันนี้เรายังพูดถึง แต่ถ้าไม่สู้ต่อไป มาระลึกอย่างเดียว เขาเรียกตายเปล่า

ภาพในงาน

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ละหมาดฮายัต ขอสันติ ที่บิ๊กซีปัตตานี - พบศพเจ้าของรถกระบะที่ถูกนำไปคาร์บอมบ์

Posted: 12 May 2017 01:52 AM PDT

จนท.เตรียมออกหมายจับ เพิ่มอีก 2 คน พร้อมเผยรายชื่อผู้ลงมือก่อเกตุ เพิ่ม 8 คน บิ๊กซีปัตตานี ละหมาดฮายัต ขอสันติสุขชายแดนใต้ วานนี้พบศพเจ้าของรถกระบะที่ถูกนำไปคาร์บอมบ์ ขณะที่กอ.รมน.ภาค 4 แถลงคดีระเบิดบิ๊กซี และระเบิดเสาไฟฟ้า หลายจุดต้นเดือน เม.ย. 

พิธีละหมาดฮายัต ขอสันติสุขชายแดนใต้ ที่ห้างบิ๊กซีปัตตานี 

12 พ.ค.2560 จากเหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดในห้างบิ๊กซี อ.เมือง จ.ปัตตานีเมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 50 คน โดยมีผู้บาดเจ็บสาหัส 4 คน (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) ล่าสุดวันนี้ (12 พ.ค.60) เวลาประมาณ 15.00 น. เฟซบุ๊ก 'Thapanee Ietsrichai' ของ ฐปณีย์ เอียดศรีไชย เฟซบุ๊กไลฟ์ พิธีละหมาดฮายัต ขอสันติสุขชายแดนใต้ ที่ห้างบิ๊กซีปัตตานี 

พบศพเจ้าของรถกระบะที่ถูกนำไปคาร์บอมบ์

วานนี้ (11 พ.ค.60) ไทยพีบีเอสรายงานว่า หลังพบรอยเลือด บริเวณมัสยิดใน ต.ปะกาจินอ เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังค้นหาพื้นที่ใกล้เคียง จนล่าสุดพบศพที่คาดว่าจะเป็น นุสน ขจรคำ คนขับรถยนต์กระบะที่ถูกนำมาประกอบระเบิดห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ปัตตานี เมื่อ 2 วันก่อน ถูกทิ้งบริเวณบ้านเกาะเปาะเหนือ ต.เกาะเปาะ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี หลังสอบปากคำพยานและเชิญตัวคนในพื้นที่เข้ามาให้ข้อมูลหลายคน โดยเฉพาะอิหม่ามประจำมัสยิดในตำบลปะกาจินอ และข้าราชการท้องถิ่น ตามที่พบรอยเลือดก่อนหน้านี้

พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี เปิดเผยว่า การพบศพของนายนุสน ขจรคำ เป็นการขยายผล หลังการจับกุมเเนวร่วมระดับสั่งการ 2 คน ใน จ.ปัตตานี ที่ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ร่วมลงมือก่อนจะนำศพมาทิ้งที่ หมู่ 1 ต.เกาะเปาะ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เเละในวันพรุ่งนี้จะออกหมายจับเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 คน จากผู้ร่วมก่อเหตุที่มีประมาณ 5-6 คน

กอ.รมน.ภาค 4 แถลงคดีระเบิดบิ๊กซี และระเบิดเสาไฟฟ้า หลายจุดต้นเดือน เม.ย.

ขณะที่ วันนี้ (12 พ.ค.60) ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) แจ้งว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ณ ศูนย์ประชาสัมพันธ์ฯ โดย พ.อ.ยุทธนาม เพชรม่วง รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. ขอชี้แจงความคืบหน้ากรณีการติดตามจับกุมคนร้ายก่อเหตุรุนแรง 2 กรณี ดังนี้ 

กรณีแรก จากเหตุระเบิดที่ห้างบิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาปัตตานี ดังกล่าว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้  พล.อ.อ.เกษม อยู่สุข หัวหน้าสำนักงานราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นผู้แทนพระองค์ นำดอกไม้และสิ่งของพระราชทานรวมถึงพระราชทานความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แก่ประชาชนผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดห้างบิ๊กซี ซุปเปอร์เซนเตอร์ สาขาปัตตานี ณ  โรงพยาบาลปัตตานี  อำเภอเมืองปัตตานี  จังหวัดปัตตานี และโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ 

พ.อ.ยุทธนาม เพชรม่วง รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. 

และในวันเดียวกัน สำนักจุฬาราชมนตรี ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง ขอประณามกรณีการวางระเบิดห้างบิ๊กซี จังหวัดปัตตานี จนเป็นเหตุให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บ โดย สำนักจุฬาราชมนตรีได้แสดงความเสียใจต่อประชาชนผู้ได้รับบาดเจ็บและขอประณามการกระทำอันเหี้ยมโหดและไร้มนุษยธรรม เป็นการกระทำที่ละเมิดกับหลักธรรมคำสอนของทุกศาสนาอย่างร้ายแรงและในทางศาสนาอิสลามถือเป็นบาปใหญ่ ที่พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษผู้ก่อเหตุก่อนสิ่งอื่นใดในวันพิพากษาตามวจนะศาสดามุฮัมมัดว่า "สิ่งแรกที่มนุษย์จะถูกพิพากษาในวันปรโลก คือ การละเมิดเลือดเนื้อ  และชีวิต"

จากกรณีดังกล่าว พล.ท.ปิยวัฒน์  นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว นุสน  ขจรคำ และผู้ได้รับบาดเจ็บในเหตุครั้งนี้ พร้อมกันนี้ ได้สั่งการให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการการเยียวยาอย่างเต็มที่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนและให้ทุกฝ่ายเร่งดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมและผลการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำความผิดตลอดจนขยายผลสู่ผู้ปฏิบัติการร่วมในเหตุดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ การกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเป็นการกระทำที่สร้างความเดือดร้อนต่อพี่น้องประชาชนโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับพื้นที่และไม่สนใจความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ของเด็ก สตรี คนชรา รวมถึงประชาชนทุกศาสนิกชน  โดยมุ่งหวังก่อเหตุรุนแรง เพื่อผลประโยชน์และวัตถุประสงค์ของกลุ่มตนเพียงอย่างเดียวไม่คำนึงถึงว่าเด็กและผู้หญิงจะจับจ่ายใช้สอยซื้อชุดนักเรียนและอุปกรณ์การศึกษาเพื่อเตรียมการเปิดภาคเรียนในเร็ววันนี้  ทั้งนี้  สันติสุขอย่างแท้จริงต้องเกิดจากพี่น้องประชาชนทุกคนร่วมมือร่วมใจกันออกมาต่อต้านและประณามการใช้ความรุนแรงที่กระทำต่อผู้บริสุทธิ์อันเป็นการกระทำสุดโต่ง โหดเหี้ยม  ไร้จิตสำนึก  ดังนั้น  ขอให้พี่น้องประชาชนทุกคนร่วมกันตรวจสอบและสอดส่องสิ่งผิดปกติเพื่อเฝ้าระวังร่วมกันหากพบเห็นบุคคลยานพาหนะหรือสิ่งผิดปกติใดกรุณาแจ้งที่หมายเลข 1341 ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งที่หมายเลข 191  

กรณีที่ 2 เมื่อวันที่ 6 - 7 เม.ย. ที่ผ่านมา คดีระเบิดเสาไฟฟ้า หลายจุดในพื้นที่จังหวัดปัตตานี มีการออกหมายจับแล้ว 3 หมายจับ และสามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาได้จำนวน 2 คน คือ มัฮหมูด หาแว และ อัสรีย์ โต๊ะเย๊ะ นั้น จากการรวบรวมพยานหลักฐานและข้อมูลทางการข่าว เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2560 พล.ท.ปิยวัฒน์ ได้แถลงข่าวกรณีการขยายผลการซักถามของสถานีตำรวจภูธรอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ไปสู่การบูรณาการร่วมกันของ ผู้บัญชาการกองกำลังตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานีกองกำลังทหารพรานจังหวัดชายแดนภาคใต้ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 43 เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นสถานศึกษาแห่งหนึ่งในอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี และสามารถควบคุมตัว อาหามะ สะอุ ได้ และจากการรวบรวมด้านการข่าวทราบว่ามีการใช้สถานศึกษาบางแห่งซ่องสุมกำลังและวางแผนในการก่อเหตุ พร้อมให้การยอมรับว่า เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางระเบิดเสาไฟฟ้า และให้ข้อมูลเบื้องต้นสำคัญอื่นๆ ดังนี้ (1)  การก่อเหตุระเบิดครั้งนี้ ใช้ผู้ก่อเหตุ 2 คน ต่อระเบิด 1 ลูก (2) เหตุก่อกวนเมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2560 ผู้ก่อเหตุเป็นทีมปฏิบัติการ โดย 1 ทีม ต่อ ระเบิด 3 ลูก และ (3) ผู้ก่อเหตุชุดปฏิบัติการจะอาศัยอำพรางแฝงตัวหลบซ่อนปะปน ในหมู่บ้านสถานศึกษา สถานที่ทางศาสนาหลายแห่งในพื้นที่โดยข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากผลการซักถามจักนำไปสู่กระบวนการบังคับใช้กฎหมายและการออกหมายจับผู้กระทำความผิด ตลอดจนการวางมาตรการป้องกันเพิ่มเติมซึ่งขณะนี้ความคืบหน้าของคดีมีมากขึ้นโดยลำดับ  

เตรียมออกหมายจับ เพิ่มอีก 2 คน พร้อมเผยรายชื่อผู้ลงมือก่อเกตุ เพิ่ม 8 คน

พล.ต.จตุพร กลัมพสุต ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี กล่าวว่า คนร้ายที่ก่อเหตุใช้ศาสนสถานในการก่อเหตุในการปล้นและฆ่าเจ้าทรัพย์ ตอนนี้รู้ตัวผู้ร่วมก่อเหตุแล้วทั้งหมด และได้ควบคุมตัวแล้ว 2 คน ขณะนี้ทั้งสองได้รับสารภาพแล้วว่ามีส่วนร่วมในการก่อเหตุครั้งนี้ และได้เปิดเผยพฤติการณ์ต่าง ๆ ทั้งเส้นทางสถานที่ใช้ในการวางแผน รวมไปถึงรายชื่อผู้ร่วมกระทำในครั้งนี้ คนที่ร่วมกันฆ่า นุสน ขจรดำ ประกอบด้วย 1. อันนุงวา กาซอ หรือ แบเลาะ 2. รุสลัน ใบหมะ หรือ รุสดี 3. เมาลานา ส่าเมาะ 4. อิสมาแอล มอซู หรือ แอ 5. บูคอลี หลำโซะ 6. อับดุลอาซิ จะปะกิยา 7. มะนาเซ  ไซดี หรือ นาเซ และ 8. มูฮำมัด กาซอ หรือ เลาะ ซึ่งทั้ง 8 คนขณะนี้ได้หลบหนีไปแล้ว และจากข้อมูลพบว่าต่างคนแยกกันหลบหนีเข้าไปในพื้นที่ อำเภอยะหา จังหวัดยะลา อำเภอสะบ้าย้อย  อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี บางคนยังกบดานในพื้นที่ และจากการตรวจสอบประวัติทั้ง 8 คนพบว่ามีหมายจับและก่อเหตุมาอย่างโชกโชนในหลายพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ยังคงไล่ล่าทุกเป้าหมายที่ได้รับแจ้ง ส่วน สูไฮมี สมาแอ ที่ถูกจับกุมก่อนที่จะมีการพบศพ นุสน นั้นรับสารภาพว่าร่วมกันวางแผนและฆ่าชิงรถยนต์กระบะนำไประเบิดห้างบิ๊กซี  และเชื่อว่ากลุ่มคนร้ายที่ยังหลบหนีน่าจะยังคงมีแผนในการก่อเหตุและจะกลับเข้ามาก่อเหตุอีกครั้ง

ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี กล่าวอีกว่า ครั้งนี้คนร้ายมีการวางแผนใช้มัสยิดในการก่อเหตุ และอาจจะมีการบีบบังคับบุคคลทางศาสนามาร่วมก่อเหตุ ซึ่งเป็นการสร้างความแตกแยกระหว่างประชาชนในพื้นที่ ฉะนั้นก็อยากให้ประชาชนอย่าตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มวงจรอุบาทเหล่านี้ และให้มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจะร่วมกันแก้และปกป้องความปลอดภัยให้ประชาชนอย่างเต็มที่และขอความร่วมมือทุกคนมาช่วยกันแจ้งเบาะแส

ส่วนเหตุผลทำไมที่คนร้ายใช้ห้างบิ๊กซีก่อเหตุนั้น เพราะแรงจูงใจที่มาจากอุดมการณ์ เพราะประชาชนมาให้ความร่วมมือกับรัฐ เช่นคดีครั้งนี้ ฉะนั้น คนร้ายจึงใช้ความรุนแรงมาควบคุมมวลชนไม่ให้เข้ามาร่วมมือกับรัฐ ส่วนนายสะมะแอ ผู้ดูแลมัสยิดหนึ่งในผู้ต้องสงสัยและถูกควบคุมตัวตามกฏอัยการศึกและให้การรับสารภาพที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีนั้น ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากถูกบีบบังคับจำยอมให้ใช้สถานที่มาก่อเหตุ ส่วนคนร้ายที่ก่อเหตุปล้นฆ่าและการใช้รถยนต์ประกอบระเบิดครั้งนี้เป็นกลุ่มเดียวกัน

พล.ต.ตปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี เปิดเผยว่า  ผู้ต้องสงสัย 2 คนที่ถูกควบคุมตัวขณะนี้ได้ให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอย่างมาก จนเจ้าหน้าที่รู้เส้นทางการวางแผน พฤติกรรมต่าง ๆ จึงไปถึงกลุ่มขบวนการที่ร่วมก่อเหตุทั้งหมด ขณะนี้กำลังรวบรวมพยานต่าง ๆ ทั้ง 2 จุด เรามั่นใจว่าจะออกหมายจับได้แน่นอน เมื่อคืนเจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังปิดล้อมหลายจุดปรากฏว่าเป้าหมายได้หลบหนีไปแล้ว ยอมรับว่า นอกจากสองคนที่ถูกคุมตัว ส่วนอีก 8 คนรู้ตัวแล้วและหลบหนีอยู่ แต่ยังมีอีกหลายคนที่อยู่ในขบวนการร่วมก่อเหตุทั้งปล้นฆ่าและระเบิดห้างบิ๊กซี ซึ่งกระบวนการสอบสวนที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่มีข้อมูลที่เชื่อมโยงกันหลายกลุ่ม ส่วน นายก อบต.ที่ถูกเชิญตัวมานั้น เพราะวันเกิดเหตุกำลังทำงานอยู่บริเวณที่เกิดเหตุจึงได้เชิญตัวมาในฐานะพยานในที่เกิดเหตุและให้กลับบ้านแล้ว

สำหรับคดีในครั้งนี้เป็นคดีใหญ่ที่ได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก ทุกฝ่ายได้ดำเนินการอย่างเต็มกำลัง โดยบูรณาการในการเข้าไปดำเนินการทางคดี และมีความคืบหน้าไปมากแล้ว ขณะนี้มีผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมตัวอยู่ และอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด อีกทั้งให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีเป็นอย่างมาก ซึ่งผู้ก่อเหตุรุนแรงในครั้งนี้มีมากกว่า 10 คน มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน และมากพอสมควรที่จะเป็นส่วนสำคัญ ในการดำเนินคดีให้คลี่คลายได้ในไม่ช้า

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘พระโค' กิน 'หญ้า' แน่นอน สถิติกินติดต่อกัน 15 ปีแล้ว

Posted: 12 May 2017 12:00 AM PDT

หลังจากปี 60 พระโค กิน 'ข้าว ข้าวโพด หญ้า' เปิดสถิติย้อนไป 21 ปี กินหญ้าถึง 18 ครั้ง และกินติดต่อกันมา 15 ปี นับตั้งแต่ ปี 46 - 60 ขณะที่น้ำกินน้อยที่สุด คือ 2 ครั้งในรอบ 21 ปี

12 พ.ค.2560 วันพืชมงคล ซึ่งช่วงเช้าได้มีพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ที่ท้องสนามหลวง โดยในปีนี้ ธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่พระยาแรกนา ได้ยาตราขบวนพร้อมเทพี โดยมีพระโคเพิ่ม พระโคพูล เป็นพระโคประจำปีนี้

และพระโคเพิ่มและพระโคพูล เสี่ยงทายของกิน 7 สิ่ง ได้แก่ ข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่วเขียว งา เหล้า น้ำ หญ้า ปรากฎว่า กินข้าว ข้าวโพด หญ้า พยากรณ์ว่า ธัญญาหาร ผลาหาร จะบริบูรณ์ดี น้ำท่าจะบริบูรณ์พอสมควร ธัญญาหารผลาหาร ภักษาหาร มังสาหารจะอุดมสมบูรณ์ดี

ที่มา TCIJ 

สำหรับสถิติการเสี่ยงทายของกิน 7 สิ่ง ของพระโคนั้น ศูนย์ข้อมูล & ข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง หรือ TCIJ ได้ประมวลไว้ ตลอด 20 ปีก่อนหน้านี้ หรือตั้งแต่ปี 40 เป็นต้นมา พบว่า ในรอบ 20 ปี พระโคกินหญ้ามากที่สุดคือ 17 ครั้ง และเมือบวกครั้งล่าสุดคือปี 60 เท่ากับในรอบ 21 ปี พระโคกิน หญ้าถึง 18 ครั้ง และกินหญ้าติดต่อกันมา 15 ปี นับตั้งแต่ ปี 46 - 60 ขณะที่น้ำกินน้อยที่สุด คือ 2 ครั้งในรอบ 21 ปี ส่วนที่เหลือจะเฉลียกิน

โดยความหมายของคำทำนายนั้น ผู้จัดการออนไลน์ ได้อธิบายไว้ดังนี้

หากพระโคเลือกกิน "ข้าวเปลือก" หรือ "ข้าวโพด" พยากรณ์ว่า ธัญญาหาร (หมายถึง อาหาร คือ ข้าว) ผลาหาร (ผลไม้) จะบริบูรณ์ดี
       
หากพระโคเลือกกิน "ถั่ว" หรือ "งา" พยากรณ์ว่า ผลาหาร ภักษาหาร (หมายถึง อาหารที่กินเป็นประจำ เช่น หญ้าคือภักษาหารของวัว เนื้อสัตว์คือภักษาหารของเสือ เป็นต้น) จะอุดมสมบูรณ์ดี
       
หากพระโคเลือกกิน "เหล้า" พยากรณ์ว่า การคมนาคมจะสะดวกขึ้น การค้าขายกับต่างประเทศจะดีขึ้น เศรษฐกิจจะรุ่งเรือง
       
หากพระโคเลือกกิน "น้ำ" หรือ "หญ้า" พยากรณ์ว่า น้ำท่าจะบริบูรณ์พอสมควร ธัญญาหาร ผลาหาร ภักษาหาร มังสาหาร (หมายถึง เนื้อสัตว์) จะอุดมสมบูรณ์ดี

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: ลูกชาวนา

Posted: 11 May 2017 08:21 PM PDT

 


ห้วยละหารบ้านเคยเนาแต่เก่าก่อน
และกรวดก้อนดินทรายทั้งหลายแหล่
เคยผาลผ่านเคยไถดะเคยไถแปร
เคยพืชพันธุ์ตะลึงแลตระการ

ล้วนผสานผสมกลมกลืนชีวิต
พิศดูไปคล้ายล่วงผ่าน
สายใยใดผูกพันวิญญาณ
คือสายแนนยั่งยืนนานที่ลับเลย

คิดถึงทุ่ง, นที, วิถีชีวิต
ที่เผลอนิดก็ร่วงหายไม่ทันเอ่ย
จวนวันเริ่มฤดูกาลหว่านไถเคย
ก็เปลี่ยนแล้วเกินเปรียบเปรยว่าใดแปลง

ห้วยละหารบ้านเราก็เศร้าสร้อย
ชาวนาคอยดูทีวีเขาแถลง
ให้พระโคกำหนดบทแสดง
ไม่มีนาให้บ่า, แล้ง ทุกข์ระทม

แล้วพรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานต่อ
ตอกบัตรรอเวลาอย่างสาสม
ตกเย็นออกจากห้องแอร์ก็ซานซม
กลับมาจมใจหวนคร่ำครวญประจำ!

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น