โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเดินหน้าฟ้องคดีแบบกลุ่ม หลังโคเรียคิงไม่เจรจา ขอลูกค้าติดต่อบริษัทเอง

Posted: 25 May 2017 12:22 PM PDT

กระทะโคเรียคิงไม่ประสงค์จะเจรจามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และจะดำเนินการเยียวยากับผู้บริโภคเอง โดยให้ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของบริษัทฯ ด้านมูลนิธิฯ เตรียมฟ้องร้องคดีแบบกลุ่ม ชี้ความเสียหาย ส่วนหนึ่งมาจากผลของการการโฆษณาเกินจริง

25 พ.ค. 2560 รายงานข่าวจาก องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน แจ้งว่า วันนี้ (25 พ.ค.60) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคร่วมกับ คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน ( คอบช.) แถลงผลการนัดเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างกลุ่มผู้บริโภคที่ร้องเรียนกับมูลนิธิ ฯ

สาวสารี  อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า หลังจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคประกาศ ฟ้องคดีแบบกลุ่มแทนผู้บริโภค กรณีกระทะโคเรียคิงที่โฆษณาทำให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญของการโฆษณา และคุณภาพสินค้าไม่เป็นไปตามที่มีการโฆษณา ถือว่าเป็นการโฆษณาที่ไม่เป็นธรรมและผิดกฎหมายต่อผู้บริโภค โดยมีผู้บริโภคประสงค์จะฟ้องคดีแบบกลุ่ม จำนวน 109 ราย โดยขั้นตอนการทำงานของมูลนิธิฯ ได้นัดเจรจาไกล่เกลี่ยกับบริษัท Wizard Solution จำกัด หรือ Korea King (ประเทศไทย) ในวันนี้ (25 พ.ค.) แต่ทางตัวแทนของบริษัทได้แจ้งกับมูลนิธิ ฯ ว่า ไม่ประสงค์จะเจรจา และจะดำเนินการเยียวยากับผู้บริโภคเอง โดยให้ผู้บริโภคติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของบริษัทฯ ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิฯ จึงเดินหน้าฟ้องคดีให้แก่ผู้บริโภค โดยจะฟ้องเป็นคดีแบบกลุ่ม และเชื่อว่าคดีนี้จะเป็นคดีผู้บริโภคตัวอย่าง เพื่อทำให้ภาคธุรกิจหันมาให้ความสำคัญกับการโฆษณาสินค้าและคุณภาพสินค้าเป็นไปตามที่โฆษณาให้ดีมากขึ้น

ศิษฐวัศ ภาคินสกุลพัฒน์ ทนายอาสา รับผิดชอบคดีนี้ของมูลนิธิฯ ขณะนี้ได้เตรียมจัดทำคำฟ้อง และเห็นว่า การฟ้องแบบกลุ่ม จะทำให้ผู้บริโภคทุกคนได้รับความเป็นธรรม เพราะหากผู้บริโภคแต่ละคนไปฟ้องคดีจะเป็นภาระกับผู้บริโภคมมาก โดยกรณีนี้จะคุ้มครองผู้บริโภคทุกคนที่ได้รับความเสียหายจากการซื้อสินค้าหรือใช้สินค้าดังกล่าว

ภูวดิท ชลาธารโฆษิต ตัวแทนผู้เสียหายที่ซื้อกระทะโคเรียคิง บอกเหตุผลว่า ตนเองมีปัญหาสุขภาพ เป็นความดันสูง ไขมัน เห็นว่ากระทะนี้เคลือบ 8 ชั้นไม่ต้องใช้น้ำมัน และเห็นโฆษณาบ่อยมาก และพรีเซ็นเตอร์ทำให้เห็นน่าเชื่อถือ ก็ตัดสินใจซื้อ

บุญยืน ศิริธรรม กรรมการ คอบช. กล่าวว่า ความเสียหายของผู้บริโภคในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากผลของการการโฆษณาเกินจริง ซึ่งแม้ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.จะออกมาดำเนินการระงับโฆษณาดังกล่าว และให้กลับไปแก้ไข คอบช. ขอให้บังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคกำหนดบทลงโทษทางอาญา ในความผิดฐานโฆษณาเกินจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้น ในเมื่อ สคบ.พิจารณาว่าเป็นโฆษณากระทะเกินจริง เหตุใดจึงแค่ระงับการออกอากาศชิ้นงานโฆษณาเท่านั้น ไม่ได้มีมาตรการลงโทษทางอาญาจากการโฆษณาเกินจริงด้วย การสั่งให้ระงับโฆษณา และนำโฆษณาไปแก้ไขให้ถูกต้อง อาจเป็นมาตรการที่ถือว่าเบาเกินไป เมื่อเทียบกับความเสียหายของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง

นฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากการประชุมหารือกับตัวแทนผู้บริโภคที่ร้องเรียนและร่วมฟ้องคดีกับมูลนิธิฯ ในครั้งนี้ เห็นร่วมกันว่า จะเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินตามราคาของกระทะที่ผู้บริโภคได้ซื้อไป ซึ่งรุ่นไดมอนด์อยู่ที่ราคา 3,900 บาท และรุ่นโกลด์ ราคา 3,300 บาท  รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ค่าเดินทางเพื่อติดต่อร้องเรียนหน่วยงานต่างๆ   นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้มีหนังสือไปยังกรมศุลกากร เพื่อขอข้อมูลจำนวนสินค้าและราคานำเข้าของสินค้าดังกล่าว เพื่อประกอบการดำเนินคดี และในระหว่างนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานต่างๆ เพื่อจัดทำคำฟ้องคดีแบบกลุ่ม ซึ่งคาดว่าจะฟ้องได้ ภายในเดือนมิถุนายนนี้

นอกจากนี้ ในตลาดยังพบว่ามีสินค้าอื่นๆ ที่ใช้กลยุทธ์การตั้งราคาปลอม แล้วค่อยลดลงมา สร้างแรงจูงใจในการซื้อสินค้าอื่นๆ เช่น เครื่องออกกำลังกาย เครื่องสำอาง สินค้าต่างๆ ซึ่งเสนอขายผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ที่ยังมีการโฆษณาในลักษณะนี้ ไร้การควบคุม และกำลังแพร่หลายในสื่อออนไลน์ต่างๆ ซึ่งหน่วยงานรัฐ ที่เกี่ยวข้อง ควรเข้มงวดในการตรวจสอบโฆษณาเหล่านี้ ก่อนออกสู่สายตาของผู้บริโภค

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประวิตร มาแล้ว ชี้ระเบิด รพ.พระมงกุฏฯ "พวกใกล้ๆ เรานี่แหละ" - รบพิเศษสับกำลังคุมเข้มทำเนียบ

Posted: 25 May 2017 09:43 AM PDT

พล.อ.ประวิตร ยันไม่ได้ป่วย ไม่ได้นอนอยู่โรงพยาบาล ชี้เหตุระเบิด รพ.พระมงกุฏฯ "ไม่มีใครหรอก พวกใกล้ๆเรานี่แหละ" ขณะที่วานนี้รบพิเศษ สับเปลี่ยนกำลังคุมเข้มทำเนียบ ยันไม่โยงเหตุระเบิด - รวบ 2 ชายต้องสงสัยพร้อมวัตถุคล้ายระเบิดที่สายใต้ใหม่ สุดท้ายเป็นระเบิดปลอม

 

แฟ้มภาพ

25 พ.ค. 2560 สื่อหลายสำนัก เช่น คมชัดลึกออนไลน์ และไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า ล่าสุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ด้วยน้ำเสียงแจ่มใส โดยยืนยันไม่ได้ป่วย และไม่ได้นอนอยู่ที่โรงพยาบาลตามที่มีข่าวออกมา และไม่ขอแก้ข่าว ปล่อยให้คิดกันไปเอง "ฉันไม่อยู่สักคน มันแปลกประหลาดรึไงนะ" 

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในกรุงเทพมหานครขณะนี้ ได้สั่งการให้ทหารเร่งระบายน้ำออกจากถนนใหญ่ให้หมดโดยเร็ว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน และให้รถแล่นได้ ส่วนปัญหารถติดก็พยายามแก้ไขอยู่
 
ส่วนเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นฝีมือของกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร บอกว่า "ยังไม่ฟันธง แต่ไม่มีใครหรอก พวกใกล้ๆเรานี่แหละ"
 
โดยช่วงสายของวันนี้ สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แจ้งข่าวผ่านไลน์ผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล  ว่า พล.อ.ประวิตร สั่งการให้ทุกเหล่าทัพติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติจากพายุฤดูฝน ที่กำลังเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ทั่วประเทศอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้ตรวจสอบระบบระบายและเก็บกักน้ำที่จัดทำขึ้น ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมพร้อมให้การช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำท่วมขังและดินถล่ม ให้ทันต่อเหตุการณ์ โดยให้ประสานและสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด
 
พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังให้ทุกเหล่าทัพดำเนินการฝึก และให้ความรู้แก่นักศึกษาวิชาทหารและกำลังพลสำรอง ที่จะเข้ารับการฝึกตามแผนเรียกพลประจำปี 60  ในการบรรเทาสาธารณภัยควบคู่กันไป เพื่อให้มีความพร้อมสำหรับปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชน ในภาวะวิกฤตของทุกภัยพิบัติ โดยเฉพาะอุทกภัยที่เกิดขึ้นในทุกปี
 
สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า พล.ท.คงชีพ ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนทางโทรศัพท์ กรณีวันนี้ (25 พ.ค.) พล.อ.ประวิตร จะเข้าปฏิบัติภารกิจที่ใด ว่า วันนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล และกระทรวงกลาโหม ไม่มีภารกิจหรือวาระงาน ที่ พล.อ.ประวิตรต้องเข้าไปร่วมประชุม  จึงคาดว่าอาจจะปฏิบัติภารกิจ และนั่งทำงานอยู่ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ  

รบพิเศษ สับเปลี่ยนกำลังคุมเข้มทำเนียบ ยันไม่โยงเหตุระเบิด

ขณะที่วานนี้ (24 พ.ค.60) สื่อหลายสำนัก เช่น ไทยพีบีเอส ผู้จัดการออนไลน์ รายงานตรงกันว่า กองพันจู่โจม กรมรบพิเศษที่ 3 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ค่ายเอราวัณ จ.ลพบุรี 20 นาย เข้าตรวจความเรียบร้อย สถานที่โดยรอบทำเนียบรัฐบาล รวมถึงภายในอาคารทุกอาคาร เพื่อเตรียมสับเปลี่ยนกำลังสำหรับรักษาความปลอดภัยทำเนียบรัฐบาลกับทหารชุดเดิม ที่ประจำการมากว่า 6 เดือน ถือเป็นการผลัดเปลี่ยนตามวงรอบตามปกติไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้

การตรวจตราพื้นที่ทำเนียบฯ จะเน้นทางเข้าออก เพราะกำลังมีการก่อสร้าง และกิจกรรมตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ทำให้มีคนพลุกพล่านจำนวนมาก นอกจากนี้ยังคงมีตำรวจสันติบาลและทหารประจำตามจุดต่างๆ ตรวจตราบุคคลและยานพาหนะที่ผ่านเข้าออกในพื้นที่อย่างเข้มงวด

อย่างไรก็ตาม พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก เคยเป็นผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ หรือเบเรต์แดง เมื่อปี 2556 ก่อนที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ขณะที่ การรักษาความปลอดภัยโดยรอบพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล ยังคงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลและทหารประจำตามจุดต่างๆ ตรวจตราบุคคลและยานพาหนะที่ผ่านเข้าออกในพื้นที่อย่างเข้มงวด

รวบ 2 ชายต้องสงสัยพร้อมวัตถุคล้ายระเบิดที่สายใต้ใหม่ สุดท้ายเป็นระเบิดปลอม

วันนี้ (25 พ.ค.60) ไทยพีบีเอส, ผู้จัดการออนไลน์ และสื่ออีกหลายสำนัก รายงานตรงกันว่า เมื่อเวลา 16.30 น.ที่ผ่านมา มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ หลังมีรายงานว่ามีชายต้องสงสัยเตรียมก่อเหตุก่อกวนกรณีวางวัตถุต้องสงสัย หน้าธนาคารออมสิน สาขาสายใต้ใหม่ โดยถือวัตถุคล้ายระเบิดอยู่ในสถานี

เมื่อเข้าตรวจสอบพบผู้ต้องสงสัย 2 คนดังกล่าวจึงเข้าตรวจค้น พบกระเป๋าพลาสติกภายในกระเป๋าเป็นอุปกรณ์คล้ายระเบิดพร้อมถ่านประจุจึงทำการจับกุม และเมื่อตรวจสอบแล้วเป็นระเบิดปลอม จึงนำสองผู้ต้องหาไปสอบสวนที่ สน.ต่อไป

รายงานข่าวระบุ ข้อมูลผู้กำกับการ สน.ตลิ่งชัน ว่าหลังได้รับแจ้งเหตุดังกล่าวจึงเข้าทำการตรวจค้นพร้อมกับเจ้าหน้าที่อีโอดีเข้าตรวจสอบ ยืนยันว่าเป็นระเบิดปลอม 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ระเบิดพลีชีพสถานีเดินรถในจาการ์ตา ตาย 3 เจ็บ 8 เชื่อไอเอสมีเอี่ยว

Posted: 25 May 2017 06:31 AM PDT

ระเบิดพลีชีพสองลูกห่างกัน 5 นาที ตำรวจคุมขบวนประเพณีก่อนเข้าช่วงศีลอดตาย 3 บาดเจ็บรวม 10 โฆษกตำรวจเชื่อ มือระเบิดโยงกลุ่มไอเอส ระบุตัวได้แล้วหนึ่ง นักวิเคราะห์เชื่อ ระเบิดมุ่งเอาชีวิตตำรวจตั้งแต่แรก

ภาพจากเหตุการณ์ระเบิดที่สถานีเดินรถ กัมปัง เมลายู (ที่มา: Youtube/Lyna TV2)

25 พ.ค. 2560 เมื่อคืนวันที่ 24 พ.ค. เวลาราว 21.00 น. (เวลาท้องถิ่น) เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่สถานีเดินรถกัมปัง เมลายู ทางทิศตะวันออกของกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย

ระเบิดเกิดขึ้นสองครั้งในเวลาไล่เลี่ยกันในบริเวณสถานีเดินรถ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่มีผู้คนพลุกพล่าน ระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย ทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังดูแลความเรียบร้อยให้ขบวนพาเหรดที่เป็นประเพณีปฏิบัติก่อนจะเข้าสู่ช่วงถือศีลอดของชาวมุสลิม มีประชาชนและตำรวจบาดเจ็บรวมกันทั้งสิ้นอย่างน้อย 8 คน

เซตโย วาซิสโต จเรตำรวจและโฆษกตำรวจแห่งชาติกล่าวว่า ตำรวจทราบก่อนแล้วว่าอาจจะมีเหตุระเบิดในกรุงจาการ์ตา แต่ไม่ทราบว่าที่ไหน และตั้งข้อสงสัยว่ามือระเบิดอาจจะเกี่ยวโยงกับกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายในประเทศอื่น กรณีนี้หมายรวมถึงเหตุระเบิดในเมืองแมนเชสเตอร์เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา

วันนี้ ประธานาธิบดี โจโจ วิโดโด แห่งอินโดนีเซียได้ออกมากล่าวแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียและเรียกร้องให้ชาวอินโดนีเซียสามัคคีกัน อยู่ในความสงบ "นี่มันมากเกินไปแล้ว คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างกับคนขับมินิแวนตกเป็นเหยื่อพร้อมกับตำรวจ...ผมขอแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้งให้กับผู้ประสบภัยและครอบครัวของพวกเขา ทั้งผู้ที่กำลังรับการรักษาพยาบาลและผู้ที่จากไปแล้ว โดยเฉพาะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เสียชีวิตในหน้าที่" ทั้งนี้โจโจ ได้มีคำสั่งให้ พล.ตร.อ. ติโต คาร์นาเวียนออกไล่ล่าเครือข่ายของมือระเบิดแล้ว

ตำรวจเชื่อไอเอสอยู่เบื้องหลังระเบิด นักวิเคราะห์คาด ระเบิดมุ่งสังหารตำรวจอยู่แล้ว

อาวี เซโตโน โฆษกตำรวจแห่งชาติออกมาให้ข้อมูลว่า เหตุระเบิดดังกล่าวอาจเกี่ยวโยงกับกลุ่มรัฐอิสลามหรือไอเอส ตัวระเบิดเป็นระเบิดชนิดเดียวกันที่ใช้กับเหตุก่อการร้ายที่เมืองบันดุงในดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพียงแต่ครั้งนี้มีการเตรียมการมาดี และเป็นที่เชื่อว่า กลุ่ม เจมาห์ อานชาร์ ดาอูลาห์ (JAD) กลุ่มที่ประกาศความจงรักภักดีต่อกลุ่มไอเอสอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ นอกจากนี้ อาวียังระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าไปค้นบ้านหลังหนึ่งในเมืองบันดุงที่มีแนวโน้มจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ด้วย

ล่าสุด สำนักข่าว เดอะ จาการ์ตา โพสต์ รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถระบุตัวหนึ่งในผู้ก่อการได้แล้ว ชื่อว่า อิชวาน นูรูล ซาลาม อายุ 32 ปี อย่างไรก็ตาม โฆษกตำรวจแห่งชาติยังไม่ยืนยันข้อมูลดังกล่าว แต่ให้ข้อมูลว่าระเบิดถูกจุดชนวนห่างกันราว 10-12 เมตร

ซิดนีย์ โจนส์ ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์ความขัดแย้งของนโยบาย (Institute for Policy Analysis of Conflict - IPAC) ให้ความเห็นว่า การโจมตีดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเฉพาะ เพื่อเป็นการตอบโต้ที่ตำรวจในฐานะที่เป็นสถาบันที่จับกุมและสังหารนักรบมุสลิมหัวรุนแรง เป็นเสมือนผู้พิทักษ์ของรัฐที่ปฏิเสธการใช้ศาสนาอิสลาม

ซิดนีย์ ยังกล่าวว่า ทุกวันนี้ไม่มีใครป้องกันภัยก่อการร้ายได้อีกแล้ว โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์ระเบิดที่เมืองแมนเชสเตอร์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา "ไม่มีประเทศไหนสามารถป้องกันภัยก่อการร้ายได้ ดูสหราชอาณาจักรที่มีระบบข่าวกรองที่ชำนาญการมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเป็นตัวอย่าง"

เรียบเรียงจาก

Jakarta shocked by deadly bombings days before Ramadhan, The Jakarta Post, 25 May 2017

Jokowi condems E. Jakarta bombings, calls on nation to remain united, The Jakarta Post, 25 May 2017

East Jakarta suicide blasts likely linked to IS: Police, The Jakarta Post, 25 May 2017

Jakarta bombing attack a retaliation against police: Analyst, The Jakarta Post, 25 May 2017

Kampung Melayu suicide bomber identified, The Jakarta Post, 25 May 2017

 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผบ.ทบ.ชี้ 'โกตี๋' เพียงแค่ผู้ต้องสงสัย แต่ยังไม่ชัดว่าผู้ก่อเหตุระเบิด รพ.พระมงกุฎฯ คือใคร

Posted: 25 May 2017 05:35 AM PDT

พล.อ.เฉลิมชัย ชี้ 'โกตี๋' เป็นเพียงแค่ผู้ต้องสงสัย แต่ยังไม่ชัดว่าผู้ก่อเหตุระเบิดคือใคร ไม่กล้าฟันธงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติกับเหตุระเบิด ย้ำยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะยังมีเพียงผู้ต้องสงสัย  ผบ.ตร.ย้ำผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มนิยมความรุนแรงเดิม แจงไม่พบโยงก่อการร้ายในอาเซียน

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)  : แฟ้มภาพ

25 พ.ค. 2560 ความคืบหน้าเหตุระเบิดในช่วงสาย วันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา บริเวณที่เกิดเหตุเป็นห้องรับรองนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เกษียณอายุราชการ หน้าห้องวงษ์สุวรรณ ภายใน รพ.พระมงกุฎเกล้า ถนนราชวิถี กทม. จนมีผู้บาดเจ็บหลายราย นั้น

วันนี้ (25 พ.ค.60) พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงความคืบหน้าของเหตุระเบิดดังกล่าวว่า ขณะนี้ ภาพรวมมีความคืบหน้าทางคดีไปพอสมควร เท่าที่ทราบ คือ มีพยานและหลักฐานในที่เกิดเหตุ และมีกล้องวงจรปิดที่ให้ข้อมูลพอสมควร เบื้องต้นมีผู้ต้องสงสัยแล้ว แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่ามีผู้ต้องสงสัยกี่คน เพราะในส่วนของคดีความเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังดำเนินการติดตาม คาดว่ามีโอกาสที่จะได้ตัวผู้กระทำผิดในอนาคต ขณะที่กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ของทหารพร้อมสนับสนุนในเรื่องของกำลังพล หากตำรวจขอความช่วยเหลือ ส่วนตัวได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดแล้ว ซึ่งเป็นภาพรวมของบุคคลที่เข้าออกภายในบริเวณที่เกิดเหตุ

ชี้ 'โกตี๋' เป็นเพียงแค่ผู้ต้องสงสัย แต่ยังไม่ชัดว่าผู้ก่อเหตุระเบิดคือใคร 

ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรี ระบุว่าผู้ก่อเหตุมีทั้งคนในและคนนอกประเทศนั้น พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า เชื่อว่านายกรัฐมนตรีพูดในภาพรวม เพราะที่ผ่านมา มีคนกลุ่มหนึ่งที่หลบหนีคดีไปอยู่ในพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้านแล้วแสดงท่าทีก้าวร้าว ใช้กำลังและปลุกระดมให้คนใช้กำลัง ส่วนคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการก่อเหตุระเบิดนั้น ตนไม่แน่ใจว่าจะเป็นกลุ่มนี้หรือไม่ แต่เชื่อว่าเป็นคนภายในที่มีการเชื่อมโยงกันในกลุ่มฮาร์ดคอร์ที่เคยจับกุมตัวไป 

"อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า กลุ่มที่หลบหนีคดีในประเทศเพื่อนบ้านนั้น มีความเกี่ยวโยงกับ วุฒิพงษ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ ซึ่งเท่าที่ผ่านมามีการปลุกระดมเรื่องการใช้อาวุธผ่านทางโซเชียลมีเดียมาโดยตลอด ซึ่งได้มีการประสานงานกับทางการลาวไปแล้ว แต่ขณะนี้เรื่องยังเงียบ" พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก โกตี๋ เป็นผู้ต้องสงสัยในคดีวางระเบิด ทางการไทยจะประสานงานกับทางการลาวเพิ่มเติมจากคดีหมิ่นเบื้องสูง เพื่อให้ส่งตัวกลับมาหรือไม่นั้น ผบ.ทบ. กล่าวว่า โกตี๋อยู่ระหว่างการหลบหนีคดีอยู่แล้ว ที่ผ่านมาจึงประสานงานอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทางการลาวยังอยู่ระหว่างการติดตามตัวอยู่ แต่ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าผู้ก่อเหตุระเบิดนั้นคือใคร ยังมีเพียงแค่ผู้ต้องสงสัย

ต่อกรณีคำถามผู้ที่ก่อเหตุจะเป็นทหารแตงโมหรือไม่นั้น ผบ.ทบ.ตอบว่า ยังไม่สามารถระบุไปได้ว่ากลุ่มใดบ้าง ส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องสงสัย เพราะถ้ายังไม่มีหลักฐานก็ยังไม่อยากระบุลงไป

ไม่กล้าฟันธงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติกับเหตุระเบิด

ส่วนจะเป็นกลุ่มเกี่ยวกับที่เผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติที่ จ.ขอนแก่นหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นการปลุกระดมให้กลุ่มคนมาทำลายทรัพย์สินของทางราชการ แต่ไม่ทราบ และไม่กล้าฟันธงว่าจะเชื่อมโยงกับกรณีเหตุระเบิดหรือไม่ จึงขอให้แยกออกเป็นสองกรณี 

"ในกรณีเผาซุ้มนั้น ได้จับกุมตัวผู้ที่เกี่ยวข้อง 9 คน และส่งตัวให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายไปแล้ว ซึ่งไม่มีหลักฐานที่จะเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดทั้ง 3 ครั้ง ซึ่งในกรณีของ 9 คนนี้ มีผู้จ้างวานเป็นผู้ใหญ่ 1 คน นอกนั้นเป็นเด็กทั้งหมด ซึ่งรับค่าจ้างมาคนละ 200 บาท โดยไม่รู้เรื่องอะไร เด็กแค่ต้องการได้เงิน 200 บาท จึงไม่ใช่กระบวนการของผู้ใหญ่ และไม่ได้มีสิ่งใดมาเชื่อมโยง" พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นได้เพิ่มกำลังเข้าดูแลรักษาความปลอดภัยในทุกพื้นที่ ทั้งสถานที่ราชการ สถานที่ที่มีประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก โดยพยายามขยายกำลังพลให้มากที่สุด รวมทั้งต้องช่วยกันทุกภาคส่วน ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย นอกจากนี้ยังให้ความรู้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยในการดูแลความปลอดภัย พร้อมขอให้ประชาชนมั่นใจ อย่าตื่นตระหนก

ส่วนการตรวจสอบจดหมายขู่วางระเบิดนั้น ผบ.ทบ. กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่ตามข่าวที่ออกมา ชื่อที่ถูกอ้างก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง

ยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะยังมีเพียงผู้ต้องสงสัย 

"การก่อเหตุครั้งนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะยังมีเพียงผู้ต้องสงสัย ซึ่งจะสงสัยใครก็ได้ ในการที่จะสรุปว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุนั้นจะต้องมีหลักฐานอย่างชัดเจน เพื่อมุ่งไปสู่ตัวผู้ก่อเหตุ เพราะฉะนั้นการจะระบุว่าใครเป็นผู้ต้องสงสัยนั้นไม่เป็นผลในเชิงบวกกับสถานการณ์ที่กำลังเข้าสู่ความปรองดอง และส่วนตัวไม่กล้าวิเคราะห์ว่าจะเกี่ยวข้องกับทหารแตงโมหรือไม่ รอฟังความคืบหน้าจากตำรวจอีกครั้ง เพราะการเดาสุ่มนั้นไม่เกิดประโยชน์กับสังคม" พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

ส่วนเหตุระเบิดภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเกี่ยวข้องกับการลดบทบาทการปฏิบัติหน้าที่ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือไม่นั้น ผบ.ทบ. กล่าวว่า ไม่เกี่ยวข้อง เพราะผู้ก่อเหตุจะหาจังหวะ เวลา และโอกาสเพื่อก่อเหตุอยู่แล้ว อย่าไปมองที่ตัวบุคคล พร้อมย้ำว่า พล.อ.ประวิตร แค่ต้องการดูแลสุขภาพช่วงหนึ่งเท่านั้น และล่าสุดได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่แล้ว

ผบ.ทบ.ยังกล่าวถึงกรณีที่หน่วยงานความมั่นคงเตรียมพิจารณานำคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 55/2559 เรื่องการดำเนินคดีอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้ในสงคราม รวมถึงคดีความมั่นคงบางคดีให้อยู่ในอำนาจศาลทหาร นำกลับมาบังคับใช้ใหม่อีกครั้งหลังจากเคยยกเลิกไปแล้ว ว่า ได้มีการหารือในระดับผู้ใหญ่ แต่ยังเป็นเพียงการหารือเท่านั้น ยังไม่เป็นนโยบาย และยังไม่มีการเสนอไปยังหัวหน้า คสช. เพื่อพิจารณาแต่อย่างใด

ผบ.ตร.ย้ำผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มนิยมความรุนแรงเดิม 

วันเดียวกัน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ได้มีการสอบปากคำพยานในคดีระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ไปแล้ว 61 ปาก ในจำนวนนี้มี 4-5 ปาก ให้การเป็นประโยชน์ โดยจะเร่งสอบพยานอีก 10-20 ปาก ให้แล้วเสร็จภายในวันนี้ คาดจะมีความชัดเจนมากขึ้น พร้อมปฏิเสธว่า ภาพสเก็ตที่ปรากฎ ยังไม่ยืนยันว่าเป็นผู้ต้องสงสัย เป็นเพียงคำให้การจากพยานบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้น และขณะนี้ มอบหมายให้แต่ละฝ่ายไปรวบรวมข้อมูลหลักฐานให้มากที่สุด และยังไม่ตัดประเด็นใดในการก่อเหตุทิ้ง ซึ่งมีความเป็นไปได้ทุกประเด็น แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนข้อมูลของแม่ทัพภาคที่ 1 ที่ระบุว่า ทราบตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุ ก็ถือเป็นข้อมูลจากฝ่ายกองทัพ ซึ่งตำรวจมีการประสานข้อมูลกันอยู่ตลอดเวลา

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังย้ำว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุ เป็นกลุ่มการเมืองที่นิยมความรุนแรงกลุ่มเดิม ซึ่งเชื่อว่า มีความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเดิม จึงให้แนวทางการสืบสวน มุ่งไปที่ทั้ง 3 คดี ว่ามีจุดเชื่อมโยงกันหรือไม่ แต่เชื่อว่าผู้ก่อเหตุคดีโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ยังหลบหนีอยู่ในประเทศไทย

ผบ.ตร. ยังเชื่อว่า จะสามารถออกหมายจับผู้ก่อเหตุได้ โดยให้ฝ่ายสืบสวนจำลองเหตุการณ์เส้นทางเข้า-ออกของผู้ก่อเหตุ และเชื่อว่า อาจมีการดูต้นทางก่อน เพราะจุดเกิดเหตุ เป็นพื้นที่เปิด โดยกลุ่มนี้ทำเป็นขบวนการ ไม่ต่ำกว่า 5 คน  ส่วนจดหมายแจ้งเตือนเหตุระเบิดที่ส่งไปยังสถานพยาบาลก่อนหน้านี้ ยังไม่ชี้ชัดว่า กลุ่มที่ส่งจดหมายกับกลุ่มที่ก่อเหตุระเบิด เป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่ 

ไม่พบโยงก่อการร้ายในอาเซียน

สำหรับเหตุก่อการร้ายหลายประเทศในอาเซียนช่วงนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ระบุว่า ยังไม่พบความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดในโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า เพราะกลุ่มที่ก่อเหตุส่วนใหญ่ จะมีการประกาศตัวชัดเจน พร้อมเตรียมรับมือ หลังทางการอินโดนีเซีย แจ้งเตือนว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุลอบวางระเบิด อาจหลบหนีเข้ามาในประเทศไทย

 

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ และสำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ยกฟ้องคดีเหมืองทองฟ้อง ประธานสภา อบต. เขาหลวง ผิดต่อหน้าที่

Posted: 25 May 2017 04:01 AM PDT

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องคดี ทุ่งคำฟ้อง สมัย ภักดิ์มี ประธานสภา อบต.เขาหลวง กรณีไม่นำเรื่องการขอต่อใบอนุญาตใช้พื้นที่ป่าไม้ และพื้นที่ ส.ป.ก. เพื่อทำเหมืองแร่ทองคำของบริษัทฯ เข้าที่ประชุมสภา ศาลชี้พยานหลักฐานทางฝ่ายโจทก์ไม่ชัดเจน ไม่สามารถรับฟังได้ว่าจำเลยผิดจริง

25 พ.ค. 2560 เวลา 10.10 น. ศาลจังหวัดเลย ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 กรณี เหมืองแร่ทองคำ บริษัททุ่งคำฯ ฟ้องสมัย ภักดิ์มี ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเขาหลวง ฐานผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จากกรณีที่สมัย ประธานสภาฯ ไม่นำเรื่องการขอต่อใบอนุญาตใช้พื้นที่ป่าไม้ และพื้นที่ ส.ป.ก. เพื่อทำเหมืองแร่ทองคำของบริษัทฯ เข้าที่ประชุมสภา อบต.เขาหลวง

โดยโจกท์ได้ยื่นอุทธรณ์ หลังศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2559 และวันนี้ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เนื่องจากพยานหลักฐานทางฝ่ายโจทก์ไม่ชัดเจน ไม่สามารถรับฟังได้ว่าสมัย ภักดิ์มี ประธานสภาอบต.เขาหลวง ผิดจริง

สำหรับคดีดังกล่าวสืบเนื่องจากเมือวันที่ 29 ก.ย. 2558 บริษัททุ่งคำฯ เป็นโจทก์ ฟ้องสมัย ภักดิ์มี เป็นจำเลย ในข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยระบุว่า โจทก์ประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำและทองแดง ณ ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2555 ได้ยื่นขอต่อใบอนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ต่อสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเลย เนื่องจากหนังสืออนุญาตให้โจทก์เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติของโจทก์ใกล้จะสิ้นอายุ (26 ธ.ค. 2555) ซึ่งตามระเบียบกรมป่าไม้ กำหนดว่า โจทก์จะต้องไม่มีปัญหากับราษฎรในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงและต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาตำบลหรือองค์การบริหารส่วนตำบลท้องที่ที่ที่ดินตั้งอยู่

แต่เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2555 หลังจากที่โจทก์ยื่นเรื่องต่อ อบต.เขาหลวงเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบแล้ว จำเลยซึ่งมีหน้าที่จัดการนำเรื่องของโจทก์เสนอเข้าที่ประชุม อบต.เขาหลวง แต่จำเลยหาได้กระทำเช่นนั้นไม่ กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว และจำเลยยังเป็นแกนนำพาชาวบ้านในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ที่ตั้งของบริษัทโจทก์มาชุมนุมประท้วงการทำงานของโจทก์ โดยมีเจตนาเพื่อที่จะไม่ให้โจทก์ดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เป็นการปฏิบัติหรือละเวันการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ห่วงรื้อกลไกจัดซื้อยาระดับประเทศ กระทบผู้ป่วย

Posted: 25 May 2017 02:40 AM PDT

เวทีถก 'การจัดหายาจำเป็น โดย สปสช.' ชี้กลไกจัดซื้อยารวมระดับประเทศช่วยผู้ป่วยเข้าถึงยาจำเป็นและการรักษา แถมช่วยประหยัดงบประมาณประเทศ พร้อมห่วงรื้อกลไกจัดซื้อกระทบผู้ป่วย ด้าน 'ผอ.ศูนย์พิษวิทยา รามาธิบดี' ระบุหน่วยงานที่ทำหน้าที่ต้องเข้าใจปัญหาการเข้าถึงยาและความจำเป็นการสต๊อกยา

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา รายงานข่าวแจ้งว่า ที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการประชุมวิชาการเรื่อง "การจัดหายาจำเป็น โดย สปสช." จัดโดยศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มาหวิทยาลัยและภาคีเครือข่าย

เนตรนภิส สุชนวนิช อดีตรองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การจัดซื้อยาราคาแพงมีประวัติตั้งแต่หลังการจัดตั้ง สปสช.และมีการพัฒนาต่อเนื่อง เพราะด้วยงบประมาณที่จำกัด สปสช.จึงต้องใช้ยุทธศาตร์เพื่อเพิ่มค่าของเม็ดเงินงบประมาณที่ได้รับ แต่ตอบโจทย์ได้ โดยมีระบบประเมินคุณค่าทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งภายหลังต้องดูในเรื่องความเท่าเทียมทางสังคมและผลกระทบต่องบประมาณ โดยใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติที่เป็นกลไกสำคัญในการต่อรองราคา ดังนั้นราคายาที่ลดลงจึงไม่ได้เกิดจากการจัดซื้อโดยตรง และผู้ที่มีบทบาทอย่างมาในการต่อรองราคาคือ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไม่ใช่ สปสช. ซึ่งทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ประสานงานและกำกับงบประมาณเท่านั้น

ทั้งนี้ปัจจุบัน สปสช.มีการจัดซื้อยาเพียง 90 รายการ เป็นกลุ่มยาราคาแพงที่ผู้ป่วยมีปัญหาการเข้าถึง ทั้งยามะเร็ง ยาต้านไวรัสเอดส์ ยากำพร้า เซรุ่มแก้พิษงู ยาต้านพิษ วัคซีน และน้ำยาล้างไตผ่านช่องท้อง ปริมาณการจัดซื้อเพียงร้อยละ 4.9 ของมูลค่าการซื้อยาทั้งประเทศ โดยรายการยาเหล่านี้ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ

จากกระบวนการที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ยาเหล่านี้มีราคาลดลง อย่างยาเพกกิเลตอินเตอร์เฟียรอนรักษาไวรัสตับอักเสบซี จากราคา 11,153 บาท ลดลงอยู่ที่ 3,150 บาท ยาทีโนโฟเวียร์รักษาไวรัสตับอักเสบบี โดย อภ.ผลิต จากเม็ดละ 70 บาท เหลือ 12 บาท เป็นต้น ทั้งนี้ยาที่เข้าสู่ระบบต้องเป็นยาคุณภาพและมาตรฐาน ซึ่งมีระบบการตรวจสอบคุณภาพยาโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในกรณียามะเร็งที่ตรวจสอบไม่ได้ก็มีการจัดส่งไปตรวจยังห้องปฏิบัติประเทศเบลเยี่ยม เป็นแห่งเดียวกับที่ยาต้นแบบส่งตรวจ ซึ่งที่ผ่านมามียาบางรายการ บางล๊อตที่ไม่ได้จัดซื้อเพราะไม่ผ่านการตรวจสอบ

ผลที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาเพิ่มขึ้นอย่างมาก อาทิ บัญชียา จ.2 ปี 2559 มีผู้ป่วยที่เข้าถึงยา 60,000 ราย จากเดิมที่มีอัตราเข้าถึงเพียง 800 ราย เป็นต้น ทั้งยังช่วยประหยัดงบประมาณจัดซื้อยา ตั้งแต่ปี 2553 อยู่ที่ 7,000 ล้านบาทต่อปี ขณะเดียวกันยังลดการสูญเสียยาหรือปัญหาการสต๊อกยาได้

"เมื่อดูภาพรวมการเข้าถึงยา ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มียาใหม่ๆ ใช้กับผู้ป่วย ไม่ช้ามาก แต่หากจะเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วคงไม่ได้ ซึ่งหากจะให้เข้าถึงเท่ากัน รัฐบาลคงต้องมีงบประมาณให้ที่มากกว่านี้" อดีตรองเลขาธิการ สปสช. กล่าว

นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า การจัดซื้อยารวมหาก สปสช.ยิ่งจัดซื้อยาถูกเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มจำนวนผู้ป่วยเข้าถึงยามากขึ้น เป็นหลักการบริหารจัดการ มีทั้งคน สธ. ผู้แทนราชวิทยาลัยแพทย์ และกระบวนการชัดเจน การที่บอกว่า รพ.ขาดทุนให้ยกเลิกกองทุนเฉพาะโรค ส่งเงินทั้งหมดให้กับ รพ.มองว่าเป็นการคิดแบบไม่คิดและเป็นแนวคิดที่มีปัญหา ซึ่งการระบุว่า สปสช.ไม่มีอำนาจจัดซื้อ แต่ขณะเดียวกัน สปสช.ก็ไม่มีอำนาจจ่ายเงินทั้งก้อนให้ สธ.จัดซื้อยาเช่นกัน เพราะ สธ.ไม่ใช่หน่วยบริการ แต่หากส่งเงินให้กับ รพ.จัดซื้อ คำถามคือ รพ.สามารถจัดซื้อตามราคาที่ สธ.ต่อรองกับบริษัทยาได้หรือไม่ และหากผู้ป่วยเข้าไม่ถึงยา รมว.สาธารณสุขจะรับผิดชอบอย่างไร

"การจัดซื้อยารวมของ สปสช. แม้ว่าจะไม่มีอำนาจทางกฎหมาย แต่เป็นการจัดซื้อโดยใช้สติปัญญาพื้นฐานเพื่อให้เกิดการใช้เงินที่เหมาะสม และให้เพียงพอต่อการดูแลผู้ป่วยตามความจำเป็น จึงควรมีการแก้ไขกฎหมายรองรับ แต่ที่ผ่านมาผู้แก้ไขกฎหมายกลับไม่คำนึงถึงเรื่องนี้ แต่บอกว่า สปสช.ไม่มีอำนาจจัดซื้อและให้รื้อโครงสร้างนี้ แต่ก็เกิดคำถามว่าแล้วกฎหมายให้อำนาจ สธ.ทำหน้าที่จัดซื้อหรือไม่" นิมิตร์ กล่าวและว่า อีกทั้งการเรื่องนี้ต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างผู้ซื้อและผู้ให้บริการ การที่ให้ สธ.ซึ่งเป็นผู้ให้การรักษาและกำหนดการรักษามาทำหน้าที่นี้ ถามว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่  

ธนพล ดอกแก้ว ประธานชมรมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากการดำเนินการของ สปสช.ทำให้ค่าใช้จ่ายดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายลดลง จากเดิมราคาฟอกเลือดอยู่ที่ 2,500 บาทต่อครั้ง ซึ่งหลังประกาศสิทธิประโยชน์ดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง อยู่ที่ 1,500 บาทต่อครั้ง ส่วนยาอีริโทรโพอิตินจากราคา 700 บาทต่อเข็ม ลดลงอยู่ที่ 200 บาทต่อเข็ม ส่งผลให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังเข้าถึงการรักษาได้และไม่ต้องล้มละลายจากค่าใช้จ่าย เช่นเดียวกับการล้างไตผ่านช่องท้องที่ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงการเข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้น ซึ่งในการจัดซื้อยารวมระดับประเทศ มองว่าไม่มีใครกล้าต่อรองราคาถูกเท่า สปสช.อีกแล้ว อย่างน้ำยาล้างไตผ่านช่องท้อง สปสช.จัดซื้อได้ในราคา 128 ล้านบาท จากราคาท้องตลาด 160 บาท ทั้งยังมีระบบจัดส่งถึงบ้าน อย่างไรก็ตามมองว่ากรณีที่มีการปรับเปลี่ยนผู้จัดซื้อยารวมระดับประเทศ หากไม่สามารถดำเนินการได้ภาระจะกลับตกอยู่ที่ผู้ป่วยเอง

ปิยะดา จึงสมาน แพทย์หญิงจากโรงพยาบาลบ้านแพ้ว กล่าวว่า ขณะนี้มีความกังวลกรณีที่มีการปรับเปลี่ยนการบริหารจัดซื้อยารวมระดับประเทศ โดยในส่วนของน้ำยาล้างไตผ่านช่องท้องไม่มั่นใจว่าจะมีการบริหารจัดการในรูปแบบเดิมหรือไม่ และหากให้โรงพยาบาลดำเนินการเองก็ไม่รู้ว่าจะสามารถจัดซื้อจัดจ้างในรูปแบบเดิมภายใต้งบประมาณที่มีอยู่ได้อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาเราใช้ระบบนี้มาเป็น 10 ปีแล้วและต่างประเทศได้ให้ความชื่นชม เพราะเรามีการจัดส่งน้ำยาล้างไตถึงบ้านโดยบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ขณะที่ฮ่องกงและเวียดนามผู้ป่วยต้องมาขนน้ำยาล้างไตเอง จึงเป็นจุดแข็งของระบบ ซึ่งหากมีการปรับระบบใหม่ไม่รู้ว่ากระบวนการตรงนี้ต้องมาเริ่มใหม่จากศูนย์หรือไม่

ขณะที่ วินัย วนานุกูล หัวหน้าศูนย์พิษวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า จากนโยบายจัดซื้อยารวมระดับประเทศ สปสช. ส่งผลให้เกิดการบริหารจัดการยาต้านพิษ ช่วยให้ผู้ป่วยที่ได้รับพิษเข้าถึงยารักษา จากเดิมที่มีปัญหาการเข้าถึง ซึ่งหน่วยงานที่เข้ามาดำเนินการตรงนี้ต้องเข้าใจปัญหา สนับสนุนงบประมาณจัดซื้อยาเพื่อสำรองให้กับผู้ป่วย ซึ่งยากำพร้า ยาต้านพิษ รวมถึงเซรุ่มแก้พิษงู แม้ว่ามีจำนวนผู้ใช้ไม่มาก แต่จำเป็นต้องมีไว้ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจต้องหมดอายุลงและไม่ได้ใช้ เปรียบเหมือนกับเรามีกองทหารสำรองไว้แม้ไม่ได้ออกรบ อีกทั้งในการจัดซื้อต้องสั่งในปริมาณหนึ่ง แต่เป็นจำนวนที่น้อยที่สุดในการผลิตหรือสั่งนำเข้า เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่มีบริษัทยาไหนจะผลิตหรือนำเข้าให้เรา ขณะเดียวกันต้องรวมการจัดซื้อ นอกจากได้ราคาที่ถูกลงแล้ว ยังช่วงลดการสูญเสียประหยัดงบประมาณได้ด้วย 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"ขับเร็วแบบนี้มีแต่พระที่รอด" สสส. เปิด 'พระรอด 2.0' จับความเร็ว พร้อมเสียงพระพยอมเตือน

Posted: 25 May 2017 02:16 AM PDT

สสส. เปิดตัว 'พระรอด 2.0' ติดตั้ง GPS และ เครื่องตรวจจับความเร็ว เมื่อผู้ขับขี่เหยียบเกินกำหนด จะมีเสียงของพระพยอมดังขึ้นเพื่อเตือนสติไม่ให้ขับเร็วเกินไป "ขับเกิน 100 แบบนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนก็ช่วยโยมไม่ได้"

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Social Marketing Thaihealth' เผยแพร่วิดีคลิปประชาสัมพันธ์ พระรอด 2.0 พระรอดยุคไฮเทค ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กับ พระพยอม กัลยาโณ เสนอ พระรอด 2.0 ติดตั้ง GPS และ เครื่องตรวจจับความเร็ว เมื่อผู้ขับขี่เหยียบเกินกำหนด จะมีเสียงของพระพยอมเองดังขึ้นเพื่อเตือนสติไม่ให้ขับเร็วเกินไป

"เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีคนบูชาพระหน้ารถมากมาย แต่กลับมียอดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมากเป็นอันดับ 2 ของโล สสส. Road Safety Project ร่วมกับ พระพยอม กัลยาโณ ภูมิใจเสนอ... "พระรอดสองจุดศูนย์" หรือ "Speed Limit Monk Statue" พระรอดยุคใหม่ ที่มีเทคโนโลยี GPS Tracker และ Speed Detector ที่จะช่วยเตือนสติคนขับ ให้รอดจากอุบัติเหตุบนท้องถนนได้จริง ๆ" เพจ 'Social Marketing Thaihealth' ระบุ

โดยเมื่อขับรถความเร็วเกินกำหนด พระรอด 2.0 จะส่งเสียงเตือนเป็นเสียของ พระพยอม ออกมาว่า "ขับเกิน 100 แบบนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนก็ช่วยโยมไม่ได้" "ขับเร็วแบบนี้อาตมารอดยอมไม่รอดช้าหน่อยโยม"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง (Self-Determination Right)

Posted: 25 May 2017 12:24 AM PDT




สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองหรือในชื่ออื่น เช่น สิทธิในการกำหนดใจตนเอง,สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง,สิทธิในการกำหนดวิถีชีวิตตนเอง,สิทธิในการกำหนดเจตจำนงตนเอง ฯลฯ (ซึ่งผมเลือกที่จะใช้คำว่าสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองเพราะเห็นว่ามีความหมายใกล้เคียงที่สุด) นั้นสำหรับคนไทยเราดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งค่อนข้างใหม่ โดยเพิ่งคุ้นเคยหลังจากที่มีการรณรงค์ในเรื่องจังหวัดจัดการตนเอง หรือการพยายามเสนอร่างกฎหมายเชียงใหม่มหานคร,ปัตตานีมหานคร ฯลฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง แต่ในวงวิชาการนั้นมีมานานแล้ว นานกว่าการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติเสียอีก กอปรกับการพยายามในการเปิดกระบวนการสันติภาพขึ้นในภาคใต้ แนวคิดเรื่องสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองจึงเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายจะต้องรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะมีผลทางกฎหมายระหว่างประเทศกำกับไว้ด้วย


สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง(Self-Determination Right) คืออะไร

สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง คือ สิทธิของประชาชนในการมีอิสระที่จะตัดสินใจเลือกสถานะทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของตนเอง


ความเป็นมา

สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองเริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 18 จากกระแสชาตินิยมของชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มที่กระจายอยู่ในจักรวรรดิและราชอาณาจักร์ต่างๆในยุโรป และได้พัฒนาจิตสำนึกความเป็นชาติและแปรสภาพการเป็นชุมชนทางวัฒนธรรมมาสู่ขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเรียกร้องสิทธิในการกำหนดอนาคตของตนเอง เป็นการเรียกร้องในเรื่องชาตินิยมเป็นหลัก เป็นเรียกร้องสิทธิของแต่ละชาติในการเป็นรัฐชาติ(Nation State) ซึ่งในระยะแรกๆจึงมุ่งไปที่กระบวนการปลดปล่อยอาณานิคม(The Process of Decolonization) และได้พัฒนาลงไปยังกลุ่มชนต่างๆในการต่อสู้เพื่อสิทธิทางการเมือง เช่น การมีสถานะปกครองตนเอง(Autonomous State) เป็นต้น

สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองโดยมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติครั้งแรกคือมติที่ 1514 (XV) ลงวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ.1960  เรื่อง "การให้เอกราชแก่ดินแดนอาณานิคม" (Declaration on the Granting of Independence to Colonial Countries and Peoples) โดยมีข้อความที่กำหนดไว้ในข้อ 1.1 ของมติดัง กล่าวว่า "กลุ่มชนทั้งปวงมีสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง โดยสิทธิดังกล่าวพวกเขามีเสรีภาพในการตัดสินใจในสถานะทางการเมือง การพัฒนา เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของตนเองได้อย่างเสรี" ผลของมติที่ 1514 นี้ ทำให้การดำเนินการปลดปล่อยอาณานิคมประสบความสำเร็จ บรรดาดินแดนที่อยู่ใต้อาณานิคมต่างได้รับอิสรภาพและได้รับเอกราช จนทำให้หลักการนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป

นอกจากนี้สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองมิใช่เป็นเพียงการให้เอกราชแก่ดินแดนอาณานิคมเท่านั้น แต่สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองยังถูกใช้ในการแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพื่อกำจัดการเหยียดสีผิวด้วย เช่น ในแอฟริกา (Africa) และการเรียกร้องสิทธิของชนพื้นเมืองดั้งเดิมหรือปัญหาพื้นที่ที่ถูกยึดครอง เช่น ปาเลสไตน์และติมอร์ตะวันออก เป็นต้น


หลักการ

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองได้ถูกบรรจุไว้ในตราสารระหว่างประเทศที่สำคัญๆ ซึ่งรวมถึงกฎบัตรสหประชาชาติและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เช่น กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิพลเมือง(ICCPR),กติการะหว่างประเทศว่าด้วยเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม(ICESCR) เป็นต้น มติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติอีกในหลายกรณีและในคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลก เช่น คดีติมอร์ตะวันออก(Portugal V. Australia)1995 ซึ่งศาลโลกได้รับรองสิทธิของประชาชนในการกำหนดอนาคตตนเองว่าเป็นหลักการที่สำคัญอย่างยิ่งของกฎหมายระหว่างประเทศและมีลักษณะบังคับเป็นการทั่วไป(erga omnes)

สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองประกอบด้วยสิทธิทั้งภายในและภายนอก ได้แก่


1) สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองภายใน(Internal self-determination)

1.1 เกณฑ์ด้านการเมือง(The political aspects) ประกอบด้วยสิทธิของประชาชนที่รวมตัวในเขตพื้นที่ที่มีการจัดตั้งขึ้นเพื่อกำหนดอนาคตทางการเมืองของตนเองในวิถีทางประชาธิปไตย(เช่น จังหวัดจัดการตนเอง) หรือสิทธิของประชาชนที่อาศัยอยู่ในรัฐที่เป็นเอกราชและมีอธิปไตยในการเลือกรัฐบาลของตนเองอย่างเป็นอิสระ เพื่อก่อตั้งสถาบันที่ทำหน้าเป็นตัวแทนและเพื่อเลือกผู้แทนของตนผ่านกระบวนการที่เป็นอิสระและมีเสรีภาพ

1.2 เกณฑ์ด้านเศรษฐกิจ(The economic aspects)สิทธิของประชาชนทั้งปวงในการตัดสินใจในระบบเศรษฐกิจที่พวกเขาอาศัยอยู่ ซึ่งรวมถึงการใช้อำนาจอธิปไตยเหนือทรัพยากรธรรมชาติ

1.3 เกณฑ์ด้านสังคม(The social aspects) สิทธิของประชาชนในการเลือกและกำหนดระบบสังคมที่ตนอาศัยอยู่ รวมถึงความยุติธรรมในสังคมที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิได้รับตลอดจนการใช้สิทธิทางสังคมโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ

1.4 เกณฑ์ด้านวัฒนธรรม(The cultural aspects) สิทธิของประชาชนในการมี การใช้และการเพิ่มพูนมรดกทางวัฒนธรรม


2) สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองภายนอก (External self-determination)

สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองภายนอกเกิดขึ้นในกรณีถึงที่สุดเมื่อประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองภายในได้ภายใต้สถานการณ์ที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดซึ่งรวมถึงสิทธิในการผลักดันการแทรกแซงโดยกองกำลังอาวุธจากภายนอก(foreign armed intervention)และยึดครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย(occupation)โดยได้รับการรับรองจากกฎหมายระหว่างประเทศ ดังตัวอย่างของประเทศกัมพูชาที่มีมติสหประชาชาติออกมารับรองการใช้สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองภายนอกเพื่อผลักดันให้เวียดนามถอนกำลังออกไป เป็นต้น

อย่างไรก็ตามประเด็นที่สำคัญที่สุดภายใต้อนุสัญญาของสหประชาชาติที่ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนได้กำหนดขอบเขตของสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองในแง่ที่สามารถทำให้เป็นจริงได้ภายใต้กรอบของรัฐที่ดำรงอยู่ ดังจะเห็นได้จากแถลงการณ์ว่าด้วยความสัมพันธ์ฉันมิตรและแถลงการณ์เวียนนาระบุว่า

"(สิทธิดังกล่าว)ไม่ได้ถูกตีความว่าเป็นการให้อำนาจหรือการส่งเสริมการดำเนินการใดๆที่อาจแบ่งแยกหรือทำให้บูรณาภาพแห่งอาณาเขตหรือเอกภาพทางการเมืองของรัฐที่เป็นเอกราชและอธิปไตยดังกล่าว...อ่อนแอลงไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน"

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองรับรองให้ประชาชนมีอิสระในการเลือกสถานะทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของตน และสิทธินี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศและถือเป็นกฎหมายที่มีลักษณะเด็ดขาด (Jus cogens) ที่มีลักษณะเป็นการผูกพันโดยทั่วไป (Erga omnes) ที่รัฐไทยในฐานะที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติต้องปฏิบัติตามโดยไม่ต้องระแวงว่าการจัดการตนเองจะเป็นการนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดนแต่อย่างใด



หมายเหตุ 

1) ใช้เป็นเอกสารประกอบในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการพูดเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ สถาบันอิสลามและ
อาหรับศึกษา มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2560

2) เผยแพร่ในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2560

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แผ่นดินจึงดาล: ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี เอ็นจีโอและภาคประชาชน

Posted: 24 May 2017 09:10 PM PDT

บทสัมภาษณ์ 9 นักวิชาการในชุด 'แผ่นดินจึงดาล' นี้ ประชาไทตัดทอนมาจากบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มในหนังสือ 'แผ่นดินจึงดาล: การเปลี่ยนผ่านในสภาพบังคับ' เพื่อมองอดีต ปัจจุบัน และอนาคตประเทศไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ว่ามันจะนำพาเราไปสู่อะไร

เป็นมือไม้ของรัฐราชการ เป็นนักฉกฉวยโอกาสทางการเมือง เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย ทั้งหมดนี้เป็นคำอธิบายเอ็นจีโอที่ค่อนข้างรุนแรง แต่ด้วยบทบาทของเอ็นจีโอจำนวนมากที่โลดแล่นบนเวทีประวัติศาสตร์การเมืองไทยระยะใกล้ไล่เรียงถึงปัจจุบันกาล ทำให้ ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยากจะสรุปเป็นอย่างอื่น

นี่อาจเป็นบทวิพากษ์วิจารณ์เอ็นจีโอที่ดุเดือดที่สุดชิ้นหนึ่ง ถึงกระนั้น มันก็เป็นบทวิเคราะห์อดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่เอ็นจีโอและภาคประชาชนต้องรับฟัง เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 เพิ่มอำนาจรัฐในการจัดการทรัพยากรให้เข้มข้นขึ้นและลิดรอนสิทธิของประชาชนลง ไหนจะขบวนการเซ้งประเทศประเคนทรัพยากรให้แก่กลุ่มทุน โดยเฉพาะปัญหาที่ดินที่ปิ่นแก้วคาดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ในช่วง 10 ปีข้างหน้า

เอ็นจีโอไทยในฐานะส่วนขยายของรัฐราชการ

ได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้นานแล้วว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีแนวโน้มที่พัฒนาการของเอ็นจีโอในไทยมีทิศทางของการกลายเป็นส่วนขยายของรัฐราชการ ทำงานร่วมกับราชการมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ ลดบทบาทของการเป็นแอคทิวิสต์ หรือการทำงานเชิง Activism ลง เอ็นจีโอไม่ได้มีทิศทางที่ชัดเจนในการสร้างเสริมอำนาจประชาชน เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม ถ่วงดุลคัดง้างรัฐและทุน หรือเป็นตัวแทนเสียงของประชาชนมาอย่างน้อยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การต้องพึ่งพาแหล่งทุนของรัฐมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงานของเอ็นจีโอในเชิงการเมือง นอกจากจะมีแนวโน้มในการร่วมมือกับราชการมากขึ้นแล้ว ยังปรับท่าทีในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ลง เป้าหมายการทำงานถูกประนีประนอมลงเหลือเพียงทำอย่างไรจึงจะให้องค์กรอยู่รอดในทางการเงิน

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เอ็นจีโอไทยพร้อมจะวิ่งเข้าหาแหล่งทุนใดก็ตามที่โผล่เข้ามา แม้แต่ประชารัฐ ทั้งที่เอ็นจีโอเคยวิจารณ์ประชานิยมอย่างหนัก แต่พอรัฐทหารเปิดให้ภาคเอกชนกับเอ็นจีโอเข้าไปเป็นคู่สัญญาในการผันเงินเข้าสู่ชาวบ้าน เอ็นจีโอก็พร้อมกระโดดเข้าใส่ ถ้ามองพัฒนาการแบบนี้จึงไม่น่าแปลกใจว่า เหตุใดเอ็นจีโอจึงไปนั่งเป็นกรรมการที่รัฐแต่งตั้ง ไปนั่งในสภาปฏิรูปหรือกรรมการปฏิรูปประเทศ ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นความต่อเนื่องของทิศทางที่มีมาก่อนหน้านี้แล้ว ที่ทำให้เอ็นจีโอพร้อมจะเข้าไปทำงานเป็นส่วนขยายของรัฐราชการอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

ถ้าถามส่วนตัวว่าภาคประชาชนจะไปทางไหน นี่เป็นทิศทางกระแสหลัก จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ในภาวะที่ไม่สามารถกำหนดการทำงานของตัวเองได้ เงื่อนไขทางเศรษฐกิจหรือความไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ทางด้านแหล่งทุน หรือต้องทำงานเพื่อตอบสนองโจทย์ของแหล่งทุนมากกว่าทำงานตอบสนองประชาชน ทำงานเพื่อรักษาตัวให้รอด อยู่ให้เป็น คล้ายๆ กับเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เอ็นจีโอในไทยไปทางนั้น ผนวกเข้ากับบริบทการเมืองไทย วิธีวิเคราะห์การเมืองไทย การมองตนเองกับความสัมพันธ์กับกลุ่มอำนาจในการเมืองไทย เลยยิ่งทำให้ตำแหน่งแห่งที่ของเอ็นจีโอผูกเข้ากับสถานภาพแบบนี้โดยปริยาย เอ็นจีโอกลายเป็นกลุ่มองค์กรที่ทำงานเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับรัฐราชการ เป็นพันธมิตรกับรัฐราชการ เพื่อแลกกับความอยู่รอดของตนเอง โดยปราศจากการมองภาพอนาคตของสังคมไทย หรือคุณภาพของสังคมไทย และเห็นว่าคุณภาพของความเป็นประชาธิปไตยของสังคม ไม่เกี่ยวข้องกับพันธกิจของตนอีกต่อไป

เอ็นจีโอหันขวา

ถ้าพูดแบบเป็นกลางหน่อยก็คือ ท่าทีที่เขาผิดหวังในระบอบเลือกตั้ง ทำให้เขาตัดสินว่าการเมืองในระบอบเลือกตั้งมัน ไม่เกี่ยวข้องกับเขา ไม่เกี่ยวกับงานเอ็นจีโอ ใครก็ได้ที่มีอำนาจเข้ามา เขาพร้อมทำงานด้วย เพื่อทำให้ตัวเองและประเด็นที่ตัวเองทำนั้นอยู่รอด เป้าหมายใหญ่ของเอ็นจีโอที่ว่า ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน ที่เคยเป็นสโลแกนใหญ่ของเขากลายมาเป็น ทำงานกับรัฐเพื่อเพิ่มอำนาจให้ตัวเองหรือทำให้ตัวเองอยู่รอด นี่เป็นทิศทางที่เป็นอยู่

ดังนั้น เวลาเราบอกว่าเอ็นจีโอสวิงกลับไปทางขั้วอำนาจอนุรักษ์นิยม มันเป็นท่าทีเชิงสัมพัทธ์ เขาคงเปรียบเทียบว่าอำนาจแบบไหนให้ประโยชน์กับเขา ถ้าการเมืองในระบอบเลือกตั้งให้ประโยชน์แก่นักการเมืองมากกว่าตัวเอง เห็นนักการเมืองได้ดอกผลจากระบอบการเลือกตั้ง นักการเมืองก็กลายเป็นคู่แข่ง  และเมื่อรัฐบาลทหารเป็นตัวช่วยเสริมอำนาจให้กับเอ็นจีโอในการคัดง้างกับคู่แข่ง เอ็นจีโอก็พร้อมจะเข้าร่วมกับรัฐบาลทหาร แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เห็นว่าการเข้าไปร่วมองคาพยพของรัฐบาลทหารไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ให้กับตนอย่างสมบูรณ์นักตามที่คาดหวังไว้ เราก็จะเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือ การไม่มีจุดยืนหรือไม่มีวิธีคิดในการมองว่าคุณภาพการเมืองควรเป็นอย่างไร และการมองว่าการเมืองไทยจะเป็นอย่างไรก็ได้ ไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับการอยู่รอดของตน จุดยืนแบบนี้ได้ทำให้เอ็นจีโอยืนอยู่บนฐานที่ว่า ระบอบการเมือง คุณภาพทางการเมือง ไม่มีความสำคัญหรือเกี่ยวข้องกับขบวนการของเอ็นจีโออีกต่อไป

รัฐธรรมนูญ 2560 กับปัญหาการจัดการทรัพยากรที่รออยู่ข้างหน้า

รัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการที่ทหารสถาปนาขึ้นและกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ทางกฎหมายของบ้านเมืองแล้ว หลังจากนี้ไปจะขยับอะไรไม่ได้หรือขยับได้ยากมาก ไม่ต้องคิดถึงเรื่องปฏิรูปกฎหมายอื่นๆ มติ ครม. หรือเวทีต่อรองของภาคประชาชนกับรัฐบาลที่เคยมีมา รัฐบาลที่ประชาชนไม่ได้เลือกมาย่อมออกกฎหมายตามอำเภอใจของตน

ในอีก 10 ปีข้างหน้านี้ เรื่องการพรากสิทธิจากที่ดินจะเป็นเรื่องใหญ่ ที่จริงก็ไม่ใช่แค่เฉพาะในไทย ที่ผ่านมาไปทำวิจัยในลาวก็พบว่าสถานการณ์หนักมาก เขตเศรษฐกิจพิเศษไทยกำลังเดินตามรอยของลาว ที่พูดว่าขบวนการเซ้งประเทศ มันคือการเซ้งที่ดินจำนวนมหาศาลให้กับทุน ซึ่งเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าเขาเอาที่ดินไปแล้ว จะเอาไปทำอะไร เขตเศรษฐกิจพิเศษที่ถูกประกาศกันทั่วประเทศ เกือบทั้งหมดอยู่ในเขตชายแดนในจังหวัดสำคัญๆ กินพื้นที่มหาศาลและมีกรอบเวลายาวเป็นชั่วอายุคน ในสนามการแข่งขันของทุนนิยมในประเทศด้อยพัฒนาในภูมิภาคนี้ เขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นสินค้าที่ถูกนำมาขายอย่างดุเดือด ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรที่การันตีได้ว่ารัฐไทยจะมีความสามารถแข่งกับลาวหรือประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ในการดึงกลุ่มทุนมาลงทุนในพื้นที่ได้ แต่สิ่งที่รัฐทำคือการประกาศเขตไปก่อน ยึดที่ดินมาก่อน อันนี้น่าจะเป็นประเด็นหรือเป็นชนวนสำคัญก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวใหญ่ในอนาคตอย่างแน่นอน

ปัญหาคือเอ็นจีโอไทยไม่เคยทำงานที่พ้นไปจากการจัดตั้งมวลชน ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากและมีความจำเป็นต้องพัฒนายุทธศาสตร์อื่นๆ มาทำงาน รวมไปถึงคำถามที่ว่าคือเอ็นจีโอมีความรู้เกี่ยวกับปัญหาที่ดินที่ออกไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่ สามารถมองเห็นปัญหานี้ในฐานะที่เป็นปัญหาร่วมในระดับภูมิภาคหรือไม่ และสามารถยกระดับปัญหานี้ขึ้นมาเพื่อขยายฐานทำงานที่กว้างขวางกว่ารายกรณีได้หรือไม่ นี่เป็นโจทย์ที่ต้องคิดนอกกรอบการทำงานแบบเดิมๆ

คำถามสำคัญจึงเป็นเรื่องที่ว่า ในสมรภูมิความขัดแย้งหลังการเมืองยุคเสื้อสี ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ไม่ได้ยึดโยงอยู่กับประชาชน และสังคมที่ไร้กติกา ใครจะทำหน้าที่เป็น Catalyst ให้เกิดการรวมตัวของผู้คนที่เดือดร้อนจากรัฐอำนาจนิยม โดยส่วนตัวคิดว่า คำตอบในเรื่องนี้คงต้องมองในสังคมยุคหลังเอ็นจีโอ ในคนรุ่นใหม่ๆ นอกวัฒนธรรมอุปถัมภ์ของภาคประชาชน ในกลุ่มคนที่กล้าคิดและกล้าตั้งคำถามต่อความเสื่อมถอยของประชาธิปไตย อันเป็นรากฐานของปัญหาที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ รวมถึงในชุมชนเอ็นจีโอที่ดำรงอยู่

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

1 ความคิดเห็น:

  1. ทักทายประชาชนทั่วไปฉันต้องการบอกเกี่ยวกับวิธีที่ฉันได้รับการรักษาให้หายขาดจากโรคไวรัสตับอักเสบบีโดยหมอเรียกว่า Dr Alli ฉันกำลังท่องอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาวิธีการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีและฉันได้เห็นความคิดเห็นของผู้คนที่พูดถึงวิธีที่ Doctor Alli รักษาให้หายขาด ฉันกลัวเพราะฉันไม่เคยเชื่อในอินเทอร์เน็ต แต่ฉันเชื่อมั่นที่จะให้เขาลองเพราะฉันมีความหวังของการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีไม่ดังนั้นฉันตัดสินใจที่จะติดต่อเขาด้วยอีเมลของเขาที่ระบุไว้ในความคิดเห็น (allispellhelp1 @ gmail. com) เมื่อฉันติดต่อเขาเขาให้ฉันหวังและส่งยาสมุนไพรให้ฉันที่ฉันเอาและทำงานอย่างจริงจังสำหรับฉันเป็นคนฟรีตอนนี้ไม่มีปัญหาผลตับอักเสบ B ของฉันออกมาลบ ฉันอธิษฐานขอให้คุณ Dr Alli พระเจ้าจะให้คุณชีวิตนิรันดร์คุณจะต้องไม่ตายก่อนเวลาของคุณสำหรับการเป็นคนที่จริงใจและตะแกรง มีความสุขมากที่คุณยังสามารถติดต่อเขาได้หากคุณมีปัญหา Email: allispellhelp1@gmail.com หรือ +2348100772528

    ตอบลบ