ประชาไท | Prachatai3.info |
- ทปอ.ชี้แจง - ข่าวให้ปิดมหาวิทยาลัย 5-10 ธ.ค. ไม่เป็นความจริง
- นายกฯ ให้สัมภาษณ์บีบีซียันรับมือได้ พร้อมเจรจารักษาประชาธิปไตย
- ศาลสั่ง 3 แดงถูกยิงตาย 14 พ.ค.53 ไม่ทราบฝีมือใคร
- สุเทพประกาศควบคุมเบ็ดเสร็จศูนย์ราชการ กสท. ทีโอที- 1 ธ.ค. จะเป็นวันแห่งชัยชนะ
- ผบ.ทบ.วอนผู้ชุมนุมอย่าบีบทหารเลือกข้าง
- อดีตแกนนำ PNYS แถลงเยาวชนปาตานีไม่เกี่ยวข้องเหตุดักทำร้ายคนเสื้อแดง
- มูลนิธิศักยภาพชุมชนชี้ยุบสภาเป็นทางออกสุดท้ายหากรัฐบาลควบคุมสถานการณ์ไม่ได้
- กลุ่ม 40 ส.ว.แถลงจี้ยุบสภา
- Time: สงครามระหว่างสี: ทำไมแดงถึงเกลียดเหลือง
- กป.อพช. เสนอ 'ยุบสภา' เพื่อเดินหน้าสู่การปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง
- ดิอิโคโนมิสต์แบนตัวเองรอบ 2 ในเดือน พ.ย.
- เครือข่ายแพทย์จุฬาฯ ปกป้องคุณธรรมจี้นายกลาออก
- หนุ่มสาวเกาหลีเหนือ 'ติดซีรีส์' เกาหลีใต้ แต่ต้องแอบดูไม่ให้รัฐบาลรู้
- แถลงการณ์: พอช.ต้องยืนยันหลักการประชาธิปไตย ไม่เอาอำนาจนอกระบบ
- สื่อต้องเลือกข้าง?! : คำถามจากนักข่าวภาคสนาม ต่อความสับสนของบทบาทในสถานการณ์ความขัดแย้ง
ทปอ.ชี้แจง - ข่าวให้ปิดมหาวิทยาลัย 5-10 ธ.ค. ไม่เป็นความจริง Posted: 29 Nov 2013 01:08 PM PST รองประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยปฏิเสธข่าวให้มหาวิทยาลัยทั่วประเทศหยุดสอน 5-10 ธ.ค. ขณะที่รามคำแหงของดสอน 3 วัน 29 พ.ย. - 1 ธ.ค. เพื่อดูแลความปลอดภัยและทรัพย์สิน รามคำแหงงดสอน 3 วัน 29 พ.ย. - 1 ธ.ค. เพื่อรักษาความปลอดภัย 30 พ.ย. 2556 - เมื่อวานนี้ (29 พ.ย. 56) ฝ่ายประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้เผยแพร่ประกาศงดการเรียนการสอนตั้งแต่วันนี้ (29 พ.ย.56) จนถึงวันที่ 1 ธ.ค. 56 โดยระบุว่า "ด้วยขณะนี้สถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในสภาวะไม่ปกติ และเพื่อความปลอดภัยของนักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยจึงขอประกาศงดการเรียนการสอน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2556 และเพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถดูแลความปลอดภัยและทรัพย์สินของทางราชการได้" "มหาวิทยาลัยจึงขอประกาศปิดมหาวิทยาลัยตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้บุคลากร นักศึกษา และผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเดินทางออกจากบริเวณมหาวิทยาลัยตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ส่วนนักศึกษาที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการสอบตามที่ได้ประกาศไว้ล่วงหน้านี้ ให้ประสานงานกับมหาวิทยาลัยเป็นกรณีๆ ไป จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน" อย่างไรก็ตามกิจกรรมงานเดิน-วิ่ง มินิมาราธอน 42 ปีรามคำแหง ในวันที่ 1 ธ.ค. 56 และกิจกรรมพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรของ ม.รามคำแหง ในวันที่ 5 ธ.ค. นี้ ที่ ม.รามคำแหง หัวหมาก จัดขึ้นตามปกติ
ที่ประชุมอธิการบดีฯ ปฏิเสธข่าวปิดมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ 5-10 ธ.ค. ขณะเดียวกันตามที่ สำนักข่าวอิศรา รายงานเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 56 โดยพาดหัวข่าวว่า "ทปอ. "อารยขัดขืน" เล็งสั่งปิดมหาวิทยาลัยทั่วปท.5-10 ธ.ค." เนื้อหาอ้างว่าจะ ทปอ. ทำหนังสือเวียนแจ้งว่าให้ปิดมหาวิทยาลัยทั่วประเทศในวันที่ 5-10 ธันวาคม 2556 นั้น ล่าสุดเมื่อเวลา 19.24 น. เมื่อวันที่ 29 พ.ย. เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ ได้รายงานคำให้สัมภาษณ์ของ เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ในฐานะรองประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ที่ปฏิเสธข่าว ทปอ.ทำหนังสือเวียนแจ้งไปยังมหาวิทยาลัยทั่วประเทศให้ปิดการเรียนการสอนทั่วประเทศในวันที่ 5-10 ธันวาคม 2556 โดยยืนยันว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ ทปอ. จะประชุมหารือสถานการณ์ในวันที่ 2 ธ.ค. นี้ และจะเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อยื่นข้อเสนอในวันที่ 3 ธ.ค. ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
นายกฯ ให้สัมภาษณ์บีบีซียันรับมือได้ พร้อมเจรจารักษาประชาธิปไตย Posted: 29 Nov 2013 09:43 AM PST ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีถึงสถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้ ยืนยันรับมือได้ พร้อมเจรจาผู้ชุมนุม ย้ำเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งและประชาธิปไตย และจะให้ไทยอยู่บนเส้นทางนี้ Source : bbcnews 29 พ.ย.2556 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีเป็นภาษาอังกษฤษถึงสถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้ โดยเธอยอมรับว่ามีคนที่ไม่ยอมรับเธอและรัฐบาลของเธอ แต่โปรดถามความห็นประชาชนกลุ่มอื่นๆ และเสียงส่วนใหญ่ที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลนี้ และที่สำคัญเธอย้ำหลายครั้งในการสัมภาษณ์ว่าเธอเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง และรัฐบาลนี้มาจากการเลือกตั้ง และประเทศไทยต้องรักษาระบอบประชาธิปไตย และการเลือกตั้งเอาไว้ ยิ่งลักษณ์ยังแสดงความเชื่อมั่นด้วยว่ารัฐบาลยังรับมือกับความโกลาหนที่เกิดขึ้นโดยใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งผู้สื่อข่าวบีบีซีแย้งว่า แต่ที่ผ่านมาตำรวจทำอะไรไมได้เลย ยิ่งลักษณ์ตอบว่าตำรวจดำเนินไปตามนโยบายตามขั้นตอน ซึ่งขณะนี้เป็นขั้นตอนของการเจรจา และสิ่งที่ต้องระมัดระวังมากก็คือนี่เป็นสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน ผู้สื่อข่าวบีบีซี ถามต่อไปทำไมจึงไม่เลือกลาออกและกลับไปเป็นนักธุรกิจซึ่งแรงกดดันจะน้อยลงมาก ยิ่งลักษณ์ตอบว่า สิ่งสำคัญของประเทศไทยตอนนี้คือการรักษาระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง และเธอได้อุทิศตนให้กับประเทศนี้เพื่อรักษามันไว้ เพื่อให้ไทยยังคงอยู่บนเส้นทางประชาธิปไตย ในส่วนของข้อเสนอให้ยุบสภาหรือลาออกนั้น ยิ่งลักษณ์ตอบว่าเธอไม่เลือกวิธีนั้นเพราะไม่แน่ใจว่านี่เป็นสิ่งที่จะทำให้กลุ่มผู้ประท้วงพอใจได้หรือไม่ ฉะนั้นปัญหาเฉพาะหน้าขณะนี้คือ ความวุ่นวานต้องสงบลงก่อน เจรจาและหาทาออกเพื่อเดินไปข้างหน้าต่อไปได้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกัน ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นสั้นๆ โดยเธอกล่าวว่า รัฐบาลพร้อมเปิดการเจรจากับผู้ชุมนุม ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ศาลสั่ง 3 แดงถูกยิงตาย 14 พ.ค.53 ไม่ทราบฝีมือใคร Posted: 29 Nov 2013 08:22 AM PST ศาลสั่งปิยะพงษ์ กิติวงศ์, ประจวบ ศิลาพันธ์และสมศักดิ์ ศิลารัตน์ ถูกยิงตายสวนลุมและลาน ร.6 วันที่ 14 พ.ค.53 ช่วงสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. แต่ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ 29 พ.ย.2556 ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ รายงาน ที่ห้องพิจารณา 601 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง ศาลอ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำ ช.3/2556 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพ นายปิยะพงษ์ กิติวงศ์ ผู้ตายที่ 1 การ์ดแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายประจวบ ศิลาพันธ์ ผู้ตายที่ 2 ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตภายในสวนลุมพินี และนายสมศักดิ์ ศิลารัตน์ ผู้ตายที่ 3 ซึ่งถูกยองบริเวณลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช.เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2553 ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้องและญาติผู้ตายทั้งสาม ประกอบด้วย ประจักษ์พยาน พยานแวดล้อม และผู้เชี่ยวชาญแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ระหว่างวันที่ 12 มี.ค.-19 พ.ค. 2553 มีการชุมนุมของกลุ่ม นปช.ที่บริเวณแยกผ่านฟ้า เพื่อเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่ และได้มีการขยายพื้นที่ชุมนุมไปยังบริเวณราชประสงค์ และถนนเพลินจิต โดยในวันที่ 14 พ.ค. 2553 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพันทหารม้าที่ 23 รักษาพระองค์ พร้อมอาวุธปืนปฏิบัติหน้าที่บริเวณถนนพระรามที่ 4 ด้านในสวนสาธารณะลุมพินี และบริเวณฝั่ง สน.ลุมพินี ขณะนั้นมีเสียงปืนดังขึ้นมาในสวนสาธารณะลุมพินี ผู้ตายที่ 1 ได้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของเพื่อนที่เป็นการ์ด นปช.เข้าไปในพื้นที่สาธารณะสวนลุมพินี โดยระหว่างแยกสำรวจกับเพื่อน มีกระสุนปืนยิงมาที่ผู้ตายที่ 1 ทำให้เสียหลักล้มลง และถูกยิงซ้ำระหว่างหลบหนี จนทำให้ถึงแก่ความตายบริเวณริมสระน้ำด้านหลังหอนาฬิกาภายในสวนสาธารณะลุมพินี จากการตรวจชันสูตรศพพบว่าผู้ตายที่ 1 ถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด.223 นิ้ว หรือ 5.56 มิลลิเมตร ทำลายเส้นเลือดแดงใหญ่บริเวณคอ ส่วนผู้ตายที่ 2 ถึงแก่ความตายโดยถูกยิงด้วยกระสุนปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ทะลุหัวใจและตับ ทำให้เสียเลือดมาก พบศพผู้ตายที่ 2 อยู่บริเวณพื้นสนามหญ้าใกล้สระน้ำภายในสวนสาธารณะลุมพินี ห่างจากจุดที่พบศพผู้ตายที่ 1 ประมาณ 100 เมตร โดยทิศทางของกระสุนปืนที่ยิงผู้ตายทั้งสองมาจากฝั่งถนนวิทยุ หรือถนนพระรามที่ 4 ส่วนผู้ตายที่ 3 มีพยานเบิกความว่าขณะผู้ตายที่ 3 ยืนอยู่หน้าลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 ได้ยินเสียงปืนดังจากฝั่งตรงข้าม และเห็นเจ้าหน้าที่ทหารยิง เอ็ม 16 ใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ผู้ตายและเพื่อนจึงได้หนีไปหลบหลังอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 ขณะนั้นเพื่อนผู้ตายได้วิ่งไปหลบหลังรถกระบะ และได้ตะโกนเรียกผู้ตายที่ 3 ให้วิ่งตามไป แต่ผู้ตายที่สามไม่ตอบรับ กระทั่งได้ยินเสียงปืนอีกครั้ง เมื่อหันไปพบว่าผู้ตายที่ 3 ถูกยิงเสียชีวิต โดยจากการชันสูตรพลิกศพพบว่าถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด.223 นิ้ว หรือ 5.56 มิลลิเมตร ทำลายสมองขณะยืนอยู่บริเวณลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 ด้านถนนราชดำริ โดยวิถีกระสุนเป็นแนวราบมาจากด้านหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 ด้านถนนราชดำริ หรือถนนพระรามที่ 4 จึงมีคำสั่งว่าผู้ตายทั้งสามรายถึงแก่ความตายภายในสวนสาธารณะลุมพินี เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2553 โดยผู้ตายที่ 1-2 เสียชีวิตภายในสวนสาธารณะลุมพินี เหตุและพฤติการณ์แห่งการตายของผู้ตายที่ 1 สืบเนื่องจากบาดแผลกระสุนปืน ขนาด.223 นิ้ว หรือ 5.56 มิลลิเมตร ทำลายเส้นเลือดแดงใหญ่บริเวณคอ ผู้ตายที่ 2 เสียชีวิตเนื่องจากบาดแผลกระสุนปืนไม่ทราบชนิดและขนาดทะลุหัวใจและตับทำให้เสียเลือดมาก โดยวิถีกระสุนมาจากฝั่งถนนวิทยุหรือถนนพระราม 4 แต่ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ ส่วนเหตุและพฤติการณ์การตายของผู้ตายที่ 3 เนื่องจากกระสุนปืนขนาด .223 นิ้ว หรือ 5.56 มิลลิเมตรทำลายสมองโดยมีวิถีกระสุนมาจากบริเวณด้านหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 แต่ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สุเทพประกาศควบคุมเบ็ดเสร็จศูนย์ราชการ กสท. ทีโอที- 1 ธ.ค. จะเป็นวันแห่งชัยชนะ Posted: 29 Nov 2013 06:01 AM PST เปิดตัว "คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" หรือ กปปส. ตั้งเป้ายึดทำเนียบรัฐบาล - สตช. - นครบาล - ที่ตั้งกระทรวง - ศาลากลางทุกจังหวัด 'ด้วยมือเปล่า' และจะประกาศชัยชนะขจัดระบอบทักษิณในวันที่ 1 ธ.ค. บรรยากาศการชุมนุม และการเปิดตัว "คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" หรือ กปปส. ที่ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2556 (ที่มา: Blue Sky Channel)
29 พ.ย. 2556 - เมื่อเวลา 19.40 น. ที่ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำผู้ชุมนุมขจัดระบอบทักษิณได้ขึ้นปราศรัย ระบุว่า "มวลมหาประชาชน ผู้รักชาติ รักแผ่นดิน ที่เคารพรักทุกท่าน ทุกเวทีทั่วประเทศไทย และในโลก พวกเราคณะแกนนำของกราบสวัสดีทุกท่าน ด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง พี่น้องที่เคารพรักทั้งหลาย เราได้ลุกขึ้นยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ ต่อสู้ร่วมกัน โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่า เราจะร่วมกันขจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย เพื่อที่ประชาชนชาวไทยทั้งหลายจะได้ร่วมกันกำหนดกฎเกณฑ์กติกา แล้วทำการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทย ให้เป็นประเทศไทยในความฝันของทุกคน คือเป็นประเทศไทยที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข นั่นคือความใฝ่ฝันของคนไทยทั้งประเทศขณะนี้ และเราเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า เมื่อขจัดระบอบทักษิณหมดสิ้นไปจากประเทศไทยแล้ว ปวงชนชาวไทยก็จะเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศ ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ที่กระผมได้กราบเรียนพี่น้องประชาชนไปเมื่อคืนนี้" "สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับมอบอำนาจอธิปไตยไปจากประชาชน แต่ได้ร่วมมือทรยศประชาชนแน่แล้ว ความผิดเป็นที่ปรากฏชัดต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยและพิพากษาบอกกล่าวให้คนทั้งประเทศทั้งโลกว่าฝ่ายรัฐบาลทำผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญชัดเจน สภาผู้แทนได้ออกมาปฏิเสธคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญซึ่งศาลรัฐธรรมนูญตั้งขึ้น ดำรงอยู่ และมีอำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้รัฐบาลไม่เคารพบทบัญญัติศาลรัฐธรรมนูญ และหมดความชอบธรรมตั้งแต่ออกมาดาหน้าปฏิเสธรัฐธรรมนูญ" "ประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้ลุกขึ้นปฏิเสธรัฐบาล เมื่อ 24 พ.ย. มากกว่า 1 ล้านคน นั่นเป็นหลักฐานชัดเจนว่ารัฐบาลนี้นอกจากหมดความชอบธรรมตามกฎหมายแล้ว ยังหมดความชอบธรรมทางการเมืองด้วย เพราะประชาชนเจ้าของอำนาจลุกขึ้นมาบอกว่าไม่เอารัฐบาลนี้แล้ว รัฐบาลนี้ต้องออกไปจากอำนาจไม่มีอำนาจทางกฎหมาย และทางปฏิบัติในการบริหารบ้านเมือง เป็นจังหวะที่ต้องคืนอำนาจให้เจ้าของอธิปไตยตัวจริง ได้เข้ามาจัดการบ้านเมืองให้เรียบร้อย" "ประชาชนได้ลุกขึ้นแสดงตนต่อต้านระบอบทักษิณอย่างสงบสันติ เรียกว่าอหิงสา ให้รัฐบาลและคนระบอบทักษิณได้คิด ได้ตัดสินใจให้ถูกต้อง แต่ระบอบทักษิณ คนของระบอบทักษิณ ดื้อด้าน ไม่ยอมคืนอำนาจให้ประชาชน ประชาชนพลเมืองดีพวกเราทั้งหลาย ทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพ จึงจำเป็นต้องลงมือปฏิบัติการด้วยตัวเอง เพื่อให้ระบอบทักษิณสิ้นไปจากแผ่นดินไทยเด็ดขาดเสียที ในการดำเนินการอย่างนี้ มวลมหาประชาชน จากทุกเครือข่ายทุกองค์กร ทุกกลุ่ม ได้สมัครสมานสามัคคีกันเป็นเลิศ และรวมพลังอย่างเข้มแข็ง ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประเทศไทย" ผมขออนุญาตแนะนำให้พี่น้องประชาชนคนไทย ได้รู้จัก ได้ทราบ บรรดาผู้ที่เป็นตัวแทนของกลุ่ม เครือข่าย ขององค์กรประชาชนในสาขาอาชีพต่างๆ ที่ได้ร่วมมือร่วมใจเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้องประชาชนในการต่อสู้เพื่อขจัดระบอบทักษิณให้พ้นจากแผ่นดินไทยครั้งนี้" สุเทพกล่าวว่า "ผมจะเริ่มต้นจากกลุ่มบุคคลที่เป็นที่เคารพนับถือของประชาชน ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิ ในฐานะที่เป็นนักวิชาการ และก็เป็นผู้ที่มีความสงบเรียบร้อยที่สุดในบ้านเมือง ไม่เคยคิดแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับฝ่ายไหน แต่เมื่อประเทศมีภัยอย่างนี้ ผู้ทรงภูมิความรู้อย่างนี้เหลืออดทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ได้แสดงตนลุกขึ้นกอดคอเคียงข้างประชาชน สู้ร่วมกัน ไม่ได้มาหมดนะครับ ขอเฉพาะตัวแทนมา ซึ่งผมก็จะขออนุญาตแนะนำตามลำดับดังนี้ ท่านแรกก็คือ ศ.ดร.สมบัติ ธํารงธัญวงศ์ อดีตอธิการบดีนิด้า ท่านที่ 2 อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ เครือข่ายซีวิคเน็ต ท่านที่ 3 รศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน จากนิด้าเช่นกัน ท่านที่ 4 รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คงสม จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ท่านที่ 5 อาจารย์ชัยวัฒน์ สุรวิชัย นักวิชาการอิสระ อยู่ข้างล่างนี่ครับ ท่านที่ 6 ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ จากนิด้า ท่านที่ 7 ผช.ดร.ทวี สุรฤทธิกุล และท่านที่ 8 รศ.ดร.วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ นี่เป็นผู้แทนของกลุ่มนักวิชาการ อาจารย์ที่เป็นตัวแทนของคนทรงภูมิความรู้ และได้ร่วมต่อสู้กับพี่น้องทั้งหลาย" "นอกจากนี้ก็จะมีกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ซึ่งวันนี้มีตัวแทนมาอยู่กับเรา 3 ท่านคือ 1.คุณนิติธร ล้ำเหลือ ท่านที่ 2 คือคุณอุทัย ยอดมณี และท่านที่ 3 ก็คือ คุณสุริยะใส กตะศิลา การต่อสู้ของประชาชนคราวนี้ มีสิ่งที่โดดเด่นที่คนทั้งประเทศจะต้องคิด และเข้าใจได้เลยว่า สถานการณ์บ้านเมืองมันเหลืออดเหลือทนแล้ว คนเหล่านี้จึงออกมาทำงานการเมืองครั้งแรกในชีวิตและเป็นครั้งสำคัญ นั่นคือกลุ่มประชาคมนักธุรกิจสีลม เป็นพ่อค้าแม่ขายไม่ยุ่งเรื่องการเมืองกับใคร แต่วันนี้ประเทศมีภัยเพราะระบอบทักษิณทนไม่ไหวแล้ว ออกมาร่วมต่อสู้กับพี่น้องทั้งหลาย มีตัวแทนที่พร้อมขึ้นมาอยู่กับพี่น้องทั้งหลายบนเวทีนี้คือ คุณสาทิตย์ เซกัล และคุณราเชน ตระกูลเวียง นี่เป็นผู้แทนของประชาคมนักธุรกิจสีลม นอกจากนั้น ยังมีเครือข่ายนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย วันนี้ ส่งเลขาธิการคือ คุณพรศักดิ์ ลิ้มบุญประเสริฐ มาอยู่กับพวกเรา แน่นอนครับ ในทุกการต่อสู้ของประชาชนจะมีคนที่ยืนหยัดเป็นกำลังหลักของประชาชนเสมอมาคือ กองทัพธรรม" "วันนี้มีผู้แทนของกองทัพธรรม ซึ่งจะมียืนยันเจตนารมณ์ในการต่อสู้ร่วมกับพี่น้องประชาชนคือ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ คุณมั่นแม่น กะการดี มีกองทัพธรรมก็ต้องมีกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ผู้แทนกองทัพประชาชนวานนี้ ที่มาร่วมยืนอยู่บนเวทีนี้ เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ที่จะต่อสู้กับพี่น้องประชาชนในโค้งสุดท้ายคือ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ พล.อ.ชูเกียรติ ตันสุวัฒน์ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี คุณสนธิ เตชานันท์ คุณพิเชฐ พัฒนโชติ น.พ ระวี มาดฉมาดล และมีผู้แทนจากเครือข่ายประชาชนปฏิรูปประเทศ 77 จังหวัด คุณสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์" "การต่อสู้คราวนี้ นอกจากมีเครือข่ายองค์กรต่างๆ แล้ว ยังมีกองกำลังของประชาชนที่สำคัญที่สุด และวันนี้ เมื่อเห็นชาติบ้านเมืองมีปัญหา ประชาชนเดือดร้อน ประเทศเสียหาย คนเหล่านี้ตัดสินใจประกาศตัวร่วมการต่อสู้กับพี่้น้องประชาชน นั่นคือ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ได้ผนึกกำลังกันทุกรัฐวิสาหกิจ 45 รัฐวิสาหกิจด้วยกัน ขณะนี้ ขึ้นเวทีอยู่ราชดำเนินบางส่วนและมีตัวแทนมาขึ้นเวทีที่นี่กับพวกเราบางส่วน ท่านแรกที่ผมแนะนำกับพี่น้องก็คือ คุณคมสัน ทองศิริ เป็นเลขาธิการของสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ คุณมานพ เกื้อรัตน์ กรรมการของสมาพันธ์ คุณสาวิทย์ แก้วหวาน และแน่นอนครับ คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข นอกจากนั้นยังมีนักสู้ของประชาชนที่เป็นกำลังสำคัญของประชาชน ที่จะร่วมต่อสู้กับเราอย่างถึงที่สุด คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม คุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ พี่น้องครับและแกนนำของกลุ่มประชาชนที่เริ่มต้นจากสามเสน ไปราชดำเนินไปกระทรวงการคลัง และมาปักหลักที่ศูนย์ราชการวันนี้" วันนี้เราต้องกระจายกันอยู่ 3 เวที ทั้งที่ราชดำเนิน ทั้งที่กระทรวงการคลัง ทั้งที่ศูนย์ราชการ มาร่วมอยู่บนเวทีแห่งนี้บางส่วนครับ ที่เหลือคงจะแสดงตัวอยู่ที่ 2 เวทีนั้น ที่อยู่บนเวทีนี้ขณะนี้ก็มี คุณถาวร เสนเนียม คุณชุมพล จุลใส คุณณัฏฐพล ทีปสุวรรณ คุณพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ คุณเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ คุณสกลธี ภัททิยกุล" ทั้งนี้ แกนนำจากกลุ่มต่างๆ จะร่วมกันเคลื่อนไหวในนาม "คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" หรือ กปปส. หลังจากแนะนำชื่อเครือข่ายใหม่ สุเทพได้กล่าวติดตลกว่า "ชื่อยาวหน่อย แต่ความหมายชัดเจน ชื่อย่อๆ ว่า กปปส. จะเป็นองค์กรกำหนดแนวทางตัดสินใจต่อสู้กับระบอบทักษิณ จัดการให้ระบอบนี้พ้นจากประเทศไทยให้ได้" สุเทพกล่าวว่า "คณะกรรมการ กปปส. ได้ปรึกษาหารือกัน และได้ตัดสินใจแล้ว กำหนดวันแห่งชัยชนะของมวลมหาประชาชนแล้วครับ ไม่ต้องการให้พี่น้องประชาชนต้องทนทุกข์ทรมานกับการต่อสู้ยาวนานอีกต่อไป คณะกรรมการ กปปส. ได้กำหนดให้ 1 ธันวาคม 2556 คือวันแห่งชัยชนะของมวลมหาประชาชน" "พี่น้องที่เคารพ พี่น้องผู้รักชาติรักแผ่นดินที่เคารพ ขอได้โปรดสดับ วันแห่งชัยชนะของมวลมหาประชาชน ชัยชนะจะเกิดได้ต้องร่วมแรงร่วมใจกันลงมือขจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย เพราะนี่คือปฏิบัติการของพลเมืองดี ปฏิบัติการของมวลมหาประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง เราจึงได้กำหนดแผนการปฏิบัติการที่เป็นไปโดยสันติ โดยสงบ ปราศจากอาวุธ อหิงสาเต็มรูปแบบ การปฏิบัติการของเราเพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์ จึงไม่มีเรื่องของการใช้กำลัง หรือการใช้ความรุนแรงใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนี่คือการปฏิบัติของพลเมืองดี ต้องใช้จำนวนคนมากมหาศาล การจะให้พี่น้องทั้งหลายได้เข้ามาร่วมแรงร่วมใจมหาศาล จึงจำเป็นต้องมีการชี้แจงแผนการปฏิบัติการ วันเวลาของปฏิบัติ เพื่อที่พี่น้องประชาชนทั้งหลาย จะได้เข้าร่วมในปฏิบัติการพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ" สุเทพชี้แจงปฏิบัติการว่าจะเริ่มต้นตั้งแต่คืนวันที่ 29 พ.ย. เป็นต้นไป "เราจะเริ่มลงมือปฏิบัติการตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปครับ การปฏิบัติการของเรา นับจากคืนนี้เป็นต้นไป คือพี่น้องที่มาชุมนุมพร้อมเพรียงที่นี่หลายหมื่นคน ทำหน้าที่ควบคุมพื้นที่ศูนย์ราชการ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของการปฏิบัติราชการที่นี่ เราได้เดินเท้าจากถนนราชดำเนินมายังศูนย์ราชการที่นี่เป็นระยะทางถึง 17 กม. แล้วมีมวลมหาประชาชนได้เข้ามาร่วมกระบวนมากมายหลายกิโลเมตร และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากพี่น้องข้าราชการทั้งหลาย พี่น้องข้าราชการได้ตัดสินใจหยุดการปฏิบัติงานมาร่วมการต่อสู้กับมวลมหาประชาชน" "ข้าราชการที่ยังลังเล ตัดสินใจไม่ได้ พวกเรามวลมหาประชาชนจะรอท่านทั้งปีทั้งชาติต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นขอประกาศในนาม กปปส. ว่าตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป กองกำลังของมวลมหาประชาชนจะควบคุมพื้นที่ศูนย์ราชการแห่งนี้โดยสมบูรณ์ เด็ดขาด และไม่มีการทำงานกันอีก ตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไป พี่น้องข้าราชการที่เคยมาทำงานที่ศูนย์ราชการแห่งนี้ ไม่ต้องมาทำงานแล้ว อยู่ที่บ้าน ไม่ต้องมาทำงานอีกแล้ว จนกว่าจะได้รับประกาศให้มาทำงาน" "โดย กปปส. อนุญาตให้มาร่วมปฏิบัติกับพี่น้องประชาชนได้ทุกวัน ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป พกสัญลักษณ์ธงชาติ และนกหวีดมาด้วย" ทั้งนี้ สุเทพปราศรัยว่า จะอนุญาตให้ข้าราชการ 2 หน่วยเข้ามาทำงานในศูนย์ราชการ ได้แก่ข้าราชการสังกัดศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ และข้าราชการของกองทัพไทย "นอกนั้นไม่ต้องมานะครับ นอนอยู่ที่้บ้าน หรือถ้ามาก็มาร่วมกับขบวนการประชาชน" สุเทพกล่าว และกล่าวต่อไปว่า "นอกจากศูนย์ราชการแห่งนี้ต้องเข้าควบคุมพื้นที่ศูนย์ราชการแล้ว เราจะเข้าไปควบคุมพื้นที่ของ กสท. โทรคมนาคม และบริษัททีโอที มหาชน จำกัด เชื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปโดยเรียบร้อยในวันพรุ่งนี้เช้า เราเลือกดำเนินการวันเสาร์ วันอาทิตย์ เพราะไม่ต้องการให้มีผลกระทบ และไม่ต้องการให้มีการขัดขืนใดๆ เพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย พี่น้องที่ทำงานใน กสท. และทีโอที ให้การต้อนรับการเดินขบวนของมวลมหาประชาชนตั้งแต่วันแรก และเข้าควบคุมพื้นที่ทั้งสองบริษัท การปฏิบัติงานของเราในวันเสาร์ จะเป็นไปอย่างนี้ ผมและคณะกรรมการแกนนำ จะใช้สถานที่ศูนย์ราชการแห่งนี้เป็นจุดประสานงาน เป็นศูนย์บัญชาการ" "และทันทีที่เราประกาศ ฝ่ายรัฐบาลคงคิดเตรียมกำลังมาจับกุมพวกเรา เพราะฉะนั้นงานแรกของมวลมหาประชาชน คือรักษาฐานที่มั่นศูนย์ราชการตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป เมื่อจัดการกับศูนย์ราชการนี้ บริษัท กสท โทรคมนาคม และบริษัท ทีโอที มหาชนจำกัดแล้ว วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม กองกำลังส่วนอื่นของคณะกรรมการประชาชนฯ ก็จะเข้าไปปฏิบัติควบคุมพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจนครบาล กระทรวงศึกษาธิการที่ต้องเข้าไปกำกับตรงนี้ รวมทั้งที่สวนสัตว์ดุสิต หรือเขาดิน เพราะตำรวจตั้งกำลังอยู่ที่นี้ นอกจากนั้นกองกำลังของเราจะเข้าควบคุมพื้นที่กระทรวงแรงงาน เพราะเป็นที่ตั้งของ ศอ.รส. และเราจะเข้าไปควบคุมพื้นที่กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กรมประชาสัมพันธ์ ส่วนกระทรวงการคลัง และสำนักงานงบประมาณนั้น เราควบคุมพื้นที่อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว" "พี่น้องที่เคารพรักทั้งหลาย เราก็มีความจำเป็นที่ต้องเข้าควบคุมพื้นที่กระทรวงต่างประเทศด้วย พื้นที่ส่วนราชการเหล่านี้ เราได้ให้เครือข่ายต่างๆได้ไปซ้อมการเข้าควบคุมพื้นที่มาแล้วคือ ไปเยี่ยมมาแล้วทั้งนั้น ตอนนี้ถึงคราวปฏิบัติจริง และเข้าควบคุมพื้นที่ทุกกระทรวง ทบวง กรม ให้พี่น้องข้าราชการไม่ต้องมาทำงานอีกแล้ว และขอแจ้งข่าวไปถึงพี่น้องที่ทำงานในรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง ไม่ต้องมาทำงานอีกแล้วตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไป ยกเว้นบริษัทการบินไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย บริษัทขนส่ง จำกัด ขสมก. ที่จะทำให้เกิดความเดือดร้อนประชาชน ท่านร่วมกับเราเฉพาะกิจกรรมอื่น แต่ยังคงต้องบริการพี่น้องประชาชนต่อไปครับ" สุเทพกล่าว สุเทพกล่าวด้วยว่า เมื่อท่านทราบแล้ว สะดวกวันไหนไปที่นั่น ถ้าไปไม่ถูกไปที่เวทีราชดำเนินก่อนทั้งที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หรือ กปท. หรือ คปท. ไปได้ทุกเวที มีงานให้พี่น้องร่วมทำทุกแห่ง สุเทพกล่าวว่าที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 30 พ.ย. จะมีการตั้งกระบวนรอไว้ล่วงหน้าแล้ว และเวลานัดหมายคือ เวลา 10.45 น. โดยจะไปที่กระทรวง ทบวง กรมไม่ต้องรอใครชวนใครแล้ว วันนี้ทุกคนพกหัวใจที่ยิ่งใหญ่ พกความรักชาติปฏิบัติการพร้อมกัน สุเทพกล่าวด้วยว่า นักธุรกิจสีลมจะไปควบคุมกระทรวงพาณิชย์ด้วยตัวเอง และเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมให้ช่วยกันตื่นตัว ระมัดระวัง ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ไม่ให้มีการสลายการชุมนุม รวมทั้งเรียกร้องให้ไปยึดพื้นที่ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด "คนที่ดูหน้าจอ ไม่ต้องอยูที่บ้านแล้ว" สุเทพย้ำ สุเทพกล่าวด้วยว่า "ตอนบ่ายแก่ๆ ของวันที่ 1 ธ.ค. 2556 เราจะได้มีแถลงการณ์ประกาศชัยชนะขั้นเด็ดขาดของประชาชนด้วยกัน และเวลานั้น ก็จะไม่มีระบอบทักษิณอยู่ในแผ่นดินนี้อีกต่อไป" "ต้องกราบเรียน ย้ำ และยืนยันกับพี่น้องทั้งหลายคือ เรายึดหลักการต่อสู้ที่สันติ สงบ และปราศจากอาวุธจริงๆ โปรดออกจากบ้านด้วยมือเปล่า มีรองเท้าผ้าใบ มีเป้ใส่น้ำขวด ไม่ต้องพกอาวุธไป มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่พอแล้ว เราทำแค่นี้ โลกจะบันทึกการต่อสู้ของชาวไทยในครั้งนี้" สุเทพกล่าวติดตลกด้วยว่า "หากมีเจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมกำลังเตรียมขบวนเฮลิปเตอร์ที่จะมาจับกุมแกนนำ พอเขาลงมาก็กอดเขาด้วยความรักอย่างเดียว ไม่ต้องทำร้ายเขา เพราะนั่นคือคนของประชาชน อย่าให้เขาไปทำร้ายประชาชน กอดเอาไว้ด้วยความรัก" โดยเขาย้ำว่าจะร่วมปฏิบัติการด้วยกันตั้งแต่คืนนี้ วันพรุ่งนี้ และวันที่ 1 ธ.ค. จนกระทั่งเสร็จสิ้นภารกิจ "พี่น้องไม่ว่าท่านจะมีข้อคิด มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องปฏิบัติการของมวลมหาประชาชนครั้งนี้ ขอให้คิดว่าเป็นส่วนปลีกส่วนย่อย ให้มุ่งมั่นอย่างเดียวว่าต้องร่วมกันขจัดระบอบทักษิณให้หมดไปให้ได้ นั่นคือเรื่องสำคัญ เรื่องอื่นเรื่องเล็ก ทำอย่างเดียวร่วมแรงกันจัดการกับระบอบทักษิณ ทำด้วยความกล้าหาญ ด้วยหัวใจยิ่งใหญ่ คือหัวใจรักชาติ รักแผ่นดิน คงมีคนตั้งคำถามกับพี่น้อง ไหนจะต่อสู้สันติวิธี ไหนจะอหิงสา การบุกรุกสถานที่ราชการผิดกฎหมายไม่ใช่หรือ พี่น้องต้องยิ้ม และอธิบายเขา 'ทูนหัวไม่ผิดกฎหมายเสียเลยมันคงชนะไม่ได้' ผมไปอ่านตำราอาจารย์ชัยวัฒน์ (สถาอานันท์) แล้ว ท่านเป็นนักสันติวิธี ท่านอธิบายชัดเจนอารยะขัดขืนแม้จะเป็นการทำผิดกฎหมาย ถ้าไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ใช้อาวุธ ไม่หลุดกรอบอารยะขัดขืน และสันติวิธี และจำเป็นต้องทำผิดกฎหมายเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ได้รับชัยชนะ ไม่ใช่ชัยชนะเพื่อตัวเอง แต่เป็นชัยชนะเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน เมื่อชนะแล้ว จะดำเนินคดีกับเราก็ยินดี ไม่หนีไปไหน" "เราไม่ได้ปฏิเสธกฎหมาย เหมือนรัฐบาลปฏิเสธรัฐธรรมนูญ และเราพร้อมรับโทษกระบวนการยุติธรรม ไม่หลบเลี่ยงโดยเด็ดขาด ถึงวันนั้นจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จะสารภาพผิด ศาลลงโทษจำคุกกี่ปีก็แล้วแต่ ประเทศไทยรอดปลอดภัยก็คุ้มแล้วพี่้น้อง นี่คือสิ่งที่เราจะทำ ขอให้ทำใจให้ผ่องแผ้ว แจ่มใส เราไม่ได้ทำเพื่อพรรคการเมือง แต่เราทำเพื่ออนาคตประเทศไทย อนาคตลูกหลาน จะได้เป็นเสรีชน เมื่อเราจัดการระบอบทักษิณเสร็จเรียบร้อย เราจะได้เริ่มเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยด้วยมือของประชาชน ให้ประเทศเราได้ก้าวไปข้างหน้า อย่างประเทศที่มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ไม่มีทุนสามานย์ ไม่มีทุจริต ไม่มีข้าราชการขี้ข้า เป็นรัฐบาลโดยประชาชนแท้จริงเท่านั้น ในฐานะเลขาธิการ กปปส. ขอกราบพระคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยที่จะร่วมแรงร่วมกันปฏิบัติการพร้อมกันเพื่อประเทศไทยนับตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป" สุเทพกล่าว โดยมวลชนต่างสงเสียงไชโยอย่างอึงมี่ ขณะเดียวกันที่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต ส.ส. ตรัง และแกนนำบนเวทีได้นัดหมายให้ผู้ชุมนุมมาพร้อมกันตั้งแต่เช้า และจะเริ่มเคลื่อนขบวนไปสู่ที่ตั้งสถานที่ราชการต่างๆ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ผบ.ทบ.วอนผู้ชุมนุมอย่าบีบทหารเลือกข้าง Posted: 29 Nov 2013 03:40 AM PST รองโฆษกกองทัพบก เผยแถลงการณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. วอนผู้ชุมนุมอย่าบีบให้เลือกข้าง ขอทุกฝ่ายหาทางออกอย่างสันติโดยเร็ว หลังคปท.บุกเข้ากองทัพบกเรียกร้องทหารออกมาสนับสนุน 29 พ.ย.2556 หลังจากที่เครือข่ายต้านระบอบทักษิณมีการเรียกร้องและปราศรัยให้กองทัพออกมาสนับสนุนการเคลื่อนไหวของเครือข่ายมาโดยตลอด จนกระทั้งวันนี้เวลา 12.30 น. ตามรายงานของคมชัดลึกออนไลน์ ระบุว่าผู้ชุมนุม กลุ่มเครือข่ายนักศึกษา ประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายนำโดยนายนิติธร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษากลุ่ม คปท.และนายอุทัย ยอดมณี แกนนำกลุ่มคปท. พร้อมด้วยกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งได้รวมตัวกันผลักดันประตูของกองทัพบกจนพังลง โดยทหารกองรักษาการณ์ที่อยู่บริเวณประตูด้านหน้าหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับผู้ชุมนุม จึงทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนมากได้ทยอยเดินเท้าเข้ามาภายในกองบัญชาการกองทัพบก พร้อมกับได้นำรถขยายเสียงเข้ามาปราศรัย เพื่อขอยื่นหนังสือเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และกองทัพประกาศจุดยืนต่อชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ และเรียกร้องให้ยืนเคียงข้างประชาชน ล่าสุด เมื่อเวลา 16.30 น. เนชั่นทันข่าว รายงานว่า พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก พร้อมด้วยพ.อ.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกกองทัพบกฝ่ายต่างประเทศ ร่วมกันอ่านคำแถลงการณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยพ.อ.วินธัย กล่าวว่า กองทัพบกยังคงเป็นกองทัพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและประชาชนอยู่เสมอ โดยติดตามสถานการณ์และเตรียมดูแลช่วยเหลือประชาชน หากมีการบาดเจ็บหรือสูญเสียจากสถานการณ์การชุมนุมที่อาจมีแนวโน้มก้าวไปสู่ความรุนแรง กองทัพบกขอให้การชุมนุมของทุกฝ่ายเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยภายใต้กรอบกฎหมาย และอย่าได้พยายามแบ่งฝ่าย หรือดึงกองทัพให้ตกเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะกองทัพบกถือว่าประชาชนทุกคนเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นทั้งรัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชนทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกันแสวงหาทางออกอย่างสันติให้ได้โดยเร็ว "สำหรับภารกิจงานป้องกันและเทิดทูนสถาบัน กองทัพบกพยายามอย่างเต็มที่ โดยใช้หลักนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ในการดำเนินการจึงอยากให้ทุกฝ่ายไม่ควรนำสถาบันมาเป็นเงื่อนไขในความขัดแย้งทางการเมือง เพราะประชาชนทุกคนคือคนไทยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ด้วยกันทั้งสิ้น หากทุกฝ่ายเร่งปลุกระดมมวลชนให้เกิดอารมณ์ที่รุนแรงหรือไม่พอใจกันในวงกว้าง ต่อไปจะไม่สามารถควบคุมหยุดความรุนแรงได้ โดยเฉพาะช่วงนี้ใกล้ถึงช่วงเดือนแห่งความสุขของคนไทย วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม อาจทำให้พระองค์ทรงไม่สบายพระทัยได้ ที่คนไทยด้วยกันขาดความสามัคคีต้องมาต่อสู้กันเอง ทหารทุกคนจะอยู่ในบทบาทที่เหมาะสมและไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ ทุกคนมีความห่วงใยในสถานการณ์อย่างแท้จริง ทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และพลเรือนยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายระเบียบข้อบังคับของทางราชการ อย่าได้มองและมีทัศนคติในเชิงลบต่อเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำงานตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง"พ.อ.วินธัย กล่าว พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ขอให้ผู้ชุมนุมได้เข้าใจ และขอให้ระมัดระวังในการใช้วาจาที่สุภาพเหมาะสมต่อเจ้าหน้าที่ในแต่ละโอกาสด้วย กองทัพบกคงยึดถือและปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ได้ทรงพระราชทานไว้ เมื่อพ.ค. ปี 2535 อยู่ตลอดเวลา ขอให้ประชาชนทุกคนได้ทำความเข้าใจ ลดความเกลียดชังซึ่งกันและกันทุกพวก ทุกฝ่าย ทุกสี ขอให้สนับสนุนให้ผู้นำของตนร่วมกันหาทางออกให้ได้โดยเร็ว รวมทั้งประชาชนจะต้องไม่ทำร้ายกันเอง สุดท้ายแล้วจะไม่มีใครชนะหรือแพ้ แต่ที่พ่ายแพ้คือประเทศชาติ ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในกองทัพบก ยืนยันว่า ดีอยู่แล้ว โดยได้มีการวางมาตรการดูแลเป็นระดับ แต่ที่ผ่านมากลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้มีท่าทีหรือแนวโน้มที่จะมีความรุนแรง หรือพยายามที่จะเข้ามาในพื้นที่ด้านใน แต่ถ้าสถานการณ์เปลี่ยน กองทัพบกก็มีมาตรการในการรองรับด้วยการเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยเป็นลำดับ แต่บางครั้งการแสดงกำลังอาจจะส่งผลในเชิงทำนองยั่วยุได้ ดังนั้นการดำเนินการใดๆก็ตามจะต้องคำนึงถึงความจำเป็นที่เหมาะสมจริงๆ ทั้งนี้หากสถานการณ์มีแนวโน้มที่เปลี่ยน เราก็จะต้องมีการเพิ่มระดับ โดยเฉพาะความเข้มงวดให้มากขึ้น ส่วนกรณีที่มีการมองว่า กองทัพบกยินยอมให้กลุ่มผุ้ชุมนุมเข้ามาในกองทัพนั้น ทางกองทัพไม่อยากใช้ความรุนแรง และเราไม่ได้มองกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นอริราชศัตรูหรือฝ่ายตรงข้าม แต่เขาคือพี่น้องคนไทย กลุ่มผู้ชุมนุมคือผู้ที่มีความคิดเห็นต่างทางการเมือง ดังนั้นการเข้ามาชุมนุมโดยไม่ใช้ความรุนแรงอาจมีโอกาสเป็นไปได้บ้าง แต่อย่างไรก็ตามต่อไปจะต้องมีความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวเนชั่นรายงานว่าภายหลังจากที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินทางกลับในเวลา 14.30 น.นั้น ทางเจ้าหน้าที่ทหารประจำส่วนสนับสนุนกองบัญชาการกองทัพบก (สสน.)ได้ส่งกำลังทหารช่างประมาณ 10นาย เข้ามาซ่อมประตูรั้วด้านหน้ากองทัพบกที่ได้รับเสียหาย โดยมีมวลชนบางส่วนที่สัญจรผ่านด้านหน้าบก.ทบ.เข้ามาช่วยทหารซ่อมประตู พร้อมให้คำแนะนำ เนื่องจากมีอาชีพเป็นช่าง ขณะเดียวกันพื้นที่บริเวณสนามหญ้าด้านหน้าตึกกองบัญชาการที่มีผู้ชุมนุมเดินทางเข้ามานั้น ได้มีเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิด (อีโอดี) และเจ้าหน้าที่กองพันสุนัขทหารนำสุนัขทหารเดินสำรวจวัตถุอันตรายในบริเวณดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ยังได้นำรั้วลวดหนามมาวางบริเวณประตูทางเข้า-ออก เพื่อเสริมความปลอดภัยภายในกองทัพบกด้วย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
อดีตแกนนำ PNYS แถลงเยาวชนปาตานีไม่เกี่ยวข้องเหตุดักทำร้ายคนเสื้อแดง Posted: 29 Nov 2013 03:33 AM PST อดีตรองประธานกลุ่มนักศึกษา PNYS ออกแถลงการณ์ส่วนตัวระบุมีผู้ปล่อยข่าวดักทำร้าย เพื่อทำให้คนเสื้อแดงเข้าใจผิด ยืนยันว่าเยาวชนปาตานีไม่มีวันสนับสนุนฝ่ายที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และความเป็นพลเมืองไทยที่ต้องยอมจำนนกับความไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ตอบโจทย์การต่อสู้ชาวปาตานี 29 พ.ย. 2556 - ตามที่มีข่าวมีกลุ่มวัยรุ่นดักทำร้ายผู้ชุมนุม นปช. บริเวณซอยมหาดไทย หรือรามคำแหง 53 และบริเวณใกล้เคียงสนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถานซึ่งเป็นที่ชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดงนั้น ล่าสุดวันนี้ (29 พ.ย.) ตูแวดานียา ตูแวแมแง อดีตรองประธานฝ่ายการเมืองกลุ่มนักศึกษา PNYS ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา ได้เผยแพร่แถลงการณ์ส่วนตัว "สาส์นจากอดีตกรรมการบริหารกลุ่ม PNYS ปี48 ถึงประชาชนไทยผู้รักประชาธิปไตยทีแท้จริง" ยืนยันว่านักศึกษาชาวมลายูปาตานี ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุดักทำร้ายคนเสื้อแดง โดยเชื่อว่าเป็นเจตนาร้ายของผู้ต้องการสร้างความเข้าใจผิด ในท้ายจดหมายเขาเชื่อว่าเป้าหมายของนักศึกษาและเยาวชนมลายูปาตานีคือจะต้อง "กำหนดชะตากรรมตนเองด้วยตนเอง" และทิ้งท้ายว่า "เชื่อว่าอำนาจเผด็จการทรราชต้องมีวันหมดไปบนผืนแผ่นดินไทย ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยจงชนะ อำนาจรัฐต้องเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง" โดยรายละเอียดของคำแถลงมีดังนี้ 000 สาส์นจากอดีตกรรมการบริหารกลุ่ม PNYS ปี48 ถึงประชาชนไทยผู้รักประชาธิปไตยทีแท้จริง PNYS เป็นกลุ่มนักศึกษาปาตานีหรือจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งศึกษาอยู่ที่เมืองหลวงเสียส่วนใหญ่ รวมตัวกันบนพื้นฐานของการปกป้องอัตลักษณ์และสิทธิทางการเมืองของภาคประชาชนที่พึงมีพึงได้ตามเจตนารมณ์ของหลักการประชาธิปไตยซึ่งอำนาจการปกครองเป็นของประชาชน มาจากประชาชน โดยประชาชนและนิยามคำว่าชาติคือประชาชนไม่ใช่ชนชั้นปกครอง ในฐานะที่ผมเป็นอดีตรองประธานฝ่ายการเมือง PNYS ปี 48 รองนายกองค์การนักศึกษาม.รามคำแหงคนที่ 1 ปี 49 และอดีตประธานเครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน ปี 50 ซึ่งเป็นปีที่ขบวนการนักศึกษาแห่งประเทศไทยได้ผนึกกำลังเคลื่อนไหวอย่างแข็งขันเพื่อต่อต้านความเป็นเผด็จการซ่อนรูปประชาธิปไตยและความเป็นจักรวรรดินิยมสยามของชนชั้นปกครองไทย โดยมีจุดเริ่มต้นการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับประชาชนที่สมรภูมิรบปาตานี ณ มัสยิดกลางปัตตานีเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม - 4 มิถุนายน 2550 จากการที่มีกระแสข่าวว่าพี่น้องจากปาตานีหรือชายแดนใต้มีเอี่ยวในการดักทำร้ายมิตรสหายเสื้อแดงนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในบริเวณย่าน ม.รามคำแหง ซึ่งเป็นบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่การเคลื่อนไหวของมิตรสหายเสื้อแดงนั่นคือ ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับคณะกรรมการบริหารกลุ่ม PNYS ปัจจุบันแล้ว ปรากฎว่ากระแสข่าวดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จ ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าแหล่งข้อมูลที่ปล่อยกระแสข่าวนี้ มีเจตนาร้ายที่จะทำให้มิตรสหายเสื้อแดงได้ผิดใจและบานปลายจนเกิดความแตกแยกในทางยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวเพื่อดำรงซึ่งหลักการประชาธิปไตยอันมีเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเป็นตัวกำหนดทิศทางคุณภาพชีวิตของปวงชนชาวไทยในอนาคต ดังนั้นข้าพเจ้านายตูแวดานียา ตูแวแมแง ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) มีความรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ระหว่างการเคลื่อนไหวโดยการชุมนุมทางการเมืองอย่างสันติของทั้งฝ่ายที่มีจุดยืนจะโค่นล้มระบอบทักษิณและฝ่ายที่จะปกป้องซึ่งหลักการประชาธิปไตย อยู่ๆ ก็มีการใส่ร้ายป้ายสีพี่น้องนักศึกษาปาตานีหรือชายแดนภาคใต้เกี่ยวข้องกับการซุ่มดักทำร้ายมิตรสหายพี่น้องประชาชนเสื้อแดง และเชื่อมั่นว่ามิตรสหายพี่น้องเสื้อแดงคงไม่คล้อยตามกระแสข่าวที่มีเจตนาร้ายดังกล่าว และเนื่องจากความเป็นนิติรัฐภายใต้การเรียกตัวเองว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้กระทำการอย่างรุนแรงและไร้ซึ่งความเคารพต่อหลักมนุษยธรรมต่อประชาชนชาวปาตานีในท่ามกลางรัฐได้เปิดศึกการสู้รบอย่างเป็นทางการกับขบวนการปฏิวัติแห่งชาติปาตานี (BRN) มาเป็นทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์กรือเซะ ตากใบ ไอร์ปาแย บ้านกือทอง บาซาลาแป ปูโละปูโย เป็นต้น จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการยอมรับผิดและลงโทษผู้กระทำผิดโดยรัฐแต่อย่างใด และไม่มีแนวโน้มแม้แต่นิดเดียวถ้าตราบใดเจตจำนงเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนถูกแทรกแซงโดยอำนาจเผด็จการที่ไร้รูปแบบตายตัว ที่เจ้าหน้าที่รัฐจะได้รับการลงโทษตามกฎหมาย จึงไม่แปลกที่ขบวนการนักศึกษา ประชาชนชาวปาตานีไม่มีท่าทีทางการเมืองใดๆ ต่อวิกฤติการณ์ประชาธิปไตยในครั้งนี้ เพราะเจตจำนงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของขบวนการนักศึกษา ประชาชนชาวปาตานีได้หมดความศรัทธาต่อประชาธิปไตยไทยแล้ว ความเป็นพลเมืองไทยที่ต้องยอมจำนนกับความไม่เป็นประชาธิปไตย จึงไม่ใช่การตอบโจทย์การต่อสู้ของชาวปาตานี การกำหนดชะตากรรมตนเองด้วยตนเองต่างหากคือโจทย์ของขบวนการนักศึกษาและประชาชนชาวปาตานี แม้ว่าเราไม่ออกเคลื่อนไหวใดๆเพื่อเป็นการคัดค้านฝ่ายไม่ถูกต้องด้วยเหตุและผลข้างต้น แต่เราก็จะไม่มีวันสนับสนุนฝ่ายที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นประชาธิปไตยแน่นอน เราขอสัญญา หวังว่ามิตรสหายผู้รักประชาธิปไตยที่แท้จริงจะเข้าใจ ไม่ช้าก็เร็วตราบใดประชาชนยังผนึกกำลังสานสามัคคี มีเอกภาพในเป้าหมาย และแยกมิตรแยกศัตรูได้ชัดเจน เชื่อว่าอำนาจเผด็จการทรราชต้องมีวันหมดไปบนผืนแผ่นดินไทย ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยจงชนะ อำนาจรัฐต้องเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ด้วยจิตรักประชาธิปไตยและสันติภาพ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
มูลนิธิศักยภาพชุมชนชี้ยุบสภาเป็นทางออกสุดท้ายหากรัฐบาลควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ Posted: 29 Nov 2013 12:53 AM PST 28 พ.ย. 2556 - มูลนิธิศักยภาพชุมชนและเครือข่ายออกแถลงการณ์ต่อกรณีสถานการณ์ทางการเมือง ฉบับที่ 2 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 29 Nov 2013 12:27 AM PST
ที่มา: เว็บไซต์เดลินิวส์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Time: สงครามระหว่างสี: ทำไมแดงถึงเกลียดเหลือง Posted: 28 Nov 2013 11:42 PM PST รักชาติ วงศ์อธิชาติ แปลบทความ Thailand's Color War: Why Red Hates Yellow จากนิตยสารไทม์ ที่อธิบายแรงจูงใจของการต่อสู้ของกลุ่มเสื้อเหลืองและแดง และมุมมองของนักข่าวต่างชาติที่มีต่อความขัดแย้งทางการเมืองในไทย ทักษิณ ชินวัตร : คนรักหรือคนเกลียด ถ้าจะกล่าวถึงประเทศไทย สำหรับคนภายนอกแล้ว คงจะหนีไม่พ้น หาดทรายที่สวยงาม อาหารรสเลิศ แหล่งช๊อปปิ้งราคาถูก และ ชีวิตยามราตรีที่สุดเหวี่ยง แต่ว่าทำไมหนอบนท้องถนนเกือบทุกๆปี ถึงเต็มไปด้วยผู้ประท้วงด้วยสัญญะของสีต่างๆ พวกเขาต้องการจะโค่นล้มรัฐอย่างนั้นหรือ? หากจะทำความเข้าใจขั้วการเมืองของทั้งสองฝ่ายในไทย ก็ไม่ต้องไปไหนไกล หากแต่มองไปที่บุคคลคนหนึ่ง อดีตนายกรัฐมนตรีผู้หลี้ภัยอยู่ในต่างแดน อดีตนายตำรวจ เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ และ นักการเมืองผู้มากความสามารถที่สามารถครองใจคนชนบทได้อย่างมากมาย ทักษิณ ชินวัตร ด้วยเอกลักษณ์ในความเป็นผู้นำที่กล้าท้าชนของเขาก่อให้เกิดศัตรูทางการเมืองอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มคนในกรุงเทพฐานเสียงที่สนับสนุนกลุ่มชนชั้นนำ หรือฝ่ายเสื้อสีเหลือง และการที่ทักษิณถูกขับออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยการรัฐประหารในปี 2549 ก็ทำให้เกิดกลุ่มที่สนับสนุนเขาขึ้นมาเช่นเดียวกัน ซึ่งก็คือฝ่ายเสื้อสีแดงนั่นเอง สยามเมืองยิ้ม หรือน่าจะเป็น สยาม เมืองแห่งการรัฐประหาร มากกว่า ประเทศไทย เริ่มมีการใช้ระบอบประชาธิปไตยเป็นประเทศแรกๆ ในเอเชีย และมีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรครั้งแรกในปี 2476 หลังจากที่ระบอบกษัตริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถูกโค่นล้มลง แต่อย่าเพิ่งหลงดีใจไป "สยามเมืองยิ้ม" แห่งนี้ ผ่านการรัฐประหารและถูกปกครองโดยทหารมากกว่าการเลือกตั้งเสียอีก อำนาจของทหารที่ทรงพลังบวกกับองค์ประกอบภายในและโดยรอบสถาบันกษัตริย์ ยังคงเป็นอำนาจหลักที่แข็งแกร่งคงทนอย่างมาก จากสถิติข้อมูลขององค์กรสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอทช์ ภายหลังจากการสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี 2475 ประเทศไทยมีการรัฐประหารถึง 18 ครั้ง มีรัฐบาลทหารปกครองถึง 23 รัฐบาล และมีรัฐบาลที่ถูกครอบงำโดยทหารอีกถึง 9 รัฐบาล โดดเด่น แต่อำมหิต ในปี 2544 จุดเปลี่ยนสำคัญของสังคมการเมืองไทยได้เกิดขึ้น เมื่อทักษิณ ชินวัตร ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ความสำเร็จของรัฐบาลที่เกี่ยวพันกับทหารได้สิ้นสุดลง ชัยชนะของทักษิณ ได้สั่นคลอนกลุ่มผู้ทรงอำนาจในกรุงเทพฯ ทักษิณ ชินวัตร นายตำรวจผู้มาจากเมืองเชียงใหม่ เจ้าของธุรกิจโทรคมนาคม ได้พิสูจน์ตัวเองโดยใช้ความชาญฉลาดทางการเมืองครองใจมหาชนทั้งในตอนที่เป็นผู้สมัครและในตอนที่ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในการเป็นนายกรัฐมนตรีปีที่ 5 ของเขา ทักษิณได้ออกนโยบายทางสังคมที่เป็นที่ชื่นชมอย่างมาก เช่นนโยบายสาธารณสุข โครงการเงินช่วยเหลือต่างๆ รวมทั้งโครงการสวัสดิการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งพัฒนาความเป็นอยู่ของคนชนบทซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศให้ดีขึ้น รวมถึงเป็นการสร้างฐานเสียงให้ตัวเขาเองด้วย อย่างไรก็ดี ทักษิณนั้นก็มีชื่อเสียงในด้านความโหดร้ายไม่แพ้กัน ในปี 2546 "สงครามยาเสพติด" ของเขานั้น กลายเป็นการฆ่าตัดตอนอย่างรวดเร็ว กว่า 2,500 คนที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดสูญเสียชีวิตจากนโยบายนี้ โดยที่ไม่มีการสอบสวนใดๆ อีกทั้งเขายังเป็นคนจุดเชื้อไฟความรุนแรงต่อชาวมุสลิมในภาคใต้อีกด้วยในกรณีตากใบ ที่เขาได้กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ภายหลังจากชัยชนะอย่างท่วมท้นในปี 2548 ทักษิณก็ถูกกล่าวหาว่ากระทำการทุจริต หลังจากที่ลูกของเขาได้ขายหุ้นในบริษัทที่เขาเคยเป็นเจ้าของถึง 49% ให้กับบริษัทเทมาเส็ก ของสิงคโปร์ การขายหุ้นครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องอื้อฉาวทางการเมืองของเขา หลายคนกล่าวหาเขาหลังจากมีการเปิดเผยสินทรัพย์จากการขายครั้งนี้ว่าเป็นการส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติ และยังเป็นการเปิดช่องโหว่ในการหลบเลี่ยงภาษีโดยอาศัยลูกๆอีกด้วย กลุ่มคนเสื้อเหลือง (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) ในขณะที่ทักษิณกำลังสร้างกลุ่มอำนาจของตัวเอง ได้มีการรวมตัวโดย กลุ่มชาตินิยมสุดโต่ง กลุ่มกษัตริย์นิยม นักธุรกิจชั้นนำ และกลุ่มชนชั้นกลางในเมือง โดยใช้ชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยมีเป้าหมายที่จะถอดนายกรัฐมนตรีคนนี้ออกจากตำแหน่ง กลุ่มพันธมิตรฯ นำโดย สนธิ ลิ้มทองกุล และ จำลอง ศรีเมือง อดีตนายทหารได้ใช้สัญลักษณ์เสื้อสีเหลือง ซึ่งเป็นสีอันเป็นสัญลักษณ์ของความสูงส่งและศักดิ์สิทธ์ และเป็นสีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผู้เป็นที่รักของคนในชาติ เพื่อสื่อถึงความจงรักภักดีต่อประเทศ และราชวงศ์ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าทักษิณกำลังพยายามจะบ่อนทำลาย การรัฐประหาร ก่อกำเนิดคนเสื้อแดง ในวันที่ 19 กันยายน ปี 2549 ในขณะที่ทักษิณอยู่นิวยอร์คเพื่อไปประชุมผู้นำของยูเอ็น ทหารได้กระทำการรัฐประหารและล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ผู้บัญชาการผู้รับผิดชอบในการรัฐประหารครั้งนี้ให้เหตุผลว่าที่เขาต้องทำการล้มอำนาจของทักษิณนั้นเพื่อสร้างความสามัคคีในชาติและขัดขวางการทุจริตคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นมากมาย ในการยึดอำนาจโดยทหารนั้น กระทำได้โดยอาศัยเพียงแค่การตอบรับจากในวัง ซึ่งทำให้มวลชนคนชนบทและชนชั้นผู้ใช้แรงงานในเมืองที่สนับสนุนทักษิณ เกิดความไม่พอใจ พวกเขาถูกพรากสิทธิ์อันชอบธรรมในคนที่เขาเลือก กลุ่มคนที่สนับสนุนทักษิณได้ตั้งกลุ่มขึ้นมา ชื่อว่ากลุ่ม แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง และเริ่มต้นเดินขบวนประท้วง มองดูคนเสื้อแดง ถึงแม้ว่าทักษิณจะถูกปลดออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ความศรัทธาในตัวเขาโดยคนต่างจังหวัดนั้นไม่เสื่อมลงตาม หลังจากที่ทหารยึดอำนาจเป็นเวลาเกือบปี การเลือกตั้งในปี 2550 ก็ยังเป็นผลให้กลุ่มของทักษิณขึ้นมาเป็นรัฐบาลใหม่เหมือนเดิม การนำคนในกลุ่มของทักษิณขึ้นมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง เป็นเหตุให้กลุ่มคนเสื้อเหลืองไม่พอใจ และเริ่มต้นเดินขบวนประท้วงตามท้องถนนในปี 2551 ในเดือนตุลาคม ศาลฎีกาซึ่งเชื่อกันว่ามีผลประโยชน์อิงกับฝ่ายทหารและสถาบันฯ ตัดสินให้ทักษิณ ชินวัตร รับโทษจำคุก 2 ปี ในข้อหาทุจริตคอรัปชั่น และทักษิณ ก็ใช้ชีวิตโดยการลี้ภัยตั้งแต่นั้นมา การยึดสนามบินสุวรรณภูมิ กลุ่มคนเสื้อเหลืองได้เริ่มทำการประท้วงรัฐบาลเครือข่ายทักษิณ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี2551 ตั้งแต่นั้นจนถึงสิ้นปี ในช่วงเวลานั้น กลุ่มผู้ประท้วงได้เกิดการปะทะกับกลุ่มคนเสื้อแดงประปรายทั้งในเขตกรุงเทพฯและต่างจังหวัด และในบางแห่งก็มีเหตุการณ์ที่รุนแรงมาก ในวันที่ 25 พฤศจิกายน กลุ่มคนเสื้อเหลือง ได้ทำการประท้วงในแนวทางที่สุดโต่งที่สุด โดยการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร และตามมาด้วยการยึดสนามบินดอนเมือง ทำให้ในวันถัดมา การบินในสนามบินอันเป็นที่เชื่อมต่อของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ได้หยุดชะงักลง และส่งผลร้ายแรงต่อเนื่องไปทั่วทั้งประเทศ กลุ่มคนเสื้อเหลืองตกเป็นเป้าโจมตีอย่างร้ายแรง จนถึงขนาดที่ต้องมีการกู้ระเบิดที่สนามบินดอนเมืองเลยทีเดียว ในวันที่ 2 ธันวาคม ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยตัดสิทธิ์รัฐบาลของเครือข่ายทักษิณอีกครั้ง และดันให้พรรคคู่แข่งอย่างพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาเป็นรัฐบาล ภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในขณะเดียวกันกลุ่มคนเสื้อเหลืองก็ทำการฉลองชัยชนะในการขับไล่กลุ่มอำนาจของทักษิณออกไปจากบทบาททางการเมือง อย่างไรก็ดี การยึดสนามบินอันเป็นหัวใจของประเทศนั้นเป็นการกระทำที่หน้าอับอายมากในทางสาธารณะ และเป็นหนึ่งในการกระทำที่พวกเขาไม่อาจแก้คืนมาได้ นองเลือดในกรุงเทพ จากความโกรธแค้นในการรัฐประหาร และการตัดสิทธิ์ทางการเมืองของรัฐบาลที่พวกเขาเลือกมาตามระบอบประชาธิปไตย กลุ่มคนเสื้อแดง ได้ออกมาประท้วงบ้างโดยเริ่มตั้งแต่ปี 2552 ถึงแม้ว่าทักษิณจะลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ เขาก็ยังคงมีบทบาทในการโจมตีนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามและกลุ่มชนชั้นนำในประเทศไทย รวมทั้งยังปลุกระดมกลุ่มที่สนับสนุนเขาให้ออกมาแสดงพลังอีกด้วย การปะทะกันเกิดขึ้นในเดือนเมษายน ปี 2552 ระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงและหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ถูกมองว่าเข้าข้างรัฐบาลฝ่ายเสื้อเหลือง การปะทะกันครั้งนี้ทำให้มีคนตายจำนวนหนึ่ง และบาดเจ็บหลายร้อยคน ซึ่งส่งผลให้เกิดการรวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งในปีถัดมา ในเดือนมีนาคม ปี 2553 การประท้วงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร และในเดือนเมษายนความรุนแรงก็เริ่มก่อตัวขึ้น เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง พลแม่นปืน(สไนเปอร์)ถูกสั่งให้ยิงอย่างอิสระ และหน่วยรักษาความปลอดภัยก็มุ่งเป้าไปที่นักข่าว ในวันที่ 19 พฤษภาคม ทหารได้ทำการถอนรากถอนโคนกลุ่มผู้ประท้วงหลายพันคนที่พยายามตั้งฐานกำลังในเขตใจกลางเมืองหลวง ก่อให้เกิดการบาดเจ็บกว่าสองพันคน และเสียชีวิตกว่า80 คน ความโกลาหลที่ถูกปล่อยให้เกิดขึ้น และระดับความรุนแรงของการสั่งการการสลายการชุมนุมครั้งนี้ ส่งผลสะเทือนอย่างร้ายแรงต่อสาธารณะชน แกนนำคนเสื้อแดงยอมแพ้และมอบตัวเพื่อยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้น นิรโทษกรรมเพื่อทุกคน? ในปี 2554 เมื่อมีการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคตัวแทนของทักษิณ ชินวัตร ได้รับชัยชนะอีกครั้ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณ ได้รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ ถึงแม้ว่ายิ่งลักษณ์จะอ้างว่าเธอเป็นผู้นำพรรค แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าคนที่มีอำนาจในการควบคุมพรรคแท้ที่จริงคือทักษิณนั่นเอง ในไม่กี่วันที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย ได้เสนอพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม อันเป็นเหตุให้เกิดการถกเถียงกันอย่างมาก กฎหมายนี้จะทำการคุ้มครองทั้งกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ปกป้องรัฐบาลและทหาร จากความผิดทางอาญาที่เกิดขึ้นทั้งหมดในช่วงปัญหาทางการเมืองที่ผ่านมา และมันยังเป็นการปูทางให้ทักษิณกลับมายังประเทศอย่างไร้มลทินได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นคู่แค้นกัน แต่ทั้งกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ก็มีจุดยืนร่วมกันในการต่อต้านพระราชบัญญัติฯนี้ ฝ่ายเสื้อเหลือง ไม่พอใจอย่างแน่นอนที่มันจะทำให้ทักษิณกลับมาได้ และฝ่ายเสื้อแดงก็ไม่พอใจที่พระราชบัญญัติฯนี้จะนิรโทษกรรมให้กับฝ่ายทหารและรัฐบาลที่ทำการสลายการชุมนุมของพวกเขาอย่างรุนแรงจนถึงขั้นสูญเสียชีวิต ในขณะนั้น หมายเหตุ: ความประสงค์ของผู้แปลคือเพื่อต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจถึงความเป็นมาของกลุ่มคนเสื้อสีเหลืองและแดง มูลเหตุและแรงจูงใจในการต่อสู้ของพวกเขา และมุมมองของนักข่าวต่างชาติที่มีต่อความขัดแย้งทางการเมืองในไทย ทั้งนี้ บทความนี้เขียนก่อนที่จะมีการตัดสินถอนร่าง พรบ และก่อนการออกมาประท้วงของม๊อบนกหวีดในตอนนี้ อาจจะเก่าไปแล้ว แต่คิดว่าเป็นประโยชน์สำหรับคนที่เพิ่งกระตือรือร้นเข้ามามีส่วนร่วมและสนใจการเมืองในตอนนี้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กป.อพช. เสนอ 'ยุบสภา' เพื่อเดินหน้าสู่การปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง Posted: 28 Nov 2013 11:35 PM PST คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) แถลงการณ์ฉบับที่ 2 เสนอยุบสภาเพื่อผ่าทางตันด้วยการคืนอำนาจให้ประชาชน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ดิอิโคโนมิสต์แบนตัวเองรอบ 2 ในเดือน พ.ย. Posted: 28 Nov 2013 10:57 PM PST 29 พ.ย.2556 ดิอิโคโนมิสต์ นิตยสารวิเคราะห์การเมือง-เศรษฐกิจชื่อดัง ส่งอีเมลแจ้งสมาชิกว่า นิตยสารฉบับวันที่ 30 พ.ย. 2556 จะไม่วางจำหน่ายในประเทศไทย เนื่องจากมีเนื้อหาที่มีความละเอียดอ่อน (sensitive) และอาจส่งผลกระทบกับผู้จัดจำหน่ายในประเทศ สำหรับดิอิโคโนมิสต์ ฉบับดังกล่าว มีบทความเกี่ยวกับประเทศไทย เรื่อง The exile and the kingdom (ผู้พลัดถิ่นและราชอาณาจักร) ว่าด้วยสถานการณ์การเมืองไทยปัจจุบัน พร้อมเสนอทางแก้ปัญหาว่า รัฐบาล ฝ่ายต่อต้าน และสถาบันกษัตริย์ต้องปรับตัว ก่อนหน้านี้ เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ดิอิโคโนมิสต์ งดวางจำหน่ายนิตยสารฉบับวันที่ 16 พ.ย. 2556 เช่นกัน โดยในเล่มมีบทความชื่อ "เป่านกหวีด" หรือ "Blowing the whistle" มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองไทย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เครือข่ายแพทย์จุฬาฯ ปกป้องคุณธรรมจี้นายกลาออก Posted: 28 Nov 2013 09:23 PM PST
โดยรายละเอียดของแถลงการณ์ทั้งหมดมีดังต่อไปนี้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
หนุ่มสาวเกาหลีเหนือ 'ติดซีรีส์' เกาหลีใต้ แต่ต้องแอบดูไม่ให้รัฐบาลรู้ Posted: 28 Nov 2013 09:01 PM PST ชาวเกาหลีเหนือถูกรัฐบาลห้ามชมสื่อจากต่างประเทศ แต่ในหมู่วัยรุ่นก็มีกระแสแอบดูละครซีรีส์ที่มีการลักลอบนำเข้าผ่านจีน ในรูปแบบสื่อชนิดต่างๆ เช่นดีวีดี หรือแฟลชไดรฟ์ที่ง่ายต่อการหลบซ่อน มีเรื่องชื่อ "Reply 1997" ซึ่งฮิตมากถึงขนาดพวกเขานิยมแสดงท่าทางเลียนแบบตัวละคร
28 พ.ย. 2556 สำนักข่าวเรดิโอฟรีเอเชียรายงานว่า คนหนุ่มสาวในประเทศเกาหลีเหนือยุคปัจจุบันกำลังนิยมละครซีรีส์จากโทรทัศน์ของเกาหลีใต้ ซึ่งเคยสร้างกระแสวัฒนธรรมเคป๊อบมาก่อน แต่ต้องใช้วิธีแอบดูจากสื่อที่ลับลอบเอาเข้ามา เนื่องจากเกาหลีเหนือมีบทลงโทษอย่างรุนแรงต่อผู้ฝ่าฝืนข้อห้ามรับชมสื่อต่างประเทศ แหล่งข่าวจากเกาหลีเหนือกล่าวกับสำนักข่าวเรดิโอฟรีเอเชียว่า ซีรีส์เรื่อง "Reply 1997" ซึ่งผลิตเมื่อปี 2555 เป็นที่นิยมในหมู่คนหนุ่มสาวชาวเกาหลีเหนือมาก จนมีการนำชื่อละครมาล้อเลียนและแสดงท่าทางเลียนแบบตัวละคร โดยมีการลักลอบนำเรื่องนี้เข้าไปในประเทศเกาหลีเหนือผ่านทางจีนในรูปแบบดีวีดีและสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ประเทศเกาหลีเหนือมีข้อบังคับอย่างเคร่งครัดในการห้ามสื่อต่างประเทศรวมถึงมีบทลงโทษอย่างหนักอาจถึงขั้นประหารชีวิต โดยห้ามนำทั้งละคร ภาพยนตร์ ดนตรี เข้าไปในประเทศ เนื่องจากไม่ต้องการให้มีการซึมซับอิทธิพลจากต่างชาติ แต่แม้จะมีบทลงโทษ แต่ก็ยังคงมีสื่อบันเทิงเช่น ดนตรีและวิดีโอจากเกาหลีใต้เล็ดลอดผ่านการปิดกั้นของรัฐบาลเกาหลีเหนือเข้าไปได้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ "กระแสเกาหลี" กำลังเป็นที่นิยมในประเทศอื่นๆ ของเอเชีย จากการส่งออกทางวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ "Reply 1997" เป็นละครซิทคอมแนววัยรุ่นที่พยายามเรียนรู้ก้าวข้ามไปสู่วัยผู้ใหญ่ (coming-of-age) มีการเล่าเรื่องตัดสลับกันระหว่างช่วงเวลาปัจจุบันกับช่วงเวลา 15 ปีที่แล้วที่ยังอยู่ในวัยเรียน โดยสะท้อนวัฒนธรรมแฟนคลับดาราในเกาหลีช่วงที่กระแสดนตรีเคป๊อบกำลังเป็นที่นิยม เนื้อหาของ "Reply 1997" พูดถึงชีวิตของตัวละครที่ชื่อซองชีวอน ผู้ทำงานเป็นคนเขียนบทโทรทัศน์ได้ไปงานเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนและนึกย้อนไปถึงสมัยเป็นนักเรียนเมื่อ 15 ปีที่แล้วซึ่งกลุ่มเพื่อนของเธอเป็นแฟนคลับนักร้องวงบอยแบนด์ในยุคนั้น แหล่งข่าวเกาหลีเหนือบอกอีกว่าเรื่องนี้ทำให้คนหนุ่มสาวในเกาหลีเหนือเกิดความรู้สึกร่วมจากการที่พวกเขาสงสัยว่าชีวิตทางฝั่งเกาหลีใต้เป็นอย่างไร เรื่องนี้ดังมากถึงขั้นว่าในกลุ่มเพื่อนบางกลุ่มใครที่ไม่ได้ดูเรื่องนี้จะถือว่าเชย คนส่วนใหญ่ลักลอบเอาเรื่องนี้เข้าไปในเกาหลีเหนือผ่านทางยูเอสบีแฟลชไดรฟ์ ขนาด 16 กิกะไบต์ ซึ่งมีขนาดเล็กสามารถหลบซ่อนจากทางการได้ง่ายกว่า ซึ่งแฟลชไดรฟ์ที่บรรจุซีรีส์เรื่องนี้ครบทุกตอนจะมีการขายในราคาราว 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 600 บาท) ส่วนดีวีดีจะราคาถูกกว่าขายในราคาราว 10 ดอลลาร์ (ราว 300 บาท) แหล่งข่าวในจังหวัดยังกังกล่าวว่า ซีรีส์เรื่องนี้มีการแพร่กระจายแลกเปลี่ยนกันอย่างเปิดเผยในหมู่คนหนุ่มสาว จนทำให้การพูดและแสดงท่าทางเลียนแบบตัวละครกลายเป็นกระแสนิยม โดยในเรื่องนี้ยังมีมุกตลกทางภาษาและวัฒนธรรมที่บางครั้งก็มีการขึ้นตัวอักษรอธิบายสิ่งที่มุกตลกอ้างอิงถึง ซึ่งทำให้ผู้ชมในเกาหลีเหนือเข้าใจได้มากขึ้น เนื่องจากภาษาพูดในเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้มีความแตกต่างกันส่วนหนึ่ง หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายมีการแบ่งแยกกันมานานหลายสิบปี
North Korean Youth Hooked on Popular TV Series From South, RFA, 27-11-2013 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
แถลงการณ์: พอช.ต้องยืนยันหลักการประชาธิปไตย ไม่เอาอำนาจนอกระบบ Posted: 28 Nov 2013 05:15 PM PST ส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่และคนในขบวนองค์กรชุมชนของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ( พอช.) เรียกร้องต่อองค์กรให้ยึดมั่นหลักการประชาธิปไตย ให้การแสดงความเห็นทางการเมืองของตัวบุคคลเป็นอิสระไม่ใช้ชื่อองค์กรและงดเว้นกิจกรรมในนามองค์กร อันจะนำไปสู่ความสุ่มเสี่ยงต่อการตีความว่าสนับสนุนการเมือง ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ แถลงการณ์
1. สถาบันองค์กรชุมชน (พอช.) และขบวนองค์กรชุมชน ต้องแสดงจุดยืน ไม่เอาอำนาจนอกระบบใด ๆ และยืนยันหลักการในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เพื่อให้เป็นไปตามหลักการและกระบวนการประชาธิปไตยดังกล่าว ขบวนองค์กรชุมชนและเจ้าหน้าที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนภาคอีสาน จะร่วมปกปักรักษาและร่วมต่อสู้เรียกร้องกับฝ่ายประชาชนที่รักระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขต่อไป
แถลงการณ์เพื่อประชาชนและประชาธิปไตย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สื่อต้องเลือกข้าง?! : คำถามจากนักข่าวภาคสนาม ต่อความสับสนของบทบาทในสถานการณ์ความขัดแย้ง Posted: 28 Nov 2013 04:47 PM PST จั่วหัวหมายเหตุตัวโตๆ ก่อนว่า สเตตัสนี้ อาจไม่ถูกใจนักข่าวหลายๆ ท่านผมก็กราบขออภัยล่วงหน้า แต่โปรดถกเถียงกันในเชิงหลักการและเหตุผล ทั้งหมดรวบรวมเอาความรู้สึกนึกคิดต่อบางประเด็นคล้ายๆ กัน จากนักข่าวภาคสนามบางส่วน(ย้ำว่าบางส่วน นับนิ้วดูก็ไม่ถึงสิบคน เพราะผมไม่รู้จักทุกคน และส่วนใหญ่ก็กระจัดกระจายไปตามขบวนดาวกระจายของม๊อบ บ้างหมุนวนมาเจอ บ้างก็ไม่ได้เจอกันเลย) แต่ก็มีความสำคัญ และอยากสะท้อนมุมมองนี้ให้นักข่าวมากพรรษาช่วยตริตรองหาทางออก หรือคนนอกวงการได้เข้าใจบางปัญหาของวิชาชีพสื่อมวลชนในสถานการณ์ความขัดแย้ง
ที่มา: facebook สื่อต้องเลือกข้างทางการเมืองด้วยหรือไม่?! : คำถามจากนักข่าวภาคสนาม ต่อความสับสนของบทบาทหน้าที่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น