โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

สมานฉันท์แรงงานออก จม.ชวนสมาชิกยึด ก.แรงงาน 1 ธ.ค.นี้

Posted: 30 Nov 2013 12:53 PM PST

เลขาธิการคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ออกจดหมายยกเลิกการประชุมประจำเดือน ธ.ค. ชวนสมาชิกร่วมเข้ายึดกระทรวงแรงงาน วันที่ 1 ธ.ค.นี้

1 ธ.ค.2556 เฟซบุ๊ก คณะกรรมการสมานฉันท์ แรงงานไทย ได้โพสต์จดหมายถึงองค์กรสมาชิก เครือข่าย เรื่อง  ยกเลิกการประชุมประจำเดือนธันวาคม และเชิญสมาชิกร่วมเข้ายึดกระทรวงแรงงาน วันที่ 1 ธ.ค.นี้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

ที่ คสรท.266 / 2556

30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

 

เรื่อง ยกเลิกการประชุมประจำเดือนธันวาคม และร่วมเคลื่อนไหว

เรียน องค์กรสมาชิก เครือข่าย ทุกท่าน

 

คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ขอยกเลิกการประะชุมประจําเดือนธันวาคม ในวันที่ 1 ธันวาคม 2556 เนื่องจาก เหตุการณ์สถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไป โดยกลุ่มผู้ชุมนุม ยกระดับการต่อสู้ เคลื่อนไหวตามจุดต่างๆ กระทรวงแรงงานคือเป้าหนึ่งที่ต้องเคลื่อนไหวไปที่กระทรวงแรงงาน โดยเหตุทั้งหมดนี้ทําให้คณะกรรมการสมานฉันท์ฯ ขอยกเลิกการประชุมดังกล่าว

คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย จึงขอเชิญพี่น้องสมาชิก และเครือข่ายแรงงาน ทุกท่าน รวมพลรวมพลังเดินทางเข้ายึดกระทรวงแรงงานขอให้พี่น้องแรงงานทุกท่านเดินทางมาเจอกันที่จุดนัดหมาย ในวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2556 เวลา 09.00 น ที่เต้นท์ชุมนุม ที่ถนนราชดําเนิน กทม

 

จึงแจ้งมาเพื่อทราบและโปรดเข้าร่วมเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้

 

ขอแสดงความนับถือ

 

(นายยงยุทธ เม่นตะเภา)

เลขาธิการคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยุบสภา- ทางออกที่ชอบ เพื่อให้รัฐบาลมีแรงทำ

Posted: 30 Nov 2013 12:24 PM PST

อุณหภูมิการเมืองขณะนี้ ถึงจุดที่ทั้งฝ่ายหนุนและฝ่ายต้านรัฐบาลคิดว่าได้เวลาเดินให้สุดซอยเสียที จนละเลยวิถีทางระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถูกออกแบบไว้อย่างน่าทึ่ง ว่าหากขัดแย้ง หรือขาดฉันทามติร่วมในเรื่องสำคัญ ทางออกหนึ่งคือ "ยุบสภา"

ผมคงไม่มีอะไรจะสื่อสารไปยังฝ่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งจ้องล้มรัฐบาลอยู่ทุกขณะ ทุกวิธีการ

ผมเพียงอยากสื่อสารไปยังฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลด้วยกัน ว่าทำไมควรหาทางยุบสภา

1 อย่างที่หลายคน เช่นอาจารย์สมศักดิ์ ได้ย้ำเตือนว่าเวลาสูญเสีย คนที่สูญเสียคือคนธรรมดา มิหนำซ้ำพอได้ชัยชนะชั่วคราว ผู้นำแต่ละฝ่ายมีความสุขกับอำนาจและไม่ยอมเสี่ยงอะไรอีกแล้วเพื่อทำสิ่งที่ดีกว่า (ก่อนมีอำนาจเสี่ยงได้ทุกอย่างแม้ชีวิตผู้คน) การยุบสภาคือการหลีกเลี่ยงการเสียชีวิต อิสรภาพของประชาชน อย่างค่อนข้างมีโอกาสสูงว่าจะสูญเปล่า

2 ผมไม่เชื่อว่าประเทศไทยจะหลีกเลี่ยงการเสียชีวิต อิสรภาพได้ตลอดไป ผมเชื่อลึกๆว่าวันหนึ่งอาจนองเลือดได้อีก เพียงแต่ผมอยากหวังว่าหากต้องนองเลือดอีกรอบ ต้องเป็นรอบที่ฝ่ายประชาธิปไตยมีโอกาสเดินให้สุดซอย ท่ามกลางความชอบธรรมทางการเมืองและหลักการกฎหมาย

หลังไทยรักไทย (จงใจใช้ชื่อเดิม เพื่อบอกว่าผมไม่อาจยอมรับคำตัดสิน) ชนะเลือกตั้งหลังสุด ความชอบธรรมสูงพอที่จะทำอะไรให้ดีขึ้น แต่เขาเลือกและหวังจะรอมชอม เขาไม่ต้องการเสี่ยงอะไรอีกต่อไป แม้แต่การเสี่ยงน้อยเช่นการเอานักโทษการเมืองออกจากคุก

หากยุบสภา เลือกตั้งใหม่ ฝ่ายประชาธิปไตยต้องกดดันไทยรักไทยให้น้ำหนักเรื่องโครงสร้างการเมืองควบคู่กับเรื่องเศรษฐกิจอย่างชัดเจน หากไทยรักไทยชนะเลือกตั้งเขาจะได้ไม่มีข้ออ้างต่างๆนานาเหมือนครั้งก่อน

ถึงตอนนั้นหากต้องแตกหักทางการเมือง อย่างน้อยฝ่ายประชาชนมีความหวังว่าจะไม่สูญเปล่า เพราะประเด็นของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาคือหลักการที่ถูกนำเสนออย่างชัดเจน

หลักการที่ว่า "สู้เพื่อได้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง" ควรเป็นเป้าหมายขั้นต่ำสุดของฝ่ายประชาธิปไตย บทเรียนที่ผ่านมาหลายช่วงให้ข้อคิดว่าเป้าหมายรัฐบาลจากการเลือกตั้งไม่เพียงพอ ประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างการปกครอง รัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีเนื้อหาเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

3 สำหรับผมการยุบสภา ไม่ถือเป็นความพ่ายแพ้ นอกจากเชื่อกันว่าเป้าหมายสุดท้ายทางการเมืองคือมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง

ผมอยากชวนให้คิดว่า "ยุบสภา" คือวิถีทางปกติคู่กับ "เลือกตั้ง"  บ่อยครั้งรัฐบาลต่างประเทศไม่ได้ทำอะไรผิด เขาเลือกยุบสภาเพื่อถามประชาชน ว่าที่รัฐบาลจะทำนั้นเอาแน่ไหม หากเอาแน่ยืนยันอีกที แล้วจะทำตามนั้น

4 ยุบสภา แล้วไม่มีการเลือกตั้ง? ผมคิดว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมคิดเช่นนั้น แต่เขากล้าทำหรือ? ประวัติศาสตร์ชี้ว่าปิดกั้นไม่ได้นาน แต่ยิ่งต้องปล่อยให้เลือกตั้งเร็วขึ้น สมัยถนอมเกิดตุลา 16 สมัยสุจินดาเกิดพฤษภา 35 สมัยคมช.เกิดพฤษภา 53

หากฝ่ายอนุรักษ์นิยมมีความเกลียด ความกลัวปิดกั้นสูง จนกระทั่งชั่งน้ำหนักผลเสียที่จะเกิดขึ้นผิดไป นั่นคือการเร่งระดับความชอบธรรมให้ฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ เพียงแต่หากเกิดอีกรอบ อย่าให้สูญเปล่า ต้องหวังให้มากกว่าการได้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง ฝ่ายประชาธิปไตยต้องเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างการเมือง รัฐธรรมนูญ อย่างเป็นรูปธรรม


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์: เหนือกว่า(อำนาจ)ตุลาการ

Posted: 30 Nov 2013 12:10 PM PST

ปัญหาผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไทยซึ่งได้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในสังคมไทยในขณะนี้ จนกระทั่งเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย  เนื่องจากประเทศไทยมีความขัดแย้งทางการเมืองอยู่ก่อนแล้ว คู่ขัดแย้งได้ฉวยเอาคำวินิจฉัยดังกล่าวไปใช้ประโยชน์สำหรับฝ่ายตน พร้อมกับคำวินิจ ฉัยนั้นเองได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณชนและนักวิชาการอย่างมาก

การถูกวิพากษ์วิจารณ์ของศาลรัฐธรรมนูญของไทยกรณีคำวินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ สมาชิกวุฒิสภา(สว.)มาจากการเลือกตั้งเป็นอันตกไป แบ่งออกเป็น 3 ประเด็นใหญ่ ได้แก่ ประเด็นหนึ่ง คือ การวิจารณ์เหตุผลของคำวินิจฉัยของศาล ประเด็นที่สองคือ การวิจารณ์ที่โยงจากส่วนแรก, ที่มาของตุลาการศาล รัฐธรรมนูญ และประเด็นที่สาม คือ ขอบเขตการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ

ในส่วนของประเด็นแรกนั้นข้อวิจารณ์มุ่งไปที่ความสมเหตุสมผลของคำวินิจฉัย ซึ่งคำวินัยของศาลรัฐธรรมนูญจะต้องยึดโยงกับข้อกฎหมายในรัฐธรรมนูญ โดยระเบียบวิธีการตัดสินของศาลยุติธรรมโดย ปกติทั่วไป ประเด็นที่สองซึ่งเป็นการวิจารณ์ที่ว่าด้วยที่มาของศาลรัฐธรรมนูญและที่มาของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนเหมือนในอารยะประเทศ  ส่วนประเด็นที่สาม ขอบเขตการใช้อำนาจในการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งวิจารณ์กันว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้ขยายอาณา เขตการตัดสินเกินไปจากอำนาจของตัวเอง ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการวินิจฉัยกรณีบทบัญญัติ กฎหมายที่ออกมาใหม่ขัดแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่เท่านั้น คำวินิจฉัยครั้งนี้จึงเป็นการขยาย อำนาจในการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกไปจากอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่

ผลของการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวทำให้เสียงส่วนใหญ่ของสถาบันนิติบัญญัติหรือสภาผู้แทนราษฎรปฏิเสธไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จนกลายเป็นปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองใน ประเทศไทยอยู่ในเวลานี้

ผมอยากให้พิจารณาเปรียบเทียบถึงบทบาทหน้าที่และการถ่วงดุลอำนาจ ของอำนาจตุลาการกับอีก 2 อำนาจ คือ อำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นประเทศแม่แบบประชาธิปไตยประเทศหนึ่งในโลก บนหลักการพื้นฐานของประเทศที่ปกครองโดย ระบอบประชาธิปไตย ที่มีหลักปรัชญาซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน" หรือประชาชนเป็นใหญ่ ทั้งยังเป็นที่ทราบกันดีว่า ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยไม่ใช่การปกครอง ที่สมบูรณ์แบบแต่เป็นการปกครองที่ดีที่สุดเท่าที่ "วิสัยของมนุษย์"จะนำมาใช้เพื่อการอยู่ร่วมกัน อย่างสันติได้

วิสัยมนุษย์นั้น หมายถึง ธรรมชาติของมนุษย์ปุถุชนผู้ยังมีกิเลส หากเป็นในทางพุทธศาสนาก็ หมายถึงมนุษย์ที่ยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่ หลักการเชิงปัญหา คือ ทำอย่างไรมนุษย์ถึงจะอยู่ร่วมกันอย่างมี สันติ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนซึ่งกันและกัน กติการ่วมทางสังคมในการอยู่ร่วมกันจึงถูกกำหนดขึ้น มนุษย์ส่วนมากมองว่า การทำตามเสียงส่วนมากน่าจะพอทำให้สังคมอยู่กันอย่างสันติได้ แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้เกิดสันติกับทุกส่วนหรือทุกคนในสังคมก็ตาม จนเป็นที่มาของสัญญาประชาคม และกติกาประชาธิปไตย

เหมือน จอห์น ล็อค กล่าวไว้ใน Two Treatises of Government (1689) ว่า อำนาจแท้จริงของผู้ปกครองนั้นมาจากประชาชน  ประชาชนควรจะเป็นผู้ที่ใช้สิทธิของตนเลือกผู้ปกครองขึ้นมา ซึ่งวิธีที่เหมาะสมมากที่สุดได้แก่ การใช้เสียงข้างมากในการตัดสิน เพื่อการอยู่ร่วมกันของชุมชนรัฐอย่างสันติ  ดังนั้นหากรัฐถูกปกครองด้วยเสียงส่วนน้อยก็จะกลายเป็นการปกครองที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามกับการปกครองแบบประชาธิปไตย หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่ง คือ เผด็จการ

มนุษย์ได้ลองผิดลองถูกในเรื่องการปกครองมามาก  ผลจากการลองผิดลองถูกทำให้ผู้คน สังเวยชีวิตจำนวนมากเช่นกัน

ที่จริงมนุษย์รับรู้เรื่องสัญญาประชาคมมาก่อนที่จะเกิดกติกาประชาธิปไตยเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่ชัดเจนเหมือนการลงประชามติอย่างในยุคประชาธิปไตยที่สืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน โดยที่ก่อนหน้านั้นแม้แต่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เอง หากผู้นำปกครองรัฐอย่างไม่เป็นธรรม ก็อาจสร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นกับมหาชน จนนำไปสู่การโค่นล้มผู้นำคนนั้นๆโดยประชาชนได้ ซึ่งในประวัติศาสตร์มีให้เห็นมากมาย

รัฐธรรมนูญสหรัฐฯตระหนักถึงปัญหาความขัดแย้งของคนในสังคมรัฐ โดยมีบทเรียนจาก ประวัติศาสตร์ของยุโรป จึงได้จัดระบบดุล 3 อำนาจอย่างเหมาะสม (เท่าที่ทำได้) ในที่นี้จะขอยก ในส่วนของการดุลอำนาจของอำนาจตุลาการมาอธิบาย เปรียบเทียบกับปัญหาการดุลอำนาจของฝ่ายตุลาการ ในเมืองไทย ที่ถูกวิจารณ์ว่ากำลังกลายเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จ (absolute power) หรืออำนาจสูงสุดชนิดใหม่ โดยเฉพาะก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญ

ว่าไปแล้วสร้างความสับสนอยู่ไม่น้อยเมื่อเทียบกับอำนาจตุลาการใน ระบบสากล เพราะศาลรัฐธรรมนูญของไทยถูกเรียกว่า "องค์กรอิสระ" ก็เลยไม่ทราบว่าจะเอาไปไว้ในฝ่ายอำนาจไหนในสามอำนาจ  ซึ่งสำหรับกลไกตามระบอบการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อำนาจที่สาม คือ อำนาจตุลาการย่อมต้องมีการยึดโยงกับอำนาจของประชาชนหรือตัวแทนของประชาชนไม่มากก็น้อย ฉะนั้นการชื่อว่า "ศาลรัฐธรรมนูญ-องค์กรอิสระ"  โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญถูกอ้างในฐานะส่วนหนึ่งของอำนาจตุลาการจึงเป็นเรื่องแปลกอย่างหนึ่ง

ในระบบการเมืองสหรัฐฯ ไม่มีการใช้คำว่า องค์กรอิสระที่ชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด หากมีเพียงระบบการดุล 3 อำนาจ คือ นิติบัญญัติ บริหารและตุลาการเท่านั้น เพราะภายใต้กติกาประชาธิปไตย ไม่ควรมีองค์กรใดมีอิสระอย่างถึงที่สุด แต่ทุกองค์กรมีที่มาที่ไปเพื่อคานอำนาจของกันและกัน เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจได้

ระบบตุลาการตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ เป็นอย่างนี้ครับ

หนึ่ง ใช้ระบบการยึดโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง ผู้พิพากษาของศาลสูงถูกแต่งตั้งโดยสภาสูงหรือ วุฒิสภา(ซีเนต) โดยการเสนอชื่อของประธานาธิบดี ในทางปฏิบัติประธานาธิบดีมักจะเลือกบุคคลสังกัดพรรคเดียวกัน มีทัศนะทางการเมืองที่สอดคล้องกัน เนื่องจากการดำรงตำแหน่งผู้ตุลาการหรือผู้พิพากษามีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของประธานาธิบดีในด้านกฎหมาย

ขณะเดียวกันอาจเรียกได้ว่าระบบศาลของอเมริกันทุกระดับเกี่ยว ข้องกับการเมืองไม่โดยตรงก็โดยอ้อม ศาลท้องถิ่นในหลายมลรัฐ ผู้พิพากษามาจากการเลือกตั้งโดย ตรงของประชาชน วิธีการนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเชื่อว่าการเลือกตั้งผู้พิพากษาทำให้ประชาชนได้ ใช้สิทธิอย่างเต็มที่ตามแนวทางประชาธิปไตย ด้วยเหตุที่ผู้พิพากษาที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ย่อมมีจิตสำนึกเหนือกว่าผู้พิพากษาในฐานะเป็นพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งสำหรับวัฒนธรรมอเมริกันแล้ว การไม่ยอมรับผู้พิพากษาในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำของรัฐมีสูงมาก ทำให้เกิดระบบการ พิจารณาคดีที่เรียกว่า "คณะลูกขุน" (Jury)ขึ้น  โดยตำแหน่งเจ้าหน้าที่ผู้พิพากษาเป็นเพียงเครื่องมือในการจัดระบบด้านเทคนิคกระบวนการพิจารณาและเทคนิคทางด้านกฎหมายเท่านั้น

สอง ขอบเขตอำนาจการวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ   ศาลสูงอเมริกันมีหน้าที่ในการพิจารณากฎหมายที่ บัญญัติโดยฝ่ายนิติบัญญัติ(คองเกรส) และฝ่ายบริหาร(รัฐบาล)ว่าขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญหรือไม่เท่านั้น  ไม่ตีความเกินเลยอำนาจของตัวเอง โดยเฉพาะในอำนาจของอีกสองฝ่าย  ดังนั้น ข้อเท็จจริงการตีความของศาลสูงอเมริกัน คือ ศาลสูงมีงานเกี่ยวกับการตีความกฎหมายน้อยมาก ส่วนหนึ่งเพราะมีเรื่องร้องเรียนน้อย อีกส่วนหนึ่ง เพราะขอบเขตของอำนาจศาลในการตีความโดนจำกัด จากส่วนฝ่ายนิติบัญญัติ  ซึ่งเป็นฝ่ายที่สามารถออกฎหมายเพิ่มหรือจำกัดอำนาจการตีความกฎหมาย(บทบาทหน้าที่)ของศาลสูงได้ ยกเว้นแต่ในเรื่องระเบียบข้อบังคับของศาลสูง

กฎหมายรัฐธรรมนูญอเมริกันกำหนดให้ สภานิติบัญญัติมีอำนาจกล่าวโทษผู้พิพากษาได้ หากพบว่าผู้พิพากษาประพฤติตนในทางไม่ชอบในการปฏิบัติหน้าที่ คองเกรสมีอำนาจในการฟ้องร้องเพื่อปลดผู้พิพากษา สมาชิกสภาสูงจะเป็นผู้พิจารณาคดีที่ผู้พิพากษากระทำความผิดทางอาญา ผู้พิพากษาเองจึงต้องระวังความประพฤติในการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากไม่มีสิทธิพิเศษปลอดจากการถูกฟ้องร้อง ถ้าประพฤติตนไม่ชอบ

สาม ผลของคำวินิจฉัยของศาลสูงหรือตุลาการสูงสุด คำสั่งศาลสูงแม้เป็นเรื่องที่ผูกพันกับอำนาจอีกสองฝ่าย แต่คำสั่งและคำพิพากษาของศาลสูงจะใช้ได้บังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยความร่วมมือของฝ่ายอื่น เช่น ฝ่ายบริหาร เป็นต้น ดังนั้น หากฝ่ายอื่นไม่ยอมทำตาม คำสั่งศาลสูงก็ด้อยประสิทธิภาพลง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น เพราะคำวินิจฉัยของศาลสูง เป็นไปในแง่การตีความในประเด็นที่ขัดกับกฏหมายรัฐธรรมนูญเท่านั้น เช่น การออกกฎหมายใหม่ของมลรัฐต่างๆ ที่ส่วนใหญ่หากมีการฟ้องต่อศาลสูง ก็เป็นเพียงการวินิจฉัยว่าขัดหรือไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญเท่านั้น

 น่าสังเกตด้วยว่า การตัดสินของศาลสูงอเมริกันไม่ก้าวล่วงไปถึงกระบวนการภายในของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร เช่น การลงไปล้วงลึกถึงที่มาของการออกฎหมาย แต่จะพิจารณากฎหมายที่ออกมาแล้วเท่านั้น ว่าขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่เท่านั้น หรือหากเป็นกฎหมายทั่วไปก็จะพิจารณาว่ากฎหมายที่ออกมาโดยรัฐบาลท้องถิ่น (Local law) ขัดกับกฎหมายกลาง(Federal law)หรือไม่ อย่างไร

ที่สำคัญ คือ รัฐธรรมนูญอเมริกันได้วาง ระบบที่เรียกว่า "การแก้ไข" หรือ Amendment ที่หมายถึง การตีความของศาลสูงอเมริกันนั้นอาจถูกลบล้าง(Overrule) ได้ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ, คำวินิจฉัยของศาลจึงไม่ใช่เป็นคำตัดสินสุดท้ายที่จะแก้ไขอะไรไม่ได้อีกต่อไป นอกเหนือไปจากระบบการถ่วงดุลศาลจากประชาชนในเชิงของการยอมรับของสาธารณะหรือ Public Acceptance

Public Acceptance ที่หมายถึง คำตัดสินของศาลจะต้องได้รับการยอมรับและต้องไม่ขัดแย้งกับสาธารณะจนเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งกันในระหว่างหมู่ชนหรือประชาชนโดยทั่วไปอีกด้วย

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

การ์ดเสื้อแดงถูกยิงศรีษะบริเวณรามคำแหง 24 แยก 14

Posted: 30 Nov 2013 11:57 AM PST


1 ธค. 2556 - เมื่อเวลา 01.55 น. บริเวณซอยรามคำแหง 24 แยก 14 นิค นอสติทซ์ ช่างภาพอิสระ ชาวเยอรมันได้รายงานว่า ขณะที่กลุ่มการ์ดเสื้อแดงเข้าสำรวจพื้นที่ภายหลังจากที่การปะทะกันระหว่างคนเสื้อแดงกับผู้ชุมนุมฝ่ายต่อต้าน นปช. ยุติลง ได้มีเสียงปืนดังขึ้น 6 นัดและกลุ่มการ์ดเสื้อแดงได้แบกร่างของการ์ดเสื้อแดงที่ไม่ได้สติออกมาจากในซอย และนำส่งขึ้นรถของมูลนิธิร่วมกตัญญู  โดยชายเสื้อแดงไม่ทราบชื่อดังกล่าวมีบาดแผลจากการถูกกระสุนปืนยิงทะลุหมวกกันน็อคเป็นบาดแผลบริเวณศรีษะ 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศอ.รส.ขอกำลังทหารทุกเหล่าทัพหนุน ปฏิบัติการตี 3 ขอปชช.อย่าตกใจ

Posted: 30 Nov 2013 11:38 AM PST

"ประยุทธ์" กำชับไม่ให้ใช้ความรุนแรง ศอ.รส.ขอกำลังทหารทุกเหล่าทัพหนุน เริ่มปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ตี 3 ขอประชาชนอย่าตกใจ  พร้อมออกประกาศห้ามเข้าพื้นที่ รอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทางเดินเชื่อม BTS สยาม-ชิดลม

30 พ.ย.56 มติชนออนไลน์ รายงานว่า พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก  เปิดเผยเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน จากการประเมินสถานะการณ์ ของ ศอ. รส.ล่าสุด   ได้มีการร้องขอกำลังทหารจากกระทรวงกลาโหม  จึงได้สั่งการให้ บก.กองทัพไทยจัดกำลังทหารจากทุกเหล่าทัพ สนับสนุน ศอ. รส.ตั้งแต่1ธค.นี้   สำหรับภารกิจของทหารที่ไปสนับสนุน.  เป็นไปตามกฏขั้นตอนการใช้กำลังของกระทรวงกลาโหม และบก.กองทัพไทย  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา   ผบ.ทบ.จึงได้สั่งการกำชับให้กำลังพลทุกนายที่ออกปฏิบัติหน้าที่ให้ใช้ความระมัดระวัง ไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ ลดการเผชิญหน้า คำนึงถึงเกียรติยศศักดิ์ศรี. และความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก ยืนยันภารกิจในการช่วยรักษาความปลอดภัย   สถานที่ราชการเท่านั้น ไม่ได้ร่วมในภารกิจควบคุมหรือสลายฝูงชนกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเด็ดขาด ขอให้ประชาชนทุกฝ่ายระมัดระวังในการเคลื่อนไหว หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงต่อกัน อย่าได้สร้างความเสียหายต่อสถานที่ราชการ ซึ่งเป็นสมบัติของคนไทยด้วยกันทุกคน

ทั้งนี้ ศอ.รส.ได้ขอรับการสนับสนุนกำลังพลจาก ศปก.ทบ. เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย โดยให้เริ่มเคลื่อนย้ายเวลา 22.00 น.ของคืนนี้ (30 พ.ย.) และพร้อมปฏิบัติหน้าที่ 03.00 น. (1 ธ.ค.) ดังนี้

ร้อย รส. (กองร้อยรักษาความสงบ) จำนวน 4 กองร้อย จัดจากกองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) จำนวน 1 กองร้อย จาก ป.21 รอ. (กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 21 รักษาพระองค์) รปภ.สนามบินสุวรรณภูมิ, พล.ม.2 รอ. (กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์) จำนวน 1 กองร้อย จาก ส.พัน 12 รอ. (กองพันทหารสื่อสารที่ 12 รักษาพระองค์) รปภ. ช่อง 5 และ พล.ป. (กองพลทหารปืนใหญ่) จำนวน 2 กองร้อย รปภ. ช่อง 7 และ ช่อง 9 รวมทั้งให้จัด สห. (สารวัตรทหาร) 90 นาย ปฏิบัติหน้าที่สายตรวจร่วมกับตำรวจ

ขณะที่นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เวลา 03.00 น.  วันที่  1  ธันวาคม กำลังทหารจะถูกส่งมาเสริมตำรวจดูแลป้องกันทำเนียบรัฐบาล โดยไม่มีการพกอาวุธ ทั้งนี้ขอให้ประชาชนอย่าตกใจ เพราะทหารแค่ไปเสริมตำรวจดูแลป้องกันสถานที่เท่านั้น ไม่ข้องเกี่ยวกับผู้ชุมนุม

ขณะที่วันเดียวกัน เวลา 19.20น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.อนุชา รมยะนันทน์ รองโฆษก ศอ.รส. แถลงว่า ศอ.รส.ออกประกาศศอ.รส. ให้พื้นที่บริเวณโดยรอบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โรงพยาบาลตำรวจ สถาบันนิติเวช วิทยาลับพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลจุฬา  เป็นพื้นที่ห้ามเข้า โดยบริเวณหน้าสำนักงานตำรวชแห่งชาติ นั้นครอบคลุมบริเวณทางเดินเชื่อมต่อรถไฟฟ้า หรือสกายวอล์คด้วย โดยประชาชนทั่วไปสามารถเดินทางเข้าออกตามปกติ เว้นแต่ บุคคลที่มีลักษณะที่จะสร้างความวุ่นวายและขยายเวลาการ ประกาศปิดถนนรอบทำเนียบรัฐบาล และรอบรัฐสภาทั้ง 14 สายด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นศ.มอ.ปัตตานี แถลงค้านการประกาศท่าทีทางการเมืองของกลุ่มผู้บริหารมหาลัย

Posted: 30 Nov 2013 09:33 AM PST

แถลงการณ์  กลุ่มนักศึกษา มอ.ปัตตานี เสรีประชาธิปไตย
กรณีข้อโต้แย้งต่อแถลงการณ์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ฉบับที่ 2


สืบเนื่องวันที่ 28 พฤศจิกายน 2556 ที่ประชุมคณบดีได้มีการประชุมในวาระพิเศษ เกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน และได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 2 เพื่อแสดงถึงจุดยืนของมหาวิทยาลัย โดยมีข้อเรียกร้องคือ

1. เรียกร้องให้รัฐบาลและรัฐสภา ยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ

2. คัดค้านการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการใช้กำลังปราบปรามประชาชนที่มาชุมนุม ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด

3. ต่อต้านการทุจริต คอรัปชั่น

4. ต่อต้านการจาบจ้วงดูแคลนสถาบันเบื้องสูง

5. เรียกร้องให้ผู้นำประเทศมีคุณธรรม จริยธรรมในการบริหารประเทศ

6. ให้รัฐบาลและผู้บังคับใช้กฎหมายเคารพสิทธิส่วนบุคคล ของประชาชนที่จะเข้าร่วมการแสดงออกทางการเมือง และบังคับให้กฎหมายอย่างเสมอภาค

7. ให้นายกรัฐมลตรี สภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา และสมาชิกสภาเสียงข้างมาก มีส่วนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ขัดต่อหลักนิติรัฐ นิติธรรม แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองอย่างอารยชน

8. สนับสนุนให้มีการปฏิรูปการเมือง ที่การใช้อำนาจรัฐต้องเป็นไปด้วยคุณธรรมตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

ถ้อยแถลงดังกล่าวของมหาวิทยาลัยในข้างต้น ได้สร้างความคับข้องใจให้กับ อาจารย์ นักศึกษาและบุคลากรจำนวนไม่น้อย ในการแสดงท่าทีของมหาวิทยาลัยที่มีต่อวิกฤตการเมืองในปัจจุบัน  โดยข้อเสนอดังกล่าว หาได้ยึดโยงกับความเป็นจริงทางสังคมไม่ หากเป็นแค่นามธรรมยากต่อการปฏิบัติได้จริง อีกทั้งข้อเสนอดังกล่าวก็หาได้เป็นข้อคิดเห็นที่ได้รับความเห็นชอบจากมวลสมาชิกทั้งหมดของมหาวิทยาลัย หากแต่เป็นเพียงข้อเสนอเพื่อสนองต่อทัศนคติหรือรสนิยมทางการเมืองของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ทางกลุ่มนักศึกษา มอ.ปัตตานี เสรีประชาธิปไตย จึงได้ตั้งข้อสังเกตกับถ้อยแถลงการณ์ดังกล่าว ดังนี้

1. การเรียกร้องให้รัฐบาลและรัฐสภา ยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ข้อเสนอดังกล่าวถือว่าใช้ไม่ได้ ด้วยเหตุที่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่มีบทบัญญัติใดในรัฐธรรมนูญให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบควบคุมกระบวนการตลอดจนเนื้อหาของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ การที่ศาลรัฐธรรมนูญเข้าตรวจสอบควบคุมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้งๆ ที่ปราศจากอำนาจตามรัฐธรรมนูญถือว่าเป็นการสถาปนาอำนาจขึ้นมาเอง อีกทั้งยังเป็นการขยายแดนอำนาจของตนออกไปจนกลายเป็นองค์กรที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญและอยู่เหนือองค์กรทั้งปวงของรัฐ มีผลเป็นการทำลายหลักนิติรัฐประชาธิปไตยลง จนก่อให้เกิดสภาวการณ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุดเด็ดขาด ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวของมหาวิทยาลัยเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ และประชาธิปไตยในระยะยาว

2. คัดค้านการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการใช้กำลังปราบปรามประชาชนที่มาชุมนุม ข้อเสนอดังกล่าวแม้จะเป็นข้อเสนอที่ดีด้วยเหตุที่เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ควรให้ความรุนแรงกับประชาชน อีกทั้งการชุมชนอย่างสงบก็เป็นการใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งควรเคารพในการแสดงความคิดเห็นของผู้คนเหล่านั้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการชุมนุมดังกล่าวจะอยู่ภายใต้กรอบประชาธิปไตย แต่ถึงกระนั้นกลุ่มนักศึกษาก็มีความเห็นสอดคล้องกับข้อเสนอดังกล่าวเพียงครึ่งเดียว เนื่องด้วยการเรียกร้องดังกล่าวเป็นเพียงการเรียกร้องต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ หาได้รวมไปถึงผู้ชุมนุมไม่ ซึ่งหากติดตามข่าวสารก็จะปรากฏชัดว่าความรุนแรงส่วนใหญ่นั้นเกิดขึ้นจากฝ่ายใด

3. ต่อต้านการหมิ่นเบื้องสูงซึ่งแท้จริงควรเป็นต่อต้านการอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการโจมตีฝ่ายตรงข้ามเสียมากกว่า ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าในห้วงระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งที่สังคมไทยต้องเผชิญนั้นคือความขัดแย้งระหว่าง พลังทางการเมืองกลุ่มต่างๆ อ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการโจมตีฝ่ายตรงข้าม ทำให้เป็นการดึงพระองค์ เข้ามาเกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางการเมือง

4. การกล่าวถึงคุณธรรม จริยธรรม นั้นเป็นการเรียกร้องนามธรรมเลื่อนลอย หาได้ยึดโยงกับความเป็นจริงในสังคมไม่ อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่าคนบางกลุ่มในมหาวิทยาลัยยังคงผูกติดอยู่กับฐานคิดประชาธิปไตยแบบชนชั้นนำ ที่มองว่ารัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากเสียงของคนส่วนใหญ่ของประชาชน ขาดคุณธรรมและจริยธรรมทางการเมือง ก็ด้วยเหตุที่ว่าคนกลุ่มนี้ไม่เคารพในความคิดเห็นของคนอื่น และมองคนอย่างไม่เท่าเทียมกันมาโดยตลอด

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น กลุ่มนักศึกษา มอ.ปัตตานี เสรีประชาธิปไตย จึงขอให้ถือเสียว่าแถลงการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงความคิดเห็นของคณะผู้บริหารและสมาชิกบางส่วนของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งถือเป็นเพียงความคิดเห็นของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น หาได้ถือว่าแถลงการณ์ครอบคลุมความคิดเห็นของสมาชิกทั้งหมดไม่ อีกทั้งยังให้ถือว่าแถลงการณ์ดังกล่าวเป็นไปในนามของบุคคล ใช่เป็นในนามมหาวิทยาลัย

ด้วยเหตุนี้ กลุ่มนักศึกษา มอ.ปัตตานี เสรีประชาธิปไตย จึงมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลดังนี้

1. คัดค้านการใช้ความรุนแรง และการยั่วยุทั้งจากฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ และฝ่ายผู้ชุมนุม

2. การชุมนุมเรียกร้องควรเป็นไปในวิถีทางการเรียกร้องประชาธิปไตย ใช่เป็นการชุมนุมเพื่อเรียกร้องระบอบการ
ปกครองอื่นที่นอกเหนือออกไปจากระบอบประชาธิปไตย

3. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2550 ทั้งฉบับ โดยยึดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญประชาชนอย่างแท้จริง หาได้เป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการซ่อนรูปอย่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550

4. ขอให้รัฐบาลคืนอำนาจในการตัดสินใจทางการเมืองกลับไปสู่ประชาชน  เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตย

 

ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
กลุ่มนักศึกษา มอ.ปัตตานี เสรีประชาธิปไตย

 

 

หมายเหตุ:กลุ่มนักศึกษา มอ.ปัตตานี เสรีประชาธิปไตย ก่อตั้งขึ้นโดยการรวมตัวกันของนักศึกษาที่ทำกิจกรรมส่งเสริมประชาธิปไตย และยึดมั่นในหลักการสิทธิมนุษยชน โดยแถลงการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากการไม่เห็นด้วยต่อท่าทีของมหาลัยที่วางตัวไม่เป็นกลางในทางการเมือง แต่กลับเลือกข้างอย่างชัดเจน การกระทำดังกล่าวผิดวิสัยที่สถานศึกษาควรจะเป็น

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ออกแถลงการณ์วอนทหารอย่ารัฐประหาร

Posted: 30 Nov 2013 09:08 AM PST

30 พ.ย. 2556 - องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) ออกแถลงการณ์เรื่อง สถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้



แถลงการณ์องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.)
เรื่อง สถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน

ตามที่ในขณะนี้ได้มีเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งทุกท่านน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วนั้น



องค์การนักศึกษามหาวิทยาธรรมศาสตร์ (อมธ.) มีความเห็นว่าประชาชนทุกคนย่อมมีเสรีภาพที่จะแสดงออกซึ่งความคิดเห็นและความเชื่อของตน และย่อมมีเสรีภาพในการเรียกร้องให้เป็นไปตามที่ตนคิดเห็นหรือเชื่อมั่น แต่การแสดงออกหรือเรียกร้องนั้นก็ไม่ควรจะทำให้หลักการพื้นฐานที่พึงมีเพื่อให้สังคมยังดำรงอยู่และยังดำเนินต่อไปได้ต้องสูญเสียไป ดังเช่นการที่ประชาชนในสังคมจะต้องไม่ถูกประทุษร้าย การที่กลไกของรัฐจะต้องสามารถปฏิบัติงานต่อไปได้ หรือการที่ปัญหาต่างๆ จะต้องถูกแก้ไขตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายต่างๆ ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงหลักพื้นฐานเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

และในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่แต่ละฝ่ายย่อมตัดสินใจกระทำการใดๆ ตามที่ตนเชื่อมั่นว่าถูกว่าควร แต่ถึงกระนั้นเราก็ควรจะตัดสินใจอย่างมีสติ พิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดรอบคอบ ระลึกถึงหลักการที่ถูกต้อง รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่ากำลังเชื่อในสิ่งใดและเชื่อด้วยเหตุใด มิใช่เพียงเชื่อเพราะรักหรือชอบ เชื่อเพราะเกลียดหรือชัง เชื่อเพราะกลัวหรือเกรงใจ หรือเชื่อเพราะตามๆ กันทั้งที่ยังไม่รู้ ซึ่งเป็นเพียงความเชื่อตามอคติเท่านั้น ไม่อาจแก้ปัญหาใดได้จริง ทั้งยังอาจสร้างปัญหาให้มากขึ้นไปอีก
อมธ. จึงขอเรียกร้องต่อฝ่ายต่างๆ ดังนี้

1. ขอให้กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) หยุดยึดสถานที่ราชการต่างๆ และเปิดทางให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่สามารถเข้าปฏิบัติงานได้ เพราะการปิดสถานที่ราชการนั้นจะทำให้กลไกภาครัฐไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งจะส่งผลเสียโดยตรงต่อประเทศชาติและประชาชน อีกทั้งการยึดสถานที่ราชการนั้นยังเป็นการกระทำผิดกฎหมาย และแม้ว่าในอดีตจะมีการจะมีการชุมนุมยึดสถานที่ราชการก็ไม่เป็นเหตุให้การกระทำในครั้งนี้ชอบธรรมได้

2. ขอให้กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ชุมนุมอยู่ ณ ราชมังคลากีฬาสถาน ให้ตั้งมั่นอยู่ ณ ที่นั้นต่อไป อย่าพยายามเคลื่อนขบวนชุมนุมไปยังสถานที่อื่น และอำนวยความสะดวกให้มหาวิทยารามคำแหงสามารถเปิดทำการได้อย่างเป็นปกติ

3. ขอให้ผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายอย่าตั้งขบวนชุมนุมใกล้เคียงกัน เพราะอาจนำไปสู่การปะทะกันได้ และอย่าใช้กำลังประทุษร้ายต่อผู้ชุมนุมฝ่ายตรงข้าม

4. ขอให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภาครัฐทั้งหลายเข้าปฏิบัติหน้าที่ของตนตามปกติ และไม่อ้างการชุมนุมเป็นเหตุละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หากยังสามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้

5. ขอให้รัฐบาลเป็นฝ่ายริเริ่มแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี และให้ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการดูแลผู้ชุมนุม เพราะจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา การปล่อยให้เหตุการณ์ลุกลามไปถึงขั้นสลายการชุมนุมมักนำไปสู่ความรุนแรงอยู่เสมอ

6. ขอให้ทหารทั้งหลายไม่อาศัยโอกาสนี้ก่อการรัฐประหาร

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง และย่อมไม่ใช่ทางออกใดๆ ในทุกเวลา ขอให้ทุกฝ่ายมีสติ ตระหนักรู้ต่อสถานการณ์ ไม่กระทำการใดๆ ให้ความขัดแย้งรุนแรงบานปลายยิ่งขึ้น และคำนึงถึงคุณค่าของการเห็นต่างอย่างสันติและอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน เพื่อบ้านเมืองของเราทุกคน

องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

30 พฤศจิกายน 2556

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มีผู้เสียชีวิต 1 รายจากเหตุปะทะที่รามคำแหง

Posted: 30 Nov 2013 09:02 AM PST

เหตุปะทะระหว่าง ผู้ชุมนุม นปช. กับผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย

30 พ.ย. 2556 - จากเหตุปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกลุ่มต่อต้าน นปช. และผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช. ที่บริเวณซอยรามคำแหง 24 และบริเวณด้านหลังมหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อเวลา 20.00 - 21.00 น. คืนนี้นั้น (30 พ.ย.) ศอ.รส. และศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพมหานคร (ศูนย์เอราวัณ) ระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 21 ราย ผู้เสียชีวิตชื่อ ทวีศักดิ์ โพธิ์แก้ว อายุ 21 ปี ถูกกระสุนที่ชายโครงซ้าย  2 นัด

ผู้บาดเจ็บที่มีอาการสาหัสได้แก่ จีระพงษ์ คลองชาตรีพงศ์ อายุ 25 ปี ถูกกระสุนที่ขาขวาเหนือเข่า 1 นัด ฉัตรชัย คำประสงค์ อายุ 23 ปี ถูกกระสุนที่แขนขวา 1 นัด เสน่ห์ จันทร์เกิด อายุ 33 ปี ถูกกระสุนที่แขนขวา 1 นัด นายบุญ รัตนา อายุ 30 ปี ถูกกระสุนที่ด้านหลัง 2 นัด อรรถพล หอมบุปผา อายุ 19 ปี ถูกกระสุนที่ต้นขาซ้าย 2 นัด

ทั้งนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผอ.ศอ.รส. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. เข้าไปสืบสวนสอบสวนเพื่อคลี่คลายคดีดังกล่าว

สำหรับเหตุปะทะที่ซอยรามคำแหง 24 ดังกล่าว เกิดขึ้นไม่ไกลจากสนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน พื้นที่ชุมนุมของ นปช. ที่เริ่มนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 30 พ.ย.

ล่าสุดเมื่อเวลา 01.55 น. เข้าสู่วันที่ 1 ธ.ค. หลังกลุ่มการ์ด นปช. เดินสำรวจพื้นที่บริเวณซอยรามคำแหง 24 แยก 14 หลังเหตุปะทะระหว่างกลุ่ม นปช. กับกลุ่มต่อต้าน นปช. ยุติลง ได้เกิดเสียงปืนดังขึ้น 6 นัด ทำให้การ์ด นปช. ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบชื่อ 1 ราย ถูกยิงเข้าที่ศีรษะ โดยถูกนำส่งโรงพยาบาลโดยรถของมูลนิธิร่วมกตัญญู (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) 

 

เมื่อเวลา 17.50 น. วันที่ 30 พ.ย. 56 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เริ่มปิดกั้นถนนรามคำแหง โดยด้านที่อยู่ไกลออกไปคือด้านหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อกันไม่ให้ผู้ชุมนุมต่อต้าน นปช. และผู้ชุมนุม นปช. เผชิญหน้ากัน (ที่มา: เพจ Prachatai)

 

ต่อต้าน นปช. หน้ารามคำแหง บานปลายสู่เหตุปะทะ

โดยก่อนหน้าเหตุปะทะจนมีผู้เสียชีวิตนั้นนั้น ในช่วงเวลา 16.35 น. วันที่ 30 พ.ย. 56 ที่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้ชุมนุมต่อต้าน นปช. กลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วยศิษย์เก่า และนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงกลุ่มหนึ่ง และผู้สนับสนุนกลุ่ม กปปส. มาชุมนุมเรียกร้องให้คนเสื้อแดงยุติการชุมนุมที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน และมอบหนังสือผ่านทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.หัวหมาก และ สน.วังทองหลาง ที่เรียกร้องให้เอาผิดผู้ที่ทำร้ายนักศึกษาหญิง เมื่อคืนวันที่ 29 พ.ย. โดยผู้ชุมนุมเชื่อว่าเป็นการกระทำของคนเสื้อแดง

ทั้งนี้ นปช. ได้ปักหลักชุมนุมที่สนามราชมังคลากีฬาสถานมาตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. 56 ภายหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 20 พ.ย. และมีการนัดหมายชุมนุมใหญ่ในวันที่ 30 พ.ย. 56 ก่อนที่ผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส. จะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในวันที่ 1 ธ.ค. 56

และในวันที่ 28 พ.ย. ไม่กี่วันก่อนวันที่ 30 พ.ย. ซึ่งเป็นวันนัดหมายชุมนุมใหญ่ของ นปช. ในโลกสังคมออนไลน์ มีการแชร์คลิป ที่ระบุว่าถ่ายวันที่ 27 พ.ย. เป็นภาพชายสามคนถูกทำร้ายและบังคับให้ถอดเสื้อแดงจากกลุ่มคนที่ถือธงชาติไทย บริเวณสะพานที่ซอยมหาดไทย ใกล้กับย่านมหาวิทยาลัยรามคำแหง และราชมังคลากีฬาสถาน นอกจากนี้มีรายงานว่าผู้ชุมนุม นปช. ถูกดักทำร้ายหลังกลับจากการชุมนุมหลายครั้ง และมีกระแสข่าวว่าผู้ชุมนุม นปช. ตามมาดักแก้แค้น ทั้งยังมีการกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงกรีดป้ายพ่อขุนรามคำแหงมหาราช กษัตริย์แห่งสุโขทัย สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วย จนทำให้กลุ่มต่อต้าน นปช. ยกเรื่องนี้มาเป็นสาเหตุชุมนุมต่อต้าน นปช. อยู่ที่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงในวันที่ 30 พ.ย. ดังกล่าว

ทั้งนี้จากรายงานของมติชนออนไลน์ การชุมนุมต่อต้าน นปช. ที่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง เกิดเหตุชุลมุนขึ้นในช่วงเย็นหลังจากมีคนขับรถแท็กซี่สีเขียว-เหลือง รับผู้โดยสารเสื้อแดงมุ่งหน้าไปทางสนามราชมังคลากีฬาสถานผ่านบริเวณที่ชุมนุมทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปทำร้าย นอกจากนี้มีการไล่ทุบรถเมล์ ขสมก. ที่รับคนเสื้อแดงโดยสารมาในรถด้วย โดยไล่วิ่งตีรถเมล์ตั้งแต่บริเวณหน้าซอยรามคำแหง 53  จนถึงซอยรามคำแหง 55 โดยรถเมล์มีสภาพกระจกแตกยับเยินเสียหายรอบคัน โดยคนขับรถประจำทางได้นำรถไปจอดที่ สน.หัวหมาก และเข้าแจ้งความกับตำรวจ (ชมภาพในสเตรทไทม์) (คลิปเหตุการณ์ใน Youtube 1, 2 คลืปเหตุการณ์ใน Facebook 3)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พีมูฟระบุผ่าวิกฤติประเทศไทยด้วยการยุบสภาคืนอำนาจประชาชน

Posted: 30 Nov 2013 08:11 AM PST

30 พ.ย. 2556 - ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ออกแถลงการณ์แถลงการณ์ฉบับที่ 40 เรื่อง ผ่าวิกฤติประเทศไทย ยุบสภาคืนอำนาจประชาชน ตัดสินใจเลือกผู้นำประเทศ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 

แถลงการณ์ฉบับที่ 40
เรื่อง ผ่าวิกฤติประเทศไทย ยุบสภาคืนอำนาจประชาชน ตัดสินใจเลือกผู้นำประเทศ


    
ตามที่สถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังตรึงเครียด อันเป็นการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มพลังมวลชนที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารประเทศของรัฐบาล ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มพลังมวลชนที่ออกมาปกป้องรัฐบาล ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์และความชอบธรรมตามความเชื่อของแต่ละฝ่าย ทำให้เกิดสูญญากาศทางการเมือง กิจกรรมต่าง ๆ หยุดชะงักลง ขณะที่มีแนวโน้มนำไปสู่การเผชิญหน้า มีความรุนแรง และจะเกิดการสูญเสียตามมา ซึ่งเรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤติแล้ว
    
ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ในฐานะหุ้นส่วนทางสังคมจึงขอเรียกร้องต่อทุกฝ่าย ให้หาทางออกจากวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้น พวกเราขอเรียกร้อง ดังนี้
    
1. แม้รัฐบาลมีความชอบธรรมในการบริหารประเทศตามวิถีทางของระบอบรัฐสภา แต่การผลักดัน ร่าง พรบ.นิรโทษกรรม ของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ประชาชนจำนวนมาก ไม่อาจยอมรับให้รัฐบาลบริหารประเทศต่อไป และเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง การล่มสลายของสังคมไทย และแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น รัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ไม่มีทางเลือกนอกจากการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่
    
2. ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคการเมืองทุกพรรค ย่อม เสนอเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ตามแนวทางของตนเอง ทั้งข้อเสนอในการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ และข้อเสนอในการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อขจัดระบอบทักษิณ
    
3. พวกเราเห็นว่า การเลือกตั้ง รวมทั้ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งของสังคมไทย ที่มีรากฐานมาจากความไม่เท่าเทียมกัน และการกดขี่ของรัฐซึ่งเป็นมรดกที่มาจากอดีตได้โดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ทุกฝ่ายต้องอดทนต่อความเปลี่ยนแปลง เหมือนเช่นที่พวกเรา อดทนต่อความอยุติธรรมต่าง ๆ มาเป็นเวลานาน โดยแทบจะยังไม่เคยมีการแก้ไขปัญหาต่างๆอย่างเป็นรูปธรรม
    
4. พวกเราขอปฏิเสธวิถีทางใดๆที่จะใช้อำนาจอื่นๆ ที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา จะมีข้อบกพร่องจำนวนมาก แต่ระบอบประชาธิปไตยก็ได้พิสูจน์ให้เห็นจากประวัติศาสตร์และสังคมสมัยใหม่ทั้งหลายว่า เป็นวิถีทางที่เหมาะสมที่สุดในการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข
    
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันในขณะนี้คือการดำรงอยู่ของการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย แตกต่างกันเพียงบางแง่มุม ดังนั้นการยุบสภาเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ได้เป็นผู้ตัดสินใจเลือกผู้มาบริหารประเทศ จึงน่าจะเป็นทางออกที่จะนำสังคมไทยออกจากภาวะวิกฤติได้ในขณะนี้

ด้วยความเชื่อมั่นในพลังประชาชน
ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.)
30 พฤศจิกายน 2556
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สัมภาษณ์สมชาย ปรีชาศิลปกุล นิติรัฐ อารยะขัดขืน และการมองให้เห็นความเป็นคน

Posted: 30 Nov 2013 05:10 AM PST

สมชาย ปรีชาศิลปกุล รองศาสตราจารย์ จากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นนักกิจกรรมทางวิชาการในนามกลุ่มมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เขาเป็นนักวิชาการคนแรกๆ ทีพูดเรื่อง Civil disobedience ที่ต่อมามีการแปลเป็นไทยว่าอารยะขัดขืน และเขาเคยเสนอเล่นๆ ครั้งหนึ่งหลังฝุ่นควันรัฐประหารจางและมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งว่า สำหรับนักวิชาการที่เคยแสดงความเห็นผิดพลาดไปในทางหลักการ ตอนนี้อาจจะหันหน้ามายอมรับผิดและนิรโทษกรรมให้กันและกันเสีย เพื่อร่วมกันเดินหน้าต่อไปและรักษาหลักการประชาธิปไตยเอาไว้

แต่เมื่อสถานการณ์ที่จะหันหน้ามาคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยหลักวิชาดูจะยิ่งห่างไกลออกไป และวันนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นอย่างยิ่ง ประชาไทได้พูดคุยกับเขาถึงมุมมองต่อประเด็นหลักนิติรัฐ นิติธรรมที่ต่างก็ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการชุมนุม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นอารยะขัดขืนที่ถูกนำมาอธิบายการเคลื่อนไหวทางการเมืองของทุกฝ่าย ซึ่งเขาเห็นว่าเลยความหมายไปไกลมากแล้ว ข้อเสนอของเขาขณะนี้คือ ยังไม่ต้องพูดอะไรอื่นไกล แค่มองให้เห็นความเป็นคนของคนที่เห็นต่างคิดต่างให้ได้ก่อน บ้านเมืองก็อาจจะคลี่คลายความร้อนระอุลงไปได้ และสารที่สำคัญที่เขาอยากจะสื่อกับผู้ชุมนุมที่ไม่ใช่แกนนำก็คือ ตั้งสติ อย่าเดินตามแกนนำจนละเลยที่จะตั้งคำถาม
 

ประชาไท: คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตอนนี้ถูกนำมาใช้ลดความชอบธรรมของรัฐบาล คุณสุเทพบอกว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่โมฆะไปแล้วเพราะไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาล โดยใช้ตรรกะว่าการไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็เท่ากับไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญ รัฐบาลที่ไม่ยอมรับกฎหมายสูงสุดของประเทศก็เป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม อาจารย์มองว่าตรรกะอันนี้ใช้ได้หรือไม่

สมชาย:  ผมคิดว่าตรรกะอันนี้จะเป็นการตัดเอาบางส่วนมา ผมคิดว่าเวลาที่จะพิจารณาปัญหาเรื่องนี้คงต้องคิดถึงที่มันยาวขึ้น อย่างเช่น การที่ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาใช้อำนาจ ซึ่งมีปัญหามากพอสมควร การที่ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาแตะในประเด็นเรื่องอำนาจการแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายนิติบัญญัติ ในแง่นี้คือ สามารถถูกตั้งคำถามได้ว่า เอาเข้าจริงศาลรัฐธรรมนูญ ขอบเขตของศาลรัฐธรรมนูญในการทำหน้าที่เรื่องนี้ มีมากน้อยขนาดไหน

ผมคิดว่าเรื่องนี้ถ้าเรามองแล้วตัดเป็นส่วนๆ จะเกิดภาวะที่เราหยิบเอาบางประเด็นมาอ้างเพื่อให้เกิดประโยชน์กับบางฝ่าย เพราะฉะนั้นกรณีนี้ ในแง่หนึ่งต้องมองให้เห็นโครงใหญ่ๆ ทั้งหมดด้วยว่ามีปัญหายังไง

ในทัศนะของผม รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นรัฐธรรมนูญที่พยายามจะตรึงอำนาจ พูดง่ายๆ ทำให้อำนาจการเมืองของฝ่ายที่มาจากการเลือกตั้งต้องอยู่ภายใต้กำกับของฝ่ายที่เรียกว่าอนุรักษ์นิยม ดังนั้นเราจะเห็นบทบาทหน้าที่ของฝ่ายที่ไม่สู้จะสัมพันธ์กับประชาชนเท่าไหร่ เช่น ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. บทบาทองค์กรพวกนี้เห็นได้ชัดว่าพยายามที่จะตรึงให้การเมืองของฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังมีอำนาจเหนืออยู่ ขณะที่เราเห็นแบบนี้สิ่งที่มองก็คือว่า ความพยายามของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง  หรือพูดอีกแบบ คือพยายามที่จะรุกให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในแต่ละจุดๆ โดยที่มีองค์กรเหล่านี้ทำหน้าที่ปกป้องพรมแดนอำนาจของอนุรักษ์นิยมเอาไว้

เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ในแง่หนึ่งที่เราจะมอง คงต้องมองการทำหน้าที่ของรัฐธรรมนูญ 2540 หรือปฏิบัติการของรัฐธรรมนูญ 2540 ให้กว้างขวางขึ้นจะทำให้เราเห็นเรื่องนี้ได้ชัดเจนขึ้น

ประชาไท: แต่ข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อไม่ฟังกฎหมาย ความขัดแย้งก็จะไม่จบ เพราะฉะนั้นศาลจึงเป็นองค์กรที่เป็นที่พึ่งหวัง ถ้าศาลชี้ไปทางใดแล้วก็น่าจะรับ

สมชาย: ในแต่ละสังคมควรมีสถาบันที่ยุติความขัดแย้ง แต่ถ้าเราสังเกตสังคมไทยในช่วงหลังปี 2549 สถาบันหรือกระบวนการยุติธรรมมีปัญหามาก เพราะในแง่หนึ่งคำวินิจฉัยขององค์กรที่เป็นผลผลิตของรัฐธรรมนูญ 2550 เราจะพบว่ามีปัญหาอย่างกว้างขวาง

เพราะฉะนั้น ในแง่นี้การบอกให้ยอมรับอำนาจศาล หรือการบอกว่าเมื่อศาลตัดสินแล้วต้องยุติ ผมคิดว่าในแง่หนึ่งมีผลผูกพันที่ต้องปฏิบัติตาม การบอกว่าไม่ยอมรับถ้ามองให้กว้างก็พูดได้ว่าคือ การไม่ยอมรับความชอบธรรม ซึ่งถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ผมคิดว่าทุกคนก็พูดได้ แต่ถ้าเมือไหร่ที่เราลุกขึ้นพูดว่าไม่ยอมรับแล้วพากันพยายามจะล้มศาล โดยไม่อาศัยกระบวนการทางกฎหมาย ผมคิดว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ชอบแน่ๆ

ผมคิดสิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำ คือไม่ยอมรับ น่าจะนัยของมันคือการไม่ยอมรับความชอบธรรมของคำพิพากษาที่เกิดขึ้น แล้วถามว่ามีกระบวนการอะไรที่จะล้มศาลโดยกระบวนการนอกกฎหมาย ก็ไม่เห็น ผมคิดว่าความพยายามต่างๆ ที่เกิดขึ้น คือก็แก้ไขไปตามอำนาจที่มีตามรัฐธรรมนูญกำหนด

เพราะฉะนั้น การพยายามหยิบบางส่วนหรือบางถ้อยคำมาอธิบาย ผมคิดว่าอันนี้น่าจะมีปัญหาอยู่พอสมควร

ประชาไท: ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญภายใต้วิกฤตการเมืองไทยที่ผ่านมา หลายครั้งคำพิพากษาที่ออกก็จะมีข้อโต้แย้ง อาจารย์คิดว่าองค์กรศาลรัฐธรรมนูญถึงวิกฤตที่ต้องมาทบทวนกันหรือเปล่า

สมชาย: ผมคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญน่าจะเลยวิกฤตไปแล้วนะครับ เราจะพบว่าหลายๆ เรื่องศาลรัฐธรรมนูญตัดสินด้วยคำตัดสินที่ไม่มีตรรกะที่เป็นที่รองรับมากพอสมควร เราจะพบเหตุผลที่ไม่ได้ยึดโยงอยู่บนตรรกะทางกฎหมาย ตั้งแต่กรณีของคุณสมัคร การให้คุณสมัครพ้นไปจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยการอ้างว่าเป็นลูกจ้าง ผมคิดว่าอันนี้ในหลักการทางกฎหมายมันใช้ไม่ได้แน่ๆ นักกฎหมายที่เรียนกฎหมายแรงงานรู้ว่ากรณีคุณสมัครไม่ใช่ลูกจ้าง

เราพบคำตัดสินหลายๆ ครั้งที่เห็นได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลเพียงพอ จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ทำไมในระยะหลายๆ ปีที่ผ่านมา คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ถามว่าศาลรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องมีไหม ผมคิดว่าจำเป็น แต่ทั้งนี้คงต้องอย่างน้อยมีรกระบวนการคัดสรรที่ยึดโย
หรือสัมพันธ์กับประชาชนอยู่ด้วย หรือแม้กระทั่งการตรวจสอบการทำหน้าที่ของศาล คือศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่องค์กรที่อิสระที่คิดจะตัดสินอย่างไรก็ได้ ต้องมีกระบวนการกำกับตรวจสอบ เพื่อยืนยันว่าศาลทำหน้าที่ไปโดยยืนอยู่บนหลักวิชามากกว่าการเข้าข้างทางการเมือง

ถาม: ขณะเดียวกันก็มีความเห็นจากฝั่งที่เข้าอกเข้าใจศาลรัฐธรรมนูญ ว่าเป็นหน้าที่เป็นศาลทางการเมือง เมื่อเกิดวิกฤตศาลก็ทำหน้าที่พยายามที่จะหาทางออก ประนีประนอมมากที่สุด

สมชาย: ผมคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มีหน้าที่ในแง่ของทำหน้าที่ให้เกิดการประนีประนอมทางการเมือง ผมคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญน่าจะทำหน้าที่วินิจฉัยปัญหาข้อขัดแย้งที่วางอยู่บนหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่โดยวางคำวินิจฉัยตามหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญตรงไปตรงมา จะทำให้ข้อขัดแย้งในหลายๆ กรณียุติลง

แต่ผมคิดว่าการพยายามจะทำหน้าที่ผู้ประนีประนอม แต่บนการวินิจฉัยที่ไม่มีเหตุผล ผมคิดว่ากรณีมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ ถ้าตรงไปตรงมา ก่อนหน้านี้นักวิชาการก็ยอมรับว่ายังไงก็ตามศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถรับเรื่องได้โดยตรงตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ก็ถูกวินิจฉัยจนกระทั่งรับได้

ทั้งหมดนี้ จึงทำให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง อย่างน้อยถ้ามีเหตุผลที่ยอมรับกันได้ ผมคิดว่ามันจะให้ความขัดแย้งเบาลงพอสมควร แต่ผลปรากฏว่ายิ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีมากเท่าไหร่ ยิ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น ก็สะท้อนให้เห็นว่าคุณภาพในตัวของคำวินิจฉัยมีอยู่มากน้อยเพียงใด

ถาม: ตอนนี้ทั้งสองฝั่งการเมืองและมวลชนเองก็อ้างเรื่องการยอมรับในกฎหมาย การเรียกหานิติรัฐ นิติธรรมบ่อยๆ แต่ทำไมเข้าใจไม่ตรงกัน

สมชาย: ทั้งสองฝ่ายพยายามช่วงชิง แล้วก็ตีความหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรมไปตามจุดยืนและทัศนะอุดมการณ์ของตัวเอง ถ้าเป็นฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลก็พยายามตีความหลักนิติรัฐ นิติธรรม ให้หมายถึงการเคารพคำพิพากษาของศาล ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายเสื้อแดงพยายามตีความนิติรัฐนิติธรรมหมายถึง อำนาจสูงสุดของรัฐสภาในการปรับแก้รัฐธรรมนูญ หรืออำนาจสูงสุดของประชาชน อำนาจสูงสุดของนักการเมืองที่มาจากเลือกตั้งจะต้องเป็นหลัก ซึ่งทั้งสองส่วนนี้เป็นส่วนประกอบซึ่งกันและกัน

ผมคิดว่า ความขัดแย้งทางการเมือง ต่างฝ่ายต่างดึงเอาบางส่วนมาเป็นฐานในการสนับสนุนความชอบธรรมของตัวเอง เพราะฉะนั้นมันถึงเกิดสภาพการณ์ที่ทั้งคู่ก็พูดถึงนิติรัฐ นิติธรรม แต่ปรากฏว่าเป็นการพูดกันคนละส่วนหรือคนละด้าน อันนี้ผมคิดว่ามันเป็นภาวะที่จะนำมาซึ่งความขัดแย้งแน่ๆ

ถาม: ภาวะที่เกิดขึ้นตอนนี้กับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลอยู่นี้ความหมายของ civil disobedience ไหม

สมชาย: ถ้าในระยะเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวที่นำโดยคุณสุเทพ จนกระทั่งอย่างน้อยจนกระทั่งวันที่ 24 พฤศจิกายนซึ่งมีการชุมนุมใหญ่ ผมคิดว่าแนวโน้มหลักของการชุมนุมยังเป็นไปในทางที่เรียกว่าสันติวิธี และจะเรียกว่าเป็น civil disobedience ก็ได้

แต่หลังจากวันนั้นมา ผมคิดว่ามีความคลุมเครือเกิดขึ้นและดูเหมือนว่ามีแนวที่จะไม่ใช่ civil disobedience อย่างน้อยใจกลางหลักๆ ของ civil disobedience เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อปรับแก้กฎหมายหรือนโยบายบางอย่าง โดยที่ยังเคารพระบบกฎหมายหรือการปกครองโดยรวมอยู่

บัดนี้ เราเห็นได้ชัดว่าคุณสุเทพกำลังพูดถึงระบอบการปกครองใหม่ จะเป็นอะไรก็ว่ากันอีกเรื่อง แต่อันนี้หมายความว่า พอเป็นแบบนี้ สิ่งที่เรียกว่า civil disobedience มันเป็นการเคลื่อนไหวที่ยังยอมรับความชอบธรรมว่า ระบอบการปกครองเป็นพื้นฐานอยู่แต่อาจจะมีนโยบายหรือกฎหมายบางอย่างที่ไม่ได้เรื่อง ต้องถูกปรับแก้ การเคลื่อนไหวแบบ civil disobedience จึงยอมรับโครงสร้างใหญ่ๆ

ผมเข้าใจว่าข้อเสนอต่างๆ ของคุณสุเทพ ไม่ว่าหลัก 6 ประการที่คุณสุเทพประกาศ ผมคิดว่านำไปสู่การปรับโครงสร้างการปกครองใหม่เลย อันนี้ถ้าถามถึงใจกลางของ civil disobedience ผมคิดว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้มันน่าจะก้าวข้าม civil disobedience ไปแล้ว

ถาม: ตอนนี้ต่างคนต่างตีความความหมายของกฎหมาย ศาล ไปคนละทิศละทาง มันเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตวาทกรรมเพื่อให้เกิดความขัดแย้ง เราจะก้าวข้ามวาทกรรมที่แตกต่างหลากหลายอันนี้ยังไง

สมชาย: ผมมีความเห็นว่า การที่ความขัดแย้งครั้งนี้เกิดขึ้น เราน่าจะให้บทเรียนกับคนที่เป็นแกนนำทั้งสองฝ่ายได้ ผมคิดว่าอย่างน้อย แกนนำในพรรคเพื่อไทยที่พยายามผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ทางพรรคเพื่อไทยกล้าผลัก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยเดินหน้าไป เพราะมองข้ามหัวเสื้อแดง และรวมถึงการมองข้ามหัวคนในสังคมไทยว่าจะไม่ลุกขึ้นมาต่อต้าน

ผมคิดว่าสิ่งที่เสื้อแดงควรทำ คือการให้บทเรียนกับพรรคเพื่อไทยและรวมถึงขบวนการเสื้อแดง มวลชนควรพยายามถอยห่างออกมา การพิทักษ์พรรคเพื่อไทยตอนนี้กับการพิทักษ์ประชาธิปไตยเป็นคนละเรื่องกัน ในขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวที่ตอนนี้กำลังเลยจุดที่ผมคิดว่าเพื่อปรับแก้หรือสร้างพลังอำนาจทางสังคมของฝ่ายต่อต้าน กำลังก้าวไปจุดที่มันเลยเถิดไปมากแล้ว

การเคลื่อนไหวของแกนนำ ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม ที่มันเลยเถิดไปได้หรือบ้าระห่ำไปได้ เป็นเพราะว่ายังมีมวลชนสนับสนุนอยู่ ข้อเรียกร้องผมคิดว่ามวลชนแต่ละฝ่ายต้องคิดให้มากขึ้น ต้องตั้งสติให้มากขึ้น อันนี้สำคัญ ผมคิดว่ามวลชนเสื้อแดงก็ต้องตระหนักว่าอย่าเดินตามแกนนำอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ผมคิดว่าการถูกพรรคเพื่อไทยถีบหัวส่งเมื่อ 3-4 อาทิตย์ก่อนในกฎหมายนิรโทษกรรมคงต้องเป็นบทเรียน

ในขณะเดียวกัน สำหรับคนที่เป็นมวลชนนกหวีดก็ต้องตระหนักว่า ข้อเรียกร้องของคุณสุเทพกำลังเดินไปสู่จุดที่เปิดกว้างมากจนไม่รู้ว่าเป็นอะไร เช่น พูดถึงสภาประชาชน รัฐบาลประชาชน ผมคิดว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีฐานความชอบธรรมใดๆ รองรับ จะสร้างสภาประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ได้ยังไงก็ไม่ชัดเจน และดูเหมือนว่ายิ่งเดินหน้ายิ่งมีความสุ่มเสี่ยงที่จะให้เกิดความรุนแรงหรือข้อขัดแย้งเกิดขึ้น

ผมคิดว่า มวลชนทั้งสองฝ่ายต้องตั้งสติให้ดี ถ้าจอเรียกร้องหรือประเด็นที่แกนนำเรียกร้องมันเลยเถิดมากเกินไปมวลชนต้องตั้งสติและถอยห่างออกมา ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องที่มวลชนทั้งสองฝ่ายต้องคิดให้มาก ต้องตระหนักให้มาก อย่าเพียงแต่ฟังแล้วเคลื่อนไหวไปตามการชี้นำของแกนนำแต่ละฝ่าย อันนี้อันตรายมาก

ถาม: มีนักกฎหมายขึ้นเวทีให้คำอธิบายสร้างวาทกรรมกับมวลชนไปบ้างแล้ว อาจารย์คิดว่าบทบาทของนักวิชาการกฎหมายตอนนี้ควรจะเป็นยังไง

สมชาย: สิ่งที่นักวิชาการด้านกฎหมายอันแรก คือควรต้องยึดกับหลักการให้มั่นคง ผมคิดว่าจุดยืนทางการเมืองแต่ละคนต่างก็ได้ แต่กับหลักการทางกฎหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย หลักการในเรื่องระบอบรัฐสภา ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่แต่ละคนควรยึดให้มั่น เราอาจจะมีจุดยืน ระบบรัฐสภามันอาจจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรได้ตามใจเราในชั่วข้ามคืน

ระบอบประชาธิปไตยก็คือเราต้องทนอยู่กับคนที่เราไม่ชอบ สมมติตอนนี้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลไม่ชอบขี้หน้ารัฐบาล สิ่งที่ควรทำคือ ขายาความคิดของตัวเองให้กว้างขวาง ซึ่งรัฐบาลชุดนี้มีผลงานให้วิจารณ์ได้มากมายกว้างขวางเต็มไปหมด ก็พยายามเผยแพร่ความคิดออกไปให้กว้างขวาง ถ้าคิดว่านโยบายจำนำข้าวไม่ดี โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเป็นปัญหาก็ขยายความคิดออกไป แล้วทำให้ตัวเองได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง เลือกตั้งครั้งหน้าก็พยายามทำอย่างนี้

ผมคิดว่าระบบรัฐสภาหรือระบอบประชาธิปไตย ข้อดีคือ เสียงข้างน้อยเปลี่ยนเป็นเสียงข้างมากได้ แต่เราควรจะเปลี่ยนมันด้วยเหตุผล ไม่ควรเปลี่ยนมันด้วยกำลัง ด้วยการใช้อำนาจนอกระบบ ผมคิดว่าสิ่งที่นักกฎหมายตอนนี้ควรทำคือ ยืนอยู่ในหลักการให้มั่นคง คนที่เราไม่ชอบหน้าจะเป็นรัฐบาลก็ได้ แต่ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า เราก็รณรงค์ไป วันหนึ่งเราอาจจะกลายเป็นเสียงข้างมากขึ้นมาก็ได้ ในหลายๆ ประเทศก็เป็นแบบนี้ อเมริกาบางช่วงก็เป็นเดโมแครต บางช่วงก็เป็นรีพับลิกัน พอตกเป็นฝ่ายที่รัฐบาลก็รณรงค์และชี้แจงให้เห็นว่าเราดีกว่าอย่างไร มีเหตุผลกว่าอย่างไร

ถาม: หลังรัฐประหาร 2549 อาจารย์เคยเสนอว่าประเทศไทยเล็กเท่านี้ นักวิชาการก็มีเท่านี้ ใครที่เคยไปสนับสนุนรัฐประหารให้แสดงตัวออกมา แล้วนิรโทษกรรมกันจะได้เดินเข้าสู่หลักการแล้วเดินไปข้างหน้ากันใหม่ ถึงจุดนี้อาจารย์ยังมีข้อเสนอทำนองนี้ไหมสำหรับนักวิชาการที่นำเสนอประเด็นหรือหลักการที่ผิดเพี้ยนไปจากประชาธิปไตย

สมชาย: ถ้าพูดในช่วงเวลานี้คงยาก ผมคิดว่าหลายๆ ท่านตอนนี้อุดมการณ์คงล้นทะลักจนบางทีอาจทำให้หลักวิชาที่เคยยึดเป็นหลัก มันคลอนแคลนไป

สิ่งที่ผมอยากเสนอ คือ ตอนนี้ดูเหมือนเราพยายามมองหาความต่างกันระหว่างแต่ละฝ่าย ฝ่ายที่สนับสนุนกับฝ่ายรัฐบาลพยายามมองหาจุดต่าง ผมคิดว่านอกจากการมองหาจุดต่างซึ่งสร้างความเกลียดชังให้เกิดเพิ่มมากขึ้น ในอีกแง่หนึ่งเราพยายามมองหาความเหมือนกันของทั้งสองกลุ่ม หรือกลุ่มอื่นๆ ด้วยก็ได้ เราก็เป็นคนเหมือนกัน เรามีญาติพี่น้องที่เป็นคนรักเหมือนกัน เราก็เป็นคนที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าตอนนี้พื้นฐานสุดคือ มองอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นคนซึ่งอาจจะคิดไม่เหมือนกับเราให้เป็นคน ยังไงเขาก็เป็นคน เขาอาจจะคิดไม่เหมือนเราก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ในสังคมประชาธิปไตยก็มีคนที่คิดไม่เหมือนเราเต็มไปหมด แต่อย่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่งกลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่คน

ตอนนี้ที่น่าเป็นห่วงมากก็คือ การเริ่มมีการปะทะกันของแต่ละฝ่ายเกิดขึ้นในจุดต่างๆ ผมอยากจะเตือนว่า หลังเหตุการณ์พฤษภาปี 2535 มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับคนเจ็บคนตาย สิ่งที่ผมพบเป็นส่วนใหญ่หลังปี 35 คือ คนที่บาดเจ็บ ล้มตาย คนที่สูญเสียคนรักไป ส่วนใหญ่ก็คือคนธรรมดาๆ สามัญชนอย่างพวกเรานี่แหละ ไม่มีแกนนำคนไหนบาดเจ็บล้มตาย

ถ้าใครคิดว่าอยากเปลี่ยนแปลงประเทศ อยากจะทำให้สังคมดีขึ้นก็ทำ แต่ไม่มีสังคมไหนเปลี่ยนในชั่วข้ามคืน เรามีเวลาอีกเยอะที่จะค่อยๆ ปฏิรูปทุกๆ อย่างให้ดีขึ้น สังคมไทยมีวีรชนและผู้เจ็บปวดมามากพอแล้ว ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปเป็นวีรชนและถูกทอดทิ้งให้เพิ่มขึ้น เรามองกันให้เป็นคน อันไหนที่เราต้องแก้ก็ค่อยๆ แก้ เรามีเวลาอีกเยอะ ค่อยๆ ปรับแก้ สังคมไทยคงไม่ได้พังทลายไปในชั่วข้ามคืนนี้ถ้ารัฐบาลยังไม่ได้ออกไป
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักกิจกรรมกลุ่มเพื่อประชาธิปไตยและความหลากหลายทางเพศเรียกร้องให้มีการเจรจาหาทางออกร่วมกัน

Posted: 30 Nov 2013 04:28 AM PST

30 พ.ย. 2556 - นักกิจกรรมกลุ่มเพื่อประชาธิปไตยและความหลากหลายทางเพศเผยแพร่จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ,ผู้บัญชาการเหล่าทัพ, แกนนำมวลชนทุกฝ่าย, สถาบันที่เกี่ยวข้อง และประชาชนชาวไทย โดยระบุว่าจากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองในปัจจุบันนับเป็นวิกฤตของประเทศไทยอีกครั้ง เกิดการเรียกร้องทางการเมืองจากประชาชนจำนวนมาก โดยมีหลากฝ่าย หลายความคิด และไม่มีท่าทีของการเจรจาต่อรองเพื่อให้เกิดข้อยุติของความขัดแย้ง ในภาวะที่มืดดำเช่นนี้ มองเห็นเพียงฝุ่นควันของภาวการณ์การใช้อานาจนอกระบบ และความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างรัฐกับประชาชน และระหว่างประชาชนด้วยกันเอง ซึ่งน่ากังวลว่าจะนำไปสู่การละเมิดทางร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สิน ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติใหญ่หลวงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสังคมไทย

นักกิจกรรมกลุ่มเพื่อประชาธิปไตยและความหลากหลายทางเพศ เชื่อมั่นในระบบการปกครองในรูปแบบประชาธิปไตย และเชื่อมั่นว่าหนทางที่ยึดในหลักสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด ไม่ถูกครอบงำหรือปลุกปั่น รวมถึงการคำนึงถึงความเป็นปกติสุขของคนทุกกลุ่มโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเสียงข้างน้อยนั้น จะเป็นทางออกที่ยั่งยืนและมั่นคงของสังคมไทย เราจึงขอเรียกร้องให้

1. "รัฐบาล" ไม่ใช้ความรุนแรงในการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกกรณี ประชาชนมีสิทธิในการเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองตามหลักของสิทธิพลเมือง และรัฐบาลพึงใช้วิธีการตามกฎหมาย หลักสิทธิมนุษยชน และหลักประชาธิปไตยในการแก้ไขปัญหาอย่างเข้มงวดที่สุด

2. "กองทัพและฝ่ายความมั่นคง" ควรเปิดพื้นที่ให้การแก้ไขปัญหาดำเนินไปตามกระบวนการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ ไม่พึงใช้อำนาจแทรกแซงและ/หรือทำการรัฐประหาร ประเทศไทยได้รับบทเรียนที่เจ็บปวดจากการรัฐประหารมามากพอแล้ว

3. "แกนนำของผู้ชุมนุมทุกฝ่าย" ยึดแนวทางการชุมนุมเรียกร้องด้วยความสงบ ภายใต้กรอบกฏหมาย ไม่ใช้การปลุกระดมจนนำไปสู่ความรุนแรงระหว่างประชาชนกับประชาชน ไม่สร้างบรรยากาศความเกลียดชังระหว่างกันจนอาจก่อวิกฤติสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศได้ในที่สุด

4. "เจ้าหน้าที่ภาคส่วนต่างๆ" ทั้งในส่วนราชการ ตำรวจ ทหาร สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร และสมาชิกวุฒิสภา พึงปฎิบัติหน้าที่ภายใต้กรอบของกฏหมายอย่างเคร่งครัด ไม่สนับสนุนความรุนแรงในทุกกรณี

5. "สถาบันหลักของชาติ" ที่มีบทบาทต่อสังคมไทยรวมถึงสถาบันการศึกษาและนักวิชาการ ควรสนับสนุนการหาทางออกให้แก่สังคมด้วยกระบวนการประชาธิปไตย ไม่ชี้นำไปในทางที่จะบั่นทอนความเป็นประชาธิปไตยของไทย รวมทั้งไม่รับข้อเสนอของฝ่ายใดๆในการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี หรือสภา ที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้ง เช่น การใช้มาตรา 7 หรือการตั้งสภาประชาชนเป็นต้น

6. สุดท้าย ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมีการเจรจาหาทางออกร่วมกันโดยเร็วที่สุด

ความรุนแรงเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ไม่ว่าในกรณีใด ความพยายามเจรจาและแก้ปัญหาอย่างจริงใจเท่านั้นที่จะทำให้ทุกฝ่ายสามารถหาทางออกร่วมกันได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติประชาชนอย่างแท้จริง กลุ่มเพื่อประชาธิปไตยและความหลากหลายทางเพศ และผู้มีรายชื่อแนบท้ายแถลงการณ์ฉบับนี้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาล สถาบันที่เกี่ยวข้อง และแกนนำมวลชนทุกฝ่ายที่กล่าวมาในข้างต้น ดำเนินการตามข้อเรียกร้องนี้เป็นกรณีเร่งด่วน  

 

รายชื่อผู้ร่วมลงนามแนบท้ายแถลงการณ์:

1. การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ นักเขียน

2. ดาราณี ทองศิริ นักกิจกรรมอิสระ

3. อันธิฌา แสงชัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปัตตานี

4. ศรัทธารา หัตถีรัตน์ นักกิจกรรมสิทธิความหลากหลายทางเพศ กลุ่มวงน้ำชา

5. ฉันทลักษณ์ รักษาอยู่ นักกิจกรรมสิทธิความหลากหลายทางเพศ

6. ชุมาพร แต่งเกลี้ยง มูลนิธิศักยภาพชุมชน, นักกิจกรรมสิทธิความหลากหลายทางเพศ กลุ่มวงน้ำชา

7. ก้าวหน้า เสาวกุล ประชาชน

8. ณฐกมล ศิวะศิลป ประชาชน

9. สุพีชา เบาทิพย์ นักกิจกรรมสิทธิทางเพศ

10. ชุติเดช ยารังษี นักเขียน

11. อัญชลี แก้วแหวน นักกิจกรรมอิสระ กลุ่มวงน้ำชา

12. พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ นักกิจกรรม

13. ธรรศ อับดุลเลาะห์ ผู้จัดการโครงการ มูลนิธิเดอะพอส โฮมเซ็นเตอร์

14. อัญชนา สุวรรณานนท์ กลุ่มอัญจารี

15. ฤดี จุลกะเศียน ประชาชน

16. ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์

17. ปริญญา เพชรสังฆาต

18. กฤตธีพัฒน์ โชติฐานิตสกุล นักกิจกรรมสิทธิความหลากหลายทางเพศ

19. อังกุศ รุ่งแสงจันทร์ วิศวกร

20. รชฎ บุญประเสริฐ

21. ทวิช พุดดี

22. กาญจนา แถลงกิจ องค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์

23. ชยุตม์ ศิรินันทไพบูลย์ นักกิจกรรมสิทธิทางเพศ

24. อภิเชษฐ์ ตรงจิตอุทัย

25. วัลลภ บุญทานัง ประชาชน

26. อโนพร เครือแตง บรรณาธิการ สื่ออิสระ www.LovePattaya.com

27. อรรถวุฒิ บุญยวง

28. วรพล มาสแสงสว่าง

29. กฤชวรรธน์ โล่ห์วัชรินทร์

30. บัณฑิต ไกรวิจิตร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

31. พัชรี แซ่เอี้ยว

32. กิตติกา บุญมาไชย

33. ภีรนัฎฐ์ แก้วคำปา

34. ธณัฐพล ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา

35. จิรพงศ์ พลบูรณ์

36. เอกวัฒน์ พิมพ์สวรรค์

37. คำนวร เขื่อนทา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

38. วัฒนา มั่นเจริญ

39. เอนก จันทร์เครือ

40. ณัฎฐณิชา เหล็กกล้า นักศึกษา

41. นวภู แซ่ตั้ง

42. ธนสิษฐ์ ขุนทองพันธ์

43. กิตติพล เอี่ยมกมล

44. คมลักษณ์ ไชยยะ

45. ณัฐพงษ์ บุญธรรม

46. ศรเชียร สาราจารย์

47. กชกมล อนันตกฤตยาธร

48. สาริสา ธรรมลังกา นักศึกษาปริญญาโท สาขาทัศนศิลป์ มช.

49. จุลศักดิ์ แก้วกาญจน์

50. Pricha Kwunyeun M.D.

51. สุวรี เกตุไทย ตัดต่อรายการโทรทัศน์

52. เกตุวสุ เกตุไทย นักศึกษา

53. สุจินต์ เกตุไทย

54. ยุทธพันธุ์ เกตุไทย รับจ้าง

55. อุษณีย์ ตาปิน ผู้ใช้แรงงาน

56. ชมนาท ประสิทธิมนต์

57. สุมาลี โตกทอง

58. รัชนีชล ไชยลังการ์

59. คมธิวัฒน์ เกตุไทย ตัดต่อรายการโทรทัศน์

60. อนุชา วรรณาสุนทรไชย

61. ปราณี ศรีกำเหนิด

62. ชญานนท์ หนูหีต

63. นิพนธ์ อินทฤทธิ์

64. ลือชา กิจบำรุง

65. ภานุพงศ์ ธนะโคตร

66. ธันย์ ฤทธิพันธ์

67. จิฬาชัย พิทยานนท์

68. วรุฒ จักรวรรดิ์

69. ศักดิ์ดา ถวัลย์วรกิจ

70. เขียน ตะวัน

71. ชีวิน จั่นแก้ว

72. ปภังกร ศิริกาญจนภัย

73. พักตร์วิไล สหุนาฬุ

74. ชาญณรงค์ บุญหนุน มหาวิทยาลัยศิลปากร

75. ศักดิ์ชัย บุญมี ข้าราชการบำนาญ

76. สมชาย อดุลเจริญทอง

77. วัชรัสม์ บัวชุ่ม

78. เมธาวี เอกวิภพ ประชาชน

79. เสฎฐวุฒิ ทองมี, นิสิตเก่าอักษรศาสตร์ จุฬาฯ

80. จตุรงค์ หิรัญกาญจน์

81. ณญา แซะหมูด

82. ศักดิ์ชัย บุญมี ข้าราชการบำนาญ

83. พริษฐ์ ชมชื่น

84. มิ่ง ปัญหา

85. รักษ์ศักดิ์ ก้งเส้ง

86. วริษฐา นาครทรรพ

87. สุริยาพร เอี่ยมวิจิตร์ นักศึกษา

88. อนุศักดิ์ แซะหมูด

89. อภิเชษฐ์ ตรงจิตอุทัย

90. อุษณีย์ ตาปิน (ผู้ใช้แรงงาน)
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Blognone วอนรัฐคุ้มครองโครงข่ายการสื่อสาร หลังตึกกสท.ถูกตัดไฟ

Posted: 30 Nov 2013 04:25 AM PST

เว็บข่าวไอทีอิสระด้านไอทีออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐวางมาตรการคุ้มครองโครงข่ายการสื่อสารอย่างจริงจัง หลังผู้ชุมนุมปิดตึก CAT และถูกตัดไฟ

30 พ.ย.56 เว็บไซต์ Blognone ซึ่งเป็นเว็บข่าวไอทีอิสระเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ไอที โทรคมนาคม และชีวิตในโลกดิจิทัล ออกแถลงการณ์ เรียกร้องรัฐวางมาตรการคุ้มครองโครงข่ายการสื่อสารอย่างจริงจัง หลังมีกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองล้อมอาคารของบริษัท กสท โทรคมนาคม ที่เขตบางรัก ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และมีการตัดไฟฟ้าของอาคารจนส่งผลกระทบให้เว็บไซต์จำนวนมากและการสื่อสารหลายช่องทางต้องปิดตัวลง ส่งผลกระทบต่อการสื่อสารภายในประเทศไทย และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง โดยมีรายละเอียดดังนี้

"ตามที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองกลุ่มหนึ่งเข้าล้อมอาคารของบริษัท กสท โทรคมนาคม ที่เขตบางรัก ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และมีการตัดไฟฟ้าของอาคารจนส่งผลกระทบให้เว็บไซต์จำนวนมากและการสื่อสารหลายช่องทางต้องปิดตัวลง ส่งผลกระทบต่อการสื่อสารภายในประเทศไทย และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง

ถึงแม้เป้าหมายของกลุ่มผู้ชุมนุมจะอ้างแรงจูงใจจากการเคลื่อนไหวในทางการเมือง แต่ระบบคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ สายไฟ อุปกรณ์เครือข่ายต่างๆ ในศูนย์ข้อมูลนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีที่ทำให้การสื่อสารข้อมูลถูกส่งผ่านไปได้ เป็น "ท่อที่ไม่มีความคิดทางการเมือง" แต่อย่างใด

เว็บไซต์ไอที Blognone ขอแสดงจุดยืนดังนี้

ขอเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมทางการเมืองหลีกเลี่ยงการบุกรุกหรือการกระทำใดๆ ที่จะกระทบต่อโครงข่ายการสื่อสารของประเทศ โดยไม่เข้าปิดล้อมหรือสร้างความเสียหายต่อหน่วยงานด้านการสื่อสารขนาดใหญ่ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นของภาครัฐหรือภาคเอกชน ไม่ว่าบุคคลากรของหน่วยงานนั้นๆ จะแสดงจุดยืนทางการเมืองในทิศทางใดก็ตาม

ขอเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐบาลที่เกี่ยวข้อง วางมาตรการคุ้มครองโครงข่ายการสื่อสารอย่างจริงจัง โดยหารือร่วมกันกับตัวแทนของหน่วยงานด้านการสื่อสารทุกแห่งของประเทศไทย

การสื่อสารช่วยให้ทุกคนในสังคมสามารถติดต่อกันได้ และต้องเป็นกลไกลำดับท้ายๆ ที่สังคมจะยอมสูญเสียไปในเหตุการณ์วิกฤติ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ลักษณะใดก็ตาม"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ออกแถลงการณ์ปกป้องระบอบประชาธิปไตยคัดค้านอันธพาลการเมือง

Posted: 30 Nov 2013 03:38 AM PST

30 พ.ย. 2556 - สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) ออกแถลงการณ์ "ปกป้องระบอบประชาธิปไตย คัดค้านอันธพาลการเมือง และการรัฐประหาร" โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้



แถลงการณ์ "ปกป้องระบอบประชาธิปไตย คัดค้านอันธพาลการเมือง และการรัฐประหาร"



ตามที่พรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำได้ก่อการชุมนุมทางการเมืองขับไล่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่ารัฐบาลไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไป นายสุเทพฯ ในฐานะแกนนำได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งสภาประชาชน รัฐบาลประชาชนพร้อมทั้งชี้ทิศทางและเป้าหมายการชุมนุมว่าต้องการสร้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่รัฐบาลไม่อาจตอบสนองได้ เพราะการดำเนินงานบริหารประเทศต้องอยู่ภายใต้วิถีทางตามที่รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย นโยบาย ต่างๆได้กำหนดไว้ สำหรับรัฐบาลปัจจุบันก็มาจากการเลือกตั้งและจัดตั้งขึ้นมาตามวิถีทางประชาธิปไตยแบบรัฐสภา การด่วนสรุปว่ารัฐบาลขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ พิจารณาแล้วยังไม่เห็นว่ามีมูลเหตุให้ปรักปรำเช่นนั้นได้

โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับรัฐบาลก่อนหน้านี้ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปราบปรามการชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดง ปี2553โดยการสั่งยิงด้วยกระสุนจริงโดยนักแม่นปืน สไนเปอร์ มีประชาชนเสียชีวิตเกือบ 100 คน บาดเจ็บร่วม 2000 คน แต่ก็หามีใครสักคนจะกล้าลุกขึ้นมาชี้หน้าประนามว่ารัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะนั้น หมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศส่วนความเห็นของคนเสื้อแดงก็ไม่มีหน่วยงานใดสนใจอยู่แล้วนายสุเทพฯ ยืนยันว่าการชุมนุมของมวลมหาประชาชนของเขานั้นจะไม่ยอมเลิกราแม้รัฐบาลจะยุบสภา ถามว่า แล้วเขาต้องการอะไรกันแน่ ข้อเสนอจัดตั้งสภาประชาชน ถามว่า แล้วจะเอารัฐสภาไปไว้ตรงไหน และเรียกร้องระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นี่เท่ากับเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็คือหัวหน้ากบฎต่อต้านขัดขวางรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และ มีทัศนะคติที่เป็นอันตรายต่ออุดมการณ์แห่งระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง เป็นพวกอันพาลไม่เคารพกติกาในทางการเมือง

ทั้งๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันมาตลอดว่าเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ส่วนการกระทำนั้นตรงกันข้าม เช่น การบุกยึดสถานที่ราชการเป็นการกระทำที่เรียกได้ว่าเป็นกบฎต่อระบอบประชาธิปไตย อย่างแท้จริงพี่น้องประชาชน ที่รักชาติรักประชาธิปไตย พึงพิจารณาให้เห็นธาตุแท้ แห่งการกระทำที่นำโดยนายสุเทพฯ และพรรคประชาธิปัตย์ ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนหรือเพื่อสร้างความวุ่นวายในสังคม ให้เกิดเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ เพียงเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเองมองประชาชนเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง เพื่อไต่เต้าเข้ากอดกุมอำนาจรัฐ

ด้วยเหตุดังกล่าว สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ จึงขอแถลงต่อสาธาณชน ว่าเรามีจุดยืนอันแน่วแน่ในการสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยคัดค้านการสร้างเงื่อนไขแห่งความรุนแรงเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มิใช่กระบวนการประชาธิปไตย เช่น การรัฐประหาร คัดค้านการกระทำที่ขัดขวางบั่นทอนการทำงานของรัฐบาลเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพราะประชาธิปไตยเป็นเงื่อนไขพื้นฐานในการพัฒนาสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาค ของประชาชนเพราะประชาธิปไตย เป็นกระบวนการพื้นฐานที่ขาดมิได้ในการแก้ไขปัญหาของประชาชนเพราะประชาธิปไตย จึงทำให้ประชาชนมีสิทธิอำนาจในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเราจึงต้องปกป้องระบอบประชาธิปไตยและรัฐบาลภายใต้ระบบนี้ให้มีเสถียรภาพ

แถลง ณ วันที่ 30 พ.ย 2556
สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.)
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

FTA Watch ชี้ก่อนยุบสภาควรแก้ไขรัฐธรรมนูญตามกระบวนการประชาธิปไตยก่อน

Posted: 30 Nov 2013 03:25 AM PST

30 พ.ย. 2556 - กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงสื่อมวลชนเสนอข้อเสนอทางออกทางการเมือง โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ข้อเสนอทางออกทางการเมือง โดย กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch)

ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นและอาจแปรไปสู่การเผชิญหน้าและใช้ความรุนแรงระหว่างประชาชนทั้งสองฝ่าย หรือระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐนั้น

1. ทุกฝ่ายควรเคารพเจตนารมย์การเข้าร่วมชุมนุมของประชาชนทั้งสองฝ่าย ทั้งจากฝ่ายแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ต้องการปกป้องรัฐบาที่มาจากการเลือกตั้งและสิทธิในการเลือกตั้ง และคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ที่เรียกร้องการขจัดคอรัปชั่นของนักการเมืองและกลุ่มทุนขนาดใหญ่

เจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายไม่ควรเป็นคู่ขัดแย้งกันและกัน แต่ควรเป็นหลักการร่วมที่สำคัญของการระบบการเมืองของประเทศ การชุมนุมของทั้งสองกลุ่มเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการประชาธิปไตย ตราบใดก็ตามที่ไม่มีการเรียกร้องอำนาจนอกระบบ ไม่ทำลายทรัพย์สินของรัฐและเอกชน และเป็นการชุมนุมโดยสันติปราศจากอาวุธ

2. เราขอเรียกร้องให้มีการปฏิรูปและแก้ไขปัญหาที่เป็นรากฐานของความขัดแย้งของสังคมไทย 3 ประการคือ

1) แก้ปัญหาการไม่ยอมรับหรือไม่ไว้วางใจต่อกลไกพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยอันได้แก่การถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ  และแนวทางป้องกันปัญหาการแทรกแซงของอำนาจนอกระบบ  

2) แก้ไขปัญหาความเสมอภาคในการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนทุกกลุ่ม กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนและเสียงข้างน้อยในกระบวนการประชาธิปไตยทั้งที่เกิดขึ้นในรัฐสภา (การจัดทำกฎหมาย ) และการกำหนดนโยบายสาธารณะ (นโยบายและแผนพัฒนาประเทศ นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ นโยบายและแผนด้านทรัพยากรธรรมชาติ การจัดทำโครงการพัฒนาต่างๆ ฯลฯ)  ตลอดจนการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและชุมชนจัดการตนเอง

3) ขจัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในสังคมไทย การขจัดและป้องกันปัญหาคอรัปชั่น รวมทั้งการขจัดการผูกขาดและควบคุมตรวจสอบอิทธิพลของกลุ่มทุนและบรรษัทขนาดใหญ่ในการกำหนดนโยบายและผลักดันโครงการที่เอื้อประโยชน์ต่อตัวเอง และสร้างผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่

3. เราเห็นว่าภายใต้สถานการณ์ที่ฝ่ายผู้ชุมนุมได้ยกระดับการชุมนุมเพื่อเข้าไปยึดสถานที่ราชการโดยมีเป้าหมายเพื่อขจัดระบอบทักษิณเป็นหลักโดยมิได้มีข้อเสนอการปฏิรูปทางการเมืองที่ชัดเจน ในขณะฝ่ายรัฐบาลยังคงพยายามรักษาอำนาจในการบริหารประเทศ หรือตัดสินใจยุบสภาโดยไม่ได้แสดงจุดยืนและไม่ได้แสดงเจตนารมย์ที่จะแก้ไขปัญหารากฐานความขัดแย้งทั้ง 3 ประการข้างต้นนั้น  จะไม่สามารถนำพาประเทศไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์และการสร้างความเท่าเทียมเป็นธรรมได้อย่างที่ทั้งสองฝ่ายประสงค์

4. ดังนั้น ก่อนประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ต้องดำเนินการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามกระบวนการประชาธิปไตย โดยจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีตัวแทนจากรัฐสภา จากกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่าย และจากภาควิชาการ/ภาคประชาสังคม/ภาคสังคมอื่นๆจำนวนเท่าๆกัน เพื่อสร้างรัฐธรรมนูญที่เป็นกติการ่วมที่เป็นไปตามเจตนารมย์  และออกแบบกลไกในรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการปฏิรูปกระบวนการกำหนดและการตัดสินใจนโยบายสาธารณะ  เพื่อให้การแก้ไขปัญหารากฐานทั้ง 3 ประการของสังคมไทยให้ได้อย่างแท้จริง

กรอบเวลาในการยุบสภา การร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ การจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ตลอดจนรายละเอียดอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดประชามติ การให้สัตยาบัน ตามข้อเรียกร้องของหลายฝ่ายให้เป็นไปตามการเจรจาของกลุ่มที่เกี่ยวข้อง

5. เราขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการยั่วยุ และใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และร่วมกันผลักดันให้เกิดการเจรจาขึ้นโดยเร็ว เพื่อให้สังคมก้าวพ้นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดความรุนแรง ที่อาจนำประเทศไปสู่การรัฐประหาร เปลี่ยนการเผชิญหน้ามาเป็นการร่วมวางกติกาทางสังคมร่วมกันของทั้งรัฐสภา ตัวแทนของกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่าย และพลเมืองที่แสดงออกและประสงค์จะมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตประเทศในรูปแบบต่างๆ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้

Posted: 30 Nov 2013 02:21 AM PST

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น