ประชาไท | Prachatai3.info |
- นิติราษฎร์แถลง: กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแก้ไข รธน. ที่มา ส.ว.
- การตรวจสอบอาจารย์และผู้บริหารมหาวิทยาลัย
- แถลงการณ์นิติราษฎร์ เรื่องคำวินิจฉัยศาลรธน.กรณีแก้ไขรธน.เรื่องที่มาสว.
- วรเจตน์ ภาคีรัตน์
- เสวนา: การปฏิรูปการเมืองและประชาธิปไตยในอนาคต ก้าวหน้าหรือถอยหลัง?
- ห่วงผู้ป่วยข้างถนนได้รับผลกระทบจากการชุมนุมบนถนนราชดำเนิน
- นิติราษฎร์ชี้คำวินิจฉัยศาลรธน.ไม่มีผลทางกฎหมาย ร่างแก้ไข รธน.ยังสมบูรณ์
- สหภาพแรงงานฯ ค้าน บ.จอร์จี้ ออกระเบียบ ‘กองทุนชื่นชม’ ระบุละเมิดสิทธิคนงาน
- สมาคมนักข่าวเปิดศูนย์ประสานงานสื่อ 24-26 พ.ย. ห่วงความปลอดภัยนักข่าว
- 32 องค์กรออกแถลงการณ์ค้านรัฐบาลแห่งชาติ เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
นิติราษฎร์แถลง: กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแก้ไข รธน. ที่มา ส.ว. Posted: 23 Nov 2013 01:11 PM PST การอภิปรายโดยวรเจตน์ ภาคีรีตน์ ในการแถลงข่าวคณะนิติราษฎร์กรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา เมื่อ 23 พ.ย 2556
การอภิปรายโดยปิยบุตร แสงกนกกุล ในการแถลงข่าวคณะนิติราษฎร์กรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา เมื่อ 23 พ.ย. 2556 การอภิปรายโดยจันทจิรา เปี่ยมมยุรา ในการแถลงข่าวคณะนิติราษฎร์กรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา เมื่อ 23 พ.ย. 2556 นอกจากนี้เป็นการอภิปรายสรุปและตั้งข้อสังเกตโดยปิยบุตร แสงกนกกุล และวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ลงทะเบียนรับข่าวสารที่ http://youtube.com/user/PrachataiTV หรือ http://youtube.com/user/Prachatai
24 พ.ย. 2556 - เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ที่ห้องประกอบ หุตะสิงห์ อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ คณะนิติราษฎร์จัดงานแถลงข่าวเพื่อเสนอความคิดเห็นทางวิชาการ ต่อกรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2556 ศาลธรรมนูญมีคำวินิจฉัยกรณีรัฐสภาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา โดยคณะนิติราษฎร์เห็นว่า "คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่มีบทบัญญัติใดในรัฐธรรมนูญให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบควบคุมกระบวนการตลอดจนเนื้อหาของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ การที่ศาลรัฐธรรมนูญเข้าตรวจสอบควบคุมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้งๆ ที่ปราศจากอำนาจตามรัฐธรรมนูญแต่กลับสถาปนาอำนาจดังกล่าวขึ้นมาเอง จึงเป็นการขยายแดนอำนาจของตนออกไปจนกลายเป็นองค์กรที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญและอยู่เหนือองค์กรทั้งปวงของรัฐ มีผลเป็นการทำลายหลักนิติรัฐประชาธิปไตยลง จนก่อให้เกิดสภาวการณ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุดเด็ดขาด" "แม้คณะนิติราษฎร์เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณาคดีดังกล่าวนี้ก็ตาม แต่โดยเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญได้แสดงทัศนคติทางการเมืองผ่าน "คำวินิจฉัย" ต่อสาธารณชน ซึ่งเนื้อหาใน "คำวินิจฉัย" อาจก่อให้เกิดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องจนส่งผลร้ายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้ จึงจำเป็นที่คณะนิติราษฎร์ต้องจัดแถลงข่าวเพื่อเสนอความเห็นทางวิชาการต่อ "คำวินิจฉัย" ดังกล่าว" ส่วนหนึ่งของประกาศจากคณะนิติราษฎร์ระบุ ทั้งนี้ในการแถลงข่าว วรเจตน์ ภาคีรัตน์ หนึ่งในนักวิชาการคณะนิติราษฎร์กล่าวในการแถลงว่า ผลของการวินิจฉัยมาตรา 68 ของศาลรัฐธรรมนูญ กลายเป็นการสถาปนาอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาเอง มีการตีความอย่างกว้างขวาง ไม่ชอบด้วยหลักการตรวจสอบถ่วงดุล และไม่ชอบด้วยหลักการจัดโครงสร้างรัฐ ถ้าปล่อยให้การตีความมาตรา 68 ของศาลรัฐธรรมเป็นแบบนี้ก็เป็นการปล่อยให้เขตอำนาจขยายไปเรื่อย เชื่อว่าจะมีคนมาร้องศาลรัฐธรรมนูญตลอดเวลา เพราะมีคนพร้อมจะทำเช่นนั้นอยู่แล้วในทุกเรื่อง ศาลจะมีอำนาจในการรับคดีต่างๆ มาพิจารณาคดีเต็มไปหมด กลายเป็น "ซูเปอร์องค์กร" เป็นองค์กรที่อยู่เหนือองค์กรทั้งปวง และศาลนั้นแม้จะเกิดจากรัฐธรรมนูญ แต่โดยผลของการใช้กฎหมายแบบนี้จะกลับเป็นคนที่ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญเอง มันจะเกิดสภาพวิปลาส ผิดเพี้ยนไปหมด มีผลรุนแรงทำลายหลักนิติรัฐและประชาธิปไตยลง ส่งผลให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุดเด็ดขาด โดยความร้ายแรงแบบนี้เองที่ทำให้เราต้องยืนยันว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนี้เสียเปล่าและไม่มีผลทางกฎหมาย จันทจิรา เอี่ยมมยุรา ได้วิจารณ์ในส่วนของคำวินิจฉัยของศาลในเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยศาลชี้ว่าจะทำให้เกิดการไม่สมดุล เป็นสภาญาติพี่น้อง สภาครอบครัวหรือสภาผัวเมียทำให้สูญสิ้นสถานะและศักยภาพแห่งการเป็นสติปัญญาให้กับสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทำลายสาระสำคัญของการมีสองสภา "ศาลเข้ามาใช้อำนาจชี้นำการกำหนดโครงสร้างทางการเมืองเป็นกรณีที่ศาลกระทำสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของศาลและการมีวุฒิสภาในประเทศอื่นในโลกที่เป็นประชาธิปไตยก็ล้วนมาจากการเลือกตั้งการที่ศาลอ้างว่าไม่เป็นประชาธิปไตยก็ขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตย" "ส่วนการมีเจตจำนงให้วุฒิสภามาจากการแต่งตั้งเป็นการถาวรตลอดไปก็ต้องเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 291" ปิยบุตร แสงกนกกุล กล่าวตอนหนึ่งว่า การพยายามมาแตะเรื่องเนื้อหาเพราะว่าการแก้ไข ส.ว. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเป็นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครองที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อวางหลักไว้ว่าจะไม่มีใครสามารถมาเสนอเรื่องแบบนี้ได้อีกแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญกำลังขยายแดนของบทบัญญัติที่ห้ามแก้ไขออกไปเรื่อยๆ ทั้งที่ตามรธน.มีแค่ 2 เรื่องเท่านั้นที่แก้ไม่ได้ คือการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเรื่องรูปของรัฐ ถ้าเห็นด้วยกับ ส.ว. แต่งตั้งก็ไปร่วมรณรงค์กับเสียงข้างน้อยเพื่อโน้มน้าวให้เสียงข้างมากเห็นด้วย ไม่ใช่เอาทัศนคติตัวเองไปลงไว้ในคำวินิจฉัย ซึ่งปิยบุตรย้ำอีกครั้งส่า ส.ว. แต่งตั้งเป็นมรดกตกทอดจากการรัฐประหาร ทั้งนี้วรเจตน์ปิดท้ายการแถลงข่าวโดยสรุปว่า หลังจากนี้อาจจะมีข้อโต้แย้งว่า แม้คำวินิจฉัยจะมีปัญหาร้ายแรงตามที่วิพากษ์วิจารณ์มา แต่หากไม่ทำตาม ไม่ยอมรับ บ้านเมืองก็ไม่มีขื่อไม่มีแป จะทำอย่างไรกันต่อไป "เราจะยอมถูกกดขี่โดยคำวินิจฉัยไปชั่วกัลปาวสานหรือ นี่มันไม่ใช่หลักนิติธรรม ไม่ใช่หลักประชาธิปไตย" วรเจตน์กล่าวพร้อมระบว่าอาจมีคนอ้างมาตรา 206 วรรค 5 ว่าผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้มีผลผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร แต่วรเจตน์เห็นว่ากรณีนี้โมฆะ เนื่องจากคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญจะมีผลเป็นเด็ดขาดไม่ได้ เพราะเป็นคำวินิจฉัยที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตย นิติรัฐ นิติธรรม และไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญเอง ในทางกฎหมายต้องถือเป็นโมฆะ บังคับองค์กรของรัฐไม่ได้ แต่ถามว่าจะเกิดวิกฤตไหม เกิดวิกฤตแน่นอน ในส่วนของผลทางกฎหมาย คำวินิจฉัยนี้ไม่ได้บอกว่าต้องทำอะไร ระหว่างนี้มีคนบอกว่าร่างรัฐธรรมนูญ นี้ตกไปแล้ว แต่ถามว่าตกไปจากไหน ตอบไม่ได้ กระบวนการขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ไปแล้ว ซึ่งในคำวินิจฉัยของศาลก็ไม่ได้บอกว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้ตกไป เพราะเขาไม่มีอำนาจจะบอกได้ ขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการรอลงพระปรมาภิไธย จะสั่งกษัตริย์ให้ไม่ลงพระปรมาภิไธยก็ไม่ได้ มาตรา 68 ก็ไม่ได้ให้อำนาจไว้ เป็นการชี้ว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยไม่มีอำนาจ ดังนั้นขณะนี้ร่างรัฐธรรมนูญ ยังมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายทุกประการ และหากกษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยก็นำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ถ้าไม่ทรงวงพระปรมาภิไธย ก็ถือว่าทรงใช้อำนาจวีโต้ สภาก็ต้องมาปรึกษากัน ถ้าลงมติยืนยันไม่ถึง 2 ใน 3 ก็ตกไป แต่ถ้าลงคะแนนถึง 2 ใน 3 ก็ต้องยืนยันทูลเกล้าฯ อีกครั้ง และครั้งนี้หากพ้น 60 วันก็ประกาศเป็นกฎหมายต่อไปได้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
การตรวจสอบอาจารย์และผู้บริหารมหาวิทยาลัย Posted: 23 Nov 2013 10:05 AM PST
ปรากฏการณ์การออกโรงต่อต้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมของบรรดาคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยหลายแห่งในเมืองไทย โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการศึกษา คือ ตัวของอธิการบดี ซึ่งออกมาแสดงเหตุผลของการไม่เห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวในแง่ของการไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมเนื่องจากผลของพ.ร.บ.ฉบับเดียวกันนี้จะทำให้มีการปล่อยตัว "คนกระทำผิด" จากการคอรัปชั่นให้ลอยนวล โดยเฉพาะ "คนกระทำผิด" ซึ่งเป็นนักการเมือง อาชีพที่โดนข้อกล่าวหาจากบรรดาอาจารย์ผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยในเรื่องการคอรัปชั่นมากที่สุด
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
แถลงการณ์นิติราษฎร์ เรื่องคำวินิจฉัยศาลรธน.กรณีแก้ไขรธน.เรื่องที่มาสว. Posted: 23 Nov 2013 07:00 AM PST แถลงนิติราษฎร์ชี้ ศาลรธน. ไม่มีอำนาจวินิจฉัย วิพากษ์ลายละเอียดของคำวินิจฉัยละเมิดรัฐธรรมนูญเสียเอง ไม่อิงหลักกฎหมาย ขยายเขตอำนาจตามอำเภอใจ อ้างหลักนิติธรรมเลื่อนลอย
แถลงการณ์คณะนิติราษฎร์ |
Posted: 23 Nov 2013 06:55 AM PST "..มันไม่มีหลักนิติธรรมที่ไหนในโลกนี้ ที่บอกว่าศาลต้องเอาเสียงข้างน้อยบรรลุผลให้ได้ แล้วขัดขวางเสียงข้างมาก มันไม่มี การทำอย่างนี้ในสุดท้ายจึงมีผลช่วยเสียงข้างน้อยทำลายเจตจำนงของเสียงข้างมาก รังแกเสียงข้างมาก และทำให้เสียงข้างมากต่างหากไม่มีที่อยู่ที่ยืน การกระทำแบบนี้ต่างหากที่ในที่สุดจะมีผลเป็นการสถาปนาเผด็จการของเสียงข้างน้อยในที่สุด.." 23 พ.ย.56, ตัวแทนกลุ่มนิติราษฎร์แถลงวิพากษ์คำวินิจฉัยของศาล รธน.กรณีร่างแก้ไขเพิ่มเติม รธน.ประเด็นที่มาของ ส.ว. |
เสวนา: การปฏิรูปการเมืองและประชาธิปไตยในอนาคต ก้าวหน้าหรือถอยหลัง? Posted: 23 Nov 2013 06:44 AM PST เสวนาครบรอบ 40 ปี สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน กุลลดา เกดบุญชู มี้ด มองย้อนเหตุการณ์ 14 ตุลา ที่ชนชั้นนำยังมีอำนาจมากในโครงสร้างสังคม ในขณะที่ประจักษ์ ก้องกีรติเสนอปฏิรูปการเมืองครั้งที่สอง เพื่อสร้างกติกาอยู่ร่วมกันและหลีกเลี่ยงความรุนแรง 23 พฤศจิกายน 2556 เวลา 14.00 น. ที่สำนักกลางนักเรียนคริสเตียน เนื่องในวาระครบรอบ 40 ปี สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) ได้มีการจัดงานรำลึกและงานอภิปรายทางวิชาการในหัวข้อ "การปฏิรูปทางการเมืองและทิศทางประชาธิปไตยไทยในอนาคต ก้าวหน้าหรือถอยหลัง" โดยมีวิทยากรได้แก่ กุลลดา เกษบุญชู มีด จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ จากสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ จุฬาฯ ประจักษ์ ก้องกีรติ จากคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และอเนก นาคะบุตร นักพัฒนาสังคมและประธานติดตามผลการดำเนินงานของกสทช. กุลลดา เกษบุญชู มีด เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา โดยชี้ว่า ความเปลี่ยนแปลงในเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 ที่ต่อมานำไปสู่การลาออกของรัฐบาลทหารถนอม-ประภาส มีปัจจัยและพลังอื่นๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องนอกเหนือจากพลังของนศ.ประชาชนอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน ที่สำคัญ คือความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นนำเองที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง กุลลดากล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงก่อน 14 ตุลาว่า ก่อนช่วงสงครามเย็น สถาบันพระมหากษัตริย์มีอำนาจน้อยมาก แต่เมื่อถึงช่วงสงครามเย็น ด้วยกระแสต้านภัยคอมมิวนิสต์ ทำให้สถาบันกษัตริย์และกองทัพมีอำนาจเพิ่มขึ้นมาก โดยได้รับการช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้เสถียรภาพทางของผู้นำทางการเมืองเปลี่ยนไปด้วยในแต่ละช่วง และในช่วง 14 ต.ค. นี้เอง ที่เริ่มเกิดการก่อตัวของผู้นำทหารที่ไม่พอใจการนำของจอมพลถนอมและประภาส เอกสารทางการทูตของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ได้เปิดเผยว่า ความรุนแรงในเหตุการณ์ 14 ต.ค. เกิดขึ้นมาจากการออกคำสั่งของกฤษณ์ สีวะรา ซึ่งเป็นฝ่ายทหารที่อยู่คนละฝั่งกับจอมพลถนอมและประภาส เพื่อสร้างความรุนแรงและเป็นเงื่อนไขเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาล จึงจะเห็นว่า เหตุการณ์ 14 ต.ค. ถูกขับเคลื่อนด้วยการรวมตัวกันชั่วคราวของกลุ่มพลังที่มีความไม่พอใจต่อถนอม-ประภาส และจะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะพลังประชาธิปไตยจากนศ. ประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเพราะความขัดเเย้งทางชนชั้นนำและผู้นำทางการเมืองที่เป็นปัจจัยสำคัญ "แม้แต่พวกนักศึกษาเองยังแปลกใจว่า ทำไมถึงกับเปลี่ยนรัฐบาลได้ มาก็มามือเปล่า ไม่ได้มีอาวุธอะไร" กุลลดากล่าว เธอได้เปรียบเทียบกับการเมืองในปัจจุบัน โดยชี้ให้เห็นว่า โครงสร้างอำนาจในสังคม ยังคงตกอยู่ที่กลุ่มชนชั้นนำทางการเมือง แต่มิได้อยู่กับประชาชนอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ซึ่งมองว่า การชุมนุมของขบวนการประชาชนที่ผ่านมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะมีพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงได้มากพอ ที่ผ่านมา คนที่อยู่เบื้องหลังจะเป็นผู้ตัดสิน คือต้องมี "กำลังภายใน" บางอย่างที่จะเป็นจุดเปลี่ยนได้ เขาวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยที่ผ่านมาที่สำคัญๆ ได้แก่ 1. สถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ขึ้นมามีอำนาจในช่วงสงครามเย็น ด้วยการสนับสนุนของสหรัฐ ซึ่งต้องการป้องกันประเทศไทยให้พ้นจากภัยคอมมิวนิสต์ในอินโดจีน 2. กระแสการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลกที่ทำให้ชนชั้นนำของไทยปฏิเสธกระแสเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงได้ยาก 3. พลังของการกระจายตัว ที่ทำให้การผูกขาดอำนาจเป็นไปได้ยากขึ้น ทั้งนี้มาจากการพัฒนาเทคโนโลยีและคมนาคมที่เข้าถึงคนได้มากขึ้น รวมถึงการเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน ก็ทำให้ประชาชนหันมาสนใจเรื่องปัญหาสังคมการเมืองมากขึ้น ฐิตินันท์ยังมองว่า ในตอนนี้ การรัฐประหารน่าจะเกิดขึ้นได้ยากแล้ว ถึงแม้ว่าจะทำก็คงทำด้วยภาวะสองจิตสองใจมากขึ้น เขาเล่าว่า หลังการรัฐประหารในปี 49 หนึ่งถึงสองปี มีทหารได้มาปรึกษากับตนว่าหากทำรัฐประหารไปแล้ว จะเกิดผลอย่างไรบ้างโดยเฉพาะปฏิกิริยาจากต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายทหารเองก็กลัวผลทางด้านลบจากต่างประเทศและทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก เขาสรุปว่า ปัญหาที่ยังใหญ่ที่สุดในสังคมไทย คือทัศนคติที่มองว่าความเป็นคนยังไม่เท่ากัน ยังมีความคิดที่ว่าหากคนมีการศึกษาน้อยกว่า เป็นชาวนา หรือกรรมกร ไม่ควรมีสิทธิมีเสียงเท่ากับคนที่เรียนมาสูงกว่า ซึ่งเขามองว่า สำหรับประเทศไทย คงจะใช้เวลาอีกสิบกว่าปีจนกว่าจะไปถึงจุดที่คนมองว่าคนมีสิทธิและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ในขณะที่อเนก นาคะบุตร นักพัฒนาด้านสิทธิชุมชน และประธานคณะผู้เชี่ยวชาญ คณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานของกสทช. มองว่า ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา ภาคประชาชนมีความเข้มแข็งมากขึ้น จะเห็นจากการขับเคลื่อนเพื่อต่อต้านโลกาภิวัฒน์หรือกระแสทุนนิยม และชูเรื่องของความเข้มแข็งของชุมชนและการปกครองตนเอง การจัดการสิทธิประชาธิปไตยของตนเอง ซึ่งจะเป็นทางออกและข้อเสนอต่อไปอีกสิบปีข้างหน้า ผ่านการตั้งมหาวิทยาลัยภูมิปัญญาท้องถิ่นซึ่งตอนนี้จัดตั้งได้ 80 ห้องเรียนทั่วประเทศ เขายังเสนอเรื่องของการกระจายอำนาจ ที่ผลักดันผ่านพ.ร.บ. การปกครองตนเอง เพื่อลดการผูกขาดอำนาจจากส่วนกลางและการผูกขาดจากกลุ่มทุน โดยที่ผ่านมาได้รณรงค์และขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวสามภาคแล้ว ได้แก่ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคเหนือ ประจักษ์ ก้องกีรติ เสนอว่า ในขณะที่สังคมไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน หมายถึงช่วงที่ระเบียบอำนาจเก่าค่อยๆ หมดไป และระเบียบอำนาจใหม่ขึ้นมา แม้ระเบียบอำนาจใหม่จะยังไม่ชัดเจนนัก สังคมไทยจำเป็นต้องหากติการ่วมกันที่จะสามารถให้ทุกฝ่ายอยู่ด้วยกันได้โดยหลีกเลี่ยงความรุนแรง โดยนอกเหนือไปจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านรวมถึงมวลชนแล้ว ผู้ที่เป็นผู้วางกรอบกติกาตรงกลาง ก็จำเป็นต้องรักษากติกาให้เป็นธรรมด้วย เช่น คำตัดสินของศาลเมื่อสัปดาห์ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ศาลได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง และกลายเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายค้านรัฐบาลไปแล้ว ในทางรูปธรรม เขาเสนอเรื่องการปฏิรูปการเมืองครั้งที่สอง คล้ายกับในช่วงปี 2540 ที่ให้ทุกภาคส่วนของสังคมเข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด เพื่อร่วมสร้างกติกาการอยู่ร่วมกัน และต้องไม่ใช่การปฏิรูปที่ทำจากรัฐบาลซึ่งผู้ที่มีส่วนร่วมก็เป็นไปอย่างจำกัดเท่านั้น "ในที่สุดแล้ว ชนชั้นนำก็ต้องรู้ว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 จะใช้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ เพราะคุณไม่สามารถใช้รัฐธรรมนูญที่มีคนถึง 12-13 ล้านคนไม่ยอมรับได้" เขากล่าว และเสริมว่า เช่นเดียวกับการพยายามผ่านร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรมเหมาเข่งของพรรคเพื่อไทย ที่มีคนจำนวนมากคัดค้าน ก็แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลจำเป็นต้องฟังเสียงของประชาชนให้มากที่สุด ประจักษ์มองว่า แม้การเลือกตั้ง หรือระบบวุฒิสภา จะมีปัญหาอย่างที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เช่นเรื่องของการซื้อเสียง เรื่องสภาผัวเมีย แต่แทนที่จะยุบทิ้งไม่เอาการเลือกตั้ง หรือให้ตัวแทนในสภามาจากการแต่งตั้ง ควรจะมองเรื่องการพัฒนาระบบและปรับปรุงให้กระบวนการเป็นธรรมและโปร่งใสมากขึ้น ไม่ใช่เสนอให้กลับไปสู่สิ่งที่ล้าหลังกว่าที่เป็นอยู่ เช่นในเรื่องของการแก้ไขที่มาของส.ว. แทนที่จะกำหนดให้ส.ว. ต้องมาจากการแต่งตั้ง อาจสามารถปรับปรุงได้ด้วยการศึกษาตัวอย่างในต่างประเทศว่า มีการกำหนดเขตเลือกตั้งส.ว. อย่างไร ที่สามารถสะท้อนผลประโยชน์ของกลุ่มคนที่ต่างออกไปจากฐานเสียงของส.ส. ซึ่งน่าจะเป็นการพัฒนาที่ตัวระบบและโครงสร้าง มากกว่าการแก้ไขปัญหาด้วยการมองที่กลุ่มบุคคลเพียงอย่างเดียว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ห่วงผู้ป่วยข้างถนนได้รับผลกระทบจากการชุมนุมบนถนนราชดำเนิน Posted: 23 Nov 2013 03:18 AM PST
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
นิติราษฎร์ชี้คำวินิจฉัยศาลรธน.ไม่มีผลทางกฎหมาย ร่างแก้ไข รธน.ยังสมบูรณ์ Posted: 23 Nov 2013 02:28 AM PST อ่านแถลงการณ์ฉบับเต็มของนิติราษฎร์ เรื่องคำวินิจฉัยศาลรธน.กรณีแก้ไขรธน.เรื่องที่มาสว. 23 พ.ย.2556 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มนิติราษฎร์จัดแถลงข่าววิพากษ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของ ส.ว. ที่มีคำวินิจฉัยไปเมื่อ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา การแถลงข่าวครั้งนี้ได้รับความสนใจจากสื่อมวลขนและประชาชนเป็นจำนวนมาก (คลิกที่นี่เพื่อชมคลิปการแถลงข่าว) ช่วยเสียงข้างน้อยทำลายเจตนารมณ์ของเสียงข้างมากวรเจตน์ ภาคีรัตน์ เริ่มการแถลงข่าว ระบุว่า นิติราษฎร์เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีความผิดพลาดร้ายแรงในแง่ของเขตอำนาจของศาลตลอดจนความบกพร่องในการวินิจฉัย ซึ่งศาลชี้ว่าร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมีความบกพร่องทั้งในแง่เทคนิค คือ เนื่องจากมีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน รวมถึงกรณีความบกพร่องทางเนื้อหา สำหรับเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญนั้น วรเจตน์ชี้ว่า นี่เป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่ถ้าทำให้ความเข้าใจถ่องแล้วก็ไม่ต้องวิเคราะห์เรื่องอื่นต่อไปอีก ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญไม่ได้เกิดขึ้นมาเองด้วยตัวเอง ไม่ได้เกิดจากกฎหมายธรรมชาติหรือเทศบัญญัติหรือกฎหมายอื่นใด ถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญก็ไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐธรรมนูญก่อตั้งศาลขึ้นมาก็กำหนดอำนาจหน้าที่ขึ้นมา บุคคลที่ทรงอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือรัฐสภา เวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญจะทำงานหรือตัดสินคดีไม่สามารถตัดสินคดีได้ตามอำเภอใจ เช่นมีคนฆ่าคนตาย ฝ่ายของคนที่ถูกฆ่าตายก็ไปร้องให้ศาลวินิจฉัยโดยเชื่อว่าศาลจะทรงความยุติธรรมเหนือกว่าศาลอื่นใด ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าศาลรับตัดสินก็ไม่มีผลทางกฎหมาย ศาลมีเขตอำนาจจำกัดตามที่รธน. และการดูเรื่องขอบเขตอำนาจเป็นเรื่องต้องทำก่อนการวินิจฉัยคดี สิ่งที่ทำเมื่อวันที่ 20 พ.ย. คือศาลไม่ได้วินิจฉัยว่าตัวเองมีอำนาจวินิจฉัย แต่ไปอ้างหลักการเสียงข้างน้อยมาใช้ ฟังดูอาจจะเคลิ้มแต่ถ้าเราคิดและตรึกตรองดูให้ดีแล้วจะพบว่าการอ้างหลักการคุ้มครองเสียงข้างน้อยมีความคลาดเคลื่อนหลายประการ นิติราษฎร์เห็นว่าสาระสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยคือเสียงของประชาชน และประชาชนนั้นมีจำนานมาก และมีความคิดความเห็นต่างกัน หากต้องหาเจตจำนงของประชาชนให้ยุติโดยความเห็นพ้องอย่างเอกฉันท์นั้นเป็นไปไม่ได้ จึงต้องใช้หลักเสียงข้างมาก แต่ก็ต้องมีหลักการคุ้มครองเสียงข้างน้อยเพื่อให้ข้อยุติจากเสียงข้างมากเป็นไปอย่างมีเหตุผล แต่การคุ้มครองเสียงข้างน้อยไม่ใช่การยอมทำตามเสียงข้างน้อย แต่เปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยได้แสดงความเห็น เพื่อโน้มน้าวให้เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยเพื่อจะเป็นเสียงข้างมากในวันหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทั้งๆ ที่เป็นหลักการที่สำคัญ ศาลของรัฐธรรมนูญไม่ได้มีหน้าที่ในการทำให้เสียงข้างน้อยบรรลุเป้าหมาย เพราะศาลรธน. ไม่ใช่ผู้แทนของเสียงข้างน้อย ผู้แทนของเสียงข้างน้อยคือฝ่ายค้านในสภา แต่ศาลรธน.เป็นคนกลางที่ทำหน้าที่วินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญสรุปลงอย่างง่ายๆ ว่าเสียงข้างน้อยไม่มีที่อยู่ที่ยืน แต่ไม่มีข้อเท็จจริงใดๆ ที่สนับสนุนว่าเสียงข้างน้อยในประเทศนี้ไม่มีที่อยู่ที่ยืนอย่างไร ไม่มีที่บอกว่าทุกวันนี้ไม่มีกลไกการตรวจสอบเสียงข้างมาก ตราบที่มีศาลรัฐธรรมนูญมันยังมีกลไกตรวจสอบ ยังมีมติสาธารณะ มีคอลัมนิสต์มีการแสดงความเห็นที่ทำให้เห็นว่าเสียงข้างน้อยมีที่อยู่ที่ยืน สำหรับการแก้ไขที่มา ส.ว.เสียงข้างน้อยที่ไมเห็นด้วยกับเสียงข้างมากที่ลงคะแนนไปแล้วก็ควรจะไปรณรงค์ใช้เหตุผลโน้มน้าวใจคนอื่นให้เห็นด้วย ไม่ใช่การบังคับข่มขืนใจคนอื่นให้เห็นด้วยได้ ศาลรธน. สมควรต้องตระหนักและสำนึกว่าการออกแบบโครงสร้างการเมืองว่าควรอย่างไร เป็นเรื่องของประชาชนและองค์กรทางการเมืองคือ รัฐสภา เพราะบุคคลเหล่านี้มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย ไม่ใช่หน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะมาบอกว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่เป็นหน้าที่ของประชาชนร่วมกับองค์กรทางการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญได้อ้างหลักนิติธรรมขึ้นในหลายแห่งของคำวินิจฉัย ฟังดูดีแต่พอดูรายละเอียดจะพบว่าเป็นการอ้างที่เลื่อนลอย การอ้างอย่างนี้โดยผลของคำวินิจฉัยนี้ก็คือการควบคุมขัดขวางเสียงข้างมากเพื่อให้ความต้องการของเสียงข้างน้อยบรรลุผล การทำอย่างนี้สุดท้ายเป็นการช่วยให้เสียงข้างน้อยทำลายเจตนารมณ์ของเสียงข้างมาก และทำให้เสียงข้างมากต่างหากที่ไม่มีที่อยู่ที่ยืน เป็นการสนับสนุนเผด็จการเสียงข้างน้อยในที่สุด ตัดสินไม่มีผลทางกฎหมายวรเจตน์กล่าวว่า อารัมภบทที่ศาลรธน. พูดมายืดยาว ไม่เข้าข้อกฎหมาย เมื่อพิจารณาตามมาตรา 68 ทุกคนก็เห็นว่าไม่ค่อยมีที่ใช้โดยปกติ เว้นแต่ปัจเจกบุคคลหรือพรรคการเมืองกระทำการเข้าองค์ประกอบ ซึ่งไม่ใช่กรณีที่เกิดขึ้น ตัวบทของมาตรา 68 พูดเรื่อง "สิทธิเสรีภาพ" ว่าบุคคลจะใช้สิทธิเสรีภาพไปในทางล้มล้างการปกครองหรือให้ได้มาซึ่งอำนาจอันไม่เป็นไปถามวิถีทางที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญไม่ได้ จะไปแปลว่าเป็นเรื่อง "อำนาจ" ได้อย่างไร เรื่องทีเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบุคคลหรือพรรคการเมืองด้วย แต่เป็นเรื่องของสมาชิกรัฐสภาที่มีอำนาจ แต่คำวินิจฉัยของศาลนั้นปะปนกันไปหมดระหว่างการใช้สิทธิเสรีภาพกับการใช้อำนาจหน้าที่ และนักกฎหมายหลายคนก็ออกมาพูดว่าสิทธิเสรีภาพก็คืออำนาจ "เดี๋ยวนี้คนเขามีสติปัญญาที่จะคิดได้ว่าที่คุณพูดมามันมั่ว" นอกจากนี้วรเจตน์ยังตั้งข้อสังเกตว่า ในคำวินิจฉัยนั้นศาลอ้างเรื่องการไปตรวจสอบถ่วงดุลองค์กรอื่นๆ แต่กลับไม่มีการถ่วงดุลตัวเอง "ศาลถ่วงดุลคนอื่นหมดเลย แล้วใครถ่วงดุลท่าน" วรเจตน์ตั้งคำถาม คนที่ไม่ทำตามขั้นตอนที่รธน.กำหนดไว้แน่ๆ ก็คือศาลรธน.เอง เพราะรธน.กำหนดให้ไปยื่นเรื่องที่อัยการสูงสุดก่อนเพื่อกลั่นกรอง แต่นี่เสียงข้างน้อยที่โหวตแพ้ไปยื่นเรื่องต่อศาลรธน.โดยตรงและศาลก็รับไว้พิจารณา เป็นการไม่เคารพขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ไม่จำเป็นต้องเรียนกฎหมายก็รู้ ผลของการวินิจฉัยมาตรา 68 เป็นการสถาปนาอำนาจของศาลรธน.ขึ้นมาเอง ตีความอย่างกว้างขวาง ไม่ชอบด้วยหลักการตรวจสอบถ่วงดุล และไม่ชอบด้วยหลักการจัดโครงสร้างรัฐ ถ้าปล่อยให้การตีความมาตรา 68 ของศาลรัฐธรรมเป็นแบบนี้ก็เป็นการปล่อยให้เขตอำนาจขยายไปเรื่อย เชื่อว่าจะมีคนมาร้องศาลรัฐธรรมนูญตลอดเวลา เพราะมีคนพร้อมจะทำเช่นนั้นอยู่แล้วในทุกเรื่อง ศาลจะมีอำนาจในการรับคดีต่างๆ มาพิจารณาคดีเต็มไปหมด กลายเป็น "ซูเปอร์องค์กร" เป็นองค์กรที่อยู่เหนือองค์กรทั้งปวง และศาลนั้นแม้จะเกิดจากรัฐธรรมนูญ แต่โดยผลของการใช้กฎหมายแบบนี้จะกลับเป็นคนที่ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญเอง มันจะเกิดสภาพวิปลาส ผิดเพี้ยนไปหมด มีผลรุนแรงทำลายหลักนิติรัฐและประชาธิปไตยลง ส่งผลให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุดเด็ดขาด โดยความร้ายแรงแบบนี้เองที่ทำให้เราต้องยืนยันว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนี้เสียเปล่าและไม่มีผลทางกฎหมาย
เวลาจะล้มเรื่องใหญ่ๆ มักอ้างกระบวนการไม่ชอบปิยบุตร แสงกนกกุล วิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลรธน.ที่วินิจฉัยข้อบกพร่องในกระบวนการ โดยอธิบายว่าเวลาเขียนตอบข้อสอบกฎหมาย ต้องเอาประเด็นมาวาง เอาหลักกฎหมายมาวางแล้วเอาข้อเท็จจริงมาวินิจฉัย แล้วปรับใช้ แต่จากคำวินิจฉัยของศาลนั้นไม่ใช่การอ้างหลักกฎหมาย เป็นการพรรณนาความไปเรื่อยๆ แล้วพอจะลากเข้าหาเขตอำนาจ ก็ไปอ้างเอาหลักนิติธรรมตามมาตรา 3 วรรค 2 ของรธน.เพื่อจะบอกว่ากำลังทำตามรัฐธรรมนูญอยู่ ซึ่งจริงๆ รธน.กำหนดให้ทุกองค์กรทำไปตามหลักนิติธรรมซึ่งต้องรวมตัวศาลรัฐธรรมนูญด้วย "ท่านเทศนา สั่งสอนประณามฝ่ายการเมืองลงไปในคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษา แต่ไม่ใช่เหตุผลที่จะเอามาตัดสินคดี ในระบบกฎหมายเขียนแบบนี้ไม่ได้ ไม่ใช่การใช้เหตุผลในทางกฎหมาย" องค์คณะมีปัญหาประเด็นองค์คณะ นิติราษฎร์ยืนยันว่าไม่เห็นด้วยว่าศาลมีอำนาจวินิจฉัยคดีนี้ และเมื่อมาพิจารณาในแง่องค์คณะ เวลาที่รับคำร้อง ไม่มีนายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ์ ซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งและโปรดเกล้าฯ ภายหลัง แต่ท้ายสุดกลับมาลงคะแนนเสียงในการวินิจฉัย ซึ่งตามหลักแล้วทำไม่ได้ สาระสำคัญของเรื่องนี้คือ คู่ความต้องรู้ล่วงหน้าว่าใครจะมีตัดสินคดีเขา ถ้าไม่ไว้วางใจ คู่กรณีจะได้มีโอกาสในการร้องคัดค้านองค์คณะ ประเด็นต่อมาคือ ถ้าองค์คณะรับฟ้องมี 7 คนแล้วมาตัดสิน 9 คน ถ้ามีการเปิดโอกาสแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันจะเปิดโอกาสให้เติม-ลดองค์คณะได้เรื่อยๆ ซึ่งมีผลต่อการนับเสียงในการวินิจฉัย โดยปิยบุตรย้ำว่าองค์คณะที่รับเรื่องไปจนตัดสินวินิจฉัยต้องเป็นองค์คณะเดิมเป็นจำนวนเดิมและเป็นคนเดียวกัน เว้นแต่กรณีตาย หรือถูกร้องค้าน ประเด็นถัดมา องค์คณะต้องเป็นกลางและปราศจากอคติ แต่ทัศนคติของนายจรัญ ภักดีธนากุล ซึ่งได้เคยแสดงความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อย่างยิ่งต่อการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาแบบเลือกตั้งแล้วในอดีต ในการอภิปรายเรื่องส.ว.สรรหา ในสสร.50 หากให้นายจรัญวินิจฉัยคดีนี้ก็ชัดเจนว่าเขาจะไม่สนับสนุน ส.ว. เลือกตั้ง ปิยบุตรเห็นว่านี่เป็นกรณีที่นายจรัญต้องถอนตัว ทำไมเราต้องใส่ใจคำวินิจฉัยนี้ คำตอบคือเพราะศาลได้อ่านออกสาธารณะจนทำให้สาธารณชนได้เข้าใจว่าเรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง เพราะสภาก็ทำผิดจริง แม้ว่าศาลจะไม่มีอำนาจ ปิยบุตรโต้แย้งว่ากระบวนการต่างๆ ที่ศาลวินิจฉัยว่าไม่ชอบนั้น ไม่จริงเลย ทั้งประเด็นร่างแก้ไขเพิ่มเติมเป็นคนละร่างกับร่างฯ ที่เสนอ ประเด็นการนับวันในการเสนอคำแปรญัตติซึ่งศาลเห็นว่าให้เวลาฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเสนอคำแปรญัตติแค่ 1 วัน ซึ่งน้อยเกินไป รวมไปถึงประเด็นการเสียบบัตรแทนกัน กระบวนการไม่ชอบจริงหรือประเด็นแรก เรื่องร่างฯ วันที่ยื่นกับร่างฯ วันที่แก้ เป็นคนละร่างฯ กันนั้นเป็นความจริง แต่ไม่ส่งผลเสียหายใดๆ ตามกระบวนการขั้นตอนเพราะวันที่เริ่มเข้าสู่กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติม ก็ให้โอกาสในการพิจารณาร่างฯ ฉบับที่มีการแก้ไขในวันนั้นเหมือนๆ กัน สมาชิกรัฐสภาทุกท่านที่ได้รับแจกร่างฯ ที่มีการแก้ไขแล้วทั้งหมด นี่ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะส่งผลร้ายถึงกับจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้มีความบกพร่อง ประเด็นนับวันเสนอการแปรญัตติ ที่ศาลเห็นว่าเหลือเวลา 1 วันเท่านั้นศาลชี้ว่าขัดข้อบังคับ ปรากฏว่าข้อบังคับการประชุมรัฐสภา 2553 ข้อ 96 กำหนดให้แปรญัตติภายใน15 วันนับจากวันรับหลักการในวาระ 1 เว้นแต่รัฐสภาเห็นเป็นอย่างอื่น ซึ่งต้องลงมติว่าจะเปลี่ยนจาก 15 เป็นกี่วัน ข้อเท็จจริงคือประธานรัฐสภาถาม ก็มีคนเสนอขอ 60 วัน แต่ปรากฏว่าเมื่อจะโหวตองค์ประชุมกลับไม่ครบ จึงกลับไปสู่หลักเดิมคือ 15 วัน "ปัญหาคือ 14 วันก่อนหน้านั้นทำไมท่านไม่มาเสนอคำแปรญัตติ พอมาเหลือ 1 วัน ท่านมาขอขยายเวลาเป็น 60 วัน" ความร้ายแรงของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่อ้างว่าการนับเวลาย้อนหลังไปจะทำให้เหลือเวลาแปรญัตติเพียง 1 วันขัดข้อบังคับการประชุมและขัดกับหลักนิติธรรม แต่กลับไม่มีข้อบังคับข้อไหนเลยที่ศาลจะนำมาอ้าง เพราะไม่มีข้อบังคับไหนกำหนดให้นับวันแบบศาลรัฐธรรมนูญบอก หมายความว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นนี้โดยไม่มีกฎหมาย คนที่เป็นศาลจะต้องตัดสินคดีด้วยความยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมาย ไม่ใช่ตัดสินตามความรู้สึก ไม่ใช่สร้างกฎหมายขึ้นมาเอง โดยเขายกเอารธน. มาตรา 197 มาอ้าง ประเด็นต่อมา คือ การตัดไม่ให้สมาชิกอภิปรายในวาระ 2 ซึ่งมีคนแปรญัตติ 57 คน ถูกตัดสิทธิอภิปรายเพราะทำผิดข้อบังคับเนื่องจากเหลือวันอภิปรายเพียง 1 วัน แต่ศาลได้วินิจฉัยว่าเป็นการกลั่นแกล้ง ปิยบุตรชี้ว่าประเด็นนี้ศาลได้ทิ้งเชื้อไว้ ทำให้กระบวนการนิติบัญญัติในประเทศไทยมีปัญหาในอนาคต ต่อไปกฎหมายฉบับที่สำคัญๆ พรรคฝ่ายค้านจะขอแปรญัตติเป็นร้อยๆ คนเมื่อใกล้กำหนดเวลา และหากจะโดนตัดสิทธิอภิปรายก็จะหยิบยกคำวินิจฉัยนี้ขึ้นมาอ้าง ประเด็นต่อมาคือเรื่องการเสียบบัตรแทนกัน ศาลมีอำนาจในการไต่สวนแสวงหาข้อเท็จจริงได้ด้วยตนเองตามคำร้อง มีการเสียบบัตร 8 ใบ ต่อให้จริง มติเห็นชอบในการแก้ไขรธน.นั้นกระทบกระเทือนหรือไม ข้อเท็จจริงคือมันไม่ได้ส่งผลกระทบกระเทือนต่อการลงมติตอนจบ จะเอาเรื่องเสียบบัตรแทนมาล้มมติไม่ได้ และถ้ามีการเสียบบัตรแทนกันจริงซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้องก็ต้องไปลงโทษคนที่เสียบบัตรแทนกัน ไม่ใช่มาล้มร่างฯ ฉบับนี้ เพราะถ้าจะใช้วิธีนี้ก็จะเกิดการกลั่นแกล้งกันต่อไป เช่น ต่อไปฝ่ายข้างน้อยก็อาจจะใช้การเสียบบัตรแทนกันเพื่อทำลายมติในตอนหลัง อย่างไรก็ตาม หากประเด็นเสียบบัตรแทนจะมีผลล้มมติ ต้องเป็นการเสียบบัตรจำนวนมากๆ ต่างกับกรณีนายทวีเกียรติเพราะศาลรัฐธรรมนูญมีองค์คณะจำนวนน้อย "เวลาศาลจะล้มเรื่องใหญ่ๆ ศาลจะใช้เรื่องกระบวนการ" ปิยบุตรตั้งข้อสังเกตโดยยกกรณีการเพิกถอนการเลือกตั้งเพราะหันคูหาออก ซึ่งเขาชี้ว่ากระบวนการนั้นเป็นเรื่องผิดพลาดได้ในการทำงาน หากจะมีผลต่อผลลัพธ์ต้องเป็นกรณีที่หากบกพร่องแล้วผลลัพธ์จะเปลี่ยน ชี้นำการกำหนดโครงสร้างทางการเมือง ไม่ใช่หน้าที่ของศาลจันทจิรา เอี่ยมมยุรา วิจารณ์ในส่วนของคำวินิจฉัยของศาลในเนื้อหาของร่างแก้ไขรธน.โดยศาลชี้ว่าจะทำให้เกิดการไม่สมดุล เป็นสภาญาติพี่น้อง สภาครอบครัวหรือสภาผัวเมียทำให้สูญสิ้นสถานะและศักยภาพแห่งการเป็นสติปัญญาให้กับสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทำลายสาระสำคัญของการมีสองสภา ศาลเข้ามาใช้อำนาจชี้นำการกำหนดโครงสร้างทางการเมืองเป็นกรณีที่ศาลกระทำสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของศาลและการมีวุฒิสภาในประเทศอื่นในโลกที่เป็นประชาธิปไตยก็ล้วนมาจากการเลือกตั้งการที่ศาลอ้างว่าไม่เป็นประชาธิปไตยก็ขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตย ส่วนการมีเจตจำนงให้วุฒิสภามาจากการแต่งตั้งเป็นการถาวรตลอดไปก็ต้องเขียนไวในรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ปิยบุตรกล่าวเสริมว่า การพยายามมาแตะเรื่องเนื้อหาเพราะว่าการแก้ไขส.ว. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเป็นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครองที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อวางหลักไว้ว่าจะไม่มีใครสามารถมาเสนอเรื่องแบบนี้ได้อีกแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญกำลังขยายแดนของบทบัญญัติที่ห้ามแก้ไขออกไปเรื่อยๆ ทั้งที่ตามรธน.มีแค่ 2 เรื่องเท่านั้นที่แก้ไม่ได้ คือการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเรื่องรูปของรัฐ ถ้าเห็นด้วยกับ ส.ว. แต่งตั้งก็ไปร่วมรณรงค์กับเสียงข้างน้อยเพื่อโน้มน้าวให้เสียงข้างมากเห็นด้วย ไม่ใช่เอาทัศนคติตัวเองไปลงไว้ในคำวินิจฉัย ซึ่งปิยบุตรย้ำอีกครั้งส่า ส.ว. แต่งตั้งเป็นมรดกตกทอดจากการรัฐประหาร ถ้ายอมรับคำวินิจฉัย ต้องอยู่กับ รธน. 2550 ชั่วกัลปาวสานวรเจตน์ ปิดท้ายการแถลงข่าวโดยสรุปว่า หลังจากนี้อาจจะมีข้อโต้แย้งว่า แม้คำวินิจฉัยจะมีปัญหาร้ายแรงตามที่วิพากษ์วิจารณ์มา แต่หากไม่ทำตาม ไม่ยอมรับ บ้านเมืองก็ไม่มีขื่อไม่มีแป จะทำอย่างไรกันต่อไป "เราจะยอมถูกกดขี่โดยคำวินิจฉัยไปชั่วกัลปาวสานหรือ นี่มันไม่ใช่หลักนิติธรรม ไม่ใช่หลักประชาธิปไตย" วรเจตน์กล่าวพร้อมระบว่าอาจมีคนอ้างมาตรา 206 วรรค 5 ว่าผลการวินิจฉัยของศาลรธน. ให้มีผลผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร แต่วรเจตน์เห็นว่ากรณีนี้โมฆะ เนื่องจากคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญจะมีผลเป็นเด็ดขาดไม่ได้ เพราะเป็นคำวินิจฉัยที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตย นิติรัฐ นิติธรรม และไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญเอง ในทางกฎหมายต้องถือเป็นโมฆะ บังคับองค์กรของรัฐไม่ได้ แต่ถามว่าจะเกิดวิกฤตไหม เกิดวิกฤตแน่นอน ในส่วนของผลทางกฎหมาย คำวินิจฉัยนี้ไม่ได้บอกว่าต้องทำอะไร ระหว่างนี้มีคนบอกว่าร่างรธน. นี้ตกไปแล้ว แต่ถามว่าตกไปจากไหน ตอบไม่ได้ กระบวนการขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ไปแล้ว ซึ่งในคำวินิจฉัยของศาลก็ไม่ได้บอกว่าร่างรธน.นี้ตกไป เพราะเขาไม่มีอำนาจจะบอกได้ ขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการรอลงพระปรมาภิไธย จะสั่งกษัตริย์ให้ไม่ลงพระปรมาภิไธยก็ไม่ได้ มาตรา 68 ก็ไม่ได้ให้อำนาจไว้ เป็นการชี้ว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยไม่มีอำนาจ ดังนั้นขณะนี้ร่างรธน. ยังมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายทุกประการ และหากกษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยก็นำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ถ้าไม่ทรงวงพระปรมาภิไธย ก็ถือว่าทรงใช้อำนาจวีโต้ สภาก็ต้องมาปรึกษากัน ถ้าลงมติยืนยันไม่ถึง 2 ใน 3 ก็ตกไป แต่ถ้าลงคะแนนถึง 2 ใน 3 ก็ต้องยืนยันทูลเกล้าฯ อีกครั้ง และครั้งนี้หากพ้น 60 วันก็ประกาศเป็นกฎหมายต่อไปได้ "ไม่มีหลักกฎหมายที่บอกให้นายถอนร่างฯ ดังกล่าวออกหลังจากที่ทูลเกล้าฯ ไปแล้ว" ผลทางการเมืองของคำวินิจฉัย ปัญหาตอนนี้ถ้าองค์กรที่เกี่ยวข้องหงอ ยอม เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายของบ้านเมือง ผลคือสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการกระทบต่อระบอบประชาธิปไตย กระทบกับหลักการแบ่งแยกอำนาจ รัฐสภาจะไม่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามเจตจำนงของประชาชนได้อีก และจะต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 ไปตลอดกัลปาวสาน และศาลรัฐธรรมนูญก็จะเป็นองค์กรที่ีอำนาจสูงสุด ประเทศไทยกลายเป็นรัฐตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ถ้ายังคงยอมรับผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เขาชี้ว่าคำวินิจฉัยนี้ไม่มีผลในทางแก้วิกฤตความขัดแย้งระหว่างเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อย ซ้ำยังสร้างวิกฤตของหลักนิติรัฐด้วย วรเจตน์ชี้ว่าหลังจากนี้สภาต้องประชุมกันลงมติว่าคำวินิจฉัยนี้ไม่มีผลผูกพันสภา จึงจะเป็นทางออกได้ บีบให้เกิดการปะทะกันของขั้วทางสังคม และหากมีปัญหาต่อไปภายภาคหน้า ศาลรัฐธรรมนูญต้องรับผิดชอบต่อคำวินิจฉัยวันที่ 20 พ.ย. 2556 "ผมพูดจากใจให้รัฐบาลไทยไปให้สัตยาบันในอนุสัญญาศาลอาญาระหว่างประเทศได้แล้ว เพราะถ้าวันข้างหน้าการพูดจากันทำไม่ได้อีกแล้วในสังคมนี้ อย่างน้อยการใช้กำลังทหารมาทำความรุนแรงกับประชาชนจะได้ไปในระดับระหว่างประเทศ คนที่จะเอาทหารออกมาจะได้คิด แล้วนี่น่าจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำในระยะเวลาอันไม่ช้าไม่นานมานี้" ศาลรัฐธรรมนูญเริ่มเป็นองค์กรที่อันตรายที่สุดในประเทศธีระ สุธีวรางกูร สมาชิกกลุ่มนิติราษฎร์แสดงความเห็นส่วนตัวในช่วงท้ายของการแถลงข่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญเริ่มเป็นองค์กรที่อันตรายที่สุดในประเทศไทย เพราะเริ่มมีสถานะเป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุด และตามคำวินิจฉัย 20 พ.ย. 2556 ศาลกำลังวางเกณฑ์ที่ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในอันตราย ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะปกปักรักษาโครงสร้างของระบบการเมืองแบบเดิมๆ เอาไว้ไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนผ่าน อีกประการหนึ่งจากที่ศาลบอกว่ารัฐสภาไม่สามารถไปแก้ไขรัฐธรรมนูญลดอำนาจการตรวจสอบของตัว เป็นการแสดงให้เห็นงว่าศาลไม่ยอมให้มีการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อลดอำนาจของตัวเอง นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าศาลไม่ยอมให้แก้ไขยุบองค์กรของตัวเอง เขากล่าวว่าความเข้าใจของนายถาวร เสนเนียม ที่เข้าใจว่าศาลรัฐธรรมนูญอยู่เหนืออำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิดจากหลักการ แต่ถูกต้องในความเป็นจริง อันตรายอยู่ตรงที่ว่าเมื่อสังคมไทยต้องการเปลี่ยนแปลงในระบบปกติ เมื่อระบบปติทำไม่ได้ประชาชนจะใช้วิธีการที่ไม่ปกติ และการเปลี่ยนผ่านจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งจึงเปลี่ยนได้ยาก โดยท้ายที่สุดเขาได้เรียกร้องความรับผิดชอบจากคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในสังคมไทยต่อการใช้อำนาจบาทใหญ่ในสังคมมากขึ้นทุกวันของศาลรัฐธรรมนูญ "ถ้าท่านไม่สู้ ผมก็จะอยู่บ้านเลี้ยงลุก แต่ถ้าท่านสู้ ผมก็จะสู้ร่วมกับท่าน" ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สหภาพแรงงานฯ ค้าน บ.จอร์จี้ ออกระเบียบ ‘กองทุนชื่นชม’ ระบุละเมิดสิทธิคนงาน Posted: 23 Nov 2013 12:24 AM PST สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอและตัดเย็บเสื้อผ้าสัมพันธ์ส่งจดหมายถึงนายจ้างค้านประกาศเรื่องกองทุนชื่นชมมาติดที่บอร์ดของบริษัทฯ ระบุละเมิดสิทธิคนงานในการลาออกด้วยโดยกำหนดว่าคนงานต้องลาออกจากงานล่วงหน้ามากกว่าที่กฎหมายกำหนด
23 พ.ย. 2556 - สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอและตัดเย็บเสื้อผ้าสัมพันธ์ ได้เปิดเผยว่าทางสหภาพแรงงานฯ ได้ทำจดหมายถึงผู้บริหารบริษัทจอร์จี้ แอนดฺ ลู คือ Mr.Sebastian Sirios และ Mr.Steve Falkiner (และทำสำเนาถึง สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่) โดยระบุว่าเนื่องด้วยเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2556 ทางบริษัทจอร์จี้ แอนด์ ลู จำกัด ได้นำประกาศเรื่องกองทุนชื่นชมมาติดที่บอร์ดของบริษัทฯ โดยมีข้อความสำคัญคือ ในกรณีที่มีการจ่ายค่าชดเชยทางบริษัทจะไม่มีการจ่ายเงินกองทุนชื่นชม และทางบริษัทจะไม่จ่ายกองทุนชื่นชม ในกรณีที่พนักงานได้รับใบเตือนมากกว่า 2 ครั้ง ในช่วง 6 เดือนย้อนหลัง ซึ่งสหภาพแรงงานขอคัดค้านประกาศดังกล่าว ในประเด็นดังนี้ 1. ประกาศฉบับนี้นำมาติดประกาศในบอร์ดของบริษัทเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 นี้เอง ดังนั้นถึงแม้ในประกาศ จะบอกว่า ออกมาเมื่อเดือนกันยายนปี 2553 ก็ไม่สามารถรับฟังได้ว่าเป็นประกาศที่ออกมาก่อน และประกาศฉบับนี้ไม่มีคนลงลายมือชื่อเป็นตัวแทนของบริษัทฯ เลย ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นประกาศของบริษัทฯ 2. กองทุนชื่นชมที่ผ่านมาเมื่อคนงานใช้สิทธิไม่เคยมีเงื่อนไขเหล่านี้ ดังนั้นการที่ประกาศฉบับนี้กำหนดเงื่อนไขดังที่กล่าวมาจึงเป็นการละเมิดสิทธิคนงาน มาสามารถใช้ได้ 3. กองทุนชื่นชมนั้น คนงานทุกคนได้มาจากการปฏิบัติตามเงื่อนไขของบริษัทฯ คือ ไม่ขาด ลา มาสาย ตลอดทั้งเดือน ดังนั้นจึงถือว่ากองทุนนี้เป็นเงินที่คนงานได้ทำงานทุ่มเทให้กับบริษัทฯ ตลอดทั้งเดือน จึงได้เงินนี้มา เพียงแต่บริษัทฯ ยังไม่จ่ายให้คนงานเท่านั้น แต่ถือว่าเป็นคนของคนงานแล้ว ดังนั้นเมื่อคนงานลาออก หรือบริษัทฯ เลิกจ้าง บริษัทฯ ก็ต้องจ่ายให้กับคนงานทุกคนที่ได้รับกองทุนชื่นชม และ 4. ประกาศฉบับนี้มีการละเมิดสิทธิคนงานในการลาออกด้วยโดยกำหนดว่าคนงานต้องลาออกจากงานล่วงหน้ามากกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยสหภาพแรงงานฯ จึงขอให้บริษัทฯ ยกเลิกประกาศฉบับนี้ และจ่ายเงินกองทุนให้กับคนงานทุกคนที่ลาออก หรือถูกเลิกจ้างโดยได้รับเงินชดเชย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สมาคมนักข่าวเปิดศูนย์ประสานงานสื่อ 24-26 พ.ย. ห่วงความปลอดภัยนักข่าว Posted: 22 Nov 2013 11:42 PM PST 23 พ.ย. 2556 - สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเปิดเผยว่าเนื่องด้วยวันที่ 24-26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 จะมีการชุมนุมของกลุ่มประชาชนต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อแสดงความเห็นทางการเมืองต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลได้เตรียมมาตรการในการดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างเรียบร้อยนั้น ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
32 องค์กรออกแถลงการณ์ค้านรัฐบาลแห่งชาติ เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ Posted: 22 Nov 2013 11:31 PM PST
23 พฤศจิกายน 2556 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น