ประชาไท | Prachatai3.info |
- นปช.ชุมนุมสนามกีฬาหัวหมาก-จตุพรอัด 'สุเทพ' ใช้เวลารวดเร็วฟอกตัวกลายเป็นคนดี
- 'สุเทพ' นัดดาวกระจาย 13 จุด ขอหยุด 'ระบอบทักษิณ' ภายใน 3 วัน
- สุเทพ เทือกสุบรรณ
- อ็อกฟอร์ดเผยมีเด็กเสียชีวิตมากกว่า 11,000 ในซีเรีย หลายร้อยถูกยิงด้วยสไนเปอร์
- เดินหน้าฟ้องศาลปกครอง 4 หน่วยงานรัฐละเลยหน้าที่ ปล่อยเหมืองทองเลยก่อมลพิษ
- ทีวีดาวเทียมให้พื้นที่ข่าวชุมนุมต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฯ มากกว่าข่าวในฟรีทีวี
- ศิษย์เก่า 1 อำเภอ 1 ทุนวอน ‘จาตุรนต์’ ยกเลิกเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำการสอบผ่านข้อเขียน
- สปสช.เพิ่มสิทธิประโยชน์รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว/มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ด้วยวิธีสเต็มเซลล์
- ไอซีทีเตือนการโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบัน
- องค์กรญี่ปุ่นชวนร่วมค้าน ‘ญี่ปุ่น’ ส่งออกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไป ‘ตุรกี’
- สุรพศ ทวีศักดิ์: หมิ่นฯ กษัตริย์ในอดีตผิด มาตรา 112
- จอห์น เอฟ เคนเนดี:ประธานาธิบดี เซ็กส์ อำนาจและความตาย
- สหภาพฯ เผย บ.จอร์จี้ จูงใจคนงานเปลี่ยนสัญญาจ้าง ด้านคนงานเริ่มยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมที่ สภ.อ. สันกำแพง
- รายงานเสวนา ‘จากสื่อ...สู่โศกนาฏกรรม’
- ‘สุเทพ’ลั่นเปลี่ยนแปลงประเทศ “ปกครองด้วยระบอบพระมหากษัตริย์ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง”
นปช.ชุมนุมสนามกีฬาหัวหมาก-จตุพรอัด 'สุเทพ' ใช้เวลารวดเร็วฟอกตัวกลายเป็นคนดี Posted: 24 Nov 2013 01:44 PM PST ธิดา ถาวรเศรษฐ ยันไม่จัดชุมนุมเผชิญหน้ากับผู้ชุมนุมราชดำเนิน จตุพร พรหมพันธ์ จวกประชาธิปัตย์นึกอะไรไม่ออกบอก 'โค่นระบอบทักษิณ' ทั้งที่หลัง 19 กันยา 49 รัฐบาลขิงแก่และประชาธิปัตย์ได้ตั้งรัฐบาลเป็นเวลารวมกันเกิน 4 ปี การชุมนุม นปช. เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2556 ที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน (ที่มา: เพจ Prachatai)
25 พ.ย. 2556 - ตามที่เมื่อวันที่ 23 พ.ย. แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง ได้นัดชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย. เวลา 18.00 น. ที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน โดยระบุว่าเพื่อปกป้องรัฐบาล โดยประกาศคำขวัญการชุมนุมว่า "รัฐถูกรัฐประหารโดยศาลรัฐธรรมนูญ" นั้น ล่าสุดแกนนำ นปช. ได้เริ่มปราศรัยตั้งแต่เวลา 18.00 น. อย่างไรก็ตามมีผู้ชุมนุมไม่เต็มความจุของที่นั่งภายในสนามกีฬาดังกล่าว และหนาแน่นอยู่บริเวณสนามหญ้าเท่านั้น ทั้งนี้ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. แถลงจุดยืนของ นปช. 4 ข้อว่า 1.ยืนยันว่าการเมืองการปกครองในประเทศไทยต้องเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัติย์เป็นประมุข 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา 3.นปช. ต่อสู้ด้วยสันติวิธี เพื่อปกป้องระบอบประชาธิปไตย และ 4.ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ โดยในเวลา 21.00 น. ประธาน นปช. ได้ปราศรัยตอนหนึ่งว่า วันนี้ต่อให้การชุมนุมที่นำโดยสุเทพ เทือกสุบรรณ เปิดตัวก่อน แต่นับอย่างไรก็ไม่ถึงล้าน ทั้งที่เตรียมการจัดการมาเป็นปี แต่ของเราใช้เวลาสามวัน แต่ไม่ว่าอย่างไรคนของเราก็ต้องมากกว่า ทั้งนี้ภาพที่มีการชุมนุมทั้งสองฝั่งเป็นจำนวนมาก ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ชาติไทย มีการชุมนุมสองฝั่งแต่ไม่เผชิญหน้าเพราะเราไม่คิดจะปะทะกับอีกฝ่ายที่เป็นประชาชนเหมือนกัน "เรามาอย่างสันติ ไม่มีการชุมนุมใดในโลกจัดในสนามกีฬา แต่เรายอมจัดเพราะเราไม่อยากให้เกิดการปะทะ มีการใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงว่าเผาบ้านเผาเมือง ล้มเจ้า และพยายามฟอกตัวเองให้เป็นวีรบุรุษ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามฆาตกรก็ต้องไปขึ้นศาลอยู่ดี ดังนั้นการที่ฆาตกรจะขึ้นมาเป็นผู้นำของประชาชนนั้นเป็นไปไม่ได้ " ธิดากล่าว ประธาน นปช. กล่าวว่า นปช. มีจุดยืนอยู่ที่ผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่นี่คือจุดยืนตลอดกาลของคนเสื้อแดง ส่วนเวทีราชดำเนินนั้นมีจุดยืนของกลุ่มชนชั้นนำ อนุรักษ์นิยม กลุ่มชนชั้นสูง ที่ล้าหลัง แต่ของเราอยู่ที่ประชาชน อยู่ที่คนใช้แรงงาน ผู้ยากไร้ นอกจากจะอยู่กับมวลชนพื้นฐาน เรายังคงมีจุดยืนอยู่กับประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งประเทศ ทางเขาอาจภาคภูมิใจที่มีชนชั้นนำ ปัญญาชน อยู่กับเขา แต่ นปช. มีความภาคภูมิใจที่ได้อยู่กับประชาชนรากหญ้า ในเวลา 22.20 น. จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำ นปช. ปราศรัยว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ บอกว่าหากรัฐบาลลาออก ยุบสภา ก็จะยังไม่หยุดเคลื่อนไหว การที่สุเทพบอกจะเดินทางไป 13 สาย ไปสามเหล่าทัพ ตำรวจ ที่ตั้งกระทรวงทบวงกรม สื่อมวลชน และประกาศให้ข้าราขการแข็งข้อนั้น อยากเรียนให้ประชาชนทราบว่านี่เป็นความหวังสุดท้ายของนายสุเทพ หากข้าราชการไม่เลือกที่จะฟังนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไปฟังคำสั่งของคนอื่น คุณก็ไม่ควรเป็นข้าราชการของประชาชนอีกต่อไป "การสั่งปิดล้อมและยึด หากจะยึดก็ปล่อยให้เขายึดไป แต่อยากเตือนคนที่ตามนายสุเทพไปขอให้รู้ไว้ว่าพร้อมที่จะถูกดำเนินคดีหรือไม่ เพราะคุณสุเทพเป็นผู้ต้องหาดำเนินคดีอยู่แล้ว" นายจตุพรกล่าว จตุพรกล่าวด้วยว่า ตอนนี้นักการเมืองขี้แพ้ทั้งหลายได้พยายามกวักมือเรียกทหารให้ออกมาทำรัฐประหาร หากคุณยึดอำนาจไป ไม่อาจจะคิดภาพได้ว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร วันนี้เป็นเรื่องการเมืองของพวกขี้แพ้กลุ่มเดิม นักวิชาการทุกคนคือคนหน้าเดิม คือพวกที่ไปเปิดประตูให้กับการรัฐประหาร และองค์กรอิสระ พอหมดเรื่องนิรโทษก็นำเรื่องเดิมมาพูดคือเรื่องระบอบทักษิณ เพราะพรรคประชาธิปปัตย์แพ้ครั้งแรก 1 เท่าตัว ครั้งที่ 2 แพ้ 4 เท่าตัว เลยอ้างว่าแพ้ระบอบทักษิณ ความจริงแล้วที่แพ้ไม่ใช่ระบอบทักษิณ แต่ที่แพ้เป็นเพราะไม่รู้และเข้าใจระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง หากอยากที่จะชนะก็ทำให้ประชาชนมาศรัทธา เชื่อและมั่นใจที่จะเลือก ไม่ใช่หวังพึ่งแต่รัฐประหาร หวังพึ่งตัวช่วย ทั้งเอาแบบรัฐประหารก็เอา เปิดประตูให้องค์กรอิสระก็เอา ขิงแก่เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งหนึ่ง อภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีในค่ายทหารก็หนหนึ่ง หลังรัฐประหารปี 2549 ฝ่ายคุณ ครองประเทศ 4 ปีเศษๆ มีอำนาจเบ็ดเสร็จ คุณยังทำลายระบอบทักษิณไม่สำเร็จ นึกอะไรไม่ออกบอกโค่นล้มระบอบทักษิณ ถ้าพวกผมนึกอะไรไม่ออกบ้าง นี่คือระบอบเทือกสุบรรณ ถึงเวลาต้องโค่นล้มแล้ว การเมืองก็ผูกขาด อาละวาดทุกที่ ต้องจัดการระบอบเทือกสุบรรณหรือไง แต่พวกเราไม่บ้าแบบนั้น เพราะระบอบเทือกสุบรรณไม่มีจริง แต่ที่สุเทพ เทือกสุบรรณสามารถขึ้นมาเป็นแกนนำ ก็เพราะแกนนำเหล่านั้นคือกลุ่มคนที่ต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาแล้วทั้งนั้น ในที่สุดแกนนำเหล่านั้นก็เลือกคนที่อัปลักษณ์ชั่วช้าที่สุดมานำ ทั้งนี้ถือว่ารัฐบาลนี้โชคดี พี่น้องเสื้อแดงโชคดีที่สุด การต่อสู้กับสุเทพ เทือกสุบรรณสบายที่สุด หันหลังชกก็ยังโดน เพราะเป็นนักการเมืองมีประวัติ คนไทยมีความชิงชัง มีความยี้กับสุเทพ เขาถูกดำเนินคดีเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น มีเรื่องที่เคยการปราบปรามประชาชน ทั้งนี้สุเทพ บอกว่าไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทยทุจริตการเลือกตั้ง แต่ผมไม่ลืมที่สุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องคำพิพากษาศาลให้ กกต. ไปดำเนินคดีข้อหาทุจริตการเลือกตั้งนายก อบจ. จ.สุราษฎร์ธานี เห็นหน้าสุเทพก็นึกถึง สปก.4-01 นึกถึงขวดน้ำมันปาล์ม นึกถึงโรงพัก นึกถึง 100 ศพ นี่หรือผู้นำที่ประกาศว่ายุบสภาก็ไม่ยอม ลาออกก็ไม่ยอม ส้นตีนล่ะเอาไหม ทั้งนี้คงคิดว่าถ้าขู่แบบนั้นนายกรัฐมนตรีคงตกใจกับมัน แต่คนไทยรู้เช่นเห็นชาติว่าสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นคนอย่างไร แต่บัดนี้สุเทพ ได้กลายเป็นคนดีแล้ว โดยใช้เวลาฟอกตัวเร็วที่สุด ทั้งที่เขาเป็นนักการเมืองที่เลวคนหนึ่ง และเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
'สุเทพ' นัดดาวกระจาย 13 จุด ขอหยุด 'ระบอบทักษิณ' ภายใน 3 วัน Posted: 24 Nov 2013 10:34 AM PST ผู้ชุมนุมมาตามนัด - ขยายเวทีเพิ่มถึงสนามหลวง 'สุเทพ เทือกสุบรรณ' อัดรัฐบาลปฏิเสธอำนาจศาล รธน. เท่ากับปฏิเสธรัฐธรรมนูญถือเป็นรัฐบาลที่โมฆะ และจะขอสู้เพื่อให้ลูกหลานมีชีวิตอยู่อย่างเสรีชนไม่ใช่เบี้ยล่างทรราชย์ ประกาศเคลื่อนขบวนเยี่ยมหน่วยราชการ-ทีวี 13 แห่ง และการต่อสู้จะจบภายใน 3 วัน สุเทพ เทือกสุบรรณ ทักทายผู้สนับสนุนบนเวทีโค่นล้มระบอบทักษิณ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน ที่มาของภาพ เพจสุเทพ เทือกสุบรรณ การปราศรัยของสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อคืนวันที่ 24 พ.ย. (ที่มา: Blue Sky Channel)
ในการชุมนุมโค่นล้มระบอบทักษิณ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน ซึ่งมีการนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 24 พ.ย. นั้น บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักมีการขยายพื้นที่ชุมนุมไปตั้งเวทีที่สี่แยกคอกวัว และสนามหลวง นอกจากนี้เมื่อวันที่ 23 พ.ย. กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) และ เครือข่ายนักศึกษาประชาชนเพื่อการปฏิรูปการเมือง (คปท.) ก็ประกาศร่วมเคลื่อนไหวอย่างเป็นเอกภาพกับผู้ชุมนุมที่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ประกาศตามหา 'สรยุทธ' ให้ช่อง 3 ขึ้น ฮ. รายงานข่าว สำหรับบรรยากาศการปราศรัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้น ช่วงหัวค่ำเมื่อเวลา 19.00 น. โฆษกบนเวทีได้ประกาศตามหาสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ว่า ควายหายตัวเดียวยังเอาเฮลิคอปเตอร์ตามได้ โดยเรียกร้องขอให้ผู้สื่อข่าวช่อง 3 และสรยุทธใช้เฮลิคอปเตอร์มาถ่ายทำการชุมนุมที่ ถ.ราชดำเนินบ้าง ต่อมา เวลา 19.10 น. พาเมล่า บุนนาค ได้ขึ้นปราศรัยเป็นภาษาอังกฤษ ระบุว่าผู้ชุมนุมไม่ได้มาเพราะถูกกะเกณฑ์ แต่มาจากทุกสาขาอาชีพ และเตือนให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รีบเดินทางออกจากประเทศ และกล่าวว่าทักษิณไม่ใช่คนไทยแล้วเป็นคนมอนเตรนิโกร และปัจจุบันทักษิณมีเงินมากพอ น่าจะพาคนเสื้อแดงไปอยู่มอนเตรนิโกรไปพัฒนามอนเตรนิโกร และไปประธานาธิบดีของมอนเตรนิโกร ส่วนประชาชนไทยยินดีจะอยู่ที่ประเทศไทยอย่างผาสุก และกรุณาปล่อยให้พวกเราอยู่ตามลำพัง
'สุเทพ' วอนผู้ชุมนุมอย่าล้อมรถถ่ายทอดสด เพราะพรุ่งนี้ก็จะไปเยี่ยมอยู่แล้ว เวลา 19.12 น. สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำการชุมนุม ขอขึ้นปราศรัยเพื่อชี้แจงหลังเกิดเหตุล้อมรถถ่ายทอดสดของช่อง 3 และช่อง 7 ที่แยกคอกวัว โดยเขาปราศรัยว่า มีเรื่องด่วนจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจกับพี่น้องทั้งหลาย ขอความร่วมมือจากพี่น้องที่มาชุมนุม กราบขอความกรุณาจากพี่น้อง และชี้แจงว่า "ได้มีพี่น้องเราไม่พอใจที่ทีวีช่องต่างๆ รายงานข่าวการต่อสู้ของพวกเราอย่างไม่เป็นธรรม พี่น้องเราไม่พอใจ ผมต้องเรียนกับพี่น้อง ผมเองก็ไม่พอใจ แต่พี่น้องที่รักทั้งหลายเราได้ตกลงแต่แรกแล้วว่าการต่อสู้ของเราครั้งนี้ เราจะสู้แบบคนดี พลเมืองดี เพราะฉะนั้นต้องยึดหลักการนี้ ผมจึงต้องขอความกรุณา ขอความร่วมมือจากพี่น้องทั้งหลาย เก็บความไม่พอใจเอาไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อนเดินไปเยี่ยมเขาที่สถานี" "วันนี้ให้โอกาสเขาอีกครั้ง ให้เขาทำหน้าที่ของเขา อย่าไล่พวกเขาออกไป ผมขอแค่นี้ พี่น้องให้ได้ไหมครับ ไล่รถถ่ายทอดสดช่อง 3 ไปคันหนึ่งแล้ว ผมขึ้นมาไม่ทัน แต่นี่กำลังจะไล่ช่อง 7 อีก ผมขอบิณฑบาตก็แล้วกัน ขอให้พี่น้องล้อมรถถ่ายทอดสดของช่อง 7 กรุณารับคำขอร้อง แล้วปล่อยให้เขาทำงานต่อไปคืนนี้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปคุยกับเขา"
วสิษฐ เดชกุญชร เชื่อเมื่อยกระดับการชุมนุม จะเห็นความร่วมมือจาก ปชช. กทม. ต่างจังหวัด ต่อมาเวลา 19.20 น. พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ได้ขึ้นเวทีปราศรัย พี่น้องคนไทยผู้ห่วง ผู้หวนแหนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ทั้งหลาย ตั้งใจว่าเป็น 1 ในล้านให้ได้ ออกจากบ้านที่ฝั่งธนเมื่อบ่ายสี่โมง ทุ่มหนึ่งเพิ่งมาถึงนี่ ตอนจะออกพ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ วสิษฐปราศรัยว่า การชุมนุมยกระดับมาเรื่อยๆ เมื่อแรกทีเดียวเราชุมนุมเพื่อคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรม ที่ทำให้อาชญากรตัวใหญ่ตัวเล็กพ้นความผิดหมด บัดนี้วัตถุประสงค์การชุมนุมเปลี่ยนไป เราคัดค้านกฎหมายฉบับนั้นอยู่ และเราคัดค้านบุคคลที่ผลักดันกฎหมายฉบับนั้น และกฎหมายฉบับอื่นนั่นคือ รัฐธรรมนูญของเรา ท่านจะเห็นแล้วว่าพรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รวมหัวกันเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้อำนาจ ให้ประโยชน์แก่ตัวเองให้มากยิ่งขึ้น เป็นการแก้ไขที่ไม่ต่างอะไรจากการลักหลับ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อ 20 พ.ย. ที่ผ่านมานี้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่แทนที่พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลจะฟังคำวินิจฉัยนั้นแล้วปฏิบัติตาม กลับแข็งข้อ เรากำลังชุมนุมแบบอารยะขัดขืน แต่การกระทำของเพื่อไทย รัฐบาล เป็นการต่อต้านแบบอนารยะขัดขืน ก็มีสภาพเหมือนกลุ่มโจรเท่านั้นเอง และไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องเชื่อถือทั้งพรรคและรัฐบาลต่อไปอีก เราได้ตกลงยึดมั่นกันแล้วในการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ อหิงสา แบบที่คุณสุเทพ พูดแล้วพูดอีก เพราะฉะนั้นไม่มีความจำเป็นอะไรที่เราจะใช้กำลังรุนแรง จำนวนกว่าล้านคน เพียงพอที่จะทำให้เสียงต่อต้านสงบ พรุ่งนี้ เมื่อได้ยกระดับการชุมนุมไปอีกแบบหนึ่งแล้ว จะได้เห็นความร่วมมือของพี่น้องในกรุงเทพ และต่างจังหวัดมากขึ้นๆ โดยหวังว่าอุปสรรคจะมีอยู่น้อย และเห็นข้าราชการร่วมมือร่วมใจมากกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้ ทั้งนี้ถ้ารัฐบาลยังอยู่ ถึงทักษิณยังอยู่ ยิ่งลักษณ์ยังอยู่ แต่ก็จะมีสภาพเหมือนศพที่คอยในหีบ เพื่อรอฌาปนกิจ
สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ความบกพร่องของ 14 ตุลา คือจัดการทหารไปแล้ว แต่ยังเหลือระบอบทักษิณ ต่อมา สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนักเรียนแห่งประเทศไทย (ศนท.) อดีตอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ระบุว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 มีมวลชนนับแสนมาลุกขึ้นสู้เผด็จการทหาร เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย และวันนี้วันที่ 24 พ.ย. 2556 เป็นวันที่ประชาชนทั่วแผ่นดินลบสถิติเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่แล้ว 14 ต.ค. มีนิสิตนักศึกษาหลานแสน แต่วันนี้พี่น้องประชาชนมาร่วมกันเป็นล้าน ความบกพร่องของ 14 ตุลาคม 2516 คือเรากำจัดเผด็จการทหารไปได้ แต่ที่เราต่อสู้กันอยู่วันนี้ เรากำลังเผชิญเผด็จการที่ยิ่งใหญ่กว่าระบอบทหาร คือเผด็จการระบอบทักษิณ ถ้าเราปล่อยให้ระบอบเผด็จการยังคงอยู่ วันนี้ผมยังต้องพูดกับพี่น้องประชาชนว่าเราสู้ ณ ถนนสายนี้ ถ้าเราไม่สามารถจัดการระบอบทักษิณได้ ลูกหลานจะเป็นทาสระบอบทักษิณ ซึ่งพวกเราไม่ยอม พวกเราจะต้องสู้ ต้องสู้ให้ได้ชัยชนะเด็ดขาด วันนี้จะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่มหาประชาชนนับล้านมาแสดงเจตจำนงค์แน่วแน่ พร้อมต่อสู้กำจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซาก การต่อสู้ในวันนี้ ไม่ใช่การต่อสู้ของพี่น้องประชาชนชาวไทยเท่านั้น ในทางวิชาการถือว่าเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ ประชาชนทั่วโลกต้องเรียนรู้จากเรา และจะนำชัยชนะถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
นิชาระบุมาชุมนุมเพื่อก้าวข้ามความกลัวไปให้ได้ และมาในฐานะภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า และเพราะรักในหลวง ในเวลาประมาณ 21.00 น. นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ผู้สูญเสีย พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม จากเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 กล่าวว่า วันนี้ที่ออกมาชุมนุมได้นึกถึงสามีที่จากไป บอกเขาว่า "พี่รู้ไหม พี่จากไปเกือบสี่ปีแล้ว เหตุการณ์ยังไม่จบ ต้องเดินออกมาสู้โดยลำพังโดยไม่มีเขา" ถามตัวเองว่ากลัวไหม เป็นผู้หญิงคนเดียวเดินออกมาคนเดียวย่อมมีภัยเกิดขึ้นได้ แต่เรากลัวไม่ได้แล้ว เราต้องข้ามความกลัวไปให้ได้ นี่คือชัยชนะของคืนวันที่ 24 พ.ย. เชื่อว่าทุกท่านที่มาในวันนี้มาด้วยแรงบันดาลใจที่ต่างกัน ดิฉันมายืนตรงนี้เพราะเป็นภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม นายทหารที่รักแผ่นดิน รักพระมหากษัตริย์ รักประชาชนชาวไทย 10 เมษายน 2553 เขาต้องพลีชีพที่นี่ด้วยเหตุการณ์การเมือง ใครก็ตามที่ใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ เขาไม่มีวันได้ชัยชนะ สี่ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าความรุนแรงไม่สามารถนำชัยชนะมาสู่ใคร ผู้ที่ใช้ความรุนแรงกับทหารกับประชาชนไม่ชนะ สิ่งเดียวที่จะชนะได้คือต้องชนะใจประชาชนเท่านั้น ชีวิตทหารที่ตายไปที่ถนนดินสอ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บาดเจ็บราวใบไม้ร่วง น้อยกว่าน้อยนักที่คนในรัฐบาลจะกล่าวถึง ไม่เคยมีใครให้คุณค่ากับทหารที่มารักษาความสงบในคืนวันนั้นเลย ทุกครั้งที่พูดเรื่องนิรโทษกรรมมันเสียใจ ช้ำใจ นายกรัฐมนตรีสอนให้ให้อภัย อยากบอกว่า ท่านไม่เคยสูญเสียคนที่ท่านรัก ท่านไม่มีสิทธิสอนดิฉันเรื่องการให้อภัย ดิฉันมามายืนบนนี้ในฐานะข้าราชการอีกฐานะหนึ่ง ข้าราชการที่มีสำนักมีหน้าที่ ไม่ยอมเป็นเครื่องมือนักการเมือง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นดิฉันจึงกล้าที่จะยืน และมาในฐานะคนไทยอีกหน้าที่หนึ่ง คนไทยที่ไม่สามารถจะเห็นบ้านเมืองนี้ย่อยยับอับจนไปต่อหน้าต่อตาในชั่วชีวิตเรา โดยที่เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย ขอเสียสละผู้มาทำหน้าที่ในฐานะคนไทย ที่วันนี้จะสามารถจะตอบบรรพบุรุษที่เสียเลือดเสียเนื้อให้บ้านเมืองของเรา นอกจากนี้การเดินมาในวันที่ 24 พ.ย. ในฐานะของลูกคนหนึ่งของพ่อหลวง อยากเป็น 1 ในล้านดวงใจ ณ ที่นี้ ถวายความจงรักภักดี ถวายของขวัญในวันเฉลิมพระชมนพรรษาที่จะมาถึงในเร็วๆ นี้ มาในฐานะของล้านดวงใจเพื่อจะบอกว่าเรารักในหลวงยิ่งชีวิต
สุเทพขึ้นเวทีระบุคนมาชุมนุมมากเป็นประวัติศาสตร์ โดยเมื่อเวลา 21.20 น. สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี และแกนนำการชุมนุมได้ขึ้นเวทีปราศรัย โดยสุเทพ ปราศรัยว่ามีคนชุมนุมมากเป็นประวัติศาสตร์ วันที่พวกผมประกาศว่า 24 พ.ย. เป็นวันที่เราหลอมดวงใจล้านดวงเข้าด้วยกัน วันที่เราประกาศเช่นนั้นมีคนปรามาสเราเยอะแยะ มีคนดูถูกว่าคนไทยทั้งหลายไม่มีวันที่จะกล้าแสดงตัวอย่างชัดเจนเป็นจำนวนมากขนาดนั้นหรอก เพื่อนร่วมชาติที่มายืนเคียงบ่าเคียงไหล่นั้นมากกว่าล้านคนแล้ว โดยออกมาชุมนุมเพราะทนเสียงหัวใจตัวเองไม่ได้ "คืนนี้ได้ปรากฏแก่สายตาว่าพี่น้องร่วมชาติลุกขึ้นมาเคียงบ่าเคียงไหล่พี่น้องที่รักชาติรักแผ่นดินมากกว่าล้านคน สนามหลวงคนเต็ม ถนนระหว่างสนามหลวงและศาลฎีกาคนแน่น รถมอเตอร์ไซต์วิ่งผ่านไม่ได้ คนล้นเข้าไปบนสะพานปิ่นเกล้า ที่สนามหลวงมีปัญหาการรับภาพ ผมจึงไปขึ้นเวทีสนามหลวงพูดคุยกับทุกคนระหว่างทางเดินมาเวทีนี้มีผู้รักชาติเต็มหมด จากถนนดินสอ ถึงศาลาว่าการ กทม. เดินไม่ได้ ลานคนเมือง ไม่มีจอไม่มีลำโพง แต่พี่น้องนั่งเต็มไปหมด แต่สื่อบางส่วนรายงานว่ามีผู้ชุมนุมประมาณ 4 หมื่นคน เหมือนกับที่นายณัฐวุฒิ นายจตุพร พูดที่ราชมังคลากีฬาสถาน" สุเทพ บรรยายจำนวนผู้ชุมนุม
ลั่นไม่กลัวระบอบทักษิณแล้ว ออกมาต่อสู้เพื่อให้ลูกหลานอยู่อย่างเสรีชน ไม่ตกเป็นเบี้ยล้างทรราชย์ สุเทพ ปราศรัยว่า มีข้าราชการตำรวจไม่กี่คนที่ขายวิญญาณแก่ระบอบทักษิณ ถึงได้ข่มขู่พวกเราทุกวัน ฝ่ายรัฐบาลทั้งนั้นที่ปล่อยข่าวว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธ ระวังจะเกิดเหตุร้าย ขู่ว่าอย่าออกมาเดี๋ยวจะเกิดเหตุร้าย เดี๋ยวจะบาดเจ็บ ล้มตาย มึงมาดูการขู่ของมึงสิว่าคืนนี้มาเท่าไหร่ และกล่าวว่า "ผมขอคารวะหัวใจของชาวไทยผู้รักชาติทุกท่าน" "วันนี้พี่น้องทั้งหลายได้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่า กูไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ไม่กลัวตำรวจ ไม่กลัวเสื้อแดง ไม่กลัวเสื้อดำ ไม่กลัวระบอบทักษิณ กลัวอย่างเดียว กลัวลูกหลานจะเป็นขี้ข้าของมัน ถ้าไม่สู้วันนี้ ที่เราออกมานั้นเราตัดสินใจกันเด็ดเดี่ยวแล้วว่าลูกเราหลานเรา จะต้องมีชีวิตอยู่ในประเทศไทยนี้อย่างเสรีชน ไม่ใช่อยู่เป็นเบี้ยล่างของรัฐบาลทรราชย์อีกต่อไป พอกันที ไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว เราได้ทนกับระบอบทักษิณ 10 กว่าปีแล้ว มันทำชาติเราย่อยยับหนักหนาแล้ว" หลังจากนั้นผู้ชุมนุมได้ร่วมกันตะโกนว่า "ออกไป ออกไป ออกไป" อย่างกึกก้อง ถ.ราชดำเนิน
จะไม่เลิกต่อสู้จนกว่าระบอบทักษิณจะหมดสิ้นไป ยุบสภา-ลาออกก็ไม่หยุด สุเทพปราศรัยต่อไปว่า "พี่น้องทั้งหลาย ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ที่คนไทย ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพทั้งที่เป็นนักเรียน นักศึกษาครูบาอาจารย์ ชาวไร่ ชาวนา ชาวกรุง และชาวต่างจังหวัด จะสามัคคีกันขนาดนี้ เมื่อมาถึงขั้นนี้ ขอเอาหัวใจของผม หัวใจคณะกรรมการแกนนำทุกคน ลงมาวางเคียงคู่กับหัวใจของพี่น้องทั้งล้านคน" "พี่น้องทั้งหลาย ณ มหาสมาคม เราจะไม่เลิกต่อสู้ จนกว่าระบอบทักษิณจะหมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย ออกมาเป็นล้านไม่หยุดแล้ว ยุบสภาก็ไม่หยุด ลาออกก็ไม่หยุด"
หวังปฏิรูปประเทศให้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแท้จริง "เราจะหยุดต่อเมื่อระบอบทักษิณหมดสิ้นไป จะได้สร้างประเทศไทยสำหรับลูกหลาน เปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้เป็นประเทศที่ปกครองด้วย 'ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริง' ไม่ให้พวกทรราชย์ นายทุนสามานอาศัยคราบประชาธิปไตยมากดขี่ เราจะต้องร่วมกัน สร้างเกราะ สร้างกติกา ไม่ให้ประเทศไทย เป็นประเทศของนักทุจริต คอรัปชั่นอีกต่อไปแล้ว เราจะต้องร่วมกัน กำหนดกฎเกณฑ์กติกาให้เสียงของประชาชน อธิปไตยของประชาชนเป็นจริง และทุกคนต้องฟังประชาชนใช่ไหมพี่น้อง" "พี่น้องเราเป็นพลเมืองดี ประกาศแต่ต้นต่อสู้ว่าเป็นสิทธิพลเมือง ปกป้องแผ่นดินนี้ ชาตินี้ และประกาศว่าจะต่อสู้อย่างสันติ สงบ ปราศจากอาวุธ อหิงสา และจะยืนยันอย่างนั้นอยู่ และตั้งแต่เราต่อสู้มา คืนนี้เป็นคืนที่ 25 ไม่เคยทำผิดกฎหมายเลยแม้แต่ข้อเดียว เพราะเป็นพลเมืองเลยไม่คิดเผาสมบัติใคร หรือปล้นใคร ไม่เหมือนไอ้พวกของรัฐบาลนี้ เราระมัดระวังการเคลื่อนไหวของมวลชน ทุกขั้นทุกตอน เราค่อยๆ ปรับความคิดให้มวลชนให้มีความคิดระดับเดียวกัน ทีละขั้นทีละตอน และเราหลีกเลี่ยงที่จะพามวลชนออกเดิน เพราะมวลชนของเรา แกนนำของเรา เป็นมือใหม่หัดขับกันทั้งสองฝ่าย"
นัดเคลื่อนขบวนไปสถานที่ราชการ - ให้ ขรก.หยุดปฏิบัติหน้าที่ แล้วระบอบทักษิณก็จะสิ้นสภาพ "ตั้งแต่เริ่มต่อสู้กันมา เราเดินขบวนวันเดียวเท่านั้นคือ 4 พ.ย. จากสามเสน มาไหว้พระแก้วมรกต ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพระบรมหาราชวัง แล้วประกาศปณิธานร่วมกันว่าการต่อสู้ของมวลมหาประชาชนคราวนี้สู้เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน เพื่อประชาชนเท่านั้น ไม่มีผลประโยชน์อื่น แล้วจึงมายึดถนนราชดำเนินเป็นที่มั่นในการต่อสู้ของเรา ไม่เคยยกขบวนไปที่ไหนเลย แต่คืนนี้ วันนี้ เราเห็นพ้องต้องกันแล้วว่าเป้าหมายของเราคือจัดการระบอบทักษิณ ฉะนั้นพรุ่งนี้เราจะเคลื่อนขบวน" "การที่จะให้ระบอบทักษิณล้มลงไปเอง สิ้นสภาพไปเอง ที่นุ่มนวลที่สุดก็คือถ้าข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร ปฏิเสธที่จะรับใช้ระบอบทักษิณต่อไป มันก็เป็นง่อยไปทั้งระบบ มันจบตรงแค่นั้น ต้องเก็บกระเป๋าหอบพี่หอบน้องหนีไปอยู่ดูไบแน่นอน" สุเทพกล่าวถึงวิธีจัดการระบอบทักษิณ และกล่าวต่อไปว่า
ชี้รัฐบาลไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ เท่ากับไม่ยอมรับ รธน. ถือเป็นรัฐบาลโมฆะ "ผมขอส่งเสียงนี้ ถึงบรรดาข้าราชการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร ท่านทั้งหลายเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเป็นข้าของประชาชน ผมพูดแทนคนล้านคน ว่าบัดนี้ คนล้านคนที่มาชุมนุมอยู่ที่นี่ เป็นตัวแทนอีก 14-15 ล้านคนที่อยู่ที่บ้าน และไม่ได้มา ทุกคนมีความเห็นอย่างเดียวกันแล้ว ว่าระบอบทักษิณเป็นพิษเป็นภัยที่ร้ายแรงของประเทศไทย ต้องขจัดไปให้หมด แล้วผมเรียนไปถึงพี่น้องข้าราชการทั้งหลาย ไม่ต้องหัวหมอกับประชาชน ไม่ต้องมาเถียงว่ารัฐบาลนี้เขายังชอบธรรมอยู่ ผมจะบอกให้ รัฐบาลนี้เป็นโมฆะตั้งแต่วันประกาศต่อต้านรัฐธรรมนูญแล้ว" "เมื่อพรรครัฐบาล ส.ส. ส.ว. รัฐบาล ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ออกมาปฏิเสธไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ นั่นคือการปฏิเสธรัฐธรรมนูญ ไม่เคารพกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นรัฐบาลต่อไปไม่ได้ บรรดาข้าราชการท่านต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ฝ่ายรัฐบาลที่เป็นโมฆะหรือฝ่ายประชาชน" สุเทพกล่าว
ประกาศเคลื่อนขบวน 13 จุดไปถามข้าราชการว่าจะอยู่ข้างใคร "ถ้าพวกผม ลุกขึ้นตั้งคำถามนี้ ถ้าท่านคิดไม่ได้ ตัดสินใจไม่ได้ พรุ่งนี้ประชาชนจะไปถาม พรุ่งนี้ถึงจะเป็นวันเดินขบวนจริงของพวกเรา ผู้รักชาติ รักแผ่นดิน เราจะเดินไปหาข้าราชการเหล่านั้น กระซิบถามอย่างสุภาพว่าท่านจะเลือกอยู่ข้างใคร จะเอาดอกไม้ไปให้ เอานกหวีดไปให้ ถามว่าจะอยู่กับยิ่งลักษณ์ หรือจะอยู่ในอ้อมใจประชาชน ถ้าข้าราชการเหล่านั้นทั้งประเทศตัดสินใจได้ ประกาศยืนข้างประชาชน ระบอบทักษิณก็ล้มทันที โดยสดุดี และโดยดุษฎี" นอกจากนี้ สุเทพกล่าวถึงสถานีโทรทัศน์ที่ผู้ชุมนุมจะไปเยี่ยมว่า "คุณจะเป็นสื่อมวลชนของประชาชน หรือสื่อมวลชนระบอบทักษิณกันแน่ พวกเราปวดหัวใจเหลือเกิน คนมาชุมนุมเป็นล้านวันนี้ มันไม่มีข่าวเลย มันกลัวคนทั้งประเทศรู้ว่าที่นี่มีคนล้านคน ขอประกาศให้เฉลิม ยิ่งลักษณ์ทราบด้วย ให้ขี้ข้าทราบด้วย พรุ่งนี้ขบวนมหาประชาชนจะแบ่งเป็น 13 เส้นทาง" ทั้งนี้ 13 เส้นทางประกอบด้วย 1.กองบัญชาการทหารสูงสุด ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ นำโดย สกลธี ภัททิยกุล 2. กองบัญชาการกองทัพอากาศ ดอนเมือง นำโดยวิทยา แก้วภราดัย 3.กองทัพบก แกนนำคือเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ 4.กองบัญชาการกองทัพเรือ นำโดยสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม 5.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำโดยพุฒิพงศ์ ปุณณกันต์ 6.กองบัญชาการตำรวจนครบาล นำโดยชุมพล จุลใส 7. ช่อง 3 นำโดยณัฐพล ทีปสุวรรณ 8. ช่อง 5 นำโดยอิสสระ สมชัย 9.ช่อง 7 นำโดยชาญวิทย์ วิภูศิริ 10.ช่อง MCOT นำโดยถนอม อ่อนเกตุพล 11.ช่อง 11 นำโดยนายถาวร เสนเนียม 12. กระทรวงมหาดไทย จะให้สมาชิก อบต.ที่มาร่วมชุมนุมไปทวงเงินกระทวงมหาดไทย และ 13.สำนักงบประมาณ จะไปบอกกับสำนักงบประมาณ และข้าราชการหยุดจ่ายเงินให้อีปูเอาไปผลาญได้แล้ว โดยขบวนที่ 13 สุเทพจะเป็นผู้นำไปเอง
จะให้เวลาข้าราชการและสื่อมวลชนตัดสินใจ 1 วัน และการต่อสู้จะต้องจบภายใน 3 วันนี้ สุเทพกล่าวด้วยว่า พรุ่งนี้เหนื่อยกันหน่อย จะเป็นการเดินขบวนครั้งสำคัญ ทั้งนี้มีคนท้วงติงเขามาก มีคนรักและเคารพเตือนผมว่า อย่าไปยุ่งกับสื่อมวลชนเดี๋ยวจะเสียคะแนน แต่ผมตัดสินใจแล้วไม่กลัวเสียคะแนน เพราะกล้าลาออกจาก ส.ส.มาต่อสู้ไม่รู้จะได้กลับไปหรือไม่ ประโยชน์ของชาติ ประโยชน์ของประชาชนต้องมาก่อนตัวเอง เราจะไปแบบสุภาพชน เราจะเดินแบบสันติ สงบ อหิงสา เดินไปร้องเพลงไป ไปชวนข้าราชการ โดยการต่อสู้ต้องจบภายใน 3 วันนี้ ถ้าข้าราชการสื่อมวลชนยังสมัครใจรับใช้ระบอบทักษิณ รับใช้รัฐบาลที่เป็นโมฆะ เราจะตัดสินใจภายคืนวันที่ 26 พ.ย. เป็นอะไรก็เป็นกันให้มันรู้ไป ไม่มีเวลามายื้อ บ้านเมืองยับเยินมาพอแล้ว หลังจากเดินไป 13 เส้นทางแล้ว เราจะกลับมาประเมินสถานการณ์ที่นี่ ให้เวลาข้าราชการและสื่อมวลชนตัดสินใจ 1 วัน จากนั้นจะพิจารณาจะตัดสินใจอย่างไรต่อไป ทั้งนี้มีการนัดหมายว่าในเวลา 8.30 น. จะมีการจัดขบวนและแยกย้ายออกมาจาก ถ.ราชดำเนิน โดยคาดว่าจะไปถึงแต่ละสถานที่ในเวลา 10.30 น. ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
Posted: 24 Nov 2013 09:46 AM PST "เมื่อพรรครัฐบาล ส.ส. ส.ว. รัฐบาล ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ออกมาปฏิเสธไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ นั่นคือการปฏิเสธรัฐธรรมนูญ ไม่เคารพกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นรัฐบาลต่อไปไม่ได้ บรรดาข้าราชการท่านต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ฝ่ายรัฐบาลที่เป็นโมฆะหรือฝ่ายประชาชน" 24 พ.ย. 2556 ปราศรัยที่ ถ.ราชดำเนิน | |
อ็อกฟอร์ดเผยมีเด็กเสียชีวิตมากกว่า 11,000 ในซีเรีย หลายร้อยถูกยิงด้วยสไนเปอร์ Posted: 24 Nov 2013 08:39 AM PST ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ สำรวจตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ระบุตัวตนและสาเหตุการเสียชีวิตได้ในสงครามกลางเมืองซีเรียช่วงตลอดสามปีที่ผ่านมา พบว่ามีเหยื่อที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 17 ปีจำนวน 11,420 คน มีจำนวน 389 คนที่ถูกสังหารโดยอาวุธสไนเปอร์ 24 พ.ย. 2556 - กลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ดเปิดเผยในรายงานการสำรวจว่ามีเด็กเสียชีวิตมากกว่า 11,000 คน ในซีเรียจากเหตุการณ์สงครามกลางเมืองตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยมีหลายร้อยคนที่ถูกสังหารโดยสไนเปอร์ และส่วนใหญ่ถูกสังหารโดยระเบิดหรืออาวุธหนักที่ยิงเข้าไปในย่านชุมชน โดยพวกเขายังได้เรียกร้องให้กลุ่มนักรบได้รับการฝึกฝนไม่ให้ทำสงครามโดยนำชีวิตของพลเรือนเข้าไปเสี่ยงด้วย ในรายงานที่ชื่อ "อนาคตที่ถูกช่วงชิง ตัวเลขเด็กผู้เสียชีวิตในซีเรียที่ยังไม่ได้เปิดเผย" ได้ทำการรวบรวมข้อมูลจากช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งในซีเรียตั้งแต่เดือน มี.ค. 2554 ถึงเดือน ส.ค. 2556 รายงานระบุว่ามีเหยื่อที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 17 ปีจำนวน 11,420 คน มีจำนวน 389 คนที่ถูกสังหารโดยอาวุธสไนเปอร์ ซึ่งเป็นปืนซุ่มยิงระยะไกล รายงานของอ็อกฟอร์ดเปิดเผยอีกว่ามีเด็กราว 764 คนถูกสังหารตัดตอน (summarily executed) มีมากกว่า 100 คน รวมถึงเด็กอ่อนถูกทรมาน โดยกลุ่มประชากรที่ถูกสังหารส่วนใหญ่ในที่นี้คือเด็กผู้ชายอายุระหว่าง 13 ถึง 17 ปี มีประชากรเด็กผู้ชายถูกสังหารมากกว่าเด็กผู้หญิงสองเท่า ข้อมูลจากรายงานระบุอีกว่าสถานที่ที่มีเด็กถูกสังหารมากที่สุดคือในเขตปกครองอเลปโป โดยมีเด็กถูกสังหาร 2,223 คน ฮานา ซาลามา ผู้ร่วมเขียนรายงานการวิจัยกล่าวว่าเหล่าเด็กๆ ถูกสังหารในรูปแบบที่เลวร้าย คือการถูกระเบิดขณะอยู่ที่บ้าน ในย่านชุมชน ขณะกำลังปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน เช่นรอต่อแถวรับอาหาร หรือเข้าเรียน นอกจากนี้ยังมีส่วนหนึ่งถูกยิงจากลูกหลงในการสู้รบ ตกเป็นเป้าของสไนเปอร์ ถูกสังหารตัดตอน แม้กระทั่งถูกรมแก็สและถูกทรมาน โดยตัวเลขผู้เสียชีวิตข้อมูลทั้งหมดรวบรวมมาจากปากคำของกลุ่มประชาสังคมในซีเรีย ซึ่งตัวเลขที่ระบุในรายงานมาจากเหยื่อที่ทราบชื่อและสามารถระบุสาเหตุการเสียชีวิตได้เท่านั้นและยังคงมีพื้นที่บางส่วนที่ไม่สามารถเข้าไปสำรวจได้ ทำให้มีการระบุในรายงานว่าขอให้มีการนำตัวเลขนี้ไปใช้อย่างระมัดระวังและยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่ามีจำนวนมากหรือน้อย รายงานกล่าวอีกว่าความขัดแย้งในซีเรียทำให้เกิดผลเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อเหล่าประชากรเด็กในซีเรีย และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเลิกโจมตีเป้าหมายที่เป็นพลเรือนรวมถึงอาคารของพลเรือน เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และศาสนสถาน กลุ่มนักวิจัยอ็อกฟอร์ดยังได้เรียร้องให้มีการอนุญาตให้นักข่าวสามารถเข้าถึงพื้นที่ในซีเรียรวมถึงมีการคุ้มครองนักข่าวและทีมงานด้านอื่นๆ ที่เข้าไปบันทึกตัวเลขการสูญเสีย จนถึงตอนนี้เหตุสงครามกลางเมืองในซีเรียทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 100,000 คน มีอีกมากกว่า 2 ล้านคนอพยพออกจากประเทศ
Syria conflict: Children 'targeted by snipers', BBC, 24-11-2013 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
เดินหน้าฟ้องศาลปกครอง 4 หน่วยงานรัฐละเลยหน้าที่ ปล่อยเหมืองทองเลยก่อมลพิษ Posted: 24 Nov 2013 08:16 AM PST กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด จ.เลย เตรียมฟ้อง กพร. สปก. สผ. และผู้ว่าฯ ต่อศาลปกครองกลาง ชี้ละเลยหน้าที่ และกระทำการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมขอให้ศาลเพิกถอนใบประทานบัตร-ใบอนุญาตประกอบโลหกรรมบริษัทเอกชน 24 พ.ย.2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้าน 6 หมู่บ้าน ในนามกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย จำนวน 322 คน เตรียมยื่นฟ้อง 4 หน่วยงานราชการ ประกอบด้วย กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย และสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สปก.) ต่อศาลปกครองกลาง ในช่วงเช้าวันที่ 25 พ.ย.2556 นี้ เหตุละเลยการปฏิบัติหน้าที่ และกระทำการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมขอให้ศาลเพิกถอนใบประทานบัตรเลขที่ 26971/15558, 26972/15559, 26968/15574, 26969/15575 และ 26970/15576 ของ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด และขอให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบโลหกรรม ที่ 1/2552 และ คำขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบโลหกรรม คำขอที่ 1/2555 ของ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด รวมทั้งเพิกถอนหนังสือยินยอมให้เข้าใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด ระบุว่าทั้ง 4 หน่วยงานได้ใช้ดุลพินิจในการออกใบประทานบัตรอนุญาตให้ บริษัททุ่งคำได้รับสิทธิในการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ ฉบับเดิม รวมทั้งประทานบัตรฉบับใหม่ และในการออกใบอนุญาตประกอบการโลหกรรม และการต่อใบอนุญาตโลหกรรม ให้แก่บริษัททุ่งคำ รวมถึงการยินยอมให้บริษัททุ่งคำเข้าใช้ที่ดิน 369 – 3 – 17 ไร่ ในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นผลให้บริษัททุ่งคำ ได้รับสิทธิในการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ และการประกอบโลหกรรม ตลอดจนใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน ตั้งแต่ประมาณปี 2533 ต่อมาการประกอบกิจการทั้งหมดของบริษัททุ่งคำ ได้ก่อให้เกิดปัญหามลพิษ ทำให้ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทางน้ำสาธารณะเสื่อมประโยชน์ ทำลายระบบนิเวศอันอุดมสมบูรณ์อันเป็นสภาพดั้งเดิมของพื้นที่ จนก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืช หรือทรัพย์สิน ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนใน 6 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านนาหนองบง บ้านกกสะท้อน บ้านภูทับฟ้า บ้านห้วยผุก บ้านโนนผาพุงพัฒนา และบ้านแก่งหิน ใน ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย ข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องนับสิบครั้งที่พบว่า การประกอบกิจการของบริษัททุ่งคำได้ทำให้สารไซยาไนต์ แคดเมียม สารหนู สารตะกั่ว แมงกานีส ซึ่งเป็นสารพิษปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ สร้างความเสียหายให้แก่ประชาชน 6 หมู่บ้าน ได้แก่ 1) ความเสียหายต่อคุณภาพชีวิต ต่อสุขภาพ ต่อค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียสำหรับน้ำในการอุปโภคและบริโภค 2) ค่าเสียหายต่อพืชผลเกษตรกรรม ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และ 3) ความเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมถึงการปนเปื้อนสารพิษในสภาพแวดล้อมต่างๆ ไม่อาจใช้ประโยชน์ในห่วงโซ่อาหารในธรรมชาติได้ตามปกติ ระยะเวลากว่า 6 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านได้พยายามร้องเรียนเพื่อขอให้หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบทำการตรวจสอบ กำกับดูแล และแก้ไขปรับปรุงการดำเนินกิจการเหมืองแร่ทองคำของบริษัททุ่งคำ แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบทั้ง 4 นอกจากจะเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงเหล่านั้น ไม่ได้ดูแล กำกับ แก้ไขให้บริษัททุ่งคำปฏิบัติตามรายงานการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมถึงไม่เพิกถอนใบประทานบัตร ใบอนุญาตโลหกรรม และยังยินยอมให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน ดังนั้น นอกจะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ยังเป็นการละเมิดต่อสิทธิของชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมในการบำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งสิทธิในการดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของผู้ฟ้องคดีและประชาชนในพื้นที่ อันเป็นสิทธิที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 66 และ 67 ลำดับเหตุการณ์โดยสรุป บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ได้รับสิทธิในการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ และการประกอบโลหกรรม ตลอดจนใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน ตั้งแต่ประมาณปี 2533 ประมาณปี 2549 ชาวบ้านบริเวณบริเวณหมู่บ้านนาหนองบง, บ้านกกสะท้อน, บ้านภูทับฟ้า, บ้านห้วยผุก, บ้านโนนผาพุงพัฒนาและบ้านแก่งหิน ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อม และพบว่าชาวบ้านบางคนมีอาการผื่นคันตามผิวหนัง ปวดเมื่อยตามร่างกาย เจ็บป่วยบ่อยๆ และมีอาการแสบตา กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด ซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดีจึงได้ทำหนังสือร้องเรียนต่อหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประธานกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย เพื่อขอให้ตรวจสอบ กำกับดูแล และแก้ไขปรับปรุงปัญหาที่เกิดขึ้น ประมาณเดือนมกราคม 2550 จังหวัดเลยได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลการทำเหมืองแร่และการประกอบโลหกรรมของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด คณะกรรมการได้ประชุมและมีมติให้บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามแผนผังโครงการทำเหมือง วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2550 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ มีหนังสือให้อุตสาหกรรมจังหวัดเลย ทำการเปรียบเทียบปรับบริษัท ทุ่งคำ จำกัด เนื่องจากได้ปล่อยให้มีปริมาณสารไซยาไนต์เจือปนในกากแร่ ก่อนนำไปกักเก็บในบ่อกากแร่สูงถึง 62 PPM ซึ่งตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) กำหนดไว้ไม่เกิน 2 PPM เท่านั้น 19 กุมภาพันธ์ 2550 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ มีหนังสือให้อุตสาหกรรมจังหวัดเลย ทำการเปรียบเทียบปรับบริษัท ทุ่งคำ จำกัด เนื่องจากได้ปล่อยให้มีปริมาณสารไซยาไนต์เจือปนในกากแร่ ก่อนนำไปกักเก็บในบ่อกากแร่สูงถึง 62 PPM ซึ่งตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) กำหนดไว้ไม่เกิน 2 PPM เท่านั้น เดือนกุมภาพันธ์ 2550 สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 9 จังหวัดอุดรธานี สรุปรายงานผลการเฝ้าระวังผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โครงการทำเหมืองแร่ทองคำซึ่งบริษัททุ่งคำ ได้รับประทานบัตร (ช่วงระหว่างปี พ.ศ.2547-2549) รวมระยะเวลา 3 ปี พบว่าคุณภาพของน้ำในลำน้ำฮวยและลำห้วยผุก ตำบลเขาหลวง มีค่าไซยาไนต์และแมงกานีสค่อนข้างสูง โดยในปีแรกทำการเฝ้าระวังคุณภาพของน้ำในลำน้ำสาขาของแม่น้ำเลย รวม 5 สถานี พบว่ามีค่าแมงกานีสสูงเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานทุกสถานี และมีค่าไซยาไนต์เกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 3 สถานี เดือนธันวาคม 2550 โรงพยาบาลวังสะพุง ได้ดำเนินการเจาะเลือดชาวบ้าน 6 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านนาหนองบง, บ้านกกสะท้อน, บ้านภูทับฟ้า, บ้านห้วยผุก, บ้านโนนผาพุงพัฒนา, บ้านแก่งหิน ตำบลเขาหลวง โดยการสุ่มตรวจหาสารไซยาไนต์ จำนวน 279 คน ผลปรากฏว่า โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลผู้ทำการตรวจ ได้แจ้งผลการตรวจเลือดพบว่า มีสารไซยาไนต์ในเลือดของประชาชนกลุ่มตัวอย่าง 54 ราย ซึ่งในจำนวนที่ตรวจพบมีค่าสารไซยาไนต์เกินค่ามาตรฐาน 20 คน ช่วงระหว่างวันที่ 23 ถึง 25 มิถุนายน 2551 กรมควบคุมมลพิษ ได้แจ้งผลการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำจากการจัดเก็บในลำน้ำห้วยเหล็ก พบว่ามีสารหนูสูงกว่ามาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินและเก็บในบริเวณลำน้ำฮวย เขตพื้นที่บ้านนาหนองบง หมู่ที่ 3 บริเวณเหนือฝายห้วยผุก และปากฝายห้วยผุก บ้านนาหนองบง และในลำคลองบริเวณถนนหน้าเหมืองพบสารแมงกานีส สูงกว่ามาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดิน และพบสารแคดเมียมในระบบประปาบาดาลบ้านนาหนองบงหมู่ที่ 3 สูงเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานน้ำบาดาลที่ใช้บริโภคได้ วันที่ 24 กันยายน 2551 จังหวัดเลย แต่งตั้งคณะทำงานเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์คุณภาพน้ำในบริเวณโดยรอบเหมือง ผลการวิเคราะห์พบว่า สารหนู แคดเมียม และแมงกานีสเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2552 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลย ออกประกาศฉบับที่ 1/2552 โดยเตือนว่าประชาชน ไม่ควรนำน้ำมาดื่มหรือใช้ประกอบอาหารโดยตรง วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 กองวิเคราะห์น้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำบาดาล รายงานผลการทดสอบคุณภาพน้ำจำนวน 9 จุด ในบริเวณตำบลเขาหลวง พบว่า ระบบประปาหมู่บ้านภูทับฟ้าพัฒนา หมู่ที่ 13 ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง มีสารหนู 0.10 และสารตะกั่ว 0.11 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเป็นค่าที่เกินมาตรฐาน เดือนมีนาคม 2553 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลย ออกประกาศฉบับที่ 1/2553 ตามที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลยและโรงพยาบาลวังสะพุง ได้ร่วมกันเก็บตัวอย่างหอยขม ปลาไหล ปลากด ผักกูด ข้าวสารขัดสี และข้าวกล้อง ที่เก็บจากลำห้วยเหล็ก ตำบลเขาหลวง ผลการตรวจวิเคราะห์พบว่า หอยขมที่เก็บจากต้นลำห้วยเหล็กมีปริมาณสารหนูสูงเกินกว่าค่ามาตรฐานให้ประชาชนงดบริโภคหอยขม วันที่ 24 มีนาคม 2553 สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 9 อุดรธานี ร่วมกับกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณโครงการเหมืองแร่ทองคำโดยเก็บตัวอย่างน้ำในแหล่งน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน จำนวน 6 จุด นำไปวิเคราะห์คุณภาพน้ำพบว่า จุดที่ 1 และจุดที่ 2 บริเวณน้ำซึมติดสันเขื่อนบ่อเก็บกากแร่ พบว่า สารหนู แคดเมียม ทองแดง ตะกั่ว แมงกานีส มีค่าเกินมาตรฐานคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน วันที่ 1 – 3 กุมภาพันธ์ 2554 กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้ตรวจสอบคุณภาพน้ำผิวดิน บริเวณหมู่บ้านใกล้เคียงเหมืองแร่ทองคำ (บริเวณแหล่งน้ำสาธารณะ) ตำบลห้วยหลวง พบว่าคุณภาพน้ำห้วยเหล็กมีสารหนู เกินเกณฑ์มาตรฐานน้ำผิวดิน และมีค่าไซยาไนต์ เกินค่ามาตรฐาน วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลย และโรงพยาบาลวังสะพุง จังหวัดเลย แจ้งผลการตรวจเลือดหาสารไซยาไนต์ ปรอท ตะกั่วในเลือดของประชาชนจำนวนกว่า 750 ราย พบว่าผลการตรวจหาสารไซยาไนต์ในเลือดเกินค่ามาตรฐาน จำนวน 124 ราย จากจำนวนที่ส่งตรวจ 758 ราย เมื่อวันที่ 26 – 27 ตุลาคม 2555 สันเขื่อนของบ่อเก็บกักกากแร่ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ด้านทิศเหนือเกิดการทรุดตัวและพังทลายลง โดยเกิดขึ้นตอนกลางของคันทำนบดินที่บดอัดแน่น เป็นระยะทางยาว 15 – 20 เมตร ลึกประมาณ 5 เมตร ภาพ: การชะล้างหน้าดินและดินสไลด์ภาพมุมสูงจากภูป่าซำบอน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ทีวีดาวเทียมให้พื้นที่ข่าวชุมนุมต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฯ มากกว่าข่าวในฟรีทีวี Posted: 24 Nov 2013 06:38 AM PST มีเดียมอนิเตอร์พบ ทีวีดาวเทียมให้พื้นที่ข่าวชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรมกรณีอารยะขัดขืนมากกว่าฟรีทีวี แต่ทุกช่องเน้นรายงานตามสถานการณ์ โดยแหล่งข่าวส่วนใหญ่เป็นผู้คัดค้านอารยะขัดขืน ขณะที่ความเห็นประชาชนและกลุ่มผู้ชุมนุม มีสัดส่วนน้อย โดยช่อง 5 ให้เวลาข่าวในสัดส่วนที่น้อยที่สุด ในเกือบทุกประเด็นที่ศึกษา
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ศิษย์เก่า 1 อำเภอ 1 ทุนวอน ‘จาตุรนต์’ ยกเลิกเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำการสอบผ่านข้อเขียน Posted: 24 Nov 2013 05:58 AM PST
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
สปสช.เพิ่มสิทธิประโยชน์รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว/มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ด้วยวิธีสเต็มเซลล์ Posted: 24 Nov 2013 05:13 AM PST บอร์ด สปสช.เพิ่มสิทธิประโยชน์รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว/มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ด้วยวิธีสเต็มเซลล์ ชี้ช่วยประหยัดงบเคมีบำบัด คุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีขึ้น ปีงบ 57 มีผู้ป่วยได้รักษาวิธีนี้ 40 ราย ค่าใช้จ่ายรายละ 8 แสนบาท คาดปี 61 จะมีผู้ป่วยได้รับการรักษา 60 ราย มี รพ.ที่ให้การรักษาได้ทั่วประเทศ 8 แห่งที่ขึ้นทะเบียนการรักษากับ สปสช.
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ไอซีทีเตือนการโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบัน Posted: 24 Nov 2013 05:01 AM PST เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2556 ที่ผ่านมามติชนออนไลน์รายงานว่าที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และ พล.ต.ต.ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) แถลงข่าวกรณีมีการกระทำที่อาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และมีการเผยแพร่ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
องค์กรญี่ปุ่นชวนร่วมค้าน ‘ญี่ปุ่น’ ส่งออกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไป ‘ตุรกี’ Posted: 24 Nov 2013 03:53 AM PST ปฏิเสธการส่งออกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ องค์กรภาคประชาชนชี้ด้วยสถานการณ์อันเลวร้ายที่ยังมองไม่เห็นจุดจบในประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ควรผลักดันการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในต่างประเทศ 24 พ.ย.56 โครงการศูนย์ญี่ปุ่นเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ยั่งยืน (JACSES) โครงการนิวเคลียร์และพลังงาน เฟรนด์ออฟดิเอิร์ธ ญี่ปุ่น (FoE Japan) และแม่โขงวอชท์ (Mekong Watch) เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกเชิญชวน 'คัดค้านรัฐสภาญี่ปุ่นลงนามในสั จากกรณีที่ สภาไดเอทแห่งชาติญี่ปุ่น (รัฐสภา) กำลังดำเนินกระบวนการให้สัตยาบันข้อตกลงระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศตุรกี เพื่อความร่วมมือในการที่ญี่ปุ่นจะสร้างเตาปฏิกรณ์และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศตุรกี ในขณะที่วิกฤตของโรงไฟฟ้านิวเคลีย์ฟุกุชิมะไดอิชิยังไม่จบ เนื่องจากยังคงมีการรั่วไหลของน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีจำนวนมหาศาลสู่สิ่งแวดล้อมจากเตาปฏิกรณ์ที่เสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2554 จนกระทั่งขณะนี้ และเหยื่อของอุบัติภัยนิวเคลียร์ยังคงทนทุกข์ "สถานการณ์อันเลวร้ายที่ยังมองไม่เห็นจุดจบในประเทศญี่ปุ่นขณะนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ควรอย่างยิ่งที่จะผลักดันการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในต่างประเทศ เราจึงจะส่งจดหมายคัดค้านการลงนามข้อตกลงนิวเคลียร์นี้ไปยังรัฐสภาญี่ปุ่น" คำเชิญชวนระบุ กำหนดเวลาครั้งที่ 1 ภายในวันที่ 25 พฤศจิกายน เวลา 8.00น. (เวลาประเทศไทย) กำหนดเวลาครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 29 พฤศจิกายน เวลา 8.00น. (เวลาประเทศไทย) จดหมายที่จะยื่นต่อรัฐสภาญี่ปุ่น
ภาคผนวก: ปัญหาของข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ระหว่างญี่ปุ่น-ตุรกี และแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Sinop การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ป้องกันแผ่นดินไหวได้ยังไม่เพียงพอ -ประเทศตุรกีตั้งอยู่บนภูมิภาคที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก (เกิดเหตุแผ่นดินไหวระดับ 6.0 หรือใหญ่กว่าถึง 72 ครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ.1900)[1] เหตุการณ์แผ่นดินไหวอิซมิท (Izmit) เมื่อปี 1999 (ระดับ 7.8) ทำให้คนตายถึง 17,000 คน และบาดเจ็บ 43,000 คน[2] แผ่นดินไหวครั้งนั้นยังสร้างความเสียหายให้กับสถานีจ่ายไฟฟ้าที่สำคัญหลายแห่ง ทำให้เกิดไฟดับอยู่หลายวัน[3] -อาคารและสาธารณูปโภคในตุรกียังมีการป้องกันภัยจากแผ่นดินไหวไม่เพียงพอ เป็นต้นว่า ในกรุงอิสตันบุล อาคารเพียง 1% ซึ่งรวมถึงโรงเรียน 250 แห่งจากทั้งหมด 3000 โรง และโรงพยาบาล 10 แห่งจากทั้งหมด 635 แห่ง มีการดัดแปลงเพื่อต่อต้านแผ่นดินไหว (ข้อมูลล่าสุดปี 2009)[4] -แม้ว่าเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูที่ญี่ปุ่นจะส่งออกไปให้ตุรกีจะมีความทนทานสูงต่อแผ่นดินไหว แต่ถ้าเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ สิ่งปลูกสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ รอบตัวปฏิกรณ์ปรมาณูจะถูกทำลาย ทำให้ยากแก่การช่วยเหลือเหตุฉุกเฉิน -เนื่องจากนายกเทศมนตรีเมือง Sinop ต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จึงทำให้ยากแก่การร่างแผนการอพยพที่มีประสิทธิภาพได้ ปัญหาความถูกต้องของข้อมูลของการสำรวจทางธรณีวิทยา -บริษัทพลังงานปรมาณูญี่ปุ่น (JAPC) กำลังทำการสำรวจทางธรณีวิทยาในเมือง Sinop ด้วยการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นมูลค่า 1,170 ล้านเยน[5] แต่ JAPC เป็นบริษัทเดียวกันที่ยังยืนยันว่ารอยเลื่อนของเปลือกโลกใต้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์สุรุกะ (Tsuruga Nuclear Power Plant) ไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว (inactive) ในขณะที่องค์การกำกับดูแลด้านนิวเคลียร์ของญี่ปุ่น (Nuclear Regulation Authority: NRA) ได้เคยยืนยันว่ารอยเลื่อนดังกล่าวยังเคลื่อนไหวได้อยู่ (active) ด้วยประวัติเช่นนี้ ทำให้การสำรวจทางธรณีวิทยาของบริษัทเป็นที่น่ากังขา การประเมินความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจยังไม่เพียงพอ -ค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Sinop คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 22000-25000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Akkuyu ที่สร้างโดยบริษัทรัสเซียแห่งหนึ่งเพิ่งถูกประเมินเพิ่มขึ้นจาก 20000 ล้านเหรียญ เป็น 25000 ล้านเหรียญ และมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นอีก ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานบางคนในตุรกีประเมินว่าพลังงานนิวเคลียร์จะมีราคาแพงกว่าพลังงานชนิดอื่นๆ ในระยะยาว[6] การขาดองค์การกำกับดูแลที่เป็นอิสระ -ในขณะที่ญี่ปุ่นก่อตั้งองค์การกำกับดูแลปรมาณูที่เป็นอิสระจากกระทรวงที่สนับสนุนนิวเคลียร์ หลังจากที่อุบัติเหตุนิวเคลียร์ขึ้น ตุรกีมีเพียงการพลังงานปรมาณู ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งผู้สนับสนุนและกำกับดูแลพลังงานนิวเคลียร์[7] การขาดแผนรองรับการปลดระวางและการกำจัด -ตุรกีไม่มีแผนรองรับการปลดระวางเตาปฏิกรณ์ปรมาณูและกำจัดกากกัมมันตรังสี[8] จากรายงานในนิตยสารอาซาฮีรายสัปดาห์ เจ้าหน้าที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตกลงเป็นการภายในที่จะไม่ถกเถียงประเด็นที่เกี่ยวกับการจัดการกากกัมมันตรังสีในระยะยาวกับรัฐบาลตุรกี[9] การต่อต้านคัดค้านโดยนายกเทศมนตรีและราษฎรเมือง Sinop -นายกเทศมนตรีเมือง Sinop ได้รับการเลือกตั้งเมื่อปี ค.ศ.2009 จากการประกาศแนวนโยบายต่อต้านนิวเคลียร์ โดยไม่ยอมรับการก่อสร้างโครงไฟฟ้านิวเคลียร์ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในเมือง และตั้งแต่นั้น ก็ได้แสดงการต่อต้านอย่างต่อเนื่อง[10] ชาวเมืองเองก็ได้จัดการชุมนุนประท้วงการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายครั้งหลายหน[11] การขาดข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการป้องกันและเฝ้าระวัง -รัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังอุบัติเหตุรุนแรงและการก่อการร้าย แผนการอพยพราษฎร และการรับฟังความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า Sinop[12] ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า ... อุบัติเหตุจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ไดอิชิ ยังไม่สิ้นสุดกระบวนการ -ในขณะที่เตาปฏิกรณ์ปรมาณูที่ถูกทำลายยังคงปล่อยน้ำที่ปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีออกมาเรื่อยๆ เราคงไม่สามารถรู้ได้ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้จะสิ้นสุดกระบวนการเมื่อไร แล้วเรายังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุด้วยซ้ำ ระหว่างนี้ ผู้คนจำนวนมากต้องสูญเสียบ้านเรือนและยังต้องทนทุกข์ทรมานจากมลภาวะนิวเคลียร์ต่อไป ในขณะที่สถานการณ์อันเลวร้ายนี้ยังดำรงอยู่ การส่งออกเตาปฏิกรณ์ปรมาณูย่อมเป็นเรื่องที่ผิดจริยธรรม และละเลยความปรารถนาของผู้เป็นเหยื่อที่ต้องการจะเห็นโลกที่ปลอดจากพลังงานนิวเคลียร์ [1] http://www.giroj.or.jp/disclosure/q_kenkyu/12.html [2] http://www.mofa.go.jp/mofaj/area/turkey/99/ [3] http://www.meti.go.jp/policy/external_economy/.../y2003_05.pdf [4] Milliyet, August 17, 2009. [5] http://www.enecho.meti.go.jp/info/tender/tenddata/1306/130610a/130610a.htm; http://www.enecho.meti.go.jp/info/tender/tenddata/1307/130719a/130719a.htm [6] http://www.todayszaman.com/newsDetail_getNewsById.action?newsId=309907 [7] http://www.jaif.or.jp/ja/asia/turkey/turkey_data.pdf [8] http://www.jaif.or.jp/ja/asia/turkey/turkey_data.pdf [9] http://dot.asahi.com/wa/2013061200015.html [10] http://www.dunya.com/power-plants-will-turn-sinops-paradise-into-hell-mayor-179321h.htm [11] http://www.greenpeace.org/japan/Global/japan/pdf/Jpn_Aslihan_ppt.pdf [12] Interview with an official of Japan's Ministry of Foreign Affairs, October 3, 2013.
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
สุรพศ ทวีศักดิ์: หมิ่นฯ กษัตริย์ในอดีตผิด มาตรา 112 Posted: 24 Nov 2013 02:44 AM PST เว็บไซต์นิติราษฎร์และประชาไท เผยแพร่ "คำพิพากษาคดีหมิ่นฯอดีตกษัตริย์ ผิด ม.112" มีใจความสำคัญดังนื้ จำเลยกล่าวข้อความว่า
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อความดังกล่าว "มีความหมายเป็นการใส่ความหมิ่นประมาท ดูหมิ่นรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ในอดีต เปรียบเทียบว่ายุคของพระองค์เหมือนต้องไปเป็นทาส ไม่มีความเป็นอิสระมีการปกครองที่ไม่ดีทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้รัชกาลที่ 4 เสื่อมเสียพระเกียรติเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง โดยเจตนาทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะ...พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดลงให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษ แต่ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ "ให้ยกฟ้อง" โจทก์ฎีกา และศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยให้เหตุผลว่า
จากคำพิพากษาดังกล่าว เราอาจตั้งคำถามได้หลายประการ เช่น 1) ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ระบุว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามถึงสิบห้าปี" แม้มิได้บัญญัติว่า "พระมหากษัตริย์จะต้องครองราชย์อยู่เท่านั้น" แต่ก็ไม่ได้บัญญัติให้แน่นอนลงไปว่า "รวมถึงพระมหากษัตริย์ในอดีตด้วย" จึงเป็นที่เข้าใจโดยทั่วไปว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันเท่านั้น คำถามจึงมีว่าศาลตีความกฎหมายเกินไปจากตัวบทหรือไม่? 2) การที่ศาลตีความคำพูดของจำเลยว่า "มีความหมายเป็นการใส่ความ หมิ่นประมาท ดูหมิ่นรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ในอดีต...โดยประการที่น่าจะทำให้รัชกาลที่ 4 เสื่อมเสียพระเกียรติ เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง โดยเจตนาทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะ..." นั้น เป็นการตีความที่ให้น้ำหนักไปในทางลิดรอนสิทธิเสรีภาพของจำเลยอย่างเกินความจำเป็นหรือไม่? เนื่องจากตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ในสมัยรัชกาลที่ 4 ยังมีระบบทาสอยู่จริง (เลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ 5) และยังมีกฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดกรอบการใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กรให้เน้นการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน เช่น มาตรา 26 ระบุว่า "การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กรต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้" และมาตรา 29 ระบุว่า "การจำกัดสิทธิ เสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็น และจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้" 3) ข้ออ้างที่ว่า สถาบันกษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ และประชาชนในประเทศผูกพันกับสถาบันกษัตริย์มาโดยตลอด ถึงแม้จะเป็นความจริง แต่ก็เป็นความจริงด้วยว่า ประเทศสยามได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็น "ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy)" มาตั้งแต่ปี 2475 แล้ว รัฐธรรมนูญปัจจุบันก็รับรองเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน และประเทศไทยยังเป็นภาคีของกลุ่มประเทศที่ยืนยันปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอีกด้วย ฉะนั้น ระบบนิติรัฐและกระบวนการยุติธรรม ต้องเป็นระบบและกระบวนการที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยต้องไม่มีการนำเอาเรื่องความเคารพต่อสถาบันกษัตริย์ หรือเรื่องใดๆ มาตีความให้มีความหมายไปในทางลิดรอนสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างเกินความจำเป็น แม้แต่ประเพณีเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ก็ถือว่า ความชอบธรรมของสถาบันกษัตริย์ยึดโยงอยู่กับความมี "ทศพิธราชธรรม" โดยกษัตริย์ที่ปกครองโดยธรรมนั้นย่อมใช้ "พระเดช" น้อย แต่ใช้ "พระคุณ" มากกว่า ดังทศพิธราชธรรมบางข้อ เช่น มีความอ่อนน้อมถ่อมตน (มัททวะ) มีขันติธรรมต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ (ขันติ) ไม่โกรธ (อักโกธะ) ไม่กดขี่เบียดเบียนราษฎร (อวิหิงสา) เป็นต้น ว่าโดยเนื้อหาสาระหลักทศพิธราชธรรมก็คือหลัก "ทองแท้ไม่กลัวไฟ" นั่นเอง ฉะนั้น เมื่อยึดเนื้อหาสาระของทศพิธราชธรรมและหลักการปกครองระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยแล้ว คำกล่าวของจำเลยข้างต้น ไม่น่าจะก่อความเสียหายต่อคุณค่าของสถาบันกษัตริย์ทั้งในอดีตและปัจจุบันอันเป็นเหตุให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา เกิดความเกลียดชัง หรือกระทบต่อความมั่นคงแห่งรัฐได้ ว่าตามจริงแล้ว การอ้างสถาบันกษัตริย์ทำรัฐประหาร และการใช้สัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ในการต่อสู้ทางการเมืองและแบ่งแยกประชาชนออกเป็นฝ่ายจงรักภักดีและไม่จงรักภักดี ดังที่ทำกันมานานและยังทำกันอยู่ต่างหาก ที่น่าจะเป็นการไม่เคารพหลักทศพิธราชธรรมและขัดต่อความเป็นประชาธิปไตย ก่อความเสียหายแก่สถาบันกษัตริย์และกระทบต่อความมั่นคงแห่ง "รัฐประชาธิปไตย" มากกว่า แต่ก็ไม่เคยปรากฏเลยว่า ระบบยุติธรรมไทยได้ดำเนินการใดๆ อันเป็นการป้องปราม หรือให้ยุติการกระทำดังกล่าว ฉะนั้น การที่ระบบยุติธรรมไทย ไม่เคยดำเนินการใดๆ ในการป้องกันและยุติ หรือเอาผิดกับการอ้างสถาบันทำรัฐประหารและต่อสู้ทางการเมืองแบ่งแยกประชาชนออกเป็นฝักฝ่าย ซึ่งส่งผลเสียหายอย่างรูปธรรมชัดแจ้งต่อสถาบันกษัตริย์และความมั่นคงของรัฐประชาธิปไตยมากกว่า แต่กลับมุ่งปกป้องสถาบันกษัตริย์ด้วยการตีความมาตรา 112 อย่างเน้นไปในทางลิดรอนเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน (โดยเฉพาะคนเล็กๆที่ไร้อำนาจต่อรอง) ตกลงว่าระบบยุติธรรมไทยกำลังทำหน้าที่ป้องกัน "อันตรายที่แท้จริง" ต่อสถาบันกษัตริย์และความมั่นคงของรัฐประชาธิปไตยจริงหรือไม่? จำเป็นต้องปฏิรูประบบยุติธรรมให้มีวัฒนธรรมตีความกฎหมายตามอุดมการณ์เสรีนิยมหรือยัง?
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในโลกวันนี้วันสุข (23-29 พฤศจิกายน 2556)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
จอห์น เอฟ เคนเนดี:ประธานาธิบดี เซ็กส์ อำนาจและความตาย Posted: 24 Nov 2013 12:34 AM PST เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เอง สหรัฐอเมริกาก็ได้จัดงานระลึกถึงการครบรอบ 50 ปีการถึงแก่อสัญกรรมของประธานาธิบดีคนที่ 35 คือจอห์น เอฟ เคนเนดี เคนเนดีเป็นประธานาธิบดีคนที่ 4 ซึ่งถูกสังหารขณะดำรงตำแหน่งประธานธิบดี ซึ่งประธานาธิบดี 3 คนแรกได้แก่อับราฮัม ลินคอล์น,เจมส์ เอ การ์ฟิลด์และวิลเลียม แม็คคินเลย์ ไม่นับประธานาธิบดีอีกหลายคนที่ถูกลอบยิงแต่รอดมาได้อย่างเช่นโรนัลด์ เรแกน
เซ็กส์และอำนาจ สำนักอัยการเมือง New Orleans เวลา 12.35 วันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 (ฉากในภาพยนตร์ JFK) Jim Garrison อัยการของนิว ออร์ลินส์ กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่บนโต๊ะ มีเสียงเปิดประตู เขาหันไปมอง พบว่าเป็นลูกน้องของเขาซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด
แกร์ริสันและลูกน้องรีบไปยังร้านอาหารซึ่งเป็นที่เดียวในละแวกนั้นที่มีโทรทัศน์ (เมื่อห้าสิบกว่าปีที่แล้ว คนมีโทรทัศน์ถือว่าฐานะดี) อัยการหนุ่มหวาดวิตกมากต่ออาการของเคนเนดี เพราะตัวเองชื่นชอบประธานาธิบดีคนนี้เป็นพิเศษ และแล้วความกลัวของเขาก็เป็นจริงเมื่อมีข่าวด่วนออกมายืนยันว่าเคนเนดีถึงแก่อสัญกรรมแล้ว เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าเมื่อคนทั้งหลายที่ออกันอยู่ในผับต่างมีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป หลายคนเงียบ หลายคนร้องไห้ แต่ใครคนหนึ่งกลับปรบมือด้วยความสะใจ พร้อมกับบอกว่า " ลาก่อน ไอ้ลูกหมาเอ้ย สมควรตายได้แล้ว" ทำไมคนอเมริกันถึงมีปฏิกิริยาแตกต่างกันเช่นนั้น เพราะอะไร ? มุมมองด้านบวกของเคนเนดี มุมมองด้านลบของเคนเนดี เหตุใดเคนเนดีจึงถูกลอบสังหาร ? 1.เกิดจากหน่วยข่าวกรองกลางหรือซีไอเอเพราะหลังจากที่เบย์ออฟพิกส์ล้มเหลว เคนเนดีต้องการลดอำนาจของ ซีไอเอโดยการไล่บรรดาผู้บริหารระดับสูงออกเช่นดัลเลส และมอบอำนาจให้กองทัพในการปฏิบัติงานใต้ดินแทนซีไอเอ สรุปก็คือเคนเนดีนั้นเหมือนกับจูเลียส ซีซาร์ จักรพรรดิ์โรมันที่ถูกลูกน้องรอบข้างเป็นศัตรูและรุมสังหารเขาในที่สุด ในประวัติศาสตร์มีอยู่สี่ครั้งที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ ถูกสังหาร แต่ครั้งนี้คือการทำรัฐประหาร หรือ Coup d'état เคนเนดีถูกโค่นโดยระบบราชการอันยิ่งใหญ่ (ซึ่งก็ยังเป็นความเชื่ออีกเช่นกัน) 1.รองประธานาธิบดีจอห์นสัน ซึ่งได้ข่าวระแคะระคายว่า เคนเนดีจะไม่เอาเขามาเป็นคู่หูในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 1965 แถมตอนที่เคนเนดียังเป็นประธานาธิบดี จอห์นสันเองยังต้องคดีเรื่องทุจริตอยู่หลายคดี เมื่อจอห์นสันได้เป็นประธานาธิบดีเรื่องพวกนี้ก็หายไปในกลีบเมฆ นอกจากนี้จอห์นสันและ ฮูเวอร์ยังพยายามทำให้สาธารณชนเชื่อว่า ออสวัลด์เป็นคนฆ่าเพียงคนเดียว แฟ้มทั้งหมดของการสืบสวนการลอบสังหารของคณะกรมการวาร์เรนถูกเก็บไว้ภายใต้คำสั่งของจอห์นสันจะเปิดออกมาดูได้ก็ต่อปี 2093 บทส่งท้าย (ในภาพยนตร์) แกร์ริสันรู้สึกเลือดขึ้นหน้าเมื่อได้ยิน ผู้พัน X พูดถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารจบ
ผู้พูดซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกันยิ้มและจ้องตาแกร์ริสันเหมือนเขาเป็นเด็กอายุสามขวบ
ป.ล. ปัจจุบัน ตัวจิม แกร์ริสัน และโอลิเวอร์ สโตน ก็โดนโจมตีจากหลายฝ่ายเกี่ยวกับหลักฐานที่ยังสรุปไม่ได้จากหนังเรื่อง JFK แกร์ริสันเองประวัติส่วนตัวก็ไม่ได้ดูสวยงามอย่างที่ปรากฏอยู่ในหนังของสโตน และดังที่ได้กล่าวมาข้างบน ตัวเคนเนดีเองก็ไม่ได้ดีอย่างที่สโตนยกย่องนัก
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
Posted: 23 Nov 2013 11:00 PM PST 24 พ.ย. 2556 - สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอและตัดเย็บเสื้อผ้าสัมพันธ์ ได้เปิดเผยว่าหลังจากที่ตัวแทนลูกจ้างได้ยื่นข้อเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง และยังอยู่ในระหว่างการเจรจาอีก 2 ข้อที่ยังไม่ได้ข้อตกลงนั้น (คือ การจ่ายเงินให้พนักงานรายชิ้นที่ทำได้จริงไม่ต่ำกว่า 310 บาท บริษัทยังคงยืนยันที่จะไม่พิจารณาในปีนี้ แต่จะพิจารณาในปีหน้า และเรื่องโบนัส บริษัทยังยืนยันที่จะพิจารณาเรื่องโบนัสให้ในปีหน้าเช่นกัน) ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
รายงานเสวนา ‘จากสื่อ...สู่โศกนาฏกรรม’ Posted: 23 Nov 2013 10:12 PM PST ประจักษ์ ก้องกีรติ, ชัยรัตน์ ถมยา, สุชาดา จักรพิสุทธิ์ และชนัญสรา อรนพ ณ อยุธยา ร่วมถกใน Media Cafe ถึงบทบาทสื่อกับการนำสู่โศกนาฎกรรมแห่งมวลมนุษยชาติ จัดโดยมีเดีย อินไซต์ เอาท์
24 พ.ย.2556 มีเดีย อินไซต์ เอาท์ จัด Media Cafe สื่อสนทนาครั้งที่ 10 เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นต่อบทบาทสื่อในการรายงานข่าวประเด็นละเอียดอ่อนของสังคม เรียนรู้บทเรียนต่างประเทศที่การทำงานของสื่อนำสู่โศกนาฎกรรมแห่งมวลมนุษยชาติ และวิเคราะห์การทำงานของสื่อไทยในวันที่สังคมอ่อนไหว เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2556 ที่ผ่านมาโดยมี ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชนัญสรา อรนพ ณ อยุธยา นักวิจัยศูนย์ศึกษานโยบายสื่อ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ สุชาดา จักรพิสุทธิ์ บรรณาธิการบริหาร ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิและพลเมือง(TCIJ) และชัยรัตน์ ถมยา บรรณาธิการข่าวต่างประเทศ ไทยพีบีเอส ร่วมเสวนา โดยมี เพ็ญนภา หงษ์ทอง เป็นผู้ดำเนินรายการ ที่ระเบียงกาแฟ สำนักงานกลางนักเรียนคริสเตียน เชิงสะพานหัวช้าง 00000 ชนัญสรา อรนพ ณ อยุธยา hate speech กับ free speech ชนัญสรา อรนพ ณ อยุธยา กล่าวถึงการวิจัย "การกำกับดูแลสื่อที่เผยแพร่สื่อแห่งความเกลียดชัง โดยโฟกัสไปที่สื่อวิทยุโทรทัศน์" ว่าเป็นการศึกษารูแบบเนื้อหาในช่วงปีที่แล้วที่สถานการณ์ยังไม่มากขนาดปีนี้ แต่สิ่งที่ค้นพบก็อาจเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างที่นำมาถึงวันนี้ เราศึกษาทั้งในต่างประเทศด้วย เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมัน สิงคโปร์และออสเตรเลีย ซึ่งมีบริบทแตกต่างกัน แต่ดีเบตที่เกินขึ้นเหมือนกันคือ ระหว่าง hate speech กับ free speech ขอบเขตมันอยู่ตรงไหน บางประเทศที่เป็นเสรีนิยประชาธิปไตยอย่างอเมริกา จะยึดถือ free speech หรือ เสรีภาพในการแสดงความเห็น ความต่างนี้แล้วแต่จุดยืนของแต่ละประเทศ เช่น อเมริกาจะยึดการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความเห็น เขาจะมองว่า hate speech อยู่ใน free speech คือมีเสรีภาพที่จะพูดจนกว่ามันจะไปสู่ความรุนแรงก็จะถูกระงับ อย่างสิงคโปร์ที่เป็นอนุรักษ์นิยมก็มองที่การดำรงซึ่งความสุขสงบเป็นเรื่องสำคัญ หรือเยอรมันที่มีประสบการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็ออกกฏเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าอะไรเป็น hate speech อะไรไม่ใช่ ของเราอยู่ในกฏหมายหมิ่นซึ่งโน้มเอียงไปทาง ม.112 คือหมิ่นพระมหากษัตริย์ เป็นต้น ยังไม่พูดถึงการแสดงความเกลียดชังที่อ้างอิงต่อกลุ่ม จึงนำมาสู่การศึกษาว่าจะวางนิยามประเทศเราว่าอย่างไร ซึ่งยากที่จะระบุว่าอะไรเป็นหรือไม่ อิทธิพลสื่อในการยกระดับความขัดแย้ง ชนัญสรา กล่าวว่า ความเกลียดชังนั้นไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้น แต่มันมีขั้นตอนของมัน 1. เริ่มจากสื่อสร้างความวิตกกังวลว่ามีคนกลุ่มหนึ่งจะทำไม่ดีหรือลิดรอนสิทธิของเรา 2. ขั้นตอนไปนำไปสู่การทำให้แปลกแยกว่าเป็นพวกเขา พวกเรา เขาเป็นเสื้อสีนั้นนี้ 3. ไปถึงขั้นการกล่าวโทษผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เราสามารถทำลายล้างเขาได้ รูปแบบของเมืองไทยที่ผ่านมา จากการค้นพบจากสื่อกระแสหลักทั้งโทรทัศน์และวิทยุ รวมทั้งเคเบิลทีวี ทีวีดาวเทียม พบจุดร่วมคือองค์ประกอบของ hate speech มี 4 องค์ประกอบ 1. มีวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง 2. มีเป้าหมาย ซึ่งจะรู้ว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่อ้างอิงมีลักษณะความเป็นกลุ่ม 3. ระดับความร้ายแรง 4. กระบวนการสื่อที่ซ้ำๆ ต่อเนื่อง และใช้เวลา ไม่ใช่พูดแล้วเกิด ต้องสั่งสม ระดับความร้ายแรงมีหลายระดับ ในงานวิจัยจึงแบ่งเป็น 3 ระดับ 1. ขั้นดูถูกแบ่งเขาแบ่งเรา หรือเหมารวม 2. ลดคุณค่าว่าเขาไม่ใช่คน เปรียบมนุษย์ไม่ใช่คน ปฏิเสธการอยู่ร่วมกัน 3. ระดับยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางกายภาพ การขจัดทำลายล้าง หมิ่นประมาท ละเมิดศักศรีความเป็นมนุษย์หรือยั่วยุให้กระทำผิดกฏหมาย ชนัญสรา กล่าวต่อว่า จากการปรึกษาหารือว่าจะตัดสินว่า hate speech ควรตัดที่ระดับไหนนั้นเห็นว่าควรแบ่งเป็นระดับ 3 ซึ่งจะต่อเนื่องไปสู่การกำกับดูแลว่าควรกำกับโดยกฏหมาย ส่วนระดับอื่นนั้นก็ควรจะใช้วิธีการอื่น แต่ทุกคนก็มองว่าผลกระทบนั้นเกิดขึ้นได้ทุกระดับ สิ่งที่พบทั้งสื่อกระแสหลักและสื่อทางเลือกก็พบว่ารายการข่าวจะมีลักษณะคล้ายกันคือระดับ 2 กับ 1 ไม่ถึงระดับ 3 โดยกลุ่มเป้าหมายจะเป็นกลุ่มที่มีอคติจากอุดมการณ์ทางการเมือง คือ รสนิยมทางการเมือง และเรื่องของขั้วตรงข้ามด้วย เช่น เหลืองแดง ทักษิณนิยม อำมาตย์นิยม นิยมเจ้า-ล้มเจ้า หรือแม้กระทั้งเชื่อมไปถึงชนชั้น นี่คือการแบ่งขั้วอคติ ส่วนร้ายแรงระดับ 3 ในเวลานั้นพบได้บ้าง แต่คาดว่า ณ ขณะนี้อาจจะเยอะขึ้น วิทยุจะมีการปล่อยเสียงคนสัมภาษณ์เข้าไปในรายการ เช่น สัมภาษณ์ชาวบ้าน หรือทีวีก็เป็นผู้ดำเนินรายที่ฮาร์ดคอร์ สื่อกระแสหลักมักนำเสนอข่าว 2 ด้าน คือ ถ้าเปิดเสียงเวที ปชป. ก็เปิดเสียง นปช. ถ้าเป็นสื่อทางเลือก(partisan media)จะเลือกที่จะเลือกข้างว่าจะนำเสนอข้างไหน นี่คือธรรมชาติเพราะปัจจุบันคนมีเทคโนโลยี่เข้าถึงการสื่อสารมากก็อยากมีส่วนร่วมทางการเมืองก็มักเสพสื่อแบบนี้มากขึ้น ในอเมริกาก็เช่นกัน ปลูกความคิดเชิงวิพากษ์(critical thinking)ในสื่อ ชนัญสรา กล่าวด้วยว่า สื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ซับซ้อน สื่อใหม่ที่เลือกเป็นสื่อทางเลือก(partisan media) และ มันไม่มีพื้นที่ให้คุยกันได้หลากหลายในสื่อกระแสหลัก รวมทั้งสื่อไทยยังยึดโยงกับทุน ระบบเศรษฐกิจ การเมือง ดังนั้นสิ่งที่สำคัญจึงเป็นตัวจริยธรรมที่อยู่ภายในซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝังกันมา ด้วยเหตุนี้ถามว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมดีขึ้น การศึกษาควรเพิ่มวิชาการคิดเชิงวิพากษ์ คิดวิเคราะห์ได้ว่าสื่อนี้เป็นของใคร โปรด้านไหน แต่ปัญหาคือเมื่อมีสื่อเฉพาะพวกแล้วมันก็เป็นกลไกทางจิตวิทยาที่จะไม่เปิดรับสื่อตรงข้ามหรือรอบด้านด้วย นิเทศศาสตร์สอนให้เข้าใจว่าเบื้องลึกเบื้องหลังนั้นยากและนักศึกษาเข้ามาเรียนก็มักนึกถึงวงการบันเทิงมากกว่า องค์กรสื่อเองต้องทำตัวเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้วย ชัยรัตน์ ถมยา กระบวนการตักเตือน ชัยรัตน์ ถมยา กล่าวว่าเราก็พยายามที่จะนำเสนอ 2 ด้าน แต่ในบางครั้งคนที่ไปทำข่าวภาคสนามก็มีการเตือนให้ระมัดระวัง เช่น จะปล่อยเสียงคนที่พูดบนเวทีก็ไม่ควรที่จะปล่ยเสียงที่จะทำให้เกิดความเกลียดชัง ต้องเป็นเนื้อหาที่เราคิดว่ามันเหมาะสม แต่ทั้งหมดแล้วการตัดสินใจจะอยู่กับคนที่อยู่หน้างานเป็นส่วนใหญ่และคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น แม้หน้างานอาจต้องเร่งมากในการตัดสินใจ แต่สิ่งที่สำคัญคือการกลับมาดูว่าที่ทำไปนั้นมันทำให้เกิดความเกลียดชังหรือไม่ ซึ่งก็ต้องมีการตักเตือนกัน และควรมีประจำ การเลือกใช้คำ กับข้อจำกัดหน้างาน ชัยรัตน์ กล่าวด้วยว่าหน้าที่ของสื่ออย่างหนึ่งคือการเลือกใช้คำพูด แต่ละคำมีความสำคัญมาก อย่างในสหรัฐอเมริกา ช่วงการเลือกตั้ง มีการสื่อสารกันจนกระทั่งมีบางคนเชื่อว่าโอบามาเป็นมุสลิมเพราะฝ่ายตรงข้ามย้ำตลอดเวลาผ่านการเชื่อมโยงกับบริบทบางอย่าง เหมือนกับโอบาม่านับถื่อศาสนาอิสลาม หรือการใช้คำว่ากลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง มันเป็นการไปสร้างว่าคนมุสลิมต้องใช้ความรุนแรง ภายหลังมีการตกลงว่าจะใช้ว่าเป็นกลุ่มที่มีความคิดสุดโต่งแทน เป็นต้น ดังนั้นการใช้คำพูดหรือการเลือกคำพูดในการรายงานข่าวเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าจอด้วย เราก็ต้องพยายามคิดว่าจะเปลี่ยนคำตรงนั้นอย่างไรจากสคริปต์ ซึ่งก็ต้องพยายามแก้ไข แต่หน้างานจริงอาจมีเวลาน้อย ถ้าดูการทำงานในสตูดิโอข่าว บางข่าวนั้นไปนั่งรออ่านแล้วสคลิปต์ข่าวนั้นยังไม่มาก็มี การเลือกคำอาจใช้การอ้างอิงจากคำพูดของนักวิชาการอื่นที่เคยสัมภาษณ์มา เป็นต้น คนที่อยู่หน้าจอต้องระวังว่าสิ่งที่พูดมันจะต้องเป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่สิ่งที่เราคิด สำหรับข้อเท็จจริงบนเวทีที่เป็นการพูดนั้นเราสามารถเลือกได้ บอกได้ว่าอันนั้นนี้ไม่เอา เพราะมันมีบริบทที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ซึ่งคำพูดแบบนี้ส่วนใหญ่มันก็จะไม่มีข้อเท็จจริงเท่าไร เพราะเป็นการด่ากัน การทำข่าวเราก็จะบอกเสมอว่าจะไปขอความคิดเห็นของนักวิชาการบางท่านก็เป็นที่รับรู้ของสาธารณะถึงจุดยืนทางการเมือง ดังนั้นก็ต้องถ่วงดุลอีกฝ่ายด้วย แต่บางครั้งให้เวลาเท่ากัน อีกฝ่ายพูดได้ดีกว่า ก็กลายเป็นว่าเนื้อข่าวนั้นเอียงไปอีกฝ่าย สิ่งนี้จึงเป็นความท้าทายของการทำข่าวเช่นกัน การวิเคราะห์กึ่งสีเทา และการเสพสื่อแบบปรุงสำเร็จรูป ชัยรัตน์ กล่าวว่า ในการควบคุมคุณภาพของสื่อจะยากขึ้นหลังมีทีวีติจิตอล สำหรับประเทศที่ประชาธิปไตยพัฒนาอย่างตอนไปที่อเมริกาเวลาที่คนละขั้วมาเจอกันบนถนนเขาด่ากันแรงมาก แต่ด่าเสร็จเขาก็เดินจากไป การยั่วยุในอเมริกาก็มีอยู่เยอะ แต่ก็ไม่มีการนำไปสู่ความรุนแรง คนดูอยากให้ทำรายการแบบวิเคราะห์ ตนก็บอกว่าตนไม่มีความรู้ ก็ถูกบีบว่าให้ต้องวิเคราะห์ แต่การวิเคราะห์มันเป็นกึ่งสีเทาที่บางครั้งคุณก็ไม่ได้อยู่นเหตุการณ์ มันมีการเรียกร้องมากเยอะ ก็คิดอยู่ว่าการที่เราเสนอข้อมูลไปแล้วคนดูนำไปวิเคราะห์ได้หรือเปล่า หรือต้องการให้ปรุงสำเร็จรูปให้เสร็จเลยหรือ สุชาดา จักรพิสุทธิ์ ความน่ากลัวของเครื่องกรองคำของนักข่าว สุชาดา จักรพิสุทธิ์ กล่าว่า ที่น่ากลัวคือการกลั่นกรองคำของนักข่าวนั้นมาจากวิธีคิดชุดไหน เพราะนักข่าวจำนวนมากคิดว่ากำลังเสนอข้อเท็จจริง ความจริงข้อเท็จจริงมีเป็นจำนวนมาก แต่อะไรที่เราหยิบเอามานั้นก็อาจมีผลมาจากการเลือกข้างด้วย ดังนั้นสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสื่อที่พยายามรายงานข้อเท็จจริง พยายามตอกย้ำความเป็นหมาเฝ้าบ้าน แต่เนื้อแท้ไม่มีดุลยพินิจที่กว้างพอที่จะหยิบข้อเท็จจริงมานำเสนอ การเลือกที่จะสัมภาษณ์ใครนั้น ความจริงก็ไม่เพียงพอ และสื่อก็มักมีคนที่ให้ข่าวซ้ำๆ การชี้นำคนอ่านที่เป็นการผลิตซ้ำก็มีมาก สิ่งพบขณะนี้คือมีปัญหาสร้างผีตนหนึ่งที่เรียกว่า "นายใหญ่" ทำให้ทั้งหมดได้ทวีความเกลียดชัง ทำให้เห็นว่าสิ่งที่เขาเขียนมามันจึงไม่ใช่เพียงภาษาของการรายงานข่าวเท่านั้น มันสะท้อนวิธีคิดที่แม้ตัวนักข่าวก็ไม่รู้ตัว ไม่สามารถตั้งคำถามไปมากว่าตาดูหูฟัง สุชาดา กล่าวว่า ปัญหาแวดวงในองค์กรสื่อเอง อย่างเช่นกรณีการระบุชื่อสามีนายกฯ ผิดในข่าว ซึ่งเป็นผลมาจากการพูดเล่นกันในองค์กร แล้วเอาไปเขียนโดยเข้าใจว่าเป็นความจริง สิ่งนี้สะท้อนบรรยากาศภายในกองบรรณาธิการข่าวที่ช่วยกันบ่มความเกลียดชัง อคติ และตัวนักข่าวมีข้อมูลที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นสื่อที่ไม่สามารถตั้งคำถามไปมากว่าตาดูหูฟังแล้วก็หยิบเอาข้อเท็จจริงเท่าที่ตาดูหูฟังมาเสนอ จึงเป็นความจริงครึ่งๆ กลางๆ และที่ร้ายกว่านั้นคือ ความจริงที่ถูกนำเสนอนั้นก็ถูกบิดไปตามทัศนะของตนเองอีก ความเป็นจริงนั้นการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในสังคมที่หลากหลาย ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในสังคมที่สื่อเป็นธุรกิจประกอบการ หรือแม้ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งไม่ใช่แค่ไปนั่งในตำแหน่งสำคัญๆ ต่างๆ ปัจจุบันอาจไม่ใช่แค่เม็ดเงิน แต่เป็นเรื่องอุมดการณ์เดียวกัน แค่นี้ก็เห็นว่าสื่อบ้านเราอาจจะสอบตก แค่เรื่องไม่เลือกข้างก็แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นเป็นการยากที่จะมีสื่อที่จะมีดุลยพินิจที่สามารถแยกแยะได้ว่าข้อเท็จจริงชุดไหนควรนำเสนอ ซึ่งพาดโยงไปที่ระบบการศึกษาทั้งหมดที่ผลิตคนไปทำงานสื่อแล้วไม่สามารถคิดอะไรไปนอกเหนือที่แหล่งข่าวพูด ไม่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้ว่าถ้าเสนอไปจะเป็นผลลบ ทำตัวเองเป็นแค่กระจก ดังนั้นสื่อจึงนำสู่โศกนาฎกรรมจริงๆ ตั้งแต่ 6 ตุลา 19 นักศึกษาจำนวนมากต้องออกจากบ้าน มีคนจำนวนมากที่ถูกกระทำจากสื่อที่บิดเบือนข่าวสารกิจกรรมของนักศึกษาจนทำให้เกิดความรุนแรง การศึกษาหลอมสื่อให้มีอุดมคติที่ตายตัว สุชาดา ตั้งคำถามว่าอะไรที่ทำให้สื่อเกลียดทักษิณ ก็ต้องโทษการศึกษาที่มีอุดมคติที่ตายตัว เมื่อเกิดการปะทะมาของชนชั้นล่างที่ต้องการมากกว่าที่เป็นอยู่ในอุดมคติหลักของรัฐ ก็ถูกมองว่าเป็นพวกคนเลวที่ไม่ยอมรับอุดมคติเหล่านั้น สำหรับองค์กรสื่อที่เลือกข้างไปแล้วก็ไม่เท่าไร แต่องค์กรที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีวิธีคิดที่ตายตัวอยู่แล้ว แต่กลับคิดว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็นำความไม่รู้และการไม่ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง(ignorant)เช่นกัน การปราบปรามเชิงวัฒนธรรม สุชาดา กล่าวว่า สื่อนอกจากเป็นตัวแสดงแล้ว มันยังเป็นพลเมืองที่กระตือรือร้นทางการเมือง(Active Citizen)ด้วย นอกจากนี้ยังมีปรากฏการณ์ที่สมาคมวิชาชีพของสื่อพยายามทำให้สื่อรู้สึกดีกับภาคธุรกิจ มีการจัดอบรมร่วมกัน สิ่งนี้เป็นการปราบปรามเชิงวัฒนธรรมที่เนียนและลึกที่สุด สุดท้ายสื่อก็รู้สึกดีกับชนชั้นนำเหล่านั้น เพราะมันรู้สึกดีกับเขาไปแล้ว เชื่อไปแล้วว่าเขาดีส่งผลให้มันอยู่ในชุดความคิดเดียวกัน นักเขียนข่าว, และการตรวจสอบโดยบุคคลที่สาม (Third-party) สุชาดา กล่าวด้วยว่า สื่อไม่มีระบบพัฒนาศักยภาพ ทำให้สื่อกลายเป็นเพียงนักเขียนข่าว ยึดอาชีพนี้เป็นนักเทคนิค ยุคก่อนนั้นวารสารศาสตร์เป็นการเรียนศาตร์แห่งการอ่านโลก ทำให้อ่านสถานการณ์ออก แต่ตอนหลังเป็นการเรียนในเชิงเทคนิคหมด สถาบันสื่อไม่ได้ลอยอยู่กลางอากาศ คนทำงานสื่อเป็นผลผลิตของการศึกษา พอเข้าสู้วิชาชีพก็ไม่มีระบบการพัฒนาก่อน แต่กระโดดเข้าสนามข่าว ทำให้ไม่สามารถวิพากษ์ปรากฏการณ์ได้ เพราะฉะนั้นเวลาเราพูดถึงสื่อสันติภาพนั้นเราจะพูดเพียงสื่อไม่ได้ ต้องไปถึงระบบการศึกษา องค์กรต่างๆ ภาคประชาสังคมที่จะตรวจสอบสื่อ สื่อควรเป็นพื้นที่ตรงกลาง เพราะความรุนแรงมันจะเกิดขึ้นแน่ถ้าไม่มีพื้นที่ตรงกลาง สื่อมักพูดถึงการควบคุมกันเอง แต่มันยังขาดบุคคลที่สาม (Third-party) คือผู้บริโภคสื่อ ซึ่งสถาบันสื่อที่ไม่คิดเรื่องนี้ คิดว่าตัวเองควบคุมได้ ดังนั้นต้องไปไกลกว่าการคุบคุมตัวเองหรือกันเอง แต่ต้องเปิดโอกาสให้ส่วนอื่นเข้ามาควบคุม ประจักษ์ ก้องกีรติ กรณีรวันดา ประจักษ์ ก้องกีรติ กล่าวว่าเรื่องความรุนแรงทางการเมืองนั้นนักวิชาการจะพูดถึงสื่อมาก เพราะมันเป็นได้ยากมากที่จะพิจารณาความรุนแรงโดยไม่ดูบทบาทของสือ กรณีคลาสสิคคือกรณีรวันดา ที่เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่มากที่สุดหลังกรณีฮอโลคอสต์(สมัยฮิตเลอร์) จากการณีที่ชาวตุดซีในรวันดาที่เป็นคนส่วนน้อยถูกฆ่าล้างเผ่าพันธ์โดยรัฐและชาวฮูตู อาวุธที่ใช้ฆ่านั้นโบราณเช่นใช้มีดพร้าของเกษตรกร โดยนักวิชาการพยายามไปค้นคว้าว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้พบว่าสื่อมีบทบาทสำคัญมาก เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฆ่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าสื่อเป็นสาเหตุเดียวที่นำไปสู่ความรุนแรงทั้งหมด โดยกรณีสื่อไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรง แต่ทำหน้าที่ 3 ประการ 1. แพร่กระจายถ้อยคำ เพลงปลุกใจ สร้างบรรยากาศให้เอื้อต่อการสร้างความรุนแรง 1.1. ไปลดทอนความเป็นมนุษย์หรือทำให้มีความเป็นคนไม่เท่าเรา เช่น 6 ตุลา 19 มีการบอกว่าฆ่าคอมมิวนิสต์ ไม่บาป 1.2. ไปปลุกปั่นให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นยักษ์เป็นมาร เป็นคนที่น่ากลัวกว่าความเป็นจริง สร้างปีศาจ ซึ่งในสังคมไทยนั้นกระบวนการนี้สร้างขึ้นมามาก ทั้ง 2 กระบวนการนี้ทำให้สร้างวาทกรรมที่จะไปกำจัดอีกฝ่ายก่อนเพื่อนความปลอดภัย เช่น สมัยนั้นมีการปลุกระดมว่าชาวตุดซี่จะฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวฮูตู 2. สื่อทำหน้าที่ประสานงานนักการเมืองหัวรุนแรง ประกาศชี้เป้าว่าขณะนั้นแกนนำคนสำคัญของตุดซี่อยู่ตรงไหน เพื่อให้ชาวฮูตูไปฆ่า และรายงานวิจัยก็พบว่าหลังประกาศไม่นานก็ถูกฆ่า ดังนั้นมีความชัดเจนว่าคนฟังสื่อแล้วไปที่เกิดเหตุ ดังนั้นเป็นเหตุให้ในศาลอาญาระหว่างประเทศนำเจ้าของสถานีวิทยุจึงถูกพิพากษาว่าผิดด้วย ถือว่าคุณมีผลในการปกป้องได้ 3. ชี้นำสาธารณะให้เห็นว่าความรุนแรงเท่านั้นเป็นทางออกและจำกัดทางเลือกสันติวิธีออกไป ในสังคมไทย สื่อควรทำหน้าที่เป็นองค์กรที่มีสติมากที่สุด สื่อควรเป็นสติของสังคม ให้ทางเลือกที่หลากหลาย ให้ความเห็นที่รอบด้านในสังคม แต่สื่อไม่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้กลับไปทำหน้าที่เป็นผู้เล่นในการเมือง สื่อในฐานะตัวละครทางการเมือง ประจักษ์ กล่าวว่าเวลาเราพูดถึงตัวละครทางการเมือง สื่อมักถูกละเลย ช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมาจะสอนโดยละเลยสื่อไม่ได้ เพราะสื่อเป็นตัวละครในการเมืองแล้ว ตอนนี้สื่อทั้งองค์กรหลายองค์กรเลือกที่จะเป็นผู้เล่น เขียนบทลงไปในสนามเป็นกองเชียร์ และเอาสื่อทั้งหมดไปรับใช้เป้าหมายทางการเมืองตรงนั้นซึ่งอันตรายมาก ข้อมูลมันถูกสกีนออก เช่น เห็นว่าภาพข่าวอันไหนที่จะไปทำให้ขบวนการนั้นอ่อนลงก็ถูกตัอออก ดังนั้นแทนที่สื่อจะไปถอดชนวนความรุนแรงกลับไปเติมความรุนแรง สื่อกำลังข้ามเส้นบทบาทตัวเอง นอกจากสื่อแล้วก็มีตุลาการด้วย การเมืองสีเทาในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่พระเอกผู้ร้ายแบบลิเก จริงๆ แล้วการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นสีเทา ถ้าเราอยู่ในระบอบเผด็จการนั้นการเมืองมันขาวดำ สื่อเลือกข้างได้ ในการที่จะตรวจสอบรัฐบาล ในการอยู่ข้างประชาธิปไตย แต่เมื่อมายุคประชาธิปไตยปัจจุบัน มันเป็นการต่อสู้บนผลประโยชน์และอุดมการณ์ที่หลากหลาย สื่อต้องมองว่าการเมืองมันเป็นสีเทา ไม่มีอะไรถูก 100% หรือ ผิด 100% การเมืองมันไม่ใช่พระเอกผู้ร้ายแบบลิเกที่ไม่เห็นมิติของความซับซ้อน ที่มันต่อสู้มานี้ไม่มีใครเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย 100% แต่สิ่งที่สื่อควรยึดคือการสร้างบรรยากาศจรรโลงประชาธิปไตยไว้ จะเลือกข้างมีอคติได้ มันเป็นธรรมดาที่จะไม่สามารรถตัดได้ แต่อย่างน้อยสื่อไม่ควรไปเลือกข้างจนไปทำลายระบอบประชาธิปไตย โดยไม่เลือกวิธีการที่จะเชียร์ในการกำจัดฝ่ายตรงข้าม เพราะถ้าไม่เลือกวิธีการแล้ว เมื่อฝ่ายที่เชียร์ชนะแล้วอีกฝ่ายก็คิดว่าเขาไม่เคารพกติกาได้เช่นกัน จนกระทั่งทุกฝ่ายเหลืออาวุธเดียวกันคือ กำลัง ประจักษ์ ตั้งคำถามว่าสังคมไทยจะไปถึงรวันดาไหม ก่อนหน้านี้คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะมีหลายปัจจัยที่ทำให้เป็นไปแบบรวันดา แต่ถามวันนี้ชักไม่แน่ใจ เพราะกระบวนการสร้างของสื่อมันไปไกลแล้ว มันรอเพียงน้ำผึ้งหยดเดียว และกติกาก็เริ่มถูกทำลายแล้ว กระทั่งศาลก็ทำอะไรที่นักกฏหมายหลายคนออกมาตั้งคำถามแล้ว สถานการณ์อาจเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งที่ทุกฝ่ายเหลืออาวุธเดียวกันคือกำลัง ต้องตั้งคำถามกับสิ่งที่เชื่ออยู่ ไม่ใช่ตอกย้ำมัน ประจักษ์ กล่าวด้วยว่าคนที่ทำสื่อก็มาจากหลากหลายสาขา รัฐศาสตร์ก็ไปเป็นสื่อมากเพราะมีความคิดว่าจะสร้าง impact ได้ แต่ภายใต้ความคิดแบบนี้ก็มีปัญหาอยู่เช่นกัน จากการมีคำตอบไว้ในใจอยู่แล้ว สำหรับในทางรัฐศาสตร์เวลาพูดถึงการสื่อสารเราจะพูดถึงการสื่อสารทางการเมืองที่มากว่าองค์กรสื่อ แต่ยังรวมถึงพรรคการคเมือง กลุ่มเคลื่อนไหว นักวิชากากร ก็ทำหน้าที่สื่อสารเช่นกัน ในโลกสมัยใหม่ทุกคนก็ทำหน้าที่เป็นสื่อด้วย รวมทั้งโพสต์ความเห็น ทัศนคติ มันแพร่หลายมาก ไฮสปีดอินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียก็เป็นช่องทางทั้งในการสร้าความเข้าใจและอคติมากขึ้นด้วย หน้าที่ของการศึกษามันควรจะเป็นว่าเมื่อเข้ามาเรียนแล้วถึงจุดหนึ่งคือ ตั้งคำถามกับสิ่งที่เชื่ออยู่ ไม่ใช่ตอกย้ำความเชื่อเดิม เพราะอย่างนั้นไม่ต้องมาเรียนแล้ว อ่านหนังสือพิมพ์อยู่บ้านก็ได้ และตอนนี้เราอ่านหนังสือพิมพ์ก็เพื่อตอกย้ำความเชื่อเดิมที่เราเชื่อ สื่อก็ยิ่งทำหน้าที่ตรงนี้ ตอนนี้ถ้ามองกว้างๆ สื่ออาจมีความหลากหลาย แต่เมื่อเข้าไปดูในองค์กรสื่อหนึ่งก็พบว่าไม่มีความหลากหลาย พบปรากฏการณ์ที่ทุกองค์กรสื่อลดทอนความหลากหลายออก จนกระทั่งช่องเอเชียอัพเดทก็มีการถอดรายการของ บก.ลายจุด รายการคุณณัฐวุฒิ ฯลฯ ที่มีความคิดต่างจากพรรคเพื่อไทยไป ซึ่งอันนี้เป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
‘สุเทพ’ลั่นเปลี่ยนแปลงประเทศ “ปกครองด้วยระบอบพระมหากษัตริย์ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง” Posted: 23 Nov 2013 07:30 PM PST สุเทพ เทือกสุบรรณ ขึ้นกล่าวปราศรัยเวที คปท. แยกนางเลิ้ง ประกาศปณิธานขจัดระบอบทักษิณ เปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทย ให้เป็นประเทศไทยที่ปกครองด้วยระบอบพระมหากษัตริย์ ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง เมื่อช่วงค่ำวันที่ 23 พ.ย.2556 สุเทพ เทือกสุบรรณ ขึ้นกล่าวปราศรัย เวทีเครือข่ายนักศึกษาและประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. ที่สี่แยกนางเลิ้ง ว่า "พี่น้องผู้รักชาติรักแผ่นดินที่เคารพทุกท่านครับ เกิดมาทั้งทีชีวิตหนึ่ง มีครั้งนี้ที่เราจะได้เสียสละทุ่มเทเพื่อประเทศไทยและอนาคตของลูกหลานไทยทุกคน ผมปลื้มใจและภาคภูมิใจเป็นที่สุดที่ได้ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้เพื่อประเทศไทยร่วมกับมวลมหาประชาชนและบรรดาแกนนำของทุนกลุ่มทุกองค์กรครับ" สุเทพ กล่าวอีกว่า"ผมขอให้คำมั่นสัญญาแทนเพื่อนๆผู้เป็นคณะกรรมการแกนนำที่ราชดำเนินว่าพวกเราจะยืนหยัดต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านจนกว่าชัยชนะจะเป็นของประชาชนครับ และขอกราบเรียนยืนยันกับพี่น้องทั้งหลายว่าการต่อสู้ของพวกเราครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง หรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เราผนึกหัวใจสู้เพื่อประชาชนคนไทยและแผ่นดินไทยครับพี่น้องครับ" "ข้อที่ 1 เราต้องร่วมใจกันขจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซากพ้นแผ่นดินไทย และข้อที่ 2 เราจะหลอมหัวในด้วยกันเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทย ให้เป็นประเทศไทยที่ปกครองด้วยระบอบพระมหากษัตริย์ ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง นั่นคือปณิธานของเราของคนไทยทุกคนที่หลอมดวงใจต่อสู้ในคราวนี้" สุเทพ กล่าวทิ้งท้าย โดยหลังการปราศรัยของสุเทพ สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มการเมืองสีเขียว ได้กล่าวว่า "ผมเชื่อเหลือเกินว่าบทปราศรัยของคุณสุเทพสั่นๆ เมื่อตะกี้เป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนต้องการได้ยินและได้ฟังมากที่สุด"
การปราศรัยของแกนนำโค่นล้มระบอบทักษิณ กปท. และ คปท. บนเวทีย่อยของ คปท. ที่นางเลิ้ง เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2556 โดยการปราศรัยของสุเทพ เทือกสุบรรณเริ่มในช่วงนาทีที่ 2.38 เป็นต้นไป ที่มา: ASTV ผู้จัดการออนไลน์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น