โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ยังไม่เกิดหยุดงานทั่วประเทศตามที่ 'สุเทพ' เชิญชวน - เล็งนัดใหม่ศุกร์นี้

Posted: 13 Nov 2013 01:23 PM PST

สุเทพ เทือกสุบรรณนัด 15 พ.ย. ชวน ปชช.ร่วมชม 'พาเหรด' จะมีเชิดสิงโต-แตรวง-กลองยาว ส่วนสถานการณ์หยุดงานวันแรก ไฟฟ้า-ประปายังบริการปกติ รถเมล์-รถไฟไม่หยุด 'ชัชชาติ' บอกไม่ห้ามถ้าจะร่วมชุมนุมเพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล นครบาลจะดำเนินคดีเฉพาะรถกีดขวางจราจร - เตรียมเรียก 'สุเทพ' รับทราบข้อหา

ประชาชนเข้าร่วมการชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เมื่อ 11 พ.ย. ที่ ถ.ราชดำเนิน (แฟ้มภาพ/ประชาไท)

 

ตามที่เมื่อวันที่ 11 พ.ย. สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศชุมนุมต่อจนกว่าร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะหายไปจากสารบบ มีการนำ 9 ส.ส.ประชาธิปัตย์เพื่อมานำการต่อสู้ และมีการประกาศ 4 มาตรการอารยะขัดขืน ได้แก่ หนึ่ง หยุดงาน หยุดเรียน ระหว่างวันที่ 13-15 พ.ย. สอง หยุดชำระภาษี สาม ปักธงชาติ ตามบ้านเรือนหรือพาหนะ และให้พกนกหวีด สี่ ถ้าพบเห็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และผู้เกี่ยวข้องไม่ต้องพูดด้วย แต่ให้เป่านกหวีดใส่นั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

 

สภาอุตสาหกรรม หอการค้า ไม่เอาด้วยมาตรการหยุดงาน-ไม่ชำระภาษี

ภายหลังมาตรการดังกล่าวมีการประกาศออกไป ข่าวสดออนไลน์เมื่อ 13 พ.ย. ได้เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่าไม่ได้ตอบรับกับข้อเสนอหยุดงาน และเสียภาษี โดยพยุงศักดิ์ระบุด้วยว่าถ้าไม่เสียภาษีก็จะเป็นการคอร์รัปชั่นอีกประเภทหนึ่ง

 

มหาดไทยระบุไฟฟ้า-ประปาทำงานตามปกติ - ชุมนุมได้หลังเวลางาน

ขณะที่ในวันที่ 13 พ.ย. ซึ่งเป็นวันแรกของการใช้มาตรการหยุดงาน 3 วันที่สุเทพประกาศนั้น สำนักข่าวแห่งชาติ รายงานคำให้สัมภาษณ์ของ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ที่ระบุว่า ได้พูดคุยกับ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการประปานครหลวงแล้ว ซึ่งสหภาพแรงงานได้รับว่าจะไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน โดยเฉพาะการให้บริการประชาชนจะยังคงให้บริการตามปกติ ส่วนการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการชุมนุมเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่สามารถกระทำได้ แต่ขอให้ดำเนินการหลังเลิกงานแล้ว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวด้วยว่า อธิบดีกรมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้ยืนยันแล้วว่า องค์กรต่าง ๆ ในสังกัดจะไม่มีการหยุดทำการ เนื่องจากไม่เห็นด้วย

 

ชัชชาติระบุรถเมล์-รถไฟเดินตามปกติ ไปร่วมชุมนุมได้ตามสิทธิส่วนบุคคล

ส่วนสถานการณ์ด้านกิจการขนส่งสาธารณะนั้น สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม กล่าวว่า หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับระบบขนส่งในสังกัดกระทรวงคมนาคมยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ไม่มีการหยุดงาน ส่วนพนักงานรัฐวิสาหกิจที่จะเข้าร่วมชุมนุมนั้นเป็นสิทธิส่วนบุคคล กระทรวงไม่ได้คัดค้านหรือบังคับ แต่ขอให้เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ดำเนินการในนามขององค์กร และพนักงานต้องคำนึงถึงหน้าที่หลักในการบริการประชาชน ขณะที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) ชี้แจงว่า ยังคงปฏิบัติการบินตามปกติ ไม่มีผลกระทบต่อการทำการบินและจำนวนเที่ยวบินที่ให้บริการ

สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า ด้านวีระพงษ์ วงศ์แหวน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ยืนยันยังไม่มีมติปล่อยรถช้าตามมาตรการอารยะขัดขืน พร้อมเรียกประชุมกรรมการบริหารสหภาพฯ รับฟังความเห็น ย้ำทุกวันนี้รถให้บริการช้าเพราะมีจำนวนน้อยและจอดเสียอยู่แล้วมากถึง 800 คัน

 

มหาวิทยาลัยสังกัด สกอ. ไม่มีการปิดการเรียนการสอน

อนึ่ง สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ออกประกาศเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2556 แจ้งไปยังสถาบันอุดมศึกษาจากกรณีที่มีผู้แอบอ้างใช้ชื่อ สกอ.ออกประกาศ ปิดการเรียนการสอนในระหว่างวันที่ 13-15 พฤศจิกายนนี้ โดยทางสกอ.ยืนยันว่าไม่เคยออกประกาศดังกล่าวและขอให้สถาบันอุดมศึกษาในสังกัดและกำกับเปิดการเรียนการสอนตามปกติ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

 

นครบาลระบุจะดำเนินคดีเฉพาะรถที่กีดขวางการจราจรเท่านั้น

สำนักข่าวแห่งชาติ รายงานว่า พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่าการดำเนินคดีกับสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส. พรรคประประชาธิปัตย์ ฐานยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และยุยงให้หยุดงานนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบปากคำพยาน ถอดเทปการปราศรัย และรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป

นอกจากนี้ ยังสั่งการให้ตำรวจจราจร จับกุมและดำเนินคดีฐานผิดพระราชบัญญัติจราจร และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ 117 กับรถที่มีการติดธงสัญลักษณ์ธงชาติ และเข้ามาก่อความวุ่นวาย โดยจอดกีดขวางการจราจรโดยทันที พร้อมยืนยันว่า จะไม่ดำเนินคดีกับรถที่ไม่กระทำผิดกฎจราจร แม้จะมีการติดธงสัญลักษณ์ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์แนวหน้า ได้นำไปรายงานข่าวโดยคาดเคลื่อนจากที่ บช.น.แถลง โดยพาดหัวข่าวว่า "บช.น.สั่งทุกสน.จับรถติดธงชาติ ยัดเยียดข้อหาป่วนเมืองทำรถติด"

 

สุเทพนัดใหม่ 15 พ.ย. เชิญชวนประชาชนมาร่วม "พาเหรด"

ส่วนสถานการณ์ชุมนุมที่ ถ.ราชดำเนิน เมื่อคืนวานนี้นั้น (13 พ.ย.) ช่วงเวลาประมาณ 20.30 น. สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ขึ้นปราศรัยตอนหนึ่งกล่าวว่า ได้บอกการต่อสู้ทั้งหมดต้องจบภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ หลายคนสงสัยว่าจะจบอย่างไร สู้ด้วยมือเปล่าจะชนะอย่างไร โดยสุเทพได้ยกประวัติมหาตมะ คานธีมาเล่าให้ผู้ชุมนุมฟังว่า มหาตมะ คานธี ได้นำประชาชนสู้ด้วยมือเปล่า จนอินเดียได้รับเอกราช และเมื่อเขามาเป็นแกนนำก็จะถามความเห็นพี่น้องทุกขั้นตอน ทุกระดับของการต่อสู้ โดยขอนัดวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่เราจะใช้มาตรการอารยะขัดขืนด้วยการหยุดงานเป็นวันสุดท้าย มาประเมินหัวใจ ประเมินความคิด และจะมาปรึกษากันว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร

สุเทพได้นัดประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัดให้จัดกระเป๋าแล้วเดินทางมาชุมนุมที่ ถ.ราชดำเนินให้มาก่อนเวลา 18.00 น. สุเทพกล่าวด้วยว่าจะมีนิสิต นักศึกษา อาจารย์ที่นัดหมายไว้แล้วมาร่วมชุมนุมด้วย จะมีโรงเรียน มหาวิทยาลัยต่างๆ มาเดินพาเหรด อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ผู้นี้ระบุด้วยว่า จะมีพี่น้องชุมชนใน กทม. จะเอาขบวนเชิดสิงโตมาเดินนำ มีวงดุริยางค์ มีกลองยาว "รับรองไม่เหงา" สุเทพกล่าว

"วันที่ 15 พฤศจิกายน เป็นวันนัดหยุดงานวันสุดท้าย ขอเชิญชาว กทม. ใครมีธุระที่ต้องออกจากบ้านวันศุกร์ให้รีบทำวันพฤหัสบดี เพราะวันศุกร์รถติดทั่งกรุงเทพฯ แน่นอน ท่านไปทำงานไม่สะดวกแน่ วิธีที่ดีที่สุด จอดรถไว้ที่บ้าน นั่งแท็กซี่มา พรุ่งนี้กลางวันผมจะซักซ้อมขอ 3 ช่องจราจร ไม่มีแผงเหล็กมากั้น เปิดให้ริ้วขบวนเดินได้สะดวก หลัง 6 โมงเย็นเราจะปรึกษากันว่าเราจะจัดการอย่างไรกับยิ่งลักษณ์ และตระกูลชินวัตร" สุเทพกล่าว

 

พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ อ่านคำแถลงการณ์ของกองทัพประชาชน ประกาศสถานการณ์ปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 56 ที่เวที กปท. เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ (ที่มา: FMTV)

 

กปท.ประกาศสถานการณ์ปฏิวัติประชาชน คปท.จะไปปราศรัยสีลมค้าน ม.190

สำหรับสถานการณ์ชุมนุมของกลุ่มอื่นๆ นั้น ที่เวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศ กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) นำโดย พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ และ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ ได้อ่านประกาศ "สถานการณ์ปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย"  โดย พล.อ.ปรีชา ปราศรัยว่า "ผมอยากแจ้งให้ท่านทราบว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย มาตั้งแต่เมื่อ 11 พ.ย. เวลา 15.30 น." (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ขณะที่เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ซึ่งชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์นั้น เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า นิติธร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษา คปท. ปราศรัยว่า จะมีการเดินขบวนจากสะพานมัฆวานรังสรรค์ไปที่ ถ.สีลม ในวันที่ 14 พ.ย. เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และเรียกร้องให้พาวีระ สมความคิด ซึ่งถูกคุมขังในกัมพูชา กลับประเทศไทยโดยเร็ว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นปช. นัดชุมนุมใหญ่ 3 วันติดลุ้นศาล รธน.วินิจฉัยเรื่องแก้ที่มา ส.ว.

Posted: 13 Nov 2013 12:30 PM PST

'จตุพร' แถลงนัดเสื้อแดงชุมนุมใหญ่ 3 วันติดที่เมืองทอง ติดตามศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว. หวั่นพรรคเพื่อไทยถูกยุบ

13 พ.ย. 2556 - จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วยคนเสื้อแดงแถลงตอบโต้พรรคประชาธิปัตย์และแกนนำการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่า หลังจากที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยยอมถอยร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแล้ว ถือว่าการชุมนุมดังกล่าวได้รับชัยชนะแล้ว ดังนั้น การชุมนุมควรยุติ แต่แกนนำชุมนุมและพรรคประชาธิปัตย์กลับพยามยามสร้างเงื่อนไขการชุมนุมเป็นการล้มรัฐบาล

นายจตุพร กล่าวว่า การกระทำอารยะขัดขืนก็เพียงเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องผิดกฎหมาย และบอกว่าการชุมนุมจะได้รับชัยชนะภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับสัญญาณบางอย่างจากคนบางคนว่าศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนกรณี ส.ส.ยื่นคำร้องว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว.ให้มาจากการเลือกตั้ง ขัดมาตรา 68 ล้มล้างการปกครองฯ หรือไม่ ในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ ถ้ามีการวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญจะทำให้ ส.ส. และ ส.ว. 312 คนพ้นจากตำแหน่งและยุบพรรคการเมืองขั้วรัฐบาลทั้งหมด และภายในสัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้าพรรคประชาธิปัตย์จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทันทีที่ยื่นอภิปราย รัฐบาลก็ไม่สามารถยุบสภาได้และเมื่อยุบสภาไม่ได้ วันที่ 20 ส.ส. และ ส.ว. 312 คนพ้นจากตำแหน่ง ยุบสภาก็ไม่ได้ ประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นในสภาก็จะเหลือแต่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ว.สรรหา บ้านเมืองจะเดินเข้าสุญญากาศ เป็นไปตามที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามดำเนินการมาโดยตลอด

ดังนั้น คนเสื้อแดงจะมีการนัดชุมนุมใหญ่ ติดต่อกัน 3 วัน คือวันที่ 18-20 พ.ย.นี้เพื่อติดตามการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เมืองทองธานี" นายจตุพร กล่าว

 

แกนนำผู้ชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เตรียมยกระดับการชุมนุมให้เข้มข้นขึ้นวันศุกร์นี้

วันเดียวกัน สำนักข่าวไทยรายงานบรรยากาศการชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เริ่มคึกคักตั้งแต่เวลา 15.00 น. ประชาชนทยอยเข้าจับจองพื้นที่ฟังปราศรัยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยนายแทนคุณ จิตต์อิสระ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเวทีปราศรัยเป็นคนแรก โจมตีรัฐบาลโกหกหลอกลวงประชาชน เพราะยังไม่ทำให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ตายไปจากสภาฯ แม้วุฒิสภาจะคว่ำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไปแล้วก็ตาม แต่สภาผู้แทนราษฎรอาจฉวยโอกาสหยิบขึ้นมาพิจารณาได้อีก จากนั้นมีแกนนำและผู้ที่คัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สลับกันขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งโจมตีการทำหน้าที่ของตำรวจนครบาลละเมิดสิทธิประชาชน จากกรณีสั่งให้ทุกสถานีตำรวจเข้มงวดกวดขันจับกุมรถที่ติดธงชาติวิ่งบนท้องถนน หลังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศอารยะขัดขืน โดยเชิญชวนให้ประชาชนติดธงชาติทุกสถานที่เพื่อแสดงการต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ โฆษกกลุ่มผู้ชุมนุม เปิดเผยอ้างว่า วันนี้ได้รับความร่วมมือและการตอบรับจากประชาชนหลายกลุ่มที่ดำเนินตามแนวทางอารยะขัดขืน พร้อมยืนยันจะชุมนุมต่อไปจนกว่าจะได้รับชัยชนะ คือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะต้องออกพ้นสภาฯ โดยในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายนนี้ แกนนำจะมีแนวทางยกระดับการชุมนุมอีกครั้ง

เรียบเรียงจาก : สำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลรธน.ไม่รับคำร้องเรืองไกร กรณี 'อภิสิทธิ์-สุเทพ' จัดตั้งศาล ปชช. เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง

Posted: 13 Nov 2013 12:11 PM PST

ศาล รธน.ระบุการชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมยังเป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เครือข่ายราษฎรอาสาฯ ร้องเพิกถอนร่างแก้ไข รธน.ม.190 ขณะที่แดง กวป.ร้องศาล รธน. สั่งให้ยุติการชุมนุม-ยุบ ปชป.

13 พ.ย.2556 - ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยรายงานจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า ในการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้าข่ายกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่ จากกรณีจัดตั้งศาลประชาชนและจะใช้อำนาจศาลประชาชน ไปพิพากษาคดีบุคคลอื่นตามอำเภอใจและขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินไปยังนายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ ให้หยุดการกระทำดังกล่าว รวมถึงสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตามรัฐธรรมนูญ วรรคสาม และสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสี่

ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การชุมนุมของนายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ เป็นการชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิด เนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ...และเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ จึงยังไม่มีมูลกรณีที่เป็นการกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ส่วนประเด็นคำขออื่นไม่จำเป็นต้องพิจาณา

 

เครือข่ายราษฎรอาสาฯ ร้องเพิกถอนร่างแก้ไข รธน.ม.190

วันเดียวกัน นายบวร ยสินทร ประธานเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เข้ายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้วินิจฉัยว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา190 ที่จำกัดอำนาจรัฐสภาในการพิจารณาให้ความเห็นชอบการทำหนังสือสัญญาของฝ่ายบริหาร ซึ่งนายประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี ยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญดังกล่าว นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานรัฐสภา และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร่วมดำเนินการแก้ไข เข้าข่ายกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่

คำร้องของนายบวรระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ดังกล่าว นอกจากสมาชิกรัฐสภาจะยกอำนาจที่เป็นของรัฐสภาไปให้ฝ่ายบริหารแล้ว ยังเป็นการตัดสิทธิรับรู้ของประชาชนผ่านการประชุมของรัฐสภา ถือว่าการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาในกรณีนี้ไม่เป็นไปโดยสุจริต เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ อันเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 122 และแม้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 จะเริ่มโดยสมาชิกรัฐสภา แต่ก็ทำเพื่อประโยชน์ฝ่ายบริหารโดยตรง นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำฝ่ายบริหาร จึงไม่อาจปฏิเสธถึงการมีส่วนเกี่ยวข้องผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 190 นี้ จึงขอให้ศาลวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และสั่งให้บุคคลทั้งหมดยกเลิกการกระทำดังกล่าวและสั่งเพิกถอนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาในวาระ 3 เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ไม่ว่าจะอยู่ในขั้นตอนใดทันที

 

แดง กวป.ร้องศาล รธน.สั่งให้ม็อบยุติการชุมนุม-ยุบ ปชป.

วันเดียวกัน นายศรรักษ์ มาลัยทอง โฆษกกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กวป. และนายหนึ่งดิน วิมุตตินนท์ ทนายความชมรมผู้รักความเป็นธรรม ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้วินิจฉัยการกระทำของ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พร้อมพวก ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และได้ลาออกจากการเป็น ส.ส. รวม 9 ราย และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่ากระทำการเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองหรือกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิถีทางที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่

นายศรรักษ์กล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ หรือ กปท. มีลักษณะคู่ขนานแบ่งงานกันทำร่วมกับนายสุเทพและพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นผู้นำการชุมนุมกลุ่มประชาชนต่อต้านร่าง พ.ร.บนิรโทษกรรม เข้าข่ายกระทำความผิดฐานเป็นกบฏตามมาตรา 113 มาตรา 116 มาตรา 83 มาตรา 86 ของประมวลกฎหมายอาญา เมื่อวันที่ 12 พ.ย. กปท. ได้ออกประกาศปฏิวัติยึดอำนาจรัฐโดยประชาชนนั้นถือว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะติชมโดยสุจริต แต่มุ่งหมายที่จะล้มล้างรัฐบาล เพราะมีการข่มขู่ว่าหากนายกรัฐมนตรีไม่หยุดงาน รวมทั้ง ผบ.ทุกเหล่าทัพและปลัดกระทรวงทุกกระทรวงไม่มาเข้าพบคณะเสนาธิการร่วม กปท. ภายใน 4 ชม. จะเคลื่อนพลประชาชนไปในแต่ละกระทรวง ยึดอำนาจรัฐโดยเร่งด่วนเพื่อรักษาอธิปไตย

นายศรรักษ์กล่าวอีกว่า การชุมนุมต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่มีนายสุเทพเป็นแกนนำ ได้ประกาศบนเวทีเมื่อวันที่ 12 พ.ย. ให้หน่วยราชการ เอกชน หยุดงานทั่วประเทศระหว่างวันที่ 13-15 เพื่อมาร่วมชุมนุม รวมทั้งให้นักธุรกิจ ห้างร้าน เอกชน ชะลอการชำระภาษีกลางปี ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครอง จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งหมดยุติการชุมนุม พร้อมมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี และขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวฉุกเฉินสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งหมดยุติการชุมนุมไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย

 

เรียบเรียงจาก : สำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภาคีเพื่อสิทธิมนุษยชนไทย–ออสเตรเลีย เสนอออก “พ.ร.ก.” นิรโทษประชาชน

Posted: 13 Nov 2013 11:48 AM PST

 

14 พ.ย.56 เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ภาคีเพื่อสิทธิมนุษยชนไทย-ออสเตรเลีย ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนและข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1. คัดค้าน ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับแก้ไขโดยกรรมาธิการ 2.ให้รัฐบาลเร่งออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรมเพื่อช่วยเหลือประชานทุกสีเสื้อ รวมทั้งนักโทษการเมืองคดี 112 และ 3. จะร่วมกับประชาชนทั้งในและนอกประเทศต่อต้านการรัฐประหาร การโค่นล้มรัฐบาลเพื่อให้ได้อำนาจ ซึ่งไม่เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย

ทั้งนี้  กลุ่มดังกล่าวเดิมชื่อ Thai Red Australia เป็นองค์กรเฉพาะกิจ เกิดจากการรวมตัวของคนไทยในออสเตรเลียเพื่อต่อสู้เรื่องประชาธิปไตยร่วมกับคนในประเทศไทย และเข้าร่วมพันธกิจสนับสนุนด้านสิทธิมนุษยชนกับองค์กรสิทธิมนุษยชนในประเทศออสออสเตรเลียและต่างประเทศ ต่อมาได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายออสเตรเลีย และมีชื่อว่า ภาคีเพื่อสิทธิมนุษยชนไทย - ออสเตรเลีย (THE THAI ALLIANCE FOR HUMAN RIGHTS - AUSTRALIA" หรือTAHRA)

รายละเอียดข้องเรียกร้อง มีดังนี้

1.ด้วยเพราะเป็นการขัดเจตนารมณ์แท้จริงที่เป็นความต้องการของประชาชน และต่อหลักการสิทธิมนุษยชน จึงขอคัดค้านและไม่สนับสนุนให้รัฐบาล นำเสนอกฎหมายนิรโทษกรรม (พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับแก้ไขโดยกรรมาธิการเสียงข้างมาก) นี้ มาประกาศมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายในทุกกรณีย์

2.ให้รัฐบาลรีบดำเนินการออก พ.ร.ก. นิรโทษกรรม เพื่อปลดปล่อยประชาชนผู้เกี่ยวข้องทุกสีเสื้อ รวมทั้งนักโทษการเมือง คดี 112 ทั้งนี้จักไม่รวมแกนนำและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้ซึ่งเคยประสงค์ไม่ขอรับการนิรโทษกรรม

3.ขอยืนยันเจตนารมณ์ที่ได้ประกาศไว้แล้วว่า จะร่วมกับพี่น้องคนไทยผู้ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยทั้งในและนอกประเทศ ต่อต้านการรัฐประหาร การโค่นล้ม และ/หรือการฉ้อฉนเพื่อการได้มาซึ่งอำนาจ ที่มิได้เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยทุกรูปแบบอย่างถึงที่สุด และขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อบุคคลที่เข้าข่ายกระทำความผิดโดยไม่ยกเว้น

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ' ประกาศสถานการณ์ปฏิวัติประชาชน

Posted: 13 Nov 2013 11:46 AM PST

พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ประกาศ "ผมอยากแจ้งให้ท่านทราบว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย มาตั้งแต่เมื่อ 11 พ.ย. เวลา 15.30 น."

พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ อ่านคำแถลงการณ์ของกองทัพประชาชน ประกาศสถานการณ์ปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 56 ที่เวที กปท. เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ (ที่มา: FMTV)

 

14 พ.ย. 2556 - เมื่อคืนวันที่ 13 พ.ย. ที่ผ่านมา ระหว่างการชุมนุมของกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) ที่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ คณะเสนาธิการร่วม กปท. ได้ขึ้นเวทีปราศรัยประกาศ "สถานการณ์ปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย" ระบุว่า "พี่น้องกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ที่ชุมนุมกันอยู่ ณ สะพานผ่านฟ้าลีลาศ กรุงเทพมหานคร และที่หน้าโทรทัศน์ของแต่ละท่าน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผมอยากแจ้งให้ท่านทราบว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย มาตั้งแต่เมื่อ 11 พ.ย. เวลา 15.30 น."

โดยหลังจากนั้นผู้ชุมนุมได้พากันโห่ร้อง และ พล.อ.ปรีชาได้เชิญ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม และคณะเสนาธิการร่วม กปท. อ่าน "คำแถลงการณ์ของกองทัพประชาชน"

พล.ร.อ.ชัย กล่าวว่า "สถานการณ์ขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาของ "ประชาชนปฏิวัติ ปฏิรูปประเทศไทย" ณ สถานที่ห้าแยกผ่านฟ้าลีลาศ ได้แสดงความยินดีด้วยการโห่ร้องอย่างอึงมี่ การที่กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณต้องประกาศทำการปฏิวัติ ปฏิรูปประเทศไทยในวันและเวลาดังกล่าว เนื่องจากเหตุผลดังนี้"

"ประการที่ 1 รัฐบาลปล่อยมีการจาบจ้วง ละเมิดพระราชอำนาจ และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้ทำอะไรเลย กรณีตัวอย่างเช่น การนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนที่มาของ ส.ว. ขึ้นทูลเกล้า นอกจากนั้นยังปล่อยให้มีการแสดงละครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างโจ่งแจ้งโดยไม่มีการยับยั้ง ขัดขวางจากรัฐบาลแต่อย่างใด"

"ประการที่ 2 ระบอบทักษิณ รวมทั้งรัฐบาลชุดนี้มีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็นกบฎ เนื่องจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนตามกฎหมายของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ได้ทำทุกอย่างเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนเดียวเป็นงานหลัก และได้ทำลายระบบเศรษฐกิจ สังคม กู้เงิน ทุจริตคอรัปชั่น หมิ่นสถาบันกษัตริย์ จึงพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้ทำเพื่อประชาชนตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จึงมีความผิดอาญาฐานกบฎ ฉ้อโกงประชาชน และขัดมาตรา 157 โดยมีกองกำลัง นปช. เป็นกองกำลังสนับสนุนรัฐบาล"

"ประการที่ 3 ในวันที่ 11 พ.ย. 2556 มีกำหนดการที่ศาลโลกจะอ่านคำพิพากษากรณีเขาพระวิหารในเวลา 16.00 น. เราเชื่อว่าประเทศไทยไม่ได้เปรียบและมีโอกาสที่จะเสียดินแดน แต่รัฐบาลไม่ได้ดำเนินการป้องกันเอกราชและอธิปไตยของชาติเท่าที่ควร กลับบอกให้ประชาชนยอมรับคำตัดสินของศาลโลก เป็นการสวนกระแสความรู้สึกของคนไทยผู้รักชาติทั้งปวง เราจึงต้องชิงทำการประชาชนปฏิวัติ เพื่อจะได้ประกาศไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก ก่อนที่จะมีการอ่านคำตัดสิน ซึ่งจะมีเหตุผลสำคัญที่การประกาศดังกล่าวจะมีความชอบธรรมและชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้การปฏิบัติดังกล่าวนั้นถือได้ว่ามีความจำเป็นตามหน้าที่ของชนชาวไทย ที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 71 กล่าวว่า "บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ รักษาผลประโยชน์ของชาติ และปฏิบัติตามกฎหมาย" ด้วยความรักชาติ คณะเสนาธิการร่วม กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ"

โดยก่อนหน้านี้ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. พล.อ.ปรีชา ได้นำมวลชนพร้อมรถกระจายเสียงเคลื่อนจากเวที กปท. ที่แยกสะพานผ่านฟ้าลีลาศ มาปักหลักที่บริเวณแยกป้อมมหากาฬ เพื่ออ่านประกาศปฏิวัติโดยประชาชน ระบุว่า ขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม หยุดพักงาน และให้ ผบ.ทุกเหล่าทัพและปลัดกระทรวงทุกกระทรวง เข้ามาพบคณะเสนาธิการร่วม กปท.ภายใน 4 ชม. โดยหากไม่มาพบ กปท.ประกาศจะเคลื่อนพลประชาชนไปในแต่ละกระทรวง ทั้งนี้ กปท.มีความจำเป็นต้องยึดอำนาจรัฐโดยเร่งด่วนเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ และในวันที่ 12 พ.ย. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ในฐานะประธานกองทัพธรรม และ พล.อ.ปรีชา ได้นำผู้ชุมนุมไปถวายฎีกาที่พระบรมหาราชวังเพื่อขอจัดตั้งสภาประชาชนด้วย (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กกต.ไม่รับจดทะเบียน "พรรคฅนไทย" เนื่องจาก ฅ ราชบัณฑิตเลิกใช้ไปแล้ว

Posted: 13 Nov 2013 10:38 AM PST

ประพันธ์ นัยโกวิท ระบุไม่รับจดทะเบียน "พรรคฅนไทย" แนะนำให้ใช้พยัญชนะที่ราชบัณฑิตกำหนด หรือให้ไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ ด้านว่าที่หัวหน้าพรรคยืนยันจะต่อสู้ให้เห็นถึงความบกพร่องของ กกต. และเพื่ออนุรักษ์ภาษาไทย

14 พ.ย. 2556 - สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รายงานเมื่อ 13 พ.ย. นี้ว่า ประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่ากรณีที่ กกต. ไม่รับจดทะเบียน "พรรคฅนไทย" ที่อุเทน ชาติภิญโญ ว่าที่หัวหน้า "พรรคฅนไทย" ได้ไปขอยื่นจดทะเบียนพรรคฯ ที่ กกต. เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น เนื่องจากตัวอักษร "ฅ" ราชบัณฑิตยสถานได้ประกาศเลิกใช้ไปแล้ว อีกทั้งขัดต่อระเบียบของ กกต. ที่ว่าชื่อพรรคการเมืองต้องไม่ขัดกับกฎหมาย จึงเป็นเหตุให้ไม่รับจดทะเบียนพรรคดังกล่าว

ทั้งนี้ หากนายอุเทน ปรับเปลี่ยนชื่อพรรค โดยใช้พยัญชนะที่ราชบัณฑิตยสถานกำหนด หรือยื่นจดชื่อพรรคที่ถูกต้อง ตามระเบียบของ กกต. ก็จะพิจารณาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามหากนายอุเทนยังยืนยันที่จะจดชื่อเดิม ก็ต้องไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 30 วัน

สำนักข่าวแห่งชาติรายงานด้วยว่า หลังทราบการพิจารณาของ กกต. นายอุเทน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คว่า พรุ่งนี้ (14 พ.ย. 56) เวลา 13.00 น. จะไปรับหนังสือแจ้งตอบการไม่รับจดดังกล่าว และจะต่อสู้ให้เห็นถึงความบกพร่องทั้งของ กกต. ราชบัณฑิตยสภา เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานในการใช้และอนุรักษ์ภาษาไทยต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คนทำงาน กรกฎาคม 2556

Posted: 13 Nov 2013 10:36 AM PST

คนทำงาน มิถุนายน 2556

Posted: 13 Nov 2013 10:33 AM PST

คนทำงาน พฤษภาคม 2556

Posted: 13 Nov 2013 10:28 AM PST

ปัญหามลภาวะทางแสงอันเนื่องมาจากพื้นที่ชุมนุมทางการเมืองในเวลากลางคืน

Posted: 13 Nov 2013 10:18 AM PST

การชุมนุมทางการเมืองถือเป็นสิทธิและเสรีภาพที่ประชาชนพึงมี ตราบเท่าที่การชุมนุมทางการเมืองดังกล่าวไม่มีลักษณะที่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของกฎหมายที่รัฐได้วางหลักเกณฑ์เอาไว้ ซึ่งการชุมนุมทางการเมืองนั้นอาจนำมาซึ่งผลประโยชน์ทางการเมืองและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในทางการเมืองจากข้อเรียกร้องหรือข้อเสนอของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มอิทธิพลที่มาทำการเคลื่อนไหวทางการเมืองผ่านการชุมนุมทางการเมือง อนึ่ง การชุมนุมทางการเมืองนั้นอาจทำได้ทั้งในเวลากลางวันและเวลากลางคืน เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะในปัจจุบันผู้จัดการชุมนุมทางการเมืองและผู้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองได้นำเอาเทคโนโลยีส่องสว่างหรือไฟส่องสว่างประเภทต่างๆ มาประกอบกับการชุมนุมทางการเมือง เพื่อให้แกนนำการชุมนุมทางการเมืองและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง ได้มีโอกาสเลือกที่จะเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองในเวลากลางคืนหรือเวลาตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ตกจนถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ทั้งนี้ การจัดเวลาชุมนุมทางการเมืองในเวลากลางคืน ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่ผู้นำหรือแกนนำที่จัดกิจกรรมการชุมนุมทางการเมืองได้เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้สนใจสามารถเข้าร่วมการชุมนุมทางการเมืองในเวลาช่วงเย็นหลังเลิกงาน ช่วงพลบค่ำหลังจากที่ว่างจากกิจกรรมประจำอื่นๆ และช่วงกลางคืนที่ไม่มีอุปสรรคด้านสภาพอากาศร้อนที่อาจกระทบต่อสุขภาพของผู้ชุมนุมทุกเพศทุกวัย

การชุมนุมทางการเมืองในเวลากลางคืนจำเป็นที่ต้องใช้เทคโนโยยีส่องสว่างหรือไฟส่องสว่างเข้ามาประกอบกับการจัดกิจกรรมการชุมนุมทางการเมืองในเวลากลางคืน ก็ย่อมสามารถให้ประโยชน์นานับประการต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและประชาชนที่มาเข้าร่วมกิจกรรมในบริเวณพื้นที่ชุมนุมทางการเมือง ตัวอย่างเช่น

ประการแรก ผู้จัดการชุมนุมทางการเมืองหรือแกนนำในการชุมนุมทางการเมือง สามารถจัดหามาตรการตรวจตราความปลอดภัยสำหรับประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมชุมนุมในเวลากลางคืน ให้ประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมทุกเพศทุกวัย มีความปลอดภัยในด้านชีวิต ทรัพย์สินและสุขภาพในขณะที่เข้ามาร่วมชุมนุมในเวลากลางคืน

ประการถัดมา ผู้จัดการชุมนุมทางการเมืองและแกนนำในการชุมนุมทางการเมืองอาจใช้เทคโนโลยีส่องสว่างหรือไฟส่องสว่าง ที่ก่อให้เกิดแสงสว่างในเวลากลางคืน ทำให้ผู้จัดการชุมนุมทางการเมืองและแกนนำทางการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในช่วงเวลากลางคืนได้เช่นเดียวกันกับเวลากลางวัน

ประการสุดท้าย ผู้จัดการชุมนุมทางการเมืองและแกนนำในการชุมนุมทางการเมืองอาจใช้การออกแบบแสงสว่างทางสถาปัตยกรรมประกอบกับอาคารหรือสิ่งก่อสร้างในบริเวณที่จัดการชุมนุมทางการเมือง เพื่อสร้างความรู้สึกการมีส่วนร่วมทางการเมือง ให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าสถานที่ชุมนุมทางการเมืองนั้นมีความยิ่งใหญ่ ตลอดจนอาจทำให้ประชาชนมีอารมรณ์และความรู้สึกร่วมไปกับการปราศรัยหรือการแสดงสุนทรพจน์เพื่อปลุกระดมทางการเมืองของผู้นำการชุมนุมหรือแกนนำในการชุมนุมทางการเมืองในลักษณะต่างๆ รวมไปถึงมีความรู้สึกรวมไปกับกิจกรรมประกอบการชุมนุมทางการเมืองในลักษณะอื่นๆ เช่น การเดินขบวนและการแสดงต่างๆ ในเวลากลางคืน เป็นต้น

แม้ว่าเทคโนโลยีส่องสว่างหรือไฟส่องสว่างจะสามารถเอื้อประโยชน์ต่อการชุมนุมทางการเมืองในเวลากลางคืนสักเพียงใดก็ตาม แต่ทว่าการนำเทคโนโลยีส่องสว่างหรือไฟส่องสว่างมาใช้สร้างประโยชน์ในการชุมนุมทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงการใช้งานแสงสว่างให้เหมาะสมกับลักษณะของพื้นที่หรือสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติในเวลากลางคืนบริเวณพื้นที่ที่มีการชุมนุมทางการเมืองในเวลากลางคืน รวมไปถึงพื้นที่ชุมชนในบริเวณโดยรอบ ย่อมอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของผู้เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองในเวลากลางคืน ระบบนิเวศของสัตว์และสิ่งมีชีวิตบริเวณโดยรอบพื้นที่ชุมนุมทางการเมืองที่ย่อมต้องการความมืดมิดตามธรรมชาติในเวลากลางคืน (nocturnal ecological system) สำหรับพักผ่อน ทำกิจกรรมตามธรรมชาติในเวลากลางคืน ผสมพันธุ์และเคลื่อนย้ายถิ่นฐานโดยอาศัยความมืดตามธรรมชาติ (dark-sky environment)

รูปที่ 1: ภาพการชุมนุมทางการเมืองในเวลากลางคืนของพรรคนาซีโดยสถาปนิกชื่อ Albert Speer ได้ออกแบบการใช้งานแสงสว่างสำหรับประกอบกิจกรรมทางการเมืองในเวลากลางคืนในบริเวณเมืองนูเรมเบิร์ก (Nürnberg) ประเทศเยอรมนี

อ้างอิงจาก: Berkshire Fine Arts. (2013). Illuminati at Eclipse Mill Gallery: An Energized Exhibition in North Adams. 

ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นแสงสว่างจ้า (glare) ที่ส่องมาเข้าดวงตาของแกนนำการชุมนุมหรือประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมโดยตรง การใช้เทคโนโลยีแสงสว่างหรือไฟส่องสว่างในบริเวณพื้นที่ชุมนุมที่มีทิศทางส่องรุกล้ำไปยังที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่ส่วนตัวของประชาชนที่อยู่อาศัยโดยรอบ (trespassing lights) รวมไปถึงการส่องแสงสว่างจากการออกแบบหรือติดตั้งหลอดไฟฟ้าหรือโคมไฟในบริเวณพื้นที่ที่มีการชุมนุมทางการเมืองในลักษณะที่ไม่เหมาะสม จนทำให้เกิดทิศทางของแสงส่องเรืองขึ้นไปยังท้องฟ้าในเวลากลางคืน  (sky glow) ซึ่งไม่เพียงจะทำให้เป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุแล้ว แสงส่องเรืองขึ้นไปยังท้องฟ้าในเวลากลางคืนยังอาจทำลายธรรมชาติและความมืดมิดในยามค่ำคืนในบริเวณโดยรอบพื้นที่ดังกล่าวได้

ฉะนั้น การใช้งานเทคโนโลยีแสงสว่างหรือไฟส่องสว่างที่มาจากการติดตั้งไฟส่องสว่างในบริเวณพื้นที่ชุมนุมทางการเมืองในเวลากลางคืนที่มีลักษณะที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในเวลากลางคืนดังที่ได้กล่าวมาในข้างต้น ย่อมล้วนแล้วแต่อาจก่อให้เกิดปัญหามลภาวะทางแสง (light pollution) ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะของผู้ชุมนุมที่มาเข้าร่วมชุมนุมในเวลากลางคืนได้

อนึ่ง ในเวลากลางคืนร่างกายจะหลั่งสารเมลาโทนินได้ดีในช่วงที่มนุษย์นอนหลับพักผ่อนระหว่างเวลาตี 2 ถึงตี 4 หากแต่การจัดกิจกรรมการชุมนุมของแกนนำและประชาชนในเวลากลางคืนในช่วงระหว่างเวลาตี 2 ถึงตี 4 ย่อมอาจกระทบต่อกลไกการหลั่งสารเมลาโทนินในร่างกาย ซึ่งประโยชน์ที่สำคัญของสารเมลาโทนิน นั้นก็คือ การควบคุมนาฬิกาชีวิต (biological clock) และวงจรชีวิต (human circadian rhythms) ตามปกติหรือตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ควรจะเป็น ด้วยเหตุนี้ การเปิดไฟส่องสว่างประกอบกับการจัดหรือดำเนินกิจกรรมของประชาชนในช่วงเวลาที่สมควรพักผ่อนในเวลากลางคืน อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อกลไกการทำงานตามปกติของร่างกายและนาฬิกาชีวิตของแกนนำการชุมนุม ประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ที่ต้องมาปฏิบัติงานเพื่ออำนวยการต่างๆ ให้การชุมนุมผ่านพ้นไปได้ในเวลากลางคืน เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เทศกิจ และพนักงานรักษาความสะอาดของท้องถิ่น เป็นต้น

รูปที่ 2: ภาพการชุมนุมทางการเมืองในเวลากลางคืนของกลุ่มชุมนุมทางการเมืองเพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยบริเวณเวทีปราศรัยอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและบริเวณพื้นที่โดยรอบ มีการใช้เทคโนโลยีแสงสว่างหรือไฟส่องสว่างหลายประเภท
อ้างอิงจาก: ไทยรัฐออนไลน์. (2013). ประมวลภาพ 'ม็อบต้านนิรโทษ' ยามค่ำคืนที่ถนนราชดำเนิน.

 

รูปที่ 3: ภาพการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในเวลากลางคืนบริเวณสนาม SCG เมืองทองธานี ที่มีการใช้งานของไฟส่องสว่างสนามกีฬา อันอาจก่อให้เกิดแสงเรืองไปยังท้องฟ้าบริเวณสนามกีฬาดังกล่าวได้ (sky glow around sports stadiums)

อ้างอิงจาก: โพสต์ทูเดย์ดอทคอม. (2013). ม็อบแดงรวมพล เตรียมปกป้องรัฐบาล.


ฉะนั้น การจัดการชุมนุมทางการเมืองในเวลากลางคืนของผู้นำการชุมนุมหรือแกนนำการชุมนุม จำต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ระบบนิเวศในเวลากลางคืนและธรรมชาติในยามค่ำคืนบริเวณโดยรอบพื้นที่ชุมนุมด้วย เพราะไม่ว่าการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มอิทธิพลหรือกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองระดับต่างๆ ที่ต้องการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งข้อเรียกร้องให้ฝ่ายตรงกันข้ามกระทำตาม ไม่กระทำตามหรือจำยอมจะสำเร็จผลหรือไม่สำเร็จผลนั้น ก็ย่อมเป็นไปตามจังหวะและแนวทางแห่งการต่อสู้ในรูปแบบต่างๆ หากแต่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ปัญหาด้านสุขภาพของประชาชนและปัญหาด้านความปลอดภัยของประชาชนที่เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมืองในเวลากลางคืน ก็เป็นสิ่งสำคัญที่แกนนำการชุมนุมทางการเมือง ผู้จัดการชุมนุมทางการเมือง ผู้นำการชุมนุมทางการเมืองและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองจำต้องหยิบยกหรือนำมาพิจารณาเช่นเดียวกัน

ดังนี้แล้ว แกนนำผู้ชุมนุม ผู้จัดการชุมนุม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม จำต้องตระหนักถึงประโยชน์อนันต์และโทษมหันต์ของการใช้งานเทคโนโลยีแสงสว่างหรือไฟส่องสว่างประกอบกับการชุมนุมในเวลากลางคืนด้วย โดยการติดตั้ง (installations) หลอดไฟฟ้าหรือโคมไฟภายนอกอาคารในบริเวณพื้นที่ที่มีการชุมนุมในเวลากลางคืน ควรถูกใส่ใจและตระหนัก ในขณะเดียวกัน การกำหนดเวลาเปิดปิดไฟส่องสว่างในเวลาที่ไม่ต้องการใช้งาน (switching off during night hours) ในบริเวณพื้นที่ชุมนุมทางการเมืองในเวลาที่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมน้อยหรือไม่ต้องการใช้งาน ย่อมไม่เพียงจะเป็นการเสริมสร้างการประหยัดพลังงานเท่านั้น หากแต่ยังเป็นลดการใช้งานแสงสว่างในกรณีที่ไม่จำเป็นต่อการใช้งานในบริเวณพื้นที่ที่มีการชุมนุมทางการเมืองอีกด้วย

นอกจากนี้ การจัดที่พักที่มีความมืดอันปลอดจากมลภาวะทางแสงและปลอดภัยให้ประชาชนได้พักผ่อนในบริเวณที่มีการชุมนุมทางการเมืองในยามค่ำคืน ย่อมไม่เพียงส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้เข้าร่วมชุมนุมในเวลากลางคืนเท่านั้น ยังอาจส่งผลดีต่อการต่อสู้ทางการเมืองในระยะยาวที่จำต้องอาศัยสุขภาพอนามัย แรงกายและจิตใจของผู้เข้าร่วมชุมนุมในการต่อสู้ร่วมไปกับแกนนำหรือผู้นำการชุมนุมอีกด้วย

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เตือนลอยกระทง “ดื่มไม่ขับ” ปี 55 อุบัติเหตุคร่าชีวิต 99 ราย

Posted: 13 Nov 2013 10:13 AM PST

13 พ.ย.2556  นายพรหมมินทร์  กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.)   กล่าวว่า เทศกาลวันลอยกระทงในปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 17 พ.ย.ถือเป็นวันที่ประชาชนจะเดินทางไปลอยกระทง ทำให้จำนวนรถบนถนนมีเพิ่มมากโดยเฉพาะช่วงเวลาเย็น สิ่งที่เป็นกังวล คือ การฉลองส่วนใหญ่มักหนีไม่พ้นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถส่งผลให้การควบคุมตนเองและสมาธิในการขับขี่ลดน้อยลง  เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและมีความรุนแรงสูง  นำมาซึ่งการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินในวันดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ    โดยเทศกาลลอยกระทงในปี 2555 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจร 78 ราย และเสียชีวิตจากการจมน้ำ 21 ราย รวม99 ราย บาดเจ็บ 678 ราย จึงขอให้ประชาชนลดละเลิกพฤติกรรมเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลลอยกระทงนี้

นายพรหมมินทร์   กล่าวว่า วิธีการเที่ยววันลอยกระทงให้สนุกและปลอดภัย คือ การตรวจสอบสภาพรถให้พร้อมใช้งาน  ศึกษาเส้นทางให้รอบคอบ และควรออกก่อนเวลาเพื่อเลี่ยงจราจรติดขัด  เพิ่มความระมัดระวังในการขับ  ไม่ขับเร็วเกินกำหนด  ไม่ดื่มสุราหากต้องขับรถ และปฏิบัติตามกฎจราจร  ส่วนผู้ที่นำรถจักรยานยนต์ไปเที่ยวงานต้องสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้าย  ส่วนการเล่นพลุดอกไม้ไฟ ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ อาจได้รับอันตรายการการเล่นและเกิดไฟไหม้ได้  ซึ่งการเล่นพลุ ดอกไม้ไฟ หากสร้างความเสียหายให้กับผู้อื่น จะมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 220 โทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี  ปรับไม่เกิน 14,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับวิธีการป้องกันอุบัติภัยในวันลอยกระทง  ข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีดังนี้  คือ 1. เลือกลอยกระทงบริเวณท่าน้ำหรือโป๊ะเรือที่มั่นคงแข็งแรง  หากนั่งเรือควรสวมใส่เสื้อชูชีพ รวมถึงขึ้นลงเรืออย่างเป็นระเบียบ 2.ควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด และมีให้เด็กลงไปในน้ำเพื่อเก็บเงินในกระทง 3. ให้สัญญาณก่อนจุดพลุทุกครั้ง และออกให้ห่างจากบริเวณที่จุดพลุในระยะ10  เมตรขึ้นไป  4. ห้ามจุดพลุ ดอกไม้ไฟ บริเวณใกล้แนวสายไฟ  สถานีบริการน้ำมัน วัตถุไวไฟ และแหล่งชุมชน 5. ห้ามนำดอกไม้ไฟที่จุดไฟไม่ติดมาจุดซ้ำ  หรือใช้ปากเป่าให้ไฟติด  และไม่ยื่นหน้าหรืออวัยวะต่างๆ เข้าใกล้ดอกไม้ไฟที่จุดไฟแล้ว  6. ไม่ดัดแปลงพลุ  ดอกไม้ไฟ ให้มีแรงอัดหรือแรงระเบิดพลุ  7. หลีกเลี่ยงการปล่อยโคมลอยใกล้แหล่งชุมชน 8. ห้ามปล่อยโคมลอยบริเวณโดยรอบสนามบิน หรือช่วงที่เครื่องบินขึ้น-ลง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลสั่งไม่ทราบใครยิงจ่าอากาศประจำสีลมช่วงกระชับแดง17 พ.ค.53

Posted: 13 Nov 2013 10:05 AM PST

ศาลสั่งจ่าอากาศเอกประจำดาดฟ้าซีพีทาวเวอร์ สีลม ช่วงกระชับพื้นที่เสื้อแดง ตายด้วยกระสุนภายในรถยนต์กระบะบนถนนสีลมใกล้จุดประจำการคืน 17 พ.ค.โดยไม่ทราบใครเป็นผู้ยิง ไต่สวนการตาย 'นรินทร์ ศรีชมภู' เหยือกระสุน 19 พ.ค.53

13 พ.ย.2556 ศาลอาญามีคำสั่งในคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพ จ่าอากาศเอก พงศ์ชลิต พิทยานนทกาญจน์ เมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่าน  โดยจ่าอากาศเอก พงศ์ชลิต ขณะเกิดเหตุสังกัดกรมปฏิบัติการพิเศษ กองทัพอากาศ ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ประจำอยู่ดาดฟ้าของอาคารซีพีทาวเวอร์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนสีลม เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยภายในบริเวณดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.2553 ช่วงกระชับพื้นที่การชุมนุมของเสื้อแดงโดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และถูกยิงเสียชีวิตคืนวันที่ 17 พ.ค.2553

โดยศาลสั่งว่าผู้ตาย ตายภายในรถยนต์กระบะบนถนนสีลมใกล้เคียงอาคารซีพีทาวเวอร์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2553 เวลา 1 นาฬิกาเศษ เหตุและพฤติการณ์ที่ตายคือ ได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่ศรีษะโดยระสุนทำลายเนื้อสมองสืบเนื่องจากถูกคนร้ายซึ่งไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดใช้อาวุธปืนยิงขณะผู้ตายปฏิบัติภารกิจขับรถยนต์กระบะจากอาคารซีพีทาวเวอร์ไปยังซอยสีลม 3

ไต่สวนการตาย 'นรินทร์ ศรีชมภู'

เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลไต่สวนคดีที่พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนชันสูตรพลิกศพนายนรินทร์ ศรีชมภู ที่ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณทางเท้าหน้าคอนโดมิเนียมบ้านราชดำริ ถนนราชดำริ ใกล้แยกสารสิน กทม. ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553

โดยมี พ.ต.ท.วัชรัศมิ์  เฉลิมสุขสันต์ ผู้อำนวยการสำนักงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ  สถาบันนิติวิทยาศาสตร์  กระทรวงยุติธรรม เบิกความว่า ได้รับแจ้งจากพนักงานสอบสวน ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้เข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุที่บริเวณถนนราชดำริสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 มกรทคม 2554 ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2555 โดยในการตรวจสถานที่เกิดเหตุมีพนักงานสอบสวนจากรมสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานเดียวกันอีกหลายคนเข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ในการตรวจสถานที่เกิดเหตุได้ให้นายภัสพล ไชยพงษ์ เข้าชี้จุดเกิดเหตุที่เขาถูกยิงได้รับบาดเจ็บขณะที่เขาหลบอยู่หลังต้นไม้บริเวณหน้าคอนโดบ้านราชดำริ  พ.ต.ท.วัชรัศมิ์ ได้ทำการตรวจถนนราชดำริทั้งฝั่งมุ่งหน้าราชประสงค์และฝั่งมุ่งหน้าแยกราชดำริ(สารสิน)  ในฝั่งถนนมุ่งหน้าแยกราชดำริ พบรอยกระสุน 3 แห่ง คือบริเวณหน้าอาคาร UHM หน้าคอนโดบ้านราชดำริ และราชดำริเซนแกลอรี่  ส่วนในฝั่งมุ่งหน้าแยกราชประสงค์ พบรอยกระสุนไม่ต่ำกว่า 10 รอย ที่บริเวณหน้าศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย และหน้ากรีฑาสโมสร  โดยรอยกระสุนที่พบทั้งสองฝั่งถนนมีวิถีกระสุนมาจากด้านแยกราชดำริมุ่งไปทางแยกราชประสงค์  ระดับความสูงของรอยกระสุนมีตั้งแต่สูงไม่ถึงเมตรจนถึง 2 เมตรขึ้นไป   ซึ่งนายภัสพลที่ถูกยิงมีความสูงใกล้เคียงกับเขาที่มีความสูง 169 เมตร

พ.ต.ท.วัชรัศมิ์  เบิกความต่อว่า ทางดีเอสไอได้นำภาพถ่ายนายนรินทร์ ผู้เสียชีวิต คือคนที่สวมเสื้อสีขาวในภาพถ่ายและเขาได้ดูภาพเคลื่อนไหวด้วย ซึ่งเห็นบาดแผลที่ศีรษะ บาดแผลมีทิศทางจากหน้าไปหลัง  แต่บอกทิศทางการยิงไม่ได้เนื่องเขาไม่เห็นว่าขณะถูกยิงนายนรินทร์หันหน้าไปทางไหนทำให้จำลองหาวิถีกระสุนไม่ได้  ส่วนรอยกระสุนที่ตรวจพบในที่เกิดเหตุไม่สามารถบอกได้ว่ากระสุนมีขนาดเท่าไหร่  ไม่พบเศษโลหะหรือเศษกระสุนในที่เกิดเหตุ

พ.ต.ท.วัชรัศมิ์ เบิกความด้วยว่านอกจากกรณีของนายนรินทร์ ยังได้ตรวจสถานที่เกิดเหตุกรณีการเสียชีวิตอื่นๆ ในบริเวณเดียวกัน ได้แก่ นายถวิล คำมูล นายฟาบิโอ โปเลงกี ด้วย

ส่วนรอยกระสุนที่พบใกล้กับจุดที่นายนรินทร์ถูกยิงอยู่ที่บริเวณต้นไม้ด้านหน้าอาคารคอนโดบ้านราชดำริและเสาไฟฟ้าก่อนถึงต้นไม้  โดยทั้งสามรอยสีทิศทางจากแยกราชดำริไปทางแยกราชประสงค์  เป็นการยิงแนวระนาบจากบนพื้นดิน ซึ่งสอดคล้องกับตำแหน่งบาดแผลที่คอของนายภัสพลและบาดแผลที่ศีรษะด้านหน้าขวาของนายนรินทร์

พ.ต.ท.วัชรัศมิ์ เบิกด้วยว่าจุดที่ผู้ตายถูกยิงห่างจากจุดที่นายถวิลถูกยิงบริเวณข้างสวนลุมพินีใกล้แยกศาลาแดงประมาณ 100 เมตร และผู้ตายถูกยิงใกล้จุดที่ฟาบิโอถูกยิง

ภายหลังพยานเบิกความเสร็จสิ้น ศาลนัดไต่สวนครั้งต่อไปวันที่ 13 พ.ย. เวลา 09.00 น.

จุดที่นรินทร์ถูกยิงบริเวณหน้าคอนโดหน้าบ้านราชดำริ ถนนราชดำริ (คลิกดูแผนที่)  

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แนะจับตาใกล้ชิด GDP ไตรมาส 3 ชี้เศรษฐกิจไทยฟุบหรือฟื้น

Posted: 13 Nov 2013 10:03 AM PST

 

13 พ.ย.2556  นายกิตติศักดิ์  พรหมรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 ปี 2556 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือที่เราเรียกกันว่า สภาพัฒน์ฯ จะมีการประกาศในวันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายนนี้ หลังจากตัวเลขในไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี GDP ปรับฤดูกาลติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส ดังนั้นตัวเลข GDP ไตรมาส 3 จึงเป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นหรือฟุบต่อ

ผอ.ศูนย์วิจัยฯ ระบุว่า ที่ผ่านมามีการการสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 29 แห่ง จำนวน 62 คน ของกรุงเทพโพลล์  บ่งชี้ว่า นักเศรษฐศาสตร์มากถึงร้อยละ 61  คาดว่า GDP ปรับฤดูกาลจะสามารถขยายตัวเป็นบวกได้ในไตรมาสที่ 3 นี้  มีเพียง ร้อยละ 31  ที่คาดว่าจะยังติดลบเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน  และเมื่อศึกษารูปแบบการขยายตัวของ GDP ปรับฤดูกาลนับจากปี 1994 จนถึงปัจจุบันพบว่ามีเพียง 4 ปีเท่านั้นที่ GDP ปรับฤดูกาลติดลบ 2 ไตรมาสขึ้นไปในปีนั้นๆ คือ ปี 1997-1998 (วิกฤติต้มยำกุ้ง) ปี 2008 (วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์) และปี 2011 (วิกฤติมหาอุทกภัย) ขณะที่ปี 2013 นี้ เศรษฐกิจไทยกลับติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกันทั้งๆ ที่ไม่ได้มีวิกฤติอะไรเกิดขึ้น  ดังนั้นตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 3 จึงเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ทุกภาคส่วนเฝ้าจับตามองว่าจะเป็นอย่างไร  กรณีที่ขยายตัวเป็นบวกได้ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจกลับมา  ภาวะติดลบที่เกิดขึ้น 2 ไตรมาสแรกเป็นเพียงการชะลอตัวในระยะสั้นๆ ของเศรษฐกิจ  แต่หากติดลบอีกในไตรมาสที่ 3 จะมีคำถามที่ตามมาอีกมากมายว่าเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจไทยทั้งๆ ที่ไม่ได้มีปัจจัยวิกฤติอะไรเกิดขึ้นเลยในช่วงที่ผ่านมา

ถัดมากรุงเทพโพลล์ได้สอบถามความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ว่าปัจจุบันเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงใดของวัฏจักรเศรษฐกิจ  พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 63 เห็นว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงถดถอย รองลงมาร้อยละ18 เห็นว่าอยู่ในช่วงขยายตัว ร้อยละ 5 เห็นว่าอยู่ในช่วงตกต่ำ (Trough) และร้อยละ 3 เห็นว่าอยู่ ในช่วงรุ่งเรือง (Peak) เมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจครั้งก่อนหน้าในเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา  แล้วแบ่งวัฏจักรออกเป็น 2 ฟากคือ ฟากเศรษฐกิจขยายตัวจนถึงจุดสูงสุด และ ฟากเศรษฐกิจถดถอยจนถึงจุดต่ำสุด  จะพบว่า วัฏจักรมีการเคลื่อนสู่ภาวะถดถอยมากขึ้น

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า (1) GDP ปรับฤดูกาล ไตรมาส 3 จะขยายตัวเป็นบวกได้  (2) แม้จะมีการขยายตัวเป็นบวกแต่เศรษฐกิจไทยก็ยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวของวัฏจักรเศรษฐกิจซึ่งจะทำให้ขยายตัวในลักษณะลดน้อยถอยลง  (3) กรณีที่ GDP ปรับฤดูกาลขยายตัวติดลบเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งเหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์หลายๆ ท่าน คงต้องย้อนกลับมามองว่าเป็นเพราะอะไร  ทั้งๆ ที่วิกฤติเศรษฐกิจไม่ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทย 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ขอคุยกับตุลาการในฐานะประชาชนด้วยกันหน่อยครับ

Posted: 13 Nov 2013 09:33 AM PST

อนุสนธิการออกมาแถลงการณ์ของกลุ่มตุลาการที่รักแผ่นดินจำนวน 63 ราย เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2556 เพื่อคัดค้านร่าง พรบ.นิรโทษกรรม โดยมีเนื้อหาที่สำคัญ ดังนี้


"ตามที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมากมีมติเห็นชอบให้ผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งกรรมาธิการแก้ไขถึงขนาดเปลี่ยนแปลงหลักการตามร่างในชั้นกรรมาธิการ โดยให้มีผลนิรโทษกรรมแก่การกระทำความผิดอาญาร้ายแรง โดยอ้างว่าเป็นมูลเหตุจากวิถีทางการเมือง การชุมนุมทางการเมือง หรือเกี่ยวเนื่องกับการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายแก่ประชาชน ความผิดต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน โดยมิได้คำนึงถึงผู้เสียหายที่ถูกกระทำไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากฝ่ายใด ขัดต่อหลักนิติธรรม ซึ่งมีเป้าประสงค์สูงสุดเพื่อปกป้องสุจริตชนและเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ซ้ำร้ายกว่านั้น ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ยังมีผลครอบคลุมถึงความผิดเกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ไม่ว่าศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วก็ดี หรืออยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล หรืออยู่ในชั้นสอบสวนก็ดี ทั้งที่ความผิดลักษณะดังกล่าวเป็นภัยร้ายแรงต่อประเทศชาติ เป็นที่น่ารังเกียจในสังคมโลก สมควรได้รับการพิจารณาตามกระบวนการพิสูจน์ความผิดหรือได้รับการปฏิบัติตามโทษานุโทษ แต่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กลับกำหนดยกเว้นกฎหมาย ทำลายนิติรัฐ โดยอ้างว่าเป็นเหตุอันมีที่มาจากการเมือง ทั้งที่ประจักษ์ชัดโดยคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าเป็นการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ อันจะเป็นบรรทัดฐานที่ไม่ถูกต้องของสังคมไทยต่อไปในอนาคต

ข้าพเจ้า ซึ่งต่างสำนึกตลอดมาว่ามีหน้าที่ธำรงไว้ซึ่งความถูกต้องเป็นธรรมบนแผ่นดินนี้ จึงคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งจะเข้าสู่วาระการพิจารณาของวุฒิสภาดังเหตุผลที่กล่าวข้างต้น เพื่อ มิให้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้บานปลายไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อกัน อันจะนำมาซึ่งความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและแผ่นดิน จึงให้ผู้ที่เกี่ยวข้องใช้ดุลพินิจทบทวนหรือยับยั้งการออกกฎหมายฉบับนี้โดยเร็วที่สุด"
(ที่มา : http://www.prachatai3.info/journal/2013/11/49610)

ซึ่งต่อมาได้มีประธานศาลอุทธรณ์ภาค 9 กล่าวว่าเรื่องนี้เป็นการแสดงออกมาในฐานะส่วนตัว ไม่ใช่ในนามสถาบัน เมื่อเป็นการแสดงออกโดยสุจริตตนเห็นว่ากระทำได้พร้อมทั้งวิจารณ์รัฐบาลว่าประเมินสถานการณ์ผิดพลาด ท้าทายประชาชน(ที่มา: ไทยรัฐ 8 พ.ย.56 หน้า 16)และโฆษกสำนักงานศาลยุติธรรมก็ออกมาบอกว่าหากผู้พิพากษาร่วมแสดงความคิดเห็นในฐานะประชาชนแล้วย่อมสามารถกระทำได้ แต่จะต้องไม่กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษา(ที่มา : มติชน 8 พ.ย.56 หน้า 12) ซึ่งต่อมาได้มีหนึ่งในผู้ร่วมลงชื่อให้สัมภาษณ์ว่าเพียงแต่แสดงจุดยืนต่อกฎหมายฉบับนี้ในฐานะนักกฎหมาย(ที่มา: มติชน 1๐ พ.ย.56 หน้า 1๐)

ฉะนั้น เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์และเนื้อหาของแถลงการณ์พร้อมทั้งความเห็นของประธานศาลอุทธรณ์ภาค 9 และโฆษกสำนักงานศาลยุติธรรมตลอดจนความเห็นของผู้ลงชื่อที่ว่าเป็นการแสดงจุดยืนต่อกฎหมายแล้ว จึงทำให้ผมซึ่งเป็นประชาชนคนหนึ่งต้องขอคุยกับคณะตุลาการดังกล่าวในฐานะที่เป็นประชาชนด้วยกันว่า

1)การออกแถลงการณ์โดยมีเนื้อหาสาระว่า "ไม่ว่าศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วก็ดี หรืออยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล หรืออยู่ในชั้นสอบสวนก็ดี" นั้นขัดต่อประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เรื่องจริยธรรมของข้าราชการตุลาการ พ.ศ.2552 ข้อ 6 ที่ว่า "ผู้พิพากษาจักต้องละเว้นการกล่าวถึงข้อเท็จจริงในคดีที่อาจกระทบกระเทือนต่อบุคคลใด ไม่วิจารณ์หรือให้ความเห็นแก่คู่ความหรือบุคคลภายนอกเกี่ยวกับคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาหรือ กำลังจะขึ้นสู่ศาล …"  และ ข้อ 28 ที่ว่า

"ผู้พิพากษาไม่พึงแสดงปาฐกถา บรรยาย สอน หรือเข้าร่วมสัมมนาอภิปรายหรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต่อสาธารณชน ซึ่งอาจกระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษา..." หรือไม่ เพราะเหตุใด และหากมีคดีที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวนี้เข้าสู่การพิจารณาของตุลาการรายใดรายหนึ่งจาก 63+2= 65 รายนี้ คู่ความจะสามารถยกเหตุแห่งความเห็นในแถลงการณ์นี้คัดค้านผู้พิพากษาได้หรือไม่ ที่สำคัญที่สุดหากมีประชาชนด้วยกันที่ไม่พอใจเนื้อหาและการกระทำของตุลาการทั้ง 65 รายดังกล่าวแล้วกล่าวผรุสวาทออกมาทั้งต่อหน้าและลับหลัง จะเป็นการหมิ่นศาลหรือตุลาการหรือไม่ เพราะเหตุใด

อนึ่ง การที่อ้างว่าการเรื่องนี้เป็นการแสดงออกมาในฐานะส่วนตัว ไม่ใช่ในนามสถาบันนั้น เหตุใดจึงมีการระบุตำแหน่งหน้าที่การงานหลังชื่อของตนเองในบัญชีแนบท้ายแถลงการณ์ด้วย

2)การที่ศาลยอมรับอำนาจของคณะรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้วนำมาเป็นเหตุผลในการพิจารณาพิพากษานั้นขัดต่อประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เรื่อง จริยธรรมของข้าราชการตุลาการ พ.ศ.2552 ข้อ 33 ที่ว่า "ผู้พิพากษาจักต้องสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ"หรือไม่ และขัดต่อเนื้อหาของตัวแถลงการณ์นี้หรือไม่ที่อ้างหลัก "นิติธรรม(rule of law)"แต่ยอมรับเอาอำนาจของคณะรัฐประหารมาพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นการยึดหลัก "อำนาจคือธรรม(might is right)" ซึ่งหลักนี้ไม่มีการใช้ตั้งแต่ยุคโทมัส เจฟเฟอร์สันแล้ว แต่เหตุใดศาลไทยจึงยังคงนำมาใช้อยู่ โดยไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมารองรับเลย

3)การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะตำหนิติเตียนการดำเนินการของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารโดยเห็นว่าเป็นการกระทำโดยสุจริตแล้ว หากอีกทั้งสองฝ่ายและประชาชนจะตำหนิติเตียนการพิจารณาพิพากษาคดีหรือการดำเนินการของฝ่ายตุลาการต่อที่สาธารณะโดยอ้างว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเช่นกันจะสามารถทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

4) จากการออกแถลงการณ์ดังกล่าวแล้วได้มีการวิพากษ์วิจารณ์จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและผู้คนโดยทั่วไปถึงความเหมาะสมเพราะไม่เคยเกิดขึ้นในนานาอารยประเทศและประเทศไทยเองนั้นกระทบต่อเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษาแล้วหรือไม่ อย่างไร

จริงๆแล้วมีหลายประเด็นที่อยากจะคุยด้วย เช่น เหตุใดผู้ต้องหาบางคดีถึงไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวทั้งๆที่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญรับรองไว้ ฯลฯ แต่เห็นว่าไม่เกี่ยวกับแถลงการณ์นี้ และคำตอบที่ได้รับก็คงไม่พ้นเรื่องของดุลพินิจขององค์คณะที่ไม่อาจก้าวล่วงได้เช่นเคย ก็คงขอคุยกับตุลาการในฐานะประชาชนด้วยกันเพียงสี่ประเด็นเท่านี้แหล่ะครับ
 

 

หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2556
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รัฐสวัสดิการกับการต่อสู้ทางชนชั้นในระบบทุนนิยม

Posted: 13 Nov 2013 09:16 AM PST

ระบบทุนนิยมซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจการเมืองของโลกได้สร้างปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมระหว่างคนรวยกับคนจนมากขึ้น จากการเอารัดเอาเปรียบกดขี่ขูดรีดแรงงาน  ผู้เขียนขอยกปัญหาในด้านเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับการศึกษาเพื่อให้ผู้อ่านที่เป็นนักเรียน นักศึกษา เตรียมเป็นกรรมกร/แรงงานในอนาคตมีจิตสำนึกของชนชั้นแรงงาน รวมถึงกรรมกรในทุกสาขาอาชีพมีการเมืองของชนชั้นตัวเอง ไม่หยิบยืมความคิดอุดมการณ์ทางการเมืองของชนชั้นนำมาใช้ในการเคลื่อนไหว

ความเหลื่อมล้ำในระบบทุนนิยม แท้จริงมาจากปรัชญาของระบบทุนนิยมที่ต้องการสร้าง "ชนชั้น" ขึ้น  ชนชั้นที่มีสองชนชั้นหลักในสังคมคือ คนรวย(อภิสิทธิ์ชน) กับ คนจน (คนธรรมดา) แตกต่างกันในด้านสถานะความเป็นอยู่และอำนาจการต่อรอง ดังรูปสามเหลี่ยมปิระมิด ที่ยอดข้างบนเป็นคนส่วนน้อย ส่วนฐานล่างเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม และชนชั้นสองชนชั้นเกี่ยวข้องกัน คือ ความรวยมาจากการทำให้คนอื่นยากจน รวยเพราะขูดรีดส่วนเกินที่มาจากการทำงานของแรงงาน

ก่อนอื่นขอนิยามชนชั้นนายทุนกับแรงงานเพื่อให้เห็นความแตกต่างของสองชนชั้น  นายทุนคือผู้ที่ถือครอง ควบคุมปัจจัยการผลิตสินค้าและบริการ  ส่วนแรงงานคือผู้ที่ไร้ปัจจัยการผลิต ทำงานขายแรงรับค่าจ้างเท่านั้น   นายทุนผู้ถือครองปัจจัยการผลิตมีอำนาจการต่อรองที่เหนือกว่าและเข้าไปมีอิทธิพลในสถาบัน/กลไกการเมืองการปกครอง   ส่วนรัฐในระบบทุนนิยมออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้นายทุนมีกรรมสิทธิ์ ถือครองปัจจัยการผลิต สินค้าและบริการและมูลค่าทั้งหมดที่ได้มาจากการผลิตแต่เพียงฝ่ายเดียว

ที่ผ่านมา นักวิชาการได้นำเสนอปัญหาความเหลื่อมล้ำไปมากแล้ว  และบางคนได้เสนอแนวทางแก้ไข เช่น การเสนอปฏิรูปรัฐไทยให้เป็นรัฐสวัสดิการ  แต่เมื่อวิเคราะห์ถึงวิธีการนำข้อมูลทางวิชาการไปเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองในช่วงก่อนและหลังการทำรัฐประหาร 2549  พบว่า การนำไปใช้ ได้หยิบคำอธิบายบางส่วนไปเคลื่อนไหวเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนใดกลุ่มหนึ่ง แต่คนระดับล่างยังคงถูกกระทำ ให้กลุ่มทุนเหยียบขึ้นไปได้ดิบได้ดี 

กล่าวคือ วาทกรรมติดปากที่ว่า ทุนสามานย์ หรือทุนโลกาภิวัตน์ หรือนายทุนชาตินิยมต่อต้านนายทุนข้ามชาติ มียุทธศาสตร์ทำลายระบบการเลือกตั้ง โดยเสนอให้ ส.ส. ส.ว.บางส่วนไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน  และมอบบทบาทแก่ผู้มีอำนาจรัฐ และนายทุนที่สมาทานความคิดคนดีมีศีลธรรม  ทว่าไม่ยินยอมให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบ 

อีกวาทกรรมหนึ่งคือ เสรีนิยมประชาธิปไตย ชูการต่อสู้ระหว่างกลุ่มนายทุนยุคใหม่กับกลุ่มนายทุนยุคเก่าหรือนายทุนอำมาตย์  วาทกรรมนี้โจมตีจุดอ่อนทางวัฒนธรรมของกลุ่มทุนอนุรักษ์นิยม ทหารนิยม  แต่เลี่ยงที่จะไม่อธิบายธาตุแท้ของระบบทุนนิยมกลไกตลาดที่สร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมมาโดยตลอด    อีกทั้งปกปิดธาตุแท้ของอุดมการณ์ชนชั้นนายทุน ที่แชร์อุดมการณ์อนุรักษ์นิยมมากดขี่แรงงาน   การใช้วาทกรรมเสรีนิยมประชาธิปไตย (ที่ไม่วิจารณ์ทุนนิยม) มีจุดแข็งเรื่องการพูดถึงเสรีภาพทางการเมือง ต่อต้านทหาร  และมีเป้าหมายเพื่อหาแนวร่วมกับประชาชนระดับล่างที่มีจุดยืนแบบเดียวกันนี้   ต่อรองกับกลุ่มทุนเก่า และข้าราชการอนุรักษ์ เผด็จการทหาร ด้วยการใช้ระบบการเลือกตั้งที่พรรคนายทุนสมัยใหม่ได้เปรียบ   แต่ยังมีคำถามคือ นายทุนสมัยใหม่ แนวเสรีนิยมประชาธิปไตย ยืนอยู่ข้างผลประโยชน์ของประชาชนแค่ไหน   รัฐบาลนายทุนนำโดยพรรคเพื่อไทยจริงใจที่จะส่งเสริมประชาธิปไตย แก้ไขปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่

ในส่วนของประชาชนอยู่ตรงไหนของเวทีการต่อสู้ทางการเมืองปัจจุบัน ประชาชนมีการเมืองของตัวเองหรือไม่ จะต่อสู้เพื่ออนาคตของตัวเองหรือเป็นกองเชียร์ของกลุ่มทุน โดยไม่มีอำนาจต่อรอง หรือจะกดดัน ให้โอกาสทุนเก่า และทุนใหม่แก้ตัว/ปรับตัว  หรือจะตั้งพรรคประชาชน เสนอนโยบายสร้างประชาธิปไตยที่กินได้

ตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำทางสังคม : คนรวย รวยมาได้อย่างไร
รัฐประหารความรุนแรงทางการเมืองได้สร้างผลกระทบแก่คนจำนวนมาก แต่ไม่ว่าจะก่อนการเกิดรัฐประหาร 2549 และหลังทำรัฐประหาร กลุ่มทุนต่างๆ ต้องตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำ ความไม่ยุติธรรมทางสังคมที่ดำรงมาตลอด เพราะเป็นรากเหง้าของความขัดแย้งทางการเมืองปัจจุบัน จึงควรมาดูที่กลไกการทำงานของระบบทุนนิยมว่าเป็นตัวสร้างความไม่ยุติธรรมอย่างไร  รัฐไทยสนับสนุนแนวนโยบายทุนเสรีนิยมอย่างไร ที่ปล่อยให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ผูกขาด  เจ้าหน้าที่รัฐถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจ เอื้อประโยชน์ทางการเงิน ภาษี ผ่อนปรนกฎระเบียบ ผลิตซ้ำระบบกรรมสิทธิ์เอกชน

ที่พูดมายืดยาวข้างต้น เพื่อให้คำนึงถึงปัญหาเชิงระบบ คือการแข่งขันของกลุ่มนายทุนต่างๆ ส่งผลกระทบต่อแรงงานคนธรรมดา  การเติบโตของทุนแลกมากับความไม่มั่นคงในชีวิตของประชาชน  ทัศนะเรื่องเสรีภาพตั้งอยู่บนฐานของความแตกต่างทางชนชั้น  ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นตัวผลักวิถีการต่อสู้ทางการเมือง และการต่อสู้ทางการเมืองก็มีเป้าหมายเพื่อสร้างหลักประกัน และผลประโยชน์ทางชนชั้น ดังนั้น การทำแนวร่วมกับกลุ่มทุนใดกลุ่มหนึ่งไม่ช่วยสร้างผลประโยชน์ในระยะยาว และความเข้มแข็งทางความคิดของชนชั้นล่าง  และดังนั้น ประชาชนจึงต้องรวมกลุ่มเป็นอิสระ และเป็นตัวนำทางความคิดทางการเมืองในปัจจุบัน

หากจะยกตัวเลขสถิติ ข้อมูลที่ถูกนำมาใช้บ่อย เพื่อสะท้อนปัญหาจริง และเป็นประโยชน์ในการนำมาถกเถียงสาเหตุรากเหง้าของปัญหา และการแก้ไข คงยกให้กับตัวเลขความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างคนรวยกับคนจน รายได้ของประชาชน  ตัวเลขการถือครองทรัพย์สินที่คนบนสุด 20% แรกของจำนวนประชากรไทยมีทรัพย์สินมากกว่าคน 20% ที่อยู่ข้างล่างถึงเกือบ 70 เท่า  ตัวเลขนี้ล้วนเกี่ยวข้องกัน แต่นักวิชาการ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล องค์ปาฐกงานรำลึก 40 ปี 14 ต.ค. 16  ในวันที่ 13 ต.ค. ไม่พูดถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างของตัวเลข 20% บนกับ 20% ล่างให้ชัดเจนว่าความรวย รวยมาจากไหน  ซึ่งในความเป็นจริงคือ ความร่ำรวยมาจากการทำงานของแรงงาน  รวยเพราะเอาเปรียบคนจน จนเพราะคนรวยขูดรีด กล่าวคือ มีการขูดรีดมูลค่าส่วนเกินในระบบทุนนิยม

การขูดรีดมูลค่าส่วนเกิน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนักศึกษาจบใหม่ 3 คนไปสมัครงานในบริษัทเดียวกัน ซึ่งจะให้แบบฟอร์ม และกรอกเงินเดือนที่ต้องการลงไป แต่ละคนกรอกเงินเดือน 20,000  30,000 และ 40,000  หากมีความสามารถใกล้เคียงกัน ถามว่านายทุนจะเลือกใคร เขาก็จะเลือกคนที่ขอเงินเดือนน้อยที่สุด เพราะเขาคำนวณแล้วว่าจะได้ส่วนเกินเท่าไรจากคนสมัครที่มีความสามารถใกล้เคียงกันนี้  แต่หากมีความสามารถไม่เท่ากัน ก็ต้องใช้หลักคำนวณว่า คนไหนจะสร้างส่วนเกินให้เขามากที่สุด คุ้มค่าที่สุด

เมื่อพิจารณาในเชิงนโยบายที่ผ่านมา จะเห็นว่ารัฐสนับสนุนการขูดรีดของชนชั้นนายทุนด้วยการใช้แรงงานราคาถูก จ้างงานยืดหยุ่น สวัสดิการต่ำ ถูกเลิกจ้างง่ายขึ้น และทำให้แรงงานขาดความมั่นคงในการดำรงชีวิต  พูดง่ายๆคือคนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นชนชั้นแรงงานที่รัฐและทุนต้องการรักษาไว้เพื่อขูดรีดมูลค่า เพราะการเติบโตของมูลค่าทางเศรษฐกิจมันเกิดจากการทำงานของแรงงาน ด้วยเป้าหมายอันเดียวกันนี้ ก็นำไปใช้ในระบบการศึกษา

การศึกษาไทย : ปัญหาหลักสูตรควบคุมคน
ปัญหาการศึกษาไทยภายใต้ระบบทุนนิยมมีหลายปัญหา แต่สำหรับผู้เขียนต้องการเน้นเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก โดยให้เห็นว่าเกี่ยวข้องกับ "ชนชั้น" ข้างต้นอย่างไร

มีหลายคนได้สรุปแล้วว่า การศึกษาไทยสอนให้คนหมอบคลาน ลดคุณค่าและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ทำลายเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์แก่เด็ก เชิดชู สั่งสอนอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ วัฒนธรรมผู้ใหญ่-ผู้น้อย ให้เข้าไปแทรกในหลักสูตรวิชาสังคม ประวัติศาสตร์ และกฎระเบียบในชีวิตประจำวัน เช่น การควบคุมเรื่องทรงผม เครื่องแบบ เข้าแถวเคารพธงชาติทุกวัน ทำสมาธิ เข้าวัด เพื่อให้เด็กยอมรับการใช้อำนาจของครู ผู้บริหารจนเข้าสำนึกและกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ  อีกทั้งเวลาเรียนสอดคล้องกับเวลาทำงานของแรงงานในสถานที่ทำงานต่างๆ ด้วย  ซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย

นอกจากนี้ คุณภาพการศึกษาตกต่ำ ไม่รองรับความต้องการที่หลากหลายของเด็ก รวมถึงไม่รองรับเด็กที่มาจากครอบครัวยากจนที่เริ่มต้นชีวิตด้อยกว่าเด็กที่มาจากครอบครัวร่ำรวย การบังคับเด็กให้เรียนให้เท่าทันกันหมด โดยเอาวิชาบังคับเป็นตัวชี้วัด เช่น คณิต วิทย์ ภาษาอังกฤษ ลดความสำคัญของวิชาด้านศิลปะ ไม่มีความหลากหลาย  กวดวิชาเพิ่มเติมเพื่อแข่งขัน แย่งกันเข้าเรียนโรงเรียนดัง

เป้าหมายของการศึกษาที่แท้จริง คือ การผลิตคนไปใช้แรงงานในสาขาต่างๆ มีสักกี่คนที่ไต่เต้าไปสู่ชนชั้นอภิสิทธิ์ชน   มีสักกี่คนได้ทุนเรียนต่อจากรัฐบาล เงินอุดหนุนจากบริษัท พวกเขาต้องผ่านระบบแข่งขันคัดเลือก เพื่อตอบสนองต่อทุนมากกว่ารับใช้ประชาชน  หลักสูตรการศึกษาก็ออกแบบโดยนักการเมือง ข้าราชการเพียงไม่กี่คน จะตอบสนองความต้องการของคนจำนวนมากได้อย่างไร เมื่อระบบเป็นแบบนี้ อนาคตของพวกเขาคือ เป็นคนทำงานสังกัดชนชั้นกรรมาชีพ  

รัฐสวัสดิการ : การสร้างหลักประกันและเสรีภาพของประชาชน
ชนชั้นกรรมาชีพ นักศึกษาเตรียมออกไปเป็นกรรมกร แต่จะทำอย่างไรให้มีศักดิ์ศรีและความเป็นอยู่ที่ดี    สิ่งที่นักเรียน นักศึกษาขบถสังคมอยู่ในขณะนี้ ถามว่าขบถเพื่ออะไร เพื่อสร้างโลกใบใหม่หรือไม่ แต่อันดับแรกต้องเข้าใจระบบทุนนิยมที่สร้างชนชั้นหลักสองชนชั้น และคนส่วนใหญ่คือชนชั้นกรรมาชีพ หากตระหนักตรงนี้ก็จะพบว่า เราเป็นคนชนชั้นกรรมาชีพ และจะทำประโยชน์เพื่อคนชนชั้นนี้  หากคิดว่าในอนาคตจะไต่เต้า เลื่อนสถานะบนความยากลำบากของคนอื่น ระบบก็จะไม่เปลี่ยนแปลงให้ยุติธรรมขึ้น

คำว่ารัฐสวัสดิการคือการมีรัฐที่มีเป้าหมายเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม  สวัสดิการที่ดีสำหรับทุกคนให้ครอบคลุมตั้งแต่เกิดจนตายและเพื่อเพิ่มอำนาจอธิปไตยของประชาชน ฉะนั้นปัจจัยหลักของการสร้างรัฐสวัสดิการคือ ต้องพูดเรื่องประชาธิปไตย การกระจายรายได้และการเก็บภาษีทรัพย์สินในอัตราก้าวหน้า

ประชาธิปไตยในความหมายรัฐใหม่ที่เป็นรัฐสวัสดิการคือ ประชาชนร่วมออกเสียง ร่วมบริหาร ตรวจสอบในทุกระดับ เป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมและเลือกตั้งตัวแทนในองค์กรสาธารณะ/หน่วยงานรัฐเพื่อประกันว่ารัฐจะทำประโยชน์เพื่อคนส่วนใหญ่จริง  เช่น เลือกตั้งอธิการบดี คณบดี ผู้บริหารในมหาวิทยาลัย ครูใหญ่ ผู้บริหารในโรงเรียน โรงพยาบาลของรัฐ รถขนส่งมวลชน รัฐวิสาหกิจต่างๆ  และส่งเสริมการรวมกลุ่มเจรจาต่อรองของเยาวชน ประชาชน

เงินเดือนของผู้บริหารต้องไม่มากและใกล้เคียงกับกรรมกร เช่น สมมุติเงินเดือนผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ 100,000 บาท เงินเดือนของกรรมกรจะต้องไม่ต่ำกว่า 50,000 ยิ่งถ้าเป็นคนที่ทำงานเสี่ยงภัยแล้ว ต้องให้เกือบเท่าผู้บริหาร  ลองเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เงินเดือนของกรรมกรสูงขึ้น ทำงานคิดเป็นรายชั่วโมง มีเวลาพักผ่อน มีวันหยุดยาว มีเงินบำนาญเมื่อเกษียณ สังคมปลอดภัย อาชญากรรมและการคอรัปชั่นของข้าราชการน้อยลง

สำหรับเรื่องการขูดรีดมูลค่าจากการทำงานของแรงงานที่ไปสร้างความร่ำรวยให้แก่คนรวยๆ  รัฐสวัสดิการจะช่วยลดทอนการขูดรีดได้ด้วยการเก็บภาษีรายได้ ภาษีทรัพย์สินในอัตราก้าวหน้า ภาษีจะดึงเอาส่วนเกินไปแบ่งปันให้คนในสังคม การลงทุนทำธุรกิจจะต้องไม่ใช้แรงงานราคาถูก คนจะมีความมั่นคงในการดำรงชีวิต มีโอกาสศึกษาหาความรู้ คนมีคุณภาพ  ส่วนนายทุนที่เอาแต่ได้ก็จะเป็นที่น่ารังเกียจ ในประเทศที่พัฒนาแล้วก็ยังมีการลงทุน  หากมองในมุมของชนชั้นนายทุน ถามว่า มีใครไม่อยากลงทุนในประเทศที่แทบไม่มีการคอรัปชั่น อาชญากรรม  และคนมีกำลังซื้อเล่า

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจะเป็นไปในลักษณะขึ้นลงตามกระแสการเมืองของชนชั้นนำ และจะอ่อนแอในอนาคต หากไม่จัดตั้งพรรคการเมืองชนชั้นกรรมาชีพ แข่งขันกับวาทกรรมทางการเมืองของชนชั้นนำอย่างจริงจัง.
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น