โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

หลายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เคลื่อนไหวคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

Posted: 06 Nov 2013 01:27 PM PST

หลายมหาวิทยาลัยทั่วไทยชุมนุมค้านนิรโทษกรรมสุดซอย - 32 นิติ มธ.หวั่นเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรม ปท. - รังสิตหยุดเรียน 7 พ.ย. ให้ นศ. ค้านนิรโทษกรรม "โดยสมัครใจ" - ส่วนชุมนุมค้านนิรโทษกรรมที่ มช. แบ่งเป็นสองจุดยืนจึงอยู่กันคนละฝั่ง ม.เที่ยงคืนระบุถ้าพรรคการเมืองประชาชนคุมไม่ได้ นั่นไม่ใช่ประชาธิปไตย

อธิการบดีมหิดลให้วิทยาเขตศาลายาหยุดเรียน ร่วมค้านนิรโทษกรรม

7 พ.ย. 2556 - สำหรับการเคลื่อนไหวคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศนั้น นอกจากการเคลื่อนไหวที่ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ โดยข้าราชการและพนักงานศูนย์ราชการหลายร้อยคนที่ออกมาเดินขบวนคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนั้น เมื่อวานนี้ (6 พ.ย.) คมชัดลึก รายงานว่า ที่มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตพญาไท ประกอบด้วยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  คณะเภสัชศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน คณะสาธารณสุขศาสตร์  และวิทยาลัยการจัดการ  มหาวิทยาลัยมหิดล แสดงจุดยืนคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

ขณะเดียวกัน กลุ่มเพื่อนมหิดล อาจารย์ นักศึกษา บุคคลากรและศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมหิดลได้รวมตัวกันที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ก่อนที่จะเดินรณรงค์ผ่านแยกตึกชัย ไปสมทบกับกลุ่มนักศึกษามหิดลที่ลาน พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระราชบิดาฯ ถนนราชวิถี คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิด

ส่วนที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จ.นครปฐม นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วยคณบดีมหาวิทยาลัย คณาจารย์ และนักศึกษาได้ร่วมกันเดินขบวนคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จากศูนย์การเรียนรู้มหิดล ไปยังประตู 6 แล้วผ่านตลาดศาลายา แล้วไปเข้าประตู 3 เพื่อเดินกลับไปยังศูนย์การเรียนรู้มหิดลด้วย โดยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้อ่านแถลงการณ์คัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พร้อมยืนแสดงเจตนารมณ์ 1 นาที มีการร่วมกันร้องเพลงเทิดพระนามมหิดล ก่อนสิ้นสุดการชุมนุม

ส่วนที่โรงพยาบาลศิริราช ผู้บริหาร คณาจารย์ และนักศึกษา ได้รวมตัวกันบริเวณลานพระบรมรูปสมเด็จพระบรมราชนก ประกาศคัดค้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรม มี นพ.อุดม คชินทรนพ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลยื่นรายชื่อซึ่งมีผู้ร่วมลงนามคัดค้านกว่า 8 พันรายต่อ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา และศิษย์เก่าศิริราชด้วย

ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ มีรายงานข่าวด้วยว่า อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลออกประกาศงดการเรียนการสอนนักศึกษาระดับปริญญาตรี เพื่อให้นักศึกษาร่วมกิจกรรมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในวันที่ 6 พ.ย. ด้วย (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)

 

32 นิติศาสตร์ มธ. ระบุนิรโทษกรรมเหมาเข่งทำลายกระบวนการยุติธรรมประเทศ

ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ 6 พ.ย. มติชนออนไลน์ รายงานว่า นายณรงค์ ใจหาญ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ.กล่าวในการแถลงความเห็นทางกฎหมาย คัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของคณาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. ซึ่งมีคณาจารย์ลงชื่อ 32 ราย ระบุว่า ในฐานะที่ มธ. เป็นสถาบันวิชาการที่เปิดการเรียนการสอนวิชากฎหมายที่เก่าแก่ของประเทศไทย ได้มองเห็นปัญหาที่ส่งผลเสียหายต่อระบบกฎหมาย และเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย

ยิ่งไปกว่านั้นคือการละเมิดต่อหลักการสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน จึงไม่อาจนิ่งเฉยหากรัฐสภาจะปล่อยให้มีการตรากฎหมายดังกล่าวออกไป จำเป็นต้องชี้แจงให้สังคม และประชาชนทั่วไปได้รับทราบถึงภัยอันตรายของร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล พยายามผลักดัน ดังนี้

1.ในร่างมาตรา 3 ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม เห็นว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญในกระบวนการตรา พ.ร.บ.อย่างร้ายแรง เนื่องจากแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาจนแตกต่างไปจากหลักการเดิม

2.เห็นว่ามีปัญหาความชอบธรรมของตรากฎหมายฉบับนี้ในเชิงเนื้อหา ซึ่งขัดแย้งต่อหลักกฎหมายธรรมชาติอันเป็นคุณธรรมพื้นฐานของการมีกฎหมาย

3.มีความเคลือบแคลง สงสัยในความพยายามมุ่งมั่นของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลในการเสนอให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ทั้งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างแจ้งชัด เหตุการณ์นี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของรัฐสภาไทย

4.ภัยอันตรายอย่างร้ายแรงของกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่ง คืออาวุธทรงพลานุภาพร้ายแรงที่ได้ประหัตประหารทำลายหลักการปกครองโดยกฎหมาย ทำลายหลักนิติรัฐที่เรียกร้องให้มีการแบ่งแยกอำนาจออกเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ โดยกำหนดให้มีองค์กรตุลาการ หรือศาลที่มีอำนาจหน้าที่ชี้ขาด เป็นที่ยุติในเรื่องการกระทำที่ละเมิดกฎหมาย อันเป็นอำนาจตุลาการที่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ควรเข้าไปก้าวล่วง

 

ม.รังสิต หยุดเรียน 7 พ.ย. เพื่อให้นักศึกษาคัดค้านนิรโทษกรรม "โดยสมัครใจ"

ที่มหาวิทยาลัยรังสิต จ.ปทุมธานี ได้มีการออกประกาศ "งดการเรียนการสอน" โดยระบุว่า "เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนบนหลักการความถูกต้อง เป็นธรรม ยึดหลักกฎหมายภายใต้นิติรัฐ และยืนยันเจตนารมณ์คัดค้านนิรโทษกรรมเหมาเข่ง เร่งคืนความเป็นธรรมให้สังคม มหาวิทยาลัยรังสิต จึงขอประกาศงดการเรียนการสอนทุกระดับการศึกษา ปริญญาตรี โท และเอก ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2556 เพื่อให้นักศึกษาเข้าร่วมชุมนุมแสดงพลังคัดค้าน พรบ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย ได้โดยสมัครใจ"

ทั้งนี้ในวันที่ 6 พ.ย. ช่วงเย็นก็มีกลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรังสิตไปร่วมปราศรัยที่เวทีคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ ถ.ราชดำเนินด้วย

 

สองฝั่ง-สองจุดยืน ชุมนุมค้านนิรโทษกรรมที่ ม.เชียงใหม่

ส่วนการเคลื่อนไหวที่ จ.เชียงใหม่ หลังจากเมื่อวันที่ 5 พ.ย. มีการออกแถลงการณ์โดยคณาจารย์คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มช.  และนักศึกษากลุ่ม "นักศึกษา มช. คัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" นั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 16.30 น. วานนี้ (6 พ.ย.) ที่ศาลาธรรม ภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วัชระ ตันตรานนท์ ส.ว. จ.เชียงใหม่ เดินทางมารับหนังสือและรายชื่อประชาชน 10,000 รายชื่อ คัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จาก นพ.อำนาจ อยู่สุข รองอธิการบดี มช. นัทมน คงเจริญ รองคณบดี คณะนิติศาสตร์ มช. และศรายุทธ สุทธจิตต์ นายกสโมสรนักศึกษา มช. โดยมีนักศึกษาและอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และกลุ่ม "เครือข่ายพลเมืองเชียงใหม่ต่อต้านคอรัปชั่น" รวมกันกว่า 200 คน ร่วมยื่นหนังสือและเดินขบวนแสดงเจตนารมณ์คัดค้านการนิรโทษกรรมด้วย โดย ส.ว. จ.เชียงใหม่ ได้รับรายชื่อเอาไว้และยืนยันว่าจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุดเพื่อประเทศชาติ

อย่างไรก็ตามในจำนวนผู้มาร่วมชุมนุมนี้ มีการแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งชัดเจน โดยอีกฝั่งหนึ่งมีนักศึกษาประมาณ 30 คนมาจากคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ และคณะสังคมศาสตร์ มช. ถือป้ายผ้าเขียนข้อความว่า "No Set Zero ร่วมคัดค้านนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย! คืนเสรีภาพประชาชน เอาคนผิดมารับโทษ" ทั้งนี้ได้ระบุเหตุผลด้วยว่าแม้จะมีความเห็นคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมือนอีกกลุ่ม แต่อีกกลุ่มเจาะจงคัดค้านการนิรโทษกรรมให้กับบางบุคคล แต่กลุ่มของพวกเขามีความเห็นว่าประชาชนธรรมดาควรได้รับการนิรโทษกรรม ส่วนแกนนำหรือผู้สั่งการไม่ว่าจะอยู่สีไหน กลุ่มไหนต้องไม่ได้รับการนิรโทษกรรม 

 

นักวิชาการ ม.เที่ยงคืนหวังประชาชนจะควบคุมพรรคการเมืองได้ ถ้าคุมไม่ได้นั่นไม่ใช่ประชาธิปไตย

ด้านอรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และนักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งมาร่วมชุมนุมด้วย ได้ให้สัมภาษณ์ สำนักข่าวเห็ดลมนิวส์ ว่า สำหรับการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับสังคม แต่ในพรรครัฐบาลเองก็แตกเป็นสองกลุ่ม เราอาจจะเห็นชัดๆ เลยกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่อยู่กับยิ่งลักษณ์ อีกกลุ่มอยู่กับอดีตนายกฯ ทักษิณ การที่มีการลักไก่ในสภา การลอยตัวของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ หรือการที่เจ๊บอกคนบอกว่าไม่ทำตอนนี้จะทำตอนไหน ทั้งหมดเป็นการชี้ให้เห็นว่าการคืบคลานเข้ามามีอำนาจของเครือข่ายยิ่งลักษณ์เริ่มมีมากขึ้น และทำให้เครือข่ายของทักษิณลดอำนาจลง ลองนึกถึงคำพูดของทักษิณที่บอกว่า คนบางคนรักเขามาก แต่รักอยากให้เขาอยู่นอกประเทศ เพราะกลัวตกงาน ผมคิดว่ามันมีบรรยกาศที่เราต้องคิดถึงการต่อสู้ภายในของพรรคเพื่อไทยด้วย

และหลังจากนี้ไปเป็นสิ่งที่ดีสำหรับประเทศไทยคือพรรคการเมืองจะอ่อนแอลงในระดับที่ควบคุมได้ ไม่ใช่ควบคุมได้ทั้งหมด แต่เราจะพอควบคุมได้มากขึ้น ตรงนี้เองคือฐานของประชาธิปไตย ถ้าหากประชาชนไม่สามารถควบคุมรัฐบาล ควบคุมพรรคการเมืองได้นั่นไม่ใช่ประชาธิปไตย ต่อให้ผ่านการเลือกตั้งมาก็ตาม ดังนั้นผลในครั้งนี้ในทางที่ดีทำให้พรรครัฐบาลรวมทั้งพรรคการเมืองต่างๆ อ่อนไหวกับการกดดันของประชาชนมากขึ้น

 

วลัยลักษณ์ มหาสารคาม ขอนแก่น เคลื่อนต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

สำหรับการเคลื่อนไหวที่มหาวิทยาลัยอื่นนั้น ที่ จ.นครศรีธรรมราช นักศึกษามหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ได้เคลื่อนขบวนคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ออกมาจากมหาวิทยาลัยเข้่ามาที่ตัว อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช โดยมีประชาชนให้การต้อนรับและเข้าร่วมจำนวนมาก

ส่วนที่ จ.ขอนแก่น นายกสโมสรนักศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้นำกลุ่มนักศึกษาประกาศคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเช่นกัน เช่นเดียวกับที่ จ.มหาสารคาม มีนักศึกษามหาวิทยาลัยมหาสารคาม ออกมาชุมนุมคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมด้วย โดยมีนักศึกษาบางส่วนถือป้ายคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย โดยเขียนป้ายว่า "ไม่นิรโทษกรรมคนสั่งฆ่าประชาชน สนับสนุน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับของวรชัย - นิติราษฎร์" ด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'แอ๊ด คาราบาว' ไม่มีความเห็นเรื่องนิรโทษกรรม เพราะกลัวพูดผิด

Posted: 06 Nov 2013 11:48 AM PST

ยืนยง โอภากุล หรือ 'แอ๊ด คาราบาว' ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะเกรงจะพูดผิด และยืนยันว่าจะไม่ออกไปร่วมคัดค้านแน่นอนเพราะติดงานเพลง ส่วนที่มีนักแสดงออกไปชุมนุมกันนั้นถือเป็นสิทธิทางประชาธิปไตย แต่ "อย่าให้มันรุนแรงก็แล้วกัน"

7 พ.ย. 2556 - ยืนยง โอภากุล หรือ "แอ๊ด คาราบาว" หนึ่งในผู้ก่อตั้งวงคาราบาว ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทั้งนี้จากรายงานของ เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ เมื่อ 6 พ.ย. ระหว่างการแถลงข่าวเปิดตัวอัลบั้ม "สวัสดีประเทศไทย"

โดยแอ๊ด คาราบาว กล่าวว่า ติดตามสถานการณ์อยู่ แต่คงออกความเห็นไม่ได้เพราะไม่รู้ในรายละเอียดของทั้งฝ่ายทั้งที่สนับสนุนและฝ่ายไม่สนับสนุน เกรงว่าพูดไปแล้วจะผิด ทั้งนี้ แอ๊ด คาราบาว ยังยืนยันด้วยว่าจะไม่ออกไปร่วมคัดค้านแน่นอนเพราะติดทำงานเพลงอยู่

ส่วนกรณีที่คนในวงการบันเทิงออกตัวไปร่วมชุมนุมกันหลายต่อหลายคนนั้น เขากล่าวด้วยว่า "ก็อย่าให้มันรุนแรงแล้วกัน เพราะเราก็ใช้สิทธิในการเป็นประชาธิปไตย เพราะบ้านเมืองมันก็ต้องเปลี่ยนไปสิ่งใหม่ต้องมาแทนที่สิ่งเก่าอยู่แล้ว ก็ต้องให้ปรับไปพร้อมๆ กันเพราะอะไรที่เร่งรัดไปมันก็ไม่ถูก"

ทั้งนี้เขากล่าวด้วยว่าการที่มีคนในวงการบันเทิงออกไปเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้น จะไม่มีผลใดๆ ที่จะทำให้คนอื่นทำตาม เพราะเรื่องนี้เป็นสิทธิของแต่ละคน "ไม่หรอกเพราะประชาธิปไตยใครอยากออกก็ออก แสดงความคิดเห็นได้ แต่ผมไม่รู้เส้นลึกหนาบางไม่อยากพูดอะไรมากเดี๋ยวมันจะผิด ผมกลับไปดูก่อนว่าเนื้อหามันเป็นยังไงเพราะเดี๋ยวตอบไปแล้วมันพลาด" "ผมก็พูดอะไรไม่ได้เพราะเป็นสิทธิของเขา ผมไม่อยากพูดอะไรมากครับ" ผู้ก่อตั้งวงคาราบาวกล่าว

ก่อนหน้านี้ วงดนตรีคาราบาว ได้แสดงคอนเสิร์ตที่ลานกลางแจ้ง ศูนย์การค้า Junction Square ถนนแปร นครย่างกุ้ง ประเทศพม่า เพื่อระดมทุนจากผู้สนับสนุน เพื่อช่วยเหลือพม่าในการเป็นเจ้าภาพกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ที่กรุงเนปิดอว์ ระหว่างวันที่ 11-22 ธ.ค. นี้ โดยการแสดงคอนเสิร์ตดังกล่าวไม่มีการเก็บค่าบัตรผ่านประตู (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

แอ๊ด คาราบาว ให้สัมภาษณ์เผยแพร่ในไทยรัฐออนไลน์ว่า เป็นการแสดงดนตรีเพื่อสนับสนุนการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ กีฬานั้นช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และทราบมาก่อนว่าชาวพม่าให้ความสนใจในงานเพลงและก็รู้สึกยินดีที่ได้มาเล่นคอนเสิร์ตที่พม่าเป็นครั้งแรก และยืนยันว่าจะไม่ร้องเพลงใดๆ ที่เกี่ยวกับการเมืองของพม่า เพราะการเมืองภายในประเทศพม่ากำลังไปได้ด้วยดี และไม่ต้องการให้ผู้คนรู้สึกเกิดความขัดแย้งใดๆ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประชาธรรม :คนงานบ.จอร์จี้ เปิดเจรจารอบ 4 ยังไม่คืบ นายจ้างเตะข้อเสนอไปพิจารณาปีหน้า

Posted: 06 Nov 2013 11:28 AM PST

6 พ.ย.2556 สืบเนื่องจากกรณีพนักงานในบริษัท จอร์จี้ แอนด์ ลู จำกัด จ.เชียงใหม่ มากกว่า 300 คน ได้ทำการประท้วงภายในโรงงาน เนื่องจากไม่พอใจที่นายจ้างเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างของคนงานตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 56 เป็นต้นมา โดยลูกจ้างได้ยื่นข้อเสนอสำคัญ คือ ให้บริษัทกลับไปใช้ขั้นตอนการผลิตเดิมและปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมาย จนมีการเจรจาต่อรองเรื่อยมา (อ่านรายละเอียดที่ "คนงานบ.จอร์จี้ฮือประท้วงหน้าโรงงานอีกครั้งหลังนายจ้างเตะถ่วงการเจรจา)

นางอรวรรณ กล่าวอีกว่า พวกตนไม่คิดว่าเจรจาครั้งนี้จะจบง่ายๆเพียงแค่บริษัทรับข้อเสนอ เพราะมีแนวโน้มว่าบริษัทจะย้ายไปตั้งโรงงานที่อ.แม่สอด จ.ตากเพื่อทำการผลิตเพียงแห่งเดียว ตอนนี้เห็นสัญญาณในโรงงานหลายอย่าง นอกเหนือจากการเปลี่ยนสภาพการจ้างงานแล้ว ยังมีการย้ายอุปกรณ์ เช่น กล่องเก็บผ้าขนาดใหญ่ไปที่โรงงานใหม่ เอาหัวหน้าคนงานชาวฟิลิปปินส์ไปคุมงานที่นั้น  ซึ่งหมายความว่า แม้การเรียกร้องครั้งนี้จะลุล่วงไป แต่ก็จะมีกลยุทธ์แบบใหม่เพื่อบีบบคนงานให้ลาออกจากนายจ้างมาอีก
 
"ถ้าเขาจะย้ายจริง ก็ต้องจ่ายค่าชดเชย เพราะอายุงานของแต่ละคนไม่ต่ำกว่า 6 ปี บริษัทจึงไม่อยากจ่าย และพยายามให้เซ็นสัญญาตัวใหม่ แต่ถ้าเซ็นสัญญาตัวใหม่ก็จะเป็นการเซ็นสัญญาแบบพิเศษ เพราะบอกระยะเวลาสิ้นสุดการจ้าง แต่อันเก่าเป็นปลายเปิด จ้างเราจนเกษียณอายุ และนี่เป็นเหตุที่เราต้องยื่นข้อเสนอเพื่อรักษาสิทธิของเราไว้"
 
"สำหรับการเจรจาข้อเสนอที่บริษัทยังไม่ได้ตกลง เราจะดูท่าทีของบริษัทอีกทีว่า จะเจรจากับเราต่อ หรือว่าจะกลายเป็นกรณีพิพาท ถ้าพิพาทก็คงต้องว่ากันกรมแรงงานฯ" ตัวแทนคนงานกล่าว
 
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ระหว่างที่ตัวแทนคนงานทั้ง 7 เข้าเจรจากับทางบริษัทฯ มีการชุมนุมหน้าโรงงานเพื่อให้กำลังใจ
 
อนึ่ง พนักงานในบริษัท จอร์จี้ แอนด์ ลู จำกัด จ.เชียงใหม่มีจำนวน 450 คน ณ ตอนนี้มีคนลงชื่อเรียกร้องเปลี่ยนสภาพการจ้างงานจำนวน 300 คน เป็นที่น่าสังเกตว่าคนงานที่ลงชื่อเป็นกลุ่มที่อยู่ในสายพานการผลิตตัดเย็บเสื้อผ้าทั้งหมด
 
บริษัท จอร์จี้แอนด์ลู  จดทะเบียนในประเทศไทยเมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2549 ด้วยทุนจดทะเบียน 24 ล้านบาท (ข้อมูลการลงทุนตามสัญชาติเป็นสัญชาติฮ่องกง 100%) เป็นบริษัทที่ผลิตสินค้า ของยี่ห้อ Neon Buddha ซึ่งมีสโลแกนว่า "นีออนบุดดา เริ่มจากความคิดการผลิตเสื้อผ้าเพื่อวิถีชีวิตที่หลากหลายทั้ง ชุดสำหรับการเดินทาง  ชุดอยู่กับบ้านชุดทำงาน ชุดโยคะ และชุดของคุณ ทุกชุดออกแบบในประเทศแคนนาดา โดย ชานอน พาสเซโร และ จัดการผลิตโดยทีมผู้หญิง 500 คน ในจังหวัดเชียงใหม่ ของประเทศไทย เสื้อผ้าของเรา เป็น ผ้าฝ้ายที่ซักก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิต   ทีมงานและสิ่งแวดล้อมช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เรา ออกแบบและผลิตสินค้า ที่ใส่สบาย ในทุกเวลา  ทำให้เรารู้สึกถึงการเป็นสมาชิกของชุมชนโลก  เราบริจาค 1 %ของทุกการขายสินค้าทุกชิ้น ให้ กับโครงการต่าง ๆ เพื่อทำให้โลกใบนี้น่าอยู่มากขึ้น"
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวหนองบัวลำภูโวยเวทีน้ำ3.5 แสนล้าน จำกัดสิทธิร่วมแสดงความเห็น

Posted: 06 Nov 2013 11:11 AM PST

6 พ.ย.2556 คณะอนุกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือ กบอ. ร่วมกับจังหวัดหนองบัวลำภู ได้จัดเวทีประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ของประชาชนในพื้นที่ ตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ให้รัฐบาลปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี พ.ศ. 2550 มาตรา 57 วรรคสอง และมาตรา 67 วรรคสอง โดยการนำแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำไปจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียอย่างทั่วถึง เนื่องจากโครงการบริหารจัดการน้ำทุกสัญญา (โมดูล) มีความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ที่ห้องประชุมภูฟ้ารีสอร์ท จ.หนองบัวลำภู เวลา 13.00 น.- 16.00 น. ของวันที่ 5 พ.ย.56

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศว่า มีข้าราชการ หน่วยงานส่วนท้องถิ่น พระสงฆ์ ผู้นำชุมชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็น จำนวนกว่า 100 คน โดยผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เป็นผู้ที่หน่วยงานของตน ได้แจ้งรายชื่อมาก่อนล่วงหน้า ขณะเดียวกันก็พบว่ามีผู้นำบางส่วนและชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูลุ่มน้ำลำพะเนียง จำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้แจ้งรายชื่อล่วงหน้า เดินทางมาขอเข้าร่วมเวทีดังกล่าว แต่ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดงานปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วม

โดยนายเจริญชัย  พาภักดี ผู้ใหญ่บ้านวังหมื่น หมู่ 5 ต.หนองบัว อ.เมืองหนองบัวลำภู กล่าวว่า ตนเป็นผู้ใหญ่บ้านทราบข่าวว่าจะมีเวทีรับฟังความเห็นเรื่องการบริหารจัดการน้ำในวันนี้ จึงเดินทางมาเพื่อจะเข้าร่วมรับฟัง แต่พอมาถึงโต๊ะลงทะเบียนเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่มีรายชื่อจึงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมในเวที

ด้านนายสฤษดิ์  ไสยโสภณ นายอำเภอเมืองหนองบัวลำภู จึงออกมากล่าวกับกลุ่มชาวบ้านว่า ชาวบ้านไม่ได้แจ้งรายชื่อมาล่วงหน้า และที่ประชุมก็ได้จัดเอาไว้จำนวนจำกัด จึงไม่สามารถให้เข้าร่วมได้

"เวทีในวันนี้เป็นการรับฟังความเห็นเรื่องการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง ซึ่งไม่เกี่ยวกับปัญหาการขุดลอกลำพะเนียงในพื้นที่หนองบัวลำภู ดังนั้นตามขั้นตอนต้องมีการแจ้งรายชื่อมาก่อน หากไม่มีรายชื่อก็เข้าไม่ได้"

จนกระทั่งเวลาประมาณ 13.30 น. นายชยพล ธิติศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู ได้เดินทางมากล่าวเปิดงาน กลุ่มชาวบ้านจึงได้เข้ายื่นหนังสือคัดค้านการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว และเจรจาขอเข้าร่วมเวที นายอำเภอเมืองหนองบัวลำภู จึงต่อรองให้กลุ่มชาวบ้านส่งตัวแทนเข้าร่วมได้เพียง 2 คน พร้อมกำชับว่ามีสิทธิ์รับฟังเท่านั้น ไม่ให้แสดงความคิดเห็นใดๆ ในเวที

ด้านนายวิเชียร  ศรีจันทร์นนท์  ประธานกลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูลุ่มน้ำลำพะเนียง กล่าวว่า เวทีในวันนี้ไม่มีความโปร่งใส โดยจำกัดสิทธิ์และกีดกันการมีส่วนร่วมของประชาชนในเวที นอกจากนี้คนเข้าร่วมในเวทีส่วนใหญ่ก็เป็นบุคคลของหน่วยงานรัฐที่ได้จัดเตรียมกันมาแล้ว

"นายอำเภอจะคอยยืนประกบผมกับเพื่อนอีกคนที่เป็นตัวแทนกลุ่มซึ่งได้เข้าร่วมในเวที และบอกว่าให้รับฟังได้เท่านั้นไม่ให้แสดงความคิดเห็น ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นเหมือนคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่เวทีนี้เป็นเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามที่ศาลสั่งมา"

นายวิเชียร กล่าวต่อว่า ผู้เข้าร่วมประชุมไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน และไม่เข้าใจสภาพพื้นที่ในพื้นที่โครงการ  ความคิดเห็นที่แสดงจึงคล้อยตามกับข้อมูลของทางผู้จัดได้นำเสนอ ซึ่งมีแต่ผลดีของการดำเนินโครงการ แต่ขาดข้อมูลรอบด้าน

"เนื้อหาในเวทีคนส่วนใหญ่จะพูดถึงกรณีการขุดลอกลำพะเนียงมากกว่า ซึ่งมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่พวกผมซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบและเจ้าของปัญหากลับถูกกีดกันไม่ให้ชี้แจง" นายวิเชียรกล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทีดีอาร์ไอปลุกกระแสสินค้าเฉดเขียว

Posted: 06 Nov 2013 10:51 AM PST

ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังคงขับเคลื่อนโลกให้ก้าวสู่อนาคตที่ไม่หยุดนิ่ง ท่ามกลางความจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม "การพัฒนาธุรกิจสีเขียว(Green Business)"จึงต้องอาศัยการขับเคลื่อนในทุกมิติ เพื่อให้ประชากรโลกตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและสมดุล  ส่วนหนึ่งคือการผลิต "สินค้าเฉดเขียว"ที่จะสามารถแทรกซึมเข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่ม

ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ฝ่ายการวิจัยทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า แนวคิดการตลาดสีเขียว (Green Marketing) หรือการตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการสร้างจิตสำนึกทางด้านสิ่งแวดล้อมให้กับผู้ประกอบการ  โดยการตลาดสีเขียวเน้นให้ผู้บริโภคคำนึงถึงคุณค่าในการเลือกใช้สินค้าที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม  และธุรกิจต้องรับผิดชอบต่อสังคมในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคและสภาพแวดล้อม  ดังนั้นเพื่อให้ผลิตภัณฑ์สีเขียวติดตลาดได้ ผู้ประกอบการจำเป็นจะต้อง Match Up คุณลักษณะพื้นฐานของสินค้าทั้งคุณภาพ ราคา ประสิทธิภาพการใช้งาน และความสะดวกในการใช้งานกับสินค้าทั่วไปที่เป็นคู่แข่ง คือเป็นสินค้าที่ต้องการใช้ คุณภาพและราคาเท่ากับสินค้าในท้องตลาดแต่ให้คุณค่ามากกว่า

สำหรับผู้บริโภคในตลาดสีเขียวจากแนวโน้มทางด้านสังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจ สามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ คือ True Blue Greens, Sprouts,Grousers และ Basic Brown   ผู้ประกอบการควรคำนึงถึงลักษณะของผู้บริโภคในการผลิตสินค้าและทำการตลาดเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคได้  โดยกลยุทธ์ในการตีตลาดกลุ่มผู้บริโภคได้นั้นจะต้องเริ่มจากการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับผู้บริโภค (รู้เขารู้เรา) การดำเนินงานของบริษัทคู่แข่ง การให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภค และวัฒนธรรมองค์กร    สิ่งสำคัญเบื้องต้นที่ผู้ประกอบการธุรกิจสีเขียวต้องคำนึงประการหนึ่ง คือ "ต้องรู้เขารู้เรา" ใช้งานศึกษาวิจัยเป็นฐานในการพัฒนาเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าอย่างแท้จริง เพื่อให้ได้สินค้าคุณภาพดี ราคาเหมาะสม และแข่งขันได้ในตลาด  ด้วยมาตรฐานสินค้าที่ดีและปลอดภัย เมื่อมีเป้าหมายชัดเจนว่ากลุ่มลูกค้าใครก็จะรู้ว่าควรผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่ผลิตนั้นจะอยู่เฉดเขียวขนาดไหน และรู้ว่าต้องมีแผนกลยุทธทางธุรกิจอย่างไร

ต้องเข้าใจว่าเฉดความเขียวของกลุ่มผู้บริโภคมีตั้งแต่เข้มข้นมากไปจนเข้มข้นน้อย หรือพูดให้ง่ายคือมีทั้งกลุ่มที่ตระหนักมากและใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขนาดที่ว่าสินค้าที่เขาบริโภคนั้นต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ขณะที่บางคนก็ไม่ได้เคร่งขนาดนั้นแต่ก็ไม่ต้องการเป็นผู้ทำลายสิ่งแวดล้อมให้รุนแรงไปกว่าเดิมก็ลดระดับความเข้มข้นของการใช้สินค้าที่อาจจะไม่ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทุกขั้นตอนการผลิตก็ได้  ส่วนคนทั่ว ๆ ไปการตัดสินใจซื้อสินค้าจะดูปัจจัยเรื่อง คุณภาพ ราคา ความสะดวกสบายในการเข้าถึงสินค้า เพราะฉะนั้นธุรกิจที่กลุ่มลูกค้ายังเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มกลาง ๆ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนในนวัตกรรมขั้นสูงมากนัก แต่ปรับปรุงด้วยการเปลี่ยนรูปแบบบรรจุภัณฑ์หรือกระบวนการผลิตบางส่วนให้เหมาะสมยิ่งขึ้น  ขณะเดียวกันในด้านผู้บริโภค บางครั้งตัวผู้บริโภคก็อยากจะมีส่วนช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมกับสังคมแต่ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้บริโภคคนเดียวจะช่วยอะไรได้  ตรงส่วนนี้ในประเทศไทยจึงนำไปสู่การคิดค้นและนำ โครงการฉลากเขียวมาใช้ เป็นการให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคว่าจะปรับเปลี่ยนการบริโภคอย่างไรจึงจะช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมได้บ้าง

ขณะเดียวกันในความเห็นของ ดร.เดชรัตน์ สุขกำเนิด อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากรธรรมชาติ คระเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มองว่า สินค้าในตลาดสีเขียวมีผู้บริโภค เป็นสินค้าสำหรับผู้บริโภค 4 กลุ่มหลัก คือ 1. กลุ่มเขียวทุกเรื่องเขียวทุกมิติ 2. เขียวสวยสุขคือสนใจเรื่องสุขภาพเป็นหลัก 3. เขียวประหยัด ซึ่งกลุ่มนี้เราก็เจาะตลาดได้ด้วยความประหยัด 4. เขียวอินเทรนด์ คือไปตามกระแส  เมื่อพิจารณาทั้ง 4 กลุ่มนี้จะพบว่าคุณค่าที่เราจะนำเสนอนั้นสามารถเลือกได้ว่าจะนำเสนอในลักษณะใดรูปแบบใด จึงเป็นโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับผู้ประกอบการที่จะเข้ามาในตลาดสีเขียวนี้   สำหรับเทรนด์ผู้บริโภคของไทยนั้น เทรนด์เขียวสวยสุขก็จะเป็นคนกลุ่มใหญ่ ขณะที่กลุ่มเขียวประหยัดก็มีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในสังคมที่ใช้คุณค่าเป็นตัวนำก็สามารถเลื่อนไหลและสร้างโอกาสให้กับกลุ่มสินค้าเฉดเขียวได้มากกว่าสังคมที่ใช้อุดมคติหรืออุดมการณ์เป็นตัวนำ

สำหรับกรณีโครงการสินค้าฉลากเขียว นายวิเชียร เจษฎากานต์ กรรมการบริษัท Pig Family จำกัด และผู้จัดการโครงการ Clean Development Mechanism เพื่อลดภาวะแก๊สเรือนกระจก ให้ข้อมูลว่า มีงานวิจัยที่ระบุว่า ถ้าใช้สินค้าฉลากเขียวจะช่วยลดงบประมาณในการแก้ปัญหาต่าง ๆ จากการใช้สินค้า/ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น มลภาวะ การบริโภคพลังงาน การรีไซเคิล เป็นต้น ลดลงได้เป็นจำนวนมหาศาล ตลาดสีเขียวเป็นตลาดที่ทุกคนเข้าถึงได้  ปัจจุบันเป็นกระแสที่ทั้งโลกกำลังเดินไปในแนวทางเดียวกัน และประเทศไทยไม่ควรพลาดโอกาสนี้

อย่างไรก็ตามวงเสวนา "โอกาสและแนวทางเพื่อการพัฒนาธุรกิจสีเขียวในประเทศไทย" ซึ่งทีดีอาร์ไอจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ เห็นตรงกันว่า ยุทธศาสตร์ธุรกิจสีเขียวของไทย สามารถกำหนดทิศทางตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำได้อย่างยั่งยืน โดยหัวใจสำคัญคือ ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลักแล้วสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าด้วยการนำนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยหลุดจากวังวนที่เรียกว่า"กับดักรายได้ปานกลาง"(Middle Income Trap) ทำให้การขับเคลื่อนให้ธุรกิจสีเขียวดำเนินไปในเชิงรุกมากขึ้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ธรรมศาตร์จัดรถรับส่งบุคลากรต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม

Posted: 06 Nov 2013 10:12 AM PST

สมชาย ชคตระการ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารทั่วไป มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกหนังสือด่วนแจ้งเรื่องมหาวิทยาลัยจัดรถรับส่งบุคลากรที่ไปร่วมแสดงพลังต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม 7 พ.ย.นี้

เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2556 รศ.สมชาย ชคตระการ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารทั่วไป มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกหนังสือด่วน ถึงทุกหน่วยงานในมหาวิทยาลัย แจ้งเรื่องมหาวิทยาลัยจัดรถรับส่งบุคลากรที่ไปร่วมแสดงพลังต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

โดยระบุว่า ตามที่เครือข่ายศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ได้จัดงาน "ธรรมศาสตร์ ค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" ขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 7 พ.ย.2556 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ณ ลานปรีดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยได้เชิญชวนประชาคมธรรมศาสตร์ร่วมงานและประกาศเจตนารมณ์ในการคัดค้าน พ.ร.บ.ดังกล่าว ด้วยนั้น

ในการนี้ ฝ่ายบริหารทั่วไป ได้จัดรถรับส่งบุคลากรและนักศึกษาของมหาวิทยาลัยที่ประสงค์จะไปร่วมงานครั้งนี้ โดยจะมีรถออกจากหน้าอาคารบริหาร ศูนย์รังสิต เวลา 07.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การสนับสนุนของมหาวิทยาลัยในการเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นั้น นอกจากการจัดรถรับส่งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว วันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ก็มีการงดการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี รวมทั้งวันที่ 7 พ.ย.นี้ ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ก็มีการประกาศงดการเรียนการสอนทุกระดับการศึกษาเพื่อให้นักศึกษาเข้าร่วมชุมนุมแสดงพลังคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ด้วย

ในขณะที่เมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา กรมการปกครองออกหนังสือขอให้จังหวัดแจ้งขอความร่วมมือทุกอำเภอจัดทำคัดเอาท์ หรือป้ายไวนิลข้อความ สนับสนุนการปรองดองของชาติโดยการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม และมีการแจงระงับหนังสือดังกล่าวในวันที่ 1 พ.ย.โดยอ้างว่าคลาดเคลื่อนจากแนวนโยบายของกรมฯ ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก โดยเฉพาะในโซเชียลเน็ตเวิร์กถึงความเหมาะสมในการนำเอางบประมาณของรัฐมาใช้ในกิจกรรมตรงนี้และบทบาทของเจ้าหน้าที่รัฐ

สำหรับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้น ศ.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็เคยให้สัมภาษณ์กับ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2555 ถึงกรณีที่ประชุมกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ออกมติไม่อนุญาตให้คณะนิติราษฎร์ใช้สถานที่ของธรรมศาสตร์เคลื่อนไหวในเรื่องเสนอแก้ไขกฎหมาย มาตรา 112 ว่า เราจะปล่อยให้ใช้ธรรมศาสตร์เป็นที่เคลื่อนไหวทางการเมืองและไปส่งผลกระทบก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อธรรมศาสตร์ มันไม่ได้ ผมเป็นอธิการบดี ผมต้องรับผิดชอบ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แกนนำ นปช. แถลง: "จำหน้าผมไม่ได้หรือว่าผมเป็นใคร ผมชื่อจตุพร พรหมพันธุ์"

Posted: 06 Nov 2013 09:50 AM PST

นปช.แถลงข่าวโดยไม่มีการถ่ายทอดสดผ่านเอเชียอัพเดต ธิดา ถาวรเศรษฐย้ำจุดยืน นปช. นิรโทษกรรมประชาชนทุกสี คนใหญ่คนโต-แกนนำ-ผู้สั่งฆ่า ไม่ต้องเอามาใส่เข่ง ชี้รัฐบาลอยู่ดีไม่ว่าดีแท้ๆ ส่วนจตุพร พรหมพันธุ์ ระบุไม่กลับมาจัดที่เอเชียอัพเดต จะเปิดช่องเสื้อแดงเอง 1 ธ.ค. นี้

7 พ.ย. 2556 - ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวานนี้ (6 พ.ย.) แกนนำ นปช. ประกอบด้วย ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช. และจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และคณะ โดยแกนนำได้ยืนยันจุดยืนของ นปช. ว่าต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับเหม่าเข่งสุดซอย และ นปช. สนับสนุนแต่ร่างฉบับ 'วรชัย เหมะ' ที่นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนทุกสี ยกเว้นแกนนำและผู้สั่งการฆ่าประชาชน

 

ประธาน นปช. ระบุ รบ.ผลักดันกฎหมายเหมาเข่งเป็นการหาเรื่อง "อยู่ดีไม่ว่าดีแท้ๆ"

ทั้งนี้ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ได้อ่านแถลงการณ์ นปช. แดงทั้งแผ่นดินฉบับที่ 2 หัวข้อ "สถานการณ์ความขัดแย้งอันเนื่องจาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" ระบุว่า นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ยืนยันในจุดยืนเดิม คือ นิรโทษกรรมให้กับประชาชนทุกสี ยกเว้นแกนนำ และผู้สั่งการฆ่า ท่าทีของเราเป็นท่าทีเตือนเพื่อนมิตรทั้งในที่ส่วนตัวและสาธารณะ เพราะเราก็ยังคัดค้านการเคลื่อนไหวที่จะล้มรัฐบาลหรือเปลี่ยนแปลงประเทศให้ถอยหลังสู่ระบอบอำมาตยาธิปไตย

ประธาน นปช. กล่าวย้ำว่า ที่ผ่านมาในการเคลื่อนไหวของ นปช. นอกจากต้องการรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว เป้าหมายที่สำคัญอีกประการของ นปช. คือ เราต้องการให้ประเทศก้าวหน้าต่อไปเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่ทำให้กงล้อประวัติศาสตร์หมุนกลับทำให้ผีของระบบอำมาตย์ออกมาเริงร่าอีกครั้ง ดังนั้นความผิดพลาดในการตัดสินใจขับเคลื่อน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่งสุดซอยนั้น รัฐบาลมีความจำเป็นต้องรับผิดชอบและแก้ไขสถานการณ์ด้วยการตราเป็นพระราชกำหนดนิรโทษกรรมปลดปล่อยฝ่ายประชาชนทุกสีเสื้อโดยเร็ว โดยรัฐบาลโปรดใช้ความรอบคอบและความระมัดระวังแล้วฟังเสียงประชาชนด้วย ซึ่งคนเสื้อแดงก็เป็นพลเมืองและจะเป็นเพื่อนแท้ไม่หักหลังใครที่อยู่ฝ่ายประชาชนเป็นอันขาด

"ประเทศของเรายังไม่มีนิติธรรม ไม่มีความยุติธรรมที่แท้จริง จึงต้องนิรโทษกรรมให้คนเล็กคนน้อยก่อน ไม่ใช่เอาคนใหญ่คนโตแต่ละฝ่ายทั้งพวกสั่งฆ่า พวกแกนนำ ไม่ต้องเอามาใส่เข่ง ในเข่งขอให้มีประชาชนตัวเล็กตัวน้อยพอ นี่คือจุดยืน นปช. แต่ไหนแต่ไร และเรามีพระราชกำหนดที่เราเคยนำเสนอเอาไว้นานแล้วตั้งแต่ปลายปี 2555 ที่หน้าเรือนจำหลักสี่"

ในตอนหนึ่งของการแถลงข่าวธิดา กล่าวด้วยว่า ในการชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในขณะนี้นั้น ไม่เพียงแค่การนำของพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแล้ว ที่น่าสนใจคือมีกลุ่มคนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ ตุลาการ ข้าราชการระดับสูงที่พากันออกมาชุมนุมเรียกได้ว่ามีการขยายตัวทั้งปริมาณและคุณภาพในการต่อต้าน

"หาเรื่องแท้ๆ เลย อยู่ดีไม่ว่าดี แท้ๆ เลย" ประธาน นปช. กล่าว ประธาน นปช. ย้ำด้วยว่าคนเสื้อแดง ไม่ได้ทอดทิ้งพรรคเพื่อไทย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้กลัวพรรคเพื่อไทยจะทอดทิ้ง

ประธาน นปช. กล่าวด้วยว่า พรรคเพื่อไทยต้องเข้าใจ นปช. และยอมรับถึงความแตกต่างระหว่างจุดยืนของพรรคเพื่อไทยกับ นปช. และต้องเข้าใจว่า นปช. ไม่ได้อยู่ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย เพียงแต่ นปช.สนับสนุนพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นพรรคที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น บางสิ่งบางอย่างอาจคิดต่างได้ โดยธิดากล่าวด้วยว่าในวันที่ 10 พ.ย. นี้ กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงของสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด จะออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านเรื่องนี้ ซึ่งอาจจะมีกลุ่ม นปช. บางส่วนที่มีวิธีคิดคล้ายกันออกมาเคลื่อนไหวด้วย เพราะมีคนเสื้อแดงบางส่วนที่ร่วมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง แต่ไม่ได้จ้องล้มรัฐบาล เหมือนกับที่คนบางกลุ่มทำอยู่ในตอนนี้

จตุพรระบุไม่กลับมาจัดที่เอเชียอัพเดต จะเปิดช่องเสื้อแดงเอง 1 ธ.ค. นี้

จตุพร พรหมพันธุ์ (แฟ้มภาพ/ประชาไท)

ทั้งนี้ นปช. มีการแถลงด้วยว่าจะไม่ขอปกป้องพรรคเพื่อไทยอีก ในกรณีร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่ง พร้อมประกาศ จะตั้งช่องโทรทัศน์คนเสื้อแดง เพื่อเป็นอิสระจากช่องเอเชียอัพเดท

โดยจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำ นปช. แถลงว่า คำว่า "คำว่า ฆ่าได้หยามไม่ได้นั้น ผมก็เหมือนลุงนวมทอง ผมและบรรดาพรรคพวกที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่กลับไปจัดรายการที่เอเชียอัพเดตต่อไป และเพื่อบอกว่าเส้นทางของประชาชนบนถนนใหญ่นั้นจะไม่เหมือนซอยตัน วันที่ 1 ธ.ค. เราจะเปิดช่องของคนเสื้อแดง ถ่ายทอดการชุมนุมก็จะไม่ยิงตัดสัญญาณตัวเอง นั่งจัดรายการรักษาจุดยืนการต่อสู้ นปช. แต่ไม่ตรงใจผู้มีอำนาจ เราก็จะไม่ถอดรายการออก จะสร้างช่องใหม่ให้มีชีวิต มีอิสรภาพ ไม่เป็นทาส"

พวกผมไม่ใช่พวกอยากออกโทรทัศน์ ไม่ใช่อยากมีชื่อเสียง แต่พวกผมกับพรรคเพื่อไทย รัฐบาลนั้น เราเห็นต่างกันเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะพวกเราประกาศกันชัดเจนว่าจะไม่ทรยศพี่น้องวีรชนที่ตาย กับพี่น้องที่ร่วมกันต่อสู้ และจะไม่มีวันปล่อยให้ฆาตกรลอยนวล ผมบอกมาแต่ต้นว่าการเป็นสื่อมวลชนหรือจัดรายการโทรทัศน์เราพูดความจริงครึ่งเดียวไม่ได้ ความจริงก็คือว่า เราพูดไว้สองครึ่ง ครึ่งแรกเอาทักษิณกลับบ้าน ครึ่งที่สองเอาฆาตกรเข้าคุก เพราะฉะนั้นแวดล้อมรัฐบาลหลายคนที่ขึ้นมามีอำนาจเขาไม่เคยเห็นแม้กระทั่งตีนตบ เขาไม่เคยไปงานศพ ได้ยิน ได้เห็นจากภาพ ไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกพี่น้องประชาชนว่าเขาเจ็บปวดมากขนาดไหน กับการไปบอกกับเขาเห็นต่างก็ไม่ได้ บอกให้เขาไปสนับสนุนการปลดปล่อยฆาตกรร้อยศพ ผู้ที่ไล่ล่าข่มเหงประชาชนคนเสื้อแดง

"ผมบอกมาแต่ต้นว่าจะไม่รักษาคำพูดกับผมอย่างไรกี่ครั้งนั่นผม นายจตุพรชีวิตเดียว แต่จะบังคับให้นายจตุพรและพวกไปสนับสนุนกับการปลดปล่อยคนเข่นฆ่าพวกของนายจตุพร และพวกนั้น ไม่มีวันจะทำได้"

ผมได้เตือนแล้วว่าอย่าทำอย่างนี้เด็ดขาด แล้วท้ายที่สุดเมื่อไปพบซอยตัน แล้วก็ออกมา แล้วก็บอกว่าถอย พ.ร.บ.นิรโทษสุดซอยแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งไม่เคยมีความชอบธรรมเลยในชีวิตนี้ ก็ยกระดับ เอา พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยออกไปให้พ้นก่อน ส.ว.เขาจะโหวตคว่ำ 11 พ.ย. ซึ่งตรงกับวันพิพากษาศาลโลกในคดีเขาพระวิหารซึ่งมีแต่จะเจ๊งกับเจ๊า ถ้าเขาคว่ำกฎหมายส่งกลับมาสภาผู้แทนราษฎรทิ้งไว้ 180 วัน จึงจะหยิบยกพิจารณาได้ สุเทพ เทือกสุบรรณ เขาก็รู้กฎหมายข้อนี้ เขาไม่มีวันจะเชื่อ แม้ว่ารัฐบาลแถลงถอน พรรคจะถอน ก็นำออกจากสภาไม่ได้ มันเข้าปากจระเข้มาแล้ว เขาจะยกระดับไปขับไล่รัฐบาล หลังจากนั้นเขาจะไล่ตระกูลชินวัตร นี่ผมเตือนเอาไว้เลย เราเตือนอย่าฉันมิตร

จตุพรกล่าวว่า ผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องสุดซอย แต่ผมไม่มีวันไปฆ่ารัฐบาลชุดนี้ แต่ฝ่ายที่อยู่ ถ.ราชดำเนิน แยกอุรุพงษ์ เขาจะจัดการกับรัฐบาลชุดนี้ แต่คุณไม่โกรธสุเทพ ไม่โกรธใครทั้งนั้น ไม่โกรธพวกนั้นแต่ดันมาโกรธผม โกรธณัฐวุฒิ โกรธอาจารย์ธิดา โกรธหมอเหวงและพวก นี่ประแสง มงคลศิริ ก็เพิ่งถูกปลด ปรากฏว่าความโกรธแค้นมาลงที่พวกผม คุณจำหน้าผมไม่ได้หรือว่าผมเป็นใคร ผมชื่อจตุพร พรหมพันธุ์ เอาชีวิตไปเสี่ยงตายให้พวกคุณชูคออยู่ในทำเนียบปัจจุบัน คุณจำจตุพรไม่ได้หรือ ปรากฏว่าความหวังดีทั้งหมดนั้นทำคุณบูชาโทษแท้ๆ ทั้งที่เวลานี้คนเราถ้าไม่โง่จริงๆ จะคิดไม่ได้ เพราะขณะที่ประชาธิปัตย์และเครือข่ายกระทืบอยู่เต็มๆ นั้น ปรากฏว่าเอาแกนนำที่คนเสื้อแดงเขาจะมาดู เอาออกจากจอทีวีไปหมด คนก็ไปดูบลูสกายหมด ไปดูว่าเขาเคลื่อนไหวอะไร จตุพรกล่าว

"ก็ดีเหมือนกันไม่มีโทรทัศน์ถ่ายทอดสด พี่น้องจะได้มาดูกันมากๆ จะได้อบอุ่น เพราะท้ายที่สุดคุณปิดกั้นอะไรก็ได้ แต่คุณปิดกั้นหัวใจของพี่น้องที่อยากจะสื่อสารกันไม่ได้หรอก ไม่ใช่ว่าโลกนี้ต้องดูทีวีช่องนี้เท่านั้นจึงจะสื่อสารกันได้ โลกเขาอยู่กันมานานก่อนที่จะมีทีวีด้วยซ้ำ" จตุพร กล่าวตอนหนึ่งของการแถลงข่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘อลงกรณ์’ เสนอวุฒิเห็นชอบร่างฯนิรโทษฯ แก้เหมาเข่งเข้าฉบับเดิม

Posted: 06 Nov 2013 09:30 AM PST

อลงกรณ์ เสนอวุฒิสภาเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ แล้วตั้ง กมธ.เต็มสภาฯ แก้จากเหมาเข่งกลับเป็นฉบับเดิมชั้นรับหลักการ ชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย รับข้อเสนอ ขณะที่จุรินทร์ ปธ.วิปฝ่ายค้านวอนถอนทั้ง 5 ฉบับออก

6 พ.ย.2556 กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม ช่วงปรึกษาหารือ นายอลงกรณ์  พลบุตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ หารือต่อการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิด เนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองและการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน (พ.ร.บ.นิรโทษกรรม) ที่เตรียมจะเข้าสู่ระเบียบวาระการพิจารณาของวุฒิสภา ในวาะแรกว่า การพิจารณาเรื่องดังกล่าว ส.ว.มีแนวทางพิจารณา 3 แนวทาง คือ เห็นด้วย,ไม่เห็นชอบ และแก้ไขเนื้อหา ซึ่งมองว่าวุฒิสภาควรเห็นชอบ แล้วแก้ไขเนื้อหาของร่างกฎหมาย ด้วยกระบวนการตั้งกรรมาธิการเต็มสภาฯ แก้ไขโดยให้กลับไปเป็นตามร่างกฎหมายที่ถูกเสนอมาในชั้นรับหลักการของสภาผู้แทนราษฎร เชื่อว่าวิธีดังกล่าวจะเป็นตัวเลือกที่นำไปสู่ทางออกของความขัดแย้งที่เกิดจากร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้เร็วที่สุด

ทั้งนี้ตามขั้นตอนเมื่อส.ว.แก้ไขแล้ว จะต้องส่งร่างกฎหมายให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาและให้ความเห็นชอบตามที่ส.ว.แก้ไข ก็จะเข้าสู่กระบวนการตราเป็นกฎหมายเพื่อบังคับใช้ และจะเป็นการหยุดยั้งความขัดแย้งและเพื่อให้รัฐบาลและสภาฯเสียงข้างมากได้ยืนยันถึงจุดยืนที่ได้รับปากไว้ว่าจะแก้ไขวิกฤตความขัดแย้งของชาติ ว่าจะกลับไปใช้ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับเดิม ไม่ใช่ใช้ฉบับที่เหมาเข่ง

ขณะที่นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หารือโดยเห็นด้วยกับข้อเสนอของนายอลงกรณ์ พร้อมให้เหตุผลว่าหากใช้วิธีดังกล่าวจะไม่ให้ร่างกฎหมายดังกล่าวที่ผ่านสภาฯเสียเปล่า ส่วนจะแก้ไขเนื้อหาอย่างไรเป็นดุลยพินิจของส.ว. การดำเนินการในสภาฯ ทั้ง 2 สภาฯ เป็นสิ่งที่ชอบ เพราเป็นการดำเนินการในระบบรัฐสภา โดยส่วนตัวต้องการเห็นการทำงานในสภาฯ มากกว่าการใช้เวทีนอกสภาฯ กดดัน ทั้งนี้รัฐสภาถือว่ามีส่วนสำคัญในการสร้างความสงบให้กับสังคมได้

ด้าน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หลายคน อาทิ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานวิปฝ่ายค้าน, นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้หารือและเรียกร้องให้ผู้ที่เสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ทั้ง 5 ฉบับ ได้แก่ นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นายนิยม วรปัญญา ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกจากระเบียบวาระ เพื่อยุติความคลางแคลงใจของสังคมต่อการหยิบยกร่างกฎหมายที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันกับร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ที่เป็นชนวนสร้างความขัดแย้งให้กับสังคม ทั้งนี้ได้เรียกร้องนายเจริญประสานไปยังผู้เสนอร่างกฎหมายดังกล่าวให้พิจารณาถอน ทั้งนี้นายเจริญ กล่าวว่า ตนจะไปประสานงานตามข้อเรียกร้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด นายนิยม ได้ยื่นเรื่องต่อสภาฯ เพื่อขอถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกจากระเบียบวาระการประชุม ตามข้อบังคับการประชุม ข้อที่ 53 โดยให้เห็นผลว่าเพื่อไม่ให้รัฐสภาเสียเวลาพิจารณาของสภาฯ ทั้งนี้ตามขั้นตอนจะต้องให้ที่ประชุมสภาฯ ลงมติเห็นชอบก่อน การถอนเรื่องดังกล่าวจึงจะมีความสมบูรณ์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บทเสวนาเกี่ยวกับการเมืองในเอเชียเหนือ

Posted: 06 Nov 2013 08:11 AM PST

เมื่อคืน ผู้เขียนนอนหลับแล้วฝันว่าประเทศทั้งหลายซึ่งอยู่ในเอเชียเหนือ(East Asia) กับประเทศมหาอำนาจที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับฉากทางการเมืองในเอเชียเหนือได้อวตารแปลงร่างเป็นตัวบุคคลและมาร่วมเสวนาหรือสับโขกกันอย่างดุเดือดโดยมีผู้ดำเนินรายการเป็นชายไทยวัย40 กว่าใส่แว่นตากลมๆ ซึ่งเคยจัดรายการที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของสื่อมวลชนนั้นคือการเชิญนักวิชาการมาถกเถียงพูดคุยกันเรื่องสถาบันกษัตริย์จนรายการถูกระงับไม่ให้ออกอากาศมาแล้ว

อนึ่งถึงแม้จะเป็นความฝันแต่ผู้เขียนก็ได้พยายามจะถ่ายทอดบทสนทนาของคนเหล่านั้นมาถ่ายทอดลงในบทความนี้อย่างซื่อสัตย์ต่อความเป็นจริงมากที่สุด ดังต่อไปนี้

ผู้ดำเนินรายการ : ต่อไปนี้คือรายการตอบโจทย์สเปเชียล เพราะแตกต่างจากทุกวันที่ผ่านมาด้วยเราได้เชิญประเทศในเอเชียเหนือและมหาอำนาจอื่นๆ  มาเสวนา พูดคุยกันกันเกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศในเอเชียเหนือซึ่งถึงแม้จะไม่ร้อนระอุเหมือนกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งของเมืองไทยในขณะนี้ก็ตามแต่ก็ส่งผลกระทบถึงการเมืองโลกอย่างมหาศาล และเหตุการณ์ในแต่ละครั้งถ้าร้อนระอุขึ้นมาบ้างก็จะทำให้เป็นข่าวได้ทั่วโลกแถมยังดังกว่าข่าวบ้านเราหลายพันเท่า  ผมขอแนะนำผู้เข้าร่วมรายการดังต่อไปนี้นะครับ คุณสหรัฐอเมริกา คุณรัสเซีย คุณญี่ปุ่น คุณจีน คุณสองเกาหลีคือเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้  (มีเสียงแทรกมาทำให้ผู้ดำเนินรายการหยุดชะงัก)....เออ มีคนถามเข้ามาว่าแล้วคุณไต้หวันล่ะทำไมไม่เชิญมา อันนี้ใคร่อยากให้คุณสาธารณรัฐประชาชนจีนช่วยตอบแทนด้วยครับ

คุณจีน: อันนี้ตอบได้ไม่ยากครับแต่ผมขู่คุณภิญโญ  (นามสกุลไม่เคยจำได้สักที) ว่าถ้าเชิญไต้หวันมา เราก็ไม่มาร่วมรายการด้วยเพราะเราถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นมณฑลที่ 23 ของเรา การเชิญไต้หวันมาด้วยจะเป็นการรับรองว่าเกาะกระจอกงอกง่อยนี้เป็นรัฐอิสระรัฐหนึ่งซึ่งเราจะยอมไม่ได้เป็นอันขาด แต่ตอนนี้เราก็ปลื้มในตัวคุณภิญโญว่าไม่หน้าไหว้หลังหลอกเหมือนใครบางคน (มองคุณสหรัฐอเมริกาด้วยหางตา) ที่เคยอ้างว่าเป็นมิตรกับเราแต่ก็ยังขายอาวุธให้กับไต้หวัน

คุณสหรัฐฯ(ค้อนคุณจีนวงใหญ่แล้วหันมาชำเลืองมองคุณญี่ปุ่นซึ่งกำลังมองคุณจีนด้วยสายตาไม่ค่อยเป็นมิตรนัก) : ทึกทักเอาคนเดียวนะสิ คุณไต้หวันเค้าไม่นับญาติด้วยหรอก ที่ว่าเป็นมิตรกันน่ะมันสมัยนิกสัน กับสมัยเติ้ง เสี่ยวผิงในทศวรรษที่ 70 และ 80 ตอนนี้เราไม่ได้เป็นมิตรกันแต่เป็นคู่แข่งทางกลยุทธ์ ถ้าไม่ปักหมุดที่คุณไต้หวันก็ไม่ใช่การโอบล้อมคุณจีนนะสิ   ขอบอกนะถ้าจะบุกยึดคุณไต้หวันนะ รับรองว่าได้เจอกันแน่

(มีเสียงแว่วมาจากมุมหนึ่งของผู้ชม) ผมฮ่องกงก็ไม่อยากนับญาติกับจีนด้วยครับ ขอออกจากการเป็นเขตบริหารพิเศษ (SAR)ของจีนได้ไหม

ผู้ดำเนินรายการยิ้มเจื่อนๆ :เอาละครับอย่าเพิ่งกัด เอ้ยทะเลาะกัน ผมขอเปิดประเด็นในเรื่องที่เคยร้อนมากเมื่อหลายเดือนก่อนก็คือข้อกล่าวหาที่ชาวโลกที่มีต่อคุณเกาหลีเหนือว่าพยายามพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ อันเป็นภัยกับโลก ในเมื่อคุณเกาหลีเหนือมานั่งในที่นี้แล้วก็อยากให้คุณเกาหลีเหนือได้ชี้แจงด้วยตัวเองเพื่อให้เกิดความชัดเจนด้วยครับ
คุณเกาหลีเหนือ (เผลอเอามือมาชนกับแขนของคุณจีนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ทำให้คุณจีนหดแขนหนี) : เสียดายนะที่คุณภิญโญไม่เชิญคุณอิหร่านมาด้วย เค้าก็มีเหตุผลเช่นเดียวกับผมนั้นแหละครับ ในเมื่อประเทศอื่นๆ เค้าครอบครองหรือพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์กันโครมๆ  ทำไมผมจะไม่มีเพื่อเป็นการป้องกันตัวหรือไว้สำหรับเป็นพลังงานสะอาดเหมือนเค้าบ้าง ทีคุณอินเดียกับคุณปากีสถานซึ่งจวนๆ จะรบกันหลายครั้ง ทำไมชาวโลกซึ่งส่วนใหญ่มองผ่านสื่อของคุณสหรัฐฯจึงไม่โจมตี 2 คนนี้ แล้วทำไมคุณอิสราเอลซึ่งครอบครองหัวรบนิวเคลียร์หลายร้อยลูกจึงไม่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อภูมิภาคตะวันออกกลางบ้าง

ผู้ดำเนินรายการ : เมื่อชื่อถูกพาดพิงก็ขอความเห็นจากคุณสหรัฐฯครับ
คุณสหรัฐฯ (นั่งไขว้ห้าง ทำท่าเขื่องๆ) :คำตอบไม่ซับซ้อนหรอกครับ เพราะเราไว้ใจแต่ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ทั้ง 3 ประเทศที่คุณเกาหลีเหนืออ้างมา เค้าเป็นประชาธิปไตยทั้งนั้น ซึ่งเราสามารถพูดคุยตกลงกันได้ แต่คุณเกาหลีเหนือสิเป็นพวกตกกระแสโลก(pariah state) น่าจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่เป็นเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ ผู้นำก็ท่าทางลับๆ ล่อๆ ปกครองบ้านเมืองแบบลัทธิสตาลิน (รัสเซียไอแทรกมานิดหนึ่ง)    ลิดรอนสิทธิเสรีภาพและกดขี่ข่มเหงประชาชน รัฐเช่นนี้ไว้ใจไม่ได้

คุณจีน :อันนี้ตั้งใจจะว่ากระทบใครหรือครับ

คุณสหรัฐฯ :ใครเป็นอย่างนั้น ก็รับไปเถอะคุณ

คุณจีน (หันมามองเกาหลีเหนือก่อนจะไปคุยกับคุณภิญโญ) :ถึงแม้ชาวโลกจะมองเราทั้งคู่ว่าเป็นเผด็จการกดขี่ประชาชนเหมือนกันแต่เราไม่เคยคิดร้าย ไปบุกรุกประเทศไหนทำให้ชาวบ้านเค้าตายกันเป็นล้านๆ  เหมือนกับบางประเทศที่ชอบอ้างว่าตนเป็นประชาธิปไตยและไปใส่ร้ายป้ายสีให้กับประเทศอื่นนะคุณ

คุณรัสเซีย (หัวเราะ) :จริงครับ ตอนที่ผมเป็นสหภาพโซเวียตก็ถูกคุณสหรัฐฯใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นอาณาจักรแห่งความชั่วร้าย  ทั้งที่โซเวียตไม่เคยบุกรุกใครเหมือนคุณสหรัฐฯ ซะที

คุณสหรัฐฯ : ไม่จริงหรอกคุณรัสเซีย เราต่างก็เป็นปีศาจร้ายทั้งคู่นั้นแหละในช่วงสงครามเย็น เราสนับสนุนให้ประเทศโลกที่ 3 รบกันเองเพื่อตอบสนองความบ้าอุดมการณ์และความกระหายอำนาจกับผลประโยชน์ของพวกเรา คุณรัสเซียตอนยังเป็นโซเวียตก็ยังส่งทหารไปฆ่าประชาชนของคุณฮังการีและคุณเช็กโกสโลวาเกียเพียงเพราะอยากแยกตัวออกจากค่ายคอมมิวนิสต์ แถมคุณยังไปบุกรุกคุณอัฟกานิสถานเมื่อปี 1979 เลย

คุณรัสเซีย :ยอมรับตัวเองแล้วหรือครับ คุณสหรัฐฯ

คุณสหรัฐฯ :ฟังให้ดีก่อนนะครับ หากเราต้องการจะต่อสู้กับปีศาจ เราก็ต้องกลายเป็นปีศาจเสียเองในบางครั้ง ไม่เช่นนั้นเราก็คงไม่เอาชนะสงครามเย็น ไอ้ที่คุณเห็นไม่ใช่ตัวตนของผมหรอกครับ โดยเนื้อแท้ผมเป็นคนดีเหมือนน้องเนยรักโลก รักองค์การนาโต   รักบริษัทข้ามชาติ รักโลกเสรี   ส่วนคุณจีนก็เหมือนกัน ตอนที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยึดอำนาจได้ก็ส่งกองกำลังปลดปล่อยประชาชนจีนไปยึดครองทิเบตและเข่นฆ่าชาวทิเบตหลายหมื่นคน เผาวัดเผาวาไปเป็นจำนวนมหาศาลล่ะ ตกนรกไม่ได้ผุดได้เกิดนะคุณ

คุณจีน :แล้วตอนที่สหรัฐฯส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดลงอินโดจีน ทำให้คนตายเป็นล้านๆ ล่ะ ไม่ยิ่งกว่าผมหรอกจ้ะ  แล้วรู้ได้อย่างไรที่บอมบ์ไปน่ะไม่โดนวัดหรือพระเข้าบ้าง

คุณสหรัฐฯ :ถ้าคุณเวียดนามไม่ได้รับการสนับสนุนจากคุณโซเวียตและคุณจีนล่ะ ผมก็คงไม่ทำอย่างนี้หรอก  ตามทฤษฏีโดมิโน หากไม่ทำเช่นนี้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะต้องเป็นคอมมิวนิสต์กันหมด เราถือคติตามแบบพระสงฆ์ในประเทศหนึ่งว่า "ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป" จ้ะ

คุณจีน :คุณสหรัฐนี่ทำตัวเหมือนกับผู้นำพรรคฝ่ายค้านของประเทศที่คุณภิญโญอยู่เลยนะ คือดีเข้าตัว ชั่วเข้าคนอื่น จริงๆ แล้วในสงครามอินโดจีน ผมไม่ได้สนับสนุนคุณเวียดนามเลย ผมสนับสนุนคุณลาวและคุณกัมพูชาต่างหาก ส่วนคุณเวียดนามเค้าไปซบไออุ่นกับคุณโซเวียตต่างหาก

ผู้ดำเนินรายการ (อินตาม):แล้วคุณไทยเพื่อนบ้านคุณลาวละครับ

คุณจีน :ตอนแรกคุณไทยแกก็เป็นลิ่วล้อคุณสหรัฐฯ ดีๆ อยู่นะครับ พอคุณสหรัฐฯ เธอหางจุกตูดจากอินโดจีนในปี 1975 (หันมาเย้ยคุณสหรัฐฯ ) คุณไทยก็หันมาจูบปากกับผมแบบเฟรนช์คิสเลย เพราะแกกลัวคุณเวียดนามจะล้างแค้นเอาคืนเพราะดันไปยอมให้คุณสหรัฐฯ ใช้ตัวเองเป็นฐานทัพในการในบอมบ์ฮานอยเข้า ผมก็เลยทำสงครามสั่งสอนเวียดนามเสียหมดท่าเลย

คุณสหรัฐฯ :เฮาบ่ใจ่น้องหมาเน้อ แต่เราเพียงถอนกองกำลังออกจากอินโดจีนตามสัญญาสันติภาพปารีส (Paris Peace Accords) ปี 1973 ต่างหาก จริงๆ แล้วสาเหตุสำคัญที่เราไม่อาจเอาชนะสงครามเวียดนามก็เพราะไอ้พวกเสรีนิยมที่ประท้วงกันในประเทศต่างหากที่สร้างแรงกดดันทางการเมือง  แล้วสงครามสั่งสอนคุณเวียดนามปี 1979 น่ะ ได้ข่าวว่าทหารจีนก็ตายกันเยอะไม่ใช่หรือ

คุณจีน:เฮอะ แก้ตัวข้างๆ คู ๆ อย่างไงเราก็ไม่แพ้สงครามเวียดนามเหมือนใครบางคนหรอก

ผู้ดำเนินรายการ :เอาละครับ จากปัญหานิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือมากลายเป็นสงครามเวียดนามเข้า กลับมาประเด็นเดิมดีกว่าดีครับ ตกลงคุณเกาหลีเหนือว่าอย่างไร

คุณเกาหลีเหนือ :สรุปก็คือคุณสหรัฐฯ แกใส่ร้ายป้ายสีผมครับ คือเธออยากจะมีอิทธิพลในเอเชียเหนือตามนโยบายการโอบล้อมเอเชียก็เลยใช้ข้ออ้างเรื่องผมเพื่อกดดันจีนอะครับ (หันไปมองคุณจีน) แต่เห็นชาวโลกเค้ามองเราว่าเป็นคู่ตุนาหงันอย่างนี้อย่าไม่หลงเชื่อนะครับ ความจริงเราต่างก็ไม่ไว้ใจกันเหมือนกัน ผมก็กลัวว่าคุณจีนแกจะยึดครองประเทศผม ก็เลยต้องเอาเรื่องนิวเคลียร์มาเป็นประเด็นต่อรองเลยล่ะ

คุณเกาหลีใต้ :ขอพูดหน่อยนะคะ นิ่งอยู่นานแล้ว คือดิฉันอยากจะบอกว่าถ้าคุณภิญโญลองจินตนาการว่าถ้าคุณมีเพื่อนบ้านที่เป็นฆาตกรโรคจิตแบบด็อกเตอร์ฮันนิบาลแล้วลับมืดข่มขู่คุณทุกวัน คุณจะอยู่แบบฟินๆ  หรือเปล่าคะ เคยขอเป็นมิตรก็แล้ว ขออยู่กันอย่างสันติก็แล้ว เค้าดันทำท่าผีเข้าผีออกอย่างไงชอบกล ดิฉันอยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วดิฉันก็ทำตัวเป็นอีลำยองไปเป็นกิ๊กกับจีนเพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจกับคุณเกาหลีเหนือนะจ้ะ การค้าและมิตรภาพระหว่างสองเรากำลังไปด้วยดี บอกตามตรงจริงๆ ดิฉันก็ไม่ไว้ใจคุณสหรัฐฯ หรอกค่ะ วันดีคืนร้ายเกิดทิ้งดิฉันไปเอาคนอื่นแล้วแล้ว
คุณเกาหลีเหนือเกิดอารมณ์หื่นขึ้นมา ดิฉันจะทำอย่างไงดีละคะ

คุณเกาหลีเหนือ :เห็นไหม สุดท้ายผมก็ไว้ใจจีนไม่ได้ นี่คุณเกาหลีใต้ บอกตามตรงผมก็ไม่ไว้ใจคุณเหมือนกันนะ เห็นชอบซ้อมรบกับคุณสหรัฐฯ ใกล้เขตปลอดทหารอยู่เรื่อยเลย เป็นอีลำยองแล้วทำไมชอบทำตัวแอ๊บแบ๊วเหมือนเจนี่จังครับ

คุณจีน :จริงๆ ผมก็ไม่ไว้ใจคุณเกาหลีเหนือเหมือนกันนะ ความบ้าๆ บอๆ ของคุณ (เหมือนผู้นำคือคิม จองอิลกับคิม จอนอุน) ทำให้ผมพลอยเสียชื่อในเวทีโลกไปด้วย ผมต้องใช้กำลังภายในบีบให้คุณเกาหลีเหนือหยุดทดลองอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งได้บ้างไม่ได้บ้าง

ผู้ดำเนินรายการ :แล้วคุณสหรัฐฯ ละครับ ว่าอย่างไร

คุณสหรัฐฯ :ไหนๆ  ก็หงายไพ่กันหมดแล้ว ก็ขอบอกตรงๆ เลยล่ะกันว่าจริงๆ แล้วผมก็แอบไปจีบคุณเกาหลีเหนือครับ แอบส่งทูต ส่งคนดังไปคุยกับผู้นำของคุณเกาหลีเหนือ ว่ากันตามจริงแล้วคุณเกาหลีเหนือก็มีความปรารถนาอันเร้นลับในตัวผมเหมือนกัน เสียดายถ้าสำเร็จก็ถือว่าว่าเป็นการเข้าไปประชิดกับประตูหน้าของจีนเลย แน่นอนว่าคุณจีนก็ต้องกีดกันสุดชีวิต

คุณเกาหลีใต้ :เห็นไหม สุดท้ายดิฉันก็ไว้ใจสหรัฐฯ ไม่ได้ (ส่วนจีนปรบมือดังๆ)

คุณญี่ปุ่น :แต่ผมไว้ใจคุณสหรัฐฯ ล้านเปอร์เซ็นต์ครับ ถึงแม้เค้าจะเคยทิ้งระเบิดปรมาณูทั้ง 2 เมือง  ของผมจนราบเป็นหน้ากรอง แต่กว่า 50 ปีที่ผมลืมตาอ้าปากได้ก็เพราะคุณสหรัฐฯ ทำตัวเป็นพจน์ อานนท์ช่วยดันขึ้นมาโดยเฉพาะช่วงสงครามเกาหลีที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวขึ้นมาได้เร็วกว่าเดิม จนเกือบจะเป็นมหาอำนาจแทนในทศวรรษที่ 80  ตอนนี้เรากลายเป็นมิตรกันดีมากกว่าเดิมเพราะต้องการโอบล้อมจีน แน่นอนว่าวงพันธมิตรนี้ย่อมรวมถึงเกาหลีใต้ ไต้หวันและประเทศอื่นใกล้ๆ ด้วย

คุณเกาหลีใต้ :ดิฉันขอถือโอกาสนี้ในการเคลียร์ความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ระหว่างดิฉันกับคุณญี่ปุ่นนะครับ ถึงแม้เราจะเป็นประชาธิปไตยเสรีนิยมและมีศัตรูคนเดียวกันคือเกาหลีเหนือแต่เราก็ไม่ได้เป็นมิตรที่ดีต่อกันนะคะ เพราะเราก็ต่างก็มีเรื่องความขัดแย้งเรื่องหมู่เกาะแถมยังมีเรื่องในประวัติศาสตร์ที่มายึดครองดิฉันหลายทศวรรษ ฆ่าคนเกาหลีก็เยอะแถมยังบังคับผู้หญิงเกาหลีอีกเป็นแสนไปเป็นหญิงบำเรอกามไปจนชีวิตเค้าทั้งชีวิตป่นปี้

คุณญี่ปุ่น : ก็ขอโทษไปแล้วนี่ครับ ตั้งหลายที

คุณเกาหลีใต้ :ซึ้งตายล่ะ แน่จริงขอโทษอย่างเป็นทางการดิ

คุณจีน : คุณญี่ปุ่นนี่ไม่จริงใจหรอกครับ นักการเมืองพวกขวาก็ไปสักการะสุสานยาสุกินิที่เก็บกระดูกพวกอาชญากรสงครามที่เคยสั่งทหารบุกรุกผมกับคุณเกาหลีมาแล้ว แถมจะมาแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองมีกองทัพได้ กะจะมารุกรานผมกับคุณเกาหลีอีกรอบหรือไง

คุณญี่ปุ่น :ถ้าขอโทษเป็นทางการก็แย่นะสิครับ ไอ้เรื่องการชดใช้ค่าเสียหายให้กับบรรดาแม่อุ๊ยที่อายุปาไปเกือบ 80 ปีที่เคยเป็นหญิงบำเรอกามทั้งหลายมันไม่กี่ตังหรอก แต่มันจะกลายเป็นการยอมรับโดยสิ้นเชิงต่ออัตลักษณ์ของญี่ปุ่นในฐานะผู้เข่นฆ่ามนุษยชาติแทนที่จะเป็นผู้ปลดปล่อยเอเชียจากลัทธิล่าอาณานิคมไป แล้วลูกหลานญี่ปุ่นจะมองหน้าประชาคมโลกอย่างไร  ซ้ำคุณจีนกับคุณเกาหลี (หรือคุณอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ก็จะใช้เรื่องนี้มาต่อรองทางการเมืองอีกมากกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า  ส่วนเรื่องการจะกลายเป็นกองทัพนั้นก็เพื่อปกป้องอธิปไตยญี่ปุ่นจากการรุกรานของจีน

คุณจีน (รีบแทรกเข้ามา) :หรือจะมารุกรานผมกับคนอื่นอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ พวกสาวกฮิตเลอร์ทั้งนั้น ประเภทสะสมอาวุธเพื่อทำฟอร์มว่าป้องกันตัวเอง

ผู้ดำเนินรายการ :  คุณรัสเซียดูเหมือนเงียบไปนาน มีอะไรจะเสริมไหมครับ

คุณรัสเซีย :ขอพูดบ้างเถอะครับ มันก็จริงอย่างที่คุณว่าถึงแม้ผมจะดูเป็นมิตรกับจีนและศัตรูร่วมกันของเราคือสหรัฐฯ  แต่เราก็มีประเด็นหลายอย่างที่ไว้ใจกันมากไม่ได้นัก นอกจากปัญหาเรื่องพรมแดนที่ขัดแย้งกันมานานแล้ว ผมเองก็ระแวงว่าคุณจีนจะตีท้ายครัวส่งคนเข้าไปแทรกซึมและเข้ายึดครองพื้นที่ซึ่งพลเมืองของผมอยู่กันเบาบางคือแถบตะวันออกไกล  ความจริงผมก็ทำสัญญาเป็นมิตรกับญี่ปุ่นเหมือนกันนะถึงแม้เราจะเคยทำสงครามและมีปัญหาเรื่องหมู่เกาะเหมือนกันแต่กองทัพญี่ปุ่นไม่เคยเข้าไปปู้ยี่ปู้ยำคนรัสเซียเหมือนจีนหรือเกาหลี   ไม่ว่าอย่างไรก็ตามผมก็จะเป็นมิตรกับคนที่เป็นศัตรูของศัตรูผม เพราะการที่สหรัฐฯ ใช้นโยบายโอบล้อมเอเชียก็เท่ากับว่าเข้ามาประชิดตัวผมเหมือนกัน

คุณสหรัฐฯ :ขอบอกตามตรง ผมเองก็เบื่อคุณรัสเซียเหลือเกินในยุคของเยลต์ซินเราก็เป็นมิตรกันดีๆ อยู่นะ สุดท้ายก็อยากจะกลับมาเป็นใหญ่ทางทหารเหมือนกับตอนเป็นโซเวียต ช่างฝันเฟื่องอยากเป็นเจ้าโลกเหลือเกิน ขอโทษถ้านายปูตินเกิดตายไป ความฝันก็คงสลาย

คุณเกาหลีใต้ :ขอโทษเถอะคะ คุณสหรัฐฯ ก็เหมือนกันนั้นแหละ ตอนนี้เคลียร์ได้หรือยังที่มีคนออกมาแฉว่าองค์กรความมั่นคงแห่งชาติของคุณเที่ยวไปดักฟังโทรศัพท์มือถือของผู้นำประเทศที่เป็นพันธมิตรกับคุณไม่ว่าเยอรมัน ฝรั่งเศส แม้แต่ตัวดิฉันเอง  มหามิตรเค้าทำกันอย่างนี้หรือคะ  หรือว่ายังฝันกลางวันคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าโลกอยู่หรือ

คุณจีน คุณรัสเซียและคุณเกาหลีเหนือปรบมือหัวเราะพร้อมกัน

ผู้ดำเนินรายการ :ตั้งแต่จัดรายการมานี่ผมขอรับว่าครั้งนี้เวียนเฮดจริงๆ ครับ สุดท้ายใครไว้ใจใครไม่ได้เลย พวกคุณไม่เคยคิดจะดำรงอยู่ร่วมกันโดยสันติเหมือนกับเพลง Imagine ของจอห์น เลนนอนเลยหรือไร ขอให้ท่านผู้เข้าร่วมรายการช่วยกันตอบหน่อยครับ

คุณสหรัฐฯ :อย่าซีเรียสเลยครับ โลกก็เป็นเช่นนี้แหละ ต่อให้อ้างอุดมการณ์ เชิดชูอุดมการณ์ราวกับคนบ้าอย่างไรก็สู้ผลประโยชน์ของตัวเองหรือผลประโยชน์ของชาติไม่ได้ดังสุภาษิตที่พูดกันจนโหลก็คือไม่มิตรแท้และศัตรูถาวร มีแต่ผลประโยชน์ของเราที่เป็นนิรันดร

คุณรัสเซีย :งั้นคุณสหรัฐฯ ก็เลิกยกหางตัวเองว่าเป็นผู้พิทักษ์คุณธรรม ปกป้องประชาธิปไตยและยัดเหยียด ความเป็นผู้ร้ายให้กับคนอื่นได้แล้วสิครับ

คุณสหรัฐฯ :ไม่ได้หรอกครับ  ผลประโยชน์กับความยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ มันมาถึงขนาดนี้แล้วจะเลิกอ้างความเป็นคนดีมีคุณธรรมก็คงไม่ได้ ยิ่งตอนนี้เดิมพันของเราสูงมาก เพราะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทำให้เราต้องปรับกลยุทธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจใหม่โดยมุ่งเน้นที่เอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก ถึงแม้ใครบางคนจะไม่ชอบเราโดยเฉพาะคุณจีน แต่เข้าใจว่าผมคงขายขนมจีบให้กับอีกหลายคนได้อยู่  โดยเฉพาะคนที่เกลียดจีน (หรือพวกที่กำลังเหยียบเรือสองแคมเช่นคุณไทย) ถึงแม้เรื่องการแอบจารกรรมข้อมูลของผมจะทำให้ใครหลายคนหมั่นไส้แต่คอยดูเถอะครับ ไม่นานเราก็จะสามารถกลับมาจูบปากกันได้อีกครั้ง เพราะจริงๆ แล้วพวกที่ประกาศตัวเองว่าหมั่นไส้ผมก็แอบจารกรรมข้อมูลกันเองเหมือนกัน และที่สำคัญด้วยผลประโยชน์ที่ผมจะยื่นให้เพื่อความยิ่งใหญ่ของโลกภายใต้การนำของสหรัฐฯ อีกครั้งหนึ่ง  (เพลง Star -Spangled Banner ดังแผ่วขึ้นมาประกอบ ไม่รู้ว่าหมอนี่ไปจ้างใครมาเปิดให้)

คุณจีน: รอชาติหน้าเถอะคุณ เดี๋ยวผมทวงหนี้หรือไม่ก็ลดค่าเงินหยวนอีกเลย น้ำตาจะเช็ดหัวเข่า


ภาพตัดไปที่ผู้ดำเนินรายการซึ่งกำลังจะอ้าปากแต่ บทสนทนาสิ้นสุดลงเท่านี้เพราะผู้เขียนตื่นจากความฝันพอดี
 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โฆษกศาลยุติธรรมระบุผู้พิพากษามีสิทธิแสดงความเห็นโดยสุจริต

Posted: 06 Nov 2013 08:05 AM PST

กรณี "กลุ่มตุลาการผู้รักแผ่นดิน" ออกแถลงการณ์ค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม - โฆษกศาลยุติธรรมระบุถ้าแสดงความคิดเห็นในฐานะประชาชนย่อมสามารถกระทำได้ แต่จะต้องไม่กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษา

6 พ.ย. 2556 - กรณีที่มีข่าวผู้พิพากษาออกแถลงการณ์ในนาม "กลุ่มตุลาการผู้รักแผ่นดิน" คัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีผู้พิพากษาศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ ศาลจังหวัด ศาลเยาวชนและครอบครัว ร่วมลงชื่อกว่า 60 คนนั้น (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ล่าสุด มติชน รายงานความเห็นของ บวรศักดิ์ ทวิพัฒน์ โฆษกสำนักงานศาลยุติธรรม ที่ระบุว่า ผู้พิพากษาควรต้องคำนึงว่ามี 2 ฐานะ ฐานะแรกคือประชาชน จึงย่อมมีสิทธิแสดงความคิดเห็นได้โดยสุจริตภายใต้กรอบของกฎหมาย ส่วนอีกฐานะหนึ่งคือการเป็นผู้พิพากษา อย่างไรก็ตาม จะต้องระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นใดๆ ต่อสาธารณชน ว่าจะต้องไม่กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษา ดังนั้น หากผู้พิพากษาที่ใช้ชื่อกลุ่มตุลาการผู้รักแผ่นดินทั้ง 63 ท่าน ร่วมแสดงความคิดเห็นในฐานะประชาชนแล้ว ก็ย่อมสามารถกระทำได้ แต่จะต้องไม่กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษา

ถามว่า หากแสดงความคิดเห็นในฐานะประชาชนโดยการเข้าร่วมเดินขบวนคัดค้านจะสามารถทำได้หรือไม่ โฆษกสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า หากทำในฐานะประชาชนก็ทำได้ แต่ต้องระวังและพิจารณาตามกรอบไม่ให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือเกียรติของผู้พิพากษา

อนึ่งประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการ ที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความคิดเห็นในทางสาธารณะนั้น ข้อ 28 ระบุว่า "ผู้พิพากษาไม่พึงแสดงปาฐกถา บรรยาย สอน หรือเข้าร่วมสัมมนา อภิปรายหรือแสดงความคิดเห็นใดๆ ต่อสาธารณชน ซึ่งอาจกระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษา"

ข้อ 29 ระบุว่า ผู้พิพากษาไม่พึงเป็นกรรมการ สมาชิก หรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม สโมสร ชมรม หรือองค์การใดๆ หรือเข้าร่วมในกิจการใดๆ อันจะกระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษา

ข้อ 34 ระบุว่า ผู้พิพากษาจักต้องไม่เป็นกรรมการ สมาชิก หรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง และจักต้องไม่เข้าเป็นตัวกระทำการ ร่วมกระทำการ สนับสนุนในการโฆษณาหรือชักชวนใดๆ ในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาหรือผู้แทนทางการเมืองอื่นใด ทั้งไม่พึงกระทำการใดๆ อันเป็นการฝักฝ่ายพรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมืองใดนอกจากการใช้สิทธิเลือกตั้ง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใจ อึ๊งภากรณ์: พรรคเพื่อไทยตั้งใจหักหลังวีรชนตั้งแต่แรก

Posted: 06 Nov 2013 07:36 AM PST

ตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2554 ยิ่งลักษณ์ ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ตั้งใจจะจับมือกับทหารมือเปื้อนเลือด และหักหลังวีรชนเสื้อแดงที่เสียชีวิต พร้อมกับทอดทิ้งนักโทษการเมืองคดี 112 เป้าหมายคือการประนีประนอมกับทหาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอำนาจในสังคมไทยและพร้อมจะอ้างอิงสถาบันกษัตริย์ที่อ่อนแอเพื่อความชอบธรรมของทหารเอง ทักษิณและเพื่อไทยต้องการจะกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของ "สมาคมอำมาตย์" และเลิกความขัดแย้งที่เกิดจากการทำรัฐประหาร 19 กันยา

เรื่องนี้ผู้เขียนเตือนไว้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2554 หลังการเลือกตั้งแค่หนึ่งเดือน คือเขียนไว้ตอนนั้นว่า "เราเริ่มเห็นภาพของข้อตกลงระหว่างอำมาตย์กับพรรคเพื่อไทย เพื่อให้พรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลได้ และเพื่อให้แกนนำเพื่อไทยถูกกลืนกลับไปเป็นพรรคพวกของอำมาตย์เหมือนเดิม เพราะพรรคไทยรักไทยในอดีตก็เคยเป็นพวกเดียวกับอำมาตย์ก่อนที่จะทะเลาะกัน" สัญญาณสำคัญที่ยิ่งลักษณ์ส่งออกมาคือการไปคบค้าสมาคมยิ้มแย้มแจ่มใสกับประยุทธ์และเปรม พร้อมกับการใช้ 112 ต่อไป และสำหรับเสื้อแดงที่หมดปัญญาและได้แต่แก้ตัวให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมาอย่างต่อเนื่อง ผู้เขียนเคยเสนอในปีนั้นว่า "รัฐบาลนี้ไม่ได้อ่อนแอถ้ารู้จักทำแนวร่วมกับมวลชนเสื้อแดงที่ทำให้รัฐบาลนี้ชนะการเลือกตั้งแต่แรก" แต่การอาศัยพลังมวลชนไม่ใช่วัตถุประสงค์ของรัฐบาลตั้งแต่ชนะการเลือกตั้ง เพราะมันจะ "เสี่ยง" กับการสร้างสังคมไทยที่ก้าวหน้าและมีประชาธิปไตยมากกว่านี้

ทักษิณพร้อมจะถุยน้ำลายใส่ไพร่เสื้อแดงที่ต่อสู้กับทหารและพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ตนเองได้กลับบ้าน แต่สมยศ ดา ตอร์บิโด และนักโทษ 112 คนอื่น จะไม่ได้กลับบ้าน คนที่ต้องไปอยู่ต่างแดนเพราะกฏหมายชั่วช้าเผด็จการนี้ก็ไม่ได้กลับบ้านเช่นกัน

ที่เขียนแบบนี้ไม่ได้พยายามสื่อว่าคนเสื้อแดง "ตายฟรี" หรือ "ติดคุกฟรี" แต่อย่างใด เพราะถ้าคนธรรมดาไม่สู้ เสรีภาพจะไม่มีวันเกิด เราต้องรู้ทันพวกข้างบนว่าเขาย่อมหักหลังคนเล็กๆ เสมอ ในขณะเดียวกันเราต้องไม่ลืมว่าคนเสื้อแดงจำนวนมากไม่ได้สู้เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าเราปล่อยให้พวก "ผู้ใหญ่" กำหนดแนวทางการนำ แทนที่เราจะนำตนเอง

แกนนำ นปช. ไม่เคยออกมาเสนอให้ยกเลิก 112 และไม่เคยเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษ 112 ยิ่งกว่านั้นไม่มีการเคลื่อนไหวต่อต้านการหักหลังของรัฐบาลเลย สรุปแล้วแกนนำ นปช. ไม่ต้องการให้เสื้อแดง "ก้าวพ้น" การเป็นลูกน้องทักษิณ นั้นคือสาเหตุที่คนก้าวหน้าเสนอให้เคลื่อนไหวอิสระจาก นปช. มานาน ปัญหาคือคนที่ก้าวหน้าไม่ยอมจัดตั้งทางการเมือง พร้อมจะมีแค่กลุ่มกระจัดกระจายที่แยกกันเคลื่อนไหวและมีคำแถลง "หางว่าว" ที่มีหลายสิบองค์กร แต่เกือบไม่มีมวลชน องค์กรผีนั้นเอง ส่วนคนที่อยากจัดตั้งองค์กรทางการเมืองอย่างจริงจังก็เล็กเกินไปในขณะนี้

ใครที่วิเคราะห์สังคมไทยจากมุมมองชนชั้น และพร้อมจะเปิดหูเปิดตาถึงธาตุแท้ของทักษิณ ยิ่งลักษณ์ หรือพรรคไทยรักไทย-พรรคเพื่อไทย จะสามารถเข้าใจตรงนี้มาแต่แรก ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง อย่าลืมว่าทักษิณเป็นนายทุนใหญ่ที่มีส่วนในการเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่าในปาตานี หรือในสงครามต้านยาเสพติด และอย่าลืมว่าทักษิณก็เป็นคนที่ใช้ "เสื้อเหลือง"ก่อนพันธมิตรฯ ทักษิณและเพื่อไทยก็พร้อมจะใช้ 112 ต่อไป ไม่ใช่แค่ไม่ยกเลิกเท่านั้น

คนที่ตอนนี้มีจุดยืนเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ โดยการต่อต้านกฏหมายนิรโทษกรรม "เหมาเข่ง" ของรัฐบาลเพื่อไทย มีสองประเภท ประเภทแรกเป็นคนที่มีการจัดตั้งทางการเมือง คืออยู่ในกลุ่มฝ่ายซ้ายที่มีการร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองจากจุดยืนชนชั้น องค์กร "เลี้ยวซ้าย" เป็นตัวอย่างที่ดี ประเภทที่สองเป็นปัจเจกชนที่กระตือรือร้นที่จะรักษาอุดมการณ์ท่ามกลางการถูกชักชวนให้ "หมอบคลานหรือเลิก" จากพวกที่หันหลังให้วีรชน ปัจเจกชนแบบนี้น่าเคารพ แต่เขามีจุดอ่อนเพราะส่วนใหญ่ขาดการวิเคราะห์แบบรวมหมู่ของคนที่เป็นสมาชิกองค์กร ปัจเจกชนแบบนี้หลายคนจึงเสียจุดยืนไปแล้ว หมดบทบาทก้าวหน้าทางการเมืองโดยสิ้นเชิง

อาจารย์ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ยังคงอุดมการณ์ แต่ล่าสุดเขียนถึง "แนวร่วมของคนก้าวหน้ากับพรรคเพื่อไทย" ที่อาจถึงจุดจบแล้ว การมองแนวร่วมแบบนั้นมีปัญหา เพราะเคยพาคนไปตั้งความหวังเท็จกับยิ่งลักษณ์ ทักษิณ หรือแม้แต่แกนนำ นปช. ผู้เขียนและ "เลี้ยวซ้าย" เตือนว่าเราต้องไม่ทำแนวร่วมกับพรรคนายทุนมาตั้งแต่แรกเริ่มการก่อตั้งของเสื้อแดง เราเสนอแทนว่าควรทำแนวร่วมกับ "มวลชน" เสื้อแดง ไม่ใช่กับพรรคเพื่อไทยหรือแกนนำ นปช. และแนวร่วมนี้เรายังทำได้กับเสื้อแดงที่ปฏิเสธกฏหมายเหมาเข่ง

การที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยรวมทักษิณเข้าไปในการนิรโทษกรรม มีปัญหาอีกแง่หนึ่งด้วยคือ เปิดช่องทางให้พวกสลิ่มปฏิกิริยาที่สนับสนุนรัฐประหาร สามารถออกมาสร้างภาพด้วยการปฏิเสธกฏหมายเหมาเข่ง สรุปแล้วมันไม่มีอะไรดีเลย

เลือกตั้งครั้งต่อไป คนเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตยไม่ควรลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยเป็นอันขาด และแน่นอนไม่ควรเลือกพรรคประชาธิปัตย์ บางคนอาจสงสัยว่าจะทำอะไรดี คำตอบง่ายๆ คือ "กาช่องไม่เลือกใคร" การเลือกตั้งสำคัญ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของ "การเมือง"

เวลาคัดค้านการนิรโทษกรรมเหมาเข่ง เราต้องยืนยันว่ามันจะไม่นำไปสู่สันติภาพแต่อย่างใด เพราะมันเป็นการประกาศอนุญาตให้ทหารและนักการเมืองเข่นฆ่าประชาชนอีกในอนาคต เพราะฆาตกรของรัฐลอยนวลเสมอ 14 ตุลา, 6 ตุลา, พฤษภา 35, ตากใบ และราชประสงค์ คือหลักฐาน
         
เวลาคัดค้านการนิรโทษกรรมเหมาเข่ง เราต้องยืนยันอีกด้วยว่าปัญหาสำคัญคือการปล่อยให้นักโทษ 112 ติดคุกต่อไป โดยไม่มีการยกเลิกกฏหมายนี้ อย่าลืมว่านักโทษ 112 เป็นนักโทษทางความคิด ไม่เหมือนพวกเสื้อเหลืองที่ใช้ความรุนแรงในการปิดสนามบินแต่ไม่เคยติดคุก
    
ทุกวันนี้ผู้ที่น้อมรับหรือสนับสนุนกฏหมายนิรโทษกรรมฆาตกร ไม่ว่าจะด้วยข้อแก้ตัวอะไร ล้วนแต่เป็นศัตรูทางการเมืองกับฝ่ายประชาธิปไตย และเป็นศัตรูทางการเมืองกับผมด้วย

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พรบ.เหมาเข่ง: เพื่อไทย การให้อภัย และประชาธิปไตย

Posted: 06 Nov 2013 07:22 AM PST

"พรบ นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่ง" ที่พรรคเพื่อไทยได้เสนอผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรนั้นส่งผลให้เกิดแรงต่อต้านจากสังคมอย่างกว้างขวางและจากหลายภาคส่วน บทความชิ้นนี้เสนอข้อคิดเห็นเพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์ดังกล่าว โดยในส่วนแรกนั้น บทความชิ้นนี้จะอภิปรายถึงการสลายภาพลักษณ์ของความเป็นพรรคตัวแทนมวลชนเพื่อประชาธิปไตยของเพื่อไทยอันเกิดจากการผลักดัน พรบ. ฉบับเจ้าปัญหา โดยในส่วนต่อมาของบทความมุ่งที่จะเสนอหลักการและเหตุผลของการสร้างสังคมการเมืองหลังการฆ่าผ่านการสร้างกระบวนการยุติธรรม กล่าวคือ สองส่วนแรกของบทความชิ้นนี้ได้อภิปรายถึงปรากฏการณ์ที่เป็นอยู่ (what is?) และปรากฏการณ์ที่ควรจะเป็น (what ought?) ในส่วนสุดท้าย บทความชิ้นนี้จะสรุปแนวโน้มของประชาธิปไตยไทยหลังจากการพยายามผ่าน พรบ. นิรโทษกรรมในครั้งนี้

สลายความเป็นตัวแทนมวลชน

หลังจากการรัฐประหารปี 2549 นั้นมวลชนผู้นิยมประชาธิปไตยได้ถูกผลักให้รวมตัวกันต่อต้านอำนาจเผด็จการ โดยมีพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยเป็นตัวแทนของภาพลักษณ์ของการต่อต้านอำนาจเผด็จการและรัฐประหารมาโดยตลอด อย่างไรก็ดีหลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้ผ่าน พรบ. นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่งนั้น ภาพลักษณ์ในฐานะพรรคมวลชนผู้นิยมประชาธิปไตยได้เริ่มถูกสั่นคลอนและเริ่มขาดเอกภาพในเชิงอุดมการณ์อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแนวทางการนิรโทษกรรมดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่แท้จริงของพรรคเพื่อไทยซึ่งในขณะเดียวกันภาพลักษณ์ที่เริ่มจะเปลี่ยนแปลงไปในสายตามวลชนกลับส่งผลให้ฐานมวลชนของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เข้มแข็งขึ้นมาก

หากเปรียบเทียบส่วนได้ส่วนเสียของพรรคเพื่อไทยกับปชป.จะพบว่า ปชป. ได้เปรียบอย่างมากด้วยสาเหตุอย่างน้อยสองประการ ประการแรก ปชป. ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเดินออกจากสภาโดยไม่ช่วยยกมือโหวตคัดค้านการผ่านร่าง พรบ. นิรโทษกรรมฉบับของวรชัย ที่ถูกแปรญัตติเกินเลยไปจากหลักการ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แม้ว่าจะสามารถพูดได้ว่าเป็นการต่อต้านเชิงสัญลักษณ์ต่อความไม่เป็นธรรมของการกระทำดังกล่าว แต่นี่ก็แสดงให้เห็นถึงการเดินเกมอย่างละเมียดละไมของพรรค ปชป. ในการรักษาฐานมวลชนของตัวเองเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็ยังรักษา "ซูเปอร์ดีล" และได้รับผลประโยชน์จากการที่ผู้นำพรรคของตัวเอง อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พ้นคดีสังหารหมู่ประชาชนในเหตุการณ์นองเลือดในเดือนเมษายน 2553 ด้วยเนื่องจากไม่ได้โหวตสวนในสภา โดยสรุปคือเราสามารถพูดได้ว่า ปชป. ได้ประโยชน์จากการพ้นคดีอีกทั้งยังไม่เสียมวลชน

ประการที่สอง นอกจาก ปชป. จะไม่เสียมวลชนแล้ว ยังได้รับประโยชน์จากการเพิ่มฐานมวลชนให้ตัวเองด้วย พรรคประชาธิปัตย์ได้วางยุทธศาสตร์กระชับอำนาจโดยหันมานำม็อบเข้าชุมนุมต่อต้าน พรบ. นิรโทษกรรม ในวันที่ 31 ต.ค. ได้นัดชุมนุมที่สามเสน และมีการยกระดับชุมนุมในวันที่ 4 พ.ย. แกนนำพรรคได้นำม็อบเคลื่อนย้ายไปที่ถนนราชดำเนินโดยมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ในขณะที่แกนนำพรรคแสดงความจริงใจในการต่อสู้ทางกฎหมายโดยยืนยันว่าไม่เอา พรบ. นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่งเพื่อเพิ่มฐานมวลชน แต่ ปชป.เองก็เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากแนวทางการนิรโทษกรรมของเพื่อไทยในครั้งนี้

ในขณะเดียวกันเมื่อมองไปที่พรรคเพื่อไทยก็จะเห็นทั้งผู้ที่สนับสนุนและต่อต้านบนฐานของความเห็นที่หลากหลาย เมื่อลองสรุปความเห็นว่าด้วยเรื่องนิรโทษกรรมของโอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายของทักษิณ ชินวัตรในวันที่ 27 ตุลาคม ในเฟซบุค ผู้เขียนพบว่าความเห็นถูกแบ่งออกเป็น 5 ฝ่ายหลัก ๆ ในสัดส่วนจำนวนคนที่พอ ๆ กันคือ

1. ผู้สนับสนุน พรบ. ดังกล่าวและอยากให้ทักษิณกลับบ้านเพื่อมาพัฒนาประเทศต่อ หรือจัดการกับฆาตกร
2. ผู้สนับสนุน พรบ. ดังกล่าวเนื่องจากเชื่อว่า การผ่าน พรบ. นี้จะทำให้นักโทษการเมืองถูกปล่อยออกมาเร็วที่สุด
3. ผู้ต่อต้าน พรบ. ดังกล่าว เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการกลับมาของทักษิณซึ่งทำให้เกิดการคอรัปชั่น
4. ผู้ต่อต้าน พรบ. ดังกล่าว เนื่องจากไม่เห็นด้วยที่ พรบ. ดังกล่าวจะล้างโทษให้กับอภิสิทธิ์และสุเทพ ล้างผลพวงรัฐประหาร อีกทั้งยังไม่ได้รวมไปถึงนักโทษการเมืองที่ถูกจับภายใต้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาตรา 112
5. ผู้ขอร้องให้เกิดการปรองดองกันโดยเร็ว หรือไม่สนใจว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร แต่ขอให้พัฒนาเศรษฐกิจก็พอ

หากมองว่าความเห็นของกลุ่มที่ 3 (เกลียดทักษิณอยู่แล้ว) และกลุ่มที่ 5 (ไม่สนใจการเมืองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว) ไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว จะพบว่าความเห็นของผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยแต่เดิมในปัจจุบันแตกออกเป็นสามฝ่าย และหลังจาก พรบ. เหมาเข่งผ่านสภาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หมายความว่าพรรคเพื่อไทยได้ตัดสินใจตัดมวลชนที่เคยสนับสนุนพรรคออกส่วนนึง (ฝ่ายที่ 4) เพื่อให้การผ่าน พรบ. เหมาเข่งดำเนินไปได้ ในขณะที่ภาพความไม่เคยเป็นเอกภาพของเสื้อแดงมีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ได้นำเสื้อแดงจำนวนหนึ่งออกมาชุมนุมที่ถนนราชประสงค์ในช่วงที่ผ่านมานำไปสู่การปลดรายการประชาชน 3.0 ของเขาจากผังรายการของ Asia Update ในวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

หากพิจารณาตามหลักการแล้ว เมื่อพรรคเพื่อไทยมีมติออก พรบ. เหมาเข่งโดยตัดใจทิ้งมวลชนผู้สนับสนุนไปกลุ่มหนึ่งเพื่อให้ทักษิณกลับบ้าน ย่อมหมายความว่า สส. ของพรรคเพื่อไทยปราศจากอำนาจในการตัดสินใจในพรรคเนื่องจากทั้ง ๆ ที่ สส. พรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้เสียประโยชน์โดยตรงเนื่องจากเสียฐานคะแนน ด้วยเหตุนี้ พรรคเพื่อไทยจึงขาดลักษณะของความเป็นพรรคมวลชนเนื่องจาก สส. ผู้ที่มีอำนาจยึดโยงอยู่กับประชาชนไม่มีสิทธิ์ในการเห็นแย้งกับพรรคและการตัดสินใจของพรรครวมศูนย์ไว้ที่ตัวผู้นำ กล่าวคือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ขยายภาพให้สังคมการเมืองได้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยมิได้ยึดโยงและกำกับโดยมวลชนอย่างที่เคยมีภาพลักษณ์มาก่อนหน้า ไม่เพียงเท่านี้ ปรากฏการณ์ดังกล่าวยังสร้างพลังให้แก่ ปชป. ในฐานะพรรคที่คอยชี้ให้เห็นถึงพรรคเพื่อไทยในลักษณะที่เป็นพรรคที่มิได้ถูกกำกับโดยมวลชนด้วยเช่นกัน

จากที่ได้อภิปรายไปแล้วข้างต้น เมื่อลองพิจารณาถึงมวลชนนั้น กลุ่มผู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารและต่อต้านคอรัปชั่น เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมประชาชน ต้องการให้นิรโทษคนที่โดนข้อหา 112 แต่ต้องการให้ผู้นำทางการเมืองถูกดำเนินคดีต่อไปเพื่อสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองใหม่เป็นเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นในระบบการเมืองทั้งหมด (เรียกสั้น ๆ ผู้เรียกร้องประชาธิปไตยสมบูรณ์) โดยพวกเขาจะต้องเจอกับเงื่อนไขข้อจำกัดมากมายเพื่อทำให้เป้าหมายทางการเมืองของตัวเองสำเร็จ

ผู้เรียกร้องประชาธิปไตยสมบูรณ์จึงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการแสดงจุดยืนของตัวเองบนถนน และการเมืองบนถนนเป็นที่ยืนที่ไม่มีทางชนะ (No win situation) การอยู่บนถนนจะไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการตัดสินใจของพรรคการเมืองที่ไม่ได้เป็นพรรคมวลชน หากจะออกมาตั้งพรรคเองเพื่อต่อสู้แกนนำของผู้เรียกร้องประชาธิปไตยสมบูรณ์ก็ต้องเจอกับปัญหาว่า เมื่อได้รับเลือกตั้งเข้าไปแล้วก็ต้องมีผลได้ผลเสียกับกลุ่มอำนาจเดิมนำไปสู่การเจรจาที่ผลย่อมออกมาบิดเบือนไปจากความต้องการของประชาชนอีก ด้วยเหตุนี้ผู้เรียกร้องประชาธิปไตยสมบูรณ์จึงไม่สามารถทำอะไรได้ไปมากกว่าการต่อสู้บนถนนและคงหยุดอยู่เพียงการต่อสู้บนถนน ทั้งนี้อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะเสียงของพวกเขาเป็นเพียงเสียงเดียวของทั้งหมดด้วย

สังคมการเมืองหลังการฆ่า

หลังจากการที่รัฐบาลใช้ความรุนแรงผ่านอำนาจรัฐในการฆ่าประชาชนเมื่อปี 2553 นั้น หลายฝ่ายรวมถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันได้มีความพยายามที่จะสร้างความปรองดองผ่านวิธีต่างๆ อย่างไรก็ตามความพยายามในการผ่าน พรบ. ฉบับเหมาเข่งนั้นเป็นหนึ่งในกระบวนการการทำลายการสร้างสังคมการเมืองหลังการฆ่า บทความในส่วนนี้มุ่งอภิปรายถึงข้อเสนอว่าด้วยการสร้างสังคมการเมืองผ่านการให้อภัยโดยที่เหยื่อไม่ลืม

ในฐานะที่ผู้เขียนได้มีโอกาสไปนั่งรับฟังข้อวิจารณ์และข้อเสนอแนะในเชิงกฎหมายของอาจารย์คณะนิติราษฎร์ที่มีต่อร่างพรบ.นิรโทษกรรมของสภาผู้แทนราษฎรที่กำลังเป็นประเด็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันนั้น นอกจากได้ทราบถึงปัญหาในทางหลักการและข้อกฎหมายหลายประการของพรบ.ฉบับดังกล่าวดังที่ปรากฏในแถลงการณ์  แล้ว แต่อีกสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นข้อกังวลใจที่สุดของผู้เขียนต่อการประเมินสถานการณ์นี้ในฐานะคนที่ไม่มีความรู้ทางกฎหมายก็คือปัญหาในทางปฏิบัติหากกฎหมายฉบับนี้ผ่านทุกขั้นตอนและถูกนำไปดำเนินการบังคับใช้ในที่สุด

ประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่คณะนิติราษฎร์ได้หยิบยกขึ้นมาในงานแถลงข่าวดังกล่าว คือการที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้กำหนดให้มีการตั้งคณะกรรมการกลางขึ้นมาทำหน้าที่โดยตรงในการคัดกรองและพิจารณาว่าบุคคลใดบ้างที่เข้าเกณฑ์ในการได้รับนิรโทษกรรมตามเนื้อหาของกฎหมายดังกล่าว ดังนั้นอำนาจหน้าที่ในส่วนนี้จึงตกไปอยู่ในมือของฝ่ายกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดในการพิจารณาว่าบุคคลใดบ้างที่เข้าองค์ประกอบของการได้รับนิรโทษกรรมตามกฎหมาย ตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาล ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างความยุ่งยากขึ้นมาในกรณีที่แต่ละองค์กรและขั้นตอนต่างๆของกระบวนการยุติธรรมตีความเกณฑ์ในการเข้าองค์ประกอบในการได้รับนิรโทษกรรมแตกต่างกันออกไปซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละฝ่ายแต่ละบุคคล

ทีนี้ในบรรดากลุ่มบุคคลซึ่งเป็นเป้าหมายของการได้รับนิรโทษกรรมนั้น หากแบ่งคร่าวๆออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ 1.ทักษิณ 2. นักโทษการเมือง และ 3. เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องและผู้สั่งการในการสลายการชุมนุม กลุ่มที่ดูจะมีความยุ่งยากมากที่สุดแน่นอนก็คือกลุ่มนักโทษการเมือง เพราะคดีต่างๆของนักโทษการเมืองนั้นอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมที่แตกต่างกันออกไปในปัจจุบัน บางคนอาจจะยังอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน บางคนอยู่ในชั้นพนักงานอัยการ หรือบางคนถูกส่งฟ้องไปยังศาลและอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี บางคนก็ถูกศาลตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว หากการใช้ดุลยพินิจในแต่ละส่วนของกระบวนการยุติธรรมแตกต่างกันว่าบุคคลใดบ้างที่เข้าองค์ประกอบของการเป็นนักโทษการเมืองตามกฎหมายดังกล่าว ใครจะเป็นผู้รับประกันว่าท้ายที่สุดแล้วนักโทษการเมืองจะได้รับการนิรโทษกรรมและได้ออกจากเรือนจำทั้งหมดทุกคนจากช่องโหว่นี้?

จากข้อห่วงใยดังกล่าว ผู้เขียนได้ยกมือตั้งคำถามต่ออาจารย์คณะนิติราษฎร์ว่ามีความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดหรือไม่ ที่ผลในทางปฏิบัติหากกฎหมายดังกล่าวถูกประกาศใช้แล้วจะทำให้ในที่สุดนักโทษการเมืองอาจจะไม่ได้ออกจากเรือนจำ ทักษิณอาจจะไม่ได้รับการนิรโทษกรรมและไม่ได้กลับประเทศไทย แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่และผู้สั่งการสลายการชุมนุมจะได้รับการนิรโทษกรรมเพียงกลุ่มเดียว ซึ่งอาจารย์วรเจตน์ก็ได้ตอบว่าหากประเมินจากมุมมองนี้แล้ว ก็ย่อมมีความเป็นไปได้ (มากหรือน้อยก็สุดแท้แต่) ที่จะเกิดผลลัพธ์เช่นนั้นขึ้นมา!!

อาจจะมีคนจำนวนมากโต้แย้งผู้เขียนว่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไป โดยอ้างเหตุผลถึงเรื่อง super deal ของพรรคเพื่อไทยกับกลุ่มอื่นๆ หรือเหตุผลเรื่องแผนซ้อนแผนของคนในพรรคอะไรก็ตาม แต่ผู้เขียนเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วในการที่เราจะประเมินสถานการณ์ทางการเมืองที่แหลมคมหนึ่งๆว่าจะสามารถเป็นไปในทิศทางใดได้บ้าง เราควรที่จะประเมินผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ทางการเมืองจาก worst case scenario ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้แม้เพียงน้อยนิด ไม่ใช่ประเมินจากผลลัพธ์ด้านดีที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการคิดเข้าข้างตัวเองเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ต้องถามไปยังมวลชนผู้สนับสนุนพรบ.นิรโทษกรรมฉบับดังกล่าวและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของพรรคเพื่อไทย ว่าจะสามารถรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นนี้ได้หรือไม่? ถ้าผลลัพธ์ออกมาในด้านกลับที่เลวร้ายกว่าที่ตั้งใจจะให้เป็นโดยอยู่นอกเหนือจากความคาดหมายและการควบคุม ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความสูญเสียจากการตัดสินใจและการประเมินที่ผิดพลาดในครั้งนี้?

การที่ผู้เขียนยืนยันการคัดค้านร่างนิรโทษกรรมฉบับนี้ มิได้หมายความว่าผู้เขียนมองข้ามความสำคัญของเสรีภาพที่นักโทษการเมืองที่อยู่ในเรือนจำสมควรได้รับ หรือปฏิเสธความสำคัญของความยุติธรรมที่คุณทักษิณควรได้รับจากการทำรัฐประหารปี 49 แต่อย่างใด แต่เพราะผู้เขียนเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วทั้งทักษิณและนักโทษการเมืองยังมีโอกาสที่จะได้รับเสรีภาพและทวงคืนความยุติธรรมได้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การทำตามข้อเสนอเรื่องการลบล้างผลพวงของการรัฐประหารของคณะนิติราษฎร์ เป็นต้น เพราะทั้งคุณทักษิณและนักโทษการเมืองก็ล้วนยังมีชีวิตและมีโอกาสที่จะสามารถต่อสู้เพื่อทวงคืนของพวกนั้นได้ในอนาคต แต่สำหรับผู้ที่สูญเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมไปแล้วนั้น พวกเขาได้สูญเสียทั้งชีวิตอันมีค่าของเขาไปอย่างไม่มีวันหวนคืนได้อีก พวกเขาสูญเสียสิทธิและเสรีภาพที่พึงได้รับไปตลอดกาล และผู้ที่เสียชีวิตเหล่านั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะลุกขึ้นมาแก้ไขหรือทวงคืนสิ่งที่มีค่าเหล่านั้นและความยุติธรรมได้ด้วยตนเองอีกแล้ว

การออก พรบ.นิรโทษกรรมฉบับนี้นั้นถึงแม้ในท้ายที่สุดจะช่วยให้คุณทักษิณได้พ้นคดีและกลับประเทศได้จริง หรือช่วยให้นักโทษการเมืองได้รับเสรีภาพได้จริง แต่การนิรโทษกรรมให้กับผู้สั่งการและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดนั้นกลับเป็นสิ่งที่ไปทำลายโอกาสที่มีอยู่น้อยนิดในการสร้างความยุติธรรมให้กับผู้ที่เสียชีวิต ซึ่งความยุติธรรมนี้ถือเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเราทุกคนในฐานะคนข้างหลังที่ยังมีชีวิตอยู่จะสามารถทวงคืนมาให้แก่พวกเขาได้ หน้าที่ของผู้ที่รักประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และเรียกร้องความยุติธรรมมาโดยตลอดไม่ใช่การทำความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ ไม่ใช่ทำให้คนผิดได้รับโทษตามกฎหมาย และไม่ใช่การทำความยุติธรรมให้ปรากฏเป็นจริงบนผืนแผ่นดินนี้ในท้ายที่สุดหรอกหรือ?

ผู้เขียนตระหนักดีว่ามีกลุ่มญาติของผู้ที่สูญเสียจำนวนหนึ่งที่ออกมาประกาศสนับสนุนร่างพรบ.นิรโทษดังกล่าว พร้อมกับให้อภัยกับสิ่งทีเกิดขึ้นเพื่อยอมให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรเองก็เรียกร้องให้ทุกฝ่ายให้อภัยซึ่งกันและกันเพื่อหาทางออกจากความขัดแย้ง ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยจำนวนไม่น้อยก็เรียกร้องให้ฝ่ายเดียวกันที่คัดค้านและญาติผู้เสียชีวิตลืมเรื่องที่ผ่านมาและให้อภัยต่อกันไป ซึ่งผู้เขียนเสนอว่าการขอให้ผู้สูญเสียลืมเหตุการณ์ในอดีตเพื่อให้อภัยนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ในการสร้างสังคมการเมืองหลังการฆ่า

ผู้เขียนขอยกย่องในน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของเหล่าญาติผู้สูญเสียที่ออกมาให้ประกาศอภัยเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ แต่ถึงที่สุดแล้วผู้เขียนก็เห็นว่าถึงแม้การให้อภัยจะเป็นสิ่งสำคัญมากที่สมควรจะต้องเกิดขึ้นในความขัดแย้งนี้ แต่ในกรณีนี้นั้นมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้ คือการป้องกันและขจัดความเป็นไปได้ของการซ้ำรอยทางประวัติศาสตร์ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต กล่าวคือสังคมการเมืองหลังการฆ่าจำเป็นต้องสร้างกฎเกณฑ์และมาตรฐานในการป้องกันมิให้เกิดการฆ่าประชาชนผ่านอำนาจรัฐขึ้นอีก ดังนั้น สังคมการเมืองหลังการฆ่าจึงต้องนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่เช่นนั้นแล้วในภายภาคหน้าสังคมไทยเราก็ยังจะต้องมีญาติผู้สูญเสียออกมาประกาศให้อภัยเพื่อขอให้ประเทศเดินหน้าต่อไปอีกมากกว่าหนึ่งหนเป็นแน่

ไม่เพียงเท่านี้ ผู้เขียนเล็งเห็นถึงความแตกต่างในสาระสำคัญอย่างมากระหว่างการนิรโทษกรรม (amnesty) กับการให้อภัย (forgiveness) เพราะคำว่านิรโทษกรรมซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า amnesia มีความหมายที่แปลว่าการหลงลืมหรือความจำเสื่อม หากกล่าวเช่นนี้ก็เท่ากับว่าการออกพรบ.นิรโทษกรรมนั้นหมายถึงการเรียกร้องให้ทุกฝ่ายในสังคมไทยลืมเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหมดไปเสีย แต่ในขณะที่คำว่าการให้อภัย (forgiveness) นั้นสัมพันธ์อย่างยิ่งกับการจดจำได้หรือการมีความทรงจำอยู่ไม่ใช่การหลงลืมอดีต เพราะคนที่หลงลืมเหตุการณ์ทุกอย่างไปหมดสิ้นแล้ว ไม่อาจจะเป็นคนที่ให้อภัยแก่ใครได้เลย  ในแง่นี้การนิรโทษกรรมและการเรียกร้องให้ลืมอดีตไปเสียจึงไม่ใช่การตอบโจทย์ที่ถูกต้องและสอดคล้องกับหลักการของการให้อภัยแต่อย่างใด

แต่ถึงแม้จะยังจำได้หรือมีความทรงจำอยู่ ก็ไม่ได้แปลว่าการให้อภัยจะเป็นไปได้โดยง่ายหากไม่มีการปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจเสียก่อน แล้วจะทำอย่างไร? อาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เคยเสนอในประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจในหนังสือ "อภัยวิถี" ว่าการให้อภัยนั้นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีความหมายเลย หากผู้ที่ให้อภัยหรือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อยังอยู่ในสถานะด้อยอำนาจกว่าผู้กระทำความผิด ต่อเมื่อเกิดการปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจให้มีความเสมอกันแล้วเท่านั้น ผู้ให้อภัยหรือเหยื่อผู้ถูกกระทำจึงจะอยู่ในฐานะที่สามารถเป็นผู้กระทำการ (active actor) ในการ "ให้อภัย" หรือ "ไม่ให้อภัย" แก่ผู้ก่อความรุนแรงต่อตนเองได้อย่างแท้จริงและมีความหมาย ซึ่งการปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจวิธีการหนึ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด ก็คือการทำความจริงและความยุติธรรมให้ปรากฏ (เช่น มีการค้นหาข้อเท็จจริงต่างๆอย่างชัดเจน ค้นหาผู้กระทำความผิดและผู้มีส่วนรับผิดชอบ และมีการลงโทษตามกฎหมายตามกระบวนการยุติธรรม) ซึ่งอาจารย์ชัยวัฒน์เรียกว่าเป็น ความยุติธรรมที่มีผลในทางการเปลี่ยนแปลง (transformative justice) ซึ่งถือเป็นความยุติธรรมชนิดจะเกิดขึ้นและสามารถดำเนินไปคู่กับการให้อภัยได้ในที่สุด

เมื่อประยุกต์นำกรอบคิดของอาจารย์ชัยวัตน์เพื่อทำความเข้าใจสังคมการเมืองหลังการฆ่านั้น จะเห็นได้ว่าการผ่าน พรบ. เหมาเข่งนั้นมิได้เปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจของผู้สูญเสียจากการปราบปรามสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์มาเป็นผู้ให้อภัย ด้วยเหตุที่่ผู้ฆ่ามิได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งยังทิ้งรอยแผลให้กับผู้สูญเสียในกรณีตากใบด้วยเช่นเดียวกันเมื่อ พรบ. ฉบับดังกล่าวได้ตีความเหมารวมครอบคลุมหลายประเด็น ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่อีกระลอก

ประชาธิปไตยไทยหลัง พรบ.

ความพยายามผ่าน พรบ. เหมาเข่งในครั้งนี้เป็นไปตามที่ ปชป. และค่ายพระอาทิตย์ได้คาดคะเนไว้ว่าด้วยกรณีความไม่น่าไว้วางใจของนักการเมือง ซึ่งส่งผลให้พลังของมวลชนทั้งสองกลุ่มเมีพลังพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ไม่เพียงเท่านี้ หลายต่อหลายคนได้ใช้ปรากฏการณ์ดังกล่าวสร้างความชอบธรรมให้กับฐานแนวคิดของตนพร้อมทั้งเสียดสีผู้คนที่เลือกพรรคเพื่อไทยต่างๆนาๆ ด้วยเหตุฉะนี้เอง หลายคนจึงเป็นกังวลต่อการนำเอาเหตุผลดังกล่าวมาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการริดรอนสิทธิ์ผู้ที่นิยมประชาธิปไตยแบบรัฐสภา

อย่างไรก็ดี โดยธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตยนั้น ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจได้ผิดพลาดได้เหมือนกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทุกคนในระบอบมีสิทธิ์ที่จะคะเนความผันผวนในสังคมการเมืองได้คลาดเคลื่อนด้วยกันแทบทั้งสิ้นดังที่นักคิดนักปรัชญาอย่างฮานนา อาเรนด์ได้เคยกล่าวไว้ว่าปริมณฑลทางการเมืองเป็นอาณาบริเวณของความไม่แน่นอน เช่นเดียวกันนั้นอาณาบริเวณของประชาธิปไตยไทยก็หลากเลื่อนไม่แน่นอนด้วยเช่นกัน การที่ฐานคิดของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งสามารถคะเนการแอบเสนอ พรบ.เหมาเข่งได้อย่างถูกต้องแม่นยำนั้นมิได้หมายความว่าเขาได้ผูกขาดความจริงทางสังคมไว้ได้

กล่าวถึงที่สุดคือ ไม่มีใครในสังคมการเมืองสามารถผูกขาดความจริงไว้เพียงอย่างเดียวได้ ไม่ว่าจะเป็นขั้วการเมืองใดหรือแม้กระทั่งความเห็นอันหลากหลายมากมายของนักวิชาการก็ตาม ตัวอย่างที่สำคัญที่เห็นได้ชัดคือการที่ผู้ที่มักจะตั้งแง่ต่อที่มาของพรรคเพื่อไทยอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุลเคยเป็นหนึ่งในผู้ให้ความเห็นสนับสนุนทักษิณมากที่สุดจวบจนกระทั่งเป็นคนที่ออกมาประท้วงทักษิณ หรือการที่สนธิและอดีตพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้สนับสนุนสนธิ บุญยรัตกลินทำรัฐประหารและก็ได้ออกโรงมาวิจารณ์อดีตผู้นำรัฐประหารในภายหลัง ตัวอย่างดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าใครก็ตามในระบอบดังกล่าวนี้มีโอกาสพลาดด้วยกันทั้งสิ้น

ดังนั้นการนำเหตุผลที่อยู่บนฐานของหลักใดหลักหนึ่งมาเพื่อใช้ในการผูกขาดความจริงทางการเมืองเพื่อปิดปากหรือลิดรอนสิทธิ์ของฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้อย่างชอบธรรม

นอกเหนือจากนี้ คำถามหลักที่มีต่อทุกฝ่ายในสังคมไทยหากเหตุการณ์ความขัดแย้งกรณี พรบ.นิรโทษรรมนี้ผ่านพ้นไปแล้วก็คือ จะเอายังไงกับการเดินหน้าของระบอบประชาธิปไตยไทยหลังจากนี้? สำหรับฝ่ายผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยก็คงต้องถามว่าจะหยุดยั้งการปกป้องประชาธิปไตยเพียงแต่การปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเพียงเท่านั้นหรือ? ในเมื่อความเป็นจริงแล้วรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยชอบธรรม (ที่มาของอำนาจ) ก็ไม่ได้เป็นเกณฑ์ในการวัดความเป็นประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียว เพราะเกณฑ์ในการวัดความเป็นประชาธิปไตยของรัฐบาลยังต้องประกอบกับการพิจารณาลักษณะของวิธีการใช้อำนาจและเป้าหมายในการใช้อำนาจนั้นๆควบคู่กันไปด้วย

การให้การสนับสนุนพรรคการเมืองที่ตนเองรักโดยไม่ตั้งคำถามแม้ในเรื่องที่ดูจะผิดพลาดหรือเป็นปัญหา และพร้อมที่จะทำลายฝ่ายที่เห็นต่างหรือไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลโดยที่เข้าใจไปว่าตนเองกำลังปกป้องประชาธิปไตยอยู่นั้น จะทำให้ประชาธิปไตยไทยหน้าตาออกมาเป็นเช่นไร?

สำหรับฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล เราก็คงจะต้องตั้งคำถามว่าพวกเขาพร้อมจะใช้วิธีการนอกรัฐธรรมนูญ นอกกติกาประชาธิปไตย และนอกกติกาของกฎหมายวิธีใดๆก็ตามเพื่อที่จะโค่นล้มและขัดขวางรัฐบาลให้ได้ในที่สุดหรือไม่? ถ้าใช่ก็ถือเป็นการให้ความสำคัญกับเป้าหมายโดยไม่เลือกวิธีการไปสู่เป้าหมายนั้น เช่น ให้ความสำคัญกับการต่อต้านคอรัปชั่น ให้ความสำคัญกับการต่อต้านรัฐบาล โดยไม่สนใจว่าวิธีการที่ใช้จะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ระบอบประชาธิปไตยของไทยภายใต้วิธีคิดเช่นนีก็คงจะไม่เดินหน้าไปไหนเป็นแน่ จนกว่าพวกเราทุกฝ่ายจะสามารถขัดแย้งกันไม่ว่าในเรื่องอะไรได้อย่างถึงที่สุดโดยที่ไม่เล่นนอกกติกาประชาธิปไตย นอกกติกาของรัฐธรรมนูญ และไม่ละเมิดกรอบกฎหมายของบ้านเมืองแล้วเท่านั้น เมื่อนั้นเราจึงจะสามารถขัดแย้งกันอย่างมีอารยะโดยที่ประชาธิปไตยของไทยก็ยังสามารถพัฒนาเดินหน้าต่อไปได้

พวกเราทุกฝ่ายอยากจะเห็นประชาธิปไตยไทยหลังความขัดแย้งครั้งนี้หน้าตาเป็นเช่นไรกัน?

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุเทพ' ยื่นคำขาด 'ยิ่งลักษณ์' กม.นิรโทษกรรม ต้องพ้นสภาภายใน 11 พ.ย.

Posted: 06 Nov 2013 07:03 AM PST

สุเทพเปิดคลิป 'จ่าประสิทธิ์' พร้อมเตือนผู้ชุมนุม กม.นิรโทษกรรม เพื่อไทยอาจสอดไส้กลับมาอีก ลั่นนายกฯ บีบน้ำตากี่ปี๊บก็จะไม่เชื่อแล้ว พร้อมยื่นคำขาดให้นายกฯ ทำกฎหมายพ้นสภาภายใน 11 พ.ย. 18.00 น. โดยเสนอ 2 วิธี 1.ให้วุฒิสภาแก้เป็น กม.การเงิน แล้วนายกฯ เซ็นไม่รับรองให้ กม.ตกไป 2. ให้วุฒิสภาแก้ไขเนื้อหาให้นิรโทษเฉพาะคนธรรมดาไม่รู้อิโหน่อิเหน่

สุเทพ เทือกสุบรรณ (ยืนบนโพเดียม) และแกนนำผู้ชุมนุมคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ ถ.ราชดำเนิน (ที่มา: เพจสุเทพ เทือกสุบรรณ)

6 พ.ย. 2556 - ที่เวทีคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ถ.ราชดำเนิน สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำการชุมนุม ได้ขึ้นปราศรัยเมื่อเวลา 20.40 น. ที่ผ่านมา โดยระบุว่า นี่คือเวทีประชาชนของแท้ และหวังว่าวันนี้เจ้าหน้าที่ทั้งหลายคงรายงานไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่าคนเกินหมื่นแล้ว

สุเทพอภิปรายต่อไปว่า พี่น้องที่เคารพครับเพราะเวทีนี้เป็นเวทีประชาชน จึงมีประชาชนทุกสาขาอาชีพทุกองค์กร ได้ขึ้นมาแสดงประชามติ ให้รับรู้ว่าคนไทยรักชาติ รักแผ่นดิน ไม่ยอมก้มหัวให้พวกอธรรมเป็นอันขาด ขอบคุณการชุมนุมที่สีลม ที่มีพ่อค้า นักธุรกิจมาชุมนุม ขอบคุณอาจารย์สถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ นิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ"

และต่อมาสุเทพได้เปิดคลิปการปราศรัยของ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศีรษะ ส.ส.สุรินทร์ หรือ จ่าประสิทธิ์ ซึ่งปราศรัยบนเวทีภาคีพลังประชาชน ที่จตุจักร มาเปิดให้ผู้ชุมนุมได้ดู โดยตอนหนึ่งจ่าประสิทธิ์ทำนองว่า "หลังจากนี้ 180 วัน ส.ส.เพื่อไทยจะเสนอร่างนิรโทษกรรมกลับเข้ามาใหม่ รอให้ผู้ชุมนุมเลิกไปก่อน"  ทั้งนี้ผู้ชุมนุมไม่พอใจการปราศรัยของจ่าประสิทธิ์เป็นอย่างมาก โดยสุเทพ กล่าวว่า เพื่อให้ประชาชนได้ซึ้งใจ ได้เห็นความจริงใจของพรรคเพื่อไทยและนายกรัฐมนตรี

สุเทพ ปราศรัยต่อไปว่า "ไม่ว่านายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะบีบน้ำตาอีกกี่ปี๊บก็จะไม่เชื่ออีกแล้ว เพราะหลักฐานคือคลิปจ่าประสิทธิ์" นอกจากนี้ยังเปิดเผยภาพที่มีตำรวจใน กทม. ออกไปติดป้ายต่อต้านการชุมนุมคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมด้วย โดยสุเทพกล่าวด้วยว่า เข้าใจหัวใจตำรวจส่วนใหญ่ในประเทศไทยเป็นตำรวจที่ดี ตำรวจเลวมีคนเดียวคือทักษิณ ชินวัตร

สุเทพกล่าวถึงจุดยืนของ ส.ส.เพื่อไทย และวิปรัฐบาล ที่ประกาศว่าจะถอนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทั้งหมดว่า "เขาตบตาให้เรากลับบ้าน แล้วก็เอากฎหมายปีศาจขึ้นมาอีก" และกล่าวถึงขั้นตอนทางกฎหมายว่า ผลทางกฎหมายตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 147 มีเพียงว่า ให้ยับยั้งกฎหมายฉบับนี้ไว้ 180 วัน 180 วันเท่านั้น และเมื่อถึงวันที่ 181 ส.ส. เสนอญัตติยกกฎหมายขึ้นพิจารณาใหม่ในสภาผู้แทนวันไหน สามารถลงมติของพรรคเพื่อไทยฝ่ายข้างมาก และกฎหมายฉบับนี้ใช้บังคับได้ทันที แล้วเราจะไม่มีโอกาสคัดค้านเพราะพวกมันถนัดทำวันเดียวจบ

"เพราะพี่น้องไปปฏิญาณตนต่อหน้าพระแก้วมรกต พระบรมหาราชวัง จะต่อสู้จนถึงที่สุด จนกว่าชัยชนะจะเป็นของประชาชน ผมและบรรดาแกนนำประชุมกันแล้ววันนี้ พวกผมทุกคนจะฟังเสียงมหาชนเป็นหลัก ขอให้พี่น้องประชาชนทุกเวที ทั้งที่นี่ และทั่วประเทศโปรดพิจารณาเรื่องนี้ด้วยสติ ด้วยความรอบคอบ พี่น้องตัดสินใจอย่างไร พวกผมเอาอย่างนั้น"

โดยหลังจากสุเทพกล่าวจบได้มีผู้ชุมนุมตะโกนว่า "ออกไป ออกไป ออกไป"

สุเทพ กล่าวต่อไปว่า "ถ้าพี่น้องนึกว่าตัวเองเหนื่อยเอง ชนะแค่นี้พอแล้ว กลับบ้านได้แล้ว พวกผมก็ฟังพี่น้อง แต่ถ้าพี่น้องทั้งหลายบอกว่ากูทน กูนอนกลางถนนมา 6 คืนแล้ว คืนนี้เป็นคืนที่ 7 แล้ว ใจตุ้มๆ ต่อมๆ อีก 180 วัน รอให้ถึงวันที่ต้องสู้ กูสู้วันนี้ดีกว่า"

สุเทพถามต่อว่า "ผมขอถามพี่น้องว่า กลับบ้านหรือไม่กลับครับ" ผู้ชุมนุมได้ตอบว่า "ไม่กลับๆ"

สุเทพกล่าวว่า "ถ้าพี่น้องมีประชามติอย่างนี้ ผมขอเป็นตัวแทนของพี่น้องจากเวทีต่อต้านที่ราชดำเนินและทั่วประเทศ ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรดังต่อไปนี้"

"ข้อที่ 1. กฎหมายนิรโทษกรรม กฎหมายล้างผิดให้โกง คนฆ่า คนเผา ต้องตายจากสภา
ข้อที่ 2. เราไม่เอากฎหมายนิรโทษกรรม ยิ่้งลักษณ์ต้องจัดการให้มันตายในสภา"

สุเทพปราศรัยต่อไปว่า ไม่ต้องมาดีดดิ้น มาอ้างว่านายกรัฐมนตรีทำอะไรไม่ ได้เป็นเรื่องของสภา คุณนั่นแหละตัวดี รับคำสั่งพี่ชายมาดำเนินการให้บ้านเมืองวุ่นวายตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ คุณและพี่ชายคุณเป็นคนบงการให้ประธานสภาสมศักดิ์ ปิดหูปิดตาประชาชน ปิดปากฝ่ายค้านมาตลอด รู้ทั้งรู้ว่าประชาชนทั้งประเทศเขาคัดค้านกฎหมายล้างผิดคนโกง คนฆ่า คนเผา ไม่ว่าจะชื่อ พ.ร.บ.ปรองดอง หรือ พ.ร.บ.หอยหลอดอะไร พวกเราค้านมา 2 ปีแล้ว เพราะคุณเตรียมการมาตั้งแต่ปีก่อน เสนอกฎหมาย 6 ฉบับ หลากหลายเนื้อหาแต่ประชาชนเขาไม่เอา คุณเลยนิ่งเอาไว้

มาปีนี้ประชาชนไม่หือ คุณเลยเอาฉบับวรชัยมาเสนอร่างกฎหมายวรชัย ดูแรกๆ ก็ไม่มีพิษไม่มีสง ประชาชนก็ตายใจ "พอเข้าไปถึงชั้นกรรมาธิการ คุณก็แกล้งพูดโน่นนี่ ไม่เอาจริงมาสองเดือน พอประชาชนเผลอ คุณรุกวันเดียว แปลงมาสุดซอยให้พ่อคุณเลย ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทย ประชุมกรรมาธิการ 1 วัน 1 คืน แปลงญัตติแปลงร่างกฎหมายทุกอย่างจนจำหน้าเดิมไม่ได้ ปิดปากฝ่ายค้านไม่ให้อภิปราย ข่มขืนใจเราคืนเดียวเสร็จสมใจคุณ เพราะฉะนั้น คุณได้ทำผิดมาตลอดทาง ผิดธรรมเนียม ผิดประเพณี ผิดข้อบังคับ ผิดข้อกฎหมาย ทำทุกอย่างเพื่อช่วยพี่ชายคุณ เพราะฉะนั้นวันนี้ไม่ต้องมาปฏิเสธว่า หนูไม่เกี่ยว หนูไม่รู้ มึงนั่นแหละรู้ทุกเรื่อง"

"พี่น้องทั้งหลาย เราเป็นคนดี เราเป็นพลเมืองดี เราเป็นคนมีเหตุมีผล เราไม่ได้ข่มขืนใจนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้บังคับให้เขาทำในสิ่งเป็นไปไม่ได้ ปรมาจารย์ทางกฎหมายได้ประชุมกัน ได้บอกแกนนำว่า การทำให้กฎหมายนี้ตกไปมีวิธีทำได้หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ฟังให้ดี นี่ไม่ใช่ข้อเสนอของผมหรือจากประชาชน แต่ยกตัวอย่างว่ามันทำได้"

โดยสุเทพเสนอวิธีแก้ไขว่า

"1. วุฒิสมาชิกซึ่งรัฐบาลสั่งได้อยู่แล้ว เกินครึ่งอยู่แล้ว ลงมติเสียเลย ไม่ต้องรอช้า เช้าวันศุกร์นี่แหละ บอกว่ากฎหมายนี้เป็นกฎหมายการเงิน ส่งเรื่องให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรก็เรียกประชุมร่วมกัน ระหว่างประธานสภาผู้แทนราษฎรกับประธานคณะกรรมาธิการ แล้วมีมติเสียว่าเป็นกฎหมายการเงินจริงๆ ถือไปให้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เซ็นรับรอง เพราะกฎหมายการเงินเสนอได้ต้องให้นายกเซ็นรับรอง"

"เซ็นศุกร์นี้ตอนค่ำๆ ว่าไม่รับรอง กฎหมายก็ตกไปทันที นายกรัฐมนตรีก็ไป ว.5 ได้" สุเทพกล่าว และกล่าวถึงวิธีแก้ข้อต่อไปว่า

"2. ให้ที่ประชุมวุฒิสภา ประชุมเสียเลยวันศุกร์ตอนเช้า แล้วก็พิจารณากฎหมายฉบับนี้ให้เสร็จสิ้นภายในครึ่งวัน 3 วาระรวด แปรญัตติ แก้ร่างทั้งหมด ตัดไอ้ที่ล้างผิดให้คนโกงออกไป คนฆ่า คนเผา ล้างออกให้หมด เหลือเฉพาะนิรโทษกรรมให้คนเดินแห่เขาไปไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เมื่อวุฒิสภาแก้ไขร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบ ก็เอาร่างที่แก้ไขนั้น ส่งให้ประธานสมศักดิ์ ตอนเย็นวันศุกร์ ประธานก็เรียกประชุมสภา เช้าวันจันทร์สภาผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาลเสียงข้างมากอยู่แล้ว ก็ลงมติเห็นชอบที่วุฒิสภาแก้ไข จะมีผลให้กฎหมายนี้ใช้ได้ ไม่ได้ประโยชน์แก่ทักษิณ คนทุจริต คนฆ่า คนเผา ให้กฎหมายมีชีวิตต่อไป แต่ไร้ประโยชน์สำหรับพี่ชายคุณ"

สุเทพปราศรัยต่อไปว่า นี่เป็นเพียงตัวอย่าง ไม่ต้องทำตาม อวดฉลาดมานาน ก็ไปคิดหาวิธีทำเอาเองก็แล้วกัน จะทำอย่างไรก็ได้ แต่ต้องให้กฎหมายฉบับนี้ตายไปจากสภา หรือมีชีวิตเป็นกฎหมาย แต่ไม่มีผลล้างผิดให้คนชั่ว คนโกง คนฆ่า คนเผา ทำได้ทั้งนั้น

นี่ไม่ใช่ข้อเสนอของเรา แต่อาจารย์เขาชี้ทางสวรรค์ให้จะเดินหรือไม่ ตัดสินใจเอาเองยิ่งลักษณ์ แต่ในนามของประชาชน ที่ลุกขึ้นมาต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ แกนนำได้สดับตรับฟังแล้ว ประกาศให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทราบว่า ทำทุกอย่าง วิธีไหนตามใจคุณ กฎหมายฉบับนี้ต้องตายจากสารบบในสภา ภายในวันจันทร์ ไม่เกิน 6 โมงเย็น ไม่ให้เวลานานกว่านี้อีกแล้ว วันจันทร์ที่ 11 พ.ย. เวลา 18.00 น. ถ้าไม่ทำโปรดฟังเสียงนี้ (สุเทพเป่านกหวีด)

"นี่ไม่ใช่ข้อเสนอ จึงไม่มีการต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น พวกมึงจะทำหรือไม่ทำก็เป็นเรื่องของมึง"

หลังจากนั้น สุเทพกล่าวว่า "กราบขออภัยพี่น้อง ผู้หลักผู้ใหญ่เตือนแล้วอย่าพูดคำหยาบ ตอนเย็นก็พูดกับน้องๆ ว่าอย่าพูดคำหยาบ และภรรยาก็เตือนว่าอย่าพูดคำหยาบ แต่อดไม่ได้ต้องพูดมึงพูดกู เดี๋ยวนายกยิ่งลักษณ์จะตกใจ" โดยสุเทพได้ปราศรัยใหม่ว่า "นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ขอให้รับรู้ว่าภายในวันที่ 11 พ.ย. เวลา 18.00 น. คุณต้องทำให้กฎหมายฉบับนี้หายไปจากสภา ตายไปจากสภา ทั้งชาตินี้และชาติหน้าไม่ให้เกิดมาอีก  และคุณต้องถอนร่าง พ.ร.บ. ประเภทเดียวกันทั้ง 6 ฉบับที่ค้างในสภาออกให้หมด แล้วถือดอกไม้ธูปเทียนไปกราบพระแก้วมรกตจะไม่คิดร้ายกับประเทศไทยอีก แล้วเราจะพิจารณาว่าจะดำเนินการกับคุณอย่างไร นี่คือมติกรรมการแกนนำวันนี้"

"และขอถือโอกาสนี้ แจ้งไปถึงพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกกลุ่ม ทุกเครือข่าย ที่กำลังต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ว่า ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปให้เตรียมพร้อม 100% รอฟังสัญญาณจากเวทีราชดำเนิน 18.00 น. วันที่ 11 พ.ย. และถือโอกาสกราบเรียนพี่น้องว่า ฝ่ายรัฐบาลประกาศแล้วจะเอามวลชนมาชุมนุมเพื่อจะมาสู้กับเรา เพราะฉะนั้นพี่น้องที่อยู่ที่บ้าน ถ้าอยากมาเป็นกำลังใจมาให้มากกว่านี้ มาให้เป็นล้าน ผมดีใจที่คืนนี้ผู้ชุมนุมมากกว่าเมื่อคืน ผมและแกนนำอยากเห็นคืนพรุ่งนี้มีผู้ชุมนุมมากกว่าคืนนี้ และมากขึ้นไปอีก ผมอยากเห็นพวกเราได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยกันชุมนุมตลอดถนนราชดำเนิน เลยไปถึงทำเนียบ สภา ถึงจุฬาลงกรณ์ เราเป็นพลเมืองดี ต่อสู้ด้วยสันติ สงบ ปราศาจากอาวุธ ถ้าเรามีจำนวนน้อยเสร็จเสื้อแดง เพราะฉะนั้น ถ้าอยากชนะต้องมาเป็นล้าน"

"ผมและกรรมการแกนนำทุกคน สาบานด้วยชีวิต ว่าจะปฏิบัติตามคำปฏิญาณสู้เพื่อชัยชนะของประชาชน เราทำในสิ่งที่ถูกต้อง ธรรมะต้องชนะอธรรมแน่นอน ขอกราบคารวะชาวไทยที่จะออกมาร่วมต่อสู้ ด้วยความเคารพสูงสุด"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดีเบตนิรโทษกรรม: สมบัติ บุญงามอนงค์ - วิทยา แก้วภราดัย ออกรายการสรยุทธ์

Posted: 06 Nov 2013 04:15 AM PST

ส.ส.ปชป. - แกนนอน อภิปรายสดทางช่อง 3 บก.ลายจุดยืนยันชุมนุม 10 พ.ย. เพื่อย้ำว่ามีผู้สูญเสียจำนวนมากในเหตุสลายปี'53 - วิทยา แก้วภราดัย ยังไม่เชื่อรัฐบาลจะถอยจริง ขอชุมนุมดูท่าทีต่อ และย้ำ ปชป. ไม่ได้ชุมนุมเพียงเพราะ 'ทักษิณ' แต่ต้องการรักษาหลักนิติรัฐ 'อภิสิทธิ์-สุเทพ' ต้องเข้ากระบวนการยุติธรรม

6 พ.ย. 2556 - เมื่อเวลา 17.20 น. ในรายการเจาะข่าวเด่น ดำเนินรายการโดยสรยุทธ สุทัศนะจินดา ออกอากาศทางช่อง 3 มีการสัมภาษณ์ วิทยา แก้วภราดัย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และสมบัติ บุญงามอนงค์ จากกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง กรณีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย โดยก่อนเริ่มรายการสมบัติได้มอบถุงกระดาษข้างในถุงบรรจุอาหารจานด่วนยี่ห้อหนึ่งให้กับสรยุทธ์เป็นที่ระลึกด้วย นอกจากนี้ในระหว่างออกอากาศมีการตัดเข้าสู่ช่วงการแถลงสดจากที่ทำการพรรคเพื่อไทย ซึ่งประกาศยอมถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทุกฉบับด้วย (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

โดยในรายการเป็นการอภิปรายระหว่างสมบัติ บุญงามอนงค์และวิทยา แก้วภราดัย ต่อกรณีที่มีการประกาศจากวิปรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย ว่าจะมีการถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับที่ผ่านวาระ 3 และฉบับอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไปแล้วนั้น สมบัติ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงจะชุมนุมในวันที่ 10 พ.ย. ที่แยกราชประสงค์ต่อไป เพื่อส่งสัญญาณต่อทั้งสังคม ทั้งนี้ที่พรรคประชาธิปัตย์ค้านกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อเป็นการโจมตีทักษิณ แต่ประเด็นใหญ่ที่ต้องไม่ลืมคือ มีการสลายชุมนุมในปี 2553 มีการประกาศเขตใช้กระสุนจริง มีทุ่งสังหาร มีผู้บาดเจ็บ มีผู้เสียชีวิต ดังนั้นจึงต้องย้ำเรื่องนี้ ทั้งนี้เวลาพูดถึงนิรโทษกรรม ต้องไม่ใช่การจำกัดแค่ทักษิณ แต่ต้องพูดให้ครบว่ามีคนสั่งการ มีผู้รับผิดชอบก็คือสุเทพ เทือกสุบรรณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดังนั้นในวันที่ 10 พ.ย. นี้จะมีการจัดกิจกรรมต่อไป

ด้านวิทยา ได้อภิปรายว่า ไม่ได้หมายความว่าคัดค้านการนิรโทษกรรมเฉพาะทักษิณ แต่ทั้งสุเทพ เทือกสุบรรณ และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ต้องไม่ได้รับการนิรโทษ ทุกอย่างต้องเดินตามกระบวนการยุติธรรม ที่ผ่านมาในการเมืองไทยมีการนิรโทษกรรม

"อย่างตัวผมถูกยิงในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 บัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใครยิงผม ดังนั้นอย่าคิดว่าเราค้านเพราะทักษิณคนเดียว แต่กระบวนการยุติธรรมต้องเดินไม่ใช่มุ่งแต่นิรโทษกรรม ประเทศนี้ต้องมีหลักนิติรัฐ ไม่อย่างนั้นประเทศก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมาย"

ในการชุมนุมที่ ถ.ราชดำเนินนั้น นอกจากประเด็นการต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมแล้ว เรายังไม่เห็นด้วยกับการทำลายหลักนิติรัฐ เพราะไม่อย่างนั้นก็เท่ากับเราส่งเสริมคอรัปชั่น ส่งเสริมการฆ่ากัน ทั้งนี้เราต้องการให้มีหลักของบ้านเมือง ให้เป็นรัฐที่ใช้กฎหมายปกครองจริงๆ

ด้านสมบัติ ยืนยันว่าจะยังจัดกิจกรรมในวันที่ 10 พ.ย. เพื่อตอกย้ำการสลายการชุมนุมในปี 2553 เพราะไม่อย่างนั้นจะมีคนนำไปบิดเบือนเช่น คนที่คัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ ถ.ราชดำเนิน ที่เน้นภาพของทักษิณ แต่ในกฎหมายนิรโทษกรรมนี้มีเรื่องที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ดำเนินการให้เกิดการเสียหาย เกิดสูญเสียจำนวนมากด้วย ซึ่งตรงนี้คนอาจจะลืมก็ได้

อย่างไรก็ตาม วิทยา โต้ว่า "ไม่เลยครับ คนไม่ลืม และเราไม่เคยพูดว่าจะขอนิรโทษกรรม"

ด้านสมบัติ กล่าวว่า ในการที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ก็มีความชอบธรรมอยู่ เพียงแต่ว่าประชาธิปัตย์ต้องปักหลักตีเส้นให้ได้ว่าการคัดค้านนี้ไม่ใช่การฉวยโอกาสทางการเมือง รุกคืบไปสู่การขับไล่รัฐบาล ถ้ารัฐบาลเขาถอยสุดซอยขนาดนี้แล้ว ประชาธิปัตย์ก็ออกมาแค่เรื่องนิรโทษกรรม ดังนั้นแล้วก็ไม่ใช่ไปวิ่งไล่ตาม หรือตามไปกระทืบซ้ำ

วิทยา ได้ตอบว่า "พวกคุณถอยจริงหรือเปล่า?" และกล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ท่าทีของพรรคเพื่อไทยอาจเป็นเพียงการรับมือทางการเมือง เป็นมาตรการต่อรองแล้วอีก 6 เดือนก็กลับมาเจอกันใหม่ ที่ผ่านมาต้องถามว่าพรรคเพื่อไทยรับรองกันมากี่รอบแล้ว แล้วพอมาถึงในสภาก็มาหักกันตอนตีสี่ เหมือนข่มขืนแล้ววิ่งไป

สมบัติ ตอบว่า ผมคิดว่ารัฐบาลก็ประกาศชัดเจน ยิ่งลักษณ์ก็ประกาศ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อ แต่เรื่องนี้ต้องหาทางออกที่รับได้ "ถ้าคุณรุกไล่ขนาดนี้ เกรงว่ามวลชนทั้งสองฝ่ายจะเผชิญหน้ากัน" ทั้งนี้สมบัติเสนอว่าให้พรรคประชาธิปัตย์เป่านกหวีดพักรบ แล้วจับตา และกล่าวด้วยว่า ต่อประเด็นต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคราวนี้ทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรกัน ที่มีความเห็นแตกต่างกันในเชิงมิติ โดยคนเสื้อแดงที่จะชุมนุมกันในวันอาทิตย์นี้ (10 พ.ย.) จะร่วมอาสามอนิเตอร์รัฐบาลให้

ด้านวิทยา ตอบว่า ขอให้พรรคเพื่อไทยจบเรื่องนี้ภายในวันจันทร์ สำหรับวิธีการนั้นอย่าให้ผมคิดแทน โดยเขาอภิปรายด้วยว่า เขาเชื่อว่ารัฐบาลสั่งวุฒิสมาชิกได้ เพราะเหตุการณ์เมื่อวานนี้ (5 พ.ย.) เที่ยงนายกรัฐมนตรีแถลง บ่ายประธานวุฒิสภาก็ออกมารับรองว่าจะคว่ำ พ.ร.บ. ซึ่งถ้าขานรับกันได้แบบนี้จริงๆ เพราะคนเชื่อว่าวุฒิสภาอยู่ภายใต้คอกรัฐบาล ก็เสนอว่าให้วุฒิสภาจัดการให้เสร็จเลย ทั้งสามวาระรวดเลย คือแก้ไขเนื้อหาให้เฉพาะคนที่ชุมนุมการเมืองที่ได้รับความเสียหาย ก็ให้นิรโทษกรรมเลย แล้วไม่นิรโทษกรรมให้คนทุจริต คนสั่งฆ่า กระบวนการต้องจบให้หมด แล้วในวันเสาร์ก็นัดประชุมสองสภาแล้วจัดการให้จบ เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องรู้จักออกเสียบ้าง ให้รับหลักการ แล้วตั้งกรรมาธิการเต็มสภา แก้ให้หมด

วิทยา กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์โดนมาเท่าไหร่แล้ว รัฐบาลผิดคำมั่นสัญญาตลอด ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีบอกเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เป็นเรื่องของ ส.ส. แต่มาวันนี้ก็เสนอหน้ากันทั้งนายกรัฐมนตรี ทั้งพรรค คือก่อนหน้านี้โกหก ขอบอกว่าเขานั้นอยู่ในเส้นทางการเมืองมาก่อนนายกรัฐมนตรี ต่อสู้ทางการเมืองมาตั้งแต่อายุ 18 สมัยเป็นนักศึกษา ไม่เจอยุคไหนที่กะล่อนขนาดนี้ ขอย้ำว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมต้องตกไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งรัฐบาลนี้สามารถทำได้ และรู้ว่าทำได้ รัฐบาลต้องรู้ว่าจะต้องถอยทางไหน ในเมื่อดันกันสุดซอย ก็ต้องถอยให้เป็น อย่ามาปลิ้นปล้อนแบบต่อไป ท่าทีขณะนี้ ถือว่าถอยไม่พอ นี่คือการหลอกลวง

ด้านสมบัติ โต้ว่า สถานการณ์มาแบบนี้ ประชาธิปัตย์ฉวยโอกาสแล้ว ใครติดตามการเมืองก็ดูออกว่าประชาธิปัตย์ต้องการอะไร ด้านวิทยา แก้วภราดัย ตอบว่า ก็กล่าวหากล่าวร้ายไปหมด สมบัติ ได้ตอบว่า มันมีข้อเท็จจริงเยอะแยะครับ ที่ผ่านมาการชุมนุมสวนยางเบื้องหลังคือใคร ด้านวิทยาตอบว่า ประชาชนเดือดร้อนขนาดนี้ ถ้าผู้แทนไม่ไปดูก็ผิดปกตินะ

ทั้งนี้ในช่วงท้ายรายการ วิทยา ย้ำว่า ที่พูดนั้น เป็นการพูดในนามประชาธิปัตย์ ผมขอพูดแทนเพื่อนๆ ในพรรค บอกรัฐบาลว่า ถ้าต้องการถอยจริงๆ ต้องทำให้ร่าง พ.ร.บ.นี้ตกไปภายในสองวันนี้ และถ้าช้าไป มวลชนจะออกมาเรื่อยๆ ต้องให้วุฒิสภารับหลักการ แล้วแก้ไขเนื้อหาให้นิรโทษกรรมแค่ประชาชนจริงๆ ผ่านออกมาเป็นกฎหมายนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนเท่านั้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เพื่อไทยถอยสุดซอย - ถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทุกฉบับ

Posted: 06 Nov 2013 03:11 AM PST

พรรคเพื่อไทยออกแลงการณ์ จะปล่อยให้กฎหมายฉบับ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ตกไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พร้อมขอให้ ส.ส.พรรค ถอน กม.นิรโทษกรรมฉบับอื่นๆ ทั้งหมดที่ค้างอยู่ในสภาฯโดยเร็ว

6 พ.ย.2556 เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาที่พรรคเพื่อไทย ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้อ่านแถลงการณ์ ระบุว่า "ตามที่ร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และขณะนี้วุฒิสภาจะพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวในวันที่ 11 พ.ย. 2556 นั้น"

"พรรคเพื่อไทยขอแถลงว่า ถ้าวุฒิสภาลงมติไม่รับหลักการร่างกฎหมายฉบับนี้ และส่งคืนมายังสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทยขอยืนยันว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทยทั้งหมด จะไม่หยิบยกร่าง พ.ร.บ. นี้ขึ้นมาพิจารณาใหม่ และจะปล่อยให้กฎหมายฉบับนี้ตกไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้นพรรคเพื่อไทยจะขอให้สมาชิกผู้แทนราษฎรของพรรค ไปถอนร่างกฎหมายที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมฉบับอื่นๆ ทั้งหมดที่ค้างอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็ว"

"พรรคเพื่อไทยขอกราบเรียนว่าพรรคยังคงมุ่งมั่น ที่จะร่วมกับคนไทยทุกภาคส่วน สร้างความสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้นในชาติและขอเชิญชวนภาคการเมือง ภาคเศรษฐกิจและสังคม และประชาชนทุกหมู่เหล่า มาร่วมพูดจาหาทางสร้างความสามัคคีปรองดอง ในเวทีที่เปิดกว้างให้ทุกฝ่ายสามารถเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น เช่น สภาปฏิรูปการเมือง ที่นายกรัฐมนตรีได้เสนอแนวคิดและได้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้"

"พรรคเพื่อไทยขอให้คำมั่นกับพี่น้องประชาชนว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่เสนอและเห็นชอบกฎหมายใดๆ ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมไทย และจะน้อมรับฟังความเห็นจากผู้ที่เห็นต่าง ทั้งนี้เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่ความสามัคคีปรองดองของคนในชาติต่อไป"

ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ ในช่วงบ่าย อำนวย คลังผา ประธานวิปรัฐบาล ได้แถลงว่า เพื่อความสบายใจของประชาชนที่มาร่วมชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม วิปรัฐบาลจึงมีมติเห็นชอบที่จะถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมและร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง รวม 6 ฉบับ ออกจากการพิจารณาของสภา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น