ประชาไท | Prachatai3.info |
- ตำรวจนครบาลแจกสติกเตอร์ปกป้องสถาบัน 100,000 ใบ
- เลขา ครป. จี้ "ยิ่งลักษณ์" มีจริยธรรมตามระเบียบสำนักนายกฯ ยุคพรรคพลังประชาชน
- แม่กู..แม่ประชาชน
- “จุติ” ทิ้งทวนจี้ "อนุดิษฐ์" ปราบเว็บหมิ่นสถาบัน
- พุทธศาสนากับวัฒนธรรมการวิพากษ์วิจารณ์
- ผู้อาศัยบ้านเอื้ออาทรรังสิตประท้วงเก็บค่าส่วนกลาง
- “เครือข่ายลุ่มน้ำยม” เสนอแนวทาง “ยิ่งลักษณ์” แก้ไขน้ำท่วมโดยไม่ต้องสร้าง “เขื่อนแก่งเสือเต้น”
- ฮอร์ นัม ฮง
ตำรวจนครบาลแจกสติกเตอร์ปกป้องสถาบัน 100,000 ใบ Posted: 12 Aug 2011 05:21 AM PDT จัดพิมพ์สติกเกอร์ "ปกป้องสถาบัน" ส่วนแบบที่ 2 ระบุคำว่า "เทิดทูนสถาบัน" สีชมพูกับสีเหลือง 100,000 ใบ แจกจ่ายให้กับหน่วยงานของกองบัญชาการตำรวจนครบาล นำไปติดรถยนต์ที่ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 54 ที่ผ่านมาสำนักข่าวไอเอ็นเอ็นรายงานว่าพล.ต.ต.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 7 (ผบก.น.7) เป็นประธานในการแจกจ่ายสติกเกอร์ "ปกป้องสถาบัน เทิดทูนสถานบัน" ณ กองบังคับการตำรวจนครบาล 7 ถนนบรมราชชนนี โดยมี รองผู้บังคับการและผู้ใต้ผู้บังคับบัญชา ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้จัดทำโครงการขึ้น เพื่อปลูกฝังสร้างจิตสำนึกในการปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้กับข้าราชการตำรวจในสังกัด จึงได้จัดทำสติกเกอร์ จำนวน 2 แบบ มีขนาดยาว 27 ซ.ม. กว้าง 7 ซ.ม.จัดพิมพ์ระบุข้อความคำว่า "ปกป้องสถาบัน" ส่วนแบบที่ 2 ระบุคำว่า "เทิดทูนสถาบัน" จัดทำมาจำนวนทั้งหมด 2 สี คือ สีชมพูกับสีเหลือง โดยจัดพิมพ์ออกมาทั้งหมด 100,000 ใบ เพื่อแจกจ่ายให้กับหน่วยงานของกองบัญชาการตำรวจนครบาล นำไปติดรถยนต์ที่ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ อย่างไรก็ตาม สำหรับประชาชนท่านใด ที่สนใจต้องการรับสติกเกอร์ ก็สามารถติดต่อขอรับได้ที่ สถานีตำรวจนครบาล ใกล้เคียง สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
เลขา ครป. จี้ "ยิ่งลักษณ์" มีจริยธรรมตามระเบียบสำนักนายกฯ ยุคพรรคพลังประชาชน Posted: 12 Aug 2011 04:48 AM PDT 12 ส.ค. 54 - สุริยันต์ ทองหนูเอียด เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) เผยแพร่บทความ "อำนาจของนายกรัฐมนตรีกับจริยธรรมของนักการเมือง" จี้นายกต้องมีจริยธรรมตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ.2551 อำนาจของนายกรัฐมนตรีกับจริยธรรมของนักการเมือง สุริยันต์ ทองหนูเอียด เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ๑.คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายแดงที่ อม. ๑/๒๕๕๐ เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๑ ระหว่างอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้องพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรเป็นจำเลยที่ ๑. คุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ ๒. ได้วินิจฉัยอำนาจของนายกรัฐมนตรีไว้อย่างชัดเจนว่า “นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล และมีอำนาจกำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน มีอำนาจสั่งการให้ส่วนราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และส่วนราชการที่มีหน้าที่ควบคุมราชการส่วนท้องถิ่นชี้แจงแสดงความเห็น ทำรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ในกรณีจำเป็นจะยับยั้งการปฏิบัติราชการใดๆ ที่ขัดต่อนโยบายหรือมติคณะรัฐมนตรีก็ได้ มีอำนาจสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น มีอำนาจบังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่ง ซึ่งสังกัดกระทรวงทบวงกรมและส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็นกรม รวมทั้งมีอำนาจดำเนินการอื่นๆ ในการปฏิบัติตามนโยบาย ส่วนการจัดระเบียบราชการในกระทรวงต่างๆ มาตรา ๒๐ แห่งพระราชาบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบในการกำหนดนโยบาย เป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ของงานในกระทรวงให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงไว้ต่อรัฐสภา หรือที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หรืออนุมัติ แต่มีข้อจำกัดว่าอำนาจดังกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติมาตรา ๑๑ กล่าวคือ ต้องไม่เป็นการขัดหรือแย้งหรือลดทอนอำนาจที่มีอยู่ของนายกรัฐมนตรี....” กรณีคดีซื้อขายที่ดินรัชดาดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณฯ มีความผิด ให้ลงโทษจำคุก ๒ ปี ๒.ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยตามคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)และคำร้องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว. สรรหา และคณะ ๒๙ คน ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีกรณีไปจัดรายการ "ชิมไปบ่นไป" และรายการ "ยกโขยง ๖ โมงเช้า" ก็วินิจฉัยว่า นายสมัคร มีความผิดจริง ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ๓.มติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๒ กรณีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีขณะนั้นกับพวก รู้เห็นเป็นใจสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธปราบปรามประชาชนที่กำลังชุมนุมโดยสงบ ในบริเวณหน้ารัฐสภา บริเวณถนนพิชัย บริเวณถนนสุโขทัย และบริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ทำให้ประชาชนได้รับอันตรายแก่กาย และจิตใจ ประมาณ 400 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัส 6 คน และถึงแก่ความตาย 2 คน เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ นั้น กรณีการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ดังกล่าว ปปช. ก็ได้มีมติชี้มูลว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีกับพวก มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ อำนาจของนายกรัฐมนตรีที่ผู้เขียนอ้างถึงข้างต้นนั้น ก็เพื่อยืนยันว่าในการบริหาราชการแผ่นดินนายกรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะสั่งการหรือยับยั้งการสั่งการข้าราชการได้ทุกตำแหน่ง ทุกกระทรวง กรม กอง อำนาจของนายกรัฐมนตรี จึงเป็นดาบสองคมที่ให้คุณและให้โทษแก่ผู้นำประเทศ ซึ่งหากนายกรัฐมนตรีที่ไม่ดี ที่ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ที่ไม่ปกป้องประโยชน์ของประเทศ ที่ไม่ใยดีต่อความเดือดร้อนทุกข์ยากหรือความเป็นตายของประชาชน ในที่สุดนายกรัฐมนตรีเช่นนั้นก็จะถูกพิพากษาลงโทษ กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาลงโทษจำคุก ๒ ปี ก็เพราะใช้อำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแสวงหาประโยชน์เพื่อตนและครอบครัว กรณีนายสมัคร สุนทรเวช ที่ถูกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่ามีความผิดจริง ขาดคุณสมบัติ ต้องพ้นจากตำแหน่ง ก็เพราะใช้อำนาจและตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี เพื่อไปแสวงหาประโยชน์แห่งตน การเข้ามาดำรงตำแหน่งทางเมืองของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามว่าจะใช้อำนาจหน้าที่เพื่อประโยชน์ของส่วนร่วม ปกป้องประเทศชาติประชาชน หรือแก้ผิดให้เป็นถูกเพื่อพี่น้องบริวารว่านเครือหรือไม่ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ จะต้องสรุปบทเรียนให้ได้ว่าจะปฏิบัติหน้าที่บริหาราชการแผ่นดินอย่างไร เป็นตัวของตัวเองทำหน้าที่เพื่อชาติหรือเป็นร่างทรงของพี่ชายไปในทางที่ไม่ชอบเมื่อไหร่ บทเรียนที่ผ่านมาย่อมปรากฎชัดเจนแล้วว่าจุดจบเป็นอย่างไร จริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ.2551 ซึ่งได้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2551 ได้กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมของข้าราชการการเมือง เช่น - ต้องจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์และเป็นแบบอย่างที่ดีในการเคารพและรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข - ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ - ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการเป็นพลเมืองดีการเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด - ต้องปฏิบัติตนอยู่ในกรอบจริยธรรม คุณธรรมและศีลธรรมทั้งโดยส่วนตัวและโดยหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสาธารณชน ทั้งต้องวางตนให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของประชาชน - ต้องเคารพสิทธิ เสรีภาพส่วนบุคคลของผู้อื่นไม่แสดงกิริยาหรือใช้วาจาอันไม่สุภาพ อาฆาตมาดร้าย หรือใส่ร้ายหรือเสียดสีบุคคลใด - ต้องรักษาความลับของราชการ เว้นแต่เป็นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย - พึงพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนอย่างสม่ำเสมอ เอาใจใส่ทุกข์สุขและรับฟังเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชนและรีบหาทางช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ - ต้องไม่ใช้หรือบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของราชการเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น - ต้องรักษาทรัพย์สินของราชการและใช้ทรัพย์สินของราชการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์นั้นๆ เท่านั้น - ต้องแสดงความรับผิดชอบตามควรแก่กรณีเมื่อปฏิบัติหน้าที่บกพร่องหรือปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง เป็นต้น นี่ไม่ใช่เรื่อง "สองมาตรฐาน" หรือ "การกลั่นแกล้งทางเมือง" แต่เป็นมาตรฐานทางจริยธรรมที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนด คนทั้งสังคมเห็นร่วมกันและนักการเมืองเองก็ยอมรับและออกในสมัยที่พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล จึงเป็นหน้าที่ของพี่น้องประชาชนชาวไทยที่จะต้องติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป. ที่มาข่าว: สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
Posted: 12 Aug 2011 03:48 AM PDT เหงื่อหยาดท่วมกายกลางแดดกล้า อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้หมดราคา เป็นคนป่าคนดอยต้อยติดดิน แม่กูเป็นคนจนยิ่งกว่าจน ก้มหน้ายอมทนเหนื่อยหนักหนา โดนประณามหยามเหยียดเจ็บอุรา ไม่เป็นไรแม่บอกว่าเรามันจน ยังจำได้ห้วงร้ายในคืนฝน หนาวเหลือทนแม่กอดอย่าหวั่นไหว ฝนตกมาคงหยุดไม่เป็นไร ในอ้อมกอดอุ่นไอแม่ดูแล ยังจำได้ในยามหิวมันแสบใส้ แม่มองลูกน้ำตาไหลเศร้าหนักหนา อดทนไว้เป็นลูกแม่อย่าคณา จงยึดมั่นศรัทธาเหนืออื่นใด แม่บอกว่าคนแบบเรามีอีกมาก อยู่เหมือนคนตายซากในยุคสมัย รัฐชั่วศักดินามันกดไว้ เป็นวัวควายให้มันได้ไล่ตี ต่อจากนี้ให้เจ้าจงจำไว้ ไม่มีใครยิ่งใหญ่เป็นคนกล้า เลือดของประชาชนสำคัญกว่า จำไว้หนาลูกยาประชาชน สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
“จุติ” ทิ้งทวนจี้ "อนุดิษฐ์" ปราบเว็บหมิ่นสถาบัน Posted: 12 Aug 2011 03:43 AM PDT
12 ส.ค. 54 - นายจุติ ไกรฤกษ์ ว่าที่รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวถึงการติดตามการทำงานของ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารคนใหม่ว่า ส่วนตัว เชื่อว่า น.อ.อนุดิษฐ์ จะทำหน้าที่ได้ดี เพราะมีพื้นฐานการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ แต่ยังเป็นห่วงในประเด็นการปราบปรามเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อความหมิ่นสถาบัน ซึ่งหวังว่า น.อ.อนุดิษฐ์ ที่เป็นทหารมาก่อน และเคยสาบานตนในการปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะติดตามในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ นายจุติ ยังกล่าวต่ออีกด้วยว่า เรื่องดังกล่าวนั้น น.อ.อนุดิษฐ์ อาจจะทำหน้าที่ได้ดีกว่าตน เพราะเป็นผู้ที่รู้ตื้นลึกหนาบางดี ส่วนนโยบายพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G นั้น ตนไม่หนักใจว่า จะได้รับผลกระทบเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล เพราะทุกอย่างเป็นสมบัติของประชาชน เชื่อว่าคนที่เข้ามาดูแลก็มีความตั้งใจทำให้สมบัติของประชาชนเพิ่มพูนมากขึ้น สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
พุทธศาสนากับวัฒนธรรมการวิพากษ์วิจารณ์ Posted: 12 Aug 2011 03:30 AM PDT เพื่อนทางเฟซบุ๊คของผมคนหนึ่งระบายความในใจว่า บังเอิญเขาไปโต้แย้งกับพระรูปหนึ่งซึ่งอยู่ในวงการกิจกรรมทางสังคมด้วยกัน เพราะนึกว่าท่านจะใจกว้างแต่ที่ไหนได้กลับโดนท่านกล่าวหาว่า “กำเริบเสิบสาน” ซึ่งคำว่า “กำเริบเสิบสาน” มันมีความหมายขัดแย้งกับความเท่าเทียมในความเป็นคนอย่างที่ไม่อาจยอมรับได้ ผมเองพอจะเข้าใจความรู้สึก “รับไม่ได้” ของเพื่อนคนดังกล่าว และเข้าใจดีว่าการที่เรานั่งถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นของกันและกันบนพื้นฐานความเท่าเทียมในความเป็นคนไม่ได้กับพระสงฆ์นั้น เป็นเรื่องปกติในสังคมไทย หากจะมีพระบางรูปที่เปิดใจรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาได้ นั่งถกเถียงกับเราได้อย่างไม่ถือสูง-ต่ำ ต้องถือว่าเป็นกรณีพิเศษมากๆ ที่เป็นเช่นนี้ ผมคิดว่ามีสาเหตุหลักๆ อย่างน้อย 3 ประการ คือ ประการแรก สถานะของพระสงฆ์ไทยนั้นมีลักษณะเป็นชนชั้นในสองความหมาย คือ 1) เป็นสถานะที่เชื่อกันว่าสูงกว่าฆราวาสในทางธรรม เช่น ที่เรามักได้ยินกันอยู่เสมอว่า โยมมีศีลแค่ 5 ข้อ พระมี 227 ข้อ (รักษาได้ครบหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) ฉะนั้น พระสงฆ์จึงอยู่ในฐานะที่เราต้องเคารพกราบไหว้ เชื่อฟังคำสั่งสอน และกตัญญูรู้คุณท่าน เดิมทีสถานะเช่นนี้อาจมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่มาก เนื่องจากแหล่งการศึกษาของประชาชนมีเพียงวังกับวัด พระสงฆ์มีบทบาทเป็นครูบาอาจารย์ที่สอนทั้งความรู้ทางธรรมทางโลกปะปนกันไป แต่ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปมากแล้ว สถานะเหนือกว่าของพระสงฆ์ การเรียกร้องการยอมรับนับถือจากสังคมโดยที่พระสงฆ์สูญเสียบทบาทของความเป็นครูบาอาจารย์แบบดั้งเดิมไปแล้วนั้น จึงอาจถูกตั้งคำถามจากผู้คนบางส่วนได้ 2) พระสงฆ์ถูกสถาปนาให้มีสมณศักดิ์ หรือมีศักดินาพระ ฉะนั้น เมื่อมีสถานะที่เชื่อว่าเหนือกว่าในทางธรรมบวกกับวัฒนธรรม “ยศช้างขุนนางพระ” ยิ่งทำให้พระสงฆ์รู้สึกว่าตนเองสูงส่งกว่า หรืออยู่เหนือกว่าฆราวาสทั่วไปมากยิ่งขึ้น มันจึงเป็นเรื่องปกติที่ใครก็ตามเพียงแค่เปลี่ยนสถานะจากฆราวาสเป็นพระภิกษุได้ไม่นาน ก็รู้สึกได้ทันทีว่าตนมีสถานะสูงกว่าฆราวาส มักมีแนวโน้มที่จะไม่ฟังความคิดเห็นจากฆราวาส โดยเฉพาะที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพุทธศาสนาด้วยแล้ว ยิ่งคิดว่าตนเองรู้ดีกว่า เมื่อเทศนาหรือแสดงทัศนะทางศาสนา หรือทัศนะทางสังคมการเมืองที่อ้างอิงจุดยืนของพุทธศาสนาก็มักคิดว่า ตนเองกำลังประกาศ “สัจธรรม” ที่ใครๆ จะโต้แย้งไม่ได้ (คนโต้แย้งไม่รู้จริง มีอคติ กระทั่งเป็นมิจฉาทิฐิ) ประการที่สอง มีบางคน (วิจักขณ์ พานิช) เคยตั้งข้อสังเกตว่า มันอาจผิดตั้งแต่แรกที่เราไปใช้คำ “ราชาศัพท์” กับพระพุทธเจ้า เพราะที่จริงแล้วไม่สมควรทำเช่นนั้นโดยประการทั้งปวง เนื่องจาก 1) เจ้าชายสิทธัตถะสละสถานะชนชั้นกษัตริย์เป็นคนธรรมดาตั้งแต่ออกบวชแล้ว 2) เมื่อตรัสรู้แล้วยิ่งไม่ยึดติดในสิ่งใดๆ เลย ยิ่งไม่ควรจะใช้คำราชาศัพท์ที่เป็นการยกสถานะของพุทธะให้สูงเหนือมนุษย์เลย ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธะกับเราควรเป็นความสัมพันธ์ที่อยู่บนพื้นฐานความเสมอภาคในความเป็นคน แต่วัฒนธรรมการใช้ราชาศัพท์กับพุทธะ และใช้ราชาศัพท์กับพระสงฆ์เป็นวัฒนธรรมที่ยกให้พระพุทธเจ้า และพระสงฆ์อยู่เหนือหลักความเสมอภาคในความเป็นคน ซึ่งขัดแย้งกับเรื่องของการละอัตตาหรือตัวกูของกู เพราะวัฒนธรรมเช่นนี้เท่ากับเป็นการเพิ่มอัตตาหรือตัวกูของกูให้ใหญ่เกินปกติ ทำให้ “พระกับเจ้า” อยู่ในประเภทเดียวกันอย่างที่เรียกว่า “พระสงฆ์องค์เจ้า” ฉะนั้น พระกับเจ้าก็เลยแตะไม่ได้ วัฒนธรรมเช่นนี้อาจเข้มข้นมากเป็นพิเศษในพุทธเถรวาทแบบไทย ส่วนพระสงฆ์มหายานนั้นเขาไหว้ หรือทำความเคารพฆราวาสได้ และดูเหมือนจะอ่อนน้อมมากๆ ด้วย ที่ว่ามานี้ไม่ใช่ต้องการเรียกร้องให้พระไทยทำแบบพระมหายาน แต่ต้องการชี้ให้เห็นความซับซ้อนของปัญหาว่า ทำไมพระไทยจึงไม่มีวัฒนธรรมเปิดใจรับการวิพากษ์วิจารณ์ หรือร่วมถกเถียงเหตุผลกับฆราวาสบนจุดยืนความเสมอภาคในความเป็นคน ประการที่สาม ชาวพุทธไทยมักมองการวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบ อย่างที่อ้างกันว่าต้องดูจิตตัวเองเท่านั้น อย่าไปวิจารณ์คนอื่น วิจารณ์สังคม ศาสนาพุทธเป็นเรื่องของการปฏิบัติไม่ใช่เรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์ ความเข้าใจดังกล่าวนี้ถือว่าคลาดเคลื่อนอย่างถึงราก เพราะพุทธศาสนาอุบัติขึ้นภายใต้วัฒนธรรมการวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมอินเดียโบราณที่มีการะปทะทางความคิดความเชื่อของลัทธิปรัชญาและศาสนาต่างๆ มากมาย การเผยแผ่พุทธธรรมตั้งแต่ปฐมเทศนาพระพุทธเจ้าก็วิจารณ์ลัทธิกามสุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยคแล้ว (วิจารณ์แบบไม่มีชิ้นดีเลย) เมื่อสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาทก็วิจารณ์และปฏิเสธความเชื่อเรื่องพระพรหมสร้างโลก สอนอนัตตาก็วิจารณ์ความเชื่อเรื่องอัตตา และยังวิจารณ์ระบบชนชั้น วิจารณ์การนับถือต้นไม้ภูเขาเป็นของศักดิ์สิทธิ์ วิจารณ์พิธีล้างบาปในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ พิธีบูชายัญญ์ เป็นต้น ในเรื่องทางจิตใจพระพุทธเจ้าก็ไม่สอนให้ทำสมาธิให้จิตนิ่งสงบแบบทื่อๆ แต่ให้สงบเพียงเพื่อใช้ “วิปัสสนา” คือ การวิจารณ์กิเลส วิจารณ์เล่ห์กลต่างๆ ของอัตตาตนเองเพื่อเกิดปัญญารู้เท่าทัน และไม่ถูกทำให้เป็นทุกข์ทางจิตใจ หลักกาลามสูตรนั้นชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าต้องการให้เราใช้เสรีภาพทางปัญญาอย่างถึงที่สุด และพระองค์ยังเคยเตือนชาวพุทธว่า หากใครมาติเตียนพระรัตนตรัยก็อย่าโกรธ แต่พึงมีสติชี้แจงไปตามความเป็นจริง ฉะนั้น พุทธแบบดั้งเดิมเกิดขึ้นท่ามกลางวัฒนธรรมการวิพากษ์วิจารณ์ และมีวัฒนธรรมการวิพากษ์วิจารณ์ของตนเองตามหลักกาลามสูตร และหลักการไม่ควรโกรธคนวิพากษ์วิจารณ์อย่างชัดแจ้ง แต่ที่พระสงฆ์และสังคมพุทธบ้านเราปัจจุบันแปลกแยกจากวัฒนธรรมการวิพากษ์วิจารณ์ เพราะพุทธเถรวาทแบบไทยถูกพัฒนามาภายใต้วัฒนธรรมเจ้าขุนมูลนาย “ภิกษุ” ซึ่งแปลว่า “ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร” หรือแปลว่า “ผู้ขอ” ที่มีชีวิตอยู่เนื่องด้วยการอาศัยปัจจัยดำรงชีพจากผู้อื่น ถูกยกสถานะให้เป็นอีกชนชั้นหนึ่ง อยู่ในประเภทเดียวหรือเป็นพวกเดียวกับเจ้า เป็น “พระสงฆ์องค์เจ้า” จึงสำคัญตัวเองว่า ใครๆ จะแตะต้องไม่ได้ ทว่าเมื่อโลกเปลี่ยนไป วัฒนธรรมชนชั้นแบบ “ยศช้างขุนนางพระ” ย่อมจะถูกท้าทายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คำถามจึงอยู่ที่ว่าชาวพุทธและพระสงฆ์ที่ยืนยันว่าศาสนาพุทธเป็น “ศาสนาแห่งเหตุผล” จะเผชิญกับการท้าทายอย่างสร้างสรรค์ได้แค่ไหน อย่างไร
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ผู้อาศัยบ้านเอื้ออาทรรังสิตประท้วงเก็บค่าส่วนกลาง Posted: 12 Aug 2011 03:18 AM PDT ผู้อาศัยบ้านเอื้ออาทรรังสิต จ.ปทุมธานี กว่า 300 คน ประท้วง เก็บค่าส่วนกลางล่วงหน้า จี้บังคับให้ผู้เช่าอยู่อาศัยจะต้องติดตั้งจานดาวเทียมจากบริษัททรูเท่านั้น ห้ามติดตั้งจานดำเด็ดขาด 12 ส.ค. 54 - สำนักข่าวไอเอ็นเอ็นรายงานว่าได้มีชาวบ้านเอื้ออาทร รังสิต ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ได้รวมตัวกันที่หน้าสำนักงานของหมู่บ้านเอื้ออาทรรังสิต คลองหนึ่ง เนื่องจากผู้ที่เช่าอยู่อาศัยมาตั้งแต่เปิดโครงการได้หมดสัญญาลง และทางโครงการได้เรียกเก็บค่าส่วนในการต่อสัญญาเช่าห้องในพื้นที่ขนาด 24 ตร.ม. เรียกเก็บห้องละ 192 บาท และจะต้องจ่ายล่วงหน้า 3 เดือน เป็นเงิน 576 บาท และห้องแบบ 33 ตร.ม.เรียกเก็บห้องละ 250 บาท จ่ายล่วงหน้า 3 เดือน 750 บาท นอกจากนี้ยังต้องจ่ายค่าประกันอัคคีภัยห้องชุดแบบ 24 ตร.ม. 103 บาทต่อ 6 เดือน และห้องชุดแบบ 33 ตร.ม. 140 บาทต่อ 6 เดือน นอกจากนี้ ยังบังคับให้ผู้เช่าอยู่อาศัยจะต้องติดตั้งจานดาวเทียมจากบริษัททรูเท่านั้น ห้ามติดตั้งจานดำเด็ดขาด ซึ่งทางผู้เช่าห้องชุดต่างๆ จะต้องชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้กับสำนักงานเคหะชุมชนรังสิต ภายในวันที่ 10 ส.ค. 54 และหากครบกำหนดแล้วยังไม่ดำเนินการชำระค่าใช้จ่าย ทางสำนักงานจะต้องดำเนินการบอกเลิกสัญญาจะซื้อขายตามเงื่อนไขสัญญาต่อไป ส่วนชาวบ้านที่ได้รวมตัวกันประท้วงในครั้งนี้ ต่างไม่พอใจผู้บริหารของการเคหะฯ ทำให้การเจราจายังไม่เป็นที่ตกลงกัน สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
“เครือข่ายลุ่มน้ำยม” เสนอแนวทาง “ยิ่งลักษณ์” แก้ไขน้ำท่วมโดยไม่ต้องสร้าง “เขื่อนแก่งเสือเต้น” Posted: 12 Aug 2011 03:04 AM PDT 12 ส.ค. 54 - เครือข่ายลุ่มน้ำยมออกจดหมายเปิดผนึกถึง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เสนอแนวทางแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ลุ่มน้ำยม โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
Posted: 11 Aug 2011 11:45 PM PDT |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น