ประชาไท | Prachatai3.info |
- นักวิชาการจัดงาน 100 เอกสาร ขุดราก‘ประวัติศาสตร์ปาตานี’
- สัมภาษณ์ ป้าบัวเขียว ชุมภู : เราไม่เอาเขื่อน จะสู้จนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง
- เขื่อนแก่งเสือเต้น... จะดับเส้นชีวิตลุ่มแม่น้ำยมตอนล่าง
- Pmove เสนอ 19 นโยบาย ร้องยิ่งลักษณ์สร้างกลไก 'ครม.สังคม'
- อนาคตของอียิปต์ โค่นผู้นำแล้วไงต่อ?
- ปลอดประสพ สุรัสวดี
- ประชาชนไม่ใช่สลิ่มทั้งหมด (นะท่าน รมต.)
- ถึงเวลาทบทวนระบบค่าจ้าง - วารสารคนทำงาน เดือนกรกฎาคม 2554
- ศาลให้22ผู้ต้องขังอุดรได้ประกันเรียกหลักทรัพย์หัวละล้าน
นักวิชาการจัดงาน 100 เอกสาร ขุดราก‘ประวัติศาสตร์ปาตานี’ Posted: 16 Aug 2011 11:27 AM PDT นายพุทธพล มงคลวรวรรณ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ลังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เปิดเผยว่า เวลา 10.00–14.30 น. วันที่ 18 สิงหาคม 2554 ภาควิชาประวัติศาสตร์ แผนกวิชามลายูศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ร่วมกับหน่วยวิจัยภูมิภาคศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (มวล.) โดยการสนับสนุนของมูลนิธิเอเชีย จะจัดโครงการศึกษาเอกสารประวัติศาสตร์จังหวัดชายแดนใต้: ร้อยเอกสารสำคัญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ปัตตานี หรือ 100 Important Documents about Patani History Project ที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)รูสะมิแล ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี นายพุทธพล เปิดเผยต่อไปว่า โครงการดังกล่าว เกิดขึ้นจากนักวิชาการที่ศึกษาประวัติศาสตร์ปัตตานี มีความอึดอัดและคับข้องใจเกี่ยวกับเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ของปัตตานี โดยแยกออกเป็น 3 โครงการย่อย ประกอบด้วย โครงการนำเสนอบทความทางวิชาการจากนักวิชาการ เน้นบทความที่เกี่ยวข้องกับสังคมและวัฒนธรรม ตามด้วยโครงการไทม์ไลน์เชิงประชาสัมพันธ์ เป็นการนำเสนอผ่านโปสเตอร์เชื่อมโยงให้เห็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ปัตตานี ประวัติศาสตร์ไทย และประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “โครงการสุดท้ายคือ โครงการร้อยเอกสารสำคัญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ปาตานี เนื่องจากที่ผ่านมาประวัติศาสตร์ปัตตานีเป็นรองประวัติศาสตร์ไทยมาตลอด โครงการฯ นี้ จะส่งผลให้เกิดการรับรู้ และกระตุ้นให้มีการพูดคุยถึงประวัติศาสตร์ปัตตานีมากขึ้น ไม่ได้ต้องการปลุกระดมทางการเมือง หรือต้องการกล่อมเกลาทางอุดมการณ์โดยรัฐ และจุดที่เริ่มต้นที่ดีที่สุดคือ การเรียนรู้จากเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งมีความสำคัญในการนำมาอธิบาย เพื่อทำให้คนยุคปัจจุบันเห็นภาพรัฐปาตานีในอดีต” นายพุทธพล กล่าว นายพุทธพล เปิดเผยด้วยว่า เอกสารส่วนหนึ่งเป็นเอกสารสำคัญ ที่มีอิทธิพลต่อสังคม เศรษฐกิจ การเมืองในยุคดังกล่าว เช่น เอกสารข้อเรียกร้องต่อรัฐไทย 7 ข้อ ของหะยีสุหลง โต๊ะมีนา ที่ทราบกันเฉพาะในหมู่ของผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ภาคใต้ ประวัติศาสตร์มุสลิม หรือประวัติศาสตร์ปัตตานีเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเอกสารภาษาไทยเกี่ยวกับปัตตานี ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารสมัยต่างๆ เอกสารบันทึกของชาวต่างชาติ ทั้งคนจีน ฮอลันดา อังกฤษ ที่แวะเวียนผ่านปัตตานี ตำราทางศาสนาเกี่ยวกับการฟัตวาถึงฟาตอนียะห์ หนังสือพิมพ์ภาษารูมี ในประเทศมาเลเซีย และเอกสารท้องถิ่นภาษายาวี เป็นต้น นายพุทธพล เปิดเผยอีกว่า ในการจัดโครงการฯ ครั้งนี้ จะมีการนำเสนอข้อมูลจากนักวิชาการ และร่างประวัติศาสตร์ปัตตานีที่มีอยู่แล้ว 60 ร่าง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแสดงความคิดเห็น หรือนำเสนอร่างเอกสารเพิ่มเติม หลังจากรับฟังข้อมูลจากชาวบ้าน ประชาชน หรือผู้สนใจทั่วไป จะมีการนำข้อมูลที่ได้มาจัดทำเอกสารเพิ่มเติมอีก 40 ร่าง เพื่อรวบรวมเอกสารให้ได้ 100 ร่าง เพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่า มีเอกสารเกี่ยวกับปัตตานี ที่ยังไม่เคยพบเห็นอีกมาก พร้อมกับเปิดโอกาสให้ทุกเสียงได้สะท้อนผ่านเวที “ก่อนหน้านี้ มีการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม นายอัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง นายอิสมาแอ เบญจสมิทธิ์ หรือนายครองชัย หัตถา แต่ข้อมูลที่ได้รับยังไม่เพียงพอ จึงต้องจัดกิจกรรมเวทีสาธารณะขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อจะได้รวบรวมข้อมูลและร่างเอกสารได้มากขึ้น” นายพุทธพล กล่าว สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||
สัมภาษณ์ ป้าบัวเขียว ชุมภู : เราไม่เอาเขื่อน จะสู้จนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง Posted: 16 Aug 2011 11:23 AM PDT “ใจไม่ดี และจะไม่ยอม ถ้าให้ตาย ก็จะสู้จนตาย เพราะว่าการที่พ่อแม่เราสะสมผืนป่าอาหารมาไว้ให้กับลูกหลานมาถึงขนาดนี้ จนมีผืนป่าสืบมาถึงรุ่นเรา แล้วเราไม่สามารถที่จะรักษาเอาไว้ได้ ก็เป็นเรื่องน่าอาย ฉะนั้น เราจะสู้จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตายไปนั่นแหละ”
หลังจากมีข่าวว่าโครงการอ่างเก็บน้ำแม่น้ำปิงตอนบน หรือเขื่อนกั้นแม่น้ำปิงตอนบน โดยได้มีการศึกษาและระบุว่า จุดก่อสร้างอยู่บริเวณเหนือหมู่บ้านโป่งอาง หมู่ที่ 5 ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้คนทั้งหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นคนเฒ่าคนแก่ หนุ่มสาวและผู้หญิงหลากหลายเชื้อชาติชนเผ่า ทั้งคนพื้นเมือง คนปกาเกอะญอและคนไทยใหญ่ ต่างมาล้อมวงคุยถกกันอย่างเคร่งเครียด โดยในช่วงเช้า ชาวบ้านโป่งอาง นั่งคุยกันในวิหารเก่าในวัดโป่งอาง ครั้นพอตกบ่าย ทุกคนพากันย้ายมาประชุมหารือกันต่อที่ในโบสถ์คริสต์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับฝายชลประทาน แม่น้ำปิงที่ไหลผ่านไปกลางหมู่บ้าน และนี่คือคำให้สัมภาษณ์ของ ‘ป้าบัวเขียว ชุมภู’ แกนนำแม่บ้านโป่งอาง สั้นๆ แต่ว่ามีพลัง เพราะนี่คือคำบอกเล่าที่ออกมาจากใจของชาวบ้านคนหนึ่ง ของหมู่บ้านที่รัฐจะมาสร้างเขื่อน!! หลังจากทราบข่าวว่าจะมีการสร้างเขื่อนในหมู่บ้านโป่งอาง มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง? สร้างเขื่อน น้ำก็ท่วมป่าด้วย ? พอรู้ข่าวว่าเขาจะสร้างเขื่อน ชาวบ้านตื่นตัวกันอย่างไรบ้าง ? มาถึงจุดนี้มีแนวความคิดที่จะช่วยกันอย่างไรต่อไป? ป้าเขียว รู้ได้ยังไงว่าการสร้างเขื่อนนั้นไม่ดีตรงไหน อย่างไร? ป้ารู้สึกอย่างไร หลังจากที่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาสอบถามถึงเรื่องการอพยพไปอยู่ที่อื่น ? เห็นว่าตอนนี้ มีทั้งเยาวชน คนหนุ่มคนสาว คนเฒ่าคนแก่ต่างร่วมมือกันคัดค้านกันเต็มที่ ?
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||
เขื่อนแก่งเสือเต้น... จะดับเส้นชีวิตลุ่มแม่น้ำยมตอนล่าง Posted: 16 Aug 2011 11:14 AM PDT ชื่อเขื่อนแก่งเสือเต้นทำให้รั คุณสมัคร สุนทรเวช แห่งพรรคประฃากรไทย รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงวิ ผมรู้สึกเป็นห่วงในการที่ ผมเป็นห่วงการเสนอข้อมูลของสำนั ผมขอเสนอข้อมูลเกี่ยวกับลุ่มน้ำแม่ยมตอนล่าง เพื่อให้เห็นว่าการมีเขื่อนแก่ ผมพูดอย่างนี้ คนที่ไม่ชอบน้ำท่วมคงเข้าใจว่ นอกจากนี้ ชาวบ้านยังได้อาชีพเสริมอีกอย่ วงเวียนชีวิตของปลาดังกล่าวถ้ อาชีพเสริม คือ การจับปลาของคนในท้องที่ตำบลทั คนสองฝั่งแม่น้ำยมตอนล่าง ไม่กลัวน้ำท่วม ไม่เกลียดน้ำท่วม เพราะได้ประโยชน์ดังกล่าวแล้ว เขาไม่เดือดร้อนเรื่องน้ำท่ คนที่ต้องการสร้างเขื่อนเคยทราบข้อมูล เหล่านี้หรือไม่ ถ้ายังไม่ทราบก็ควรไปศึ แต่ถ้าท่านจะอ้างว่า ผลกระทบดังกล่าวเป็นเพียงส่วนน้ บ้านเมืองเรามั
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||
Pmove เสนอ 19 นโยบาย ร้องยิ่งลักษณ์สร้างกลไก 'ครม.สังคม' Posted: 16 Aug 2011 11:06 AM PDT เกริ่นนำ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) เป็นเวทีกลางของขบวนการของเกษตรกรและคนจนเมืองที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม และผู้ได้รับผลกระทบอันเลวร้ายจากนโยบายการพัฒนาประเทศ ประกอบด้วยกลุ่มคนจน ๔ เครือข่าย ๓ กรณีคือ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.), เครือข่ายสลัม ๔ ภาค, สมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล (สคจ.) , และเครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.) ชมรมประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้พิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าชีวมวลและคัดค้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อุบลราชธานี จำนวน ๕๔๐ กรณีปัญหา ได้รวมตัวกันเพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะปัญหาความยากจน ความไม่เป็นจากนโยบายการพัฒนา และโครงการพัฒนาของรัฐ ปัญหาความยากจนซึ่งกำลังแพร่ขยายอย่างกว้างขวางในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยากจนของภาคเกษตรหรือชนบท สาเหตุสำคัญของปัญหามาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ปัญหาเชิงนโยบายด้านการเกษตรและการพัฒนาของรัฐ ปัญหาการทำให้ยากจนโดยฉับพลันจากการให้สัมปทานที่ดินเพื่อกิจการอื่นของรัฐ ที่ไปทำลายอาชีพเดิมลง และการชดเชยที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งปัญหาจากการสร้างเขื่อนหรือระบบชลประทานที่ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบด้านต่อประชาชน ปัจจุบันเกษตรกรกำลังเผชิญอันตรายอย่างยิ่ง อันเกิดจากนโยบายการเกษตรเพื่อขายและส่งออกของรัฐที่เน้นการค้าเสรี การแข่งขันกันอย่างเสรี โดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรม ระหว่างทุนและปัจจัยการผลิตของเกษตรกรที่ยากจน กับเกษตรกรที่ฐานะดีร่ำรวย บริษัทพืชผลการเกษตรขนาดใหญ่ หรือบรรษัทพืชผลการเกษตรข้ามชาติ โดยไม่มีกฎหมายคุ้มครองและให้ความเป็นธรรมแก่เกษตรกรรายย่อยในการแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ที่เหนือกว่าหลายเท่าตัว แต่กลับเปิดโอกาสให้บรรษัทเหล่านั้นมามาผลิตสินค้าที่เป็นฐานอาหารโดยใช้เทคโนโลยีสมัย เบียดขับ และทำลายเกษตรกรรายย่อย ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศให้กลายเป็นคนยากจนที่ทวีมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ความจนเป็นปัญหาใหญ่ทางโครงสร้างสังคม ซึ่งเกี่ยวโยงกระทบเป็นลูกโซ่ จากจำนวนคนยากจนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หนี้สินรุงรัง ไร้ที่ทำกิน ต้องดิ้นรนอพยพเข้าเมืองเป็นผู้ใช้แรงงาน อยู่ร่วมกันเป็นชุมชนแออัดที่รัฐไม่สนใจดูแล ทำให้เกิดการเพิ่มปริมาณอยู่ทุกขณะในเมืองใหญ่หรือเมืองสำคัญ อันนำไปสู่ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบจากคนเมือง ปัญหาการว่างงาน ปัญหาการบีบคั้นทางเศรษฐกิจและจิตใจ ก่อให้เกิดปัญหาสังคมในลักษณะต่างๆ รวมไปถึงการบุกรุกหรือเป็นเครื่องมือของนายทุนในการบุกรุกป่า ก่อให้เกิดปัญหาระบบนิเวศน์เสื่อมโทรม ฯลฯ ปัญหาทั้งหมดดังกล่าวล้วนสืบเนื่องจากรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยไม่ได้วางแผนการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างจริงจัง ไม่มีนโยบายในการกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากร และการมีวิสัยทัศน์การพัฒนาแบบองค์รวมที่เน้นความหลากหลายและการมีส่วนร่วมของคนจน ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยไม่พยายามศึกษาและเข้าใจฐานะของคนจน เมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งจากการเรียกร้องของคนจน การประท้วงของเกษตรกร หรือการบีบบังคับให้คนจนเสียสละเพื่อสังคม รัฐบาลประชาธิปไตยมักใช้การแก้ไขปัญหาด้วยอำนาจความรุนแรง การข่มขู่คุกคาม การจับกุมคุมขัง หรือใช้กฎหมายอย่างไร้ความเมตตา อันเป็นการสร้างปัญหาใหม่แก่ประชาชน ปัญหาคนจนกลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง การแก้ไขปัญหาจึงต้องคำนึงถึงโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นองค์รวม และจะต้องยกระดับปัญหาไปสู่การวางแผนเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ สรุป พวกเราตระหนักว่า ทรัพยากรธรรมชาติเป็นทรัพยากรพื้นฐานที่สุดในการดำรงชีวิตและการพัฒนา แต่นโยบายและมาตรการเร่งรัดการเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐที่ผ่านมา ซึ่งกระทำในโครงสร้างการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ ที่เปิดโอกาสให้กับอำนาจของกลุ่มทุนใช้รัฐเป็นเครื่องมือในการตักตวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ โดยไม่คำนึงถึงความสมดุลและยั่งยืนของทรัพยากร และมีความไม่เป็นธรรม ส่งผลอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตคนไทยและสิ่งแวดล้อม จนเกิดปัญหาตามมามากมาย ผู้คนจำนวนมากถูกกีดกันออกไปจากการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็น ทำให้ชีวิตตกต่ำลงในทุกด้านและยากที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองให้สูงขึ้นได้ ดังนั้นจึงสร้างความเหลื่อมล้ำให้เกิดแก่ผู้คนอย่างมาก เพราะเข้าไม่ถึงทรัพยากรธรรมชาติ จึงยิ่งยากจนลง และไร้โอกาสในด้านอื่นๆ ความยากจนจึงไม่ใช่เป็นเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรือเกิดจากอุปนิสัยความขี้เกียจของผู้คน ความยากจนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างพัฒนา ที่มีพื้นฐานมาจากการไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรได้อย่างเท่าเทียม จนทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่อการใช้และการเข้าถึงทรัพยากร ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการทรัพยากรเสียใหม่ เพื่อสร้างความเป็นธรรม คือเปิดโอกาสให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงทรัพยากรด้านต่างๆ ได้อย่างทั่วหน้า อันจะเป็นประตูนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำ ขณะเดียวกันก็มีความจำเป็นที่จะต้องสะสางปัญหาที่เกิดการจากความขัดแย้งในการเข้าถึงทรัพยากร เช่น คดีบุกรุก คดีการชุมนุมเรียกร้อง และคดีโลกร้อน นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นที่จะต้องร่วมกันผลักดันให้เกิดการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจอย่างแท้จริง ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) คือเวทีกลางของผู้ประสบชะตากรรมอันเนื่องมาจากแนวทางการพัฒนาประเทศที่มุ่งสู่ความเป็นอุตสาหกรรม ละเลยภาคเกษตรกรรม แนวทางดังกล่าวได้ล้างผลาญทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ชุมชนไม่สามารถดำรงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมได้ ทรัพยากรตกอยู่ในมือของคนส่วนน้อย ที่ดินอันเป็นปัจจัยหลักของเกษตรกรถูกแย่งชิง นโยบายการประกาศใช้พื้นที่ป่าทับที่ทำกินของชาวบ้าน การสร้างเขื่อนต่างๆ ได้ทำลายทรัพยากรและชุมชน คนหนุ่มสาวถูกสภาพเศรษฐกิจบีบรัดให้ต้องเข้ามาขายแรงงานในเมือง เกิดแหล่งชุมชนแออัด และเกิดคนเร่ร่อนไร้บ้านที่นอกจากจะมีปัญหาด้านเศรษฐกิจแล้ว ยังมีปัญหาความขัดแย้ง แตกแยกของครอบครัว ซึ่งเป็นปัญหาสังคมซ้อนทับลงไปด้วย ซึ่งก็ถูกละเลยจากรัฐเช่นเดิม ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเดินหน้าต่อไปอย่างเป็นรูปธรรม ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) อันเป็นประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน ผู้เดือดร้อนจากการสร้างเขื่อนปากมูล และเครือข่ายประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายและโครงการพัฒนาของรัฐ จึงได้จัดทำข้อเสนอนี้ขึ้น เพื่อเป็นให้พรรคเพื่อไทยนำไปเป็นนโยบายของรัฐบาล สำหรับใช้แก้ไขปัญหาของภาคประชาชน ต่อไป ด้วยจิตคารวะ
ข้อเสนอสำหรับจัดทำเป็นนโยบายของรัฐบาล ในช่วงของการยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้ง พวกเราซึ่งประกอบไปด้วยเครือข่ายองค์ประชาชนทั้งคนจนจากชนบท คนจนเมือง กลุ่มผู้ใช้แรงงาน จากทั่วประเทศ ได้จัดเวทีสัญญาประชาคมพบพรรคการเมืองขึ้น เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๔ ณ มหาวิทยาลัยรังสิต ในงานดังกล่าวได้มีพรรคการเมืองหลายพรรค ส่งตัวแทนเข้าร่วมเวทีด้วย ซึ่งรวมทั้งพรรคเพื่อไทย โดยหัวหน้าพรรคได้มอบหมายให้นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนไปรับข้อเสนอของประชาชน รวมทั้งได้ลงนามเป็นสัญญาประชาคม ท่ามกลางสักขีพยานคือประชาชนกว่า ๒,๐๐๐ คน และสื่อมวลชนหลายสำนัก ต่อมาหลังการเลือกตั้งขบวนประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) และองค์กรสมาชิกทั่วประเทศได้ส่งไปรษณียบัตรถึงท่าน พร้อมทั้งยื่นหนังสือผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดและสำนักงานสาขาพรรคเพื่อไทยประจำจังหวัด เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ในการผลักดันการแก้ไขปัญหาเพื่อนำไปบรรจุไว้เป็นนโยบายของรัฐบาล โดยมีข้อเสนอเพื่อนำไปบรรจุเป็นนโยบายของรัฐบาล ดังนี้ ๑. รัฐต้องผลักดันให้เกิดการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ ตามเจตนารมณ์ของสังคม เพื่อนำไปสู่การกระจายอำนาจที่แท้จริง โดยเฉพาะการกระจายอำนาจบริหารจัดการไปสู่ชุมชนท้องถิ่น โดยสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วม และกลไกร่วมในการบริหารจัดการร่วมกันระหว่างชุมชน ประชาสังคม กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานภาครัฐในระดับพื้นที่ กระจายอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปสู่ประชาชน ชุมชน และภาคประชาสังคม ๒. รัฐต้องผลักดันให้เกิดการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อสร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ด้วยการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม และปฏิรูปความยุติธรรม เพื่อลดสภาพที่คนทั่วไปเรียกว่า"สองมาตรฐาน" ลดปรากฏการณ์ที่สะท้อนความผิดปรกติของกระบวนการยุติธรรม ๓. รัฐต้องยกเลิก ทบทวนการดำเนินการทางกฎหมาย และคดีการเมือง คดีการชุมนุม รวมทั้งคดีโลกร้อน ที่เกี่ยวข้องกับกรณีข้อพิพาทความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชน เอกชน (กลุ่มทุน) อันเกิดจากนโยบายที่คนจนได้รับการเลือกปฏิบัติจากกลไกรัฐ ราชการที่ไม่เป็นธรรม อีกทั้งรัฐจะต้องดูแลค่าจ่ายใช้ทั้งหมดอันเกิดจากคดีที่รัฐฟ้องร้องประชาชน ๔. รัฐต้องเร่งรัดผลักดันนโยบายการปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ เพื่อให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรมและยั่งยืน กำหนดมาตรฐานในการจัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า จัดเก็บภาษีทรัพย์สินมรดก สร้างหลักประกันในการคุ้มครองเกษตรกรและส่งเสริมที่ดินเพื่อการทำการเกษตรกรรม และเร่งออกนโยบายจำกัดสิทธิในการถือครองที่ดิน เร่งปฏิรูปที่ดินเพื่อให้ประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรยากจนมีที่ดินทำกินไม่เพียงพอ ๕. จัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินเพื่อการเกษตร เสนอให้รัฐจัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินเพื่อการเกษตรเพื่อนำเงินทุนไปซื้อที่ดินที่ถือครองเกินขนาดจำกัด รวมทั้งจัดซื้อที่ดินที่เป็นทรัพย์ประกันหนี้เสียของธนาคารและสถาบันการเงินมาบริหารให้กระจายไปยังเกษตรกรที่ไร้ที่ดินและที่มีที่ดินไม่พอทำกิน ๖. ออกพระราชบัญญัติโฉนดชุมชน แทนระเรียบสำนักนายรัฐมนตรี รองรับพื้นที่ขอจัดทำโฉนดชุมชน เพื่อเป็นหลักประกันในความมั่นคงในที่อยู่อาศัยและการถือครองที่ดินให้เกษตรกร รวมทั้งเป็นการแก้ไข้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างหน่วยรัฐที่ดูแลพื้นที่กับผู้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ทำการเกษตร ให้เกิดผลประโยชน์อย่างสูงสุด ๗. สานต่อนโยบายการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยตามโครงการบ้านมั่นคง โดยอนุมัติงบประมาณในการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งงบอุดหนุนเรื่องที่ดิน การสร้างบ้าน และงบพัฒนาสาธารณูปโภค ๘. โครงการที่อยู่อาศัยคนจน ให้การไฟฟ้า และการประปา มีหน้าที่จัดหาสาธารณูปโภคให้ โดยไม่คิดงบประมาณลงทุนเพิ่ม และในระหว่างการดำเนินการก่อสร้างตามโครงการให้คิดค่าบริการน้ำ ไฟ ในอัตราปกติ ๙. อุดหนุนงบประมาณรายปี เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ถูกไฟไหม้ ไล่รื้อ ภัยพิบัติ สภาพชุมชนเสื่อมโทรม เพื่อใช้สำหรับปลูกบ้านพักชั่วคราว น้ำ/ไฟ การโยกย้าย การปรับปรุง เป็นต้น ๑๐. โครงการพัฒนาที่กระทบเรื่องที่อยู่อาศัย ต้องคำนวณงบประมาณการแก้ปัญหาด้านที่อยู่อาศัยเป็นต้นทุนของโครงการด้วย และต้องให้ผู้ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และกำหนด แนวทางการแก้ปัญหา ๑๑. ให้มีนโยบายนำที่ดินรัฐมาจัดสรรเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับคนจน เช่น ที่ดินการรถไฟ ที่ดินราชพัสดุ ที่ดินสาธารณะ หรือที่กรมศาสนา เป็นต้น โดยให้เช่าในอัตราต่ำ ใช้ระบบกรรมสิทธิ์ และการบริหารจัดการร่วมกันโดยชุมชน หรือดำเนินการในรูปแบบโฉนดชุมชน ทั้งนี้แล้วแต่สภาพความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่และความต้องการของแต่ละชุมชน ๑๒. ให้มีนโยบาย และกลไกในการแก้ปัญหาคนเร่ร่อนไร้บ้านอย่างชัดเจน ในเรื่องที่อยู่อาศัย และการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนเป็นสำคัญ ๑๓. รัฐต้องประเมินความคุ้มค่าของเขื่อนทั่วประเทศ โดยศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม หากไม่คุ้มค่า เกิดความเสียหาย ให้ยกเลิกการดำเนินโครงการนั้นๆ ทันที กำหนดแผนงานและมาตรการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ของผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการสร้างพัฒนาของรัฐ เขื่อนทุกประเภท โดยยึดหลักการว่าผู้รับผลกระทบต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าเดิม และต้องตั้งกองทุนประกันความเสียหาย เพื่อนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการพัฒนาของรัฐสร้างเขื่อนทุกด้าน โดยชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ จะต้องมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ทั้งนี้ให้ใช้การแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล เป็นพื้นที่นำร่อง โดยนำแนวทางการดำเนินการ ตามข้อสรุปของคณะอนุกรรมการศึกษาข้อมูลงานวิจัยและข้อเท็จที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล ประกอบกับบันทึกการเจรจาระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เป็นกรอบในการปฏิบัติ ๑๔. ให้ทบทวน ยกเลิก ยุติ การดำเนินการเหมืองแร่ทุกประเภท ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชุมชน โดยเฉพาะเหมืองแร่ที่กำลังมีความขัดแย้งกับชุมชนต้องยุติทันทีและให้การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และหยุดการขยายสัมปทานเพื่อให้เกิดการศึกษาผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชน ทั้งจัดทำยุทธศาสตร์แร่ทั้งระบบ ๑๕. ให้ยกเลิกการสร้างพลังงานนิวเคลียร์ในประเทศอย่างถาวร ให้ทบทวนแผนพีดีพี ๒๐๑๐ และรัฐบาลต้องสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ในสังคมในการพิจารณาจัดทำแผนฯ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยให้ประชาชนเข้าร่วมเวทีตั้งแต่เริ่มแรกและให้มีการจัดเวทีในทุกภูมิภาค สนับสนุน ให้พลังงานหมุนเวียนให้เป็นพลังงานหลัก รวมทั้งการปรับปรุงระบบสายส่งในการรองรับพลังงานหมุนเวียน โดยมีการบริหารจัดการที่หลากหลาย และเคารพสิทธิของชุมชนอย่างเป็นธรรม และการใช้พลังงานที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ๑๖. ให้มีมาตรการคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรมและสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย ตามพันธกรณีที่ได้กระทำไว้กับนานาประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ ๑๖๙ ประเทศ “ว่าด้วยปวงชนพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศราช” โดยการออกกฎหมายและมาตรการมารับรองสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยอย่างชัดเจน และรัฐบาลไทยประกาศรับรองให้วันที่ ๙ สิงหาคม ของทุกปีเป็น “วันชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย” และผลักดันมติครม.เขตพื้นที่สังคมและวัฒนธรรมพิเศษชาวเล/ชาวเขา ให้เป็นรูปธรรม ๑๗. เร่งรัดการแก้ไขปัญหาสถานะกลุ่มคนที่เข้าเกณฑ์ ตาม พ.ร.บ. สัญชาติ(ฉบับที่ ๔) ๒๕๕๑ ให้เป็นไปตามปฏิญญาสากล พร้อมผลักดันร่าง พ.ร.บ.คืนสัญชาติคนไทย (ฉบับที่๕) พ.ศ. .....ให้มีผลใช้บังคับโดยเร็ว ๑๘. ให้ยกเลิกร่าง พ.ร.บ.การชุมนุม โดยทันที ๑๙. ปรับปรุง แก้ไข และยกเลิก ระเบียบ กฎหมาย นโยบาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นอุปสรรคในการรองรับสิทธิ์ให้แก่ชุมชนท้องถิ่นในการจัดการที่ดิน และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้สอดคล้องตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ มติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑ รวมทั้งกฎหมายป่าไม้ทั้ง ๔ ฉบับ
ข้อเสนอสำหรับสร้างเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาทั้งหมดนี้ ก็ควรดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง อันเป็นการสานต่อข้อตกลงหรือแนวทางที่เคยมีไว้แล้ว ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าว เป็นไปตามเจตจำนง และลุล่วงไปได้ด้วยดี ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) มีข้อเสนอเพื่อสร้างกลไกการแก้ไขปัญหา ต่อฯพณฯนายกรัฐมนตรี ดังนี้ ๑. สร้างกลไกร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ในรูปแบบของ ครม.สังคม เพื่อเป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหา โดยมี ฯพณฯนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ๒. คณะกรรมการฯ อนุกรรมการฯ หรือคณะทำงาน ซึ่งเป็นกลไกการแก้ไขปัญหาซึ่งมีอยู่แล้ว ให้ใช้กลไกนั้นดำเนินการต่อ ๓. กรณีกลุ่มปัญหาใดที่ยังไม่มีกลไกการแก้ไขปัญหา ให้รัฐบาลเร่งดำเนินการจัดตั้งกลไกขึ้นโดยเร็ว
**************************
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper This posting includes an audio/video/photo media file: Download Now | ||||
อนาคตของอียิปต์ โค่นผู้นำแล้วไงต่อ? Posted: 16 Aug 2011 10:51 AM PDT ในคืนอันแสนอบอ้าวก่อนวันรอมฎอน กลุ่มภราดรภาพมุสลิม (Muslim Brotherhood) ก็ออกเดินขบวนรณรงค์ทางการเมื เกษตรกร หรือที่เรียกว่า 'เฟลาฮีน' ตามภาษาชาวมุสลิมที่ การเดินขบวนใน ชิบิน เอลคอม เป็นการรณรงค์เปิดตัว 'พรรคเสรีภาพและความยุติธรรม' ปีกใหม่ของกลุ่มภราดรภาพมุสลิ ภาพการประท้วงคงดูไม่ต่างกันเท่ หกเดือนหลังจากที่มูบารัคยอมแพ้ สรุปปัญหาคือ นักปฏิวัติผู้มี ภาพการชุมนุมที่จัตุรัสทาห์เรี กลุ่มผู้ชุมนุมที่ต่อสู้กั ผู้ชุมนุมที่เคยทะลักท่วมจัตุรั ท่าทีของทหารอียิปต์ที่ไม่ "พวกเรากลัวว่าจะสูญเสี จัตุรัสทาห์เรียในช่วงเดื แล้ว "การปฏิวัติอียิปต์" ในตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว อียิปต์ในทุกวันนี้กลายเป็ การเปลี่ยนขั้วอำนาจเป็นลางร้ เมื่อวันที่ 23 ก.ค. มีการชุมนุมประท้วงโดยมีเป้ การปะทะในครั้งดังกล่าวทำให้ แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่ อับบาส เป็นตัวแทนของผู้ที่ท้ นี่เป็นสิ่งเดียวกับที่เอลคารี ก่อนหน้าที่จะมีการเดิ เป็นธรรมดาที่จะมีการเปรียบเที บนเวทีปราศรัย คาเมล พยายามกระตุ้นเร้ามวลชนจำนวนไม่ "นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี" เขาพูดออกมาในตอนเที่ยงคืนขณะกำลังขึ้นรถกลับไปยังไคโร "ตอนนี้ผมก็กลับไปที่จัตุรั สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||
Posted: 16 Aug 2011 10:36 AM PDT ชีวิตคนมีค่ามากกว่า 10 ล้านบาทแน่นอน คนที่ตายไปเขาฆ่าตัวตายหรือเปล่า หรือไปฆ่าเขาตาย และเลิกตอบได้แล้วในยุคนี้ว่าคนที่ตายเอาหัวไปชนกระสุน ฉะนั้นคนที่ตายมีแต่ถูกทำให้ตาย จึงต้องชดใช้ ที่สำคัญคนที่ตายต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อไม่ให้เกิดปฏิวัติรัฐประหารขึ้นในประเทศ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย | ||||
ประชาชนไม่ใช่สลิ่มทั้งหมด (นะท่าน รมต.) Posted: 16 Aug 2011 10:32 AM PDT บทความถึง น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมต. ไอซีทีคนใหม่ หลัง ประกาศจะบังคับใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันและ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ให้เข้มงวดมากขึ้น “น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมต. ไอซีทีคนใหม่ ประกาศจะบังคับใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันและ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ให้เข้มงวดมากขึ้น, ส่งสัญญาณไฟเขียว 3G” จากข่าวพาดหัวตามเว็บไซด์ข่าวต่างๆ ได้นำความสงสัยไปสู่ประชาชนกลุ่มหนึ่ง และนำไปสู่การตั้งกระทู้ถามสดที่หน้าเพจของท่านรมต.ไอซีที ก่อนที่การทำงานของฝ่ายค้านจะเริ่มต้นขึ้นเสียด้วยซ้ำ ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร Anudith Nakornthap (คุณอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมต.ไอซีที - เพิ่มเติมโดยผู้เขียน) Karnt Thassanaphak Anudith Nakornthap (คุณ อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมต.ไอซีที - เพิ่มเติมโดยผู้เขียน) Karnt Thassanaphak Andy Toey Nanthapob 0 0 0 ข้างบนนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากการถาม-ตอบกระทู้สดในหน้าเพจของ รมต.ไอซีทีคนใหม่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของมวลชนไปอีกระดับหนึ่ง ไม่มีอีกแล้วประชาชนที่คอยเออออตามไปกับนโยบายหรือแนวคิดของฝ่ายบริหาร ไม่มีอีกแล้วประชาชนที่ก้มหน้าก้มตารับสิ่งที่พวกท่านมอบให้โดยไม่ปริปาก ไม่มีอีกแล้วประชาชนที่มองท่านทั้งหลายเป็นเจ้าคนนายคน ในเวลานี้มีเพียงแต่มวลชนที่ตระหนักถึงอำนาจในมือของพวกเขา ตระหนักได้ว่าพวกเขาต่างหากคือเจ้านายที่แท้จริง พวกเขาคือคนที่ท่านต้องใส่ใจรับฟัง และพวกเขาพร้อมที่จะลุกขึ้นมาตรวจสอบการทำงานใดๆของท่านตลอดเวลา เมื่อแนวทางการบริหารงานของท่านเป็นสิ่งที่มวลชนติดใจสงสัย พวกเขาจะไม่รีรอที่จะตั้งคำถาม ไม่รีรอที่จะท้วงติง ไม่ใช่เพราะพวกเขาต้องการขัดขวางการทำงานของท่าน แต่พวกเขาเพียงต้องการทราบถึงแนวทางที่ชัดเจนว่าคนหรือกลุ่มคนที่เขาได้มอบอำนาจให้ไปนั้น จะจัดการอย่างไรกับอำนาจที่ได้รับมอบหมาย หน้าที่ของพวกท่านคือการบริหารงาน และจัดสรรผลประโยชน์ของ “ทุกกลุ่ม” ในสังคมให้ลงตัว ท่านจะต้องมีเหตุผลและหลักการที่หนักแน่นพอจะชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบว่าเหตุใดท่านจึงกระทำ หรือไม่กระทำในเรื่องต่างๆที่ประชาชนเรียกร้อง ให้ประชาชนได้หายสงสัย พวกเขาต้องการให้คนที่พวกเขาส่งมอบอำนาจให้ นำอำนาจที่มีอยู่ในมือไปใช้ในทางที่พวกเขาต้องการ และพวกท่านต้องทำให้ได้ จะเรียกว่าความคาดหวังก็คงจะได้ หาไม่แล้วคงไม่มีคำว่า “สมัยหน้า” สำหรับพวกท่านแน่ๆ นี่แหละคือกระบวนการทำงานของ ระบอบประชาธิปไตยแบบผู้แทนในยุคปัจจุบัน หมดสมัยเสียแล้วกับคำว่า “ผมยังไม่ได้รับรายงาน” เมื่อประชาชนถาม ท่านต้องหาคำตอบออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน เตรียมทีมงานของท่านให้ดี เตรียมตัวเตรียมใจของท่านให้ดี มิเช่นนั้น ท่านจะถูกประชาชนที่เลือกท่านมาเองกับมือ ไล่ต้อนจนมุมแน่ๆ ช่วงกว่าสองปีที่ผ่านมาอดีตรมต. ชุดก่อนโชคดี(?) เหลือแสนที่มีกลุ่มผู้สนับสนุนเป็นประชากรชาวสลิ่ม ที่คอยอวย คอยสนับสนุน คอยโดดออกมาปกป้องไม่ว่าจะกระทำเรื่องใด ไม่ว่าถูก ไม่ว่าผิด ชาวสลิ่มจะสนุบสนุนท่านอย่างสุดจิตสุดใจ แล้วดูสิว่าผลงานที่พวกเขาทิ้งไว้นั้นมีอะไรบ้าง? ในทางกลับกัน พวกท่าน รมต.ทั้งหลายอาจจะคิดว่า เหตุใดท่านไม่โชคดีเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอให้ท่านระลึกไว้ว่า แม้คำตำหนิติเตียน ในการทำงานของพวกท่านที่ออกมาจากประชาชนมันจะไม่หวานชื่น รื่นหู แต่มันจะทำให้พวกท่านสามารถบรรลุถึงสิ่งที่ตั้งใจไว้เมื่อสมัยก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งได้ดีกว่า แม้ในวันนี้และต่อๆไป เส้นทางเดินของ รมต. ทั้งหลายจะไม่ได้โปรยปรายด้วยคำชม คำสรรเสริญเช่นเดียวกับเมื่อสมัยที่ผ่านมา แต่ผลงานที่พวกท่านทั้งหลายทำออกมานั่นแหละจะเป็นตัวชี้วัดได้อย่างดีทีเดียวว่าพวกท่านสอบผ่านหรือสอบตกในการนั่งตำแหน่งทั้งหลาย มิใช่เสียงสรรเสริญเมื่อครั้งพวกท่านยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ “ข้อเตือนใจ รมต ทั้งหลายคือ ให้นึกถึงวันที่ต้องเก็บของกลับบ้าน ว่าอยากให้ประชาชนจดจำผลงานอะไร บ้าง” นพดล ปัทมะ อดีต รมต.ต่างประเทศ ได้โพสไว้ในเฟสบุ๊ค สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||
ถึงเวลาทบทวนระบบค่าจ้าง - วารสารคนทำงาน เดือนกรกฎาคม 2554 Posted: 16 Aug 2011 07:11 AM PDT | ||||
ศาลให้22ผู้ต้องขังอุดรได้ประกันเรียกหลักทรัพย์หัวละล้าน Posted: 16 Aug 2011 12:18 AM PDT
16 สิงหาคม 2554 เวลา14.00น. นายชัชวาลย์ ลือคำหาญ ทนายความที่ได้รับมอบหมายเข้าทำการยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว 22 ผู้ต้องขังในคดีเผาศาลากลาง จ.อุดรธานี จากเหตุการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมาได้แจ้งต่อประชาไทว่า ศาลจังหวัดอุดรได้พิจารณาเหตุผลในการขอประกันตัวแล้ว ได้มีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องขังทั้ง22รายโดยได้กำหนดหลักทรัพย์ที่ใช้ในการประกันตัวรายละ 1ล้านบาท นายชัชวาลย์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันได้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพื้นที่ได้แสดงตนในการประกันผู้ต้องหาแล้วทั้งสิ้น11คน โดยทางผู้ต้องขังยังขาดหลักทรัพย์อีก 11 ล้านบาท จึงจะสามารถประกันผู้ต้องขังทั้งหมดออกมาได้ อนึ่งผู้ต้องขังจากกรณีดังกล่าวในเรือนจำอุดรมีจำนวนทั้งสิ้น 22 คน แยกเป็น ชาย18คน และหญิง 4 คน ทั้งหมดถูกจับกุมหลังเหตุการณ์เผาศาลากลาง และเทศบาล จ.อุดร โดยทั้งหมดพึ่งรับสิทธิประกันตัวหลังถูกกักขังเป็นเวลากว่าปี
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น