ประชาไท | Prachatai3.info |
- กวีประชาไท: ป่านี้ชี้ชัดรัฐครอง
- จำคุก 2 ปี เหยื่อซ้อมทรมานกรณีปล้นปืน ในคดีตำรวจฟ้องกลับแจ้งความเท็จ
- Ted Vallance : จลาจลข้ามยุคสมัยในอังกฤษ
- ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "112"
- แถลงการณ์เสรีเกษตรศาสตร์เรียกร้องมหาลัยปกป้องเสรีภาพในการความคิดเห็นของนิสิต
- กองทัพพม่าส่งเครื่องบินรบข่มขวัญ "SSA เหนือ" อีกรอบ
- เผยพลเรือนในรัฐฉานอยู่ในภาวะวิกฤตรุนแรง-หลังทหารพม่าเปิดฉากโจมตีต่อเนื่องนับตั้งแต่มีนาคม
- TCIJ: ประมวลการเดินทาง “ชาวบ้านคอนสาร” นำข้อเสนอจากอีสานถึงรัฐสภา
- ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก แนวร่วมเสื้อแดง 1 ปี 6 เดือน ปรับ 12,000
- เตรียมยื่นหนังสือทูตญี่ปุ่น กรณี บ.อาซาฮี โกเซ ฟ้องบลอกเกอร์เรียกค่าเสียหาย 3.2 ล้านดอลลาร์
- ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
- อย่างไรจึงเรียกว่าความเป็นธรรมและเท่าเทียม
- ศาลพระโขนงเลื่อน พิพากษาคดี “ผู้หญิงยิง ฮ.” เป็น 25 ส.ค.
- ใบตองแห้ง...ออนไลน์: ว่าด้วย ครม.ยิ่งลักษณ์: 5.5 เต็มสิบ เสียของ!
กวีประชาไท: ป่านี้ชี้ชัดรัฐครอง Posted: 10 Aug 2011 01:49 PM PDT ป่านี้ชี้ชัดรัฐครอง หักล้างถางพงไพรป่า ชั่วนาตาปีนานแสน ทำนาทำกินดินแดน ถิ่นแคว้นแดนนี้เราจอง ปู่ย่าตายายฟูมฟัก ลงหลักปักฐานเจ้าของ อิ่มบ้างอดบ้างครรลอง พี่น้องพ้องกันนานมา วันหนึ่งซึ่งหลวงทวงถาม อ้างนามตามกฎสรรหา มิสนคนอยู่คู่นา ตีตรามาให้หลวงครอง กฎบัตรกฎหมายว่าไว้ ป่าไม้ไพรพงทั้งผอง มอบไว้ให้รัฐจับจอง ปกป้องครองไว้ในนาม ใครอยู่คู่ดินถิ่นฐาน แสนนานปานใดไม่ถาม ออกไปไกลแคว้นเขตคาม ยอมตามยอมด้นโดยดี อย่าขัดขืนกล้าท้าทาย อย่าหมายมุ่งรักศักดิ์ศรี กลไกเกื้อรัฐยังมี ป่านี้ชี้ชัดรัฐครอง สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
จำคุก 2 ปี เหยื่อซ้อมทรมานกรณีปล้นปืน ในคดีตำรวจฟ้องกลับแจ้งความเท็จ Posted: 10 Aug 2011 01:45 PM PDT 10 สิงหาคม 2554 ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาคดี นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เห็นว่า การร้องเรียนให้มี สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
Ted Vallance : จลาจลข้ามยุคสมัยในอังกฤษ Posted: 10 Aug 2011 01:26 PM PDT 9 ส.ค. 2011 - ดร.เท็ด วาลานซ์ ผู้บรรยายจากสาขาวิชาประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยโรแฮมตัน และผู้เขียนหนังสือเรื่อง "A Radical History of Britain" ได้แสดงความเห็นผ่านบทความ "ลอนดอนเนอร์ จลาจลข้ามยุคสมัย" ซึ่งเห็นว่า แม้ว่าอังกฤษจะมีเรื่องการลุกฮือของประชาชนอยู่ในประวัติศาสตร์เป็นเวลายาวนาน แต่การจลาจลที่เกิดขึ้นในอังกฤษช่วงที่ผ่านมายังขาดสำนึกทางการเมืองและทางจริยธรรมที่ชัดเจน โดยเนื้อหาของบทความมีดังนี้ 0 0 0 ย้อนไปในช่วงฤดูร้อนของปี 2010 รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอังกฤษ จอร์จ ออสบอร์น ประกาศตัดค่าใช้จ่ายการบริหารของภาครัฐ ผู้สื่อข่าวจำนวนมากสงสัยว่าเหตุใดอังกฤษถึงต่างจากประเทศอื่นในภูมิภาคยุโรปที่เฉื่อยชาต่อมาตรการตัดงบประมาณเช่นนี้ หรือนี้จะเป็นตัวอย่างของชาวอังกฤษผู้ "หน้าตาย" ผู้ไม่นิยมออกอาการ และไม่นิยมอารยะขัดขืน? คำถามเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องตลกไปเลยในตอนนี้ ขณะที่การประท้วงอย่างสงบโดยสมาพันธ์สหภาพแรงงานในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมากลายเป็นเหตุรุนแรงเมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมปะทะกับตำรวจที่จัตุรัสทราฟัลการ์ การฉกชิงและทำลายข้าวของเกิดขึ้นทั่วลอนดอน รวมถึงเมืองอื่นๆ ในอังกฤษ เป็นการประกาศให้เห็นถึงความไม่พอใจของประชาชนได้อย่างน่าสะพรึง แต่ในครั้งนี้ต่างจากการประท้วงโดยมวลชนกลุ่มใหญ่หรือการจลาจลในหมู่นักเรียนนักศึกษาซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ การก่อความวุ่นวายในช่วงสองสามวันที่ผ่านมามีแบบอย่างให้เห็นน้อยมากในอังกฤษ และในความจริงแล้ว เหตุจลาจลในครั้งนี้ก็ขาดบริบท (ทางสังคม, ประวัติศาสตร์ หรืออื่นๆ) ทำให้พวกเขายิ่งดูน่ากลัว กบฏไร้ข้อเรียกร้อง? การลุกฮือก่อจลาจลโดยประชาชนนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกในอังกฤษ หลายพื้นที่ในอังกฤษมีการปล้นชิงทำลายข้าวของเช่น ในท็อกเท็ธของลิเวอร์พูล และบริซตันของเซาธ์ ลอนดอน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์การก่อจลาจล เรื่องความตายของมาร์ค ดักแกน ที่เป็นชนวนให้เกิดการจลาจลในทอตเทนแฮมนั้น ดูเป็นไปในทางเดียวกับเหตุการณ์เมื่อปี 1985 ที่ความตายของซินเธีย จาร์เร็ท เป็นชนวนให้เกิดการจลาจลบอร์ดวอเตอร์ฟาร์มในเขตปกครองตนเองฮาร์ลิงจี แต่ในกรณีของการจลาจลบอร์ดวอเตอร์ฟาร์มและเหตุที่เกิดขึ้นในบริซตันและทอซเทธเมื่อปี 1981 การจลาจลทั้งสองเหตุการณ์นี้เน้นย้ำให้เห็นถึงการใช้กำลังของตำรวจและการเหยียดสีผิวอย่างชัดเจน ข้อกล่าวหาในเรื่องนี้ส่วนหนึ่งมีข้อมูลสนับสนุนจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่เช่น รายงานของสการ์แมนในปี 1981 ขณะที่รายงานของแม็กเฟอสันในปี 1999 ซึ่งเป็นการรายงานต่อสำนักงานตำรวจของอังกฤษในคดีฆาตกรรมสตีเฟน ลอว์เรนซ์ มีการตั้งข้อหาอย่างชัดเจนว่าเป็นการ "เหยียดเชื้อชาติโดยสถาบันของรัฐ" นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทางด้านการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่อังกฤษ จากการถกเถียงหารือกันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจกับชุมชนในช่วงการจลาจลที่ทอตเทนแฮม แฮกนีย์ และบริกซ์ตัน ส่วนใหญ่เห็นว่ามีพัฒนาการมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่ว่าชาวอังกฤษบางคนจะมีมุมมองด้านลบต่อสำนักตำรวจขนาดไหนก็ตาม สิ่งที่โดดเด่นในเหตุการณ์คราวนี้คือความคิดเห็นของนักวิจารณ์ที่มองว่าความตายของ มาร์ก ดันแกน ถูกนำมาอ้างมากกว่าเป็นการแก้ตัวให้กับกลุ่มที่ออกมาทำลายข้าวของในช่วงสุดสัปดาห์นี้ แน่นอนว่าการทำลายข้าวของเป็นส่วนหนึ่งของการประท้วงอย่างรุนแรงของอังกฤษตั้งแต่ในอดีตมาแล้ว การประท้วงเพื่อสิทธิในการลงคะแนนของสตรี (Suffragettes) ก็รู้จักกันในแง่ที่มีการทำลายชุดแต่งกายของเหล่าสุภาพบุรุษเพื่อแสดงถึงสัญลักษณ์ของการกดขี่แบบปิตาธิปไตย ในช่วงที่ผ่านมาเปล่าผู้ประท้วงต่อต้านทุนนิยมก็พุ่งเป้าหมายไปที่แบรนด์ดังๆ ของโลกอย่างแม็กโดนัล์และสตาร์บักส์ แต่การก่อเหตุวุ่นวายของเหล่าวัยรุ่นในช่วงเดือนสิงหาคมนี้มีทั้งการทำลายข้าวของทั้งร้านแฟรนไชล์และร้านที่เป็นธุรกิจอิสระโดยไม่แยกแยะ สิ่งที่พอจะจำแนกได้คือมูลค่าของสินค้าที่อยู่ในร้าน ซึ่งมักเป็นสินค้ายอดนิยมของวัยรุ่นในเมือง ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าผ้าใบใหม่แกะกล่อง สมาร์ทโฟน เสื้อผ้า ซึ่งทุกอย่างนี้ถูกปล้นออกมาหมด ถ้าหากพวกเขาจะมีอุดมการณ์ ก็คงเป็นแนวคิดในแบบเด็กอนุบาลที่เรียกได้ว่า "ฉันเป็นคนเจอ ฉะนั้นฉันถึงเป็นเจ้าของ" (Finders Keepers) ถ้าหากนี่เป็นแค่การฉกชิงวิ่งราวทั่วไป ทั่วทั้งประเทศคงไม่รู้สึกระคนตื่นตระหนกกันเช่นนี้ แต่พวกกลุ่มนักฉกชิงก็ออกพล่านไปทั่วอังกฤษ มีนักวิเคราะห์พยายามชี้ให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกันของการเคลื่อนไหวนี้ว่าเกือบจะเหมือนปรากฏการณ์ "ดอกไม้บานในอาหรับ" ที่มีการใช้โซเชียลมีเดียในการเชื่อมต่อสื่อสารกัน แต่แม้ว่ากลุ่มแก๊งค์เหล่านี้จะเคลื่อนไหวโดยส่งข้อความผ่านแบล็กเบอร์รี่แมซเซนเจอร์ (BBM) ซึ่งเป็นระบบการสื่อสารเครือข่ายทางสังคมที่ปิดมาก การเปรียบเทียบกรณีอังกฤษกับอาหรับนั้นดูเหมือนเป็นการลดทอนคุณค่าของการเคลื่อนไหวในอาหรับมากกว่าจะช่วยให้อะไรดีขึ้น ผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่นักรณรงค์ผู้กล้าหาญ และสถานีรถรางรีฟส์คอร์เนอร์ในครอยเดนก็คงไม่ใช่จัตุรัสทาห์เรีย [1] สำหรับชาวอังกฤษแน่ พวกวัยรุ่นที่ฉวยเครื่องกีฬาจากร้านค้าทั่วอังกฤษไปจนเกลี้ยงก็เทียบไม่ได้สักนิดกับกบฏของอังกฤษในยุคก่อน พวกเขาไม่มีแถลงการณ์หรือประกาศเจตนารมณ์ใดๆ ผลลัพธ์ที่ได้คือพวกเขาไม่มีข้อเรียกร้องใดๆ ให้รัฐบาลอังกฤษได้บรรลุเพื่อทำให้เหตุการณ์สงบ แต่กระนั้นก็ตาม แม้กลุ่มวัยรุ่นเหล่านี้ดูไม่มีวาระทางการเมืองใดๆ แต่พวกเขาก็เป็นอันตรายต่อรัฐบาลอังกฤษ ใครปกครอง? ในช่วงสงครามกลางเมืองของอังกฤษในปี 1642-1646 ความรุนแรงของฝูงชนมีบทบาทสำคัญในการทำให้พระเจ้าชาร์ลที่ 1 หนีออกจากเมืองหลวง มีเหตุการณ์ในแบบเดียวกันเกิดขึ้นช่วง "การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์" (Glorious Revolution) ในปี 1688 เมื่อผู้ประท้วงทำให้พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ต้องหนีไป จากประวัติศาสตร์ในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่าความวุ่นวายที่เกิดจากประชาชนจะเป็นการบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้อย่างมาก ในเดือนกุมภาพันธ์ 1974 เมื่อมีการประท้วงหยุดงานของสหภาพคนงานเหมืองแร่ของอังกฤษ นายกรัฐมนตรีเอ็ดเวิร์ด ฮีธ จากพรรคอนุรักษ์นิยมผู้ที่อ่อนแรงลงก็จัดให้มีการเลือกตั้งภายใต้สโลแกน "ใครกันที่ปกครองอังกฤษ?" ใครก็ตามที่ปกครองอังกฤษอยู่คนผู้นั้นมิใช่เอ็ดเวิร์ด ฮีธ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งช่วยกันก่อตั้งรัฐสภาอังกฤษมาตั้งแต่ปี 1929 และระบอบอุตสาหกรรมก็ลุกลามไปทั่วประเทศในอีกทศวรรษถัดมา เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นายกฯ จากพรรคแรงงาน เจมส์ คาลลากันพ่ายการเลือกตั้งไปในปี 1979 11 ปีต่อมา การลุกฮือของประชาชนทำให้นายกรัฐมนตรีต้องสละเก้าอี้อีกครั้ง เมื่อมีเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านการคิดภาษีระบบใหม่ที่เรียกว่า "คอมมิวนิตี้ชาร์จ" ของรัฐบาลมาร์กาเร็ต แทชเชอร์ ในช่วงเดือน มี.ค. 1990 ซึ่งในตอนแรกเริ่มต้นจากการชุมนุมอย่างสงบแต่ต่อมาก็กลายเป็นการจลาจลในจัตุรัสทราฟัลการ์ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ้บนับร้อยและมีผู้ถูกจับกุม 339 ราย แม้ว่าความรุนแรงจะถูกประณามทั้งจากรัฐบาลและจากนักกิจกรรม แต่การต่อต้านระบบภาษีใหม่ก็มีส่วนสำคัญในการทำให้รัฐบาลของมาร์กาเร็ต แทชเชอร์อ่อนแรงและทำให้มีการยกเลิกระบบภาษีนี้ในที่สุด "หญิงเหล็ก" ของอังกฤษผู้ที่ไม่เคยยอมอ่อนข้อปรับเปลี่ยนนโยบายก็จำต้องยอม "ยูเทิร์น" อย่างเสียหน้า นายกฯ คนปัจจุบัน เดวิด คาเมรอน ก็ต้องกลับประเทศเร็วกว่ากำหนดหลังไปพักร้อนช่วงวันหยุดที่เมืองทัสคานี เพื่อควบคุมสถานการณ์ที่เริ่มวิกฤติมากขึ้นเรื่อยๆ คาเมรอนเข้าใจดีว่าหากตอบโต้เหตุการณ์นี้ด้วยความอ่อนข้อเกินไปอาจทำให้เขาต้องออกถูกเด้งจากเก้าอี้เช่นเดียวกับนายกฯ รายอื่นๆ ในที่สุด ความยากอยู่ตรงที่ เหตุการณ์ในอดีตชี้ให้เห็นว่าการตอบโต้อย่างหนักหน่วงรุนแรงก็นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เป็นหายนะเช่นกัน จาก "โอบอุ้ม" เป็น "จับแขวน" ประชาชนทั่วไปรู้สึกไม่พอใจกับการได้เห็นภาพการปล้นชิงทำลายข้าวของและการใช้ความรุนแรงในช่วงวันที่ 6-8 ที่ผ่านมา และเรียกร้องให้ตำรวจของอังกฤษใช้ยุทธวิธีที่เข้มงวดกว่านี้ โดยการใช้ปืนน้ำและไม้กระบอง รวมถึงต้องการให้กองทัพเข้าแทรกแซงสถานการณ์ ก่อนหน้านี้ในปี 2006 คาเมรอนพยายามให้เหล่าผู้สนับสนุนของเขาทำตัวเป็นผู้ "โอบอุ้มชาวเสื้อคลุมหัว" [2] ซึ่งเป็นการปรับภาพลักษณ์ใหม่ให้กับพรรคอนุรักษ์นิยมให้ดูเป็น "นักอนุรักษ์นิยมผู้แสนดี" แต่ตอนนี้ภาพของวัยรุ่นในชุดคลุมที่ออกปล้นอย่างดุร้ายในจอโทรทัศน์ ทำให้สิ่งที่คาเมรอนเคยพูดไว้ดูไม่จืด อย่างไรก็ตามจนบัดนี้คาเมรอนก็ยังไม่ยอมใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด แต่ใช้วิธีการเทกำลังเจ้าหน้าที่ลงตามท้องถนนของลอนดอนเพื่อยับยั้งเหตุจลาจล ประวัติศาสตร์สอนว่านี้เป็นการตอบโต้ที่ดูมีเหตุผล เว้นแต่ว่ากองกำลังเจ้าหน้าที่ของอังกฤษจะทำเกินเลยไปจนถึงจุดที่เกินกว่าฉันทามติของนานาชาติจะยอมรับได้ และทำให้เกิดผลกระทบต่อนโยบายตัดงบของรัฐบาล และประวัติศาสตร์ของการใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงเพื่อปราบปรามการก่อจลาจลของประชาชนนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยเลย ก่อนหน้าศตวรรษที่ 19 ที่มีการจัดตั้งหน่วยงานตำรวจแห่งชาติและตำรวจในท้องที่ กองทัพเป็นอาวุธอย่างเดียวที่รัฐบาลอังกฤษใช้ในการปราบปรามผู้ต่อต้าน ครั้งสุดท้ายที่อังกฤษเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบข้ามวันข้ามตืนจนเทียบได้กับเหตุการณ์ครั้งนี้ คือกลุ่มกบฏกอร์ดอนเมื่อวันที่ 2-9 มิ.ย. 1780 พระเจ้าจอร์จที่ 3 ตัดสินใจใช้กองทัพที่แม้จะปราบปรามเหตุไม่สงบได้ แต่ก็ทำให้ประชาชนต้องล้มตายไปมากกว่า 200 ราย การใช้กองทัพปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในเซนส์ปีเตอร์สฟิลด์ แมนเชสเตอร์เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 1819 ก็นำมาซึ่ง "เหตุปะทะปีเตอร์ลู" ที่มีประชาชน 15 รายเสียชีวิตและอีกหลายร้อยรายได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์ที่ใกล้เข้ามาหน่อยแต่ก็น่าขมขื่นไม่แพ้กัน คือการส่งกองทัพเข้าไปในไอร์แลนด์เหนือที่ยิ่งเป้นการย้ำเตือนว่า ยังไงทหารก็ไม่ใช่ตำรวจ และการมีอยู่ของทหารก็ยิ่งเป็นชนวนให้เกิดการปะทุมากกว่าเป็นการช่วยบรรเทาความตึงเครียด การฟื้นคืนยุทธวิธีอย่างการใช้กฏหมายค้นตัวผู้ต้องสงสัย (sus laws) ที่ให้อำนาจการค้นแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็มีการลือกันว่าเป็นชนวนให้เกิดความรุนแรงในแฮกนีย์ และมีความเป็นไปได้ว่าการใช้ปืนน้ำและกระสุนยางก็อาจก่อให้เกิดเหตุแบบเดียวกันโดยเฉพาะจะทำให้มีคนได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ แต่หากว่าเราควรหักห้ามไม่ให้ใช้วิธีการปราบที่รุนแรงกับกลุ่มก่อจลาจลเช่นนี้แล้ว คำถามคือเราควรจะใช้วิธีการใดแทน ไม่ใช่คำตอบที่ง่ายดายเลย นักวิจารณ์ฝ่ายเสรีนิยมมักจะเสนอว่า มาตรการลดงบประมาณของรัฐบาลเป็นเหตุทำให้เกิดความวุ่นวายในครั้งนี้ แต่ถ้าจะให้อธิบายจริงก็ถือว่าถูกแค่ส่วนเดียว ผู้คนเพิ่งได้รับรู้ถึงผลกระทบของนโยบายตัดงบเมื่อไม่นานมานี้เอง การตัดงบมากกว่านี้อาจจะยิ่งทำให้เกิดการจลาจลบานปลายขึ้นไปอีก แต่ความจริงที่ไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันมานี้เป็นผลผลิตมานานนับทศวรรษ ไม่ใช่เพียงแค่หลายเดือนที่ผ่านมา นั่นคือช่องว่างความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมที่ถ่างกว้างขึ้น อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายทศวรรษในการกล่าวถึงความไม่เท่าเทียมที่ว่านี้ อย่างไรก็ตามประเทศอังกฤษก็ต้องหาทางแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมในเมือง มิเช่นนั้นแล้วอังกฤษอาจต้องพบกับภัยทางสังคมที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ เพราะการจลาจลในครั้งนี้ ไม่เหมือนการก่อกบฏในอดีต พวกเขาไม่มีสำนึกทางการเมืองหรือสำนึกด้านจริยธรรม พวกเขามีแต่ความปรารถนาที่จะดื่มกินและทำลายล้าง เชิงอรรถ [1] จัตุรัสทาห์เรีย เป็นแหล่งชุมนุมสำคัญของชาวอิยิปต์ที่ออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลเมื่อกลางปี 2011 นี้ [2] Hug a Hoodie - ในวัฒนธรรมอังกฤษคนที่ใส่เสื้อคลุมหัวหรือ Hood นั้นดูไม่น่าไว้วางใจและต้องสงสัยว่าเป็นอาชญากร ขณะเดียวกันก็เป็นที่นิยมของเด็กวัยรุ่นชนชั้นล่าง โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมฮิปฮอปของสหรัฐฯ โดยคาเมรอนกล่าวไว้ว่า "วัยรุ่นที่สวมเสื้อคลุมหัวนั้นเขาสวมในเชิงปกป้องตัวเองมากกว่าจะมีเจตนาทำร้ายคนอื่น" (อ้างจาก http://news.bbc.co.uk/2/hi/uk_news/politics/5166498.stm) ที่มา Londoners: Rioting through the ages, Ted Vallance, Aljazeera, 09-08-2011 http://english.aljazeera.net/indepth/opinion/2011/08/2011891626155535.html สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "112" Posted: 10 Aug 2011 11:54 AM PDT | |
แถลงการณ์เสรีเกษตรศาสตร์เรียกร้องมหาลัยปกป้องเสรีภาพในการความคิดเห็นของนิสิต Posted: 10 Aug 2011 11:50 AM PDT นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา ประชาชน ร่วมลงชื่อเรียกร้องมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ต้องปกป้องเสรีภาพทางวิชาการและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของนิสิตและประชาชน ชี้มาตรา 112 ยังมีปัญหาและขาดความชั
เรื่อง การคัดค้านการจับกุมนายนรเว เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวัน ปัจจุบันตัวกฎหมายมาตรา 112 กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงค 1.ขอเรียกร้องให้มหาวิทยาลั จึงขอเชิญชวนนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนทั่วไป ผู้รักในเสรีภาพทุกท่านร่วม ผู้ร่วมลงรายชื่อ 89 นายเทิดพันธุ์ พวงเพ็ชร อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยมหา 109 ประสิทธิ์ชัย มากพิณ กลุ่มลูกชาวบ้าน มหาวิทยาลัยบูรพา 113 พรภิรมณ์ เชียงกูล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 252 ไพศาล ธนบุญสมบัติ ช่างซ่อมทีวี 288 วสมน ชอินทรวงศ์ 491. สรณ ขจรเดชกุล (พิมพ์ชื่อ นามสกุล ตามด้วยองกรณ์ สังกัด หรืออาชีพ ปิดลงรายชื่อวันที่11/8/54 เวลา 0.00น.) ที่มา: ร่วมลงรายชื่อคัดค้านการจับกุมนายนรเวศย์ เศรษฐิวงศ์ ด้วยมาตรา 112 สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
กองทัพพม่าส่งเครื่องบินรบข่มขวัญ "SSA เหนือ" อีกรอบ Posted: 10 Aug 2011 11:08 AM PDT กองทัพพม่าส่งเครื่องบินรบ 4 ลำข่มขวัญกองกำลังไทใหญ่ SSA/SSPP อีกช่วงกลางดึก ทำชาวบ้านแตกตื่นวิ่งเข้าหลุ มีรายงานว่า เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมา มีเครื่องบินรบของกองทัพพม่าไม่ แหล่งข่าวเผยว่า เครื่องบินทั้ง 4 ลำ บินมาจากทางทิศใต้ซึ่งบินไม่สู ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา กองทัพรัฐบาลทหารพม่าได้ส่งเครื เจ้าหน้าที่กองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA/SSPP กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่กองทัพพม่าส่ ขณะเดียวกันมีรายงานจากแหล่งข่ กองทัพรัฐบาลพม่าได้เปิ
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ "คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
เผยพลเรือนในรัฐฉานอยู่ในภาวะวิกฤตรุนแรง-หลังทหารพม่าเปิดฉากโจมตีต่อเนื่องนับตั้งแต่มีนาคม Posted: 10 Aug 2011 11:01 AM PDT นักสิทธิมนุษยชนเผย ประชาชนกว่า 3 หมื่นในรัฐฉาน ซึ่งต้องอพยพจากการโจมตีของทหารพม่า กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างรุ แผนที่แสดงปฏิบัติการทางทหารของกองทัพพม่า ในพื้นที่รัฐฉาน ระหว่างวันที่ 2 ก.ค. ถึง 4 ส.ค. 54 สีแดงคือพื้นที่ซึ่งมีการปะทะทางทหาร สีม่วงคือพื้นที่ซึ่งมีรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยทหารพม่า (ที่มาของภาพ: มูลนิธิสิทธิมนุษยชนรัฐฉาน - SHRF)
แผนที่แสดงพื้นที่ซึ่งมีผู้ลี้ภัย หลังปฏิบัติการทางทหารของกอง ทัพพม่า ในพื้นที่รัฐฉาน ระหว่างวันที่ 13 มี.ค. ถึง 10 ส.ค. 54 โดยที่อำเภอเกซี มีผู้อพยพออกจากหมู่บ้านของตัวเองขณะนี้มากกว่า 1 หมื่นคนแล้ว (ที่มาของภาพ: มูลนิธิสิทธิมนุษยชนรัฐฉาน - SHRF)
องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนในรัฐฉาน เผยแพร่รายงานเมื่อวานนี้ (10 ส.ค.) เปิดเผยตัวเลขจำนวนพลเรือนที่ต้ ในรายงานระบุว่า ระหว่างเดือนกรกฎาคม กองทัพรัฐบาลทหารพม่าได้เคลื่ ชาวบ้านประมาณ 31,700 คน จาก 9 อำเภอได้หนีจากการประหั พลเรือนที่หลบซ่อนอยู่ตามป่ การช่วยเหลือจากองค์กรระหว่ องค์กรชุมชนไทใหญ่เรียกร้องให้ “เนื่องจากการที่รัฐบาลทหารพม่ เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แม้ว่ากองทัพรัฐบาลทหารพม่
หมายเหตุ: สรุปรายละเอียดสถานการณ์การสู้ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
TCIJ: ประมวลการเดินทาง “ชาวบ้านคอนสาร” นำข้อเสนอจากอีสานถึงรัฐสภา Posted: 10 Aug 2011 09:40 AM PDT ก่อนตบเท้าเข้าร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนทั่วประเทศกว่า 1,000 คน จากทั้งภาคเหนือ กลาง ใต้ อีสาน ที่หน้ารัฐสภา เพื่อยื่นเสนอ “นโยบายภาคประชาชน” ให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ให้บรรจุนโยบายดังกล่าวลงในนโยบายของรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา หนึ่งวันก่อนหน้านั้น ชาวบ้านจาก ต.ทุ่งลุยลาย ต.ห้วยยาง และต.ดงกลาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตป่าอนุรักษ์ เขตป่าสงวน และที่สาธารณะทับซ้อนบนพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย ที่สาธารณประโยชน์ และที่ป่าชุมชนของชาวบ้าน ได้ออกเดินทางมารวมตัวกัน ที่บ้านบ่อแก้ว ต.ทุ่งพระตั้งแต่ช่วงเช้า เพื่อทำพิธีขอพรศาลเจ้าหลวงปู่แก้ว “ศาลเจ้าปู่แก้วนี้ เมื่อแรกเข้ามายังไม่มีการตั้งชื่อ กระทั่งมีผู้หลับฝันว่าเจ้าที่บริเวณดังกล่าวมาบอกให้ตั้งชื่อหมู่บ้าน จึงได้มีการประชุมเสนอตั้งชื่อเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของผู้อยู่อาศัย ชาวบ้านจึงลงมติร่วมกันว่าเจ้าที่ที่ดูแลปกปักรักษาบริเวณนี้ชื่อว่า “แก้ว” ประกอบกับพื้นที่ใกล้ที่อาศัยมีบ่อน้ำ จึงเป็นที่มาของชื่อ บ้านบ่อแก้ว” พ่อปุ่น พงษ์สุวรรณ์ ชาวบ้านบ่อแก้ว บอกกล่าวถึงที่มา พ่อเฒ่า วัย 75 ปี เล่าถึงประวัตชุมชนว่า องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) เข้ามาปลูกป่ายูคาลิปตัสในพื้นที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของชาวบ้านนับแต่ปี พ.ศ.2521 ด้วยปัญหาและผลกระทบจากความไม่เป็นธรรมที่ต้องถูกไล่ออกจากพื้นที่ ทำให้ชาวบ้านลุกขึ้นมารวมตัวกันเพื่อศึกษาและแก้ไขปัญหาปัญหาความเดือดร้อนเรื่อยมา กระทั่งกลางเดือนกรกฎาคม 2552 ชาวบ้านจึงได้เข้ายึดพื้นที่ทำกินเดิม และพยายามบริหารจัดการกลุ่มองค์กรในพื้นที่เพื่อให้สามารถพึ่งตนเองได้ พ่อปุ่นกล่าวด้วยว่า การที่ชาวคอนสารในหลายๆ ตำบลที่ประสบซะตากรรมเดียวกัน พร้อมใจรวมตัวบ้านบ่อแก้ว เพราะถือว่าชุมชนบ้านนี้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ และแบบอย่างการต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดินทำกิน จากกรณีการประกาศเขตสวนป่าคอนสาร หลังร่วมสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่ชุมชน สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) ได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 “สานต่อภารกิจประชาชน ปฏิรูปที่ดินอย่างเป็นธรรม” ก่อนเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปรวมตัวกับเครือข่ายในภาคอีสานทั้งหมด ที่บริเวณริมเขื่อนลำตะคลอง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ระหว่างการเดินทาง ขบวนชาวบ้านทำการรณรงค์ แจกแฉลงการณ์ให้ประชาชนใน อ.คอนสารได้รับทราบถึงวัตถุประสงค์ของการเคลื่อนขบวนและชี้แจงถึงปัญหาที่พวกเขาต้องประสบ และเข้ายื่นหนังสือถึง นายเจริญ จรรย์โกมล สส.ชัยภูมิ (เขต อ.คอนสาร) และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 โดยมี นางเรวดี จรรย์โกมล เป็นผู้รับแทน จากนั้นร่วมเดินไปทำพิธีสักการะขอพรหลวงปู่หมื่น (หลวงพิชิตสงคราม) เจ้าเมืองคอนสารองค์แรก (พ.ศ.2337) ก่อนมุ่งสู่ อ.เมืองชุมแพ จ.ขอนแก่น เพื่อยื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผ่านนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักงานพรรคเพื่อไทย เขตชุมแพ เป็นผู้รับหนังสือแทน “ครั้งนี้พวกเราหวังอย่างยิ่งว่า นายกรัฐมนตรีรวมทั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะสานต่อแนวทางการปฏิรูปที่ดินโดยประชาชนให้เป็นนโยบายของรัฐบาล และจัดตั้งกลไกการแก้ไขปัญหาร่วมระหว่างหน่วยงานรัฐกับภาคประชาชนให้เกิดความเท่าเทียมและเป็นธรรม เราเรียกร้องให้สานต่อแนวทางการปฏิรูปที่ดินโดยประชาชน พร้อมกันนี้อยากวอนให้ มีคำสั่งให้ทางเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจเกี่ยวข้อง ยุติการจับกุม ข่มขู่ คุกคาม และดำเนินคดีชาวบ้านในพื้นที่และสมาชิกเครือข่ายฯ ด้วย” ไสว จุลละนันท์ ชาวบ้าน ม.1 ต.ทุ่งลุยลาย กล่าว ตามเส้นทางชุมแพ - ชัยภูมิ ที่ อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ตัวแทนชาวบ้านกรณีปัญหาที่สาธารณะประโยชน์ทุ่งซำเสี้ยวเดินทางมารอรับชาวคอนสาร ก่อนร่วมกันเดินทางไปสักการะเจ้าพ่อพระยาแลบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ เพื่อขอพรเป็นสิริมงคล และเคลื่อนไปสมทบกับเครือข่ายสายอีสานซึ่งนัดหมายรวมพลกันบริเวณเขื่อนลำตะคลอง นายวิชัย สมบุญเพ็ง ประธานชุมชนทุ่งซำเสี้ยว บ้านดอนมะคั่ง ม.12 ต.สระโพนทอง อ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ เล่าถึงปัญหาในพื้นที่ว่า กรณีที่สาธารณะทุ่งซำเสี้ยวมีปัญหาการประกาศเขตที่สาธารณะประโยชน์ทับที่ทำกินชาวบ้าน ตั้งแต่เมื่อปี 2528 แล้วไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ ซึ่งขัดกับสิทธิในที่ดินทำกินที่ชาวบ้านอยู่กันมาตั้งแต่ปี 2475 และได้มีการการประกาศเป็นที่สาธารณะให้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน นอกจากนี้ ที่ผ่านมามีหนังสือจากอธิบดีกรมที่ดินว่าพื้นที่สาธารณะที่ประกาศเมื่อปี 28 นั้นทับที่ทำกินของชาวบ้านจริง จากการตรวจสอบรังวัด และมีคำสั่งให้ยกเลิกพื้นที่สาธารณะนั้นให้ชาวบ้านเข้ามาอยู่อาศัยตามเดิม แต่ในพื้นที่ไม่ปฏิบัติตาม เขาและชาวบ้านจึงร่วมกันเข้ายึดพื้นที่กลับคืนมาดังเดิมเมื่อปี 2538 จนถึงปัจจุบัน “ปัญหาของชุมชนเราสรุปตรงกันแล้วว่าชุมชนต้องลุกขึ้นมาสู้และแก้ไขร่วมกันเอง” ปธ.ทุ่งซำเสี้ยว กล่าว ที่จุดนัดหมายบริเวณเขื่อนลำตะคลอง เวลา 18.00 น. ขบวนรถยนต์ของเครือข่ายภาคประชาชนในภาคอีสานที่มารวมตัวกัน อาทิ เครือข่ายเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.) สมัชชาคนจนกรณีกลุ่มผู้เดือดร้อนจากเขื่อนปากมูล กลุ่มผู้เดือดร้อนจากสวนป่าพิบูลมังสาหารฯ ฯลฯ ได้เคลื่อนพลเดินทางไปยัง อ.หนองแซง วัดหนองหลัว ต.หนองกบ จ.สระบุรี ระยะเวลากว่า 4 ชั่วโมง ขบวนชาวบ้านจึงเดินทางถึงที่หมาย และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวบ้านสระบุรี ซึ่งต่อสู้คัดค้านโรงไฟฟ้าหนองแซง หลังการรับประทานอาหารร่วมกัน มีการจัดเวทีสนทนายามค่ำ เกี่ยวกับนโยบายภาคประชาชนสู่นโยบายรัฐบาลในหัวข้อ “กระบวนการยุติธรรม กระบวนการที่ต้องปฏิรูปเร่งด่วน” ปิดท้ายกิจกรรมของวัน ด้วยการอ่านแฉลงการณ์ จากขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ก่อนแยกย้ายพักผ่อน เตรียมการสำหรับภารกิจสำคัญในวันพรุ่งนี้ 8 ส.ค.54 เช้ามืด ขบวนที่รวมตัวจากสระบุรี เคลื่อนจากหนองแซง เข้าไปสมทบกับเครือข่ายภาคประชาชนที่เดินทางมาจากทั่วประเทศ กว่า 145 องค์กร ราว 1,000 คน ที่มารวมตัวกันที่บริเวณหน้าลานพระบรมรูปทรงม้า จากนั้นได้เคลื่อนขบวนไปยังอาคารรัฐสภา เพื่อยื่นนโยบายภาคประชาชนให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี หวังให้มีการแก้ไขปัญหาของแต่ละเครือข่ายเดินหน้าต่อไปอย่างเป็นรูปธรรม ประมาณ 12.30 น.นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางมาพบปะพูดคุยกับชาวบ้าน พร้อมรับหนังสือข้อเสนอฯ ดังกล่าว จากนั้นตัวแทนชาวบ้าน 15 คนเข้าไปเจรจา ยังตึกรัฐสภา โดยใช้เวลาพูดคุยกว่าหนึ่งชั่วโมง ตัวแทนต่างแจงว่า รัฐบาลหนังสือเพื่อไปพิจารณาอีกครั้ง โดย หลังประชุมนโยบายของรัฐบาลจะแจ้งให้ทราบต่อไป จากนั้นเวลาประมาณ 17.00 น.ตัวแทนจากเครือข่ายฯ ต่างๆ จึงเดินทางกลับ พร้อมระบุว่าจะกลับมาทวงถามแนวทางการแก้ไขต่อไป สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก แนวร่วมเสื้อแดง 1 ปี 6 เดือน ปรับ 12,000 Posted: 10 Aug 2011 09:12 AM PDT 10 ส.ค.54 เวลา 9.30 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดา มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขแดงที่ อ.3456 /2553 ระหว่างพนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายโชคอำนวย สุรการ เป็นจำเลย โดยศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่า ไม่มีเหตุอันควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีนี้ พนักอัยการฟ้องจำเลยอันเนื่องมาจากการจับกุมจำเลยเกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่มนปช.เมื่อเดือน มี.ค.-พ.ค.2553 ในหลายข้อหา โดยกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ค.53 จำเลยใช้รถจักรยานยนต์ วิ่งเข้าไปเส้นทางถนนพญาไท บริเวณปากซอยพญานาค หน้าโรงแรมเอเชีย ซึ่งส้นทางนี้ มีประกาศห้ามใช้เป็นเส้นทางคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ และจำเลย มีอาวุธปืนพกรูปร่าง คล้ายปากกาขนาด .38 หนึ่งกระบอก และมีเครื่องกระสุนปืนรีวอลเลอร์ ขนาด.38 หนึ่งนัด ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน และ จำเลยมีเครื่องวิทยุคมนาคมชนิดมือถือ โดยไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงาน โดยในชั้นพิจารณาศาลชั้นต้น จำเลยได้รับสารภาพตามข้อกล่าวหาทั้งสิ้น และศาลอาญาได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยรวมจำคุก 3 ปี และปรับ 24,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์การพิจารณา คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 12,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ กรณีเหตุการณ์เม.ย.-พ.ค.53 ( ศปช.) ระบุว่า นายโชคอำนวย สุรการ เป็นผู้เข้าร่วมในการชุมนุมของนปช. มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2552 รวมถึงการชุมนุมเมื่อปีที่ผ่านมา โดยเขาถูกจับที่บริเวณ หน้าโรงแรมเอเชีย ปากซอยพญานาค ถนนพญาไทขณะเดินทางออกจากแยกราชประสงค์ เมือวันที่ 17 พ.ค.2553 และ ถูกควบคุมตัวมาโดยตลอดตั้งแต่วันถูกจับและปัจจุบันนี้ถูกขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และนอกจากถูกฟ้องเป็นจำเลยคดีนี้แล้ว เขายังถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 5802/2553 ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ในข้อหาร่วมกันมีระเบิดขว้างชนิดสังหารแบบ 88 บ.67 (เอ็ม 67)จำนวน 1 ลูก และลูกระเบิดขว้างชนิดสังหาร แบบ เค 75 จำนวน 1 ลูก โดยพยานของโจทก์ซึ่งเป็นผู้จับกุมจำเลยอ้างว่า จากการสืบสวนได้ข้อมูลว่านายโชคอำนวย เป็นคนไกล้ชิดกับเสธ.แดงหรือพล.ต.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แต่คดีที่ศาลจังหวัดพระโขนง ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยได้วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อน่าสงสัยหลายประการ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
เตรียมยื่นหนังสือทูตญี่ปุ่น กรณี บ.อาซาฮี โกเซ ฟ้องบลอกเกอร์เรียกค่าเสียหาย 3.2 ล้านดอลลาร์ Posted: 10 Aug 2011 12:54 AM PDT นักสิทธิมนุษยชนเตรียมยื่นหนังสือหน้าสถานฑูตญี่ปุ่น 17 ส.ค. นี้ กรณี 'ชาร์ลส เฮคเตอร์' บลอกเกอร์-นักกิจกรรมถูกฟ้องร้องจากบริษัทญี่ปุ่นชดใช้ 3.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังเปิดเผยการละเมิดสิทธิแรงงานพม่า 10 ส.ค. 54 - นักกิจกรรมเตรียมยื่นหนังสือหน้าสถานฑูตญี่ปุ่น เพื่อแสดงพลังและความห่วงใยต่อกรณีที่บริษัทอาซาฮี โกเซ (Asahi Kosei Company) ฟ้อง 'ชาร์ลส เฮคเตอร์' (Charles Hector Fernandez) นักกิจกรรม ทนายความ บล็อกเกอร์และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ในคดีหมิ่นประมาทและเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 3.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าได้เปิดเผยต่อสาธารณชนต่อกรณีที่คนงานพม่า 31 คน ที่ทำงานในโรงงานของอาซาฮี โกเซ ร้องทุกข์เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงาน เพื่อให้รัฐบาลญี่ปุ่นไม่นิ่งเฉยและดำเนินการในการปกป้องสิทธิมนุษยชน ในฐานะที่รัฐบาลญี่ปุ่นก็เป็นสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งการที่รัฐบาลมิได้ดำเนินการใดๆ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจะถูกมองได้ว่าเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้บริษัทญี่ปุ่นโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ดังนั้นนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย จึงเรียนมายังพี่น้องพื่อแสดงพลังแห่งการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ในวันที่ 17 สิงหาคม เวลา 10.00 น ที่ด้านหน้าสถานฑูตญี่ปุ่น เลขที่ 177 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
Posted: 10 Aug 2011 12:21 AM PDT ปูขอขอบคุณทุกกำลังใจและการสนับสนุนค่ะ ปูจะทำหน้าที่ที่พี่น้องประชาชนมอบความไว้วางใจให้อย่างดีที่สุด จะทำงานให้ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ สุดความสามารถ และปูคนนี้จะยังเป็น ปู ยิ่งลักษณ์ คนเดิมของพี่น้องประชาชนและเพื่อน ๆ ใน facebook ค่ะ :) โพสต์ขอบคุณเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra - 8 ส.ค. 2554 | |
อย่างไรจึงเรียกว่าความเป็นธรรมและเท่าเทียม Posted: 10 Aug 2011 12:01 AM PDT ในขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในกระแส “ยิ่งลักษณ์ฟีเวอร์” ตอนนี้มีประเด็นร้อนมากมายไปหมดเมื่อการเมืองถูกเปลี่ยนขั้ว โดยเฉพาะประเด็นที่มีการถกเถียงและกำลังเป็นประเด็นร้อนไม่แพ้กันคือสิ่งที่พรรคเพื่อไทยได้ประกาศต่อสื่อมวลชลและพี่น้องกรรมกรทั้งประเทศว่า ค่าจ้างขั้นต่ำต้อง ๓๐๐ บาท และจบปริญญาตรีต้องได้ค่าจ้างไม่น้อยกว่า ๑๕,๐๐๐ บาท หลายคนเริ่มเอาไปวิพากษ์วิจารณ์กันเสียยกใหญ่ว่ามันจะเป็นไปได้ไหมในความเป็นจริง และสภาพเศรษฐกิจในอนาคตจะเป็นอย่าง รวมกระทั่งนักกิจกรรมแรงงานฝ่ายขวาที่เคยต่อต้านทุนนิยมเสรีใหม่แต่รับใช้ทุนนิยมเก่า ก็ยังกระโดดออกมาทวงถามสัญญาจากพรรคเพื่อไทยได้อย่างไม่อาย ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการแต่รัฐมนตรีหลายตำแหน่งก็พอที่จะทราบได้ล่วงหน้าโดยการคาดการจากนักวิชาการและวิชาเกินทั่วไป ในช่วงขณะที่กำลังเกิดการเปลี่ยนผ่านอำนาจ ถ้าหลายคนนึกย้อนกลับไปวิเคราะห์ให้ดี หลายคนคงจะได้เห็นทั้งรอยยิ้ม(ของฆาตกร)และเสียงหัวเราะของผู้กุมอำนาจ แต่วันนี้ได้ประกาศให้เห็นชัดแล้วว่า “ประชาชนคนรากหญ้าหรือกรรมกรและชาวนาต้องสามารถกำหนดอนาคตตนเองได้” มันจะเป็นเพียงคำขวัญที่คอยปลอบประโลมนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ถูกเขียนไว้แต่เพียงในหนังสือเท่านั้น หรือมันจะเป็นจริงได้ในทางปฏิบัติหรือไม่นั้นทุกคนต้องร่วมกันตรวจสอบ และที่สำคัญขบวนการแรงงานว่าจะเดินก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงหรือไม่นั้นยังเป็นคำถามที่ยากแก่การพิสูจน์ กรรมกรทุกคนจะมานั่งรอให้ “เวลา” เป็นเครื่องพิสูจน์อีกต่อไปไม่ได้แล้ว วันนี้ถึงเวลาแล้วที่พวกเราชนชั้นกรรมาชีพทั้งหลายต้องลุกออกมาปกป้องสิทธิ์ ถามหาความยุติธรรมให้กับเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันกลับมาให้ได้ คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข เป็นตัวอย่างหนึ่งของกรรมกรที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่องวันนี้เขายังไม่ได้รับสิทธิ์ขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ วันนี้เขาเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดแต่เขากลับไม่มีโอกาสแม้แต่จะออกมาต่อสู้เพื่อแก้ข้อกล่าวหาด้วยตนเองได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ เราจะเรียกประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นหลักการสำคัญที่ต้องยึดถือคือ “หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม” มีอีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนของซากเดนจากทุนนิยมเก่า เรามักจะได้ยินคำพังเพยไทยค่อนข้างบ่อยว่า “เสร็จนาฆ่าโคถึกเสร็จศึกฆ่าขุนพล” วันนี้ คุณสาวิทย์ แก้วหวาน ผู้นำแรงงานที่ทำงานรับใช้มวลชลและเพื่อนพี่น้องกรรมกรรัฐวิสาหกิจมายาวนาน เพื่อให้ทุกคนได้กินอิ่มนอนอุ่นอยู่อย่างสุขสบายได้รับสวัสดิการที่สวยหรูกว่าลูกจ้างเอกชนมากมาย กลับถูกศาลแรงงานกลางอนุญาตให้เลิกจ้างได้ เหตุเพียงเพราะเขาหวังเพื่อที่ต้องการจะให้ประชาชนคนไทยได้มีความปลอดภัยในการใช้บริการของรัฐ ด้วยความเคารพมิได้มีเจตนาที่จะละเมิดอำนาจศาล แต่วันนี้กระบวนการยุติธรรมของเรากำลังเกิดอะไรขึ้น แล้วเราจะบอกกับสังคมโลกได้อย่างไรว่าประเทศของเราใช้หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ยึด “หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม” ในการบริหารประเทศ ถึงเวลาหรือยังครับพี่น้องกรรมกรทั้งหลายที่เราจะต้องลุกออกมาเรียกร้องสิทธิความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียมและไม่เลือกปฏิบัติให้กับเขาเหล่านี้ อย่าปล่อยให้เขาต้องต่อสู้แต่โดยลำพัง ขณะที่เขาอยู่บนหอคอยทุกคนต่างห้อมล้อมแซ่ซ้องสรรเสริญ แต่เมื่อความทุกข์ยากมาเยือนความเป็นเพื่อนก็เลือนหาย พวกเรากรรมกรทั้งหลายจะเป็นคนเช่นนั้นหรือ หลักนิติรัฐ (Legal State) คือ หลักปกครองด้วยกฎหมาย ไม่ใช่ปกครองตามอำเภอใจเป็นระบบที่สร้างขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็นหลักในการป้องกันและเยียวยาการใช้อำนาจรัฐตามอำเภอใจของฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
หลักนิติธรรม (Rule of Law) คือ การปกครองที่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย หรือการแสวงหาความยุติธรรมซึ่งเป็นเหตุเป็นผลกันตามธรรมชาติหรือเป็นความยุติธรรมตามธรรมชาติอันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือตัวอักษรของตัวบทกฎหมายนั้นเอง
กว่าสองปีที่ผ่านมาประชาชนคนไทยเกิดความสงสัยกับการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมาว่าท่านได้ทำอะไรไปบ้างในห้วงเวลากว่าสองปีที่อยู่ในอำนาจ “ถ้าท่านจับโจรยังไม่ได้ท่านก็อย่าคิดที่จะเป็นโจรเสียเอง” จากเหตุการณ์ เมษายนถึงพฤษภาคม ๒๕๕๒ มีคนถูกยิงตายกลางเมืองหลวงของประเทศ ๙๑ ศพ หาคนทำผิดมาลงโทษไม่ได้ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ ตากใบ กรือแซะ หรือเหตุการณ์วางระเบิดรายวันที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดภาคใต้ ในแต่ละปีพี่น้องร่วมชะตากรรมเดียวกันของเรากว่าพันชีวิตต้องมาตายโดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำผิดอะไร ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข วันนี้มติมหาชนได้ให้โอกาสพรรคเพื่อไทยได้เข้ามาแก้ไขปัญหาที่ยังไม่มีคำตอบ ทุกคนมีความหวังและอยากเห็นสิ่งที่ท่านพูดไว้เป็นความจริง ในอดีตผมเคยเข้าร่วมขับไล่นายทุนสามานย์ และเช่นเดียวกันผมก็เคยได้เข้าเป็นแนวร่วมต่อต้านเผด็จการฯ และรวมถึงต่อต้านอำนาจนอกระบบทุกรูปแบบเพราะสิ่งที่ผมอยากเห็นและอยากให้เป็นคือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยที่รัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศต้องมาตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย คือ การเลือกตั้งโดยประชาชน และเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง วันนี้ประชาชนจำนวนมากกำลังเฝ้ามองนักการเมืองไทยว่าคุณจะเล่นบทไหนต่อไป วาทกรรมทางการ “สองมาตรฐานหรือตุลาการวิ...วัฒน์” จะยังคงอยู่ในสังคมไทยอีกต่อไปหรือไม่ เป็นสิ่งที่ท้าทาย “นายกรัฐมนตรีหญิงอย่างคุณยิ่งลักษณ์” เป็นอย่างมาก
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ศาลพระโขนงเลื่อน พิพากษาคดี “ผู้หญิงยิง ฮ.” เป็น 25 ส.ค. Posted: 09 Aug 2011 11:34 PM PDT 10 ส.ค.54 รายงานข่าวแจ้งว่า ศาลจังหวัดพระโขนงนัดพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 สำนักงานอัยการสูงสุด ฟ้องนางนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ หรือจ๋า พร้อมกับพวกอีก 2 ในข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนที่ไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลแจ้งว่าจะเลื่อนการพิพากษาไปเป็นวันที่ 25 ส.ค.54 เวลา 10.00 น. เนื่องจากคดีนี้ศาลได้ส่งร่างคำพิพากษาพร้อมสำนวนไปยังสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 พิจารณา แต่ยังไม่ได้รับร่างคำพิพากษาและสำนวนคดีนี้กลับคืนมา จึงไม่อาจอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังได้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้สนใจติดตามคดีดังกล่าวจำนวนมาก ประมาณ 50 คน จนแน่นห้องพิจารณาคดี เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการเผยแพร่ข้อมูลคดีนี้จนเรียกกันติดปากว่า “คดีผู้หญิงยิง ฮ.” วันที่ 10 เม.ย.53 และเมื่อเร็วๆ นี้ นางธิดา ฐาถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช.ได้เข้าเยี่ยมจำเลยและนำข้อมูลออกมาเผยแพร่ ทั้งนี้ จำเลยทั้ง 3 คน ได้แก่ นางนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ หรือจ๋า วัย 50 ปีอาชีพค้าขาย พร้อมกับพวกอีก 2 คนเป็นจำเลยคือ สุรชัย นิลโสภา อายุ 33 ปี อาชีพขับแท็กซี่ และ ชาตรี ศรีจินดา อายุ 28 ปี อาชีพทำสวน ทั้งหมดถูกจับกุมที่บ้านพักในวันที่ 3 พ.ค.53 และไม่ได้ประกันตัว ในข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบ อนุญาตให้ได้ และร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครองโดยผิด กฎหมาย และร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบ ครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ใบตองแห้ง...ออนไลน์: ว่าด้วย ครม.ยิ่งลักษณ์: 5.5 เต็มสิบ เสียของ! Posted: 09 Aug 2011 10:17 PM PDT
5.5 หรือ 5.1 ก็ได้ ขอให้เกิน 5 หมายความว่าไม่ถึงกับยี้ แต่แย่! พูดอย่างให้ความเป็นธรรมหน่อย คะแนนสูงสุดจริงๆ ที่ผมเตรียมไว้คือ 7 เพราะเรารู้กันอยู่ว่าในระบบพรรคการเมือง โควตายังมีความสำคัญ แต่ถ้าจัดคนให้ตรงกับความสามารถบ้าง ผสมโควตาบ้าง ก็ยังพร้อมจะให้ 7 แต่พอเห็นรายชื่อที่ผิดฝาผิดตัวไปหมด ผมก็ได้แต่ส่ายหัว สงสารธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล กับกิตติรัตน์ ณ ระนอง ทั้งสองคนคงไม่เห็นชื่อ ครม.อีก 32 คนก่อนตกปากรับคำมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ นั่นคือชื่อบวกที่มีอยู่ไม่กี่คน ส่วนที่พอไปวัดไปวาได้ ก็เช่น พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม พิชัย นริพทะพันธ์ รมว.พลังงาน โอเค เพราะทำงานให้พรรคมาตลอด อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที โอเค เพราะมีผลงานเมื่อครั้งเป็นฝ่ายค้าน แต่ที่ผิดฝาผิดตัวก็เช่น ปลอดประสพ สุรัสวดี ซึ่งควรเป็น รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลับไปเป็น รมว.วิทยาศาสตร์ โดยปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข มาจากไหนไม่ทราบ มาเสียบแทน (ว่ากันว่าเป็นโควตาของยุทธ ตู้เย็น) วิทยา บูรณศิริ อดีตประธานวิป ทำงานหนักให้พรรค ควรได้เป็นรัฐมนตรี แต่หาที่ให้ลงไม่ได้รึไง ถึงส่งไปกระทรวงสาธารณสุข (มืออย่างวิทยาเนี่ยนะ จะไปลองของกับพวกหมอพันธมิตรและสานุศิษย์หมอประเวศ เตรียมเก็บศพได้เลย) วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ก็เป็นอีกคนที่ทำงานให้พรรคมาตลอด สมควรได้เป็นรัฐมนตรี ตามที่ตกลงกันก่อนเลือกตั้งจะให้เป็น รมว.เกษตร ซึ่งยังนับว่าเหมาะสม แต่พอยกกระทรวงเกษตรฯ ให้พรรคชาติไทยไป หาที่ลงไม่ได้ พ่อเลี้ยงวรวัจน์ก็กลายเป็นครูวรวัจน์หน้าตาเฉย ทั้งที่บุคลิกไม่ให้เลย (บุคลิกเอาไว้ไล่จับนักเรียนตีกัน) ทั้งที่พรรคมีคนเหมาะสมอยู่แล้วคือ อ.ภาวิช ทองโรจน์ รายที่ผิดฝามากที่สุดเหมือนเอาฝาขนมถ้วยมาใส่ขนมครก คือสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ได้ยินชื่อแล้วแทบหงายหลัง จะเอาสุรพงษ์ไปรบกับใคร ถามว่าสุรพงษ์ควรได้เป็นรัฐมนตรีไหม จากบทบาทที่ผ่านมา ก็ควรได้เป็น แต่ไม่ใช่กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีความสำคัญอย่างที่สุด ในแง่ของการสานต่อภาพลักษณ์รัฐบาลจากการเลือกตั้ง ที่นานาประเทศกำลังอ้าแขนรับ เปิดแนวรบทางสากลกลับมาโอบล้อมฝ่ายอำมาตย์ ปิดโอกาสรัฐประหารในอนาคต รัฐมนตรีต่างประเทศควรเป็นนักการทูต หรือมีบุคลิกของนักการทูต เป็นที่ยอมรับของข้าราชการ และมีเกียรติประวัติเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ มองยังไงสุรพงษ์ก็ไม่มีลิ้นการทูต ไม่มีบุคลิกสุขุมนุ่มลึก (หรือนุ่มตื้นซักนิดก็ยังดี) และไม่ทะเลาะกับข้าราชการก็บุญโขแล้ว พูดอย่างให้ความเป็นธรรมหน่อย คือการตั้งรัฐบาลที่ต้องรอ กกต.เล่นว่าวอยู่ 1 เดือนเต็ม ทำให้สื่อไม่มีงานทำ พากันออกโผออกโพลล์แทงเต็งแทงโต๊ดกันดาษดื่น จริงมั่งเท็จมั่ง แต่มีชื่อคนนั้นคนนี้ให้ประชาชนคาดหวัง ว่า ครม.ยิ่งลักษณ์จะมีภาพลักษณ์ที่สวยหรู เช่นรัฐมนตรีต่างประเทศจะเป็นคนนอก เป็นทูตคนนั้นคนนี้ พอออกมาจริงๆ ก็ทำให้ประชาชนร้องยี้ มากกว่าเลือกตั้งปุ๊บตั้งรัฐบาลปั๊บ แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าจัดสรรให้เหมาะ มันก็ยังดูดีกว่านี้ คือยังไงๆ ประชาชนก็ไม่ได้หวังสูงเลิศลอย เราพอยอมรับกันได้หรอกน่า กับชื่ออย่างสุรวิทย์ คนสมบูรณ์, ภูมิ สาระผล, กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์, บุญรื่น ศรีธเรศ, สุรพงษ์ อึ้งอำพรวิไล, ชูชาติ หาญสวัสด์, ฐานิสร์ เทียนทอง, พรศักดิ์ เจริญประเสริฐ, นาย ก. นาย ข. จอห์น โด ฯลฯ ที่มาเป็นรัฐมนตรีช่วย แต่ตำแหน่งหลัก อย่างน้อยก็จัดให้เหมาะสมบ้างสิครับ ไม่ใช่เอาเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ไปดูแลนโยบายหลัก ค่าแรง 300 บาท ทั้งที่พรรคมีตัวบุคคลเหมาะสมอยู่แล้วคือจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตปลัดกระทรวง แม้มีเสียงนินทาว่า จารุพงศ์ก็มีเส้น เป็นสายตรงพจมาน แต่ถ้าจัดคนให้เหมาะสมกับงาน ไม่ว่ามาจากระบบโควตาหรือเส้นสายใคร ก็ยังพอรับได้ เหมือนวิกรม คุ้มไพโรจน์ แม้ได้ชื่อว่าใกล้ชิดทักษิณ แต่อดีตทูตลอนดอนก็ยังเหมาะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศมากกว่าจอมลุยอย่างสุรพงษ์ กระทรวงกลาโหม เป็นอีกกระทรวงที่สำคัญที่สุด เพราะต้องคุมทหารให้อยู่ รัฐมนตรีต้องมีบารมี พร้อมกับมีหัวคิดเรื่องปฏิรูปกองทัพ หรือถ้าไม่มีบารมี ก็ต้องมีจุดยืนที่เข้มแข็ง ในการต่อสู้กับ “อำมาตย์” แม้ไม่ถึงขั้นหักด้ามพร้าด้วยเข่า ถามว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา มีคุณสมบัติอะไรบ้าง ไม่มีเลย เคยเป็น รมช.กลาโหมมาแล้วก็เป็นประเภทความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏ ซึ่งก็เหมือนชีวิตราชการของ พล.อ.ยุทธศักดิ์นั่นเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นน้องชายเสธแอ๊ว พล.อ.ยุทธศักดิ์ก็เป็นเหมือนพลเอกธรรมดาที่มีอยู่ทั่วไปแทบทุกซอยในกรุงเทพฯ ที่ ตท.10 ติงว่าไม่มีความสามารถด้านความมั่นคง วิสัยทัศน์ไม่ดีพอ และไม่เคยช่วยเหลืองานพรรค เป็นความจริงทุกอย่าง สมัยเป็นฝ่ายค้าน พล.อ.ยุทธศักดิ์เข้าพรรคไม่กี่ครั้ง และเข้าทางประตูหลัง แต่พอมีชื่อเป็นแคนดิเดทรัฐมนตรี ก็โผล่มาเข้าประตูหน้าเพื่อให้นักข่าวสัมภาษณ์ เทียบกับชื่ออื่นๆ ที่มีโผมาก่อนหน้านี้ พล.อ.ยุทธศักดิ์อยู่ที่โหล่ แม้แต่นายทหาร ตท.10 อย่าง พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี ยังเหมาะสมกว่า แต่แน่นอนว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับทักษิณ (เสธแอ๊วก็มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับทักษิณ) สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ก็เป็นญาติทักษิณ หลายคนใน ครม.เช่น พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก, พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ล้วนเป็นสายตรงทักษิณ อีกหลายคนเป็นคนในสายพจมาน หรือเจ๊แดง เช่น สันติ พร้อมพัฒน์ (ลดชั้นจากคมนาคมไปพัฒนาสังคม) ภาพรวมของ ครม.แม้จะบอกว่าส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำงานให้พรรค เป็น ส.ส.ที่ไม่ทิ้งพรรค แต่ที่ซ้อนกันอยู่ในนั้นคือ เป็นคนที่ทักษิณไว้วางใจเป็นส่วนตัว กับเป็นตัวแทนระบบโควตา ซึ่งทั้งสองส่วนเข้ามากลบภาพแรก สิ่งที่ขาดหายไปคือคนทำงานให้พรรคที่ไม่ได้เป็นผู้ใกล้ชิดทักษิณ ไม่ได้บินไปหา “นายใหญ่” ถึงดูไบบ่อยๆ ซึ่งพรรคการเมืองก็ไม่ต่างจากบริษัทหรือราชการ คนที่ใกล้ชิดนายไม่ใช่คนทำงานเสมอไป มีหลายคนที่เขาทำงานจริงโดยไม่สอพลอเสนอหน้า เสื้อแดงผิดตรงไหน อีกส่วนสำคัญที่ขาดหายไปคือความเชื่อมโยงกับฐานมวลชนของตัวเอง นั่นคือคนเสื้อแดง ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้บอกว่าต้องตั้งณัฐวุฒิเป็นรัฐมนตรี แต่ถ้าแกนนำ นปช.คนไหนมีความสามารถมีความเหมาะสมทำไมจะตั้งให้ดำรงตำแหน่งไม่ได้ ถ้าหาคนที่เหมาะกว่าได้จะไม่ว่าเลย แต่กลับไปเอาสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ มาแทนณัฐวุฒิ หรืออย่างที่พวกหมอพยาบาลออกมาต่อต้านพ่อไอ้ปื๊ดไม่ให้เป็น รมว.สาธารณสุข ถามว่าใครในพรรคเพื่อไทยที่เหมาะจะเป็น รมว.สาธารณสุขที่สุด หมอเหวงไงครับ อย่างน้อยหมอเหวงกับพวกหมอชนบท และสานุศิษย์ทั้งหลายของหมอประเวศ ก็พูดภาษาเดียวกัน ร่วมมือกันได้เมื่อเป็นการทำงานเพื่อประชาชน และรู้ทันกัน ดักคอกันได้ ในทางการเมือง แต่แน่นอน หมอเหวงเพิ่งเป็น ส.ส.สมัยแรก จะข้ามรุ่นไปเป็นรัฐมนตรีก็กระไรอยู่ คนที่ใกล้ชิดผูกพันกับมวลชนเสื้อแดง ที่เหมาะจะเป็นรัฐมนตรีมากที่สุด คือ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เพราะเป็นคนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างเข้มแข็ง พร้อมกับทำงานให้พรรคอย่างเข้มแข็ง อันที่จริง พ.อ.อภิวันท์เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นประธานรัฐสภา เพราะการทำหน้าที่รองประธานตลอดสมัยที่ผ่านมา เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย พ.อ.อภิวันท์เป็นเสื้อแดง แต่นั่งบัลลังก์แล้วทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง ไม่ไว้หน้าใคร แม้แต่ ส.ส.เพื่อไทยด้วยกันก็ยังโวย แต่แน่นอน พอเป็นแคนดิเดท ฝ่ายตรงข้ามอย่าง ปชป.หรือพวกสลิ่ม ก็ออกมาดิสเครดิต พ.อ.อภิวันท์ด้วยข้อหา “เสื้อแดง” “โรมานอฟ” เพื่อทำลายตัวบุคคลที่เหมาะสมที่สุด ถ้าวัดกันด้วยความเข้มแข็ง มั่นคง มีบุคลิกผู้นำ พ.อ.อภิวันท์เหนือกว่า “ขุนค้อน” ทุกเม็ด แต่ถ้าวัดกันด้วยระบบโควตา (และจำนวนเที่ยวบินไปดูไบ) “ขุนค้อน” ย่อมเหนือกว่า ผมเข้าใจว่า พ.อ.อภิวันท์ไม่อยากเป็นประธานสภาด้วยนั่นแหละ อยากเป็นรัฐมนตรีมากกว่า จึงถอนตัว แต่ท้ายที่สุด ไม่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีที่เหมาะสม พ.อ.อภิวันท์ก็ถอนตัวอีก อันที่จริง เสธเปียน่ะเป็น รมว.กลาโหมได้สบายๆ นะครับ เพราะเป็นนายร้อย จปร.เหรียญทอง ซึ่งมีแค่ 2 คนในประวัติศาสตร์ จปร.อีกคนคือ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมยิ่งลักษณ์-ทักษิณต้องแคร์กระแสไม่เอาเสื้อแดงเป็นรัฐมนตรี ซึ่งจุดมาจากพวกสลิ่ม และกระพือต่อโดยพวก ส.ส.เพื่อไทยเองที่กลัวแกนนำ นปช.แย่งโควตา ที่พูดอย่างนี้ผมไม่ได้ต่อสู้เพื่อณัฐวุฒิ และไม่ได้บอกว่าณัฐวุฒิคือตัวแทนของมวลชนเสื้อแดงทั้งประเทศ แต่อย่างน้อย ถ้ามีชื่อณัฐวุฒิใน ครม.ก็จะเป็นสัญลักษณ์ว่ารัฐบาลยังแคร์มวลชนเสื้อแดง ผู้ถือโควตาใหญ่ที่สุดในพรรคเพื่อไทย พอโผชัดเจนตอนเย็น บังเอิญผมเปิดวิทยุเจอรายการพชรกับวิสุทธิ์ 96.5 วิสุทธิ์ถามว่า อย่าง พล.ต.ท.ชัจจ์ ไม่ใช่เสื้อแดงหรือ พชรบอกว่า “เสื้อดำมากกว่า” แล้วก็ฮากลิ้งทั้งคนพูดคนฟัง นั่นคือการเลือกแบบทักษิณ ซึ่งเมื่อมองภาพรวมทั้งหมด ผมชักจะเชื่อว่า ทักษิณไม่อยากกลับบ้าน เพราะรายชื่อ ครม.อย่างนี้ ทำให้กระแสตอบรับที่มีต่อนายกฯหญิง เปลี่ยนจากลำไม้ไผ่เป็นบ้องกัญชา ลดอายุรัฐบาลตัวเองลง สมมติวางแผนยุบสภาใน 2 ปี ก็อาจเหลือปีครึ่ง หรือเผลอๆ ฉิบหายก่อนหน้านั้น ชัยชนะถล่มทลายที่ได้มาด้วยพลังประชาธิปไตยของประชาชน ด้วยกระแสที่อยากเห็นประเทศกลับเข้าสู่ภาวะประชาธิปไตยปกติ กลายเป็น “เสียของ” ด้วยระบบโควตาที่ต้องแบ่งสันปันเก้าอี้ให้กลุ่มก๊วน และการปูนบำเหน็จให้เฉพาะคนไว้วางใจใกล้ชิด ผลที่เกิดขึ้นคือรัฐบาลจะทำงานด้วยความยากลำบาก เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายที่หาเสียงไว้ เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปศาลและกระบวนการยุติธรรม เพื่อลดอำนาจฝ่ายอำมาตย์ (มิพักต้องพูดถึงการนิรโทษกรรมที่ยิ่งไกลออกไปอีก ไม่ต้องกลับเมืองไทยแล้วมั้งชาตินี้) ตรงกันข้าม นี่คือการเปิดจุดอ่อนช่องโหว่ให้ฝ่ายอำมาตย์และสมุนสลิ่มเริ่มตีโต้ เตะสกัด ขัดขา ซึ่งถ้ารัฐบาลล้มเพราะกลไกตุลาการภิวัตน์หาเรื่องถอดถอน ยุบพรรค ก็ยังกลับมาได้ แต่ถ้าล้มเพราะความไร้ประสิทธิภาพหรือความฉ้อฉลของนักการเมืองพรรคเพื่อไทยเอง ก็อาจแพ้ทั้งกระดาน ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ ก้าวพลาดไปหนึ่งก้าวแล้ว จากที่ตั้งท่าสวยหรู ก้าวต่อไปต้องดูว่าจะกล้าปฏิรูปประชาธิปไตยแค่ไหน เพียงไร เพราะนักการเมืองพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจนักหรอก อยู่ที่กระแสมวลชนเท่านั้นว่าจะผลักดันได้เพียงไร นี่เป็นภาระหนักของนักประชาธิปไตยและมวลชนเสื้อแดงที่ยกระดับคุณภาพแล้ว เพราะต้องสนับสนุนและต้องต่อสู้เรียกร้อง วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไปพร้อมๆ กัน แต่เราเชื่อมั่นในมวลชน ไม่ใช่เชื่อมั่นนักการเมือง พลังมวลชนจะไม่ถอยกลับ เหมือนอย่างกระแสต้าน ม.112 ที่เข้มแข็งและกว้างขวางขึ้นทุกวัน โดยไม่แยแสว่ายิ่งลักษณ์พูดอย่างไรหลังรับพระบรมราชโองการ
ใบตองแห้ง สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น