ประชาไท | Prachatai3.info |
- สุจิตต์ วงษ์เทศ: ปีเก่า-ปีใหม่ ไม่เคย มีในสำนึกดั้งเดิม
- เปิดคลังเอกสาร VOC ที่กรุงเฮก: หลักฐานใหม่ว่าด้วยประวัติศาสตร์ปาตานี
- นิธิ เอียวศรีวงศ์: ของขวัญปีใหม่
- ใบตองแห้ง: ฉายาสื่อฮ่าฮ่า ‘พิราบกระเด้าลม’
- หลักนิติธรรมในการดำเนินคดี 112: กรณีสมยศ พฤกษาเกษมสุข
- ประวิตร โรจนพฤกษ์: เคาน์ดาวน์ ปีใหม่ เวลาอันจำกัดและความหมาย
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 23 - 31 ธ.ค. 2555
- “อร่อยจนลืมกลับวัด” ผิด 2 เด้ง
- เยือนเพื่อนบ้าน : จาการ์ตา อินโดนีเซีย
สุจิตต์ วงษ์เทศ: ปีเก่า-ปีใหม่ ไม่เคย มีในสำนึกดั้งเดิม Posted: 31 Dec 2012 09:11 AM PST "ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่" เป็นวลีผูกขึ้นใหม่เมื่อหลังรับคติขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม ตามปฏิทินสากลราว 70 กว่าปีมานี้ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนหน้านี้ไม่มีสำนึกปีเก่า-ปีใหม่แบบสากล มีแต่รับรู้เรื่องเปลี่ยนปีนักษัตรจากรูปสัตว์หนึ่ง ไปอีกรูปสัตว์หนึ่ง ตอนขึ้นเดือนอ้าย (หมายถึงเดือนที่ 1) หลังลอยกระทงเดือน 12 (ตรงกับปฏิทินสากลราวเดือนพฤศจิกายน) เช่น เปลี่ยนจาก มะโรง งูใหญ่ เป็น มะเส็ง งูเล็ก (ไม่ใช่เปลี่ยนตอนสงกรานต์ เมษายน ซึ่งเป็นประเพณีอินเดีย เพราะในอินเดียไม่มีปีนักษัตร มีแต่สิ่งที่โหราจารย์บอกว่าเรียกราศีตามสุริยคติ นับถือดวงอาทิตย์) แล้วรับรู้ว่าฤดูกาลเปลี่ยนไปจากฝนเป็นหนาว ในช่วงเดือนอ้าย ปลายฝน ต้นหนาว ฤดูกาลที่เปลี่ยนไปก็ไม่เหมือนกัน เพราะทางเหนือรับลมมรสุมก่อน มีฝนก่อน ทำนาปลูกข้าวก่อน ข้าวสุกก่อน เกี่ยวข้าวก่อน จึงนับเดือนเร็วกว่าภาคกลางซึ่งอยู่ใต้ลงมาราว 2 เดือน เช่น รัฐล้านนา เข้าเดือนอ้าย หรือเดือน 1 ไปแล้ว แต่รัฐสุพรรณภูมิยังเป็นเดือน 11 ครั้นรัฐสุพรรณภูมิลอยกระทงเดือน 12 แต่รัฐล้านนาเป็นเดือนยี่ (คือ เดือน 2) ส่วนรัฐนครศรีธรรมราชเป็นเดือนอะไร? ตรงกับที่ไหน? ไม่พบหลักฐาน ดินแดนที่เป็นประเทศไทยทุกวันนี้ สมัยโบราณมีหลายรัฐ แต่ละภาคก็มีรัฐเอกราชต่างๆกันไป ไม่ได้รวมเป็นอาณาจักรเดียวกัน บางทีในภาคเดียวกันมีหลายรัฐก็ได้ เช่น ภาคกลางตอนบนมีรัฐสุโขทัย แต่ตอนล่างมีรัฐสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี), และรัฐอโยธยา-ละโว้ (อยุธยา-ลพบุรี) ภาคใต้ตอนบนมีรัฐนครศรีธรรมราช แต่ตอนล่างมีรัฐปัตตานี อยุธยาเป็นราชอาณาจักรสยามแห่งแรก เพราะรวมรัฐนครศรีธรรมราช ทางใต้ กับรัฐสุโขทัย ทางเหนือ ไว้ในอำนาจได้ก่อนที่อื่นๆในไทย แต่ยังไม่มีอำนาจเหนือรัฐปัตตานีกับรัฐล้านนา (ที่ว่าสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย จึงไม่จริง และที่ว่าสุโขทัยล่มแล้วจึงมีรัฐอยุธยาก็ไม่ใช่) ขณะส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ตามปฏิทินสากลนี้ ถ้าย้อนยุคกลับไปจะพบว่า ภาคเหนือ รัฐล้านนา เป็นเดือน 3 ปลายหนาว ภาคกลาง รัฐอยุธยา เป็นเดือน 1 ปลายฝน ต้นหนาว ภาคใต้ รัฐนครศรีธรรมราชและรัฐปัตตานี เป็นเดือนอะไรไม่รู้ แต่เพิ่งเข้าฤดูฝน ที่เลื่อนลงจากภาคกลาง ในอนาคตอิทธิพลโลกร้อนมีรุนแรงขึ้น ฤดูกาลแปรปรวนมากขึ้นอีก จึงไม่มีใครรู้ว่าฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลงรุนแรงอย่างไร? ขนาดไหน?
ที่มา: เว็บไซต์ สุจิตต์ วงษ์เทศ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เปิดคลังเอกสาร VOC ที่กรุงเฮก: หลักฐานใหม่ว่าด้วยประวัติศาสตร์ปาตานี Posted: 31 Dec 2012 08:56 AM PST ปาตานี ฟอรั่ม เห็นว่าข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจในประเด็นของประวัติ ศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างปาตานีและฮอลันดา จึงขอนำมาเสนอ ณ ที่นี้ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดยภาควิชาประวัติศาสตร์ ได้จัดการเสวนาทางวิชาการเรื่อง "เปิดคลังเอกสาร VOC ที่กรุงเฮก:หลักฐานใหม่ว่าด้วยประวัติศาสตร์ปาตานี" นำเสวนาโดย ดร. ปิยดา ชลวร นักวิจัยจาก Center for Southeast Asian Studies, มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ****************************** VOC หรือบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (ภาษาอังกฤษ The Dutch East India Company ภาษาดัตช์ Vereenigde Oost-Indische Compagnie, VOC, "United East India Company") ก่อตั้งขึ้นในปี 1602 ด้วยเหตุผลจากความไม่พอใจในการผูกขาดสินค้าชนิดเครื่องเทศ ซึ่งถือเป็นความต้องการระดับต้นๆ ของชาวยุโรปที่เดินทางเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย โดย VOC เกิดจากลงทุนร่วมกันของพ่อค้าและธนาคารของดัตช์ การเสวนาในครั้งนี้ เริ่มต้นจากการศึกษาเอกสารทางประวัติศาสตร์พบว่าในปี 1602 ได้มีนายพล Jacob Van Neck ซึ่งเป็นพ่อค้าชาวฮอลันดาของบริษัท Zeeland Company เดินทางเพื่อซื้อสินค้าจากจีนที่มาเก๊า แต่เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้น ทำให้ไม่สามารถทำการค้าได้ จึงได้เดินทางมายังปาตานีเพราะรู้มาว่าที่ปาตานีมีสินค้าจีนจำนวนมากที่สามารถหาซื้อได้ เหตุการณ์สำคัญในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 คือเหตุการณ์โจมตีเรือ Santa Catharina ของโปรตุเกส ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างฮอลันดา ยะโฮร์ และปาตานี เหตุการณ์ในครั้งนั้นเริ่มต้นเมื่อ Heemskerck ได้เดินทางไปพำนักอยู่ที่ปาตานีได้พบกับรายาบงสู น้องของสุลต่านยะโฮร์ ซึ่งเดินทางมาในปาตานีในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งขณะนั้นอาณาจักรยะโฮร์มีความไม่พอใจต่อโปรตุเกส ซึ่งได้ยึดมะละกามาก่อนหน้านั้น การพบกันของทั้งสองในครั้งนั้น นำไปสู่ความร่วมมือในการโจมตีโปรตุเกส โดยในการโจมตีโปรตุเกสครั้งนี้ได้รับการช่วยเหลือในส่วนของข้อมูลจากกลุ่มขุนนางในปาตานี และไม่ได้มีการคัดค้านจากรายาฮีเยา ผู้ปกครองปาตานี เพื่อทำการโจมตีโปรตุเกส ต่อมา ดร.ปิยดาได้กล่าวถึงในเรื่องของสินค้าที่ชาวฮอลันดาที่นำมาค้าขายในปาตานี หนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยมจากชาวพื้นเมืองคือ รูปภาพ มีลักษณะเป็นภาพพิมพ์ที่วาดลงบนไม้และทองแดง จากการปรากฏในรายการสินค้าของปี 1602 มีภาพเหล่านี้อยู่ประมาณ 5-6 พันชิ้น ที่นำมาขายในปาตานี ความรู้สึกของชาวดัตช์ต่อผู้คนในปาตานี จากบันทึกของ Van Neck ได้ระบุถึงความประทับใจต่อชาวปาตานีว่า เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ รวมไปถึงการค้าขายที่ปาตานีในส่วนของพริกไทยว่า ถึงแม้คุณภาพจะไม่ดี แต่ราคาก็ถูกกว่าที่อื่นๆ บ้านเมืองได้มีการอธิบายอย่างละเอียดเช่น สภาพบ้านเมืองก็มีการนำเสนอถึงความหลากหลายในส่วนของผู้คนที่อาศัยอยู่ในปาตานีว่า มีทั้งคนมลายู ลูกครึ่งไทย ลูกครึ่งจีน ศาสนาก็มีความหลากหลายเช่น พุทธ คริสต์ อิสลาม และความเชื่อพื้นเมือง นอกจากนั้น Van Neck ได้บันทึกเกี่ยวกับรายาฮีเยาว่าเป็นกษัตริย์ที่เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่เพียงแต่ในวัง ซึ่งเต็มไปด้วยข้าราชบริพารที่เป็นผู้หญิงเยอะมาก และ Van Neck ได้บันทึกเหตุการณ์ที่ได้เข้าเฝ้ารายาฮีเยาซึ่งครั้งนั้นถือเป็นการเข้าเฝ้าเพื่อเป็นการทูลลา รายาฮีเยามอบกริชให้และได้พูดคุยกับ Van Neck ไว้ว่า หากไปแล้วช่วยทิ้งคนที่ดีไว้ และหากว่าออกทะเลไปแล้วเจอเรือจากปาตานีแล้วให้ช่วยเหลือด้วย แต่ชาวดัตช์อาศัยอยู่ในปาตานีเป็นระยะเวลาที่ไม่นาน อันเนื่องมาจากการค้าในปาตานีไม่สามารถที่จะสร้างผลกำไรให้แก่ดัตช์และบริษัท VOC ได้และหลังจากนั้นเมื่อดัตช์สามารถไปยึดเกาะฟอร์โมซา(เกาะไต้หวัน) ได้ จึงทำให้ปาตานีนั้นสูญเสียความสำคัญไป และในที่สุดก็ต้องปิดสถานีของดัตช์ในปี 1620 ข้อมูลในเอกสารของ VOC ที่กล่าวถึงภูมิภาคเอเชียโดยรวม ซึ่งจะมีการรวบรวมไว้ในกล่อง กล่องนั้นหากมีการมาจัดเรียงกันแล้วมีความยาวถึง 2 กิโลเมตร โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับประเทศอินเดีย แต่ในส่วนของปาตานีแล้วมีค่อนข้างน้อย มีทั้งหมด 11 กล่อง ซึ่งจะเขียนในภาษาดัตช์ แต่มีบางเอกสารที่บันทึกเป็นภาษาจีนและอารบิก (ซึ่งเป็นภาษามลายูยาวี) ในเอกสารของดัตช์ที่เกี่ยวกับปาตานี เราจะได้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างสยามกับปาตานี รวมไปถึงอัตลักษณ์ของชาวปาตานีในเชิงการเมือง เอกสารของดัตช์ทำให้ได้เห็นถึงอีกมุมหนึ่งของปาตานี ซึ่งจะเห็นปาตานีในส่วนหนึ่งของบริบทโลกมลายู เพราะว่าในช่วงเวลาดังกล่าวปาตานีนั้นไม่สามารถที่จะอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว จะเห็นได้ว่ามีการติดต่อกับยะโฮร์ บอร์เนียว เกาะชวา มาโดยตลอดผ่านพ่อค้าหลายๆ ชาติ เอกสารของดัตช์โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีเรื่องราวของรายละเอียดของการค้าขาย แต่ยังคงปรากฏเรื่องราวของประวัติศาสตร์และเรื่องราวเกี่ยวกับรายาผู้ปกครองปาตานีค่อนข้างน้อย นอกเหนือจากนั้นอาจารย์ครองชัย หัตถา ได้นำเสนอเพิ่มเติมในเรื่องของหลักฐานท้องถิ่นเช่น เครื่องถ้วยฮอลแลนด์ ซึ่งมีเยอะมากในบ้านของผู้คนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีปืนที่ระลึกที่ตอกเครื่องหมายของ VOC มีความยาวประมาณ 1 เมตร นอกจากนั้นยังคงมีสถานที่เรียกกันว่า กาแล บือลันดา ซึ่งเป็นคลองขุดเพื่อถ่ายสินค้าที่เทียบท่าในอ่าวปัตตานี การเสวนาในครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีการรับรู้ อย่างไรก็ตามหากท่านใดสนใจสามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ www.4shared.com/office/GNz_1GHD/_online.html หมายเหตุ: 1 เอกสารเผยแพร่และรูปภาพบางส่วนนำมาจากเฟซบุคของ อาจารย์ Chokchai Wongtanee
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
นิธิ เอียวศรีวงศ์: ของขวัญปีใหม่ Posted: 31 Dec 2012 08:24 AM PST ในท่ามกลางความขัดแย้งถึงขั้นใช้อาวุธต่อกันอย่างรุนแรงในภาคใต้ตอนล่าง และระหว่างสีในประเทศไทยโดยรวม ของขวัญปีใหม่ที่คนไทยอยากได้ที่สุดน่าจะเป็นความสงบสันติ แต่ดูจะเป็นของขวัญที่ไกลสุดเอื้อม ผมไม่มีสติปัญญาพอจะมอบของขวัญอันมีค่าขนาดนี้ได้ แต่อยากมอบของขวัญชิ้นเล็กๆ กว่านั้นแยะ แต่ผมคิดว่าสำคัญ นั่นคือการมองปัญหาความขัดแย้งให้ซับซ้อนกว่าที่เคยมองมา และด้วยเหตุดังนั้นจึงมองทางออกซับซ้อนกว่าที่เคยมองมาด้วย กล่าวคือไม่ใช่ความขัดแย้งของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเท่านั้น และด้วยเหตุดังนั้น การแก้ปัญหาจึงไม่ใช่แค่การจับเข่าคุยกัน ไม่ว่าจะที่ดูไบ หรือที่มาเลเซีย รวมทั้งอาจไม่ต้องเดินไปหนทาง "ความจริง-ความยุติธรรม-การให้อภัย-ความปรองดอง" ด้วย ไม่ใช่เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง แต่เพราะเป็นเส้นทางที่น้อยสังคมจะเลือกเดินได้ แม้แต่ในสังคมที่เลือกเดินไปแล้ว ก็ไม่ใช่เพราะ "เลือก" แท้ๆ แต่มีปัจจัยอื่นผลักดันอยู่ด้วย
ที่มา: มติชนออนไลน์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ใบตองแห้ง: ฉายาสื่อฮ่าฮ่า ‘พิราบกระเด้าลม’ Posted: 31 Dec 2012 05:24 AM PST ประเพณีตั้งฉายารัฐบาลของผู้สื่อข่าวทำเนียบดูเหมือนจะเปลี่ยนไปในระยะหลัง คือจาก Mocking ล้อกันเล่นแสบๆ คันๆ กลายเป็นฉวยโอกาสประณามรัฐบาลส่งท้ายปี โดยที่อารมณ์ขันลดลง อารมณ์ดุดันขึ้นสูง และอาจเป็นเพราะสื่อมีฝักฝ่าย จึงทำให้ฉายาออกมาไม่ get ไม่โดนใจคน เช่นที่โพลล์ไม่เห็นด้วย "ปูกรรเชียง" วาทะแห่งปี ซึ่งควรจะเลือกคำพูดที่เป็นข่าวฮือฮา กลับไปเลือกคำพูดนายกฯ ในสภา ซึ่งไม่ค่อยเป็นประเด็น นี่ไม่ใช่พูดเพราะผมเชียร์รัฐบาล แต่จะบอกว่าเลือก White Lie หรือ "ขี้ข้าทักษิณ" เสียยังโดนกว่า เหมือนนักข่าวอาชญากรรมเลือก "มีวันนี้เพราะพี่ให้" ใครๆ ก็ไม่เถียง ฉายารัฐบาล "พี่คนแรก" มีส่วนถูก ที่ว่ามีเงาพี่ชาย พี่สาว ปัญหาของพี่ พาดผ่านอยู่ตลอด แต่อย่าลืมว่าความขัดแย้งสำคัญในปี 2555 อยู่ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ คำอธิบายที่ไม่ชัดเจนทำให้เหมารวมการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าไปด้วย ว่าแก้เพื่อทักษิณ ทั้งที่นักข่าวทำเนียบควรตระหนักว่า รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่เป็นประชาธิปไตย มีผู้คนมากมายต้องการให้แก้ ถ้าอธิบายให้ดีต้องบอกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียกระบวนไปเพราะร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่ดันเข้ามาเพื่อ "พี่คนแรก" ต่างหาก ฉายาที่ผู้สื่อข่าวรัฐสภาตั้งยังนับว่า "โดน" กว่าและดู "เป็นกลาง" กว่า เช่นที่ยกให้ 3 ส.ส.ทั้งเพื่อไทย ปชป.เป็นดาวดับ อย่ากระนั้นเลย ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอตั้งฉายาให้สื่อบ้าง โดยเฉพาะสื่อกระแสหลัก ซึ่งเคยแต่ตั้งฉายาให้ชาวบ้าน อันที่จริงไม่อยากใช้คำว่า "พิราบ" เดี๋ยวความหมายจะแปดเปื้อน เพราะ "พิราบ" หมายถึงผู้รักเสรีภาพ ไม่ใช่ผู้สนับสนุนรัฐประหาร แต่ในเมื่อสื่อยกตนเป็นพิราบ เป็นความหมายที่เข้าใจกันทั่วไป ก็ให้ยืมใช้ชั่วคราว ถ้าจะเปื้อน ก็เปื้อนเพราะคนยกตน "พิราบกระเด้าลม" ฟังแล้วอาจหยาบไปหน่อย แต่ก็เหมาะกับพฤติกรรมสื่อกระแสหลักในรอบปี 55 ที่ทั้งปลุกความเกลียดชัง ล่วงล้ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ล่วงล้ำก้ำเกินทางเพศ ตั้งแต่ผู้จัดการแต่งภาพ อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เป็น "วรเจี๊ยก" โดยองค์กรสถาบันสื่อเมินเฉย ไม่ตำหนิติติง หรือการใส่สีตีข่าวแบบสองแง่สองง่ามตามฝ่ายค้าน กรณี ว.5 โฟร์ซีซันส์ ซึ่งสนุกปากกันเกือบทุกฉบับ โดยองค์กรผู้หญิงไม่ยักปกป้องศักดิ์ศรีสตรี มาจนกระทั่งการ์ตูนนิสต์ฝรั่งเขียนการ์ตูนเหยียดเพศยิ่งลักษณ์ ว่าให้ท่าโอบามา ลง The Nation ซึ่งเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์มาก สำหรับค่ายบางนา ที่พยายามสร้างภาพ "มาตรฐานฝรั่ง" เพราะถ้าเป็นหนังสือพิมพ์ฝรั่งที่มีมาตรฐานจริง เขาไม่ทำกันอย่างนี้ ต่อให้ไม่ชอบหรือเกลียดชังอย่างไรเขาก็ไม่ล้ำเส้น ไม่รู้เหมือนกันว่า The Nation จะปล่อยให้ฝรั่งสลิ่มเหยียดเพศต่อไปไหม ในเมื่อเพิ่งเปลี่ยน บก.ใหม่ ได้ บก.ผู้หญิง พฤติกรรมเช่นที่ยกตัวอย่างนี้มีมาต่อเนื่องทั้งปี จึงไม่อาจเรียกอย่างอื่นได้ นอกจาก "กระเด้า" แต่ "กระเด้าลม" หมายถึงสื่อมีความวิริยะอุตสาหะอย่างยิ่งยวด ในอันที่จะล้มรัฐบาล ตั้งแต่ศุกร์ 13 ภาคศาลรัฐธรรมนูญ มาจนม็อบสนามม้า "แช่แข็งประเทศไทย" หนังสือพิมพ์บางฉบับเชียร์ตั้งแต่หน้าข่าวการเมือง ข่าวสังคม ข่าวต่างประเทศ ไปถึงหน้าพระเครื่อง ซึ่งขนหมอดูมาทำนายว่ารัฐบาลจะอยู่ได้ไม่เกินวันที่เท่านั้นเท่านี้ ที่ไหนได้ กระเด้าลม ม็อบทำงานไม่ถึง 8 ชั่วโมงก็ละลาย หมอดูหน้าแหกพอๆ กับคำทำนายวันโลกแตก สื่อยัง "วีน" พยายามเล่นงานตำรวจทำรุนแรง แต่ไม่เป็นผล ทีวีเสรีซึ่งเผลอหลุดปาก "ผู้ชุมนุมของเรา" อุตส่าห์ขุดหนัง Battle in Seattle มาฉาย แต่ปลุกไม่ขึ้น ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลกลับมีเสถียรภาพมั่นคง เพราะการปลุกกระแสสุดขั้วสุดโต่ง จ้องล้มรัฐบาล ทำให้กระแสสังคมวงกว้างปฏิเสธ ไม่เอาด้วย สังคมไทยเบื่อหน่ายการโค่นล้มกันด้วยวิถีทางนอกระบอบ เข็ดแล้ว อยากอยู่สงบๆ จะได้ทำมาหากิน ไม่เอาอีกแล้ว รัฐประหาร ตุลาการยุบพรรค ชอบไม่ชอบรัฐบาล ก็ให้บริหารประเทศไปตามวิถี "พิราบกระเด้าลม" ยังเอวเคล็ดเปล่า ในอีกหลายสมรภูมิ อาทิเช่น การรณรงค์บอยคอตต์ "เรื่องเล่าเช้านี้" สรยุทธ สุทัศนะจินดา ของสมาคมนักข่าวและสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ซึ่งทำให้ราคาหุ้นช่อง 3 ปั่นป่วน เพราะนักลงทุนไม่รู้จะเอาไงแน่ จนกระทั่งช่อง 3 ต้องประกาศยืนยันว่าไม่ถอดรายการสรยุทธ ราคาหุ้นจึงพุ่งพรวดกลับไปสูงกว่าเดิม (ฮา) นี่อาจรวมถึงการร่วมมือกับ TDRI และยะใส กตะศิลา พยายามล้มประมูล 3G แต่ผลที่ออกมากลายเป็นพวก "ลูกอีช่างฟ้อง" ซึ่งสังคมเหม็นเบื่อ เห็นเป็นพวกถ่วงความเจริญไปเสียฉิบ อ้อ ยังไปจับผิดงบโฆษณา กสทช.ค่ายมติชนอีกต่างหาก ปรากฏว่าจับผิดจริงๆ เพราะไปจับตัวเลขที่เขาพิมพ์ผิด
อ่านบทความทั้งหมดที่ Media Inside Out ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
หลักนิติธรรมในการดำเนินคดี 112: กรณีสมยศ พฤกษาเกษมสุข Posted: 31 Dec 2012 01:42 AM PST
นี่คือคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการในคดีที่นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ถูกดำเนินคดีในความผิดตามมารา 112 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2547 นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ รับเชิญไปอภิปราย เรื่อง สังคมไทยกับทางรอดที่ควรเลือก เหลียวหลังแลหน้าจากราชดำเนินถึงตากใบ ที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ระหว่างการอภิปราย นายสุลักษณ์ได้ประชาสัมพันธ์หนังสือวารสาร SEED OF PEACE ซึ่งวางจำหน่ายให้กับบุคคลทั่วไปที่มาร่วมฟังการเสวนาอยู่หน้าห้องอภิปราย วารสารดังกล่าวมีบทความเรื่อง SIAM of the Forgotten Monarch The True Life Sequel of the King and the Land of Smile ที่เขียนโดยผู้ใช้นามแฝงว่า B.P.(บี.พี.) ซึ่งแสดงความเห็นในลักษณะที่เป็นการกล่าวพาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ในกรณีนี้ นับเป็นการใช้หลักนิติธรรมในการดำเนินคดีที่น่าจะมีการนำไปใช้สำหรับคดีความผิดตามมาตรา 112 ทุกคดี กล่าวคือ หลักนิติธรรมประการหนึ่งในการดำเนินคดีอาญา สำหรับบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม คือ การรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหลายซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยมีความผิดหรือความบริสุทธิ์ [1] หมายความว่า ในการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหานั้น ต้องหาพยานหลักฐานต่างๆ ทั้งที่เป็นพยานที่เป็นคุณแก่ผู้ต้องหาและพยานที่เป็นโทษต่อผู้ต้องหาด้วย จึงจะถูกต้องตามหลักนิติธรรม ซึ่งหลักนิติธรรมในกระบวนการยุติธรรมมิได้มีเพียงเท่านี้ แต่มีมากมายหลายประการ ดังต่อไปนี้ 1. ห้ามการทรมาน การลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 32 วรรค 2 ICCPR ข้อ 7) หลักนิติธรรมของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่กล่าวข้างต้น มีหลักการสำคัญลำดับต้นๆ ก็คือ สิทธิได้รับการสอบสวนโดยไม่ถูกบังคับให้เบิกความเป็นปรปักษ์ต่อตนเองหรือให้รับสารภาพผิด หรือการพิจารณาคดี ที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม มีโอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ และ สิทธิได้รับการประกันตัว (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40 (7) ICCPR ข้อ 9) จะเห็นได้ว่าสิทธิในการมีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเพียงพอและการได้รับการประกันตัว เป็นสิ่งสำคัญมากของผู้ต้องหาในคดีอาญา ในคดีของนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์นั้น นายสุลักษณ์ได้รับการประกันตัวตั้งแต่ชั้นจับกุมและสอบสวน จึงมีโอกาสในการเตรียมพยานหลักฐานต่างๆ ในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ทั้งการเลือกทนายความเอง ทั้งการหาหลักฐานทั้งพยานวัตถุ พยานบุคคล พยานเอกสารมายืนยัน ความบริสุทธิ์ของตน โดยมีพยานมายืนยันว่า ตนเองเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ก็กระทำเพื่อให้เกิดการพัฒนาสถาบัน และกระทำด้วยเจตนาดี จึงได้ทำหนังสือถึงพนักงานอัยการว่า การดำเนินคดีตนจะไม่เป็นดีต่อสถาบัน และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยรวม ที่สำคัญการที่กฎหมายอาญามาตรา 112 บัญญัติให้ผู้ใดก็ตามสามารถนำเรื่องไปแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้วิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ได้ ย่อมไม่เกิดความเป็นธรรมและมีโอกาสที่จะมีการกลั่นแกล้งกันในทางการเมืองได้ ความต่างกันของกรณีนายสุลักษณ์และนายสมยศ ก็คือ นายสมยศไม่มีโอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม เช่นนายสุลักษณ์ นายสมยศไม่ได้รับการประกันตัว ไม่มีโอกาสในการดำเนินการทำหนังสือถึงอัยการ ไม่สามารถออกไปหาพยานหลักฐาน พยานวัตถุ พยานบุคคลมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนอง เช่นที่นายสุลักษณ์ได้รับ อันเป็นผลเนื่องมาจากได้รับการปฏิเสธสิทธิในการประกันตัว นั่นเอง แต่สิ่งที่มีความคล้ายคลึงกันของกรณีนายสุลักษณ์และนายสมยศ ก็คือ ประการแรก ต่างได้รับการแจ้งข้อกล่าวหา อันเนื่องมาจากสาเหตุทางการเมือง หรือเป็นเพราะกฎหมายกำหนดให้ใครก็ได้ไปดำเนินการแจ้งความดำเนินดคี โดยอ้างเหตุแห่งความจงรักภักดี ซึ่งมิใช่เหตุผลหรือมูลที่จะอ้างตามกฎหมายได้ ประการที่สอง นายสมยศและนายสุลักษณ์ได้รับการแจ้งข้อหาในการกระทำที่ไม่เข้าข้อกฎหมายตามมาตรา 112 กล่าวคือ นายสุลักษณ์ได้รับการแจ้งข้อหา "หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์" ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ มีการกระทำที่ครบทั้งองค์ประกอบภายนอกและองค์ประกอบภายใน องค์ประกอบภายนอกก็คือ ต้องหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ส่วนองค์ประกอบภายในคือ ต้องมีเจตนา แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดข้อเท็จจริงในเนื้อความทั้งหมด จะเห็นได้ว่าบทความอันเป็นเหตุแห่งการตั้งข้อกล่าวหาของนายสุลักษณ์นั้นเป็นภาษาอังกฤษ การแปลความหมายอาจมีการคลาดเคลื่อน ทั้งเมื่อพิจารณาบทความดังกล่าว จะเห็นได้โดยชัดเจนว่ามิใช่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริง แต่เป็นบทความทางวิชาการในเชิงวิเคราะห์วิจารณ์แพร่ปรากฏทั่วไป นอกจากนี้นายสุลักษณ์ก็มิได้เป็นผู้เขียนบทความตามที่ถูกกล่าวหาขึ้นเอง นายสุลักษณ์เป็นผู้พิมพ์โฆษณาหนังสือวารสาร SEED OF PEACE ซึ่งวางจำหน่ายให้กับบุคคลทั่วไปที่มาร่วมฟังการเสวนาอยู่หน้าห้องอภิปราย สิทธิในการมีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรมนั้นสอดคล้องกับสิทธิได้รับการประกันตัวเพื่อให้ผู้ต้อง จนถึงวันนี้นายสมยศก็ยังไม่ได้รับการประกันตัวและกำลังจะมีการฟังคำพิพากษาในวันที่ 23 มกราคม 2556 ที่จะถึงนี้ คำพิพากษาในคดีของนายสมยศจะเป็นบทพิสูจน์กระบวนการยุติธรรมของไทยอีกคำรบหนึ่ง ว่าจะมีการตัดสินลงโทษหรือปล่อยจำเลยให้เป็นอิสระ เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอิสระของศาลและธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมในการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาต่อไป
เชิงอรรถ [2] กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองข้อ 14
ชื่อบทความเดิม: หลักนิติธรรมในการดำเนินคดีความผิดตามมาตรา 112 : ศึกษากรณีสมยศ พฤกษาเกษมสุข ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ประวิตร โรจนพฤกษ์: เคาน์ดาวน์ ปีใหม่ เวลาอันจำกัดและความหมาย Posted: 31 Dec 2012 01:07 AM PST ช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านระหว่างการจบสิ้นปีเก่าเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ เป็นโอกาสดีที่จะช่วยให้เราคิดพิจารณาถึงเวลาแห่งชีวิตที่พวกเราทุกคนต่างก็มีกันอยู่อย่างจำกัด เวลาอันจำกัดของเราทุกคน ช่วยให้เราต้องพยายามจัดลำดับความสำคัญต่างๆ ในชีวิต ว่าสิ่งใดหรืออะไรมีความหมายมีค่าสำหรับชีวิตเรา และสิ่งที่ไร้ค่าไร้ความหมายในทรรศนะของเราแต่ละคน ทุกคนต้องตาย และกาลเวลาเดินทางของมันต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง บางคนอาจบ่นเสียดายว่าชีวิตมนุษย์นั้นสั้นนัก แต่เวลาอันจำกัดของเราทุกคนในโลกนี้ต่างหาก ที่ช่วยมนุษย์ให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและความหมาย มากไปกว่าการคิดเรื่องประโยชน์ของตัวกูของกู และสามารถมองข้ามตนเองไปได้ไกลมากกว่าเรื่องประโยชน์ของตนและครอบครัวพวกพ้อง เวลามีค่าเพราะมันมีจำกัด ชีวิตมีค่าเพราะชีวิตคนนั้นสั้น และความจำกัดช่วยให้เราเข้าใจชะตากรรมชีวิตผู้อื่นได้ดีขึ้น เพราะไม่ว่าเขาจะรวยจนต่างจากเรา มีความเห็นทางการเมืองหรือเรื่องอื่นๆ เหมือนหรือไม่ พูดเขียนภาษาเดียวกับเราหรือไม่ก็ตาม พวกเขาต่างก็เป็นมนุษย์ที่มีเวลาในชีวิตอันจำกัดเช่นเดียวกับเรา พอเราตระหนักว่าเวลาในโลกนี้ เป็นเพียงสิ่งที่เหมือนไปยืมเขามา วันหนึ่งก็ต้องคืนร่างกายและชีวิตแก่ธรรมชาติไป มันก็ช่วยให้เราลดความโลภ โกรธ หลง และความรักในตัวตนเป็นหลักเหนือสิ่งอื่นใดอย่างแคบๆ ได้ เพราะเรารู้ว่าเราอยู่บนโลกนี้ได้ไม่นาน เราจึงรักตนเองและเห็นแก่ตนเองให้น้อยลงได้ Count Down ปีใหม่จึงไม่น่าจะเป็นเวลาที่จะดื่มจนเมามายจนไร้สติ หากเป็นเวลาที่จะคิดพิจารณาถึงชีวิตที่กำลังหมดลงไปที่ละเล็กทีละน้อย ทุกวินาทีของเราทุกคน ไม่ว่าจะแก่หรือไม่ก็ตาม เราหมดเวลาของชีวิตไปอีกหนึ่งปี ผู้เขียนตระหนักว่า การที่เวลาในชีวิตนั้นจำกัด ก็อาจเป็นเหตุผลให้คนจำนวนหนึ่งใช้ชีวิตอย่างเสพสุขเอาแต่ประโยชน์และความเห็นแก่ตัวของตนเป็นที่ตั้ง เพราะเขาอาจมองว่า สุดท้ายก็ไม่มีอะไรจีรังเที่ยงแท้ - หรือไม่ก็ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายปลายทาง แต่ผู้เขียนก็อดเกรงมิได้ว่า พวกเขาอาจเสียใจตอนใกล้สาย ว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรทิ้งไว้ให้ผู้อื่นมีความสุขยิ้มได้ หรือให้กับสังคมและโลกเลยในขณะที่ยังมีชีวิตมีโอกาส แต่ไม่ว่าจะคิดเช่นไร ชีวิตก็เหมือนฝัน ฝันที่ต้องตื่น เพียงแต่การตื่นจากความฝันที่เป็นชีวิตคือความตาย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 23 - 31 ธ.ค. 2555 Posted: 31 Dec 2012 12:35 AM PST สมาคมรับสร้างบ้าน ยอมรับ"วิกฤตแรงงานขาดแคลน"กระทบหนัก เร่งปรับตัว
ทีดีอาร์ไอชี้อนาคตแรงงานสายอาชีพปี 56 สดใส
สปส.ศึกษาเพิ่มสิทธิประโยชน์-ขยายอายุ
ครม.ไฟเขียวโยก 3 รองอธิบดีแรงงาน นั่งเก้าอี้ผู้ตรวจฯ
'เผดิมชัย' ชี้ขึ้นค่าจ้าง 300 เอสเอ็มอีไม่กระทบ
สปส.เพิ่มยอดผู้ประกันตน ปี′56 ดึง 2 แสนคนเข้า ม.40
จี้รัฐตั้งกองทุนชดเชยค่าจ้าง
พนักงานไปรษณีย์บุกกองปราบฯร้องสหภาพฯปฏิบัติหน้าที่มิชอบ-ฉ้อโกง
ผู้ใช้แรงงานยื่นหมื่นชื่อชงร่าง พ.ร.บ.คุ้มครอง เน้นแก้ 14 ประเด็น
สปส.ชงรัฐบาลของบกลาง 600 ล้านบาท ดึงแรงงานนอกระบบ 2 แสนคนเข้ามาตรา 40 ปีหน้า
กกจ.ชี้เหตุตรวจเข้มสุขภาพแรงงาน
บ.ฟาร์อิสยอมเลิกย้าย 99 แรงงานประท้วง
ครสท.วอนรัฐคุมราคาสินค้า
พนักงานโรงงานจี เจ สตีล ประท้วงค่าแรง และสวัสดิการ
พนักงาน รง.อุตฯ ประท้วงนายจ้างไม่จ่ายโบนัสปล่อยน้ำเสียลงป่าสักปลาเลี้ยงตายเป็นแพ
มาเลย์ปล่อยตัว 33 แรงงานไทยลอบเข้าเมือง ทางการมาเลเซีย ปล่อยตัวแรงงานไทยจำนวน 33 คน ที่ถูกจับกุมเนื่องจากลักลอบเข้าไปทำงานโดยผิดกฎหมายกลับประเทศทางด่านพรมแดน สะเดา จ.สงขลา โดยแรงงานที่ถูกปล่อยตัวส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เดินทางเข้าไปทำงานที่ร้านอาหารไทยตามรัฐต่างๆ ในมาเลเซีย แต่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน และไม่มีหนังสือเดินทาง มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 เดือน ถึง 6 เดือน แต่ทางการมาเลเซียได้ละเว้นโทษและปล่อยตัวกลับประเทศในโอกาสพิเศษเทศกาลปีใหม่ เพื่อให้เดินทางกลับมาร่วมเฉลิมฉลองกับครอบครัวที่บ้านเกิด ซึ่งแรงงานทั้งหมดต่างดีใจที่ได้รับการปล่อยตัวโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พร้อมกับเรียกร้องให้ทางการไทยช่วยเหลือในเรื่องขอใบอนุญาตทำงานในมาเลเซีย เนื่องจากยังมีแรงงานอีกจำนวนมากที่เข้าไปทำงานในมาเลเซีย โดยผิดกฎหมาย และถูกทางการมาเลเซียจับกุมอย่างต่อเนื่อง (ไทยโพสต์, 30-12-2555)
องค์กรแรงงานพม่านำข้าวสาร-เงินบริจาค ให้ 500 แรงงานพม่า นายโมโจว ประธานแรงงานพม่าจังหวัดตาก พร้อมด้วยผู้ประกอบการไทย และองค์กรพัฒนาเอกชนพม่า ร่วมกันนำสิ่งของ เป็นข้าวสาร และเครื่องนุ่งห่ม รวมทั้งเงินสดจำนวนหนึ่งบริจาคให้กับแรงงานพม่า ณ โรงงานเย็บผ้า หรือ การ์เม้นท์ ของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส.พี.ที.การ์เม้นท์ บ้านค้างภิบาล ตำบลพระธาตุผาแดง อ.แม่สอด ทั้งนี้เนื่องจากชาวพม่าทั้งได้รับความเดือดร้อนจากไฟไหม้บ้านพักแรงงานพม่า ด้านหน้าโรงงานดงักล่าว เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 55 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้แรงงานพม่าทั้งชาย และหญิงกว่า 500 คน ไร้ที่อยู่อาศัย และยังขาดเครื่องนุ่ม ซึ่งล่าสุดทางผู้ประกอบการได้ให้แรงงานพม่าทั้งหมดไปอาศัยอยู่ภายในโรงงาน โดยให้ทำสถานที่พักนอบๆตัวอาคารเป็นการชั่วคราวไปก่อน การมอบสิ่งของดังกล่าว ได้มีตัวแทนแรงงานชาวพม่าออกมารับสิ่งของด้วยตนเอง (เนชั่นทันข่าว, 31-12-2555)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
“อร่อยจนลืมกลับวัด” ผิด 2 เด้ง Posted: 30 Dec 2012 05:18 PM PST กรณีที่พระมหาวุฒิชัยเมธี วชิรเมธี เขียนคำว่า "อร่อยจนลืมกลับวัด" พร้อมลายมือชื่อของตนเองแปะไว้ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นของลูกศิษย์คนหนึ่งนั้น ถือเป็นความผิด (พลาด) ประการหนึ่งที่ไม่ร้ายแรง แต่การออกมาบอกว่าไม่ผิดธรรมวินัย โดยไม่ยอมรับว่าเป็นการเขียนที่ไม่สมควร อาจถือเป็นความผิดพลาดที่น่าคิด สังคมพึงพิจารณาเป็นอุทธาหรณ์ เรื่องนี้ในเบื้องต้นพระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ให้ความเห็นว่า "เป็นความผิดพลาด ถ้าเขียนว่า 'รสชาติใช้ได้' ก็ไม่ผิด เพราะไม่ได้แสดงถึงการติดรสในความอร่อย . . ." {1} ส่วน รศ.วิทยากร เชียงกูล คณบดีกิตติคุณวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นว่า "เป็นข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น . . . ผมคิดว่ามันเป็นการเรียนรู้ของท่านเองด้วย ท่านก็ยังหนุ่มอยู่ ถ้าเป็นดาราพูดกับแฟนคลับมันคงไม่มีอะไร" {2} สำหรับความอร่อยลิ้น ในทางพุทธศาสนา พระที่มุ่งกำจัดกิเลส ใช้วิธี "ธุดงค์" ซึ่งไม่ใช่การเดินจาริกของพระเช่นที่เข้าใจผิดกันในปัจจุบัน แต่คือ "วัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ แต่ไม่มีการบังคับ แล้วแต่ผู้ใดจะสมัครใจปฏิบัติ เป็นอุบายวิธีกำจัดขัดเกลากิเลส . . . (และหนึ่งในนั้นคือ) ปัตตปิณฑิกังคะ ละเว้นฉันภาชนะที่ 2 ใส่อาหารรวมในภาชนะเดียวกันทั้งหมด สมาทาน ฉันเฉพาะในบาตร" {3} ยิ่งกว่านั้น พระไม่พึงรู้สึกอร่อย หรือมีความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น แต่ควรปล่อยวางโดยพิจารณาเรื่อง "อาหาเรปฏิกูลสัญญา" โดยนายไพศาล พืชมงคล ได้อธิบายไว้ว่า "เป็นแบบวิธีฝึกฝนอบรมจิตวิธีหนึ่งในจำนวน 36 แบบวิธีที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนชาวพุทธ เพื่อให้เข้าใจความเป็นจริงของชีวิตและสรรพสิ่งว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวตนหรือพึงยึดถือเป็นตัวกู ของกู โดยใช้ความเป็นจริงของอาหารเป็นเครื่องพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงว่าแม้รูปภายนอกจะมีรูป รส กลิ่น สี ที่น่าชื่นชม น่าสัมผัส น่ากินสักปานใด แต่แท้จริงล้วนเป็นสิ่งปฏิกูล เมื่อเห็นความจริงเช่นนั้นแล้วก็จะปล่อยปละละวางละถอนความยึดมั่นถือมั่น . . ." {4} ดังนั้นการที่พระมหาวุฒิชัย ฉันอาหารโดยใช้ภาชนะมากกว่าหนึ่งตามการประเคนเช่นนี้ จึงถือว่าไม่เคร่งครัด วัตรปฏิบัติไม่ได้มุ่งที่การบำเพ็ญเพียรเท่าที่ควร เป็นเหมือนพระบ้านทั่ว ๆ ไป ต่างจากพระที่เคร่งครัดในธรรมวินัย โดยเฉพาะพระป่าในสายหลวงปู่ชื่อดังในอดีตหลายแห่ง ที่ยังมีวิธีการเพิ่มเติม เช่น ต้องคนอาหารรวมกันทั้งคาวหวานด้วย เป็นต้น อย่างไรก็ตามพระมหาวุฒิชัย ได้ชี้แจงว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ถือเป็นการผิดวินัยสงฆ์ โดยการเขียนข้อความดังกล่าว เพื่อให้ขวัญกำลังใจกับลูกศิษย์ เป็นข้อความที่เขียนกันทีเล่นทีจริง ตามประสาครูอาจารย์ ลูกศิษย์ อย่าตีความกันเลยเถิดไป" {5} นอกจากนั้นเจ้าของร้านยังได้ออกมาชี้แจงว่า "ขอให้ท่านได้เมตตาเขียนให้กำลังใจตามภาพ ผมนำภาพท่านมาประดับในร้านร่วมกับภาพของครูบาอาจารย์อื่นอีกหลายท่านที่เคยมาเยี่ยมเยือน เพื่อเป็นกำลังใจให้ตนเอง . . . มิได้ประสงค์ประโยชน์ทางการค้า" {6} ในกรณีนี้มีข้อน่าสังเกตดังนี้: 1. พระมหาวุฒิชัยมีความรู้เรื่องพุทธศาสนาเป็นอย่างดีทั้งเรื่อง "ปัตตปิณฑิกังคะ" และ "อาหาเรปฏิกูลสัญญา" ข้างต้น จึงน่าจะรู้ว่าการเขียนเช่นนี้ไม่เหมาะสม เมื่อมีผู้ทักท้วง ก็ควรยอมรับถึงความไม่เหมาะสมนี้อย่างสง่างามซึ่งจะทำให้ได้รับความศรัทธายิ่งขึ้น แทนที่จะเพียงบอกว่า ไม่ได้ผิดวินัยสงฆ์ 2. เจ้าของร้านชี้แจงว่าเอาภาพมาแปะเพื่อเป็นกำลังใจเช่นเดียวกับพระรูปอื่นที่เคยนิมนต์มา แต่เชื่อว่าพระรูปอื่นคงไม่เขียนข้อความแบบนี้ และถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า ก็ควรเก็บภาพเหล่านี้ไว้ในห้องพระแทนที่จะนำมาแสดงให้ลูกค้าได้พบเห็นจนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย โดยสรุปแล้ว แม้สังคมจะเห็นชัดว่าการที่พระมหาวุฒิชัย เขียนข้อความเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่ได้ผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงอย่างไรขนาดว่าต้องสึกเช่นบางคนกล่าวถึง พระก็เป็นเช่นปุถุชนทั่วไป และการที่พระมหาวุฒิชัย มีสถานะเป็นพระ ย่อมสามารถแสดงธรรมให้ประชาชนได้น่าเชื่อถือกว่าการถอดเครื่องแบบพระอย่างแน่นอน ข้อนี้จึงถือเป็นอุทธาหรณ์สำหรับพระหนุ่มดังที่ รศ.วิทยากร ได้ตั้งข้อสังเกตไว้
อ้างอิง {1} พระพยอม ชี้ ข้อความ ว.วชิรเมธี อร่อยจนลืมกลับวัด ผิดพลาด http://news.mthai.com/general-news/209943.html {2} ความจริงหรือเรื่องโกหก ? กรณีท่าน ว. "อร่อยจนลืมกลับวัด" http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000157549 {3} โปรดอ่าน พระวิสุทธิมรรค http://www.buddhistelibrary.org/th/displayimage.php?pid=1995 หน้า 201 เรื่อง ปัตตปิณฑิกังคธุดงค์ รวมทั้งเรื่อง "ธุดงค์" จาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C และพึงดูเพิ่มเติมที่ พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=342 {4} อาหาเรปฏิกูลสัญญา กรรมฐานที่ง่ายเเต่ได้ผลมาก http://www.paisalvision.com/index.php/2008-11-06-06-22-48 5} ว.วชิรเมธี แจง เขียนข้อความ อร่อยจนลืมกลับวัด ไม่ผิดวินัยสงฆ์ http://hilight.kapook.com/view/80046 หรือฟังได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=dcwPjzG2UCo {6} เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นรับผิด ขออภัยทำ "ว.วชิรเมธี" เดือดร้อน http://www.manager.co.th/Local/viewnews.aspx?NewsID=9550000157661
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เยือนเพื่อนบ้าน : จาการ์ตา อินโดนีเซีย Posted: 30 Dec 2012 04:40 PM PST รายการพิเศษส่งท้ายปี 2555 จากประชาไทขอนำเสนอภาพบรรยากาศส่วนเสี้ ประชาไทเยือนเพื่อนบ้าน ขอนำเสนอภาพบรรยากาศของ Jakarta Pusat ซึ่งเป็นพื้นที่โซนที่อยู่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น