ประชาไท | Prachatai3.info |
- สกต.วอนรัฐฯ เร่งช่วยเหลือความปลอดภัยชาวบ้าน หวั่นอิทธิพลมืดก่อเหตุเพิ่ม
- มองการประท้วงเรียกร้องของ ‘กำนันผู้-ใหญ่บ้าน’ ในมุมมอง ‘สวัสดิการ’ คนทำงานภาครัฐ
- 'นิวส์วีค' จับ 'แฮชแท็ก' ขึ้นปกเล่มสุดท้าย ก่อนย้ายไปออนไลน์
- รอลุ้นศาลปกครองตัดสิน คดีชาวสระบุรีร้องผังเมืองช้า โรงงานรุกเขตเกษตรตรึม
- รอลุ้นศาลปกครองตัดสิน คดีชาวสระบุรีร้องผังเมืองออกช้า ทำโรงงานรุกเขตเกษตรตรึม
- โครงการท่อก๊าซในรัฐฉานชะงัก หลังแรงงานจีนหนีกลับเหตุกลัวการสู้รบทหารพม่า-กลุ่มต่อต้าน
- 'แอร์บากาน' ลงจอดฉุกเฉินในรัฐฉาน-เพลิงไหม้เครื่อง เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย
- 'เยาวชนลุ่มน้ำโขง' ร่วม 'NGO ไทย' ทวงความคืบหน้า ‘เจ้าของรางวัลแมกไซไซ’ หายตัวกว่า 10 วัน
- สาระ+ภาพ: สถิติอาวุธที่ใช้ฆาตกรรมในอเมริกา
- รวันดา: บทสรุปของความขัดแย้ง: บทเรียนของโลกหรือบทเรียนของใคร (จบ)
- ฟ้อง ทอท.ระงับสุวรรณภูมิเฟส 2,3
- เมื่อศาลจะฟ้องนักการเมือง
- The Independent เผยเรื่องเด่นวิทยาศาสตร์ปี 2012 ภาวะโลกร้อนยังสำคัญ
- จำคุก 4 ปี อดีตโบรกเกอร์โพสต์ข่าวลือหุ้นตกปี 52-ได้ประกันตัว
- ‘พีมูฟ’ ร้อง ‘ศาลฎีกา’ เลิกทุเลาบังคับคดีที่ดินสวนปาล์มสุราษฎร์ฯ ชี้ความล่าช้าเป็นเหตุความรุนแรง
สกต.วอนรัฐฯ เร่งช่วยเหลือความปลอดภัยชาวบ้าน หวั่นอิทธิพลมืดก่อเหตุเพิ่ม Posted: 25 Dec 2012 07:15 AM PST ร้องช่วยดูเงินเยียวยาญาติ 2 เหยื่อความขัดแย้ง ก่อนเดินหน้าขอความเป็นธรรมศาลฎีกา หลังทุเลาบังคับคดีบริษัทสวนปาล์มสุราษฎร์รุกที่ ส.ป.ก.จนความขัดแย้งหนักทำชาวบ้านถูกยิงดับในพื้นที่ พร้อมเผยมีการตัดแบ่งที่ขายแล้วนับสิบแปลง สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์รุนแรงกรณี นางปรานี บุญรักษ์ และนางมลฑา ชูแก้ว ชาวบ้านในชุมชนคลองไทร ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี ถูกยิงเสียชีวิตด้วยอาวุธสงคราม ในบริเวณชุมชนห่างจากบ้านพักอาศัย 800 เมตร และจนบัดนี้เวลาล่วงเลยมา 1 เดือน กับ 6 วันแต่ก็ยังจับผู้กระทำความผิดมาลงโทษไม่ได้ เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.55 เวลา 10.00 น.ตัวแทนสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้กับทายาทผู้เสียชีวิตจึงร่วมกับตัวแทนเครือข่ายขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) จากภาคเหนือ อีสาน และเครือข่ายสลัม 4 ภาค เดินได้เดินทางเข้าพบ นายสุพร อัตถาวงศ์ รองเลขาการฝ่ายการเมืองนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ พ.ต.ตเสงี่ยม สำราญรัตน์ วัตถุประสงค์เพื่อเจรจาประเด็นเร่งด่วน 3 เรื่อง คือ 1.ต้องการพบหรือกำหนดการที่ชัดเจนในการเข้าพบนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 2.เรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านในชุมชนคลองไทร เพราะเป็นเรื่องของกลุ่มอิทธิพลที่ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดกระบี่และสุราษฎร์ธานี จึงต้องการขอกำลังเจ้าหน้าที่จากกองปราบเข้าไปดูแลด้านคดีและความปลอดภัยในชุมชน 3.เรื่องเงินชดเชยเยียวยาแก่ทายาทผู้เสียชีวิตทั้งสองคนจากกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเรื่องที่ 2 และ 3 ได้รับการตอบรับที่จะช่วยติดตามดูแลและสั่งการให้ ส่วนเรื่องเข้าพบนายกรัฐมนตรีฯ ไม่มีการรับปากแต่ขอให้มาฟังคำตอบในวันที่ 25 ธ.ค.55 วันนี้ (25 ธ.ค.55) เวลา 10.10 น.ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมและสมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ก็ได้เคลื่อนขบวนไปที่หน้าประตูทำเนียบอีกครั้งหนึ่ง เพื่อขอคำตอบและเวลาที่ชัดเจนในการเข้าพบนายกรัฐมนตรีฯแต่ไม่มีคำตอบจากนายสุพร โดยเจ้าหน้าที่บอกว่าให้กลับบ้านไปก่อน หลังจากนั้นเวลา 11.00 น.ชาวบ้านก็ได้ตั้งขบวนเดินทางไปที่ศาลฎีกา เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อท่านประธานศาลฎีกา กรณีบริษัทจิวกังจุ้ยพัฒนา จำกัด ที่ขอทุเลาการบังคับคดีในชั้นศาลฎีกาและศาลอนุญาต การพิจารณาคดีที่ใช้เวลานานเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความรุนแรง ทั้งๆ ที่บริษัทฯ บุกรุกที่ดิน สปก.ปลูกปาล์มน้ำมันมานานกว่า 20 ปีและยังสร้างความเสียหายโดยการตัดแบ่งที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นแปลงย่อยนับสิบแปลงเพื่อขายอย่างผิดกฎหมาย ทั้งที่ตามระเบียบสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้กำหนดให้เกษตรกรที่รับสิทธิเข้าทำประโยชน์เพื่อเกษตรกรรมเท่านั้น ห้ามซื้อขายหรือถ่ายโอนเด็ดขาด ด้านนายกลภัทย์ แสงบรรจง เลขาธิการประธานศาลฏีกา ผู้ออกมารับหนังสือรับปากกับชาวบ้านว่าจะยื่นหนังสือถึงท่านประธานศาลฏีกาอย่างเร่งด่วน สำหรับพื้นที่ที่เกิดเหตุ มีเนื้อที่จำนวน 1,374 ไร่ ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 2 ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี และพื้นที่หมู่ 6 ต.เขาดิน อ.เขาพนม จ.กระบี่ ซึ่งสำนักงานปฏิรูปที่ดินได้ประกาศเป็นเขตปฏิรูปเมื่อปี 2531 และได้ยื่นฟ้องขับไล่ บริษัทจิวกังจุ้ยพัฒนา จำกัด ซึ่งเข้าครอบครองที่ดินโดยไม่ถูกต้อง หลังไม่สามารถพิสูจน์สิทธิ์การถือครองได้เมื่อปี 2547 ต่อศาลจังหวัดกระบี่ แต่บริษัทจิวกังจุ้ยพัฒนาได้ฟ้องแย้ง ล่าสุดเมื่อ 29 เม.ย.54 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนว่าที่ดินที่พิพาทเป็นของรัฐ ไม่จำต้องเวนคืนก่อนฟ้องขับไล่ สปก.เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ มีอำนาจฟ้องขับไล่ ซึ่งปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โดยภายหลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืน ทาง ส.ป.ก.ได้ดำเนินการเข้าติดประกาศ แจ้งให้ทราบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ดินของรัฐ ห้ามมีการจำหน่าย ถ่ายโอน แต่ก็พบว่ามีการซื้อขายกันอย่างต่อเนื่อง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||
มองการประท้วงเรียกร้องของ ‘กำนันผู้-ใหญ่บ้าน’ ในมุมมอง ‘สวัสดิการ’ คนทำงานภาครัฐ Posted: 25 Dec 2012 06:50 AM PST | ||
'นิวส์วีค' จับ 'แฮชแท็ก' ขึ้นปกเล่มสุดท้าย ก่อนย้ายไปออนไลน์ Posted: 25 Dec 2012 06:19 AM PST นิวส์วีค นิตยสารข่าวรายสัปดาห์ซึ่งมีอายุกว่า 80 ปี เผยภาพปกของฉบับที่จะตีพิมพ์เป็นเล่มสุดท้ายแล้ว โดยเป็นภาพถ่ายขาวดำของสำนักงานใหญ่นิวส์วีคในแมนแฮตตัน พร้อมโปรยตัวหนังสือ #lastprintissue (ฉบับพิมพ์เล่มสุดท้าย)
ทั้งนี้ # หรือแฮชแท็กนั้น มาจากคำที่ใช้เรียกสัญลักษณ์ในเว็บเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างทวิตเตอร์ ใช้เพื่อกำหนดหัวข้อหรือใส่คำสำคัญในข้อความที่ทวีตออกไป การสิ้นสุดของนิวส์วีคในรูปแบบหนังสือนั้นมีสาเหตุมาจากรายได้ค่าโฆษณาที่ลดลง เนื่องจากผู้อ่านหันไปอ่านทางออนไลน์แทน นับจากปีใหม่ไป นิวส์วีคจะเผยแพร่ในรูปแบบดิจิทัลเท่านั้น ทินา บราวน์ บรรณาธิการนิวส์วีคบอกว่า นี่เป็น "บทใหม่" ของนิตยสาร โดยตั้งแต่สัปดาห์แรกของเดือนมกราคม จะอ่านนิวส์วีคได้ทางไอแพด คินเดิล และสมาร์ทโฟน และปลายเดือนกุมภาพันธ์ จะได้พบกับการเปลี่ยนแปลงเต็มรูปแบบในชื่อ "นิวส์วีค โกลบอล" นิวส์วีคฉบับแรก ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2476 โดยดึงดูดความสนใจด้วยปก 7 ภาพข่าวในแต่ละวันของสัปดาห์นั้น และแม้ว่านิวส์วีคมักจะครองตำแหน่งที่สองรองจากคู่แข่งอย่างนิตยสารไทม์ แต่นิวส์วีคก็สร้างชื่อได้ในศตวรรษที่ 1960 จากการติดตามข่าวของการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิของพลเมือง นิวส์วีคเคยมียอดจำหน่ายสูงสุด 3 ล้านฉบับ แต่จำนวนผู้อ่านกลับลดลง รวมถึงรายได้จากโฆษณาก็เริ่มน้อยลง นิวส์วีคถูกบริษัทวอชิงตันโพสต์ขายให้กับซิดนีย์ ฮาร์แมน นักธุรกิจสื่อ ก่อนจะถูกควบรวมกิจการกับเว็บเดอะเดลีบีสต์ (the Daily Beast) ในสามเดือนต่อมา บราวน์ซึ่งเคยเป็นบรรณาธิการวานิตี้ แฟร์ (Vanity Fair) และเดอะนิวยอร์กเกอร์ เผยโฉมปกใหม่นี้ในทวิตเตอร์และทวีตว่า "หวานอมขมกลืน! ขอให้พวกเราโชคดี!" @sacca ผู้อ่านคนหนึ่ง ทวีตว่า "ปกของนิวส์วีคฉบับพิมพ์เล่มสุดท้ายมีแฮชแท็กอยู่บนปก คล้ายเป็นการใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายชี้ตัวฆาตกร" การย้ายสู่ฉบับดิจิทัลจะช่วยให้นิวส์วีคตัดค่าใช้จ่าย เช่น ค่าพิมพ์ ค่าไปรษณีย์ และการจัดส่ง แต่ก็จะสูญเสียเม็ดเงินจากโฆษณาในสิ่งพิมพ์ซึ่งโดยทั่วไปมักจะจ่ายมากกว่าโฆษณาในออนไลน์ ขณะเดียวกัน เมื่อนิวส์วีคไม่พิมพ์เป็นหนังสือแล้ว เดอะเดลีบีสต์ก็ยืนยันว่าจะทำให้มีพนักงานในกองบรรณาธิการจำนวนมากเกินจำเป็น
A New Chapter ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||
รอลุ้นศาลปกครองตัดสิน คดีชาวสระบุรีร้องผังเมืองช้า โรงงานรุกเขตเกษตรตรึม Posted: 25 Dec 2012 05:48 AM PST 25 ธ.ค.55 ที่ศาลปกครองกลาง มีการพิจารณาคดีเป็นครั้งแรก ในคดีที่ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรม อ.หนองแซง จ.สระบุรี ฟ้องหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับการออกผังเมือง ในฐานะละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินควรในการประกาศผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรี ทำให้เกิดกรณีการสร้างโรงงานในพื้นที่ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าหนองแซงที่เริ่มปักเสาเข็มแล้วและชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ก็ได้ฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนใบอนุญาตด้วยเช่นกัน และอยู่ระหว่างรอนัดวันพิพากษาเช่นเดียวกับคดีนี้ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ตุลาการผู้แถลงคดีให้ 'ยกฟ้อง' คดีเพิกถอน 'ใบอนุญาตโรงไฟฟ้า' ชี้ EIA แก้ปัญหาแล้ว! รอลุ้นคำพิพากษาต่อ ) ในวันนี้ศาลได้อ่านสรุปข้อเท็จจริงต่างๆให้ผู้ฟ้องฟังและเปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายแถลง นายสงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ ทนายจากโครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม (ENLAW) กล่าวว่า การแถลงคดีในวันนี้ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งฝ่ายชาวบ้าน ฝ่ายโรงไฟฟ้ารวมถึงตุลาการผู้แถลงคดี ต่อไปจะเป็นการฟังคำพิพากษา ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกับอีกคดีหนึ่งที่ฟ้องให้เพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งศาลยังไม่ได้นัดหมายวันฟังคำพิพากษาล่วงหน้า แต่โดยปกติมักจะใช้เวลา 1-2 เดือน นายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี ชาวบ้านหนองแซง แถลงถึงเหตุผลที่หนองแซงถูกกำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรมว่า เพราะเขตนี้เป็นเขตชลประทานมากกว่า 40 ปี มีโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้มีการปลูกข้าวกันเต็มพื้นที่มาอย่างยาวนาน ในร่างผังเมืองซึ่งเริ่มจัดทำตั้งแต่ปี 2546 จนมาชัดเจนเมื่อ 2549 จึงกำหนดให้เขตนี้เป็นเขตเกษตรกรรม แต่เพราะความล่าช้าของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้ระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศผังเมืองอย่างเป็นทางการ ได้มีโรงงานจำนวนมากเกิดขึ้นในพื้นที่ นายสงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ ทนายแถลงว่า ในขณะที่มีการยื่นฟ้องนี้ การจัดทำผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรีผ่านมากว่า 7 ปี นับตั้งแต่ปี 2546 ก็ยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งที่กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจะมีอายุบังคับเพียง 5 ปีเท่านั้น ท้ายที่สุดแม้จะมีการประกาศผังเมืองรวมแล้วเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2555 แต่ก็ใช้เวลายาวนานกว่า 9 ปี โดยหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 15(3) แห่งพ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ. 2518 เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ทรัพย์สิน การใช้ประโยชน์ที่ดิน อันจะทำให้ผังเมืองที่จัดทำนี้มีผลบังคับได้จริงเมื่อมีการประกาศใช้ ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว เป็นเหตุให้มีการขออนุญาตก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมที่ขัดต่อข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ตามผังเมืองเรื่อยมา โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอหนองแซง ซึ่งผังเมืองกำหนดให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรมมีข้อกำหนดห้ามสร้างโรงงานทุกประเภท เว้นแต่โรงงานขนาดเล็กตามที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายร่างกฎกระทรวงฯ สงกรานต์กล่าวด้วยว่า แม้ผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรีจะมีผลใช้บังคับแล้ว แต่ด้วยความล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่ ได้ทำให้ผังเมืองที่ประกาศใช้บังคับนี้ไม่อาจใช้ประโยชน์ได้จริง และสร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชุมชน ฉะนั้น ผลแห่งคดีนี้ยังคงมีความสำคัญในการสร้างบรรทัดฐานการใช้การตีความกฎหมายผังเมือง อันมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อทั้งหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำผังเมืองและประชาชนที่จะอยู่ภายใต้บังคับของผังเมืองรวมทั่วประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำกว่า 70 จังหวัด ตัวแทนโรงไฟฟ้าหนองแซง แถลงว่า ขอให้ศาลจำหน่ายคดีนี้เนื่องจากกาประกาศผังเมืองรวมนั้นได้ดำเนินการไปแล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ส่วนตุลาการผู้แถลงคดี ได้แถลงแนวทางในเรื่องนี้ไว้ว่า อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองมีความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ เนื่องจากไม่กำหนดหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ทรัพย์สินระหว่างที่ผังเมืองยังไม่ประกาศใช้ ส่วนประเด็นที่ว่าการทำผังเมืองล่าช้าหรือไม่นั้น เห็นว่าไม่ล่าช้าเกินไป เพราะการทำผังเมืองรวมมีกรระบวนการหลายขั้นตอน ต้องกระทำด้วยความรอบคอบ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย จึงไม่ถือว่าหน่วยงานปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า ทั้งนี้ คดีนี้นายบุญชู วงษ์อนุ และชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์วิถีชีวิตเกษตรกรรม อำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี ยื่นฟ้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553 ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, กรมโยธาธิการและการผังเมือง, เจ้าพนักงานการผัง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี และคณะกรรมการผังเมือง ในฐานละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ในการประกาศใช้ผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรี และไม่ประกาศกำหนดห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ขัดต่อร่างผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรี ในระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศใช้ผังเมืองรวม เพื่อขอให้ศาลพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องประกาศใช้ผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรี
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||
รอลุ้นศาลปกครองตัดสิน คดีชาวสระบุรีร้องผังเมืองออกช้า ทำโรงงานรุกเขตเกษตรตรึม Posted: 25 Dec 2012 05:47 AM PST 25 ธ.ค.55 ที่ศาลปกครองกลาง มีการพิจารณาคดีเป็นครั้งแรก ในคดีที่ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรม อ.หนองแซง จ.สระบุรี ฟ้องหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับการออกผังเมือง ในฐานะละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินควรในการประกาศผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรี ทำให้เกิดกรณีการสร้างโรงงานในพื้นที่ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าหนองแซงที่เริ่มปักเสาเข็มแล้วและชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ก็ได้ฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนใบอนุญาตด้วยเช่นกัน และอยู่ระหว่างรอนัดวันพิพากษาเช่นเดียวกับคดีนี้ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ตุลาการผู้แถลงคดีให้ 'ยกฟ้อง' คดีเพิกถอน 'ใบอนุญาตโรงไฟฟ้า' ชี้ EIA แก้ปัญหาแล้ว! รอลุ้นคำพิพากษาต่อ ) ในวันนี้ศาลได้อ่านสรุปข้อเท็จจริงต่างๆให้ผู้ฟ้องฟังและเปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายแถลง นายสงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ ทนายจากโครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม (ENLAW) กล่าวว่า การแถลงคดีในวันนี้ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งฝ่ายชาวบ้าน ฝ่ายโรงไฟฟ้ารวมถึงตุลาการผู้แถลงคดี ต่อไปจะเป็นการฟังคำพิพากษา ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกับอีกคดีหนึ่งที่ฟ้องให้เพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งศาลยังไม่ได้นัดหมายวันฟังคำพิพากษาล่วงหน้า แต่โดยปกติมักจะใช้เวลา 1-2 เดือน นายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี ชาวบ้านหนองแซง แถลงถึงเหตุผลที่หนองแซงถูกกำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรมว่า เพราะเขตนี้เป็นเขตชลประทานมากกว่า 40 ปี มีโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้มีการปลูกข้าวกันเต็มพื้นที่มาอย่างยาวนาน ในร่างผังเมืองซึ่งเริ่มจัดทำตั้งแต่ปี 2546 จนมาชัดเจนเมื่อ 2549 จึงกำหนดให้เขตนี้เป็นเขตเกษตรกรรม แต่เพราะความล่าช้าของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้ระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศผังเมืองอย่างเป็นทางการ ได้มีโรงงานจำนวนมากเกิดขึ้นในพื้นที่ นายสงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ ทนายแถลงว่า ในขณะที่มีการยื่นฟ้องนี้ การจัดทำผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรีผ่านมากว่า 7 ปี นับตั้งแต่ปี 2546 ก็ยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งที่กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจะมีอายุบังคับเพียง 5 ปีเท่านั้น ท้ายที่สุดแม้จะมีการประกาศผังเมืองรวมแล้วเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2555 แต่ก็ใช้เวลายาวนานกว่า 9 ปี โดยหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 15(3) แห่งพ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ. 2518 เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ทรัพย์สิน การใช้ประโยชน์ที่ดิน อันจะทำให้ผังเมืองที่จัดทำนี้มีผลบังคับได้จริงเมื่อมีการประกาศใช้ ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว เป็นเหตุให้มีการขออนุญาตก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมที่ขัดต่อข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ตามผังเมืองเรื่อยมา โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอหนองแซง ซึ่งผังเมืองกำหนดให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรมมีข้อกำหนดห้ามสร้างโรงงานทุกประเภท เว้นแต่โรงงานขนาดเล็กตามที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายร่างกฎกระทรวงฯ สงกรานต์กล่าวด้วยว่า แม้ผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรีจะมีผลใช้บังคับแล้ว แต่ด้วยความล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่ ได้ทำให้ผังเมืองที่ประกาศใช้บังคับนี้ไม่อาจใช้ประโยชน์ได้จริง และสร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชุมชน ฉะนั้น ผลแห่งคดีนี้ยังคงมีความสำคัญในการสร้างบรรทัดฐานการใช้การตีความกฎหมายผังเมือง อันมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อทั้งหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำผังเมืองและประชาชนที่จะอยู่ภายใต้บังคับของผังเมืองรวมทั่วประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำกว่า 70 จังหวัด ตัวแทนโรงไฟฟ้าหนองแซง แถลงว่า ขอให้ศาลจำหน่ายคดีนี้เนื่องจากกาประกาศผังเมืองรวมนั้นได้ดำเนินการไปแล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ส่วนตุลาการผู้แถลงคดี ได้แถลงแนวทางในเรื่องนี้ไว้ว่า อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองมีความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ เนื่องจากไม่กำหนดหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ทรัพย์สินระหว่างที่ผังเมืองยังไม่ประกาศใช้ ส่วนประเด็นที่ว่าการทำผังเมืองล่าช้าหรือไม่นั้น เห็นว่าไม่ล่าช้าเกินไป เพราะการทำผังเมืองรวมมีกรระบวนการหลายขั้นตอน ต้องกระทำด้วยความรอบคอบ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย จึงไม่ถือว่าหน่วยงานปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า ทั้งนี้ คดีนี้นายบุญชู วงษ์อนุ และชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์วิถีชีวิตเกษตรกรรม อำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี ยื่นฟ้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553 ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, กรมโยธาธิการและการผังเมือง, เจ้าพนักงานการผัง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี และคณะกรรมการผังเมือง ในฐานละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ในการประกาศใช้ผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรี และไม่ประกาศกำหนดห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ขัดต่อร่างผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรี ในระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศใช้ผังเมืองรวม เพื่อขอให้ศาลพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องประกาศใช้ผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรี
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||
โครงการท่อก๊าซในรัฐฉานชะงัก หลังแรงงานจีนหนีกลับเหตุกลัวการสู้รบทหารพม่า-กลุ่มต่อต้าน Posted: 25 Dec 2012 04:59 AM PST แรงงานจีนที่มารับจ้างงานวางท่ มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า แรงงานจีนที่มารับจ้างงานวางท่ มีรายงานว่า แรงงานจีนทั้งหมดได้พากันหนีข้ ทั้งนี้ แรงงานจีนได้เข้ามาในพื้นที่ครั้งนี้ก็เพื่อมารับจ้างงานวางท่ สำหรับในพื้นที่เมืองน้ำคำ มีทหารกองกำลังกลุ่มต่อต้านรั ทั้งนี้ ท่อก๊าซดังกล่าวอยู่ในโครงการฉ่
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ "คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||
'แอร์บากาน' ลงจอดฉุกเฉินในรัฐฉาน-เพลิงไหม้เครื่อง เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย Posted: 25 Dec 2012 04:53 AM PST เกิดเหตุเครื่องบิ สมาชิกพรรคเสือเผือก SNDP รายหนึ่งที่กำลังอยู่ระหว่างเดิ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุดสำนักประชาสัมพันธ์ สำหรับเครื่องบินลำดังกล่าวได้
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ "คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||
'เยาวชนลุ่มน้ำโขง' ร่วม 'NGO ไทย' ทวงความคืบหน้า ‘เจ้าของรางวัลแมกไซไซ’ หายตัวกว่า 10 วัน Posted: 25 Dec 2012 03:01 AM PST ภาคประชาสังคมไทยยื่นหนังสือถึงเอกอัครราชทูต สปป.ลาว จี้ต้องมีคำอธิบายกรณี 'สมบัด สมพอน' หายตัวไป ด้านเยาวชนลุ่มน้ำโขง 5 ประเทศร่วมเรียกร้องสร้างสันติภาพ เร่งติดตามตัวนักพัฒนาอาวุโสของลาวกลับมาอย่างปลอดภัย วันนี้ (25 ธ.ค.55) เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น.คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ภาคประชาสังคมไทย และเยาวชนลุ่มน้ำโขงกว่า 20 คน รวมตัวกันบริเวณหน้าสถานทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประจำประเทศไทย ชูป้ายเรียกร้องให้นำตัวนายสมบัด สมพอน (Sombath Somphone) กลับมาอย่างปลอดภัย ก่อนยื่นหนังสือถึงเอกอัครราชทูต สปป.ลาวประจำ สืบเนื่องจากกรณีที่นายสมบัด นักพัฒนาอาวุโสของลาว เจ้าของรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการชุมชน ประจำปี พ.ศ.2548 และเป็นผู้ก่อตั้งศูนย์อบรมร่วมพัฒนา (PADETC) ได้หายตัวไปตั้งแต่เวลาประมาณ 17.00 น.ของวันเสาร์ที่ 15 ธ.ค.55 และมีข้อมูลว่าในวันดังกล่าวนายสมบัดถูกตำรวจเรียกให้หยุดรถระหว่างทางกลับบ้านพักกลางกรุงเวียงจันทน์ ก่อนที่จะหายตัวไป ในส่วนภาคประชาสังคมไทยเมื่อทราบข่าวก็มีการจัดทำจดหมายเปิดผนึกและมีการร่วมลงนามจาก 61 องค์กร ส่งถึงหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลลาว เพื่อขอให้เร่งสืบสวนเรื่องการหายตัวไปของนายสมบัด ตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา กิจกรรรมในวันนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมได้อ่านจดหมายเปิดผนึกของภาคประชาสังคมไทย และ 'เสียงจากเยาวชนลุ่มน้ำโขงแด่ อ้ายสมบัด สมพอน' ซึ่งเป็นสารจากเยาวชนลุ่มน้ำโขง 5 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม ก่อนยื่นจดหมายเปิดผนึกที่ลงนามโดยองค์กรภาคประชาสังคมไทย และจดหมายทวงถามความคืบหน้า ให้แก่ท้าวพูคำ หลวงจินดาวง เลขานุการตรีประจำสถานทูต สปป.ลาว เป็นผู้ออกมารับจดหมาย โดยไม่ได้กล่าวถ้อยคำใดๆ กับผู้มายื่นจดหมาย "พลเมืองในสังคมลาวกำลังเรียกร้องสันติภาพอันแท้จริง การปกครองด้วยประบอบประชาธิปไตยอันแท้จริง และความยุติธรรมที่แท้จริง ขออ้ายสมบัด สมพอน เป็นอิสระ" สารจากเยาวชนลาวระบุ จารุวรรณ สุพนไร่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายภูมิภาค มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม รับผิดชอบโครงการประสานความร่วมมือเพื่อคนรุ่นใหม่ในลุ่มน้ำโขง ซึ่งร่วมอ่านสารจากเยาวชนลุ่มน้ำโขงกล่าวว่า เราต้องการจะส่งเสียงเพื่อสื่อสารถึงทุกคนในภูมิภาคนี้ให้ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เปิดพื้นที่ และตรงนี้เองจะเป็นแรงผลักดันให้กลุ่มเยาวชนขับเคลื่อนงานกันต่อไป อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นกับอ้ายสมบัดมีผลทั้งในด้านบวกและด้านลบโดยเฉพาะต่อเยาวชนที่ทำงานเพื่อสังคมในประเทศลาว ซึ่งหลายคนก็เกิดความกลัวไม่กล้าทำอะไรเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาส่วนตัวตั้งข้อสังเกตได้ว่าเยาวชนลาวเติบโตและกล้าที่จะตั้งคำถามต่อการทำงานของภาครัฐมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผลของการบ่มเพาะจากทำงานสร้างคนรุ่นใหม่ของอ้ายสมบัติมากว่า 20 ปี "สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนทำงานเพื่อสังคมในหลายๆ พื้นที่ทำให้เราลุกขึ้นมาตั้งคำถาม และเยาวชนลุ่มน้ำโขงได้เติบโตขึ้น" จารุวรรณกล่าว และแสดงความเห็นด้วยว่าการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนทำให้เยาวชนได้แลกเปลี่ยนประเด็นข้ามประเทศกันมาขึ้น ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้าเครือข่ายภาคประชาชนกลุ่มดังกล่าวยังได้จัดกิจกรรม "ภาวนาเพื่อสมบัด สมพอน" ในช่วงเช้า ณ อุโบสถ วัดทองนพคุณ เขตคลองสาน กรุงเทพฯ "เพื่อให้อานุภาพของคุณพระศรีรัตนตรัย ได้แผ่ปกคลุมข้ามแม่น้ำโขงไปยังประเทศลาว เพื่อให้คุ้มครองสมบัด แม้จากคนที่คิดร้ายก็จะกลับใจมาดีได้" สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักคิดคนสำคัญของไทย กล่าวนำถึงความสำคัญของการภาวนาว่าก่อนพิธีการ จากนั้น พระไพศาล วิสาโล จากวัดป่าสุคะโต ได้นำการภาวนาเพื่อ สมบัด สมพอน โดยผู้เข้าร่วมประมาณ 50 คน ได้ร่วมกันภาวนาและสงบนิ่งเพื่อส่งกำลังใจไปยังท่านสมบัดและครอบครัวเป็นเวลาประมาณ 30 นาที
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||
สาระ+ภาพ: สถิติอาวุธที่ใช้ฆาตกรรมในอเมริกา Posted: 25 Dec 2012 02:59 AM PST สหรัฐอเมริกามีจำนวนผู้ถือครอง "ปืน" มากที่สุดในโลก ใน 100 คนจะมีปืน 89 กระบอก และเหตุสังหารหมู่นักเรียนอนุบาลครั้งล่าสุด ก็ส่งผลให้บารัค โอบามา แถลงถึงความตั้งใจที่จะให้การควบคุมปืนเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในการดำรงตำแหน่งวาระที่สองของเขา การสังหารหมู่ที่โรงเรียนประถมแซนดี้ ฮุก เมืองนิวทาวน์ รัฐคอนเนคติคัต ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 28 คน ในจำนวนนี้ เป็นเด็กประถม 20 คน นำมาซึ่งการถกเถียงประเด็นเรื่องการควบคุมการใช้ปืนในสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ล่าสุด ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แถลงถึงความตั้งใจที่จะให้การควบคุมปืนเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในการดำรงตำแหน่งวาระที่สองของเขา และย้ำว่า จะผลักดันให้มีกฎหมายการควบคุมอาวุธปืนผ่านสภาภายในเดือนมกราคม การกราดยิงที่เกิดขึ้น และการถกเถียงเรื่องการควบคุมปืนในสหรัฐที่ตามมาหลังจากนั้น ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสหรัฐอเมริกา เฉพาะในปีนี้ (2555) มีเหตุกราดยิงในสหรัฐแล้วอย่างน้อย 16 ครั้ง ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากการกราดยิงในปีนี้มีอย่างน้อย 88 คน ซึ่งปฏิกิริยาที่ตามมาจากฝ่ายสนับสนุนการควบคุมปืน ก็ชี้ว่า สหรัฐอเมริกาจำป็นต้องมีกฎหมายที่เข้มงวด จำกัดการเข้าถึงปืน และแบนอาวุธและกระสุนที่มีความอันตรายสูง ส่วนสมาคมไรเฟิลแห่งชาติ (National Rifles Association) หนึ่งในกลุ่มล็อบบี้ที่สนับสนุนการถืออาวุธปืน ก็ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขกฎหมายปัจจุบัน และย้ำว่า "วิธีเดียวที่จะหยุดคนเลวที่มีปืน ก็คือคนดีที่มีปืน" และระบุว่า ต้องแก้ปัญหาเรื่องระบบความปลอดภัยในโรงเรียนหรือสถานที่ทำงานแทน เหตุที่สหรัฐอเมริกา มีเหตุการณ์การยิงกราดและฆาตกรรมด้วยอาวุธปืนบ่อยครั้งซ้ำแล้วซ้ำอีกขนาดนี้ อาจกล่าวได้ว่า มีที่มาจากวัฒนธรรมของสหรัฐอเมริกาในการติดอาวุธปืน โดยในรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมมาตราที่ 2 ของสหรัฐอเมริกา (Second Amendment) ได้ระบุถึงสิทธิของพลเมืองในการถืออาวุธ ซึ่งประชาชนทั่วไปที่ไม่มีความผิดปกติทางจิตใจ ไม่มีประวัติอาชญากรรม อายุเกิน 18 หรือ 21 ก็สามารถจะซื้อปืนมาเป็นของตนเองได้ แล้วแต่ประเภทของปืนที่รัฐกำหนด โดยต้องผ่านการเช็คประวัติ และลงทะเบียนปืนให้ถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ช่องโหว่ตามกฎหมาย เช่นการซื้อจากร้านขายปืนมือสอง หรือการซื้อปืนและกระสุนจากอินเทอร์เน็ตและจัดส่งทางไปรษณีย์ ก็ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการเช็คประวัติ หรือทำให้ครอบครองอาวุธปืนจำนวนมากได้ในเวลาอันสั้น สถิติจากการรวบรวมของเว็บไซต์ Motherjones.com ชี้ว่า การกราดยิงที่เกิดขึ้นครั้งใหญ่ๆ ในสหรัฐอเมริการะหว่างปี 2525-2555 มีถึง 49 ครั้ง ที่ฆาตกรซื้ออาวุธมาอย่างถูกกฎหมาย มีเพียง 11 ครั้ง ที่อาวุธดังกล่าวผิดกฎหมาย และ 1 ครั้ง ที่ไม่ทราบที่มาของอาวุธ ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในโลก สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีอาวุธปืนต่อหัวประชากรมากที่สุดในโลก คือประชากรจำนวน 270 ล้านคนมีอาวุธในครอบครอง หรือโดยเฉลี่ย คิดเป็นชาวอเมริกันทุกๆ 10 คน มีปืน 9 กระบอก ส่วนประเทศที่มีอาวุธปืนรองลงมา คือเยเมน ฟินแลนด์ ไซปรัส และอิรัก ตามลำดับ ส่วนในหมู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือในกลุ่มประเทศ OECD สหรัฐอเมริกายังนับว่าเป็นประเทศที่มีการถือครองอาวุธปืนอยู่สูงมาก โดยต่อ 100 คน มีประชากรสหรัฐถึง 89 คน มีอาวุธปืน รองลงมา คือสวิสเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ สวีเดน และนอร์เวย์ตามลำดับ ส่วนประเทศที่มีประชากรครอบครองอาวุธปืนน้อยที่สุด คือ ญี่ปุ่น ซึ่งต่อ 100 คน มีเพียง 1 คนเท่านั้นถือมีอาวุธปืน เมื่อดูเรื่องความรุนแรงจากการฆาตกรรมด้วยอาวุธปืน เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ในยุโรป แคนาดา อินเดีย และออสเตรเลีย ข้อมูลก็ชี้ว่า สหรัฐมีอัตราความรุนแรงที่เกิดจากปืนล้ำหน้ามากกว่าประเทศอื่น โดยสถิติของชนิดอาวุธที่ใช้ฆาตกรรม คิดเป็นปืนร้อยละ 68 จากประเภทอาวุธทั้งหมด แต่ถ้าหากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในโลก ประเทศที่ถือว่ามีความรุนแรงจากปืนมากที่สุด คือฮอนดูรัส และบางประเทศในอเมริกาใต้และแอฟริกาใต้ ถึงแม้ว่าความเกี่ยวข้องระหว่างจำนวนการถืออาวุธปืน และความรุนแรงที่เกิดจากปืน ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าสัมพันธ์กันมากน้อยแค่ไหน ในฝ่ายที่มาจากจุดยืนที่แตกต่าง รวมถึงการงานวิจัยที่ยังอาจไม่มีข้อสรุปตายตัว แต่เราก็คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า อาวุธปืนมีส่วนในการเกิดความรุนแรงและการสังหารหมู่ ในวันที่ 14 ธ.ค. 55 วันเดียวกันกับการสังหารหมู่ที่โรงเรียนแซนดี้ ครุก อีกฟากฝั่งหนึ่งของโลก มีคนร้ายถืออาวุธมีดเข้าดักทำร้ายเด็กนักเรียนและครูที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในจีนตอนกลาง ส่งผลให้มีเด็กๆ บาดเจ็บ 22 คน และผู้ใหญ่บาดเจ็บหนึ่งคน ไม่มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต ลองจินตนาการดูว่า หากคนร้ายใช้อาวุธปืนกึ่งออโตเมติกหรือปืนไรเฟิลกับโรงเรียนประถมแห่งนี้ในจีน ดั่งที่อดัม ลันซา คนร้ายที่ก่อเหตุกราดยิงที่โรงเรียนแซนดี้ ฮุก เราก็คงจะได้ยินข่าวการสังหารหมู่อีกแห่งหนึ่งในจีนเป็นแน่แท้ ข้อมูลเรียบเรียงจาก: http://www.motherjones.com/politics/2012/07/mass-shootings-map http://www.thenation.com/blog/171774/fifteen-us-mass-shootings-happened-2012-84-dead# ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||
รวันดา: บทสรุปของความขัดแย้ง: บทเรียนของโลกหรือบทเรียนของใคร (จบ) Posted: 25 Dec 2012 02:23 AM PST ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนนั้นมีมาอย่างยาวนานแล้ว ประชาชนหลายเผ่าพันธุ์ต่างก็สู้รบกันมานับพันๆปี ซึ่งประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามที่ต่อเนื่องยาวนานส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นระหว่างกรีกกับเปอร์เซีย อังกฤษกับสเปน สหภาพโซเวียตกับประเทศในอาณานิคม และอื่นๆอีกมากมาย ไม่ใช่เพียงแค่ความแตกต่างของการสังกัดภายใต้ประเทศที่ต่างกัน หรือต่างเผ่าพันธุ์กันเท่านั้นที่ได้สู้รบต่อกัน แม้แต่กลุ่มคนที่แตกต่างกันทางด้านศาสนาไม่ว่าชาวคาธอลิกกับโปแตสแตนท์ในไอร์แลนด์เหนือ ชาวคริสต์กับมุสลิมในบอสเนีย และชาวพุทธกับชาวฮินดูในศรีลังกา ล้วนแล้วก็ขัดแย้งกันทั้งสิ้น บ่อยครั้งที่เผ่าพันธุ์ ภาษา และศาสนาซึ่งเป็นความแตกต่างกันในสาระสำคัญของแต่ละวัฒนธรรม ได้เป็นตัวกำหนดปรากฏการณ์ทางสังคมที่ทำให้มีการสร้างอัตลักษณ์ แบ่งแยกลักษณะของแต่ละฝ่ายแต่ละพวกออกจากกันเป็นกลุ่มๆ เป็นพวกเขาพวกเราตามมา เป็นต้นว่า คนส่วนใหญ่ของกรีกนับถือศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ และพูดภาษากรีก ในขณะที่คนอิตาลีส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกและพูดภาษาอิตาเลียน หรือในบางพื้นที่วัฒนธรรมอย่างหนึ่งทรงสถานะเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่นๆ เช่น ชาวเซิร์บและชาวโครแอธ ต่างก็พูดภาษาเดียวกันแต่ก็ยังแยกออกเป็นสองกลุ่มเพราะว่าชาวโครแอธส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิก ส่วนชาวเซิร์บส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าตามที่กล่าวมานั้นความเชื่อด้านศาสนาสำคัญกว่าการใช้ภาษาในการแบ่งแยกฝ่ายแยกเขาแยกเรา อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ความขัดแย้งที่ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆนั้น มีเหตุผลหลัก สามประการที่สำคัญคือ ประการแรก การมีอาณาจักรขนาดใหญ่ หากดูแผนที่โลกจากปี 1900 1950 และ 1998 เราจะเห็นได้ว่าประเทศขนาดกลางและขนาดเล็กได้มีการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในยุคสมัยที่ประเทศมหาอำนาจยังเรืองอำนาจ และประเทศเกิดใหม่ยังดำรงอยู่ได้โดยไม่มีความขัดแย้งนั้น เพราะผู้ปกครองที่มีอำนาจได้ระงับความขัดแย้งต่างๆไว้ได้ชั่วคราว ทั้งความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์ ด้านศาสนา รวมทั้งด้านอื่นๆ ด้วย มหาอำนาจบางประเทศใช้อำนาจทั้งการบังคับและออกคำสั่งให้ประเทศอาณานิคมของตนปฏิบัติตามโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ส่งผลให้ประชาชนในประเทศเหล่านั้นเกิดความไม่พอใจสั่งสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ประกอบกับประชาชนก็เกิดความไม่พอใจรัฐบาลของตนโดยเฉพาะเจ้าหน้าทีทั้งหลายได้ใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ไม่ว่าอาณาจักรออสเตรีย-ฮังการี อาณาจักรออตโตมันตุรกี และประเทศภายใต้อาณานิคมขนาดใหญ่ในเอเชีย แอฟริกา รวมทั้งสหภาพโซเวียต ที่มักจะพบกับการล่มสลายลงในที่สุด ประการที่สอง อุดมการณ์ที่ต้องการมีเสรีภาพ และความเสมอภาค หากมองย้อนกลับไปในอดีต หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) ฝ่ายพันธมิตรโดยการนำของประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) ประธานาธิบดีคนที่ 28 ของประเทศสหรัฐอเมริกา พยายามที่จะทำให้กลุ่มชนที่ประกอบด้วยความหลากหลายชาติพันธุ์พึงพอใจ จึงมีนโยบายให้การสนับสนุนสิทธิของชนกลุ่มน้อย รวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันคือความเป็นอเมริกัน มีการแพร่กระจายของลัทธิชาตินิยมออกไปอย่างกว้างขวาง ความแตกต่างก็ค่อยๆเงียบหายไปตามลำดับ แต่หายนะจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 ( 1939-1945 ) ส่งผลให้มีการนำปรัชญาวิลสันมาใช้อีกครั้ง (Wilsonian Philosophy) เพราะหลังจากปี 1945 สิทธิของกลุ่มชนได้ลดระดับลงโดยมีการคาดคะเนกันว่าการรับรองสิทธิของบุคคลน่าจะเพียงพอแล้ว หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีประเทศที่เกิดขึ้นใหม่โดยการนำบุคคลหลายๆชาติพันธุ์มารวมกันกำหนดอาณาเขตประเทศ เช่น เชคโกสโลวาเกีย ยูโกสลาเวีย และสหภาพโซเวียต การรวมกันของหลายๆชาติพันธุ์ของประเทศเหล่านี้ ส่งผลให้มีการแบ่งแยกกลุ่มกันภายในประเทศกลายเป็นส่วนหนึ่งของการขยายตัวของลัทธิชาตินิยมที่เกิดขึ้นในภูมิภาคยุโรป เพราะชนเผ่ามีความต้องการประชาธิปไตยและสิทธิส่วนบุคคล และขณะเดียวกันก็ต้องการสิทธิของชนกลุ่มด้วย ซึ่งนั่นหมายความถึงความขัดแย้งได้เริ่มก่อตัวมากขึ้นและเป็นการเริ่มขึ้นของวัฏจักรแห่งความขัดแย้ง และความต้องการแบ่งแยกดินแดน ทั้งนี้เพราะชนกลุ่มน้อยก็ต้องการอำนาจอธิปไตยของตนเองและปกครองตนเองเพื่อความเป็นอิสระเหมือนๆกัน สิ่งเหล่นี้ทำให้ผู้นำของโลกในหลายประเทศต้องตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง การลุกฮือของความขัดแย้งที่รุนแรงมักจะเกิดจากการโหมกระพือให้เพิ่มขึ้นจากสื่อสารมวลชน ซึ่งให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นอิสระต่อการปกครองตนเอง การเชิดชูการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ชาวปาเลสไตน์ที่เข่นฆ่าชาวอิสราเอล รวมทั้งชาวคาชมิริส ชาวทามิล และชาวบอสเนียที่ต้องการจะทำลายและเข่นฆ่าศัตรูของตน ทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และวิทยุ และสื่ออื่นๆเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเชิดชูการกระทำเหล่านั้น สื่อเหล่านี้ได้ทำให้วิกฤตที่รุนแรงอยู่แล้วขยายรุนแรงมากกว่าที่เป็นจริง การนำเสนอและการยกย่องทั้งฝ่ายกบฏหรือฝ่ายที่ปราบปราม ช่วยทำให้ความขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้น ประการที่สามคือปัจจัยทางด้านสังคมและภูมิศาสตร์ ตัวอย่างเช่นหากเราเป็นแอฟริกันอเมริกันซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองและคนขายของชำแถวบ้านเผอิญเป็นคนอเมริกันเชื้อสายเกาหลี เราอาจเห็นว่าคนเหล่านั้นแต่ละคนแตกต่างจากตัวเรา กลุ่มของเรา บุคคลอื่นเหล่านั้นจะเป็นผู้รุกรานมากกว่าจะเป็นกลุ่มบุคคลที่มีความรู้สึกเดียวกัน ดังนั้นคำว่า "พวกเรา" "พวกเขา" ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์ไปทั่วโลก ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งของมนุษยชาติในหลายๆพื้นที่ของโลกใบนี้มักจะประกอบไปด้วยสาเหตุหลักๆสามประการตามที่กล่าวได้มา แม้บางครั้งจะได้รับการแก้ไขด้วยสติปัญญา การมีผู้นำที่รับผิดชอบ และแก้ด้วยวิธีที่การที่หลากหลาย แต่โชคร้ายของสังคมมนุษย์ที่ยังมีนักการเมืองซึ่งส่วนใหญ่ใช้ความไม่พอใจของประชาชนเป็นเครื่องมือแสวงหาอำนาจ เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ซึ่งนักการเมืองเหล่านี้จะคอยกระตุ้นความรู้สึกเกลียดชังในหมู่ประชาชน เป่าหูประชาชน ปลุกระดมมวลชนให้เกลียดชังกัน รวมทั้งยุยงเพื่อนบ้านใกล้เคียงให้เกลียดชังกันเอง ซึ่งเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดหากเกิดขึ้นก็คือเมื่อเพื่อนบ้านด้วยกันเป็นศัตรูต่อกัน นั่นคือหายนะของชีวิตที่มีแต่ความรุนแรงทุกรูปแบบจะตามมาจนไม่อาจแก้ไขเยียวยาได้อีกต่อไป ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าเพื่อนบ้านส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นญาติและมีความไว้วางใจต่อกันทั้งสิ้น เมื่อใดที่ขาดความไว้วางใจต่อกันสังคมนั้นย่อมมีแต่ความขัดแย้งที่ไม่มีวันจะยุติลงได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นแล้วทั้งในบอสเนีย เลบานอน และรวันดา รวมทั้งในหลายๆพื้นที่นับไม่ถ้วน ความโหดร้ายของการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง มักจะทำให้แต่ละฝ่ายทำทุกวิถีทางที่จะได้มาซึ่งอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ แม้แต่สื่อสารมวลชนอย่างสถานีวิทยุที่ควรใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ กลายเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองที่มีไว้เพื่อควบคุมความคิดของประชาชน เพราะสิ่งที่เสนอออกมาล้วนมีผลต่อการครอบงำทางด้านอุดมการณ์(Hegemony) นั่นคือสื่อเป็นเครื่องเมือในการกระจายวัฒนธรรมและอุดมการณ์ที่ถูกกำหนดโดยชนชั้นปกครอง มาเป็นเครื่องมือทำลายล้างต่อกัน ทั้งการสร้างข่าวโคมลอยกระตุ้นยั่วยุให้เกิดความเคียดแค้นชิงชัง สร้างสถานการณ์แห่งความสับสนอลหม่านและความกลัว สิ่งเหล่านี้ได้กระตุ้นให้ประชาชนลุกขึ้นมาพกอาวุธต่อสู้เข่นฆ่ากัน ประชาชนที่เคยอาศัยและทำงานด้วยกันและแม้กระทั่งแต่งงานระหว่างลูกหลานที่มีเชื้อชาติศาสนาต่างกันก็อาละวาด เข่นฆ่า ข่มขืน และปล้นซึ่งกันและกันด้วยความเพลิดเพลินใจ หากการเข่นฆ่าทำลายล้างในรวันดาของสองชาติพันธุ์ได้สอนอะไรเราได้บ้างนั้น จุดเริ่มต้นที่เป็นบทเรียนก็คือเราควรจะต้องไม่แยกพวกเขาพวกเราและที่สำคัญต้องไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นคู่แข่งขัน เป็นศัตรู และต้องยอมรับให้ได้ว่าอีกฝ่ายว่าเป็นคนเหมือนกัน ซึ่งบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่ได้รับจากความขัดแย้งในรวันดา เป็นสิ่งที่ทุกคนได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจว่าทำไมความขัดแย้งถึงได้เกิดขึ้น และเราจะช่วยป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร.........
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||
ฟ้อง ทอท.ระงับสุวรรณภูมิเฟส 2,3 Posted: 25 Dec 2012 02:06 AM PST นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่าวันนี้ เวลา 10.00 น. ชาวบ้านรอบสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้นับแต่ ทอท.เปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ นอกจากนี้ที่ผ่านมา ทอท. ยังเจตนาปล่อยให้มีจำนวนผู้ ขณะเดียวกัน ทอท.และกระทรวงคมนาคม ยังมีความพยายามที่จะขยายสนามบิ สำหรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 นั้น ทอท. กำหนดวงเงินการลงทุน 62,503.214 ล้านบาท จะมีการขยายพื้นที่อาคารผู้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||
Posted: 25 Dec 2012 02:03 AM PST เมื่อวันที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา โฆษกศาลรัฐธรรมนูญออกมาแถลงกรณี ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะฟ้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 6 ท่านที่ปฏิเสธจะออกคำสั่งระงับการชุมนุมของพันเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เนื้อหาการแถลงคือ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินการตามกฎหมายกลับ[1] ท่าทีดังกล่าวของศาลไม่ควรถูกปล่อยผ่านไปเฉยๆ ในสายตาของนักกฎหมายส่วนใหญ่ เนื่องจากหากพิจารณาให้ดี ท่าทีของศาลในกรณีนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทย จริงอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจำต้องสามารถปกป้องชื่อเสียงของตนจากผู้ไม่หวังดี เพราะศาลจะมีความชอบธรรมในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีก็ด้วยความศักดิ์สิทธิ์จนประชาชนเชื่อถือ ดังนั้น หากมีคนทำลายความเชื่อถือของฝ่ายตุลาการ ศาลก็ทำงานไม่ได้ หากภยันตรายจะมาถึงตัวสถาบันศาลก็ต้องสามารถปกป้องตนเองจากผู้ประสงค์ร้ายได้แน่นอน แต่ปัญหาในกรณีนี้คือปัญหาเดียวกับว่า ทำไมศาลรัฐธรรมนูญเองจึงได้ยกคำร้องคำสั่งระงับการชุมนุมนั่นคือ ภยันตรายนั้นยังไม่ใกล้จะเกิดขึ้น[2] ตุลาการในระบอบประชาธิปไตยนั้นควรตระหนักถึงคุณค่าของประชาธิปไตยด้วยว่า จะต้องรู้จักอดกลั้นต่อความคิดต่าง นอกจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังควรระลึกถึงลักษณะพิเศษขององค์กรตนเองด้วยว่าควรจำกัดไม่ให้ศาลไล่ฟ้องคนอื่นเพราะอะไร ลักษณะพิเศษของศาล คือ ความเป็นกลาง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ความเป็นกลางนี้ต้องสามารถแสดงออกให้ทุกคนรับทราบได้ การฟ้องคดีครั้งนี้จะทำให้ศาลเสียความเป็นกลางทันที เพราะแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง แม้จะไม่ได้ฟ้องพรรคโดยตรง แต่ก็ฟ้องบุคคลที่สังกัดพรรคนั้น แม้ศาลอาจมีข้อแก้ตัวว่า ผู้ฟ้องมิใช่ตุลาการเอง แต่เป็นสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญก็ยังฟังไม่ขึ้น เพราะในความเป็นจริง ทั้งสองหน่วยงานนี้ใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง อยู่ใต้อิทธิพลของกันและกัน มิเช่นนั้นแล้ว ศาลก็สามารถใช้สำนักงานฯ เป็นแขนขาของตนไล่ดำเนินคดีบุคคลที่ตนไม่พอใจ ผลลัพธ์ของการเสียความเป็นกลางคือ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อที่ว่า "ศาลเลือกข้าง" ยิ่งไปกว่านั้น หากในอนาคต มีคดีที่พรรคเพื่อไทยเป็นผู้ฟ้องหรือถูกฟ้องขึ้นมาที่ศาล ศาลรัฐธรรมนูญจะทำอย่างไรเล่าเมื่อเคยเป็นคู่ความกัน ไม่เช่นนั้นก็ต้องถอนตัวหมดทุกคนหรือ ศาลนั้นเป็นองค์กรผู้ใช้กฎหมายเอง หากมีคดีความ ศาลจะตีความกฎหมาย เมื่อศาลจะฟ้องคดีแปลว่าศาลกำลังขอให้ศาลเองตีความกฎหมาย ย่อมนำไปสู่ความเคลือบแคลงว่าศาลเล่นพรรคเล่นพวกช่วยเหลือกัน แม้จะอ้างว่าเป็นศาลคนศาลกัน แต่ต้องคำนึงถึงความเป็นจริงว่า ศาลยุติธรรม หรือ ศาลรัฐธรรมนูญก็ใกล้ชิดกัน อยู่ในฝ่ายตุกลาการเหมือนกัน ในทางส่วนตัวบุคลากรหลายคนมาจากศาลยุติธรรมมาก่อน ย่อมเกิดข้อครหาเรื่องความเที่ยงธรรมได้ง่าย เพราะฉะนั้น การที่มีผู้ไม่พอใจออกมาแจ้งความนั้นแม้ไม่พึงปราถนา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องธรรมดา ศาลรัฐธรรมนูญควรจะต้องอดทน ควรเชื่อมั่นในชื่อเสียงที่สั่งสมมายาวนานว่ามั่นคง เพียงการฟ้องเพียงครั้งเดียวย่อมไม่สามารถทำลายความน่าเชื่อถือของศาลลงไปได้
[1] สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ, ข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ข่าวที่ ๓๙/๒๕๕๕, วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕. [2] สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ, ข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ข่าวที่ ๓๘/๒๕๕๕, วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕.
| ||
The Independent เผยเรื่องเด่นวิทยาศาสตร์ปี 2012 ภาวะโลกร้อนยังสำคัญ Posted: 25 Dec 2012 12:11 AM PST 'อนุภาคพระเจ้า' , หุ่นยนต์สำรวจดาวอังคาร และปรากฏการณ์ที่บ่งชี้ถึงภัยจากภาวะโลกร้อน สามเรื่องเด่นของโลกวิทยาศาสตร์ปี 2012 จาก The Independent
สตีฟ กล่าวว่าไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ในยุคสมัยของพวกเรา เมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบอนุภาคหายากที่เรียกว่าฮิกส์ โบซอน ซึ่งเป็นอนุภาคเล็กกว่าอะตอมที่สามารถอธิบายความลี้ลับของจักรวาล นานกว่าครึ่งศตวรรษแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับการมีอยู่ของอนุภาคเล็กกว่าอะตอมที่สร้างสนามพลังงานล่องหนแทรกซึมไปทั่วจักรวาล ไม่แยกแยะมวลหรือสสาร แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับอนุภาคไร้มวลอื่นๆ เช่น แสงโฟตอน โดยก่อนหน้านี้ในปี 1964 ปีเตอร์ ฮิกส์ นักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวอังกฤษจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ ได้จินตนาการถึงอนุภาคแบบดังกล่าวนี้ แต่มีน้อยคนที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีนมีอยู่จริงหรือไม่ สตีฟกล่าวว่า อนุภาคฮิกส์ โบซอน หรือที่บางคนเรียกกันว่า 'อนุภาคพระเจ้า' เป็นหัวใจสำคัญสำหรับทฤษฎีแบบจำลองมาตรฐานทางฟิสิกส์ (Standard Model) ซึ่งเป็นแบบจำลองที่นักฟิสิกส์ใช้ทำความเข้าใจแรงพื้นฐานในธรรมชาติ ตั้งแต่แรงปฏิกิริยากิริยาไฟฟ้าสถิตย์อ่อนๆ ระหว่างอนุภาคมีประจุ ไปจนถึงพลังงานนิวเคลียร์อานุภาพสูงในใจกลางอะตอม แต่จากความรู้เรื่องฎีแบบจำลองมาตรฐาน นักฟิสิกส์ทฤษฎีก็ตั้งสมมุติฐานว่ามีอนุภาคเล็กกว่าอะตอมตัวหนึ่งซึ่งยังไม่ถูกค้นพบเป็นอนุภาคที่มีความสามารถในการสร้างสนามพลังงานที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของอนุภาคอื่น สสารบางชนิดที่มีมวลสูงมากจะผ่านสนามพลังงานนี้ได้ยาก ขณะที่สสารบางชนิดที่มีมวลน้อยกว่าจะผ่านไปได้ง่าย "มันเป็นแนวคิดที่ดูเหมือนเรียบง่าย แต่ก็พิสูจน์ได้ยากมาก" สตีฟกล่าว จนกระทั่งองค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (Cern) ได้รวบรวมนักวิทยาศาสตร์และใช้เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ (Large Hadron Collider - LHC) ทำให้สามารถค้นพบอนุภาคที่มีลักษณะตรงตามลักษณะของฮิกส์ โบซอน ในเช้าวันหนึ่งของเดือน ก.ค. และสมมุติฐานของปีเตอร์ ฮิกส์ ก็ได้รับการพิสูจน์ในช่วงเวลาเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา
นักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกยินดีในปีนี้คือองค์การนาซ่าของสหรัฐฯ ที่สามารถนำหุ่นยนต์ที่มีระบบการทำงานซับซ้อนลงไปสำรวจดาวอังคารได้สำเร็จด้วยการหย่อนจากเครื่องสกายเครน (sky crane) ลงไปราว 25 ฟุต จากท้องฟ้า หุ่นยนต์ร่อนลงสำเร็จเมื่อวันที่ 6 ส.ค. หลังจากเกิดเหตุการณ์ 'เจ็ดนาทีแห่งความน่าสะพรึง' ที่ยานแม่และหุ่นสำรวจปะทะกับชั้นบรรยากาศของดาวอังคารด้วยความเร็ว 13,200 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งตลอด 7 นาทีนั้น มีการใช้ความพยายามทั้งระบบกันความร้อน การบินเป็นรูปตัว S การใช้ร่มชูชีพ และการใช้จรวดติดตั้งย้อนกลับเพื่อลดความเร็ว จนกระทั่งสามารถร่องลงได้ หุ่นยนต์สำรวจดาวอังคารตัวนี้ชื่อ 'คิวริออสซิตี้' (Curiosity) ที่แปลว่า 'ความสงสัยใคร่รู้' มีขนาดเท่ากับรถคันใหญ่ มีเครื่องมือซับซ้อนอยู่ในตัวที่ใช้วิเคราะห์ส่วนประกอบของดาวอังคาร มันจะบอกพวกเราว่าดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้มีสภาพเหมาะสมต่อการกำเนิดชีวิตและการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตนอกโลกหรือได้ไม่ สตีฟกล่าวว่า ถ้าหากดาวอังคารเคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่จริงมันก็คงจะสาปสูญไปพร้อมแม่น้ำและมหาสมุทรบนดาว ภัยธรรมชาติเมื่อหลายล้านปีที่แล้วทำให้ดาวอังคารสูญเสียสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญของชีวิตคือน้ำที่อยู่ในรูปของเหลว "คำถามใหญ่ทิ้งท้ายปี 2012 นี้คือ ชีวิตบนโลกกำลังดำเนินไปในทางเดียวกันหรือไม่ ดาวโลกอาจจะมีความเสี่ยงในเรื่องการขาดแคลนน้ำน้อยมาก แต่ก็มีสัญญาณจากทุกๆ ที่บ่งบอกว่าสถานการณ์ด้านภูมิอากาศจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้านี้" สตีฟกล่าว
ในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวถึงเหตุการณ์การละลายของน้ำแข็งในคาบสมุทรอาร์กติกครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกผ่านดาวเทียมปี 1978 ขณะที่นักวิทยาศาสตร์รายอื่นๆ ยืนยันว่าการละลายของแผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น สตีฟกล่าวว่า แม้ว่าโลกจะประสบภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ปริมาณการปล่อยก็าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ไปสู่ชั้นบรรยากาศผ่านการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลก็ไม่ได้ลดลงเลย มีทีมวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งยังได้สำรวจพบหลักฐานว่าการที่มหาสมุทรแถบแอนตาร์กติกามีความเป็นกรดสูงขึ้น ทำให้เกิดการกัดกร่อนเปลือกของสัตว์น้ำขนาดเล็กซึ่งเป็นตัวฐานสำคัญของห่วงโซ่อาหาร "มีสัญญาณจากทุกที่ว่าภาวะโลกร้อนยังคงเป็นเรื่องที่ยังต้องต่อสู้กันต่อไป ถ้าหากอนุภาคฮิกส์ โบซอน เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ในยุคสมัยของเรา ภาวะโลกร้อนก็เป็นภัยร้ายแรงที่สุดของยุคเราที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาอย่างเชื่องช้า" สตีฟกล่าว
เรียบเรียงจาก ข้อมูลเพิ่มเติมจาก ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||
จำคุก 4 ปี อดีตโบรกเกอร์โพสต์ข่าวลือหุ้นตกปี 52-ได้ประกันตัว Posted: 24 Dec 2012 11:28 PM PST
25 ธ.ค.55 เวลาประมาณ 10.20 น. ที่ศาลอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ10 เป็นโจทก์ฟ้องนายคธา (สงวนนามสกุล) วัย 39 ปี อดีตโบรกเกอร์บริษัทใหญ่ ตามความผิด มาตรา 14 (2) ของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ว่าจำเลยมีความผิดจริงตามฟ้อง ลงโทษจำคุกกรรมละ 3 ปี 2 กรรมรวม 6 ปี จำเลยรับสารภาพในชั้นสอบสวนจึงลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 4 ปี ทั้งนี้ ความผิดดังกล่าวสืบเนื่องจากการโพสต์ข้อความในเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน เมื่อปี 2552 เรื่องข่าวลือที่ทำให้หุ้นตกอย่างหนัก และการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายน 2552 ซึ่งเป็นข้อความที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา อย่างละ 1 ข้อความ จำเลยถูกจับกุมตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.52 แต่ได้รับการประกันตัว ในช่วงเวลาเดียวกันตำรวจยังได้จับกุมตัวผู้ต้องหาอีกหลายคน รวมถึงผู้ที่แปลข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศซึ่งวิเคราะห์เรื่องหุ้นตกแล้วนำไปโพสต์ในเว็บบอร์ดด้วยแต่แยกดำเนินคดี ผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาระบุว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้มีว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์มีนายอารีย์ จิวรรักษ์ และนายณัฐ พยงค์ศรี จากระทรวงไอซีทีเบิกความสอดคล้องกันว่ากลางเดือนตุลาคม 2552 ได้รับการแจ้งว่ามีการโพสต์ข้อความไม่เหมาะสมในเว็บไซต์ sameskybooks.org เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อตรวจสอบแล้วพบข้อความทั้ง 2 ข้อความจริง ส่วนข้อความที่โพสต์เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2552 เป็นข่าวลือเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าพระองค์ทรงประชวรหนักมาก ซึ่งเป็นความเท็จ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของชาติและก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน โดยผู้กระทำผิดตามฟ้องนี้ ใช้นามแฝงในเว็บไซต์ว่า wet dream ซึ่งนายอารีย์ ตรวจสอบแล้วพบว่า ผู้ใช้ชื่อดังกล่าวคือจำเลย และจำเลยใช้อีเมล์ stamp816@hotmail.com จึงตรวจสอบอีเมล์นี้กับธนาคารและพบว่าเป็นอีเมล์ที่จำเลยใช้เปิดบัญชี นอกจากนั้นสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติยังได้ตรวจสอบจนได้หมายเลข IP Address และนายอารีย์ตรวจสอบอีกครั้งโดยส่งอีเมล์ไปยังอีเมล์ดังกล่าว เมื่อมีการกดรับก็ปรากฏว่าเป็นหมายเลขIP เดียวกัน จึงนำไปตรวจสอบกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต คือ บริษัท CS Loxinfo พบว่าหมายเลข IP นั้นเป็นบริษัทที่จำเลยทำงานอยู่ นอกจากนี้พยานโจทก์ซึ่งเป็นนักวิชาการด้านคอมพิวเตอร์ เบิกความว่า เมื่อตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ที่จำเลยใช้ในคอมพิวเตอร์ที่ทำงานแล้วพบคำว่า www.sameskybooks.org กว่า 29,000 ครั้ง และพบผู้ใช้ชื่อ wet dream กว่า 240 ครั้ง พ.ต.ท.พีรพัฒน์ ศิริวรชัยกุล พนักงานสอบสวน เบิกความว่า ได้แจ้งข้อกล่าวหาตามฟ้องพร้อมสิทธิให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพ โดยรับว่าใช้อีเมล์ดังกล่าวสมัครเป็นสมาชิกเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน และใช้นามแฝงว่า wet dream ขณะพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาจำเลย มีผู้สื่อข่าวอยู่ด้วยจำนวนมาก ไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับขู่เข็ญให้รับสารภาพแต่อย่างใด จำเลยเพียงแต่อ้างว่าได้รับความกดดันและกลัวไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว หลังจากนั้นมีการสอบปากคำจำเลยอีก 2 ครั้ง จำเลยก็ยังรับสารภาพเช่นเดิม เชื่อว่าจำเลยรับสารภาพด้วยความสมัครใจ ปัญหาต่อมามีว่า จำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความตามฟ้องหรือไม่ จากการตรวจสอบฮาร์ดดิสก์พบชื่อผู้ใช้งาน Khatap@sameskybooks.org จึงเชื่อว่าจำเลยเข้าใช้งานเว็บไซต์ดังกล่าวและสมัครสมาชิกเว็บไซต์จริง สอดคล้องกับคำเบิกความของพยานผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ของจำเลยว่า การโพสต์ข้อความในเว็บไซต์ต้องสมัครสมาชิกก่อน ผู้ใช้แต่ละคนจะมี username และ password ซ้ำกันไม่ได้ ดังนั้น การที่ปรากฏ username ว่า wet dream ในคอมพิวเตอร์ของจำเลย จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยใช้งานเพียงแค่เปิดดูเว็บไซต์ดังกล่าวโดยไม่ได้เป็นผู้โพสต์ข้อความ มิเช่นนั้นแล้วเหตุใดจึงไม่ปรากฏชื่อ username อื่นใน คอมพิวเตอร์ของจำเลยบ้าง ประกอบกับเอกสารที่ยึดได้จากท้ายรถของจำเลยหลายแผ่นที่ก็มีข้อความทำนองเดียวกับข้อความตามฟ้อง เชื่อได้ว่า จำเลยมีความคิดหรือความเชื่อมั่นสอดคล้องกับเอกสารนั้นจึงโพสต์ข้อความตามข้อมูลที่ได้รับมา ประมวลพยานหลักฐานโจทก์ ประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดี และคำรับสารภาพในชั้นสอบสวน พยานโจทก์ทั้งหมดเป็นเจ้าพนักงานของรัฐทำตามหน้าที่ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ทำให้คำเบิกความมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความโดยใช้ชื่อว่า wet dream ตามฟ้อง ประกอบกับช่วงวันที่ 22 เมษายน 2552 มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง การโพสต์ข้อความนั้นอาจทำให้ประชาชนที่ได้อ่านหรือทราบข้อความดังกล่าวย่อมเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์ทรงโปรดแต่พวกเสื้อเหลือง และสมเด็จพระเทพฯ ก็เหมือนพระมหากษัตริย์ทรงโปรดแต่พวกเสื้อเหลือง ซึ่งความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า พระมหากษัตริย์และรัชทายาททุกพระองค์ทรงรักและให้ความเมตตาต่อพสกนิกรของพระองค์เท่าเทียมกัน โดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นบุคคลของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และพระมหากษัตริย์และรัชทายาททุกพระองค์ก็ทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง เป็นที่รักและเคารพของปวงชนชาวไทยทุกคน จำเลยเป็นคนไทยคนหนึ่งย่อมต้องทราบความข้อนี้ดี ข้อความดังกล่าวจึงเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ ประชาชนที่ได้อ่านหรือทราบข้อความดังกล่าวย่อมเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพฯ ทรงไม่เป็นกลางทางการเมือง รักประชาชนไม่เท่าเทียมกัน อันอาจก่อให้เกิดความแตกแยกทางการเมืองรุนแรงมากขึ้นขึ้น อันอาจส่งผลกระทบต่อความั่นคงของประเทศรวมทั้งความสงบสุขของประชาชนและสังคมโดยรวม การโพสต์ดังกล่าวปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีผลต่อตลาดหลักทรัพย์ ทำให้มีการเทขายหุ้น สอดคล้องกับที่พยานจำเลยซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนเบิกความไว้ว่าหากตลาดติดลบอยู่แล้วก็จะติดลบมากกว่าเดิมอีก จึงเป็นเรื่องเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศทั้งทางเศรษฐกิจและทางสังคม การมีข่าวร้ายแรงเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ดังจะเห็นได้ว่าวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมามีประชาชนออกมาถวายพระพรจำนวนมาก จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าความตื่นตระหนกจะไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ข่าวดังกล่าวจะเป็นข่าวลือหรือไม่อย่างไร จำเลยก็ไม่มีสิทธินำข่าวลือโดยเฉพาะข่าวลือที่เกินเลยจากความเป็นจริงและเป็นความเท็จ อันเป็นการใส่ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์หรือบุคคลใดมาโพสต์อินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นสื่อออนไลน์ที่แพร่กระจายข่าวอย่างรวดเร็ว เพราะหากปล่อยให้จำเลยกระทำเช่นนั้นได้ จำเลยก็ย่อมกล่าวหาหมิ่นประมาทใส่ร้ายผู้ใดก็ได้ โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมหรือผู้ใด ซึ่งเป็นกรณีละเมิดสิทธิผู้อื่นและกฎหมาย จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา 14(2) หลายกรรมต่างกัน ให้จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 6 ปี จำเลยรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์กับทางพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย 4 ปี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายคธาไปยังห้องขังใต้ถุนศาล ขณะที่ทนายระบุว่าจะใช้หลักทรัพย์ยื่นประกันตัว 4 แสนบาท ซึ่งน่าจะทราบผลการประกันตัวได้ในวันนี้ ล่าสุด เวลา 18.30 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจำเลยได้รับการประกันตัวแล้วโดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 500,000 บาท 00000
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||
‘พีมูฟ’ ร้อง ‘ศาลฎีกา’ เลิกทุเลาบังคับคดีที่ดินสวนปาล์มสุราษฎร์ฯ ชี้ความล่าช้าเป็นเหตุความรุนแรง Posted: 24 Dec 2012 10:26 PM PST ชาวบ้านสมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ร่วมเครือข่ายพีมูฟเดินขบวนจากทำเนียบถึง 'ศาลฎีกา' ร้องยกเลิกการคุ้มครองผลประโยชน์ของบริษัทเอกชน ชี้เป็นบ่อเกิดความรุนแรง จนสมาชิกร่วมสู้ถูกยิงเสียชีวิต 2 คน จี้นำพื้นที่ให้ ส.ป.ก.จัดสรร ภาพโดย: เอก ตรัง วันนี้ (25 ธ.ค.55) เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.ชาวบ้านสมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) ร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) หรือ พีมูฟ (P Move) และเครือข่ายจากทั่วประเทศ อาทิ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด เครือข่ายสลัม 4 ภาค เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน และสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ จำนวนกว่า 500 คน เคลื่อนขบวนจากทำเนียบรัฐบาลผ่านถนนราชดำเนินไปยังศาลฎีกา บริเวณท้องสนามหลวง เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกการขอทุเลาบังคับคดีชั่วคราวคุ้มครองผลประโยชน์ของบริษัท จิวกังจุ้ยพัฒนา จำกัด ในพื้นที่ชุมชนคลองไทร หลังเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จนทำให้สมาชิกชุมชนเสียชีวิต 2 คน นายสุรพล สงฆ์รักษ์ ผู้ประสานงานสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) กล่าวว่า สมาชิกชุมชนมีความเห็นร่วมกันว่ากระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้าเป็นสาเหตุสำคัญของความสูญเสียที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาชาวบ้านต่อสู้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของ ส.ป.ก.และต้องการให้นำมาจัดสรรให้ชาวบ้านซึ่งเป็นเกษตรกรไร้ที่ดินได้อาศัยทำอยู่ทำกิน จนกระทั่งเข้าสู่กระบวนการของศาล ซึ่งทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินแล้วว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของ ส.ป.ก. แต่ถึงปัจจุบันก็ยังไม่อาจนำมาจัดสรรได้ เนื่องจากบริษัทใช้ช่องทางขอทุเลาบังคับคดีชั่วคราว สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่นางปราณี บุญรักษ์ อายุ 52 ปี และนางมณฑา ชูแก้ว อายุ 50 ปี ชาวบ้านชุมชนคลองไทรพัฒนา สมาชิก สกต.ถูกลอบยิงด้วยอาวุธสงครามจนเสียชีวิต ในพื้นที่ชุมชนซึ่งมีกรณีพิพาทกับสวนปาล์มของ บริษัท จิวกังจุ้ยพัฒนา จำกัด หมู่ 2 ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อ 19 พ.ย.55 คดียังไม่มีความคืบหน้า โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจชี้แจงว่าเนื่องจากคนร้ายอยู่นอกพื้นที่ ประกอบกับไม่มีพยานบุคคล จึงยากแก่การสืบสวนคดีอีกทั้งก่อนหน้านี้ก็มีกรณียิงนายสมพร พัฒนภูมิ สมาชิกชุมชนบ้านคลองไทรพัฒนาเสียชีวิตในปี พ.ศ.2553 ซึ่งคดีก็ไม่มีความคืบหน้า ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขบวนพีมูฟจากทั่วประเทศเดินทางมาชุมนุมบริเวณทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อขอเปิดเจรจาแก้ไขปัญหาดังกล่าว และกรณีปัญหาอื่นๆ ของเครือข่าย รวมทั้งเร่งรัดให้มีการส่งมอบพื้นที่จัดทำเป็นโฉนดชุมชนโดยเร็ว โดยได้เข้าร่วมประชุมกับนายสุพร อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งรับปากจะทำหนังสือเสนอต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้เร่งรัดส่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากส่วนกลางเข้าไปรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ตามข้อเรียกร้องของชาวบ้าน พร้อมติดตามค่าชดเชยเยียวยาผู้เสียชีวิตที่ผ่านมาจากกรมคุ้มครองสิทธิฯ ให้เร็วที่สุด จากนั้นในช่วงบ่ายวันดังกล่าว (24 ธ.ค.55) ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน (ปจช.) เพื่อพิจารณากรอบวาระต่างๆ รวมถึงการหาทางแก้ไขเร่งด่วนกรณีชาวบ้านชุมชนคลองไทรพัฒนาถูกลอบยิงเสียชีวิต 2 ราย โดยขอให้มีการคุ้มครองชุมชนและชาวบ้านให้เกิดความปลอดภัย และขอให้มีบันทึกข้อตกลง MOU ในการส่งมอบพื้นที่ในชุมชนคลองไทร จำนวน 1,051 ไร่ ให้ ส.ป.ก.ดำเนินการจัดสรร ร.ต.อ.เฉลิม มอบหมายให้ พล.ต.ต.จรัญ ชิตะปัญญา ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี รับเรื่องหาทางออกกับชาวบ้าน พร้อมรับปากจะประสานงานกับกองบังคับการปราบปรามเพื่อจัดส่งเจ้าหน้าที่คุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินชาวบ้านภายใน 1 อาทิตย์ แต่กรณีให้เร่งรัดศาลฎีกายุติการคุ้มครองบังคับคดีชั่วคราวนั้น รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารไม่อยู่ในสถานะที่จะกระทำได้ ส่วนการเดินหน้านโยบายโฉนดชุมชนต่อเนื่องจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์นั้นจะมีการดำเนินการแน่นอน แต่ขณะนี้ร่างระเบียบปรับเปลี่ยนชื่อนโยบายยังไม่ชัดเจน อีกทั้ง ปจช.ยังมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 3 ชุด ประกอบด้วยภาคเหนือ อีสาน กลางและใต้ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมแก้ไขปัญหา นอกจากนั้น ในการประชุมยังมีการพูดคุยถึงกรณีเร่งด่วนเรื่องการขับไล่ชาวบ้านในชุมชนหลังศาลเจ้าพ่อทัพ ต.สำโรงกลาง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ โดยชุมชนดังกล่าวมีสมาชิกประมาณ 170 ครัวเรือน ซึ่งไม่ทราบว่าเจ้าของที่ดินเป็นใคร แต่ต่อมาได้มีการขายที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งชุมชนให้กับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งและได้มีการไล่ที่ให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ในเวลา 1 เดือน อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านยินยอมที่จะออกจากพื้นที่ แต่ขอเวลาในการหาที่อาศัยใหม่ และต้องการให้รัฐบาลเป็นตัวกลางในการเจราจากับบริษัทเจ้าของที่ดินเพราะก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีการเจรจากัน และขณะนี้ได้มีการจับกุมชาวบ้านที่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวในข้อหาบุกรุกพื้นที่แล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า พีมูฟยังได้มีการประสานขอพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อทวงถามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหา หลังจากที่ตัวแทนพีมูฟได้เข้าหารือกับนายกรัฐมนตรีฯ ที่ตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 2 ต.ค.55 ตามข้อเรียกร้อง 9 กรณี ประกอบด้วย 1.การปรับปรุงกลไกแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม 2.การดำเนินการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดิน ในรูปแบบโฉนดชุมชน 3.การจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์กรมหาชน) 4.กรณีโครงการนำร่องธนาคารที่ดินภาคเหนือ 5 หมู่บ้าน 5.กรณีสินเชื่อบ้านที่อยู่อาศัย (โครงการบ้านมั่นคง) 6.กรณีคนไร้บ้าน 7.กรณีการจัดทำเขตวัฒนธรรมพิเศษ (ชาวเลราไวย์) 8.กรณีปัญหาเขื่อนปากมูล และ 9.กรณีเครือข่ายสิทธิสถานะบุคคล และกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าชีวมวล ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.55 โดยเรียกร้องให้นายกฯ เป็นประธานคณะกรรมการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น