โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

24 มิถุนากับพระยาพหลพลพยุหเสนา ในฐานะทหาร และลูกชาย ที่ชื่อประชาธิปไตย

Posted: 25 Jun 2010 02:43 PM PDT

24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พระยาพหลพลพยุหเสนาได้ร่วมกับคณะราษฎรโดยเป็นหัวหน้าคณะราษฎรทำการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้รับฉายาว่า "เชษฐบุรุษประชาธิปไตย" และหลังจากที่คำว่าประชาธิปไตยได้ถูกบัญญัติและเผยแพร่ไป มีชาวบ้านบางคนคิดว่า เป็นชื่อของลูกชายของพระยาพหลพลพยุหเสนาด้วยซ้ำ

<!--break-->

การตีความ 24 มิถุนายน 2475
ผู้เขียนสนใจในประเด็นของการตีความ 24 มิถุนายน 2475 โดยเชื่อมโยงเรื่องเล่าการเข้าร่วมคณะราษฎรของพระยาพหลพลพยุหเสนาได้ร่วมกับคณะราษฎรโดยเป็นหัวหน้าคณะราษฎรทำการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย และผู้เขียนอ้างอิงที่มาของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล  ๒๔ มิถุนา: การตีความ ๔ แบบ ซึ่งเริ่มต้นว่า เหตุการณ์ แบบไหนจัดว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์? วินาทีที่ผู้อ่านกำลังอ่านข้อความเหล่านี้ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย หรือในโลก มีเด็กกำลังเกิด ซึ่งสำหรับพ่อแม่ของเด็กนั้น คงทำให้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย อาจจะเปลี่ยนแปลงชนิดตรงกันข้ามกับก่อนหน้านี้เลยก็ได้
 
ในแง่นี้ การเกิดของลูกย่อมเป็น “เหตุการณ์สำคัญ” ของพวกเขา แต่สำหรับคนอื่นๆ (“สังคม”) การเกิดของเด็กชายหรือเด็กหญิงคนนั้น จะถือว่าเป็น “เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์” ได้หรือไม่?
 
ปัญหาว่าอะไรคือ เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นปัญหาที่นักประวัติศาสตร์เองและผู้สนใน ปรัชญาประวัติศาสตร์ถกเถียงกันอย่างไม่รู้จบมาเป็นเวลานาน นักปรัชญาผู้หนึ่งเคยเสนอว่า เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์คือเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในความ สัมพันธ์เชิงโครงสร้างที่ดำรงอยู่ (causes a mutation in the existing structural relations) แต่ก็มีนักปรัชญาบางคนแย้งว่า เหตุการณ์อย่างการตายของคาร์ล มาร์กซ แม้จะไม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง แต่ก็นับว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ . . . . .
เหตุการณ์ ในประเทศสยาม เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์หรือไม่? สำคัญแค่ไหน? อย่างไร? ในเวลา ๗๑ ปีที่ผ่านมา ความคิดเห็น ความรู้สึก (หรือพูดแบบวิชาการหน่อยคือ “การตีความ”) ต่อเหตุการณ์นั้นได้เปลี่ยนแปลงไป อาจกล่าวได้ว่าในระยะ ๗ ทศวรรษนี้ มีวิธีมอง “๒๔ มิถุนา” หรือ “๒๔๗๕” ได้ ๔ แบบ ถ้าจะยืมภาษาวิชาการเกี่ยวกับการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ความคิดที่ได้รับการ ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย ก็คือ มี “กระบวนทัศน์การตีความ” (interpretive paradigm) เกี่ยวกับ “๒๔ มิถุนา” อยู่ ๔ กระบวนทัศน์ คือ แบบที่หนึ่ง เชียร์คณะราษฎร โจมตีเจ้า แบบที่สอง เชียร์เจ้า โจมตีคณะราษฎร แบบที่สาม โจมตีทั้งเจ้า ทั้งคณะราษฎร และผู้เขียน ก็ขอเน้นที่มุมมองล่าสุดในการตีความ 2475 แบบที่สี่ เชียร์ทั้งเจ้า ทั้งปรีดี (คณะราษฎร) ในปัจจุบัน โดยเน้นชัดที่ปรีดี พนมยงค์ คือ
 
....กระบวนทัศน์ใหม่ได้ ขณะเดียวกัน การรื้อฟื้นเกียรติภูมิของปรีดี ก็มีลักษณะที่คล้ายกับการยกย่องผู้นำแบบจารีตของไทยในอดีตมากขึ้นทุกที (โปรดสังเกตการเรียกปรีดีว่า “พ่อ” ในกลอน “พ่อของข้าฯนามระบือชื่อปรีดี”) เราจึงอาจกล่าวถึง “การรองรับซึ่งกันและกัน” (mutual-accommodation) ระหว่างกระบวนทัศน์ทั้งสองต้นแบบ ของการรองรับซึ่งกันและกันนี้ เริ่มมีร่องรอยให้เห็นตั้งแต่ปลายปี ๒๕๒๓ ในหนังสือที่ระลึกพระราชพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พระปกเกล้า ซึ่งนอกจากมีเนื้อหาที่เป็นราชสดุดีต่อรัชกาลที่ ๗ แล้ว ยังมีการตีพิมพ์ประกาศคณะราษฎร (ที่ประณามพระองค์) ฉบับเต็มด้วย ในทางกลับกัน ในงานฉลอง ๑๐๐ ปีปรีดี ที่ธรรมศาสตร์ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๓ ในภาพสไลด์ชุดสดุดีปรีดี มีภาพหนึ่งเป็นพระราชหัตถเลขาสละราชย์ (ที่ประณามปรีดีและคณะราษฎร) แต่ที่อาจถือเป็นแบบฉบับของกระบวนทัศน์ใหม่นี้ คือบทความ (จากปาฐกถา) ของประเวศ วะสี เรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์ กับรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์”
 
ที่สำคัญ กระบวนทัศน์การตีความ “๒๔ มิถุนา” ใหม่นี้ แสดงออกที่ ในปัจจุบัน รัฐได้ให้การสนับสนุนและดำเนินการจัดตั้งองค์การอย่าง สถาบัน และ พิพิธภัณฑ์ พระปกเกล้า ขณะเดียวกับที่ ทำการเสนอชื่อปรีดี ให้เป็นบุคคลสำคัญของยูเนสโก และจัดงานฉลอง ๑๐๐ ปีให้กับปรีดี(1)

คณะราษฎร:พระยาพหลพลพยุหเสนา ในฐานะทหาร และลูกชาย ที่ชื่อประชาธิปไตย
 
พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหนึ่งในคณะราษฎรฝ่ายทหารชั้นผู้ใหญ่ เป็น 1 ใน 4 ทหารเสือ ที่ประกอบด้วย ตัวท่าน, พระยาฤทธิ์อัคเนย์, พระยาทรงสุรเดช และ พระประศาสน์พิทยายุทธ ในระหว่างการประชุมวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น พระยาพหล ฯ ได้เคยมีดำริถึงเรื่องนี้มาก่อนและเปรยว่า ทำอย่างไรให้อำนาจการปกครองอยู่ในมือของคนทั่วไปจริง ๆ ไม่ใช่อยู่ในมือของชนชั้นปกครองแค่ไม่กี่คน และเมื่อคณะราษฎรทั้งหมดยกให้ท่านเป็นหัวหน้า ท่านก็รับไว้
 
ในเช้าวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง ท่านได้สั่งเสียไว้กับภรรยา (ท่านผู้หญิงบุญหลง พลพยุหเสนา) ว่า หากทำการมิสำเร็จและต้องประสบภัยถึงแก่ชีวิตแล้ว ขอให้คุณหญิงจงเป็นพยานแก่คนทั้งหลายว่า "การที่คิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินครั้งนี้ มิได้หมายจะช่วงชิงเอาราชบัลลังก์ หรือคิดจะล้มราชบัลลังก์แต่อย่างใดเลย ความมุ่งหมายจำกัดอยู่แต่เพียงว่า ให้องค์กษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ และให้มีสภาการปกครองแผ่นดิน เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ผู้น้อยและประชาราษฎรได้แสดงความคิดเห็นในราชการบ้านเมืองได้บ้าง" และฝากให้เลี้ยงลูกให้เป็นคนดีด้วย ก่อนออกจากบ้านไปพร้อมกับพระประศาสน์พิทยายุทธที่ขับรถมา มุ่งหน้าไปยังกรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ เพื่อสมทบกับพระยาทรงสุรเดชตามแผนที่วางไว้ พร้อมกับเหน็บปืนพกค้อลท์รีวอลเวอร์ที่เอว เป็นอาวุธข้างกาย

ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อทหารทุกหน่วยมาพร้อมแล้ว พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้เดินออกจากร่มเงาต้นอโศกข้างถนนราชดำเนิน เพื่อแสดงตนเป็นหัวหน้าผู้ก่อการ และอ่านประกาศฉบับแรกของคณะราษฏร (2) เป็นต้นธารของประวัติศาสตร์  แน่นอนว่า เมื่อเหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475 เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งคนในสมัยปัจจุบัน ก็ประเมินเหตุการณ์นี้ไปคนละแบบ โดยแต่ละมุมมอง(3) ก็น่าสนใจผู้เขียน ก็เห็นว่าไม่มีการเสียเลือดเนื้อใด

ในการเปลี่ยนแปลง 2475 และก็สมควรกับการทำหน้าที่ของสิ่งที่พระยาพหลพลพยุหเสนา มีคติประจำใจว่า ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชาย ต้องไว้ชื่อ และบทบาทอันควรค่าของพระยาพหลพลพยุหเสนา ในฐานะทหาร กับวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้ร่วมกับคณะราษฎรโดยเป็นหัวหน้าคณะราษฎรทำการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย จนได้รับฉายาว่า "เชษฐบุรุษประชาธิปไตย" จากบทบาทที่มีค่อนข้างสูงในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะเป็นผู้นำคณะราษฎรฝ่ายทหารบก และหลังจากที่คำว่าประชาธิปไตยได้ถูกบัญญัติและเผยแพร่ไป มีชาวบ้านบางคนคิดว่า เป็นชื่อของลูกชายของพระยาพหลพลพยุหเสนาด้วยซ้ำ ซึ่งต่อมาชื่อของพระยาพหลพลพยุหเสนา ก็ปรากฏเป็นชื่อ ถนนพหลโยธิน ต่างๆ นานา
 
เมื่อชาวบ้านบางคนคิดว่า จุดเริ่มต้นคำว่าประชาธิปไตยนั้น สัมพันธ์เป็นชื่อของลูกชายพระยาพหลพลพยุหเสนา กับอุดมการณ์ของคณะราษฎร ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนวันชาติ คือ วันที่ 24 มิถุนา หายไปในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ที่มีการสถาปนาการเมืองระบบพ่อขุนอุปถ้มภ์แบบเผด็จการ ซึ่งทหาร ก็มาลบภาพความทรงจำของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จากความสำคัญของวันชาติในอดีต โดยสัญลักษณ์เชื่อมโยงวันต้นไม้ประจำปีของชาติ และวันเปิดสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และตราสัญลักษณ์ของทีวี ในสมัยนั้น ซึ่งผู้เขียนเคยเขียนบทความไปก่อนหน้านี้ แล้วเวลาต่อมา พระยาพหลพลพยุหเสนา และปรีดี พนมยงค์ ก็ค่อยๆ จางหายไปจากประวัติศาสตร์ จนกระทั่ง หลังยุคสฤษดิ์ไปอีกหลายปีนั้น ชื่อของปรีดี พนมยงค์ ก็กลับมาเป็น“พ่อ” ในกลอน เช่นว่า “พ่อของข้าฯนามระบือชื่อปรีดี แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ” แต่ว่า สิ่งที่แตกต่างในการตีความ 24 มิถุนายน 2475 จนปัจจุบัน ก็คือ การชูปรีดีแบบประเวศ วะสี และต่อมา ประเวศ ก็คิดเห็นแตกต่างจากปรีดีในเรื่องประเทศเพื่อนบ้าน(4)  แล้วประเทศตามระบอบประชาธิปไตยนั้น ก็เชื่อมโยงชาติไทยด้วย
 
อย่างไรก็ตาม ทหารหายไปจากการระลึกถึงความทรงจำเชื่อมโยงชุมชนจินตกรรมแห่งชาติ ในความเป็นพ่อ หรือ ลุง(5) เฉกเช่นพระยาพหลพลพยุหเสนา ฉายาว่า "เชษฐบุรุษประชาธิปไตย" หลังจากที่คำว่าประชาธิปไตยได้ถูกบัญญัติและเผยแพร่ไป มีชาวบ้านบางคนคิดว่า เป็นชื่อของลูกชายของพระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งในแง่นี้ การเกิดของลูกย่อมเป็น “เหตุการณ์สำคัญ” ของพวกเรา เชื่อมโยงไม่ให้คณะราษฎร หรือทหารของราษฎรถูกลืมเลือนจางหายไป
 
อ้างอิง
1.ดูเพิ่มเติม สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล  ๒๔ มิถุนา: การตีความ ๔ แบบ
http://somsakwork.blogspot.com/2006/06/causes-mutation-in-existing-structural.html
2. ดูเพิ่มเติม วิกิพีเดีย th.wikipedia.org/.../พระยาพหลพลพยุหเสนา_(พจน์_พหลโยธิน)
3,ผู้เขียนเคยอ้างอิงในศิลปะกับการเมือง: มุมมองว่าด้วย รสนิยม ชนชั้น ประวัติศาสตร์ และการตีความ(19 กรกฎาคม 2551) และ
4. อรรคพล สาตุ้ม ปรีดี-ประเวศ กับทัศนะต่อประเทศเพื่อนบ้านต่างกัน (ดูในประชาไท หรือไทยอีนิวส์)
http://thaienews.blogspot.com/2009/12/blog-post_8771.html
5.อรรคพล สาตุ้ม ระลึกถึงลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ในฐานะญาติร่วมชาติไทยในเดือนตุลาคม(ดูในประชาไท หรือไทยอีนิวส์)
http://thaienews.blogspot.com/2009/10/blog-post_1945.html

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

บทกวี: เมื่อความฝันเป็นแค่หมอกควันหลอกลวง

Posted: 25 Jun 2010 02:16 PM PDT

<!--break-->

เรา..ไม่สามารถหยุดยั้งความแตกแยก
ไม่ใช่เพราะเพียงเกิดมาผิดแผกหรือแตกต่าง
แต่เป็นเพราะ..ผู้คนยังคงหลงทาง
ไม่เคยคิดลดช่องว่างและระยะห่างกลางจิตใจ

เรา..ไม่อาจสมานฉันท์ปรองดอง
ไม่ใช่เพราะหมายปองจะเอาชนะปะทะใส่
แต่เป็นเพราะไม่รู้จริงๆ..ว่าจะต้องทำอย่างไร
เพื่อจะรักและเข้าใจกันได้..บนปลายกระบอกปืน

เรา..ไม่อาจพบสังคมที่ไร้ความเหลื่อมล้ำ
ในเมืองที่ความเป็นมนุษย์ตกต่ำอย่างน่าขมขื่น
เรา..ไม่อาจสร้างความเป็นธรรมได้ในชั่วข้ามคืน
ในเมืองที่น้ำตายังเต็มตื้นเพราะกีดกดชนชั้น

ถ้าเรา..ถามหาสำนึกและเจตนาแห่งประชาธิปไตย
เราจะพบกับ “ความตาย” อย่างน่าหวาดหวั่น
ถ้าเรา..ถามหาสิทธิของผู้คนที่เท่าเทียมกัน
เราจะพบเพียงความดื้อรั้นและหมอกควันหลอกลวง

เรา..ไม่อาจจะคืนความสุขกลับไปให้ใครได้
เพราะเรามีแต่ความทุกข์ทนมากมายคอยทับถ่วง
เรา..ไร้ที่ยืนในเมืองแห่งการกอบโกยตักตวง
ชีวิตเราถูกปลิดร่วง..อย่างเปล่ากลวง..ไร้ค่า
...
เรามั่นใจ..ว่าเราไม่มั่นใจอะไรทั้งนั้นในวันนี้
ไม่มี..ประชาธิปไตยที่เราร่ำร้องเรียกหา
ไม่มี..สิทธิเสรีภาพที่เราฝันใฝ่ในดวงตา
มีเพียงเศษซากกองเพลิงแห่งความร้าวแยกแปลกปร่า
และความตายของเราผู้แปลกหน้า..ที่ผ่านมาเพื่อจากไป
...
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อดีตบิ๊ก "คตน.- ดีเอสไอ" แนะรัฐเร่งออกกม.ลูก หวังติดดาบให้กก.สิทธิฟ้อง"คดีฆ่าตัดตอน"ต่อศาลโลก

Posted: 25 Jun 2010 01:53 PM PDT

อดีตบิ๊ก "คตน.- ดีเอสไอ" แนะรัฐเร่งออกกม.ลูก ให้กก.สิทธิฟ้องศาลโลก แทนญาติเหยื่อฆ่าตัดตอน 2,500 ศพ ฝาก"คัมภีร์"เร่งเอาผิดคนสั่งการ และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ล่าตัวรับโทษอาญา "วสิษฐ"ให้พ่วงสอบเหตุพฤษภาฯ ปี′53 ด้วย

<!--break-->

สถาบันสัญญาธรรมศักดิ์ จัดอภิปรายเรื่อง ฆ่าตัดตอน คดีที่ต้องสานต่อให้จบ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  โดยมีพล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ.วันชัย ศรีนวลนัด คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ อดีตคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบศึกษาและวิเคราะห์ การกำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้โทษ และการนำนโยบายไปปฎิบัติจนเกิดความเสียหายต่อชีวิตร่างกายและชื่อเสียงและทรัพย์สินของประชาชน (คตน.) และพ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)

พล.ต.ท.วันชัย กล่าวว่า นโยบายปราบปรามยาเสพติดในยุคพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดคดีฆาตกรรม 2,604 คดี มีผู้เสียชีวิต 2,873 คน เป็นคดีฆาตกรรมที่ผู้ตายเกี่ยวข้องกับยาเสพติด 1,187 คดี คดีวิสามัญฆาตกรรมเกิดขึ้นทั้งหมด 45 คดี มีผู้เสียชีวิต 54 คน และคดีวิสามัญฆาตกรรมที่ผู้ตายมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด 35 คดี และเมื่อเปรียบเทียบคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นช่วง 2 ปี ทั้งก่อนและหลังประกาศสงครามกับยาเสพติด พบว่า ช่วงเดือน กุมภาพันธ์ - เมษายน 2544, 2545, 2547, 2548 มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น เฉลี่ยเดือนละ 454 คดี แต่ช่วงประกาศนโยบายระหว่างเดือนกุมภาพันธ์– เมษายน 2546 คดีฆาตกรรมสูงขึ้นถึงเดือนละ 853 คดี หรือเพิ่มขึ้นเดือนละร้อยละ 87

พล.ต.อ.วันชัย กล่าวอีกว่า คตน. ได้ทำรายงานสรุปเสนอรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ความเสียหายต่อชีวิตเป็นผลจากการนำนโยบายปราบปรามยาเสพติดไปปฏิบัติ ซึ่งเป็นผลต่อการบังคับใช้กฎหมายอาญา และกระบวนการยุติธรรมทางอาญาระหว่างประเทศ จึงมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และต้องหาผู้รับผิดทางอาญา ตามกระบวนการการยุติธรรมทางอาญา โดยกำหนดการรับผิด ฐานเป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำผิด ทั้งการใช้บังคับขู่เข็ญจ้างวาน ซึ่งคณะกรรมการ คตน. ที่มีนายคัมภีร์ แก้วเจริญ อดีตอัยการสูงสุด ในฐานประธานคตน.คนใหม่ต้องตรวจสอบเพิ่มเติม เพราะเป็นการฆาตกรรมที่ไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ ยังขอให้คณะกรรมการชุดใหม่ดำเนินการต่อใน 3 ข้อ คือ 1.หาผู้รับผิดทางอาญามารับโทษ 2. เยียวยาผู้เสียหาย 3. หาแนวทางป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เกิดขึ้นอีก

พ.อ.ปิยะวัฒก์ กล่าวว่า คตน.ชุดเดิม มีข้อมูล ร้อยละ 80 โดยคตน.ชุดใหม่ต้องหาพยานหลักฐานเพิ่มเติ่มเพื่อความชัดเจน และศึกษาวิธีการ การนำคดีดังกล่าวไปสู่ศาลระหว่างประเทศ เนื่องจากคดีดังกล่าวเข้าหลักเกณฑ์ความรับผิด ตามประมวลกฎหมายอาญาระหว่างประเทศว่าด้วยอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เพราะมีข้อเท็จจริงปรากฎว่า ผู้กำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติด มีเจตนาให้เกิดผลเสียหายต่อชีวิตประชาชนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การนำคนมารับผิดทางอาญาต้องทำคู่ขนานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศ คตน.ชุดใหม่ต้องมีอำนาจตามกฎหมาย เพื่อให้สามารถส่งสำนวนดคีไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดีเอสไอ หรือคณะกรรมการสิทธิฯ เพื่อส่งเรื่องให้อัยการสั่งฟ้องคดี สำหรับแนวทางดำเนินคดีในต่างประเทศ ให้ญาติผู้เสียชีวิต ไปฟ้องร้องกับศาลอาญาระหว่างประเทศโดยตรง ผ่านช่องทางของสหประชาติ

พล.ต.อ.วสิษฐ์ กล่าวว่า เหยื่อจากการปราบปรามยาเสพติดสามารถฟ้องร้องระหว่างประเทศฐานละเมิดปฏิญญาระหว่างของครอบครัวได้ เช่น เดียวกับการฟ้องร้องประธานาธิบดี ยูโกสลาเวีย ที่กระทำผิดต่อชีวิตมนุษยชาติ และสุดท้ายศาลโลกพิพากษาดำเนินคดีทางอาญาและติดตามยึดทรัพย์ แต่การฟ้องร้องในประเทศอาจติดขัดเรื่องพยาน เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นเรื่องยาก ทางที่ดีควรให้ดีเอสไอเข้าไปดำเนินการ อย่างไรก็ตาม การดำเนินกับผู้สั่งการสามารถทำได้ โดยคณะกรรมการสิทธิฯ เป็นผู้ดำเนินการ เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 ระบุว่า คณะกรรมการสิทธิฯดำเนินการได้หากมีผู้ร้องขอ เพราะเป็นการละเมิดต่อส่วนรวม แต่จะมีปัญหาเนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีกฎหมายลูก กฎหมายลูกยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของรัฐสภา จึงประสานให้สภาทนายความช่วยฟ้องให้

"รัฐบาลควรจะเร่งออกกฎหมายลูกเพื่อให้กรรมการสิทธิฯ ฟ้องแทนเหยื่อและผู้สูญเสีย เพราะจะฟ้องได้ทั้งแพ่งและอาญา รวมทั้งยังมีอานิสงส์ให้เหตุการณ์อื่นๆด้วย เช่น เหตุการณ์พฤกษา 53" พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าว

ที่มา: มติชนออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“สนธิ” ลั่นเลือกตั้งซ่อมให้พันธมิตรฯ เทคะแนนเลือกประชาธิปัตย์

Posted: 25 Jun 2010 01:52 PM PDT

สนธิ ลิ้มทองกุลแจง “การเมืองใหม่” ถอนตัวจากการเลือกตั้งซ่อมเขต 6 กทม. เพื่อแสดงความเป็นสุภาพบุรุษทดแทนบุญคุณ “ทิวา เงินยวง” ส.ส.ปชป.ผู้ล่วงลับซึ่งอยู่ข้างพันธมิตรฯ ลั่นให้พันธมิตรฯ เทคะแนนประชาธิปัตย์เอาให้ชนะขาดลอย “เพื่อสั่งสอนคนชั่ว” พร้อมทำนายเลือกตั้งภาคอีสานถ้าไม่ใช่พรรคของทักษิณอาจโดน M-79 หรือสไนเปอร์ ด้าน “ไพศาล พืชมงคล” ชี้ถ้า “การเมืองใหม่” ถอนตัวเพราะกลัวตัดคะแนน ปชป. ก็ควรเลิกพรรคไปเลย

<!--break-->

เมื่อเวลา 20.30 น. วานนี้ (25 มิ.ย.) รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี มีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ดำเนินรายการ ร่วมกับ นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์

 

สนธิลั่นเว็บไซต์ผู้จัดการอันดับหนึ่ง 7 ปีซ้อน อ้างมาร์คต้องเข้าเว็บทุกวัน

ตอนหนึ่งนายสนธิกล่าวถึงเว็บไซต์ผู้จัดการ (www.manager.co.th) ว่าเป็นเว็บไซต์ที่สร้างมา 10 ปีแล้ว จนกระทั่งเป็นเว็บข่าวอันดับหนึ่งของประเทศไทย 7 ปีซ้อน อันดับหนึ่งของเรานี่ทิ้งไทยรัฐนี่เท่าตัว ไทยรัฐยอดพิมพ์ขนาดไหน ของเราก็คืออันดับสูงที่สุดในเว็บ วันหนึ่งมีคนเข้าประมาณ 2 ล้านคน จำนวนหน้านะครับ จำนวนหน้าที่เวลาท่านผู้ชมคลิกเข้าไปดูเดือนหนึ่งเกือบ 200 ล้านหน้า เพราะฉะนั้นแล้วอิทธิพลของเว็บไซต์มีสูงมาก ทุกคนดูหมด แม้กระทั่งท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ท่านยังต้องเข้าเว็บไซต์นี้เพื่อเช็กข่าว

นายสนธิอ้างว่านายอภิสิทธิ์นั้น "ตอนเช้านี่ต้องเข้าเว็บไซต์ผู้จัดการทันทีเลย" และกล่าวต่อไปว่าเว็บผู้จัดการเป็นเว็บเดียวที่เริ่มให้คนออกความเห็นในข่าวชิ้นนั้นได้ พอออกความเห็นเสร็จเรียบร้อยแล้วเราพัฒนาต่อไป พัฒนาต่อไปให้คน สมมติว่าคุณแอนออกความเห็นข้อที่ 1 คนที่เข้ามาเห็น อ่านความเห็นคุณแอนไม่เห็นด้วยก็สามารถจะตอบได้ทันที ว่าผมไม่เห็นด้วยกับคุณนะ เอ้าผมเห็นด้วย ผมขอเสริม ในขณะเดียวกันก็มีการให้คะแนนความเห็นอันนี้ ว่าบวก หรือลบ เห็นด้วยอันนี้บวก ถ้าคะแนนได้เยอะๆ เราก็จะเอาขึ้นไปข้างบนเลย เขาเรียกว่าจอเหลือง

 

อ้างไทยรักไทย-ประชาธิปัตย์ตั้งหน่วยพิเศษโพสต์ถล่มเว็บ

นายสนธิกล่าวหาว่า กระบวนการเว็บไซต์ของเรานี่โดนโจมตีมาตั้งแต่สมัยคุณทักษิณแล้ว พรรคไทยรักไทยเขาจะตั้งหน่วยพิเศษในการเข้าเว็บไซต์ เข้ามาเพื่อด่าเรา สมมุติว่าข่าวชิ้นนี้เป็นข่าวเรื่องที่เกี่ยวกับคุณทักษิณ เขาก็จะด่า ด่าเพื่อเชียร์คุณทักษิณ ผมก็ชินไปซะแล้ว เพราะว่าเขาจะมีหน่วยงานที่ตั้งอยู่ที่ตึกชินวัตร 1 อยู่แถวพหลโยธิ

นายสนธิกล่าวต่อไปว่า "เป็นหน่วยงานเลย แล้วก็จ้างกันเลยวันละ 500 บาท หรือ 1,000 บาท ผมจำไม่ได้ แต่ว่าใครก็ตามมีเวลาว่าง ก็เข้าไปที่นั่น เขาก็ทำ แล้วเขาก็จะบอกให้เสร็จ ให้ตอบอย่างนี้ๆ ก็ตอบ ปุ๊บๆๆๆ เปลี่ยนทำนองบ้าง เปลี่ยนชื่อบ้าง แต่ IP เดียวกันหมด ทีนี้ไอ้เราก็คิดว่าคุณทักษิณทำเป็นคนเดียว นายสนธิยังกล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ด้วยว่า ปรากฏว่าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็ทำเหมือนกัน”

"เขาตั้งทีมงานเพื่อมา ถ้ามีข่าวอะไรถ้าเป็นลบกับคุณอภิสิทธิ์ หรือพรรคประชาธิปัตย์ พวกนี้จะเข้ามาทันทีเลย สังเกตได้อย่างว่าจะใช้ IP เดียวกัน แล้วก็คำตอบคล้ายๆ กัน" โดยนายสนธิกล่าวว่ามีการใช้ชื่อเดิมๆ เพื่อเอาไปวางบิล

 

อัดพวกโพสต์เชียร์ประชาธิปัตย์ เถียงข้างๆ คูๆ

นายสนธิกล่าวต่อไปว่า แล้วที่น่าสังเกตอย่างหนึ่ง ลักษณะกรอบของการตอบนั้นจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันหมดเลย ยกตัวอย่างเช่น เวลาเถียงไม่ออก สมมุติว่าคุณปานเทพเขียนบทความชิ้นหนึ่ง มีข้อมูลให้เสร็จเรียบร้อย ทุกอย่าง จนกระทั่งเถียงไม่ออก วิธีการเขาจะบอกว่า แล้วยังไง ไม่เอาอภิสิทธิ์ จะเอาเฉลิมหรือยังไง ก็คือว่าข้างๆ คูๆ จะลักษณะแบบนี้ เขาเคยโดดลงไปในคูแล้วเถียง แล้วเขาชอบพูดอย่างนี้ อย่างเช่น แน่จริงลงเลือกตั้งดูว่าการเมืองใหม่ได้กี่เสียง ขอให้การเมืองใหม่ได้เป็นเสียงข้างมากเหมือนไทยรักไทย วิจารณ์อย่างนี้เพราะหวังให้การเมืองใหม่ชนะประชาธิปัตย์ ใช่ไหม วิจารณ์อย่างนี้ คราวหน้าก็เลือกเฉลิมเป็นนายกรัฐมนตรี

"ผมเคยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ก็เขียนมาด่าว่า นี่หาเสียงให้พรรคการเมืองใหม่ใช่ไหม พอผมลาออก ก็ด่าผมอีก คือเป็นก็ด่าไม่เป็นก็ด่า" นายสนธิกล่าว 

นางจินดารัตน์เสริมว่า "คือทำอะไรก็ไม่ดีหมด" นายสนธิกล่าวต่อว่า ถ้าไม่อยู่กับเนวินแบบนี้อย่าพลิกขั้วให้เฉลิมเป็นนายกฯ หรือ นายกฯ น่าสงสารถูกบีบโดยพรรคร่วมรัฐบาล ต้องเห็นใจ ต้องให้กำลังใจท่าน โดนรังแก ต้องเห็นใจ ให้กำลังใจท่านชาติจะฉิบหายยังไงก็ตามไม่เป็นไรแต่ต้องเห็นใจท่าน เป็นพวกเดียวกันซัดกันแบบนี้ทักษิณคงชอบใจเพราะได้กลับมาแน่ พันธมิตรฯ เป็นพวกผู้ก่อการร้าย ปิดสนามบินอย่ามาอ้างเป็นบุญคุณให้พรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นเรื่องของศาลเท่านั้น บ้านเมืองวิกฤตขนาดนี้นายกฯ ทำเรื่องเสื้อแดงอย่างเดียวผ่านก็เก่งมากแล้ว ต้องให้กำลังใจท่าน ถ้าอยากให้ดีกว่านี้ต้องช่วยกันเลือกพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นรัฐบาลฝ่าย เดียว นี่เป็นลักษณะแบบนี้จริงๆ บางครั้ง อย่างเช่นเวลาคุณจำลอง ศรีเมือง จำได้ไหมครับ เรื่องเกี่ยวกับคุณจำลองท่านออกไปให้คำแนะนำว่า ควรจะล้อมอย่างนี้ปราบอย่างนี้ วิธีการ เว็บออกมาให้ความเห็นยังไงรู้ไหม กระหายเลือด แต่พอนายกฯ ทำตามคุณจำลองบอก ก็บอกว่า อย่ามาแอบอ้างนะ อย่ามาเอาหน้านะ นี่ฝีมือพรรคประชาธิปัตย์ อย่ามาทวงบุญคุณกันนะ

"คือพวกนี้ ผมไม่รู้จะใช้คำว่า โง่ รึอะไรไม่รู้นะ แต่ว่าผมอ่านแล้วผมสมเพช แล้วผมรู้สึกว่า คนที่คิดตอบโต้แบบนี้โง่มาก เราก็ทำได้ เราก็สามารถตั้งทีมลบมันออกไปให้หมดได้ แต่รำคาญ"

 

ดูรู้ว่า IP เดียวกัน แต่ไม่บล็อกเพราะอยากให้โชว์ความโง่

นายสนธิกล่าวต่อไปว่า ขอให้สังเกตอย่าง เมื่อใดก็ตามที่มีทีมงานแบบนี้ขึ้นมาแล้วมีการตอบโต้แบบนี้ ซึ่งเรารู้เพราะเราเคยเช็ก IP แล้วมาจาก IP เดียวกันหมด ถามว่าเราบล็อก IP ได้ไหม ทำได้แต่เราขี้เกียจทำ ผมอยากให้เขาโชว์ความโง่ออกมา เพราะว่าคนเขาต้องทำมาหากิน คุณแอน ไม่อย่างนั้นเบิกเงินไม่ได้ เป็นการกระจายรายได้ เด็กๆ ก็เบิกเงินได้ ผู้ใหญ่ก็ไปคุยกับ ท่านครับผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ เบิกก็เบิกได้ต่อ อาจจะได้รับเลื่อนตำแหน่ง นี่สงสัยนั่งฟังผมพูดอยู่ตอนนี้ ข่าวอะไรก็ตามอย่างเช่น คุณคณิตบอกว่าผมจะพูดให้ฟังคุณสนธิ ก็จะเข้ามาแล้วพูดอยู่นั่นแหละเมื่อไหร่จะหยุดพูดซะที นึกออกไหมครับ พูดทีไรบ้านเมืองป่วนทุกที ในทำนองตลอดเวลา แต่อย่าไปถือสาเลยนะครับ เพราะว่าเมื่อใดก็ตามคุณแอนกับคุณแอ้มจำไว้อย่างนะ อะไรก็ตามจะเป็นข่าวชิ้นไหน จะเป็นความเห็นชิ้นไหน ถ้าได้รับการตอบสนองแบบประเภทห่วยๆ แบบนี้ แสดงว่ามันมีผล เพราะว่าถ้ามันไม่มีผลเขาไม่สนใจหรอก แสดงว่าเว็บไซด์ผู้จัดการนั้นเป็นเว็บไซด์ที่มีอำนาจมีอิทธิพลสูง

 

ลั่นอ่านกันทุกวงการ ชอบไม่ชอบก็ต้องอ่าน ไล่คนรักประชาธิปัตย์ไปตั้งเว็บใหม่

"อ่านกันทุกวงการเลย ชอบหรือไม่ชอบก็ต้องอ่านนะครับ ก็ขนาดผมบอกว่าถ้าพวกคุณรักพรรคประชาธิปัตย์นัก คุณไปสร้างชุมชนคุณเองซิ แล้วคุณก็ไปเชียร์กัน คุณไปเลียก้นกันให้มันแผลบเลย คุณอย่าหน้าด้าน อย่าหน้าด้าน อย่าหน้าด้าน อย่าหน้าด้านเข้ามาในเว็บผู้จัดการใช่ไหมครับ อย่ารำคาญ ไปไหนก็ไป ไปลงนรกซะไป" นายสนธิกล่าว

นางจินดารัตน์เสริมว่า "สรุปแล้วไอ้คนรับจ้างพิมพ์ฉลาดกว่าไอ้คนจ้างนะ" นายสนธิตอบว่า "ถูกต้อง" นางสาวสโรชาเสริมต่อว่า "ดูรู้นะค่ะ ดูรู้ ถ้ามาแบบนี้คือแน่ๆ อยู่แล้ว" นางจินดารัตน์เสริมว่า "แล้วก็จะมีคนที่อ่านแล้วเขารำคาญไอ้พวกนี้ไง เขาจะบอกแกกลับไปกินหญ้าที่บ้านเถอะอะไรประมาณนี้"

นายสนธิสรุปว่า มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจคุณแอน ช่วงหลังมันมีพวกคนที่เขามีเหตุมีผลแล้วเขาอ่าน แล้วเขาเห็นด้วยกับเราเขาทนไม่ไหวกับพวกนี้ เขาออกมาตอบโต้นะ แล้วเขาก็สู้กันอย่างถึงพริกถึงขิง บางทีข่าวของเราที่ขึ้นมา เราวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนะ คนที่เขาชอบข่าวนี้เขาจะบอกว่า รอดูเถอะประเดี๋ยวสาวกพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาเป็นแถวแน่ แล้วก็มาจริงๆ มากันจริงๆ

 

สนธิแจงเรื่องเลือกตั้งซ่อม กทม. เผยไม่รู้เรื่อง “การเมืองใหม่” คิดส่ง “พล.อ.กิตติศักดิ์” ลง

ต่อมา นางจินดารัตน์ถามนายสนธิว่า "อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้คุณสนธิพูดอะไรสักนิดหนึ่ง เพราะคนเขาถามกันเยอะ พรรคการเมืองใหม่ การจะส่งไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส. กทม.เขต 6 ตกลงพรรคการเมืองใหม่มาคุยกับคุณสนธิบ้างไหม มาขอคำแนะนำบ้างไหมว่าทำไมมันออกมาในรูปแบบนี้”

นายสนธิชี้แจงว่า ตั้งแต่ผมลาออกจากพรรคการเมืองใหม่ในฐานะหัวหน้าพรรคและสมาชิกพรรคในวันนั้น แล้ว ด้วยเหตุผลที่ผมได้อธิบายให้ฟังแล้ว ว่าผมได้ทำหน้าที่ผมสมบูรณ์แล้ว พรรคมีแล้วกำลังเดินหน้าต่อไป ผมเคยลั่นวาจาไว้ในทางสาธารณะทุกคนได้ยินหมด ว่าผมจะมาอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อพรรคตั้งได้แล้วผมจะออก จากวันนั้นผมไม่ได้ไปยุ่งเลย เขาจะประชุมอะไรกันเขาไม่เคยเล่าให้ผมฟัง และผมก็ไม่เคยเข้าไปถามเขา เหตุการณ์ของการเลือก พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ ขึ้นมาเป็นตัวแทนผู้สมัครของพรรคการเมืองใหม่นั้น ผมไม่รู้เรื่องเลย ผมมารู้เมื่อมีข่าวออกมา

 

สอน “การเมืองใหม่” ต้องดูสิ่งแวดล้อม “ทิวา เงินยวง” อยู่ข้างพันธมิตรฯ ถ้าเป็นผมจะไม่ส่ง

นายสนธิกล่าวว่า ถ้าถามความเห็นส่วนตัวผม ผมไม่เห็นด้วย ไม่ใช่ พล.อ.กิตติศักดิ์ เป็นคนที่ไม่ดี แต่ผมคิดว่าถ้าพรรคการเมืองใหม่จะลง ต้องมีเงื่อนไของค์ประกอบสิ่งแวดล้อม ดูให้ละเอียด อย่าคิดว่าเพียงเพราะว่าเป็นพรรคการเมือง ต้องลงไปสู้ ในส่วนตัวผม ผมมองว่าพื้นที่นี้เป็นพื้นที่คุณทิวา เงินยวง อาจารย์ทิวา เป็นคนที่มีมิตรไมตรีกับพวกเรามา ยืนข้างพวกเรา

“แกยืนข้างพันธมิตรฯ นะ แล้วแกไม่เคยว่าพันธมิตรฯ แกเข้าใจพันธมิตรฯ ดีที่สุด แกยังไม่เห็นด้วยกับท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ที่มาทำร้ายทำลายจิตใจพวกเรา แกพูดกับผมเป็นส่วนตัว แกเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยรังสิต พื้นที่เก่าแก เมื่อแกตายไปแล้ว ผมอยากจะให้เกียรติแก ในความเห็นส่วนตัวผมนะ ถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรค ผมให้เกียรติแก ผมไม่ส่ง

 

ชี้เพื่อไทยไม่ต้องการหาเสียง แต่ต้องการปลุกระดมยั่วยุ

เรื่องที่ 2 ผมก็ไม่เห็นด้วย การซึ่งคุณทักษิณส่งคุณก่อแก้ว พิกุลทอง ผมไม่ได้พูดว่าพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทยไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงอะไรทั้งสิ้น

ทักษิณเป็นคนเลือก พรรคเพื่อไทยมี ส.ส. มีคนที่ยังไม่ได้เป็น ส.ส.พร้อมที่จะลงเยอะแยะไปหมด จะดี/ไม่ดี ผมไม่สนใจ ทำไมไม่เลือก ต้องมาเลือกก่อแก้ว พิกุลทอง ที่เลือกก่อแก้ว พิกุลทอง นั้น เพราะว่าเบื้องหลังนั้นไม่ต้องการหาเสียง ต้องการปลุกระดม ต้องการยั่วยุ”

 

ทำนายการเลือกตั้งอีสานถ้าไม่ใช่พรรคของทักษิณ อาจโดน M-79 หรือสไนเปอร์

นางจินดารัตน์ กล่าวว่า “ม็อบย่อยๆ” นายสนธิตอบว่า “เหมือนม็อบย่อยๆ เพราะฉะนั้นแล้วเป็นการสู้กันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคคุณทักษิณ กับฝ่ายเสื้อแดง ผมไม่อยากไปยุ่ง ประกอบกับอาจารย์ทิวา ท่านเป็นคนที่น่ารัก ให้เกียรติท่าน ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ส่ง และก็ดูเหตุการณ์การวางระเบิดทั้งหลาย แนวโน้มจะมีการล้มหายตายจากกัน เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือทำร้ายคน นี่เฉพาะในกรุงเทพฯ นะ โอกาสที่จะมียังสูงเลยนะ หลับตาวาดภาพอีกหน่อยถ้ามีการหาเสียงทั่วประเทศ แถวอีสานนี่นะ พนันกับผมได้คุณแอน ใครไปหาเสียง ที่ไม่ใช่พรรคของคุณทักษิณ อาจจะโดน M79 ยิงเอา สไนเปอร์ เพราะฉะนั้นเมืองไทยนี่มันสิ้นสุดไปหมดแล้ว แต่เผอิญสิ่งที่ผมคิดเนี่ย ผมไม่ได้รับการปรึกษาเลย ไม่เคยมีใครมาหาผม ซึ่งเขาอาจจะพูดว่าทำไมต้องมาหาคุณสนธิ ก็คุณลาออก ก็ถูกต้องไง แต่ว่าในฐานะผมเป็นแกนนำพันธมิตรฯ และผมบอกมาตลอดเวลาว่า พรรคการเมืองใหม่คือเครื่องมือของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อย่างน้อยที่สุด จะต้องมาถามไถ่กันบ้าง ว่าเห็นอย่างไร เป็นอย่างไร”

ในฐานะแกนนำ หรือว่าคนที่เป็นพันธมิตรฯ ด้วยกัน ไม่ใช่คิดมาว่า เออ เรามีกรรมการบริหารแล้วนะ เรามีรักษาการหัวหน้าพรรคแล้ว เรามีรักษาการเลขาธิการพรรค แล้วจะตัดสินใจก็ตัดสินใจได้ เพราะว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพูดมาตลอดว่า พรรคการเมืองใหม่คือเครื่องมือ ถ้าไม่สนใจกันอย่างนี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น อย่างน้อยผมคนหนึ่งล่ะ ผมก็บอกถ้าอย่างนั้นผมไม่เอาการเมืองใหม่แล้ว เข้าใจไหมครับ ทีนี้พอมีเรื่องนี้เกิดขึ้นมา วันนี้คุณสุริยะใสมาหาผม ค่อยมาถามผม ผมก็อธิบายความให้ฟัง ว่าจริงๆ แล้วไม่ควรจะส่งเพราะอะไร เพราะ 1 เพราะ 2 เพราะ 3 เพราะ 4 แต่ต้องชมเชยสปิริต พล.อ.กิตติศักดิ์ ท่านก็ไว ท่านยอมรับ ท่านลาออก ถอนตัวทันทีเลย อันนี้ก็ต้องให้คำชมเชย แต่ทั้งหมดเมื่อมามองย้อนหลังแล้ว เราต้องยอมรับ ว่านี่คือคุณูปการข้อดีพรรคการเมืองใหม่เหมือนกัน เป็นครั้งแรกนะที่พรรคการเมืองตัดสินใจอย่างนี้ปังปั๊บ พอมีกระแสไม่พอใจขึ้นมา แล้วคุณสุริยะใสมาถามผม ท่านรักษาการรองหัวหน้าพรรค โทรศัพท์มาถามผม เพิ่งจะมาถามวันนี้ ผมอธิบายความให้ฟัง เขาก็เลยประชุมกรรมการบริหารพรรค แล้วคุยกับท่าน พล.อ.กิตติศักดิ์ แล้วเขาตัดสินใจถอน ผมคิดว่าเขาฟัง” นายสนธิกล่าว

นางสาวสโรชากล่าวว่า “ก็ยังฟังเสียงของประชาชน ฟังเสียงพันธมิตรฯ” นายสนธิกล่าวว่า “ก็ยังฟังเสียงประชาชนอยู่ ฟังเสียงพันธมิตรฯ ผมก็ถือว่ายังใช้ได้อยู่”

 

สนธิลั่นให้พันธมิตรฯ เทคะแนนให้ประชาธิปัตย์ให้หมด เพื่อแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ

นายสนธิย้ำว่า “ผมอยากจะฝากไปที่พี่น้องประชาชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วก็พี่น้องที่ชอบพรรคการเมืองใหม่ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ผมอยากให้พวกเราเทเสียงให้ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ เทให้หมดเลย”

นางสาวสโรชาถามกลับมาว่า “เอาอย่างนั้นเลยหรือคะ” นายสนธิตอบว่า “เราต้องแสดงสปิริต อะไรก็ตามที่เราร่วมมือกับเขาได้ เราทำให้เห็น ถึงแม้ว่าคนบางคนในพรรคเขาจะรังแกเรามาตลอด เราไม่ยึดถือความแค้น เราถือว่าชาติมาก่อน ที่ผมขอร้องให้เทเสียง ลงคะแนนเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์งวดนี้ เขต 6 ลงกันให้เต็มที่ อะไรที่เคยคิดจะลงให้การเมืองใหม่ ลงให้ประชาธิปัตย์เถอะ 1. แสดงความเป็นสุภาพบุรุษของเรา 2. ที่สำคัญคือ ให้ความเคารพ อ.ทิวา เงินยวง ซึ่งแกดีกับพันธมิตรฯ มาก ถือว่าเราทดแทนบุญคุณเพื่อให้วิญญาณของ อ.ทิวา เงินยวง ความสุข ส่วนคนบางคนในพรรคประชาธิปัตย์มันจะอับอายขายหน้ายังไงช่างหัวมัน อย่าไปสนใจ เพราะเราจิตใจใหญ่กว่าความคับแคบของพรรคประชาธิปัตย์มาก เพราะฉะนั้นพี่น้อง ท่านผู้ชมซึ่งเป็นพันธมิตรฯ อยู่ หรือว่าเห็นด้วยกับผม ที่อยู่ในเขต 6 ที่จะลงคะแนนเสียงเทไปให้พรรคประชาธิปัตย์ให้หมดเลย เทไปให้หมด”

 

ย้ำเลือกประชาธิปัตย์เพื่อสั่งสอนคนชั่ว และอยากให้ชนะแบบขาดลอย

นางจินดารัตน์ เสริมว่า “อย่างน้อยที่สุดอีกอันนึงก็คือ สั่งสอนคนชั่ว” นายสนธิตอบว่า “สั่งสอนคนชั่วด้วย” นางสาวสโรชาตอบว่า “จะได้ไม่มีผู้ก่อการร้ายมาเดินเชิดหน้าชูตาอยู่ว่า ขนาดไม่หาเสียง อยู่ในคุกก็ยังสามารถรับเลือกตั้งได้ อันนี้เป็นสิ่งที่รับไม่ได้จริงๆ”

นายสนธิตอบว่า “อยากให้ชนะแบบขาดลอยกันจริงๆ เลย” นางสาวสโรชาตอบนายสนธิว่า “แสดงให้เห็น” นายสนธิตอบว่า “แสดงให้เห็นหน่อยครับ”

 

“ไพศาล พืชมงคล” ชี้ถ้าถอนตัวเพราะกลัวตัดคะแนน ปชป. เป็นเหตุผลอัปยศ ควรเลิกพรรคไปเลย

ขณะที่เมื่อเวลา 18.30 น. วันเดียวกัน ในรายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ “อีสานทีวี” ในเครือ ASTV นายไพศาล พืชมงคล อดีต สนช. แห่งชาติ และนายกฤษฎา ให้วัฒนานุกูล อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 มาเป็นแขกรับเชิญของรายการ โดยนายไพศาล กล่าวถึงการถอนตัวลงสมัครรับเลือกตั้งเขต 6 ของ พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ ในนามตัวแทนของพรรคการเมืองใหม่โดยให้ความเห็นไว้ว่าไม่อยากแข่งขันกับผู้ ต้องหาก่อการร้าย โดยนายไพศาลกล่าวว่า สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ถ้าเปรียบกับนักมวยลงเข้าชกแต่พอขึ้นสนามก็ กระโดดหนีเลย เพระฉะนั้นต้องคิดให้ดีว่าจะแก้ตัวยังไงก็ตามแต่ห้ามความคิดคนไม่ได้ ต้องชื่นชม พล.อ.กิตติศักดิ์ ที่เสียสละเมื่อรู้ว่ามีคนไม่สนับสนุนก็ยอมถอนตัว แต่กรรมการบริหารพรรคนี่สิมีการลงมติกันแล้วว่าจะส่งคนลงรับเลือกตั้งแต่ วันนี้เกิดอะไรขึ้น ถ้าวันนี้จะส่งก็ยังทันอยู่

นายไพศาลกล่าวต่อว่า แต่ถ้าเหตุผลที่กลัวตัดคะแนนเสียงกับประชาธิปัตย์ ถือเป็นเหตุผลอัปยศ และควรฝังพรรคการเมืองใหม่ได้เลย เลิกพรรคไปเลย แต่เป็นเหตุผลนี่หรือเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าใช่ อีก 1 ปี 6 เดือน ที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ ความคิดขี้ขลาดนี้จะยาวไปถึงตอนนั้นหรือเปล่า

"เชื่อว่าวันนี้กรรมการบริหารพรรคมีแรงกระเพื่อมเข้ามามาก เพราะนี่เป็นศึกแรกและเป็นโอกาสพิเศษในการฝึกซ้อมรบ เพื่อดูกำลังพันธมิตรทั่วประเทศจะได้รู้มีจุดอ่อนจุดด้อยอย่างไร เพื่อนำไปปรับใช้กับศึกใหญ่ แถมถ้าชนะเลือกตั้งครั้งนี้ กระแสพรรคจะดีจะมีคนแห่มาสมัครเข้าพรรคเต็มไปหมด แต่นี่ทำให้ประชาชนผิดหวัง" นายไพศาล กล่าว

น.ส.กมลพร วรกุล ถามนายไพศาลว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พรรคการเมืองใหม่เสีย รังวัดหรือเปล่า นายไพศาลกล่าวว่า เสียแต่จะได้นำไปทบทวน นำไปแก้ไขปรับปรุง เพื่อใช้กับศึกใหญ่ในอีก 1 ปี 6 เดือน

ส่วนนายกฤษฎากล่าวว่า เสียแน่นอนดูจากข่าวแล้วแต่ละคนหน้าถอดสีกันหมด คำตอบก็ไม่ชัดเจน แต่ให้นำไปเป็นบทเรียนของกรรมการบริหารพรรค และก็เป็นบทเรียนที่แรงที่สุดครั้งแรกของพรรคนี้ด้วย

 

แนะประธานศาลฎีกาใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญจัดการ “ก่อแก้ว พิกุลทอง”

นายไพศาลกล่าวถึงกรณีนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช. ซึ่งต้องขังอยู่จะลงสมัคร ส.ส. เขต 6 กทม. ว่า บ้านเมืองจะพังเพราะพวกวิปริตพวกนี้ ตนขอแนะให้ประธานศาลฎีกาใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญวางระเบียบปฏิบัติไว้ ว่ากรณีนี้ต้องทำอย่างไรเพื่อเป็นบรรทัดฐาน เหตุตอนที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่มีใครคาดถึงว่าจะมีคนทำแบบนี้ได้ เหตุการณ์ที่ให้ผู้ต้องหาก่อการร้ายลงรับเลือกตั้งได้ เป็นการงามหน้าไปทั่วโลก

นายกฤษฎากล่าวเสริมว่า มันจะทำให้เป็นบรรทัดฐานทางสังคม ต่อไปพ่อค้ายาเสพติดก็จะสมัครเข้าพรรคใดพรรคหนึ่งพอติดคุกก็จะขอออกมาโดย อ้างแบบนี้เหมือนกัน ตนขอถามว่าคิดกันได้ไง ไม่อยากจะพูดว่าสันดานพรรคนี้คาดไม่ถึงว่าจะเลวได้ขนาดนี้

 

ที่มาของข่าว: เรียบเรียงบางส่วนจาก

“สนธิ” ฝากพี่น้องพันธมิตรฯ เทเสียงหนุน ปชป.เลือกซ่อมเขต 6 ให้เกียรติ “ทิวา” สั่งสอนคนเลว, ผู้จัดการออนไลน์, 25 มิ.ย. 53 http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000087848

เคาะข่าวริมโขง : กมม.เสียรังวัด!ถอนลงเลือกตั้ง –เสียโอกาสซ้อมรบ, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 25 มิ.ย. 53 http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000087859

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รัฐแบก1.5หมื่นล.ตรึงพลังงาน6เดือน

Posted: 25 Jun 2010 12:41 PM PDT

ก.พลังงานยันความจำเป็นลดภาระประชาชนตรึงราคา "แอลพีจี-เอ็นจีวี-ค่าเอฟที" อีก 6 เดือน ยอมรับ "แอลพีจี-เอ็นจีวี" กองทุนน้ำมันฯ ต้องรับภาระ 15,628 ล้านบาท หนักใจแบกภาระส่วนต่างนำเข้าแอลพีจีสูงถึง 2,000 ล้านบาท หวังโรงแยกก๊าซฯ 6 เปิดดำเนินการปลายปีนี้

<!--break-->

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานที่จะเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 28 มิ.ย.นี้ กระทรวงพลังงานจะเสนอให้ขยายมาตรการบรรเทาผลกระทบ ด้านพลังงานออกไปอีก 6 เดือน (ก.ย.2553 - ก.พ.2554) ใน 3 มาตรการหลัก คือ 1.ตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ไว้ที่กิโลกรัมละ18.13 บาท 2.ตรึงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ไว้ที่กิโลกรัมละ 8.50 บาท โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะจ่ายชดเชยให้กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กิโลกรัมละ 2 บาท และ 3.ตรึงค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (เอฟที) ไว้ที่ 92.55 สตางค์ต่อหน่วย

ทั้งนี้ 2 มาตรการแรกต้องใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ รวม 15,024-15,628 ล้านบาท ในช่วง 6 เดือน แบ่งเป็นการชดเชยราคาส่วนต่างนำเข้าแอลพีจี คาดต้องใช้เงินประมาณ 2,204 ล้านบาทต่อเดือน หรือประมาณ 13,224 ล้านบาท ในช่วง 6 เดือน บนพื้นฐานราคาแอลพีจีตลาดโลกที่ 725 ดอลลาร์ต่อตัน

ส่วนเอ็นจีวีคาดต้องใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 300-400 ล้านบาทต่อเดือน รวม 6 เดือนใช้เงิน 1,800-2,400 ล้านบาท ส่วนค่าเอฟทีได้ให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรคกูเลเตอร์) ประสานกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อีกครั้ง

นายดิเรก ลาวัลย์ศิริ ประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรคกูเลเตอร์) กล่าวว่าการตรึงค่าเอฟทีต่อ ส่วนการตรึงค่าไฟฟ้าภาระของ กฟผ.ลดลงเหลือ 5,996 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธ.ค.นี้ จากภาระเดิม 9,698 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนส.ค.2553

นพ.วรรณรัตน์ กล่าวว่า การตรึงราคาดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวกับการเลือกตั้ง แต่ต้องการแบ่งเบาภาระให้กับประชาชน หลังจากสิ้นสุดมาตรการ จะพิจารณาสถานการณ์อีกครั้ง ส่วนระยะยาวจะยึดหลักราคาที่สะท้อนราคาตลาดโลก หากหมดความจำเป็นก็จะเลิกมาตรการดังกล่าวแน่นอน

สำหรับฐานะของกองทุนน้ำมันฯ ที่ต้องแบกรับภาระ ต้องบริหารไม่ให้ติดลบซ้ำประวัติศาสตร์แบบเดิม โดยเดือนมิ.ย. มีรายได้จากการนำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันประเภทต่างๆ 3,000 ล้านบาท มีภาระการชดเชยพลังงานทดแทน 2,730 ล้านบาท จึงมีเงินไหลเข้าสุทธิ 270 ล้านบาทต่อเดือน มีกระแสเงิน ณ เดือนมิ.ย. 2553 อยู่ที่ 33,566 ล้านบาท

นอกจากนี้ จะเสนอ กพช. พิจารณาปรับอัตราส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าหรือแอดเดอร์ ในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์  เบื้องต้นจะปรับลดลงจาก 8 บาทต่อหน่วยเหลือ 6.50 บาทต่อหน่วยเป็นเวลา 10 ปี กับโครงการที่ตกลงรับซื้อแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือพีพีเอ

นายศิวะนันท์ ณ นคร ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) กล่าวว่าภาระหนักที่สุดของกองทุนน้ำมันฯ ขณะนี้คือ การชดเชยส่วนต่างนำเข้าแอลพีจี เฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 1,600 - 2,000 ล้านบาท ภาระดังกล่าวจะลดลงได้เมื่อสิ้นสุดมาตรการเดือนก.พ.2554 หรือมีการปรับโครงสร้างราคา รวมถึงการเปิดดำเนินการของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 6 ที่ยังติดคดีมาบตาพุดอยู่

"จะใช้วิธีบริหารรายรับรายจ่ายรายเดือน เพื่อไม่ให้ฐานะกองทุนฯ ติดลบ ต้องบริหารให้มีกระแสเงินในมือไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท จึงถือว่ามีเสถียรภาพสำหรับการช่วยเหลือราคาน้ำมันในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ประมาณ 3-6 เดือน" นายศิวะนันท์ กล่าวและว่า สำหรับมาตรการลดภาษีน้ำมัน คาดว่ากระทรวงการคลังคงหารือใน กพช.เอง

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เทพไทแนะเพื่อไทย ขอศาลเอาตัว “ก่อแก้ว” หาเสียงเพิ่มสีสัน

Posted: 25 Jun 2010 12:36 PM PDT

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แนะนำให้ยื่นคำร้องต่อศาลขอตัวนายก่อแก้วให้ออกมาหาเสียงจนถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งหากศาลอนุญาตเชื่อว่าจะทำให้การเลือกตั้งมีสีสันมากยิ่งขึ้น
<!--break-->

วันที่ 25 มิ.ย.นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 แทนตำแหน่งของนายทิวา เงินยวง ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งว่า มีพรรคการเมือง 3 พรรคลงสมัครแข่งขันกัน ซึ่งต้องยอมรับว่าการลงเลือกตั้งของพรรคการเมืองใหม่มีผลกระทบต่อคะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ไม่มากก็น้อย เพราะคนกลุ่มหนึ่งที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ก็อาจจะหันกลับไปสนับสนุนหรือเห็นด้วยกลับแนวทางของพรรคการเมืองใหม่ก็เป็นไปได้ แต่ถือว่าเป็นสิทธิของพรรคการเมืองใหม่ที่ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาจะส่งลงสมัครหรือไม่ก็ได้ แต่ในเมื่อมีการประกาศตัวลงแข่งขันในการเลือกตั้งซ่อม ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ทางการเมืองที่เป็นตัวเลือกให้กับประชาชน ถ้าดูจากคะแนนการเลือกตั้งเมื่อปี 2550 ที่ผ่านมาก็จะเห็นได้ว่าคะแนนแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ 1.ประชาชนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ 126,999 คะแนน 2.พรรคพลังประชาชน 103,471 คะแนน และ 3.เลือกพรรคการเมืองอื่นๆอีก 12,210 คะแนน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์สามารถรักษาฐานคะแนนเดิมได้ก็เชื่อว่าโอกาสที่พรรคจะรักษาที่นั่งเดิมก็ยังมีโอกาสสูงอยู่

นายเทพไท กล่าวว่า ดังนั้น ตนคิดว่าจากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 ที่ผ่านมาน่าจะให้บทเรียนกับคนกรุงเทพฯ อย่างน้อยความหวังจากกลุ่มพลังเงียบที่ไม่เคนใช้สิทธิก็น่าจะแสดงออกทางการเมืองผ่านผลการเลือกตั้ง เหมือนกับการเลือกตั้ง สข. 14 เขตที่ผ่านมา ถ้าดูจากผลการเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2550 อยู่ประมาณ 70 เปอร์เซนต์แต่หากเพิ่มขึ้นก็ถือว่าเป็นผลดีของพรรคประชาธิปัตย์ อย่างไรก็ตาม จะมีการนำประเด็นทางการเมืองขึ้นมาต่อสู้ค่อนข้างเข้มข้นและรุนแรงโดยเฉพาะการตั้งธงของแกนนำ นปช.พยายามรากสถานการณ์ให้นำไปสู่การชุมนุมรอบสาม โดยการสร้างกระแสกกดดันรัฐบาลในการให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ ซึ่งเชื่อว่าจะยกเรื่องนี้เป็นประเด็นการหาเสียง เนื่องจาก แกนนำพรรคเพื่อไทยระบุว่าพรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งเนื่องมาจากการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

ส่วนกรณีนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ออกมาระบุว่าให้นายกรัฐมนตรีเช็คเรตติ้งโดยการนำตัวผู้สมัครลงพื้นที่นั้น นายเทพไท กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและกรรมการบริหารพรรครวมทั้งคนในพรรคประชาธิปัตย์ที่พร้อมจะลงพื้นที่หาเสียง หากนายจตุพรจะท้าทายนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารพรรคจะเห็นช่วงการเลือกตั้ง นายกฯคงจะใช้เวลานอกราชการลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครหาเสียงอย่างแน่นอน ทั้งนี้ อยากถามกลับไปยังพรรคเพื่อไทยว่าหัวหน้าพรรคตังจริงพร้อมนำผู้สมัครหาเสียงรับเลือกตั้งหรือไม่ ส่งผู้สมัครที่เป็นผู้ก่อการร้าย และจะเอาหัวหน้าผู้ก่อการร้ายมาช่วยหาเสียงได้หรือไม่

นายเทพไท กล่าวว่า การส่งนายก่อแก้ว พิกุลทอง เป็นผุ้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้รู้สึกว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับส.ส.เท่าที่ควร ซึ่งต้องจับตาดูว่าส.ส.พรรคเพื่อไทย พร้อมที่จะช่วยผู้สมัครลงพื้นที่หาเสียงหรือไม่ ส่วนที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะทำหุ่นจำลองนายก่อแก้วมาหาเสียง เนื่องจากนายก่อแก้วถูกคุมขังไม่สามารถออกมาหาเสียงได้ ตนอยากแนะนำให้ยื่นคำร้องต่อศาลขอตัวนายก่อแก้วให้ออกมาหาเสียงจนถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งหากศาลอนุญาตเชื่อว่าจะทำให้การเลือกตั้งมีสีสันมากยิ่งขึ้น

โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีออกมารับผิดชอบต่อกรณีของนายทศพล เพ่งส้ม ส.ส.นนทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ที่ไปติดต่อขอเอกสารต่อเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญว่ากรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ทั้งนี้ เชื่อว่า พฤติกรรมของนายทศพลเป็นการกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งขณะนี้นายทศพล ได้แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยการลาออกจากทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อความสบายใจและความโปร่งใสของกระบวนการต่อสู้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ

นายเทพไท กล่าวว่า ตนอยากถามนายตุพรว่าจะให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างไร เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนบุคคลจะต้องถึงขั้นลาออกจากหัวหน้าพรรคหรือตำแหน่งนายกฯ อย่างนั้นหรือ เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลหรือไม่หรือเป็นเพราะพรรคเพื่อไทยต้องการนำเรื่องเล็กน้อยมาเคลื่อนไหวเป็นประเด็นทางการเมือง เพื่อดิสเครดิตพรรคประชาธิปัตย์ การมาใส่ร้ายว่าพรรคประชาธิปัตย์รุ้ล่วงหน้าในคดียุบพรรค ตนอยากเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยยุติพฤติกรรมกรปล่อยข่าวในลักษณะตีกิน สร้างความเสียหายให้กับกระบวนการยุติธรรมและผู้อื่น ขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์สู้ตามกระบวนการยุติธรรมไม่มีข้อสอบรั่วไม่มีการรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับผลการตัดสินใด ๆ ทั้งสิ้น

ที่มา:เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แอฟริกาใต้ 2010 : ชนะหรือตาย? ย้อนดูความยิ่งใหญ่และลำเค็ญของทีมชาติอิตาลีในยุคเผด็จการครองเมือง

Posted: 25 Jun 2010 07:47 AM PDT

<!--break-->

เป็นทีมที่เหนือความคาดหมายเสมอสำหรับทีมชาติอิตาลี สำหรับในการแข่งขันครั้งนี้ถึงแม้เป็นจะเคยเป็นแชมป์เก่าเมื่อปี 2006 พวกเขากลับไม่ได้ถูกจับตามองว่าเป็นตัวเต็งอย่างสเปนหรืออังกฤษ .. แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะทำพลาดถึงกับตกรอบแรก

อิตาลีเป็นชาติแรกที่ได้แชมป์นอกบ้านตนเอง และเป็นชาติแรกที่ได้แชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัยติดต่อกัน รวมถึงเป็นชาติที่ขึ้นชื่อกับสไตล์การเล่นแบบ “คาเตนัคโช่” (Catenaccio) หรือตามคำพังเพยของไทยคำว่า “ตีหัวเข้าบ้าน” ที่หลายคนมองว่ามันแสนจะน่าเบื่อเหลือเกิน

Catenaccio มนต์เสน่ห์ที่แสนจะอึดอัด

อะไรที่บ้างที่อาจทำให้เราหัวใจวายได้หากเป็นแฟนฟุตบอลทีมในอิตาลี? คำตอบก็คือการพยายามชนะคู่แข่งลูกเดียวตามแบบฉบับ Catenaccio 

Catenaccio มีความหมายว่าเป็นการลงกลอนประตู มีรูปแบบการจัดวางตัวผู้เล่นในสนามฟุตบอลอย่างรัดกุมที่พัฒนามาจากแผนการเล่นของ Karl Rappan โค้ชของทีมชาติ Switzerland ในช่วงทศวรรษ 1930s -1940s จากนั้นโค้ชของทีมในอิตาลีก็นำมาพัฒนา มีลักษณะพิเศษคือมีตัวกวาด (Sweeper) ห้อยไว้เป็นตัวสุดท้าย ด้วยการจัดผังไลน์ผู้เล่นแบบ 1-4-4-1 หรือ 1-4-3-2 รูปแบบการเล่นของระบบนี้ก็คือการอดทนตั้งรับแล้วใช้วิธีการสวนกลับ บ่อยครั้งเอาชนะทีมคู่ต่อสู้เพียง 1-0 โค้ชที่ใช้ระบบนี้จนโด่งดังก็คือ Helenio Herrera โค้ชชาวอาเจนไตน์ที่พาทีม F.C. Internazionale Milano หรือ อินเตอร์มิลานยิ่งใหญ่ทั้งในระดับประเทศและระดับยุโรปในยุคทศวรรษ 1960s

ส่วนผู้เล่นที่เป็นตำนานของอิตาลีในการเล่นตัวกวาดตัวสุดท้ายก็มีอาทิเช่น Claudio Gentile และ Gaetano Scirea ในยุค 1970s, Giuseppe Bergomi และ Franco Baresi ในยุค 1980s

นอกจากนี้ยังมีเกร็ดเล็กน้อยที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ “ฟุตบอล-การเมือง” เมื่อนักเตะอิตาเลียนเคย “เตะแบบไม่คิดชีวิต” จนได้แชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัยเป็นทีมแรก ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ที่การเมืองแบบเผด็จการฟาสซิสต์กดดันให้พวกเขาต้อง “เตะหนีตาย”

ชนะหรือตาย? ย้อนดูความยิ่งใหญ่และลำเค็ญของทีมชาติอิตาลีในยุคเผด็จการครองเมือง 

 

"Vincere o morire!" (ชนะหรือตาย!) คาถาของ Benito Mussolini ที่ให้กับนักฟุตบอลอิตาลีในยุคฟาสซิสต์ครองเมือง, ในภาพท่านผู้นำกับบันดานักฟุตบอลทีมชาติในยุค 1930’s อันรุ่งเรืองของอิตาลี (ที่มาภาพ: ปกหนังสือ Football and Fascism The National Game under Mussolini)

ในช่วงทศวรรษ 1930’s ภายใต้ระบบการเมืองเผด็จการและกลิ่นโชยของสงครามครั้งใหญ่ เกมส์กีฬาถูกใช้เป็นเครื่องมือ “โฆษณาชวนเชื่อ” ให้กับลัทธิการเมืองฝ่ายขวาจัดของ 2 มหาอำนาจอย่างเยอมันและอิตาลี

เช่นเดียวกับกีฬาโอลิมปิกที่เบอร์ลิน, เยอรมัน ในปี 1932 อิตาลีพยายามทำให้ทัวร์นาเมนท์ฟุตบอลโลกปี 1934 ที่ตนรับหน้าที่เจ้าภาพ เป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของลัทธิฟาสซิสต์ที่นำโดย Benito Mussolini ซึ่งมีความมุ่งหวังว่าทีมจะต้องได้แชมป์ในบ้านตัวเองให้ได้สถานเดียว

การเตรียมความพร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ Vittorio Pozzoโค้ชของทีมถูกส่งไปยังอังกฤษเพื่อศึกษาเรื่องแท็คติคต่างๆ รวมถึงการนำเข้านักเตะฝีเท้าดีๆ จากนอกประเทศ โดยผู้เล่นฝีเท้าดีเทคนิคแพรวพราว 5 คนของทีมแชมป์ชุดนี้ไม่ใช่อิตาเลี่ยนแท้ๆ Raimundo Orsi, Enrique Guaita, Luis Monti และ Demaria เป็นอาเจนไตน์ ส่วน Guarisi เป็นบราซิเลียน

นัดชิงชนะเลิศในสนามที่กรุงโรม Mussolini นั่งเป็นประธานเยี่ยงซีซาร์ชมการแข่งขันนักสู้กลาดิเอเตอร์ แน่นอนเขาไม่อยากเห็นทีมอิตาลีแพ้ จึงได้กดดันด้วยการส่งจดหมายถึงทีมโดยมีข้อความสั้นๆ ธรรมดาๆ ที่จะแสนตรงไปตรงมาว่า "Vincere o morire!" (ชนะหรือตาย!) รวมถึงโน้ตสั้นๆ ถึงโค้ช Pozzo ว่า “หวังว่าพระเจ้าจะอยู่ข้างคุณ หากคุณไม่ได้เป็นผู้ชนะ”

Ivan Eklind กรรมการชาวสวีดิชผู้ตัดสินในนัดชิงชนะเลิศวันนั้นก็กัดดันไม่น้อยหน้านักเตะทีมชาติอิตาลี เมื่อเขาได้รับเกียรติให้ทานอาหารค่ำกับท่านผู้นำ เขาจึงมีส่วนรักษาชีวิตนักเตะทีมชาติอิตาลี โดยไม่ให้จุดโทษแก่ทีมเชคโกสโลวาเกีย และไม่ให้ใบแดงแก่ผู้เล่นอิตาลี ซึ่งท้ายสุดอิตาลียิงประตูแซงนำเชคโกสโลวาเกียไป 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ – ทั้งทีมรอดตายและคว้าแชมป์สมใจ Mussolini

จากนั้นอีก 4 ปีฟุตบอลโลก 1938 ที่ฝรั่งเศส ก่อนการระเบิดอย่างเต็มตัวของสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่องของการเมืองเริ่มส่งผลกระทบกับการแข่งขัน เมื่อสเปนต้องถอนตัวเพราะสงครามกลางเมือง ออสเตรียถูกยุบทีมหลังกองทัพนาซีบุกและผนวกเอาเข้าไปเป็นของเยอรมัน ทำให้สวีเดนคู่แข่งในรอบแรกชนะผ่านไปไม่ต้องออกแรง

ในนัดชิงชนะเลิศ อิตาลีโคจรมาพบโคตรทีมในขณะนั้นอย่างฮังการี นักเตะอิตาลีเองก็ยังคงโดนคำสั่งท่านผู้นำตามมาหลอกหลอนอีก เมื่อ Mussolini ส่งข้อความ "Vincere o morire!" (ชนะหรือตาย!) ผ่านโทรเลขมาถึงทีมอีกครั้งหนึ่ง

ผลการแข่งขันอิตาลีเป็นที่ชนะไป 4-2 สร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกที่ป้องกันแชมป์ได้ หลังจากนั้นโลกก็เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง Mussolini นำอิตาลีเข้ากับฝ่ายฮิตเลอร์และญี่ปุ่น ท้ายสุดพวกเขาแพ้สงคราม ฟุตบอลโลกหายไป 12 ปี โดย Ottorino Barassi รองประธาน FIFA ชาวอิตาเลียน ได้เก็บถ้วยแชมป์โลกไว้ในกล่องรองเท้าซุกไว้ใต้เตียงตลอดช่วงเวลาโหดร้ายของสงครามนั้น

ทีมชาติอิตาลีในยุคนั้นถือว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดอย่างไม่มีข้อสงสัย (แชมป์ฟุตบอลโลก 2 ครั้งซ้อน) และวลีที่ว่า “ชนะหรือตาย” ของ Mussolini ก็ถูกตีความว่าเป็นเพียงการปลุกใจจากผู้นำประเทศในระบบการเมืองอันแสนจะเด็ดขาดแบบฉบับฟาสซิสต์

แต่หากมองอีกด้านก็กลับกลายเป็นเรื่องโจ๊กของวงการฟุตบอล เมื่อผู้นำทางการเมืองพยายามสร้างความกดดันเหล่านักเตะของตนเองจนเกินไป การนำกีฬามารับใช้การเมืองจนน่าเกลียด -- Antal Szabó ผู้รักษาประตูของฮังการีนัดชิงกับอิตาลีในปี 1938 ได้กล่าวเชิงสมเพชหลังจบเกมส์ไว้ว่า “ถึงแม้ผมจะเสียไปถึง 4 ประตู แต่อย่างน้อยผมก็ได้ช่วยรักษาชีวิตพวกเขาเอาไว้”

ที่มาข้อมูล:

Greatest World Cup matches: Italy-Czechoslovakia (1934) (footballfanaticos.blogspot.com, 8-9-2009)
http://en.wikipedia.org/wiki/Catenaccio (เข้าดูเมื่อ 25-6-2010)
http://en.wikipedia.org/wiki/1934_FIFA_World_Cup (เข้าดูเมื่อ 25-6-2010)
http://en.wikipedia.org/wiki/1938_FIFA_World_Cup (เข้าดูเมื่อ 25-6-2010)
http://en.wikipedia.org/wiki/Antal_Szabo (เข้าดูเมื่อ 25-6-2010)

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"การเมืองใหม่" ไม่ลงเลือกตั้ง "พล.อ.กิตติศักดิ์" แจงไม่อยากแข่งผู้ก่อการร้าย

Posted: 25 Jun 2010 05:50 AM PDT

"พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ" ถอนตัวจากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. แล้ว อ้างเพราะมี "ก่อแก้ว พิกุลทอง" ลงเลือกตั้ง จึงไม่อยากแข่งกับผู้การร้าย "เทพไท" ท้าเพื่อไทยส่งหัวหน้าพรรคตัวจริงมาช่วยลูกพรรคหาเสียง ด้าน "ก่อแก้ว" ขอใส่ชุดนักโทษสมัคร

<!--break-->

"พล.อ.กิตติศักดิ์" ไม่ลงเลือกตั้ง อ้างมีความพยายามใช้การเลือกตั้งเพื่อก่อจลาจล
บ่ายวันนี้ (25 มิ.ย.) ที่พรรคการเมืองใหม่ ถ.พระสุเมรุ พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ รักษาการกรรมการบริการพรรค ได้เปิดแถลงข่าวเพื่อถอนตัวจากการเป็นผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 6 หลังจากมติพรรคได้เห็นชอบในเรื่องของความพร้อมและคุณสมัติ โดย พล.อ.กิตติศักดิ์ได้ให้เหตุผลว่า เนื่องจากการเปิดตัวรับผู้สมัครลงเลือกตั้งในสัปดาห์หน้านี้ ทราบว่าจะมี นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช. และผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย พล.อ.กิตติศักดิ์กล่าวหาว่า จะมีความพยายามบิดเบือนเพื่อใช้เวทีเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้ยั่วยุเพื่อก่อเหตุจลาจลรอบใหม่ แม้จะถือว่าเป็นการเลือกตั้งซ่อม แต่ก็ถือว่าเป็นสนามการเมืองระดับชาติที่ยิ่งใหญ่กว่าการเลือกตั้ง ส.ก.-ส.ข. ซึ่งก็ยังไม่สามารถประเมินว่าจะมีเหตุรุนแรงอะไรหรือไม่ในสนามเลือกตั้ง กทม.

พล.อ.กิตติศักดิ์ได้กล่าวขอโทษแกนนำพันธมิตรฯ และกรรมการบริหารพรรคที่สนับสนุนให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นคนแรกของพรรคการ เมืองใหม่ แต่ไม่ต้องการให้พรรคถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ว่าต้องไปแข่งขันกับผู้ก่อการร้าย ด้วยเหตุนี้จึงขอถอนตัวตั้งแต่บัดนี้ รวมทั้งพรรคการเมืองใหม่จะได้ส่งตัวแทนไปยื่นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญ และประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อตรวจสอบคำวิจิฉัยคณะกรรมการการเลือกตั้งที่อนุญาตให้ผู้ก่อการร้ายมี สิทธิสมัครรับเลือกตั้งว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่

เทพไทเชื่อ นปช. จะสร้างสถานการณ์ให้มีการชุมนุมรอบสาม
ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 แทนตำแหน่งของนายทิวา เงินยวง ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งว่า มีพรรคการเมือง 3 พรรคลงสมัครแข่งขันกัน ซึ่งต้องยอมรับว่าการลงเลือกตั้งของพรรคการเมืองใหม่มีผลกระทบต่อคะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ไม่มากก็น้อย เพราะคนกลุ่มหนึ่งที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ก็อาจจะหันกลับไปสนับสนุน หรือเห็นด้วยกลับแนวทางของพรรคการเมืองใหม่ก็เป็นไปได้ แต่ถือว่าเป็นสิทธิของพรรคการเมืองใหม่ที่ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาจะส่งลง สมัครหรือไม่ก็ได้ แต่ในเมื่อมีการประกาศตัวลงแข่งขันในการเลือกตั้งซ่อม ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ทางการเมืองที่เป็นตัวเลือกให้กับประชาชน ถ้าดูจากคะแนนการเลือกตั้งเมื่อปี 2550 ที่ผ่านมาก็จะเห็นได้ว่าคะแนนแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ 1.ประชาชนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ 126,999 คะแนน 2.พรรคพลังประชาชน 103,471 คะแนน และ 3.เลือกพรรคการเมืองอื่นๆอีก 12,210 คะแนน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์สามารถรักษาฐานคะแนนเดิมได้ก็เชื่อว่าโอกาสที่พรรคจะ รักษาที่นั่งเดิมก็ยังมีโอกาสสูงอยู่

นายเทพไท กล่าวว่า ดังนั้น ตนคิดว่าจากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 ที่ผ่านมาน่าจะให้บทเรียนกับคนกรุงเทพฯ อย่างน้อยความหวังจากกลุ่มพลังเงียบที่ไม่เคนใช้สิทธิก็น่าจะแสดงออกทางการ เมืองผ่านผลการเลือกตั้ง เหมือนกับการเลือกตั้ง สข. 14 เขตที่ผ่านมา ถ้าดูจากผลการเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2550 อยู่ประมาณ 70 เปอเซนต์แต่หากเพิ่มขึ้นก็ถือว่าเป็นผลดีของพรรคประชาธิปัตย์ อย่างไรก็ตาม จะมีการนำประเด็นทางการเมืองขึ้นมาต่อสู้ค่อนข้างเข้มข้นและรุนแรงโดยเฉพาะ การตั้งธงของแกนนำ นปช.พยายามวางสถานการณ์ให้นำไปสู่การชุมนุมรอบสาม โดยการสร้างกระแสกกดดันรัฐบาลในการให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งเชื่อว่าจะยกเรื่องนี้เป็นประเด็นการหาเสียง เนื่องจากแกนนำพรรคเพื่อไทยระบุว่าพรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งเนื่องมาจากการประกาศ ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

ลั่นมาร์คช่วยลูกพรรคหาเสียงแน่ เย้ยจตุพรกล้าส่งหัวหน้าพรรคตัวจริงช่วยหาเสียงหรือไม่

ส่วนกรณีนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ออกมาระบุว่าให้นายกรัฐมนตรีเช้คเรตติ้งโดยการนำตัวผู้สมัครลงพื้นที่นั้น นายเทพไท กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและกรรมการบริหารพรรครวมทั้งคนในพรรคประชาธิปัตย์ที่พร้อมจะลงพื้นที่หาเสียง หากนายจตุพรจะท้าทายนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารพรรคจะเห็นช่วงการเลือกตั้ง นายกฯ คงจะใช้เวลานอกราชการลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครหาเสียงอย่างแน่นอน ทั้งนี้ อยากถามกลับไปยังพรรคเพื่อไทยว่าหัวหน้าพรรคตัวจริงพร้อมนำผู้สมัครหาเสียง รับเลือกตั้งหรือไม่ ส่งผู้สมัครที่เป็นผู้ก่อการร้าย และจะเอาหัวหน้าผู้ก่อการร้ายมาช่วยหาเสียงได้หรือไม่

นายเทพไท กล่าวว่า การส่งนายก่อแก้ว พิกุลทอง เป็นผุ้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้รู้สึกว่าไม่ได้ให้ความ สำคัญกับส.ส.เท่าที่ควร ซึ่งต้องจับตาดูว่าส.ส.พรรคเพื่อไทย พร้อมที่จะช่วยผู้สมัครลงพื้นที่หาเสียงหรือไม่ ส่วนที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะทำหุ่นจำลองนายก่อแก้วมาหาเสียง เนื่องจากนายก่อแก้วถูกคุมขังไม่สามารถออกมาหาเสียงได้ ตนอยากแนะนำให้ยื่นคำร้องต่อศาลขอตัวนายก่อแก้วให้ออกมาหาเสียงจนถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งหากศาลอนุญาตเชื่อว่าจะทำให้การเลือกตั้งมีสีสันมากยิ่งขึ้น

แจง ส.ส.ปชป.นนทบุรีขอเอกสาร จนท.ศาล รธน. รู้เท่าไม่ถึงการณ์
โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีออกมารับผิดชอบ ต่อกรณีของนายทศพล เพ่งส้ม ส.ส.นนทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ที่ไปติดต่อขอเอกสารต่อเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญว่ากรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้ ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ทั้งนี้ เชื่อว่า พฤติกรรมของนายทศพลเป็นการกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งขณะนี้นายทศพล ได้แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยการลาออกจากทีมกฎหมายของ พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อความสบายใจและความโปร่งใสของกระบวนการต่อสู้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ

นายเทพไท กล่าวว่า ตนอยากถามนายตุพรว่าจะให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างไร เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนบุคคลจะต้องถึงขั้นลาออกจากหัวหน้าพรรคหรือตำแหน่ง นายกฯ อย่างนั้นหรือ เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลหรือไม่หรือเป็นเพราะพรรคเพื่อไทยต้องการนำเรื่อง เล็กน้อยมาเคลื่อนไหวเป็นประเด็นทางการเมือง เพื่อดิสเครดิตพรรคประชาธิปัตย์ การมาใส่ร้ายว่าพรรคประชาธิปัตย์รุ้ล่วงหน้าในคดียุบพรรค ตนอยากเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยยุติพฤติกรรมกรปล่อยข่าวในลักษณะตีกิน สร้างความเสียหายให้กับกระบวนการยุติธรรม

ผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ยันไม่ได้ฮั้ว เชื่อพรรคการเมืองใหม่พิจารณารอบคอบแล้ว
ด้านไทยรัฐออนไลน์ เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ว่าได้ลาออกจากการดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เพื่อลงสมัคร ส.ส.กทม.เขต 6 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และ จะเดินทางไปทำการสมัคร ส.ส.ในช่วงเช้าวันที่ 28 มิ.ย.นี้ ทั้งนี้ตนรู้สึกเสียดายกับกรณีที่ พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ รักษาการกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ ได้ประกาศถอนตัวไม่ลงสมัคร ส.ส.กทม.เขต 6 เนื่องจากจะทำให้ตัวเลือกของประชาชนลดลงไปอีก 1 คน

ผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์ถามว่า เป็นการฮั้วกันหรือไม่กับพรรคประชาธิปัตย์ นายพนิช กล่าวว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีอย่างนั้นแน่นอน และ ไม่ใช่หลักการของพรรคตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ในทางกลับกันคิดว่าเป็นเรื่องดีหากมีตัวเลือกให้กับประชาชนจำนวนมาก ทั้งนี้คิดว่าเป็นเหตุผลของทางพรรคการเมืองใหม่ และ ส่วนตัวของ พล.อ.กิตติศักดิ์ ได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว

ทนาย นปช. ค้านฝางขังแกนนำ นปช. - ก่อแก้วขอใส่ชุดนักโทษไปสมัคร
ส่วนที่ศาลอาญา วันนี้ (25 มิ.ย.) พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยื่นฝาก นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กับพวกรวม 11 คน ผู้ต้องหาร่วมกันใช้หรือสนับสนุนผู้อื่นให้กระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1-3 เป็นครั้งที่ 2 เป็นเวลา 12 วัน พร้อมคัดค้านการประกันตัว โดยนายคารม พลทะกลาง ทนายความ นปช. เข้ายื่นอุทธรณ์คัดค้านการฝากขังของพนักงานสอบสวน ดีเอสไอ พร้อมยื่นคำร้องขอประกันตัวผู้ต้องหาด้วย ภายหลัง นายคารม กล่าวว่า หลังจากศาลมีคำสั่งอนุญาตให้นายก่อกุล พิกุลทอง แกนนำ นปช. หนึ่งในผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำคลองเปรม ออกไปใช้สิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขต 6 กทม. ในนาม พรรคเพื่อไทยในวันจันทร์ที่ 28 มิ.ย. 53

ทางทีมทนายความได้เปลี่ยนแปลงการยื่นอุทธรณ์คัดค้านการฝากขัง ผู้ต้องหาเพียง 10 คน ยกเว้นนายก่อแก้ว ที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเพียงคนเดียว โดยอ้างในอุทธรณ์คัดค้านว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดไม่คิดหลบหนี ทั้งได้เข้ามอบตัว พร้อมระบุเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคนกำกับไว้ด้วย ทั้งนี้คาดว่าศาลอุทธรณ์จากมีคำสั่งได้ภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งหลังจากนายก่อแก้ว สมัครรับเลือกตั้งเสร็จแล้วจึงจะดำเนินการยื่นอุทธรณ์คัดค้านฝากขังในส่วนของนายก่อแก้วต่อไป

ส่วนการนำตัวนายก่อแก้ว ไปสมัคร ส.ส. นั้น คาดว่าจะเดินทางออกจากเรือนจำในเวลา 06.30 น. วันที่ 28 มิ.ย.นี้ โดยนายก่อแก้ว ประสงค์จะใส่ชุดนักโทษขณะถูกควบคุมในเรือนจำไปสมัคร พร้อมประสานขอให้จัดซื้อรองเท้าผ้าใบ และถุงเท้าให้ด้วย ทั้งนี้เรื่องการยื่นประกันตัวผู้ต้องหานั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล อุทธรณ์ว่าจะให้ประกันหรือไม่ หากให้ประกันจะต้องเพิ่มหลักทรัพย์เท่าไหร่ โดยทางทีมทนายความพร้อมเพิ่มหลักทรัพย์ให้ตามดุลพินิจของศาล

ที่มา: เรียบเรียงจาก
“เทพไท” แนะ เพื่อไทย ขออนุญาตศาลเอาตัว “ก่อแก้ว” หาเสียงเพิ่มสีสันทางการเมือง ลั่น “อภิสิทธิ์” พร้อมลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครหาเสียง, เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์, 25 มิ.ย. 53 http://www.democrat.or.th/th/news-activity/news/detail.php?ELEMENT_ID=5217&SECTION_ID=29

“กิตติศักดิ์” ถอนตัวสมัครซ่อมเขต 6 ลั่นไม่อยากร่วมก๊วนสู้ศึกก่อการร้าย, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 25 มิถุนายน 2553, http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000087701

เสธ.อู๊ดถอนตัว เลือกซ่อม ปชป.ปัดฮั้วกมม., ไทยรัฐออนไลน์, 25 มิ.ย. 53 http://www.thairath.co.th/content/pol/91900

ก่อแก้วขอผ่านคุก สวมชุดนักโทษ วันสมัครสส.กทม., ไทยรัฐออนไลน์ 25 มิ.ย. 53 http://www.thairath.co.th/content/pol/91874

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ตลาดอสังหาริมทรัพย์อเมริกายังร่อแร่ แต่จีนกลับสุดร้อนแรง

Posted: 25 Jun 2010 02:42 AM PDT

“โสภณ พรโชคชัย” แถลงภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกายังอยู่ในภาวะ “ขาลง” อย่างต่อเนื่อง สำหรับในประเทศจีนนั้น ปรากฏว่า ราคาบ้านกลับแพง “หูฉี่” 

<!--break-->

 

ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้รวบรวมข้อมูลตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา และจีน เพื่อให้นักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทยได้เห็นถึงความเคลื่อนไหวต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เป็น “แบบอย่าง” หรือ “บทเรียน” สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย จะได้ไม่ก้าวพลาดเช่นในอดีต

ในกรณีสหรัฐอเมริกา ราคาบ้านทั่วประเทศในช่วงเดือนล่าสุดที่สำรวจพบคือเดือนมีนาคม – เมษายน 2553 มีราคาเพิ่มขึ้น 0.8% ในขณะที่เดือนก่อนหน้า (กุมภาพันธ์ – มีนาคม 2553) มีอัตราการเพิ่มเบาบางมากเพียง 0.1% อย่างไรก็ตามภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกายังอยู่ในภาวะ “ขาลง” อย่างต่อเนื่อง

ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน นี้ มีเพียงกลุ่มมลรัฐบางแห่งที่ราคายังลดลง อันได้แก่ กลุ่มมลรัฐทางภาคกลางค่อนไปทางตะวันออกเฉียงใต้ (เคนตักกี้ ถึง อลาบามา) กลุ่มมลรัฐนิวอิงแลนด์ (เมน เวอร์มอนท์ ถึง คอนเน็กติกัต) และกลุ่มมลรัฐแอตแลนติกตอนกลาง (นิวยอร์ค นิวเจอร์ซี และ เพนซิลเวเนีย) จะสังเกตได้ว่า มลรัฐแปซิฟิกที่เคยตกต่ำสุดขีดในอดีตและมีแคลิฟอร์เนียเป็นมลรัฐนำ ปรากฏว่า “เลือดหยุดไหล” หรือราคาเป็นบวกมา 3 เดือนต่อเนื่องกันแล้ว

นอกจากนั้นสำนักงานการเงินเคหะการแห่งสหรัฐอเมริกา ยังรายงานว่า ราคาที่อยู่อาศัยในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ยังลดลง 1.52% กลุ่มมลรัฐที่ลดลงมากที่สุดได้แก่ มลรัฐมอนตานา เนวาดา อริโซนา และนิวเม็กซิโก เป็นต้น ในทางตรงกันข้ามกลุ่มมลรัฐที่มีราคาเพิ่มขึ้นมากสุด กลับเป็นกลุ่มมลรัฐแปซิฟิก อันได้แก่ ฮาวาย อลาสกา วอชิงตัน ออรีกอน และแคลิฟอร์เนีย

สำหรับในประเทศจีนนั้น ปรากฏว่า ราคาบ้านกลับแพง “หูฉี่” จนกระทั่งชาวบ้านไม่สามารถซื้อบ้านได้เท่าที่ควร ในไต้หวันเคยมีการเดินขบวนมากมายเพื่อประท้วงการที่ราคาบ้านเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 3 เดือนนับจากนี้ มีผู้สนใจซื้อบ้านประมาณ 15.5% ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่ตกต่ำลงกว่าแต่ก่อนที่มีผู้สนใจซื้อบ้านมากกว่านี้

 อย่างไรก็ตามราคาบ้านในจีน ช่วงปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนรัฐบาลจีนต้องออกมาตรการหยุดยั้งการเก็งกำไร ด้วยการส่งเสริมให้มีการซื้อบ้านหลังแรกเป็นหลัก ไม่ส่งเสริมการซื้อบ้านหลังที่สองซึ่งมักเป็นไปเพื่อการเก็งกำไร แม้มีมาตรการนี้ออกมาจากรัฐบาล ราคาบ้านในจีนก็ยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องจากเศรษฐกิจจีนยังเติบโตอยู่อย่างต่อเนื่องนั่นเอง

ธนาคารกลางของจีนได้สำรวจพบว่า ผู้ซื้อบ้านในจีนก็ยังเก็งว่าราคาบ้านยังจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าราคาเฉลี่ยของบ้านในจีนจะลดลง 0.1% ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ดังนั้นจึงยังมีผู้ซื้อและผู้ทำโครงการอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยกันอย่างมากมายในช่วงที่ผ่านมา โดยสังเกตได้อย่างหนึ่งว่า การขายที่อยู่อาศัยในจีนนั้น ขายและปิดโครงการได้อย่างรวดเร็ว

สังเกตได้ว่าเศรษฐกิจที่ดี เช่น จีน ย่อมทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของราคาบ้าน ในขณะที่เศรษฐกิจตกต่ำ เช่น สหรัฐอเมริกา ย่อมทำให้ราคาบ้านไม่ค่อยขยับ เศรษฐกิจจึงเป็นปัจจัยกำหนดธุรกิจที่อยู่อาศัย ไม่ใช่ธุรกิจที่อยู่อาศัยเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใด ที่อยู่อาศัยก็เหมือนทรัพย์อื่นใด ในยามเศรษฐกิจดี ก็จะมีคนหาซื้อมามากมาย แต่ในยามเศรษฐกิจตกต่ำ ก็อาจต้องจำนอง จำนำ ขายทอดตลาด อสังหาริมทรัพย์จึงเป็นตัวแปรตามภาวะเศรษฐกิจ ไม่ใช่ตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ ยกเว้นกระตุ้นเศรษฐกิจของผู้อยู่ในวงการ

 

 

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธานกรรมการบริหารศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าทรัพย์สินไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ในฐานะศูนย์ข้อมูล-วิจัยและประเมินค่าทรัพย์สินที่มีฐานข้อมูลภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุด ได้รับ ISO 9001-2008 ทั้งระบบแห่งแรกในฐานะที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ได้รับรางวัลจรรยาบรรณดีเด่น และเป็นสมาชิก UN Global Compact อีกด้วย

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จะปรองดองกันได้ ต้องตระหนักถึงการเผยแผ่ความเกลียดชังให้ได้ก่อน

Posted: 24 Jun 2010 11:02 PM PDT

<!--break-->

ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับการเผยแผ่ความเกลียดชังของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถึงแม้ม็อบพันธมิตรจะดูเหมือนหยุดการเคลื่อนไหวไปนานแล้ว แต่กลุ่มเสื้อหลากสีที่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ก็หาความเชื่อมโยงไปยังกลุ่มพันธมิตรได้ไม่ยาก เมื่อพิจารณาการเคลื่อนไหวและการเผยแผ่ข้อมูลข่าวสารของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งรวมถึงสื่อในเครือผู้จัดการ เราจะเห็นความเหมือนอย่างน่าตกใจของเทคนิคที่ใช้ในการเผยแผ่ข้อมูลของพันธมิตรฯ กับเทคนิคที่กลุ่มหัวรุนแรงนิยมใช้ 

กลุ่มหัวรุนแรงในที่นี้หมายถึงกลุ่มองค์กรหรือการเคลื่อนไหวที่เผยแผ่ความเกลียดชัง ภาษาอังกฤษใช้คำว่า hate group กลุ่มเผยแผ่ความเกลียดชังที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักน่าจะเป็นพวก นาซีเยอรมัน หรือ พวก Ku Klux Klan (KKK) ซึ่งเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติหรือเหยียดผิว แต่ในความเป็นจริง กลุ่มหัวรุนแรงที่เผยแผ่ความเกลียดชังยังรวมถึงพวกต่อต้านกลุ่มรักร่วมเพศ พวกต่อต้านการทำแท้ง กลุ่มต่อต้านศาสนา หรือต่อต้านผู้อพยพ เป็นต้น ส่วนเทคนิคในการเผยแผ่โฆษณาชวนเชื่อ ในที่นี้หมายถึงเทคนิคในการชักจูงซึ่งพยายามโน้มนำความคิดเห็น ความรู้สึก ทัศนคติ หรือพฤติกรรมของกลุ่มคน อันที่จริงการโฆษณาชวนเชื่อไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายหรือดีงาม มันเป็นเพียงการจูงใจและสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่ดีหรือประสงค์ร้ายได้

กลุ่มหัวรุนแรงที่เผยแผ่ความเกลียดชัง ปั้นแต่งคำพูด ภาพถ่าย หรือสื่ออื่นๆ ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อ
- เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่า ฉลาดกว่า
- เพื่อฉวยโอกาสใช้ความรู้สึกไม่ปลอดภัย หรือความหวาดกลัว ในการทำให้ฝ่ายตรงข้ามกลายเป็น ปิศาจ
- เพื่อนำเสนออุดมการณ์และแนวความคิดของตนให้คนทั่วไปเข้าใจว่า นี่คือความจริง

เทคนิคการโฆษณาชวนเชื่อที่จะกล่าวต่อไปนี้ มีการนำมาใช้กันมากในสื่อที่องค์กรของกลุ่มหัวรุนแรงเผยแผ่ความเกลียดชัง บางครั้งมีการนำหลายๆ เทคนิคมาประกอบกันเพื่อให้มีประสิทธิผลสูงสุดและส่งผ่านความเกลียดชังไปสู่คนหมู่มากได้

การเล่นคำและการเรียกชื่อ
กลุ่มหัวรุนแรงที่เผยแผ่ความเกลียดชังมักชอบประดิษฐ์คำเพื่อสร้างกรอบให้กับมุมมองของตนให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น พวกคนผิวขาวที่เหยียดเชื้อชาติ จะไม่เรียกตัวเองว่าเป็นพวกเหยียดผิว (Racist) แต่จะนิยามตัวเองว่าเป็นพวกตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติ (racialist) ซึ่งเป็นคำที่เกิดขึ้นมาไม่นานและไม่มีประวัติอันด่างพร้อยมาก่อน
ในกรณีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเรียกร้องการถวายคืนพระราชอำนาจ จึงมิอาจเรียกตนเองว่า “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อราชาธิปไตย” ได้ เพราะยุคสมัยมันเลยจุดนั้นมามากแล้ว อีกอย่างพรรคการเมืองใหม่คงจะไม่อยากเอาระบอบเก่ามาใช้ในขณะที่นำเสนอตนเองว่าเป็น การเมืองใหม่ และจะบอกว่าตนสนับสนุนเผด็จการครึ่งใบ (อันที่จริงระบบ 70/30 นั้นเป็นเผด็จการมากกว่าครึ่งใบ) ก็คงทำไม่ได้เช่นกัน นอกจากนั้นยังมีการตั้งชื่อให้ฝ่ายตรงข้ามแบบลดความเป็นมนุษย์ลง เช่น ใช้คำนำหน้าว่า ไอ้- อี- หรือเรียกฝ่าย นปช. ว่า หางแดง ไพร่แดง เป็นต้น

การใช้สัญลักษณ์และรูปภาพ
กลุ่มหัวรุนแรงที่เผยแผ่ความเกลียดชังเข้าใจดีถึงพลังของสัญลักษณ์ในการใช้เป็นสิ่งหล่อหลอมกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ดังนั้นจึงมีรูปภาพและสัญลักษณ์บ่งบอกอัตลักษณ์ของกลุ่มตน เพื่อที่จะทำให้กลุ่มของตนเป็นที่ยอมรับ จึงไม่แปลกที่กลุ่มหัวรุนแรงจะนิยมเอาสัญลักษณ์ที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยมาใช้ เช่น กางเขนเคลติก มงกุฎ หรือ ภาษาโบราณของพวกยุโรปเหนือ (pagan runes)

กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้ความสำคัญกับการใช้สัญลักษณ์เช่นกัน สังเกตเห็นได้จากมีการออกแบบโลโก้ ออกแบบฉากบนเวทีให้เห็นนักการเมืองเป็นสัตว์ประหลาดไม่ใช่คน รวมไปถึงการทำเหรียญที่ระลึก ในแง่ของสัญลักษณ์ที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย เราจะเห็นรูปนกพิราบอยู่ในกรอบแขนสี่เหลี่ยมที่ประสานมือกัน

                  

การอิงศาสนา
กลุ่มหัวรุนแรงที่เผยแผ่ความเกลียดชัง ถึงแม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาโดยตรงก็มักอ้างหลักคำสอน หรือใช้คำทางศาสนามาสร้างความประทับใจว่าสิ่งที่ตนทำนั้นพระเจ้ารับรอง เช่นหัวหน้ากลุ่มมักเรียกตัวเองว่าบาทหลวง สาธุคุณ (pastor) หรือจุดมุ่งหมายของกลุ่มมักเรียกว่า บัญญัติ (commandment)

เจ้าลัทธิพันธมิตรฯ มักพูดอยู่เสมอว่า “เราเอา ธรรม นำหน้า” หรือ “พ่อแม่ครูบาอาจารย์สอนไว้ว่า” หรือการนุ่งขาวห่มขาวทำพิธีประพรมน้ำมนต์ให้กับสาวกที่เวทีพันธมิตร รวมไปถึงการที่เครือข่ายพันธมิตรอ้างบทวิพากษ์“ประชาธิปไตย” ของท่านพุทธทาสภิกขุ โดยไม่อธิบายว่าท่านพุทธทาสกล่าวไว้ในบริบทแห่งการต่อสู้อย่างเข้มข้นของอุดมการณ์ทางการเมืองสองแบบในช่วงสงครามเย็น (ระหว่างวันที่ 3 กรกฎาคม 2519 ถึงวันที่ 25 กันยายน 2519 )


การอ้างความชอบธรรมทางวิชาการ

การใช้วิทยาศาสตร์หรือผลงานทางวิชาการมาสร้างความชอบธรรมให้กับอุดมการณ์ของกลุ่มตน เช่น การอ้างงานวิชาการ หรือการนำเสนออุดมการณ์ทางการเมืองในรูปแบบเสมือนวิชาการ (pseudo-science) พวกนี้จะนำเสนอผลงานทางวิชาการของกลุ่มที่มีแนวคิดเดียวกับตนและทำให้ดูเสมือนเป็นกลางและปราศจากอคติ เป็นการผูกขาดความถูกต้องไว้เพียงกลุ่มเดียว
กลุ่มพันธมิตรฯ โชคดีกว่ากลุ่มหัวรุนแรงต่างชาติตรงที่ไม่ต้องอ้างอิงผลงานวิชาการมาสร้างความชอบธรรมให้กับอุดมการณ์ของกลุ่มตน เพราะพันธมิตรมีนักวิชาการของตนเองคอยเขียนบทความให้หรือแม้กระทั่งร่วมปราศรัยบนเวที นักวิชาการสายพันธมิตรที่รู้จักกันดี เช่น ดร. ชัยอนันต์ สมุทวณิช ดร. ปราโมทย์ นาครทรรพ ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และ ดร.จรัส สุวรรณมาลา เป็นต้น


การใช้ลัทธิชาตินิยม

เมื่อกลุ่มเหยียดผิวกล่าวถึงชาตินิยมหรือความเป็นพลเมืองจะอยู่ในบริบทของการปกป้องคนผิวขาวจากการถูกรุกรานของผู้อพยพเชื้อชาติอื่น กลุ่มหัวรุนแรงที่เผยแผ่ความเกลียดชังจะใช้แง่บวกของลัทธิชาตินิยม เช่น ความจงรักภักดี ความมีสกุลรุนชาติ อัตลักษณ์ชาติ เพื่อบันดาลใจผู้คนให้เข้าร่วมกับกลุ่มตน

ลัทธิคลั่งชาติของพันธมิตรฯ ทำงานได้ดีเกินเป้า พันธมิตรฯ ชูประเด็นปกป้อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นประเด็นหลัก หลังจากประเด็นทุจริตคอร์รัปชันปลุกกระแสต้านทักษิณได้ไม่มากเท่าที่ต้องการ พันธมิตรฯ ปลุกกระแสทักษิณขายชาติ จนต้องลุกขึ้นมาร่วมกัน “กู้ชาติ” ในแง่ศาสนา พันธมิตรฯ ปลุกกระแสเรื่อง “เจ้ามูลเมือง” ไปจนถึงพาผู้ชุมนุมไปทำลายรูปปั้นหน้าเหมือนนักการเมืองที่ฐานพระประธานชินวัตรมุนี ในอุโบสถวัดบางละมุง จ.ชลบุรี รวมทั้งการเชื่อมโยงฝ่ายทักษิณกับวัดดังย่านคลองหลวง ปทุมธานี การปกป้องสถาบันกษัตริย์ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่พันธมิตรฯ ใช้ในการดึงมวลชนให้เข้าร่วมกับกลุ่มตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการกล่าวหาอดีตนายกฯ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด นักวิชาการ สื่อทางเลือก ไปจนถึงสื่อในเครือมติชน


การแพร่กระจายความกลัว

กลุ่มหัวรุนแรงที่เผยแผ่ความเกลียดชังบางกลุ่มจะใช้การแพร่กระจายความกลัว เพื่อโหมกระพือความเชื่อที่ว่า คนบางกลุ่มเป็นภัยสังคม เช่น เชื่อมโยงผู้อพยพกับอาชญากรรม โรคระบาด หรือการก่อการร้าย

การเผยแผ่ความกลัวเรื่องการยกทรัพยากรทางทะเลให้เขมร เรื่องระบอบทักษิณจะกลับมา ประเทศชาติจะล่มจม ไทยจะเหมือนฟิลิปปินส์ ขบวนการล้มล้างสถาบัน การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง จนกระทั่งเร็วๆ นี้ เรื่องกลุ่มก่อการร้าย ฯลฯ ความเชื่อเหล่านี้ถูกผลิตซ้ำแล้วซ้ำอีกจากกลุ่มพันธมิตรฯ ในช่วงที่ นปช. เริ่มเข้ามาชุมนุมใน กทม. ASTV แพร่ภาพเหตุการณ์สงกรานต์ ๒๕๕๒ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับคนกรุงเทพฯ


การใช้เทคนิคของนักมายากล (smoke and mirrors)

ไม่ใช่ว่ากลุ่มหัวรุนแรงที่เผยแผ่ความเกลียดชังจะแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเสมอไป บางครั้งจะทำการดิสเครดิตกลุ่มอื่นโดยเชื่อมโยงคนกลุ่มนั้นกับอาชญากรรมหรือโรคระบาดแทนที่จะเปิดเผยเจตนาเกลียดชังอย่างโจ่งแจ้ง บางกลุ่มอาจจะใช้ข้อมูลจากบทความที่ได้รับความน่าเชื่อถือหรือใช้ข้อมูลทางสถิติที่เอื้อประโยชน์กลุ่มของตน

ในกรณีนี้พันธมิตร นิยมใช้วิธีพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว นำเสนอข้อมูลทางสถิติหรือข่าวสารที่เอื้อประโยชน์กลุ่มตน เช่นการกล่าวอ้างเรื่องการไม่พร้อมของคนอีสานกับระบอบประชาธิปไตย หรือการอ้างว่าประชาธิปไตยไม่เหมาะกับประเทศที่คนไม่ค่อยมีการศึกษา โดยไม่เคยกล่าวถึงความตื่นตัวทางการเมืองของคนอีสานในการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง หรือตัวอย่างประชาธิปไตยอันมั่นคงยาวนานในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรไม่รู้หนังสือจำนวนมาก (35.16% census 2001) เมื่อเทียบกับประเทศไทยซึ่งมีผู้ไม่รู้หนังสือเพียง 7%.

การนิพนธ์ประวัติศาสตร์ (Revisionism)
พวกที่เขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ คือคนที่นำเสนอประวัติศาสตร์ที่ได้มีการปรับปรุง (revised) แล้ว หรือชำระแล้ว โดยมักนำเสนอให้ดูเหมือนว่าตนเองไม่มีอคติใดๆ แต่ในความเป็นจริงจะจัดเรียงข้อเท็จจริงในอดีตเพื่อส่งเสริมการตีความประวัติศาสตร์ให้เข้าข้างจุดมุ่งหมายของตน ที่เห็นได้ชัดคือพวกที่เสนอแนวคิดว่า “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองไม่เคยเกิดขึ้นจริง”

กรณีของพันธมิตรฯ คงไม่มีเรื่องใดชัดเจนเท่ากับกรณีเขาพระวิหาร กับวาทกรรม “ศาลโลกตัดสินเฉพาะตัวปราสาทแต่ไม่ได้ตัดสินเรื่องผืนดินใต้ปราสาท” หรือ “ขอมไม่ใช่เขมร” การแก้ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องยากของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อพิจารณาจากเจ้าลัทธิซึ่งเรียนมาทางด้านประวัติศาสตร์ หรือนักวิชาการสายพันธมิตรฯ อย่าง ดร.ภูวดล ซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ ถึงแม้นักประวัติศาสตร์หลายท่านจะออกมาอธิบายให้สาธารณชนทำความเข้าใจถึงผลการตัดสินของศาลโลก การขออนุญาตขึ้นชมเขาพระวิหารของกรมฯ ดำรง ฯลฯ ก็ไม่สามารถต้านกระแสการนิพนธ์ประวัติศาสตร์ของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ ยิ่งบวกกับการใช้ลัทธิคลั่งชาติกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าไม่รักชาติ ทำให้พันธมิตรฯ หาแนวร่วมเพิ่มได้ไม่ยาก ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนที่มีแนวคิดไม่เหมือนพันธมิตรฯ สงบปากสงบคำลงได้ด้วย

จากตัวอย่างที่ยกมาทั้งหมดเราจะเห็นได้ว่า เทคนิคที่ใช้ในการเผยแผ่ข้อมูลของกลุ่มพันธมิตรฯ กับเทคนิคที่กลุ่มหัวรุนแรงนิยมใช้นั้น เหมือนกันอย่างน่าตกใจ ผู้เขียนเชื่อว่า พันธมิตรฯ คงไม่ได้ตั้งใจและคงไม่อยากให้วิธีการของตน ไปเหมือนกับวิธีการของกลุ่มเหยียดผิวเป็นแน่ แล้วเหตุใด? วิธีการของพันธมิตรฯ จึงได้ถลำลึกลงไปสู่หุบเหวแห่งความเกลียดชังได้? สาเหตุน่าจะเป็นเพราะ พันธมิตรฯ ไม่เลือกวิธีการที่ใช้ ขอให้บรรลุเป้าหมายได้เป็นพอ เหตุผลที่พันธมิตรฯอ้างมักมี ๒ ประการด้วยกัน คือ: ใช้วิธีโจรสู้กับโจร และ เพื่อรักษาสถาบันสูงสุดเอาไว้ แม้จะต้องละเมิดหลักการอื่นไปบ้าง ก็ต้องทำ


บทส่งท้าย
ถึงแม้ว่ารัฐ ไม่ควรที่จะควบคุมเนื้อหาที่สื่อจะนำเสนอ รัฐสามารถส่งเสริมให้เกิดสมดุลได้โดยการชี้ให้สังคมเห็นถึงการเผยแผ่ความรุนแรงที่แต่ละกลุ่มได้ทำลงไป จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม นอกจากนั้นรัฐยังสามารถตอบโต้กลุ่มที่เผยแผ่ความโกรธ เกลียด กลัว โดยการสนับสนุนสื่อทางเลือกที่มีอิสระและมีคุณภาพ และหลีกเลี่ยงคำพูดที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง เช่น คนไทยหรือเปล่า? ผู้ก่อการร้าย ขบวนการล้มเจ้า รัฐไทยใหม่ ฯลฯ

สังคมเองก็สามารถทำให้การเผยแผ่ความเกลียดชังลดลงได้ ด้วยการสร้างความตระหนักและมีสติรู้เท่าทันเทคนิคการเผยแผ่ความโกรธ เกลียด กลัว และร่วมกันประณามผู้ที่ใช้เทคนิคดังกล่าวหรือแม้แต่ประณามรัฐที่ปล่อยให้มีการเผยแผ่ความเกลียดชังเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง นอกจากนั้นสังคมต้องช่วยกันกระตุ้นให้เหตุผลได้ทำงานและฝึกตั้งคำถามกับสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าให้ใครผูกขาดความจริงและความถูกต้องไว้แต่เพียงผู้เดียว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าให้ใครผูกขาดความรักชาติไว้เพียงกลุ่มเดียว


อ้างอิง

http://www.media-awareness.ca/english/resources/educational/overheads/online_hate/prop_techniques_overhead.cfm
http://en.wikipedia.org/wiki/Hate_group
http://en.wikipedia.org/wiki/White_supremacist
http://en.wikipedia.org/wiki/Hate_speech
http://www.natvan.com/

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กวีประชาไท: เมื่อเรื่องเศร้าของเราต่างกัน

Posted: 24 Jun 2010 10:00 PM PDT

<!--break-->

เมื่อเรื่องเศร้า...ของเราต่างกัน
น้ำตาของฉันให้ผู้ยากไร้
ชาวไร่ชาวนาจากบ้านมาไกล
ขอประชาธิปไตย...ไม่ใช่ลูกปืน

ถูกกดขี่บีฑา...เดินทางมาร้องทุกข์
ขอคืนความสุขใช่บุกมาฝ่าฝืน
กรุงเทพฯ เมืองฟ้ามาขอแบ่งปันที่ยืน
เมื่อความขมขื่น...ถูกเยียวยาก็จะไป

น้ำตาของเธอ...แด่มหานครที่รัก
แด่ซากปรักตึกโค่นหักใจหาย
เมื่อความทรงจำตกอยู่กลางกองไฟ
อกเธอหมองไหม้...ร้องไห้อยู่ทั้งคืน

โจรถ่อยหยาบช้า...การศึกษาก็ต่ำ
ยกขบวนรุกล้ำมาคุกคามข่มขืน
ละเมิดพรมแดนเธอแสนกล้ำกลืน
จึงขอทวงคืน...พื้นที่ศิวิไลซ์

เมื่อเรื่องเศร้า...ของเราต่างกัน
และความใฝ่ฝันเราต่างกัน (ด้วย) ใช่ไหม
เธอจึงเย็นชามองไม่เห็นความตาย
ปล่อยซากศพเรียงราย...เดียวดายอยู่กลางเมือง

เลือดเราต่างสี...หรือเราต่างกันที่ใด
เป็นคนเท่ากันไหมใต้ฟ้าสีทองเหลือง
แผ่นดินเหลืองทองที่อวดอ้างว่ารองเรือง
หรือความรักอันเปล่าเปลือง...ทำให้เรื่องบานปลาย

เมื่อเรื่องเศร้า...ของเราต่างกัน
เรื่องเศร้าของฉัน...คือนิทานที่หล่นหาย
เรื่องเศร้าของเธอถูกเยียวยาอย่างสาใจ
ความคับแค้นจึงกลาย...เป็นฟืนไฟเผาเมือง!!!
(ความคับแค้นจักกลาย...เป็นสงครามกลางเมือง!!)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จดหมายเปิดผนึก คัดค้านวาทกรรมอำพราง ต่อต้านกระบวนการปฏิรูปประเทศไทยอำมหิต

Posted: 24 Jun 2010 09:15 PM PDT

จดหมายเปิดผนึกจากนักวิชาการนักศึกษา นักกิจกรรมทางสังคมคัดค้านการใช้วาทกรรม"ภาคประชาชน,ปรองดอง,ปฏิรูป ฯลฯ"เพื่อเป็นการอำพราง"การสังหารหมู่คนเสื้อแดง"ที่ผ่านมา รวมถึงเรียกร้องให้ผู้ที่อ้างวาทกรรมดังกล่าวหยุดบิดเบือนและทบทวนจุดยืนของตัวเอง

<!--break-->

 "จดหมายเปิดผนึกคัดค้านวาทกรรมอำพราง “ปฏิรูปประเทศไทย” : “ภาคประชาชน”
ต่อต้านกระบวนการปฏิรูปประเทศไทย
อำมหิต"

 
วันที่ 24 มิถุนายน 2553
 
เรื่อง        คัดค้านวาทกรรมอำพราง ต่อต้านกระบวนการปฏิรูปประเทศไทยอำมหิต
เรียน       พี่น้องในขบวนนักพัฒนา ขบวนการประชาสังคม ขบวนการภาคประชาชน ที่เคารพรักยิ่ง
 
               ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินหน้าแผน “ปรองดอง” โดยกำหนดให้การปฏิรูปประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของแผน ซึ่งล่าสุดนายอานันท์ ปันยารชุน และนายแพทย์ประเวศ วะสี ได้ตอบรับเป็นประธานคณะกรรมการกำกับการปฏิรูปและประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปตามลำดับ โดยประธานทั้งสองจะทาบทามบุคคลต่างๆ เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการฯ และจะจัดเวทีเพื่อระดมข้อเสนอแนะจากชุมชนท้องถิ่นและองค์กรต่างๆ ต่อไปนั้น (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.thaireform.in.th/news-national-strategy/1352--2-.html
 
              พวกเราในฐานะผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการภาคสังคม ทั้งเจ้าหน้าที่หรืออดีตเจ้าหน้าที่องค์กรพัฒนาเอกชน  นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา  นักวิชาการ และนักกิจกรรมทางสังคม ที่ติดตาม ศึกษา และร่วมงานกับขบวนการภาคสังคมมาอย่างต่อเนื่อง มีความรู้สึกกังวลและห่วงใยต่อการกำหนดท่าทีของขบวนการต่อการปฏิรูปประเทศไทยในครั้งนี้เป็นอย่างมาก จึงใคร่ขอนำเสนอความเห็นของพวกเราไปยังเพื่อนพี่น้องในขบวนการในประเด็นต่างๆ ดังนี้
             
              1)       การเข้าร่วมการปฏิรูปประเทศไทยของคนบางกลุ่มโดยอ้างคำว่า “ภาคประชาชน” หรือ “ภาคสังคม” หรือคำอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันนี้ เป็นการบิดเบือน ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าภาคประชาชนส่วนใหญ่เห็นพ้องกับการปฏิรูปประเทศไทย ทั้งที่ในความเป็นจริง มีกลุ่มคนอีกเป็นจำนวนมากในขบวนการที่วิพากษ์วิจารณ์และปฏิเสธแผนการปฏิรูปนี้อย่างสิ้นเชิง เพราะมีที่มาที่ไม่ชอบธรรมและมีเนื้อหาที่มิได้ตอบโจทย์ใหญ่เรื่องความไม่เสมอภาคในทางการเมือง ซึ่งเป็นประเด็นขัดแย้งหลักของสังคมไทยในขณะนี้
 
              2)       การปฏิรูปประเทศไทยในครั้งนี้เป็นเพียงเครื่องมือที่รัฐบาลใช้เบี่ยงเบนประเด็นความสนใจของสังคมต่อข้อเรียกร้องที่ให้มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงและรับผิดชอบในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายนับร้อยราย และผู้บาดเจ็บพิการนับพันรายจากการที่รัฐบาลสั่ง “กระชับพื้นที่” ในช่วงที่ผ่านมา ตลอดจนการใช้มาตรการที่รุนแรงและละเมิดสิทธิมนุษยชนเพื่อไล่ล่าบดขยี้คนเสื้อแดงและการปฏิบัติการทางจิตวิทยาในระดับต่างๆ ของหน่วยงานด้านความมั่นคง พวกเราเห็นว่าการเสนอแผนการปฏิรูปประเทศไทยเป็นเพียงการซื้อเวลาของรัฐบาลเพื่อจะไม่คืนอำนาจให้ประชาชนผ่านกระบวนการเลือกตั้งเท่านั้นเอง
              3)       การเข้าร่วมกระบวนการปฏิรูปประเทศไทยเท่ากับเป็นการสนับสนุนให้รัฐบาลมีความชอบธรรมที่จะไม่แสดงความรับผิดต่อการใช้ความรุนแรงและใช้อำนาจรัฐอย่างไร้ความเป็นธรรม ขณะที่การเพิกเฉยต่อการบาดเจ็บล้มตายของประชาชน การใช้ความรุนแรง และกระบวนการอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมนับเป็นความอำมหิตแบบหนึ่งและขัดต่อเป้าหมายในการทำงานของภาคสังคมที่มุ่งสร้างสรรค์สังคมที่เป็นธรรมและยั่งยืน
 
              4)       เป็นที่น่ายินดีที่เครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนและเครือข่ายองค์กรชาวบ้านหลายแห่งมีมติไม่เข้าร่วมขบวนการปฏิรูปประเทศในครั้งนี้ อย่างไรก็ดี พวกเราเห็นว่ากลุ่มต่างๆ ในขบวนการภาคสังคมจำเป็นต้องลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่ชอบมาพากลและไม่ชอบธรรมของแผนการปฏิรูปประเทศไทยอย่างถึงที่สุดด้วย เนื่องจากการปฏิรูปประเทศที่แท้จริงไม่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อประเทศตกอยู่ในสภาวะรัฐประหารเงียบภายใต้ระบอบกึ่งอำนาจนิยมที่สำแดงผ่านการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
              5)       ขบวนการภาคสังคมจำเป็นต้องตรวจสอบและทบทวนอุดมการณ์และกระบวนการทำงานของตนอย่างจริงจัง เพื่อให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และเพื่อให้เข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาและความต้องการของมวลชนคนจนระดับล่างกับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและการเมืองเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่แหล่งงบประมาณขององค์กรภาคสังคมมักมีที่มาจากโครงสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นส่วนเดียวกันกับระบอบขุนนางซึ่งไปกันไม่ได้หลักการประชาธิปไตยขั้นพื้นฐาน การตรวจสอบและทบทวนที่ว่านี้จะทำให้ขบวนการภาคสังคมมีท่าทีที่เหมาะสมต่อการปฏิรูปประเทศไทยได้ในที่สุด
 
               พวกเราเชื่อมั่นว่าเพื่อนพี่น้องทั้งหลายซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของขบวนการภาคสังคมในประเทศจะกรุณารับฟังข้อคิดเห็นข้างต้นของพวกเรา รวมทั้งเชื่อมั่นว่าขบวนการภาคสังคมในไทยจะยังคงเป็นขบวนการที่ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง และมีประโยชน์ต่อมวลชนคนยากคนจน รวมทั้งเป็นกลไกสำคัญในการนำพาประชาธิปไตยที่แท้จริงมาสู่สังคมไทย
                                                                           
                                                                          ขอแสดงความนับถือ
 

(ผู้ลงนามในฐานะนักพัฒนาเอกชนปัจจุบัน)
 
1.       กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา     รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI), FTA-Watch, และคณะทำงานเพื่อโลกเย็นที่
                                                        เป็นธรรม
2.       แก้วตา ธัมอิน                        เจ้าหน้าที่รณรงค์ มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI),
3.       จักรพงศ์ ธนวรพงศ์                 สมาคมป่าชุมชนอีสาน
4.       จิตรา คชเดช                         สหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย
5.       ธีรมล บัวงาม                         กลุ่มแสงหิ่งห้อย
6.       นิรมล ยุวนบุณย์                    เจ้าหน้าที่ข้อมูล มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI)
7.       นันทา เบญจศิลารักษ์           สำนักข่าวประชาธรรม
8.       บารมี ชัยรัตน์                        สถาบันสันติประชาธรรม
9.       ประดิษฐ์ ลีลานิมิต                 สถาบันต้นกล้า
10.    พิเชษฐ์ ปานดำ                      เครือข่ายชุมชนชายฝั่งอ่าวพังงา
11.    ภรภัทร พิมพา                         มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
12.    รจเรข วัฒนพานิช                  ชุมชนคนรักป่า
13.    รัตนาภรณ์ แจ้งใจดี                เครือข่ายชุมชนชายฝั่งอ่าวพังงา
14.    วัฒนะ วรรณ                           องค์กรเลี้ยวซ้าย
15.    วันชัย พุทธทอง                     ศูนย์พลเมืองเด็กสงขลา
16.    วิภาวดี พันธุ์ยางน้อย              กลุ่มเพื่อนพม่า
17.    สุมนมาลย์ สิงหะ                    มูลนิธิชีวิตไท (Foundation of Reclaiming Rural Agriculture and
                                                       Food Sovereignty Action)
18.    อัญชลี มณีโรจน์                    ชุมชนคนรักป่า
          
(ผู้ลงนามในฐานะอดีตเจ้าหน้าที่องค์กรพัฒนาเอกชน)
 
19.    เจษฎา โชติกิจภิวาทย์           อดีตเจ้าหน้าที่มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ
20.    ชลิตา บัณฑุวงศ์                    อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานวิจัย มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) พ.ศ.
                                                        2544-2548 (นักศึกษาปริญญาเอกคณะมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยฮาวาย)             
21.    ทิพย์อักษร มันปาติ                อดีตเจ้าหน้าที่สำนักข่าวประชาธรรม
22.    ธีร์วนี วงศ์ทองสรรค์               อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูล เครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ
23.    ประสาท ศรีเกิด
24.    ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี          อดีตนักพัฒนาเอกชนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
                                                       (อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
25.    พิชิต พิทักษ์
26.    พิษณุ ไชยมงคล
27.    วิโรจน์ ดุลยโสภณ                 นักพัฒนาอิสระ จ.เชียงใหม่ และอดีตผู้ประสานงาน กป.อพช.ภาคเหนือ
28.    สิริลักษณ์​ ศรีประสิทธิ์            อดีตเจ้าหน้าที่โครงการสื่อสารแนวราบ
                                                       (นักศึกษาปริญญาโท โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
29.    สุชาติ เศรษฐมาลินิ               อดีตเจ้าหน้าที่สถาบันชุมชนท้องพัฒนา (LDI)
30.    สืบสกุล กิจนุกร                     อดีตกองเลขานุการสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.)
                                                       (นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการพัฒนาสังคม คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
31.    อัจฉรา รักยุติธรรม                 อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลเผยแพร่ มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ จ.เชียงใหม่
                                                      (อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร)
 
(ผู้ลงนามในฐานะชาวบ้านหรือประชาชนทั่วไป)
 
32.    กานต์ ทัศนภักดิ์
33.    กิติภูมิ จุฑาสมิต                    กลุ่มปีกซ้ายพฤษภา
34.    ไกรยุทธ โตอังตระกูร
35.    เกียรติศักดิ์ ประทานัง           พ่อบ้าน นักเขียน นักแปลอิสระ
36.    ครวญ   ปานเมือง                 สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.)
37.    ใจ อึ้งภากรณ์
38.    จักราวุธ ธุวรัฐคีรี                    สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.)
39.    จิตตมณี จันทร์ศรี                  พนักงานขายอิสระและนักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยรามคำแหง
40.    ชมพูนุช แครี่
41.    ชัยรัตน์ ชินะบุตร
42.    ณัฏฐ์ชวัล อนันต์ตา
43.    เดือนรดา บัวทรัพย์                 ชาวบ้าน
44.    ทวีพร สุดวิลัย                         สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.)
45.    ทิวา สัมฤทธิ์                          ประชาชน
46.    เทวฤทธิ์ มณีเชย
47.    ทัมชิตัน คันธวงศ์
48.    ธนพงษ์ หมื่นแสน
49.    ธนศักดิ์ โพธิ์ศรีคุณ                 นักวิจัยอิสระ
50.    ธรัญญา สูตะบุตร แสนกลกุล
51.    นพพร พรหมขัติแก้ว                สมาพันธ์ชาวเหนือเพื่อประชาธิปไตย ( เชียงใหม่ )    ศูนย์ประสานกลาง                                                               นปช.แดงเชียงใหม่
52.    นภัทร สาเศียร
53.    นีรนุช เนียมทรัพย์
54.    นันทา กันตรี                           ชาวนารายย่อย จังหวัดสุพรรณบุรี
55.    เนตรชนก   แดงชาติ              นักเขียนอิสระ   คอลัมน์ "ส่องโลกการ์ตูน" นสพ.ประชาไท
56.    บุญยืน สุขใหม่                       กรรมกรไทย
57.    บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล
58.    ประกาย ธรรมดา
59.    ประเกียรติ ขุนพล                  ชมรมชาวประมงพื้นบ้านกิ่งอำเภอสุขสำราญ จ.ระนอง
60.    ปรีชา จันทร์ภักดี                   สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.)
61.    ปิยพงศ์ มานะพิทักษ์
62.    เพ็ญศรี พงศ์พิเชษฐ์ชัย         พนักงานบริษัทเอกชน จ.ชลบุรี
63.    เฟย์ สุวรรณวัฒนา
64.    มานะ การดี                           สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.)
65.    มนัส คลองท่อม                    สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.)
66.    มนัส ทองชื่น
67.    แมนดี เจียนแจ่ม
68.    รจนา ทรัยลิ่ง                        กลุ่ม Thai Red Germany
69.    รังสิมันต์ จันทร์แก้ว 
70.    ลักษณา ศรีดาวงษ์               พนักงานบริษัท
71.    เลื่อน   ศรีสุโพธิ์
72.    วสันต์ สุขโสภณ
73.    ศรายุธ   ตั้งประเสริฐ
74.    สุดา รังกุภัณฑ์
75.    สุพจน์ เสงี่ยมกลาง
76.    สุภาพ ภูสนวรรณ
77.    สุรพล สงฆ์รักษ์                    สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.)
78.    สุรีรัตน์ วงศ์สมิง ชาวบ้าน
79.    สมโชค อาญา                      สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.)
80.    สร้อยแก้ว คำมาลา               นักเขียน
81.    เสาวนีย์ ตรีรัตน์ อเลกซานเดอร์  
82.    หทยา อนันต์สุชาติกุล
83.    อาธร นวทิพย์สกุล                กลุ่มผู้นิยมการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ถูกปิดกั้น

 (ผู้ร่วมลงนามในฐานะนักศึกษา)
 
84.    กาญจน์ชนิษฐา เอกแสงศรี  นักศึกษาปริญญาเอกมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
                                                      โครงการปริญญาดุษฎีบัณฑิตสาขาภาวะผู้นำเชิงยุทธศาสตร์สู่ความเป็นเลิศ
85.    ปาริชาติ จึงวัฒนาภรณ์        ว่าที่ดุษฎีบัณฑิตสาขาการละครและการแสดง มหาวิทยาลัยฮาวาย
86.    นาวิน โสภาภูมิ                      นักศึกษาปริญญาโท สาขาพัฒนาสังคมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
87.    เนตรดาว เถาถวิล                 นักศึกษาปริญญาเอก คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
88.    ผกากรอง มากพันธ์ วิลเลียมส์ นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยโฮเฮนไฮม์ ประเทศเยอรมนี
89.    พุฒิพงศ์ นวกิจบำรุง              นักศึกษาปริญญาโท สาขาการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
90.    ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์        มหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
91.    สุรินทร์ อ้นพรม                      นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยซิดนีย์
                                                      (อาจารย์คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
 
(ผู้ร่วมลงนามในฐานะนักวิชาการ)
92.    โกวิท แก้วสุวรรณ                 คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
93.    เก่งกิจ กิติเรียงลาภ               คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
94.    ชาญณรงค์ บุญหนุน             คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
95.    เชษฐา พวงหัตถ์                   คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
96.    ชำนาญ จันทร์เรือง               มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
97.    ทิพวัลย์ ศรีจันทร์                   ภาควิชาส่งเสริมและนิเทศศาสตร์เกษตร คณะเกษตร กำแพงแสน
                                                      มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
98.    บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์     คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
99.    พิพัฒน์ สุยะ                           คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
100. ภัควดี จิตสกุลชัยเดช             นักแปลและนักวิชาการอิสระ
101. ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์             นักวิชาการอิสระและว่าที่ดุษฎีบัณฑิตสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาวาย
102. สุธิดา วิมุตติโกศล                  ภาควิชาภาษาและวรรณคดีอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
103. เสนาะ เจริญพร                     ศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
104. วิภา ดาวมณี                         อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ประสานงานคณะกรรมการ
                                                      รับข้อมูลและสืบพยานเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
105. วันรัก สุวรรณวัฒนา              คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
106. อรอนงค์ ทิพย์พิมล               ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
107. อัจฉริยา เนตรเชย                คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
108. อนุสรณ์ อุณโณ                    คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
109. อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์              นักวิชาการอิสระ
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ประเทศไทยกับบทบาทการเป็นประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน องค์การสหประชาชาติ

Posted: 24 Jun 2010 04:05 PM PDT

<!--break-->

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับประเทศไทยที่ดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน องค์การสหประชาชาติเป็นเวลา 1 ปี (2510 ถึง 2511) จากผลการประชุมประจำปีครั้งที่ 15 ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2553 โดยท่านสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ทูตถาวรประเทศไทย ประจำสหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา จะเป็นตัวแทนประเทศไทย ในการดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน องค์การสหประชาชาติครั้งนี้ แม้วาระการเป็นประธานจะสิ้นสุดในเวลาหนึ่งปี แต่การเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนมีวาระถึง 3 ปี นัยสำคัญต่อประเทศไทยที่ดำรงตำแหน่งประธานครั้งนี้มองว่าเป็นทั้งวิกฤตและโอกาส

โอกาสที่ปีนี้ประธานฯ ต้องเป็นประเทศสมาชิกในเอเชีย และบทบาทของท่านทูตสีหศักดิ์เป็นที่เป็นที่ยอมรับในประชาคมโลก ประเทศที่เข้าชิงตำแหน่งคือ เคอร์กิสถาน บังคลาเทศ มัลดีฟ และประเทศไทย บังคลาเทศถอนตัวให้ประเทศจากอาเซียน สถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยในเคอร์กิสถานไม่เอื้อให้เคอร์กิสสถานจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้ ในขณะที่มัลดีฟเป็นประเทศเล็กและยังไม่มีบทบาทโดดเด่นในด้านสิทธิมนุษยชนแต่ประการใด การที่ไทยได้รับตำแหน่งสำคัญนี้ไม่ได้หมายความว่า สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยดีแล้ว เป็นที่ยอมรับแล้ว

ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าไม่มีประเทศไหนในโลกที่มีสิทธิมนุษยชนสมบูรณ์ แม้แต่ประเทศมหาอำนาจใหญ่ๆ ยังมีประวัติสิทธิมนุษยชนที่ยังต้องถูกตรวจสอบอยู่ การพัฒนาสิทธิมนุษยชนในทุกประเทศยังต้องทำต่อไป ต้องใช้เวลาและความร่วมมือของทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคมที่จะต้องทำงานร่วมกัน พัฒนายกระดับสิทธิมนุษยชน ประคับประคองสิทธิมนุษยชนไปด้วยกัน

โอกาสที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการที่ประเทศไทยจะก้าวขึ้นไปมีบทบาทสำคัญในเวทีโลก ไปกำกับดูแลปัญหาสิทธิมนุษยชนทั่วโลก วิกฤตคือเหตุการณ์ความไม่สงบในบ้านเราเมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมา ที่เราจะต้องก้าวผ่านการพิสูจน์จากประชาคมโลก ที่กำลังจับตาดูว่าประเทศไทยจะพัฒนาสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตยไปในทิศทางไหน

ในฐานะประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน องค์การสหประชาชาติ มาตรฐานอย่างต่ำๆ ประเทศไทยไม่ควรอยู่ใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ถือเป็นกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง สถานการณ์คลี่คลายไปมากแล้วรัฐบาลควรยกเลิกได้แล้ว และในฐานะที่เป็นประธานฯ ควรแสดงสปิริตทางสิทธิมนุษยชนให้มีการเปิดเผย ตรวจสอบปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่างๆ ที่ยังมีความคลุมเครือ ไม่ชัดเจน และยังเป็นคำถามอยู่ หากรัฐบาลแน่ใจในขั้นตอนปฏิบัติการ “การยึดพื้นที่” “ การกระชับพื้นที่” ว่าเป็นไปตามมาตรฐานสากล ก็ควรเปิดให้ผู้รายงานพิเศษ องค์การสหประชาชาติเข้ามาตรวจสอบ จัดทำรายงานเสนอต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนได้ เพื่อสร้างมาตรฐานในกับสิทธิมนุษยชนในระดับสากลต่อไป

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"ถาวร" เล็งเพิกถอนสิทธิที่รกร้าง 766 ไร่ ในลำพูน เข้านำร่อง "โครงการธนาคารที่ดิน" "กรณ์" ชี้ใช้ "ภาษีที่ดิน" หนุน

Posted: 24 Jun 2010 03:15 PM PDT

"ถาวร" ตีปี๊บเล็งเพิกถอนสิทธิที่รกร้าง 766 ไร่ ใน จ.ลำพูนของ "อดีตรมต." ส่อออกเอกสารไม่ชอบกม. เผยเจ้าตัวดิ้นติดต่อขอความเป็นธรรม อ้างนำร่องโครงการธนาคารที่ดินเป็นองค์กรมหาชนนายกฯ ดูแล "มาร์ค"เดินหน้าแก้ 4 ปมที่ทำกิน "กรณ์" เผยใช้ภาษีที่ดินสนับสนุน เร่งดันกม.ภาษีที่ดินฯ-2ปีได้ใช้

<!--break-->

"มาร์ค"เดินหน้าแก้ 4 ปมที่ทำกิน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ กล่าวตอนหนึ่งในการเปิดงานเสวนาเรื่องการจัดการที่ดินเพื่อการทำกิน : ปัญหาและทางออก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนว่า ปัญหาการแก้ไขที่ดินทำกินเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องเข้าไปดูแลแก้ไข และป้องกันไม่ให้ปัญหาขยายวงกว้างออกไป ซึ่งปัญหาการถือครองที่ดินในประเทศถือว่ามีความเลื่อมล้ำ ทำให้ใช้ที่ดินไม่สมประโยชน์หรือขาดประสิทธิภาพในเชิงเศรษฐกิจและสังคม รัฐบาลมีหลักคิดการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน 4 ด้าน ดังนี้ 1.โฉนดชุมชน โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชน ให้ประชาชนตรวจสอบกันเองว่าแต่ละคนอยู่ในสถานะใด ควรจะมีสิทธิมากน้อยเพียงใด เพื่อป้องกันไม่ให้เอกสารสิทธิเปลี่ยนมือ ซึ่งขณะนี้ระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะมีพื้นที่นำร่องประมาณ 30 พื้นที่ ซึ่งดำเนินการได้ภายใน 2 – 3 เดือนข้างหน้า 

"2.ระบบภาษีทรัพย์และที่ดิน 3.ธนาคารที่ดิน ซึ่งจะกันรายได้จากภาษีที่ดินมาเป็นกองทุน โดยนายถาวร เสนเนียม รับหน้าที่ทำพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์กรมหาชน 4.โครงการสำรวจที่ดิน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำภาพถ่ายทางอากาศย้อนหลังไป 50 ปี เพื่อสำรวจพื้นที่ให้ได้ข้อสรุปว่าที่สาธารณะอยู่ตรงไหน โดยจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี"นายกฯกล่าว 

 

"ถาวร"เล็งถอนสิทธิที่อดีต รมต.

ขณะที่ นายถาวร เสนเนียม กล่าวในงานเดียวกันว่า สั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบรายละเอียด เกี่ยวกับการเพิกถอนสิทธิถือครองที่ดิน จำนวน 766 ไร่ ที่ถูกปล่อยทิ้งรกร้างว่างเปล่า ในจังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นของอดีตรัฐมนตรีรายหนึ่งในกลุ่มการเมืองเก่า หลังจากพบว่า การออกเอกสารดังกล่าว ที่ส่อว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อนำที่ดินส่วนนี้มาให้เกษตรกร เช่า หรือ เช่าซื้อ ในราคาถูก เพื่อนำร่องโครงการธนาคารที่ดิน ตามนโยบายของรัฐบาล นอกจากที่ดินในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 889 ไร่ ที่จะเข้าไปติดต่อขอซื้อจากเอกชนรายหนึ่ง ที่ถูกปล่อยทิ้งรกร้างว่างเปล่า เพื่อนำมาใช้ในโครงการนำร่องเช่นกัน

“คงบอกไม่ได้ว่า ที่ดินในจังหวัดลำพูน เป็นของอดีตรัฐมนตรีคนไหน แต่ขณะนี้เจ้าตัวเขารู้เรื่องแล้ว และที่ผ่านมาก็มีความพยายามที่จะเข้ามาติดต่อขอพบผม เพื่อขอความเป็นธรรมเรื่องนี้”นายถาวรกล่าว

 

อ้างมาร์คเร่งนำร่องธนาคารที่ดิน

นายถาวรกล่าวว่า การดำเนินงานโครงการธนาคารที่ดินนำร่องดังกล่าว เป็นผลมาจากการที่นายกฯ ต้องการเร่งรัดให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว หากจะรอให้ดำเนินงานเต็มรูปแบบ คาดว่าจะต้องใช้เวลาหลายปี ไม่ทันอายุรัฐบาลชุดนี้ ดังนั้น การจัดตั้งธนาคารที่ดิน เบื้องต้นจะเป็นรูปแบบองค์การมหาชน จะใช้วิธีการออกเป็นพระราชกฤษฎีกา ใช้อำนาจตามมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.องค์การมหาชน ขณะนี้อยู่ระหว่างส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตรวจสอบ เมื่อเสร็จแล้ว คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน จากนั้นจะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอีกครั้ง เพื่อให้ธนาคารที่ดินเดินหน้าต่อไปได้ทันที ก่อนจะมีการออก พ.ร.บ.จัดตั้งอย่างเป็นทางการอีกครั้ง และถ่ายโอนงานทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี

“ราคาที่ดินในจังหวัดลำพูน และเชียงใหม่ อยู่ที่แห่งละ 100 ล้านบาท รวมแล้วประมาณ 200 กว่าล้านบาท แต่ในส่วนของลำพูน หากตรวจสอบพบว่า มีการออกเอกสารที่ไม่ชอบจริง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินงบประมาณ แต่ในส่วนที่ดินที่เชียงใหม่ คงจะมีการทำเรื่องขอสนับสนุนงบกลางมาดำเนินการจัดซื้อให้เรียบร้อยก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2553”นายถาวรกล่าว

 

ตั้งธนาคารที่ดินเป็นองค์กรมหาชนนายกฯ ดูแล 

นายถาวรกล่าวว่า ธนาคารที่ดิน ในรูปแบบองค์การมหาชน จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการจัดตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมาดูแล ใช้ชื่อว่า คณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (สบธ.) และมีผู้อำนวยการสถาบัน ซึ่งองค์กรแห่งนี้ ทำหน้าที่ในการจัดหาและจัดซื้อที่ดินที่ถูกปล่อยทิ้งรกร้างว่างเปล่า ทั้งในส่วนของเอกชน และหน่วยงานราชการ มาให้เกษตรกรนำไปใช้ประโยชน์ในราคาถูก 

นายถาวรกล่าวว่า ในส่วนที่ดินเอกชน กำหนดให้เกษตรกร เช่า หรือ ซื้อ หรือเช่าซื้อ ส่วนที่ดินของหน่วยงานราชการ กำหนดให้เช่าเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะมีการกำหนดรายละเอียดอัตราค่าเช่า และซื้ออีกครั้ง ส่วนงบประมาณที่จะนำมาใช้ดำเนินงาน จะนำมาจากการหักรายได้ 2% ที่รัฐบาลจัดเก็บมาได้จากการถือครองที่ดิน ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของผู้ที่ถือครองที่ดินตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้

 

"กรณ์"เผยใช้ภาษีที่ดินสนับสนุน

ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า สนับสนุนแนวคิดที่จะให้มีการหักรายได้ 2%ที่รัฐบาลจัดเก็บมาได้ จากการดำเนินงานตามพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือประมาณปีละ 500 ล้านบาท มาสนับสนุนธนาคารที่ดิน ที่จะเข้าไปรับซื้อหรือบริหารจัดการที่ดินต่อไปจากประชาชนที่ไม่ต้องการเป็นเจ้าของที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อีกต่อไป ธนาคารที่ดินจะเป็นกลไกสำคัญรองรับกรณีที่เจ้าของที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้วนำมาขายให้กับธนาคารที่ดิน เพราะพิจารณาแล้วไม่คุ้มค่า หากจะเก็บที่ดินไว้โดยไม่ทำประโยชน์แล้วถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่แพง

ส่วนความคืบหน้าการออกกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น นายกรณ์กล่าวว่ากระทรวงการคลังอยู่ระหว่างหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้เร่งพิจารณารายละเอียดให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด หรืออย่างน้อยต้องส่งกลับมาให้ ครม.ในรัฐบาลชุดนี้ได้พิจารณาบรรจุเป็นวาระแรกในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

 

เร่งดันกม.ภาษีที่ดินฯ-2ปีได้ใช้

“ยืนยันว่า รัฐบาลชุดนี้จะเดินหน้าจัดทำเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้เกิดขึ้นจริงแน่นอน แม้ในช่วงการศึกษาข้อมูล ได้รับการยืนยันจากข้าราชการว่า รัฐบาลไหนที่ทำเรื่องนี้ มักจะอยู่ไม่ได้ แต่เมื่อนายกฯ สั่งผมไม่มีทางเลือก ต้องเดินหน้าผลักดันกฎหมายฉบับนี้ให้ได้ ซึ่งเชื่อว่าไม่เกิน 2 ปี กฎหมายนี้จะบังคับใช้ได้อย่างแน่นอน”นายกรณ์กล่าวและว่าหากมีผลบังคับใช้แล้ว จะสามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำถือครองที่ดินของคนในสังคม เพราะที่ดินส่วนใหญ่ในขณะนี้ ไปกระจุกตัวอยู่กับคนไม่กี่กลุ่ม และไม่ได้มีการใช้ทำประโยชน์อะไร ท้องถิ่นจะจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้น

 

ยอมรับไม่อายทำเพื่อหาเสียง

"ยอมรับว่าผมมีที่ดินในต่างจังหวัด ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ทำประโยชน์เหมือนกัน แต่หลังจากเข้ามาดูแลเรื่องการจัดทำกฎหมายฉบับนี้ แล้ว เริ่มคิดจะทำประโยชน์มากขึ้น เพราะกฎหมายฉบับนี้กำหนดไว้ชัดเจนว่า ที่ดินจะต้องถูกใช้ประโยชน์ ปล่อยทิ้งรกร้างไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกเก็บภาษีสูงมาก ถ้าทำประโยชน์เรื่องการเกษตรบางชนิด อาจไม่ต้องเสียภาษี หากกฎหมายมีผลบังคับใช้ คนที่ครอบครองที่ดินไว้จำนวนมาก จะมีทางเลือกเพียงสองอย่างเท่านั้น คือ หันกลับมาใช้ประโยชน์ที่ดินของตนเอง จะทำเองหรือเช่าก็ได้ ส่วนอีกทางหนึ่ง ปล่อยขายไปดีกว่า"นายกรณ์กล่าว 

นายกรณ์กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังเร่งจัดทำโครงการต่างๆที่มีประโยชน์ให้ออกมาเป็นรูปธรรมให้ประชาชนได้เห็นมากที่สุด เพราะขณะนี้ยังไม่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นเมื่อไหร่ งานอะไรที่ทำแล้วได้คะแนนเสียงจากประชาชนกลับมา ก็ต้องรีบทำ ซึ่งตนคิดว่า เราไม่ควรจะเขินหรืออาย หากจะพูดเรื่องแบบนี้กันในเวลานี้ 

ที่มา: มติชนออนไลน์

ทั้งนี้ในส่วนของเครือข่ายปฎิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยก็ได้ทำหนังสือประกอบการประชุม ระบุเนื้อหาดังนี้

 

 

 
สรุปภาพรวมการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย
ของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย
 
ตามที่เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยได้มีกลไกการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยร่วมกับรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ สามารถประมวลภาพรวมและบทเรียนได้ดังต่อไปนี้
 
1.             ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ไม่ได้ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนราชการภายใต้การกำกับดูแลของนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น
 
·                     การมีคำสั่งตัดฟันทำลายพืชผลการเกษตรชาวบ้านในพื้นที่เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด จังหวัดตรัง โดยปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
·                     การฟ้องร้องคดีความเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ข้อหาทำให้โลกร้อน กับชาวบ้านในพื้นที่เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน จังหวัดเพชรบูรณ์ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคเหนือ จังหวัดตาก และเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด จังหวัดตรัง โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
·                     การฟ้องคดีความขับไล่ ชาวบ้านในพื้นที่สวนป่าคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ โดยองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
·                     การสั่งให้เจ้าหน้าที่กระทรวงทรัพย์ฯ ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด ในการจับกุมชาวบ้านในพื้นที่เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย โดยอธิบดีกรมป่าไม้ ภายใต้การบัญชาการของ รัฐมนตรีสุวิทย์ คุณกิตติ
·                      
2.             รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และส่วนราชการภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ได้ยอมรับนโยบายโฉนดชุมชนของรัฐบาลชุดนี้ และไม่ได้อนุญาตให้มีการนำพื้นที่ภายใต้การดูแลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ มาดำเนินการโฉนดชุมชนแต่อย่างใด ซึ่งจะส่งผลให้นโยบายโฉนดชุมชน ของรัฐบาลชุดนี้ ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้
 
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดกระบวนการปรองดอง และเข้าสู่แนวทางการปฏิรูปประเทศไทยอย่างแท้จริง รัฐบาลจึงควรมีมาตรการที่เด็ดขาด เพื่อแก้ไขปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นให้สำเร็จลุล่วงให้ได้ เนื่องจาก ปัญหาคดีความการฟ้องร้องชาวบ้าน และคำสั่งทำลายพืชผลการผลิตของชาวบ้าน คือ รูปธรรมความขัดแย้งที่สร้างขึ้นจากหน่วยงานภาครัฐ อันส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนกับเกษตรกร และคนจนซึ่งไร้ที่ดินและที่อยู่อาศัยในเครือข่ายต่างๆ ทั่วประเทศ
 
ประการสุดท้าย เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย มีความเห็นว่า การเตรียมการในการออกกฎหมายชุมนุมในที่สาธารณะ จะเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมของภาคประชาชน เนื่องจากการชุมนุมคือช่องทางของภาคประชาชนที่จะแสดงออก และสะท้อนปัญหาความเดือดร้อนอันเกิดขึ้นจริงของภาคประชาชนต่อรัฐบาลโดยตรง ทั้งนี้เนื่องจากกลไกการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลและหน่วยงานราชการตามปกติ ไม่สามารถตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาของประชาชนได้ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย จึงมีความเห็นว่า รัฐบาลควรทบทวนและยกเลิกการออก พ.ร.บ.ชุมนุมฯดังกล่าว
 
ด้วยความสมานฉันท์และหวังในกระบวนการปฏิรูปประเทศไทยที่แท้จริง
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย
24 มิถุนายน 2553
 
 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น