โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

อานันท์-ประเวศรับเป็นปธ.ปฏิรูปประเทศ สมคิด ระบุ ปรองดองได้ต้องมีรัฐบุรุษ

Posted: 18 Jun 2010 01:50 PM PDT

นายอานท์ ปันยารชุน และน.พ.ประเวศ วะสีร่วมกันแถลงรับเป็นประธานปฏิรูปประเทศไทย เผย 6 เดือนเห็นรูปธรรม ด้านอดีตรองนายกฯ ในรัฐบาลไทยรักไทย สมคิด จาตศรีพิทักษ์ ระบุ จะปรองดองได้ ประเทศต้องมีรัฐบุรุษ พร้อมชี้โมเดลอินโดนีเซีย รื้อระบเศรษฐกิจ การศึกษาและราชการ ฟื้นได้ภายใน 10 ปีหลังวิกฤตโค่นซูฮาร์โต

<!--break-->

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 18 มิถุนายน ที่บ้านพิษณุโลก นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี และนพ. ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังเข้าหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่านายกฯ ได้เชิญนพ. ประเวศและตนมาพูดคุยเพื่อแจ้งผลการประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางการปฏิรูปประเทศไทย พร้อมรับฟังความรู้สึกของนพ. ประเวศและตนที่ได้รับการเสนอชื่อจากภาคประชาชนให้เข้ามาทำงาน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าโครงการนี้ไม่ใช่โครงการของรัฐบาล แต่สอดคล้องกับแผนการสร้างความปรองดองของรัฐบาล ดังนั้นการทำงานของตนและนพ. ประเวศจะเน้นสร้างกระบวนการและกลไกไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งกลไกดังกล่าวจะไม่อยู่ภายใต้อาณัติของรัฐบาล มีความเป็นอิสระต่อความคิดและความครอบงำของรัฐบาล มีอิสระต่อผู้มีอิทธิพล ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับการยอมรับจากภาคประชาชน ซึ่งนายอภิสิทธิ์บอกว่าเข้าใจและไม่ขัดข้อง

นายอานันท์กล่าวต่อว่า สำหรับกลไกการทำงานในเบื้องต้นจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ 2 ชุดคือ 1. คณะกรรมการกำกับการปฏิรูปประเทศมีตนเป็นประธาน ทำหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์และจัดลำดับความสำคัญเพื่อเสนอต่อรัฐบาล ซึ่งตนจะไปหาผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมเป็นกรรมอีก 15-20 คน โดยไม่มีนักการเมืองเข้ามาร่วม ทั้งนี้จะพยายามตั้งคณะกรรมการให้ได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ และ 2. คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศมีนพ. ประเวศเป็นประธาน ซึ่งคาดว่าในช่วงปลายสัปดาห์หน้าจะมีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีกำหนดกลไกการทำงานต่างๆ ออกมา

อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า งานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานของคณะกรรมการกำกับการปฏิรูปประเทศจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือ นโยบายและมาตรการระยะสั้น ซึ้งสามารถอาศัยวิธีการงบประมาณ และมาตรการในทางบริหารดำเนินการได้ทันที โดยใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือน และนโยบายและมาตรการระยะยาว ซึ่งจำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากสภา หรือองค์กรอื่นๆ ที่นอกเหนืออำนาจของฝ่ายบริหาร จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ซึ่งมีการคุยกันว่าอาจจะต้องทำงานกัน 1-3 ปี แม้รัฐบาลชุดนี้จะไม่อยู่แล้ว แต่เป็นเรื่องที่ต้องวางรากฐานต่อไป ซึ่งนายกฯ บอกว่าคณะกรรมการอาจต้องทำงานเลยรัฐบาลชุดนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ความเป็นรูปธรรมที่จะเห็นในระยะสั้น 6 เดือนคืออะไร นายอานันท์กล่าวว่า ยังไม่ได้นำเรื่องเข้าคณะกรรมการ ยังตอบไม่ได้ อย่างไรก็ตามมีหลักในใจแล้ว อีกทั้ง นพ.ประเวศก็ทำงานมาปีเศษ แต่ทุกอย่างต้องนำไปถกเถียงกันในคณะกรรมการก่อน

เมื่อถามว่า เป้าหมายของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศคือการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม คิดว่าจะลดช่องว่างระหว่างคำว่า “ไพร่” กับ “อำมาตย์” ที่ถูกบัญญัติขึ้นในช่วงที่ผ่านมาได้หรือไม่อย่างไร นายอานันท์กล่าวว่า “คณะกรรมการผมจะไม่สนใจเรื่องแบบนี้ ถ้ายกคำว่าไพร่ หรืออำมาตย์ขึ้นมา ผมคิดว่าเป็นศัพท์ที่ไม่มีความหมาย คณะกรรมการทั้ง 2 ชุดนี้จะไม่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เป็นปัญหาในอดีต แต่แน่นอนความเหลื่อมล้ำในสังคม ไม่ว่าจะเป็น เรื่องเงินทอง เรื่องสิทธิ เรื่องโอกาส อันนั้นต้องทำแน่ แต่เราจะไม่ทำในบริบทของสิ่งที่คุณพูด มันคนละเรื่องกัน”

ด้าน นพ.ประเวศกล่าวว่า นายกฯ ให้อิสระในการคัดเลือกกรรมการมาร่วมงานอย่างเต็มที่ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล แต่เป็นเรื่องของภาคสังคม ภาคประชาชน และภาควิชาการ แต่ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการรับข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไปปฏิบัติ ขอย้ำว่าคณะกรรมการชุดนี้เป็นคณะกรรมการปฏิรูป ซึ่งต้องมองไปข้างหน้า ไม่เกี่ยวกับเรื่องความปรองดองซึ่งเป็นเรื่องอดีต โดยคณะกรรมการจะเดินหน้าปฏิรูประเทศเพื่อสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำของคนในสังคม

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ระบุ ประเทศจะปรองดองได้ต้องมีรัฐบุรุษ
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 18 มิถุนายน ที่โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "ถึงเวลาปฏิรูปประเทศไทย" เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี นสพ.สยามรัฐ โดยนายสมคิด กล่าวว่า ตนเคยคิดว่าวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ร้ายแรงที่สุดแล้ว แต่วิกฤตในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้รู้สึกว่าคิดผิด เพราะมันทำลายคุณค่าที่เคยเป็นรากฐานของประเทศไทย วิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงจากความล้มเหลวการพัฒนาประเทศหลายสิบปีที่ผ่านมา นิตยสารนิวสวีคฉบับล่าสุดยังเขียนว่า สิ่งที่ประเทศไทยผิดพลาดที่สุด คือละเลยการปฏิรูปอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นความจริง เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยมีแผนจะปฏิรูปเลย มีเพียงลมปากไปเรื่อยๆ

นายสมคิด กล่าวว่า การปฏิรูปประเทศครั้งนี้ ตนอยากให้ดูตัวอย่างประเทศอินโดนีเซีย ที่เกือบล้มละลายเมื่อปี 1997 แต่พอประธานาธิบดีคนใหม่ขึ้นมา ใช้เวลาเพียง 10 ปี ทำให้ประเทศที่เคยไม่มีอนาคต กลายเป็นยักษ์ใหญ่ การเมืองมีเสถียรภาพ เศรษฐกิจมั่นคง และการต่างประเทศแข็งแรงมาก เพราะ 1.ผู้นำอินโดนีเซียเขาหาคนเก่งและดีที่สุดมาช่วยกัน 2.เขาปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง ร่วมมือกับยูเอ็นดีพี ขจัดการทุจริตในการเลือกตั้ง แต่กลับกันมาดูในประเทศไทย เรามัวแต่เถียงกันเรื่องเขตเล็กเขตใหญ่ ที่สำคัญการจะปฏิรูปการเมืองจะต้องให้ประชาชนได้ข้อมูลอย่างเพียงพอ จึงต้องทำให้สื่อมีเสรีภาพอย่างเต็มที่ สื่อเล็กๆมีปากเสียง  3.อินโดนีเซียปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ตอนเกิดวิกฤตมีหนี้สาธารณะเกิน 100% ของจีดีพี แต่รมว.คลังเขาทำงานอย่างเข้มข้น ตัดงบที่ไม่จำเป็นออก ถึงวันนี้ฐานะการคลังของอินโดนีเซียเข้มแข็งที่สุดประเทศหนึ่งในโลก สำหรับประเทศไทย จะต้องนำภาคเอกชนมาร่วม และมีการปฏิรูปการคลัง ไม่เช่นนั้นจะไม่งบไปลงทุนรัฐสวัสดิการ การทรวงการคลังรู้ดีว่าจะทำอย่างไร เพราะคุยกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลังกันมานานแล้ว อยู่ที่มีความกล้าหรือไม่ ที่สำคัญจะต้องพัฒนาด้านนวัตกรรม ต้องรื้อระบบการศึกษาของไทยใหม่ หยุดพูดเรื่องเรียนฟรี ต้องหันมาพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมด้วย

4.สำคัญที่สุด คือจะต้องปฏิรูประบบราชการ อย่างคิดว่าข้าราชการจะประคองนักการเมืองเลวได้ตลอดไป ในอินโดนีเซียเริ่มมีการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพราะเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจ และเริ่มมีกาปฏิรูปกฎหมาย เพื่อให้ต่างชาติเกิดความมั่นคง ทั้งนี้นิตยสารนิวสวีคได้บอกว่าประเทศไทยยังมีความหวัง แต่สิ่งที่ยังขาดคือการมีผู้นำที่เป็นรัฐบุรุษซึ่งอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างให้กับบ้านเมือง ไม่เอาแต่ประโยชน์ของพวกพ้อง เพราะคนไทยจะกลับมาหันหน้าเข้าหากันได้ ต้องมีผู้นำที่เป็นรัฐบาล วันนี้ถึงจุดเสื่อมของประเทศไทยอย่างจริงจัง ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ประเทศไทยถึงจุดที่ต้องปฏิรูปอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นพวกเราก็จะตอบคำถามลูกไม่ได้ว่า ทำไมถึงไม่เริ่มปฏิรูปตอนนั้น

 ที่มา: เรียบเรียงจาก มติชนออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ชาวบ้านสะเอียบต้านเสธ.หนั่น เร่งสร้างเขื่อนแก่งเสื้อเต้น

Posted: 18 Jun 2010 01:38 PM PDT

ชาวสะเอียบต้านเสธ.หนั่น ประกาศเร่งสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น จวกทำสังคมแตกแยกและสับสนกรณีกล่าวว่าป่าสักทองในพื้นที่สร้างเขื่อนถูกตัดทำลายหมดแล้ว ท้าให้ลงพื้นที่พิสูจน์ความอุดมสมบูรณ์ของป่าสักกว่าสี่หมื่นไร่

<!--break-->

วันที่ 18 มิ.ย. กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ตำบลสะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ แถลงการณ์ประณามพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี กรณีที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าจะเร่งสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นให้ได้ในสมัยที่ตนเป็นรองนายก โดยระบุในแถลงการณ์ว่า ในขณะนี้เขื่อนหลายแห่งในประเทศไทยก็ตกอยู่ในภาวะวิกฤต แทบจะไม่มีน้ำให้เกษตรกรใช้ในการทำการเกษตร พร้อมวิจารณ์ว่าการที่พล.ต. สนั่นรื้อฟื้นเรื่องเขื่อนแก่งเสือเต้นมาผลักดันในครั้งนี้ เป็นการหวังผลทางการเมือง ซึ่งทำให้สังคมไทยเกิดความสับสนและแตกแยกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

"กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ตำบลสะเอียบ อำเภอสอง จังหวัดแพร่ ซึ่งได้ดำเนินการคัดค้านเขื่อนแก่งเสือเต้นมาเป็นเวลาเกือบยี่สิบปีแล้ว เห็นว่า การที่พลตรีสนั่นรื้อฟื้นเรื่องเขื่อนแก่งเสือเต้นมาผลักดันในครั้งนี้ เป็นการหวังผลทางการเมือง ซึ่งทำให้สังคมไทยเกิดความสับสนและแตกแยกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งยังกล่าวว่าป่าสักทองได้ถูกตัดทำลายไปหมดแล้ว
กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ขอประณามพฤติกรรมนักการเมืองโบราณ ปั้นน้ำเป็นตัว"

ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ระบุว่า พื้นที่สักทองกว่าสี่หมื่นไร่ ที่พล.ต.สนั่นอ้างว่าถูกตัดทำลายไปหมดแล้วนั้น กลุ่มฯ ขอเรียกร้องให้พล.ต.สนั่นเข้ามาพิสูจน์สภาพความอุดมสมบูรณ์ของป่าได้ตลอดเวลา
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เพื่อไทยเล็งส่ง "ณัฐวุฒิ" ชิงดำทายาทเบียร์สิงห์ ลงเลือกตั้งแทนตำแหน่งทิวา เงินยวง

Posted: 18 Jun 2010 01:25 PM PDT

จตุพร เผยพรรคเพื่อไทยเล็งส่งณัฐวุฒิ ใสยเกื้อลงชิงตำแหน่ง ส.ส. เขตบึงกุ่มที่ว่างลงเนื่องจาก นายทิวา เงินยวง ส.ส. ปชป.เสียชีวิตลง กกต. เผยทำได้ เทียบกรณีสมัยนายกคึกฤทธิ์ แม้อยู่ในคุกก็ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ เนื่องจากยังไม่ต้องคำพิพากษาจำคุก

<!--break-->

วันที่ 18 มิ.ย.นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติเปิดเผยว่า  ว่า มีผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยเสนอกับตนว่าน่าจะส่งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่ม นปช. ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งซ่อมส.ส.กรุงเทพฯ เขตบึงกุ่ม แทนนายทิวา เงินยวง ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่เสียชีวิต ซึ่งขณะนี้ฝ่ายกฎหมายอยู่ระหว่างตรวจสอบคุณสมบัติการลงสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งนี้แม้นายณัฐวุฒิเพิ่งย้ายจดทะเบียนย้ายภูมิลำเนาในทะเบียนบ้านจากจ.นครศรีธรรมราช มาอยู่กทม.ได้ไม่นาน แต่นายณัฐวุฒิก็มีคุณสมบัติศึกษาอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นเวลาหลายปี ซึ่งคาดว่าภายใน 1-2 วันนี้จะตรวจสอบคุณสมบัติแล้วเสร็จ จากนั้นตนจะไปพูดคุยกับนายณัฐวุฒิต่อไป

"แม้ตัวจะถูกคุมขังในคุก แต่พรรคพวกจะไปหาเสียงแทน เหมือนกับบ็อบบี้ แซนด์ อาสาสมัครชาวไอริช ที่ถูกคุมขังในคุก แต่ลงสมัครรับเลือกตั้งและประชาชนก็เลือก หากคุณสมบัติถูกต้อง ผมก็คิดว่านายณัฐวุฒิลงแข่งกับทายาทเบียร์สิงห์ได้ไม่มีปัญหา เพราะแม้นายณัฐวุฒิจะไม่มีปฏิทินแต่มีพรรคพวก และผมคิดว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ไปชี้แจงว่าใครเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ส่วนเรื่องคดีความนั้นไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาเพราะยังอยู่ระหว่างกระบวนการต่อสู้คดี ยังไม่มีคำตัดสินของศาล รัฐธรรมนูญยังให้ความคุ้มครอง และผมปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นการกดดันให้ศาลปล่อยตัว" นายจตุพร กล่าว

นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง  กล่าวว่ากรณีของนายณัฐวุฒิ ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ฐานร่วมกันใช้หรือสนับสนุนผู้อื่นให้กระทำผิดฐานก่อการร้ายนั้น หากผู้สมัครรับเลือกตั้งถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีโดยที่ยังไม่มีคำพิพากษาของศาลให้จำคุกนั้น ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 102 วรรคสอง ไม่ได้ห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส. เพราะจะห้ามในกรณีที่มีคำพิพากษาตัดสินให้จำคุกแล้วถึงต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ถ้าถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาโดยยังไม่มีคำพิพากษาของศาลให้จำคุกจะห้ามในกรณีมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 100 ของรัฐธรรมนูญเท่านั้น ดังนั้นกรณีถูกคุมขังโดยยังไม่มีคำพิพากษาก็ยังลงสมัครส.ส.ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะวินิจฉัยให้ลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ได้หรือไม่อยู่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง (ผอ.กต.)ประจำเขต หากวินิจฉัยแล้วไม่ให้รับสมัครส.ส.แล้ว ผู้ที่ถูกไม่ให้ลงสมัครก็สามารถไปร้องคัดค้านให้ศาลฎีกาวินิจฉัยได้

"ที่ผ่านมารู้สึกว่าสมัย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรคกิจสังคมเคยมีกรณีดังกล่าวที่มีคนถูกขังระหว่างพิจารณาคดีแล้วลงสมัครรับเลือกตั้งได้  ซึ่งผู้ที่ถูกคุมขังในระหว่างพิจารณาคดีจะมาลงสมัครได้หรือไม่ตามกฎหมายก็ไม่ได้ห้าม  แต่การลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ไม่ได้คือผู้นั้นจะต้องถูกคำพิพากษาให้จำคุกแล้วถูกคุมขังโดยหมายของศาล แต่กรณีนี้ไม่ได้ห้ามลงสมัครระหว่างถูกคุมในระหว่างการพิจารณาคดี เพราะยังไม่มีคำพิพากษาของศาลออกมา" นายประพันธ์ กล่าว และว่า  แต่หากในระหว่างที่นายณัฐวุฒิได้รับสมัครเลือกตั้งส.ส.แล้ว เกิดศาลมีคำสั่งให้จำคุกและถูกคุมขังโดยหมายศาลก็หมดสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.และขาดคุณสมบัติทันที แต่ปัญหาขณะนี้คือนายณัฐวุฒิ จะออกมาจากการถูกคุมขังในระหว่างพิจารณาคดีเพื่อมาลงสมัครได้อย่างไร แต่หากเกิดได้รับประกันแล้วมาสมัครได้หรือไม่นั้นตนก็ไม่ทราบ

ที่มา: มติชนออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ปชป.เตรียมยื่นหลักฐานต่อ รมว.ยธ.ให้ตรวจสอบข้าราชการสนับสนุนการชุมนุมกลุ่ม นปช.

Posted: 18 Jun 2010 01:17 PM PDT

นายสกลธี ภัททิยกุล ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ระบุทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศและข้าราชการที่เกียร์ว่างเข้าข้างเสื้อแดงเพราะประเมินพลาดหวังตำแหน่งก้าวกระโดดหากเสื้อแดงชนะ ซัดผิดมโนธรรม ผิดอาญา มีโทษวินัย เรียกร้องให้พิจารณาลาออกเอง พร้อมเผยเตรียมยื่นหลักฐานให้ รมว. ยุติธรรมตรวจสอบ

<!--break-->

นายสกลธี ภัททิยกุล ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แถลงเมื่อวันที่ 16  มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า สืบเนื่องจากที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกมาเปิดเผยว่ามีข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมช่วยเหลือสนับสนุนวอร์รูมกลุ่มคนเสื้อแดง และต่อมานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่าถ้าพบว่ามีจริงก็จะดำเนินการอย่างเด็ดขาด ซึ่งเข้าใจว่าข้าราชการเป็นคนธรรมดา มีความรักชอบทางการเมืองส่วนตัวไม่เหมือนกัน แต่เมื่อปฏิบัติหน้าที่ในนามประเทศ ก็ควรเก็บความชอบไว้ในใจปฏิบัติหน้าที่เป็นกลาง ให้สมได้รับเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ทั้งนี้ ขอยืนยันว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์จะเปิดโอกาสให้ข้าราชการทุกฝ่ายไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ถ้าปฏิบัติหน้าที่สุจริตก็มีโอกาสเติบโตในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้ และไม่อยากให้ผูกติดอยู่กับรัฐบาลเก่าว่าถ้าข้าราชการคนใดมีความสนิทกับนักการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาลจะต้องถูกฆ่าตัดตอนในชีวิตข้าราชการ

นายสกลธีกล่าวอีกว่า ได้รับข้อมูลจากประชาชน ข้าราชการตำรวจและทหารที่ไม่เห็นด้วยกับการทำหน้าที่ของข้าราชการกลุ่มนี้ โดยข้อมูลยืนยันได้ว่ามีทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศ และข้าราชการเกียร์ว่างจริง ซึ่งแหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะคงประเมินช่วงเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงว่ารัฐบาลจะเป็นฝ่ายพลาด ดังนั้น จึงไปช่วยกลุ่มคนเสื้อแดง โดยหวังว่าถ้าชนะจะได้รับการอุปการะคุณตำแหน่งแบบก้าวกระโดด ดังนั้น จึงอยากฝากไปยังข้าราชการที่เข้าไปร่วมกับกลุ่มคนเผาบ้านเผาเมือง ไม่เพียงผิดมโนธรรม ยังเป็นการช่วยผู้ก่อการร้าย ซึ่งนอกจากจะมีทางอาญาแล้ว โทษวินัยยังให้ออกจากราชการ อยากเรียกร้องว่ายังมีเวลาให้ตัดสินใจลาออก เพราะถ้าชื่นชอบมากและอยากเข้ามีส่วนร่วม ก็ให้ไปร่วมกับพรรคการเมืองนั้น และลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งขันตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่อยู่ในตำแหน่งกินเงินเดือนประชาชนไปวนๆ เพื่อเอื้อประโยชน์คนเผาบ้านเผาเมือง

"หากข้าราชการเหล่านี้ ยังหน้าด้านหน้าทน ผมจะรวบรวมหลักฐานและเอกสารเพื่อส่งให้รมว.ยุติธรรม เพื่อตั้งให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ เพราะกระทรวงยุติธรรมก็มีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) ตรวจสอบเรื่องนี้อยู่แล้ว เพื่อจะได้รู้ความจริงเสียทีว่าข้าราชการที่กินเงินเดือนประชาชน แต่มาเผาบ้นเผาเมืองตัวเองนั้นเป็นใคร" นายสกลธี กล่าว

ที่มา: เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รำลึกถึง “อัครเดช ขันแก้ว” อีกหนึ่งชีวิตที่สังเวยใน “ราชประสงค์”

Posted: 18 Jun 2010 09:56 AM PDT

การล่มสลายกลายเป็นซากของห้างสรรพสินค้าและโรงภาพยนตร์เก่าแก่ได้กลายเป็นเรื่องสะเทือนใจของคนเมืองจำนวนมาก แต่ชีวิตที่เสียไปของมนุษย์หน้าดำตีนหนากลับไม่สามารถกระชากความรู้สึกให้พวกเขาฉุกคิดได้ว่าบางทีพวกเขาจะได้สูญเสียสิ่งที่สูงค่าที่สุดในตัวของพวกเขาไปโดยมิรู้ตัว

<!--break-->

 

 
 
 
เรือนหลังน้อยดูเงียบเหงาอยู่ท่ามกลางบ้านเรือนที่รายล้อม จากถนนซอยหน้าบ้านมองเข้าไปเห็นประตูบ้านที่ปิดอยู่ ชานหน้าบ้านโล่งปราศจากร่องรอยว่ามีผู้อยู่อาศัย ใต้ถุนที่ยกสูงขึ้นตามแบบเรือนไม้ที่พบเห็นได้ทั่วไปตามชนบทอีสานมีร่องรอยว่าเป็นเพียงที่พำนักในยามค่ำคืนของฝูงวัวควาย
 
“หลังจากอ๊อฟเสียแล้ว บ้านหลังนี้ก็ไม่มีคนอยู่ ป้าก็เลยมานอนเฝ้าทุกคืน” เป็นคำบอกเล่าของป้า....... พี่สาวแท้ๆ ของแม่อ๊อฟ หรืออัครเดช ขันแก้ว ซึ่งมีบ้านอยู่ติดกันถัดไปทางขวามือ
“แปลว่าก่อนจะไปเสียชีวิตที่กรุงเทพฯ อ๊อฟอยู่ที่บ้านนี้คนเดียวงั้นหรือครับ”
“อ๊อฟอยู่ที่ระยองกับพ่อ แม่ และมีพี่ชายคนละพ่ออีกคนหนึ่ง แต่พอพ่อกับแม่เลิกกัน แม่พาอ๊อฟ กลับมาอยู่กับยายที่บ้านหลังนี้ อยู่ได้ไม่นานแม่ก็เสียชีวิตจากโรคเอดส์ ตอนนั้นอ๊อฟอายุราวๆ 12 ปี หลังจากนั้น อ๊อฟก็อยู่กับยายสองคน จนเมื่อ 2 ปีก่อน ยายเสีย อ๊อฟก็เลยอยู่บ้านยายหลังนี้คนเดียว แต่กับข้าวกับปลาป้ากับลุงก็เป็นคนหามาสู่กันกิน มีงานไร่งานนาอ๊อฟก็ไปช่วยป้าทำ อยู่กันแบบนี้แหละ”
 
เมื่อถามถึงชีวิตวัยเด็กจากหลายคนในชุมชน พบว่าอ๊อฟเป็นคนที่ไม่มีเพื่อนมากนัก ซึ่งก็พอเข้าใจได้เนื่องจากการเป็นลูกของผู้ติดเชื้อเอดส์ก็คงจะกลายเป็นปมด้อยแลถูกปฏิเสธการสัมพันธ์คบหาจากคนรอบข้างซึ่งก็น่าจะเป็นที่มาของบุคลิกเงียบขรึมของเขา
 
จากคำบอกเล่าของเก่ง หรือ วสันต์ สายรัศมี เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพศูนย์วิทยุร่วมด้วยช่วยกัน ซึ่งอ๊อฟไปช่วยงานอยู่ที่เต็นท์พยาบาลของศูนย์ฯ ในช่วงที่ไปร่วมชุมนุมกับ นปช.ในกรุงเทพฯ ดูเหมือนว่าอ๊อฟจะเป็นที่รักใคร่ของเจ้าหน้าที่ ใครให้ช่วยทำอะไรก็ทำเต็มที่เสมอมา
 
“อ๊อฟเขาเป็นคนแบบนี้แหละ ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก แต่ถ้าใครมีงานอะไรอ๊อฟก็จะไปช่วยตลอด ไม่ว่าจะเป็นงานบุญหรืองานของหมู่บ้าน” ผู้เป็นป้าบอกเล่าถึงอุปนิสัยของอ๊อฟ
 
“ตอนไปอยู่ที่เต็นท์กาฬสินธุ์ อ๊อฟก็ช่วยพี่น้องในเต็นท์ทำงานเสี้ยมไม้ไผ่ทำแนวกั้น อ๊อฟโดนไม้ไผ่บาดมือ ก็เอาผ้าพันปล่อยทิ้งไว้สองวัน อาสาสมัครที่เต็นท์พยาบาลเห็นเข้า ก็เรียกให้ไปทำแผล จากนั้นมาอ๊อฟก็ไปช่วยงานที่เต็นท์พยาบาล ช่วยหยิบยา หยิบอุปกรณ์ให้บ้าง ไปช่วยแจกยาให้ผู้ชุมนุมบ้าง” ผู้ใหญ่ประสาทถ่ายทอดคำบอกเล่าที่ได้รับฟังมาจากคนเสื้อแดงที่เต็นท์กาฬสินธุ์
 
ย้อนกลับไปก่อนหน้าการชุมนุมของ นปก.ซึ่งเริ่มขึ้นในวันที่ 14 มีนาคม 2553 มีบางหลังคาในบ้านหนองผือที่ติดจานดาวเทียมเพื่อรับสัญญาณจากพีเพิล แชนแนล ซึ่งจะมีเพื่อนบ้านไปนั่งดูด้วยเป็นจำนวนมาก ในจำนวนแฟนประจำมีอ๊อฟเป็นหนึ่งในนั้นด้วย เขามักมานั่งดูเงียบๆ ร่วมกับเพื่อนบ้านซึ่งส่วนใหญ่จะพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นต่างๆ ที่รับฟังมาอย่างมีรสชาติ ไม่มีใครรู้หรืออาจไม่มีใครสนใจที่จะรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้โดดเดี่ยว และเงียบขรึมเช่นเขาคิดอย่างไรกับสิ่งที่เขาได้รับฟัง ทั้งจากพีเพิล แชนแนล และการพูดคุยถกเถียงของเพื่อนร่วมวงสนทนา
 
17 มีนาคม หลังจากการชุมนุมไม่ได้ยุติลงในเร็ววันอย่างที่ทุกคนคาดไว้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ตอบรับข้อเรียกร้องให้ยุบสภา จึงมีชาวบ้านจากจังหวัดต่างๆ เดินทางเข้าไปสมทบที่สะพานผ่านฟ้า บ้านหนองผือเองก็มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งเดินทางลงไปกรุงเทพฯ หนึ่งในนั้นคือ ป้า.... และอ๊อฟซึ่งขอตามไปด้วย
 
ป้า...อยู่ชุมนุมได้ 4 วัน ก็ต้องเดินทางกลับเนื่องจากมีภารกิจที่บ้าน คราวนั้น อ๊อฟได้กลับมาด้วย และเมื่อมีคนลงไปกรุงเทพฯ อีกในวันที่ 3 เมษายน อ๊อฟก็ขอมาด้วยอีก แต่คราวนี้เขาไม่ยอมกลับเช่นเพื่อนบ้านคนอื่น
 
“เราจะเจอกันก็ตอนกลับเต็นท์มาอาบน้ำ ได้คุยกันนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ต่างคนต่างไป ผมจะไปอยู่แถวศาลาแดง ไม่ได้เป็นการ์ดกับเขาหรอก แต่ชอบไปดู ไปคุยกับการ์ดมั่ง ส่วนอ๊อฟเขาก็จะไปแจกยา แจกแอมโมเนีย ช่วยงานที่เต็นท์พยาบาล เขาสนิทกับพยาบาลในเต็นท์ หรือบางทีก็ไปดูเขาร้องเพลงอยู่หน้าเวที อ๊อฟเขาเป็นคนชอบสนุก” เสียงซื่อๆ ของอู๊ด(นามสมมติ) เพื่อนบ้านที่มาสนิทกันตอนทำงานรับจ้างลากสายไฟแรงสูงที่อยุธยาเมื่อ 3-4 เดือนก่อนหน้าที่จะมีการชุมนุม ทำให้เรามองเห็นภาพวิถีชีวิตประจำวันของอ๊อฟในที่ชุมนุมได้อย่างแจ่มชัด
 
“ช่วงวันท้ายๆ การ์ดก็เริ่มคุยกันแล้วว่าคราวนี้ทหารเอาจริง เพื่อนคนหนึ่งที่เป็นการ์ด แต่เขาเข้าๆ ออกๆ ไปทำงานบ้าง ก็โทรมาจากข้างนอกบอกให้ผมกลับออกไป แต่ผมยังไม่อยากกลับ วันที่ 17 น้องสาวก็โทรมาจากบ้าน บอกว่าแม่ป่วยให้กลับบ้าน ผมก็เลยจำใจต้องกลับ ผมไปที่เต็นท์ตามหาอ๊อฟ ชวนให้กลับด้วยกัน อ๊อฟไม่พูดอะไร แต่ไม่มีท่าทีว่าจะกลับด้วย ผมเลยบอกเขาว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้เข้าไปที่วัดนะ” อู๊ดคงไม่ทันคิดว่านั่นเป็นคำพูดกับอ๊อฟเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นก็ไม่มีใครทางบ้านได้ติดต่อกับอ๊อฟอีก เพราะเขาไม่มีโทรศัพท์มือถือ
 
บ่ายวันที่ 19 หลังแกนนำประกาศยุติการชุมนุม เสียงปืนและระเบิดก็ดังขึ้นอย่างน่าตระหนก ผู้ร่วมชุมนุมส่วนหนึ่งพากันหนีเข้าวัดปทุมฯ ซึ่งประกาศเป็นเขตอภัยทานด้วยความหวาดกลัว มีคนอยู่ในวัดปทุมฯ นับพันคน ภายนอกวัดมีเสียงปืนดังขึ้นอยู่ตลอดเวลา
 
"ตอนนั้นมีประชาชนหลบกระสุนอยู่รอบอุโบสถของวัดเป็นจำนวนมาก และต่างกลัวว่าจะมีการยิงมาจากที่สูงด้วยชุดสไนเปอร์ด้วย จนกระทั่งเวลา 17.30 น.เป็นต้นมา ที่ข้างนอกวัดก็เริ่มยิงกันหนักขึ้น ผมจึงบอกให้ผู้ชุมนุมหลบเข้าไปอยู่ที่สวนป่าภายในวัดเพราะจะปลอดภัยกว่า ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืนชุดใหญ่ยิงดังอยู่ตรงบริเวณนอกรั้วหน้าวัด และมาทราบข่าวว่ามีอาสาพยาบาลที่อยู่บริเวณเต็นท์หน้าวัดถูกยิงบาดเจ็บและ เสียชีวิตหลายราย " เป็นปากคำของนายโทนทอง สุขแก่น ประธานศูนย์มูลนิธิสยามรวมใจ (ปู่อินทร์) ประจําสาขาจังหวัดนนทบุรี
 
เก่งหรือวสันต์ ผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า “น.ส.กมนเกด พยาบาลอาสาประจำเต็นท์ พยายามช่วยเหลือผู้บาดเจ็บถูกยิงรายหนึ่ง ก่อนตัวเองจะโดนกระสุนยิงจนพรุนทั้งร่าง นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ ซึ่งอยู่ติดกับประตูทางออกของวัดปทุมฯ และ จนนายอัครเดช (อ๊อฟ) วิ่งเข้าไปช่วยกมลเกด แต่ก็โดนยิงเข้าที่ไหล่ขวา กระพุ้งแก้ม ท้องและที่ก้นกบ ล้มนอกชักอยู่ที่เต็นท์พยาบาลอยู่อีกเป็นเวลานาน ขณะช่วยชีวิตปลั๊ก ผมต้องนำเชือกมามัดมือไว้เพราะเขาดิ้นมาก พยายามช่วยเหลือชีวิตนานกว่า 30 นาที แต่เขาก็เสียชีวิตลงต่อหน้าต่อตา”
 
“สายๆ วันที่ 20 ป้าได้รับโทรศัพท์จากแกนนำกาฬสินธุ์ว่าอ๊อฟเสียแล้ว ความรู้สึกตอนนั้นก็เสียใจมาก ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนจัดการหารถและพาพี่น้องไปรับอ๊อฟกลับมาบ้านเรา” เสียงของป้ายังเจือแววสั่นเครือให้เรารู้สึกได้
 
อัครเดช ขันแก้ว เด็กหนุ่มเงียบขรึมวัย 22 ปี ที่ไม่มีพ่อแม่พี่น้อง พ่อทิ้งไป แม่เสียชีวิตจากโรคติดต่อ พี่ชายคนเดียวก็พลัดพรากกัน มีชีวิตเติบโตมากับยายอย่างยากไร้ สุดท้ายโลกที่โหดร้ายใบนี้ก็ยังยัดเยียดความตายให้กับเขา พร้อมกับดับความใฝ่ฝันบางอย่างที่อาจจะไม่มีใครได้รับรู้ และเขาก็คงไม่อาจจะเข้าใจได้เลยกับเหตุผลของความตายที่ถูกส่งลงมาจากเบื้องบน
 
ร่างของอัครเดช ขันแก้ว มอดไหม้เป็นเถ้าธุลีแล้ว ท่ามกลางความอาลัย ความโกรธเกรี้ยว ความไม่รับผิดชอบของผู้เป็นรัฐบาล และคำสัญญาถึงการต่อสู้ต่อไปของพี่น้องประชาชน
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กวีประชาไท : พฤษภามหาโหด

Posted: 18 Jun 2010 08:08 AM PDT

บทกวีของ "ปทุม อุทุมพร" ที่สั่นสะเทือนคนทำงานเอ็นจีโออิสานมาทั้งภาค จากตัวจริงคนจริงของภาคประชาชนแดนที่ราบสูง

<!--break-->

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น