ประชาไท | Prachatai3.info |
- ไทยตั้งศูนย์ ฉก.จับกุมแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย-ตร.เร่งจับอ้างพัวพันขบวนการใต้ดิน
- คนงานโรงเหล็กไทยคูน ประท้วงนายจ้างเบี้ยวขึ้นเงินเดือน-โบนัส
- แอฟริกาใต้ 2010 : ไทยกระชับพื้นที่ถ่ายทอดสดบอลโลก “จานดำ” จอมืด (อีกแล้ว)
- ลูกสาว "เสธ.แดง" จี้นายกรับผิดชอบกรณีคนตาย
- 38 ปี 'วันอาทิตย์นองเลือด' ที่ไอร์แลนด์เหนือ ผลชำระคดีผู้ชุมนุมบริสุทธิ์-ทหารไร้ความชอบธรรม
- ตำรวจมหาชัยจับแรงงานข้ามชาติ 135 คน
- ประชาธิปไตยการแก้ไขความขัดแย้ง และหลักนิติธรรม
- ประสบการณ์ "ไอร์แลนด์เหนือ" จากความขัดแย้งสู่โต๊ะเจรจา
- องค์กรสิทธิ์หนุนนิรโทษกรรมผู้ร่วมชุมนุม นปช.
- ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องหาที่ถูกล่ามโซ่
- พลิกบอลดูโลก เปิดมุมมองทางความคิด ธุรกิจ กีฬา วัฒนธรรม
- ภาคประชาชนเตรียมฟ้อง 'ทางหลวง-คมนาคม' กรณีเขาใหญ่
- ล้อมวงเข้ามา : คุยกับ ‘นิธิ เอียวศรีวงศ์’ ในวัน ‘เสื้อแดง’ พ่าย
- สรุปข่าวพม่ารอบสัปดาห์ (4 - 15 มิ.ย.53)
- กรุงเทพโพลล์สำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ “ทบทวนตัวเลขเศรษฐกิจ หลัง นปช. ยุติการชุมนุม”
ไทยตั้งศูนย์ ฉก.จับกุมแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย-ตร.เร่งจับอ้างพัวพันขบวนการใต้ดิน Posted: 16 Jun 2010 02:01 PM PDT <!--break--> เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 53 ที่ผ่านมา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจปราบปรามจับกุมและดำเนินคดีแรงงานต่างด้าวลักลอบทำงาน โดยมอบหมายให้ตนเป็นประธาน หลังจากที่ยังพบว่ามีแรงงานต่างด้าวฝ่าฝืนไม่มายื่นขอใบอนุญาตทำงานและเข้ารับการพิสูจน์สัญชาติอีกถึง 383,677 คน จากแรงงานต่างด้าวทั้งหมด 1.31 ล้านคน แม้ว่ารัฐบาลจะผ่อนผันให้แรงงานดังกล่าวมาต่ออายุใบอนุญาตทำงานแล้วก็ตาม พร้อมกันนี้ จะมีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นอีก 5 ชุด เพื่อตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดีกับแรงงานต่างด้าว ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และ พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว โดยคณะทำงานทั้ง 5 ชุดจะแบ่งความรับผิดชอบตามพื้นที่ คือ ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคกลาง-ตะวันออก, ภาคใต้ และกทม. ซึ่งจะมีการสนธิกำลังร่วมกันของตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ทั้งนี้ หากพบว่านายจ้างหรือสถานประกอบการใดมีการจ้างแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบทำงาน จะมีโทษสูงสุด คือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 บาท ส่วนคนต่างด้าวมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท แต่หากตรวจพบขณะทำงานนั้น นายจ้างจะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้าง 1 คน ส่วนคนต่างด้าวมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับตั้งแต่ 2,000-100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พล.ต.สนั่น ย้ำด้วยว่า กรณีที่พบเห็นข้าราชการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนย้ายแรงงานต่างด้าว เมื่อถูกจับกุมได้จะถูกดำเนินการตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด ด้าน พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ( ผบช.น.) กล่าวถึงการดูแลความสงบเรียบร้อยรักษาความปลอดภัยพื้นที่ กทม.ขณะที่อยู่ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า พื้นที่ กทม.ยังไม่มีการประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแต่อย่างใด ได้ให้นโยบายการปฏิบัติแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท้องที่ไปแล้วว่า หากพบมีการกระทำความผิดก็ให้จับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายในทันที รวมถึงให้จัดกำลังตำรวจคุมเข้มดูแลสถานที่สาธาณะสาธารณูปโภคและการคมนาคมต่างๆ โดยเฉพาะสถานีไฟฟ้าใต้ดินบนดิน ห้างสรรพสินค้าที่เป็นจุดเสี่ยง พื้นที่เสี่ยงพื้นที่เป้าหมายต่างๆ ยังคงให้ความสำคัญอยู่ตามปกติรวมถึงการกวาดล้างจับกุมแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายด้วย "ตลอดสัปดาห์นี้ตำรวจนครบาลทุกหน่วยจะเข้มงวดกวดขันกวาดล้างจับกุมแรงงานเถื่อนทั้งหมด โดยเฉพาะต่างด้าวที่ทำผิดกฎหมาย รวมไปถึงแรงงานต่างชาติที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายต่าง ๆ ตลอดจนการเข้มงวดดูแลเกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่ให้มีการลักลอบทำผิด กฎหมาย โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่ผู้กระทำผิดสามารถโทรเรียกเพื่อนให้มาร่วมกันก่อ เหตุได้" ผบช.น.กล่าว การดำเนินการดังกล่าวจะทำควบคู่ไปกับการระดมกวาดล้างอาวุธปืน ยาเสพติดยังคงมีการดำเนินงานขยายผลการจับกุมอยู่ต่อเนื่อง รวมถึงการตั้งด่านในที่ต่าง ๆ ก็จะยังคงมีอยู่ตำรวจคงต้องทำงานเหนื่อยขึ้น ซึ่งในวันนี้ได้เรียกนายตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาหน่วยงานประชุมทำความ เข้าใจการปฏิบัติงานให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามแบบแผนที่วางไว้แล้ว
ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: อินโฟเควส, เนชั่นทันข่าว
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||
คนงานโรงเหล็กไทยคูน ประท้วงนายจ้างเบี้ยวขึ้นเงินเดือน-โบนัส Posted: 16 Jun 2010 01:50 PM PDT <!--break--> เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมาสหภาพแรงงานไทยคูน ประเทศไทย นำโดย นายชัชวาล ลัมเพชร ประธานสหภาพ เข้าพบ นายสมชาย วงศ์ทอง รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อขอความช่วยเหลือหลังจากแรงงานได้รับความเดือดร้อนจากกรณีข้อพิพาทกับนายจ้างคือบริษัท ไทยคูน เวิลด์ไวด์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดย นายชัชวาล กล่าวว่า ตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พนักงานก็ถูกกลั่นแกล้งมาโดยตลอด ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2553 ก็ถูกบริษัทไล่ไม่ให้เข้าไปในหอพัก ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของพนักงาน ทั้งที่มีการจ่ายค่าเช่าทุกเดือน นอกจากนี้ยังมีการจ้างชายฉกรรจ์ไปยืนเฝ้าทางเข้าออกหอพักด้วย อีกทั้งกรณีการลอบทำร้ายกรรมการสหภาพแรงงาน ซึ่งได้มีการแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้ว ทว่าคดีความก็ยังไม่คืบหน้า จนถึงขณะนี้พนักงานในฝ่ายของสหภาพเกิดความวิตกถึงความไม่ปลอดภัย จึงต้องการให้กระทรวงแรงงานเข้าไปดูแลเรื่องความเดือดร้อนดังกล่าว สำหรับเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของสหภาพนั้น นายชัชวาล กล่าวว่า เป็นเรื่องที่บริษัทละเลยมาตลอด และไม่มีความชัดเจนที่จะแก้ปัญหา ทำให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานมีมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่พนักงานต้องสูญเสียอวัยวะนิ้วมือทั้ง 4 นิ้วจากการทำงาน และบางรายถึงขั้นตาบอด ขณะนี้ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล โดยที่ทางบริษัทไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ (17 มิ.ย.) เวลา 10.00 น. จะมีการเจรจาไกล่เกลี่ยกันอีกครั้ง ที่สำนักงาน อบต.นิคมพัฒนา จ.ระยอง หลังจากที่มีการเจรจาไกล่เกลี่ยก่อนหน้านี้มาแล้ว 16 ครั้ง แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงาน บริษัท ไทยคูน กว่า 400 คน จากทั้งหมดกว่า 700 คน ต้องใช้ชีวิตกินอยู่หลับนอน ริมถนนหน้าโรงงาน ในตำบลนิคมพัฒนา อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง มานานเกือบ 1 เดือน หลังจากรวมตัวกันเรียกร้องให้นายจ้างชาวไต้หวันให้ปรับเงินเดือน และโบนัส ตามกฎหมาย แต่ก็ไร้ผล นายจารึก บุญยัง พนักงานที่ร่วมประท้วง ยอมรับว่า การมากินอยู่หลับนอนริมถนน ทั้งอันตรายและลำบาก แต่ก็ต้องทำ เพื่อเรียกร้องให้นายจ้างยอมทำตามข้อกฎหมาย คือ การ ปรับเงินเดือนให้แก่พนักงาน และยอมจ่ายโบนัส เพื่อช่วยเหลือพนักงานที่มีรายได้น้อย นางเบญจวรรณ ราชวงศ์ อีกหนึ่งในคนงานผู้ประท้วง บอกว่า การรวมตัวกันประท้วง ทำให้นายจ้างไม่พอใจ ไล่ออกจากหอ แล้วนำคนงานต่างด้าวเข้าไปสวมแทนคนงานไทย จึงพากันไปร้องต่อศาล นายจ้างก็อนุญาตให้เข้าไปอยู่ได้ แต่ไม่ให้อยู่ในห้องเดิม ให้ไปอยู่ชั้นล่างของหอ อยู่รวมกันอย่างแออัด ซึ่งเป็นการกลั่นแกล้งและไม่เป็นธรรม--จบ-- ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||
แอฟริกาใต้ 2010 : ไทยกระชับพื้นที่ถ่ายทอดสดบอลโลก “จานดำ” จอมืด (อีกแล้ว) Posted: 16 Jun 2010 01:11 PM PDT <!--break--> สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ที่ผ่านมา ในการแข่งขันในกลุ่มอี ระหว่าง "ฮอลแลนด์" กับ "เดนมาร์ก" ที่มีกำหนดการแข่งขันในเวลา 18.30 น. ซึ่งจะถ่ายทอดสัญญาณผ่านดาวเทียมทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 นั้น ปรากฎว่าก่อนถึงเวลา 18.00 น. ผู้ประกาศข่าวช่อง 3 แจ้งผ่านรายการข่าวเด่นเย็นนี้ว่า สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ได้เข้ารหัสสัญญาณการถ่ายทอดสดเวิลด์คัพ 2010 ส่งผลให้จานดาวเทียมระบบซีแบนด์ ดาวเทียมไทยคม 2 หรือที่เรียกว่า “จานดำ” ไม่สามารถรับชมการแข่งขันได้ ดังนั้นถ้าแฟนบอลต้องการชมฟุตบอลโลก ต้องติดตั้งเสาอากาศเท่านั้น กระทั่งเวลา 18.00 น. ซึ่งเป็นกำหนดการถ่ายทอดการแข่งขัน ปรากฏว่า จอช่อง 3 มืดทันที โดยมีข้อความระบุว่า "เนื่องด้วยสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า กำหนดให้มีการเข้ารหัสสัญญาณการถ่ายทอดสดทุกคู่ อันจะทำให้การรับชมผ่านทางดาวเทียมไม่สามารถทำได้ จึงเรียนมาเพื่อให้ผู้ชมรับชมการถ่ายทอดสดผ่านทางการใช้เสาอากาศ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยประการใดสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2810-0777 ต่อ 230" เกี่ยวกับกรณีนี้ นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในกรณีที่มีการสอบถามเข้ามาถึงเรื่อง ทำไมการแข่งขัน 2010 ฟีฟ่า เวิล์ด คัพ เซาธ์ แอฟริกา จึงไม่มีการถ่ายทอดสดพิธีเปิด บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้บริหารจัดการสิทธิ์การถ่ายทอดการแข่งขัน 2010 FIFA World Cup South Africa (2010 ฟีฟ่า เวิล์ด คัพ เซาธ์ แอฟริกา) ขอชี้แจงกรณีดังกล่าว เป็นเหตุมาจากเรื่องข้อจำกัดของเวลา ซึ่งเป็นผลมาจากที่ทาง Federation Internation ale de Football Association หรือ FIFA ได้ทำการแจ้งเพื่อยืนยันกำหนดการพิธีเปิด 2010 ฟีฟ่า เวิล์ด คัพ เซาธ์ แอฟริกา อย่างเป็นทางการ ว่าจะเริ่มต้นในเวลา 19.10 น. และจะจบพิธีการทั้งหมดในเวลา 19.45 น. ตามเวลาในประเทศไทย ซึ่งเป็นการแจ้งกำหนดการอย่างกระชั้นชิดเพียง 2 สัปดาห์ล่วงหน้าก่อนทำการแข่งขัน ในขณะที่ทาง อาร์เอส ช่อง 3 และช่อง 7 ได้จัดเตรียมแผนงานล่วงหน้า รวมถึงตารางการถ่ายทอดไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ต้นปี ซึ่งในแผนที่วางไว้ก็ได้เผื่อเวลาในช่วงพิธีเปิดไว้แล้ว 30 นาที โดยเริ่มรายการในเวลา 20.30 น. และถ่ายทอดสดนัดเปิดสนามคู่แรกระหว่าง แอฟริกาใต้ และ เม็กซิโก ในเวลา 21.00 น. ซึ่งปกติในการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ผ่านๆมา พิธีเปิดจะอยู่ในช่วงก่อนการแข่งขันคู่แรกครึ่งชั่วโมง ซึ่งทาง อาร์เอส ก็เผื่อเวลาในช่วงนี้ไว้แล้ว แต่จากการเปลี่ยนแปลงการเริ่มต้นของพิธีเปิดที่เร็วขึ้น ผนวกกับการแจ้งที่ล่าช้า และแผนงานที่เราเตรียมล่วงหน้าไว้แล้ว บริษัทฯจึงตัดสินใจไม่แทรกคิวพิธีเปิด ในวันที่ 11 มิ.ย. ในช่วงเวลาปกติของทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 แต่ถึงอย่างไร ทางอาร์เอส ก็ได้ทำการคัดเลือกและส่งภาพไฮไลท์ บรรยากาศพิธีเปิด 2010 ฟีฟ่า เวิล์ด คัพ เซาธ์ แอฟริกา ไปยังสถานีโทรทัศน์ และช่วงข่าวของ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 , สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 แล้ว เพื่อให้คนไทยได้เห็นภาพบรรยากาศของพิธีเปิดบอลโลก มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยข้อจำกัดตามที่แจ้งมาเบื้องต้น สำหรับกรณีเรื่องการที่ประชาชนในบางพื้นที่ที่รับสัญญาณตรงจากดาวเทียมไม่สามารถรับสัญญาณถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกที่ออกอากาศในเวลา18:30 ของวันที่ 14 มิถุนายนนั้น อาร์เอส ขอชี้แจงว่า ปัจจุบันทาง FIFA เข้มงวดในเรื่องการส่งสัญญาณการถ่ายทอดสดมากยิ่งขึ้น โดยกำหนดว่าผู้ได้รับสิทธิในแต่ละประเทศ จะต้องเข้ารหัสสัญญาณถ่ายทอดสด(Encryption)หากมีการส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมเพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิของผู้ได้รับสิทธิในประเทศอื่น ทั้งนี้ในกรณีของประเทศไทยนั้นสถานีโทรทัศน์ทุกช่องได้มีการส่งสัญญาณการออกอากาศผ่านดาวเทียมเพื่อนำไปออกอากาศอีกครั้งในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมาสถานีไม่ได้มีการเข้ารหัสสัญญาณ ทำให้ผู้ที่ต้องการใช้สัญญาณสามารถดึงสัญญาณเหล่านั้นไปใช้ได้ผ่ านการรับจากจานดาวเทียมประเภทต่างๆที่ไม่มีการเข้ารหัสสัญญาณ แต่ในครั้งนี้สถานีจำเป็นต้องเข้ารหัสสัญญาณสำหรับการส่งสัญญาณการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในครั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามกฎของฟีฟ่าและไม่ละเมิดสัญญาของผู้ได้รับสิทธิในประเทศข้างเคียง อันอาจทำให้เกิดการระงับสัญญาณทั้งหมดโดยฟีฟ่า อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ชมที่รับสัญญาณจากฟรีทีวีตามปกติผ่านเสาอากาศยังสามารถรับชมการออกอากาศของสถานีทุกช่องได้ตามปกติ ทั้งนี้นอกจากการรับชมผ่านทางฟรีทีวีทุกช่องโดยการใช้เสาอากาศหรือเสาก้างปลาแล้ว ประชาชนทั่วไปยังสามารถรับชมบอลโลกผ่านช่องฟรีทีวีทุกช่องบนทุกระบบสมาชิกของ True Vision ได้อีกด้วย ทางบริษัทฯอาร์เอส ต้องขออภัยในความไม่สะดวกในการรับชมบอลโลกมา ณ โอกาสนี้ ประเด็นเพิ่มเติม - ผู้ที่ได้รับผลกระทบในการ Encryption สัญญาณในครั้งนี้ได้แก่ ผู้ที่รับสัญญาณโทรทัศน์ในระบบ C-Band หรือ จานดำ - การเปลี่ยนดาวเทียมไทยคม 2 เป็นไทยคม 5 นั้น ส่งผลกระทบกับเรา เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนเข้ามาในเรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์ จากต่างประเทศ - ซึ่งที่ผ่านมามีการออกอากาศไปแล้วหลายคู่ เนื่องจาก อาร์เอส ช่อง 3 ช่อง 7 มีเจตนาที่ดี ต้องการให้คนไทยได้ชมบอลโลกฟรี แต่ได้รับการแจ้งเตือนจาก ฟีฟ่า ให้ใช้การ Encryption มิฉะนั้น จะต้องระงับสัญญาณของ ฟีฟ่า - ซึ่งปัจจุบันนี้เราได้ทำตามกฎและข้อบังคับ เรื่องของการ Encryption สัญญาณ เรียบร้อยแล้ว ปัญหากับฟีฟ่าจึงหมดไป - ต่อไปนี้สิ่งที่เราต้องทำคือการเร่งรีบประชาสัมพันธ์ และทำความเข้าใจกับผู้ชม ให้สามารถรับชมบอลโลกได้อย่างทั่วถึง - สำหรับโทษที่ฟีฟ่าตั้งไว้ สำหรับผู้ที่ไม่ทำการกฎเกณฑ์ ก็คือตัดสัญญาณ ซึ่งจะส่งผลกระทบและความเสียหายกับอาร์เอสเป็นอย่างมาก รวมถึงชื่อเสียงของประเทศอีกด้วย - สำหรับผู้ที่รับสัญญาณโทรทัศน์ในระบบ C Band ก็สามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะวิธีการรับชมได้ที่ PSI Call Center 02-730-2999 นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการอาร์เอส กล่าวว่า เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ฟรีทีวีทุกช่องของไทยได้เปลี่ยนระบบการออกอากาศผ่านดาวเทียมจากดาวเทียมไทยคม 2 ไปไทยคม 5 ทำให้การส่งสัญญาณภาพครอบคลุมจำนวนประเทศมากขึ้น เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา ผู้ประกอบการที่ซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกจากอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการลิขสิทธิ์กีฬารายใหญ่ที่สุดของอินเดีย ร้องเรียนไปยังฟีฟ่าว่าสัญญาณภาพฟุตบอลโลกจากประเทศไทยเผยแพร่ ไปยังอินเดีย ทำให้ได้รับผลกระทบจากการบริหารลิขสิทธิ์ เพราะหลายประเทศมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการรับชมฟุตบอลโลกครั้งนี้ ฟีฟ่าจึงมีคำสั่งให้ไทยแก้ปัญหาด้วยการล็อกรหัสสัญญาณตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ แต่อาร์เอสได้ขอเจรจามาดำเนินการในวันที่ 14 มิถุนายนแทน และหากไม่ดำเนินการฟีฟ่าจะตัดสัญญาณถ่ายทอดสดในประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ชมทั้งประเทศ "นอกจากอินเดียแล้วยังพบว่ามีหลายประเทศในอาเซียน ร้องเรียนไปยังฟีฟ่าว่าสัญญาณภาพบอลโลกจากไทยได้แพร่ภาพไปละเมิดสิทธิ์ในประเทศอื่นๆ ทำให้อาร์เอสต้องล็อกรหัสสัญญาณฟรีทีวี ซึ่งไม่เคยดำเนินการมาก่อนเช่นกัน" นางพรรณกล่าว ส่วนประเด็นการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกจอมืดตั้งแต่คู่ ฮอลแลนด์ พบ เดนมาร์ก ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง แม้แต่ในทวิตเตอร์เองก็มีการถกถึงเรื่องนี้ ก่อนจะนำข้อควาทวิตโต้ตอบระหว่างคนวงในที่ใช้ชื่อ "กุ้ง พรพรรณ @kung pornpan" ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.อาร์เอส ที่ได้รับแจ้งจากฟีฟ่ามาตั้งแต่คืนวันที่ 13 มิถุนายน 2553 กับข้อสังเกตของ "Prarot Vilapasuwan@pranot"จากเนชั่นทีวีนำมาลงในบล็อกโอเคเนชั่น โดย "กุ้ง พรพรรณ" ทวิตได้ตั้งแต่เวลา 21.30 น.วันที่ 13 มิถุนายน 2553 หรือ 1 วันก่อนจะเกิดเหตุการณ์ปิดสัญญาณถ่ายทอดสดผ่านเคเบิลทีวีว่า "ทุกคนกำลังมีความสุขกับบอลโลก แต่ดิฉันกังวลมากเลยที่จะมืดดับไปเพราะฟรีทีวีไทยไม่ได้สนใจเรื่องการเข้ารหัสสัญญาณ" จากนั้น 20 นาทีต่อมาจึงมีทวิตตามมาอีกหัวข้อว่า "มีการต่อสายจากฟีฟ่ามาถึงเธอในวันนั้น" ทั้งนี้ "Pranot Vilapasuwan@pranot" ได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ในเย็นวันเดียวกันเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาที่ทำให้คนไทยดูฟรีทีวีจากจานดำไม่ได้เป็นข้อๆ ดังนี้ 1.จากการตรวจสอบไทยน่าจะเป็นชาติเดียวในภูมิภาคนี้ที่ให้รับชมสัญญาณบอลโลกแบบ free - to - air ซึ่งกำลังเป็นปัญหา 2.สัญญาณฟุตบอลโลกในระบบซีแบนด์ของไทยถูกโอเปอเรเตอร์ที่อินเดีย อินโดนีเซีย และอีกหลานประเทศแอบลักสัญญาณไปออกอากาศ 3.โอเปอเรเตอร์ที่เดือดร้อนเลยฟ้องไปที่ฟีฟ่า เพราะประเทศรอบบ้านเราขายรายการฟุตบอลโลกแบบ Pay-tv กันทั้งนั้น ดังนั้น ในประเทศไทยตอนนี้ใครจะดูบอลโลกที่ฉายผ่านช่อง 3, 7, 9 และ 11 จะดูได้เฉพาะใช้เสารับสัญญาณหนวดกุ้งกับเสาก้างปลาหรือรับตรงจากจานดาวเทียมเคยูแบนด์ จานทีวี (จานเหลือง) จานแดง - จานขาว (ยูบีซี) ถึงจะสามารถดูบอลโลกได้ ส่วนจากซีแบนด์พีเอสไอ ดูช่อง 69 ลาวสตาร์ หลังจากนั้น "กุ้ง พรพรรณ" กลับมาชี้แจงเพิ่มเติมว่า การย้ายดาวเทียมฟรีทีวีของไทยไปอยู่บนไทยคม 5 ซึ่งมีฟุตปรินท์กว้างมากส่งผลกระทบต่อผู้ถือลิขสิทธิ์ใหญ่ทางช่องกีฬารายหนึ่งในอินเดีย และฟีฟ่าเล่นงานไทยมาตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 13 มิถุนายน โดยจะระงับสัญญาคู่สุดท้ายให้ได้ จึงมีการร้องขอให้การแข่งขันจบลงก่อน แล้วจะแก้ปัญหาทั้งหมด โดย "กุ้ง พรพรรณ" ใช้คำว่าต้องใช้พลังของผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการกีฬาบ้านเราท่านหนึ่งต่อสายถึงเลขาฯฟีฟ่า เพื่อให้ผ่านคืนนั้นไปก่อน รุ่งขึ้นจึงเรียกประชุมทุกฝ่ายเพื่อหาทางออก
อนึ่งมีการประมาณการกันว่าจานดำในระบบซีแบนด์ที่รับสัญญาณจากดาวเทียมไทยคม 2 นี้มีการติดตั้งในประเทศไทยประมาณ 4 – 6 ล้านครัวเรือน โดยเนื้อหาของรายการจากจานดำนี้โดยเฉพาะของกลุ่มคนเสื้อแดง เคยถูกบล็อกมาหลายครั้งตั้งแต่การชุมนุมเดือนเมษายนปี 2552 และการชุมนุมเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 ที่มาเรียบเรียงจาก: ตัดสัญญาณบอลโลกจานดำสปอนเซอร์มึนคนดูหาย 24 ล้าน (เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์, 16-06-2010) 4 ล.จานดำอดดูบอล อาร์เอสโยนฟีฟ่าสั่งบล็อก หลังจับได้อินเดียแอบดูด (เว็บไซต์คมชัดลึก, 16-06-2010) พณ.ถกแก้ปมลิขสิทธิ์บอลโลก "ทรู-เสาทีวี"ขายดีหลัง"จานดำ"เดี้ยง (แนวหน้า, 16-06-2010) สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||
ลูกสาว "เสธ.แดง" จี้นายกรับผิดชอบกรณีคนตาย Posted: 16 Jun 2010 10:54 AM PDT <!--break--> เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 53 ที่ผ่านมาผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ลุมพินีสถาน สวนลุมพินี กลุ่มเครือข่ายพลังบวก นายภาณุ อิงคะวัต ประธานเครือข่าย นายชัยประนิน วิสุทธิผล รองประธานเครือข่าย และ นายปรเมศวร์ มินศิริ ผู้จัดการเครือข่าย ร่วมกันแถลงข่าว เปิดตัวเครือข่ายพลังบวก โดยเป็นการรวมพลคนไทย เปิดเครือข่ายพลังบวก ปลุกแนวคิดสร้างสรรค์ ช่วยชาติเดินหน้าฝ่าวิกฤต และเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืน เป็นการปลุกพลังบวก เปลี่ยนประเทศไทย สร้างชาติให้น่าอยู่แบบไม่เกี่ยวการเมือง นายภาณุ อิงคะวัต ประธานเครือข่ายพลังบวก กล่าวว่า เครือข่ายพลังบวกเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มบุคคลหลากหลายวิชาชีพ อาทิ วงการโฆษณา โซเชียลเน็ตเวิร์ค พีอาร์ อีเว้นท์ ตลอดจนเครือข่ายภาคประชาชน ตัวแทนสมาคม องค์กร บริษัท ข้าราชการ และนักวิชาการทั่วประเทศ ซึ่งมีแนวคิดยุติความแตกแยกของคนในสังคม และต้องการเห็นประเทศไทยเดินหน้ากันต่อไปอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืน หลังจากที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ความไม่สงบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สินของทุกคน เป็นการทำลายภาพลักษณ์ และความน่าเชื่อถือต่อประเทศไทยอีกด้วย นายภาณุ ยังกล่าวต่อว่า วันนี้คนไทยต้องเข้าใจบทบาท หน้าที่ และพลังที่มีอยู่ในตัวเอง เพราะทุกความคิด ทุกคำพูด ทุกการกระทำที่แสดงออกมาล้วนส่งผลต่อสังคมทั้งสิ้น การรวมพลคนคิดบวกในครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมาย คือ คนไทยทุกภาคส่วนหันมาสนใจรับฟังกันมากขึ้น แสดงพลังร่วมกันผลักดันสู่การเปลี่ยนแปลง เป็นรูปธรรมในระดับครอบครัว ชุมชน และประเทศต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มต้นที่ยั่งยืน นายชัยประนิน วิสุทธิผล รองประธานเครือข่ายพลังบวก กล่าวว่า ด้านแนวทางการสื่อสาร เพื่อรณรงค์ปลุกพลังบวกเปลี่ยนประเทศไทย จะดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งภาพยนตร์โฆษณาชุด “ต่อไปนี้ถ้าเธอพูด ฉันจะฟัง” ที่จะออกอากาศสู่สาธารณชนในสัปดาห์หน้า เนื้อหาหลักเพื่อกระตุ้นคนไทยหันมารับฟัง และทำความเข้าใจข้อเท็จจริงของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นร่วมกัน และใช้พลังบวกสร้างสรรค์แนวทางแก้ไขปัญหา รวมถึงการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ทางวิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร สื่อออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ค เว็บบอร์ด ทวิตเตอร์ และโปสเตอร์ แบนเนอร์ อีกด้วย นายชัยประนิน ยังกล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่จะผลักดันให้เกิดเป็นโครงการสำรวจความต้องการของประชาชนทั่วประเทศ (พีเพิลโพล) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ชี้วัดระดับความเป็นอยู่ มาตรฐานรายได้ เศรษฐกิจองค์รวม การศึกษา รวมไปถึงสภาพสิ่งแวดล้อม ความถูกต้อง ความผิดชอบชั่วดี ศีลธรรมจรรยาบรรณ โดยพีเพิลโพลจะเป็นเครื่องมือในการรวบรวมความต้องการของประชาชนทุกภาคส่วน และยังเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นการทำงานของรัฐบาล โดยนำเอาผลสำรวจขึ้นแถลงเป็นไตรมาส และชี้ให้เห็นดัชนีระหว่างความต้องการของประชาชนทั้งประเทศ กับผลงานการทำงานของภาครัฐ นายปรเมศวร์ มินศิริ ผู้จัดการเครือข่าย กล่าวว่า กิจกรรมที่จะจัด จะมีเวทีอิกไนท์ ไทยแลนด์ เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้พูด และยังเปิดโอกาสให้แนวร่วมคิดบวกได้เข้ารับฟังแนวคิดสร้างสรรค์ แง่มุมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ นอกจากนี้ ยังจะขยายไปต่างจังหวัด เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้มีโอกาสพูด และรับฟังอย่างเท่าเทียมกัน โดยในวันนี้จะมีบุคคลหลากหลายอาชีพเข้าร่วมนำเสนอแนวทางดี ๆ เพื่อสร้างชาติให้แข็งแกร่ง อาทิ พระศรีญาณโสภณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม 9 น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ โดยจะมีการพูดคนละ 5 นาที เพื่อเป็นการสร้างแรงบัลดาลใจให้กับผู้ฟัง "ลูกเสธ.แดง" ไม่เชื่อมั่นแผนปรองดอง ระบุนายกฯต้องแสดงความรับผิดชอบกรณีคนตาย น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล บุตรสาวของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกที่เสียชีวิตจากการถูกลอบยิง กล่าวในหัวข้อ การเมืองกับครอบครัวจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ว่า เรื่องการเมืองในครอบครัวที่อาจมีสมาชิกมีความคิดเห็นทางการเมืองแบบสองขั้วสองสีแต่อยู่ร่วมกันได้นั้น สมาชิกในครอบครัว เมื่ออยู่ในครอบครัวต้องไม่นำเรื่องความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันมาพูดคุยในครอบครัว เพราะต้องเข้าใจอยู่เสมอว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงและถึงวาระสุดท้ายของชีวิตก็คงไม่มีแกนนำสีใดๆ มาเฝ้าดูแลรับผิดชอบเท่ากับคนในครอบครัว เพราะในยามที่เจ็บป่วยก็คงมีแต่สมาชิกในครอบครัวที่จะเฝ้าดูแลไปจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต "ความคิดเห็นทางการเมืองของแต่ละคนในครอบครัวนั้น อาจมีความคิดเห็นแตกต่างกันได้ แต่เมื่อทุกคนกลับมาที่บ้านมาอยู่กันแบบครอบครัว ต้องวางเรื่องการเมืองไว้ข้างนอกมาพูดคุยกันในเรื่องความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ซึ่งจะทำให้ครอบครัวไม่มีความขัดแย้งหรือแตกแยก อย่างตนเองแม้คุณพ่อจะเป็นแนวร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มคนเสื้อแดง และตนเองก็เข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตร แต่เมื่อกลับเข้าบ้าน ยังมีความสัมพันธ์กัน เป็นพ่อลูกเหมือนเดิม ต่างฝ่ายต่างเคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้สมาชิกของทุกคนในครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปกติสุข"น.ส.ขัตติยากล่าว น.ส.ขัตติยากล่าวอีกว่า ไม่ค่อยมีความเชื่อมั่นในแผนปรองดองแห่งชาติที่รัฐบาลกำลังทำขณะนี้ เพราะนายกรัฐมนตรีเองยังไม่มีความจริงใจที่จะให้ความปรองดองเกิดขึ้น เช่น ยังไม่มีความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ความสูญเสียทางการเมืองที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เดือนเมษายนไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ถ้าแผนปรองดองจะเดินหน้าไปได้ ลำดับแรก นายกรัฐมนตรีต้องแสดงความรับผิดชอบ ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: เดลินิวส์, มติชนออนไลน์
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||
38 ปี 'วันอาทิตย์นองเลือด' ที่ไอร์แลนด์เหนือ ผลชำระคดีผู้ชุมนุมบริสุทธิ์-ทหารไร้ความชอบธรรม Posted: 16 Jun 2010 10:49 AM PDT การสอบสวนครั้งล่าสุดกรณีปราบผู้ชุมนุม 'วันอาทิตย์นองเลือด' (Bloody Sunday) ของอังกฤษจนมีผู้เสียชีวิต 14 ราย ระบุผู้ชุมนุมบริสุทธิ์ และทหารไม่มีความชอบธรรมใดๆ ในการใช้อาวุธปราบผู้ชุมนุม ถือเป็นการสอบสวนที่ยาวนานและราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ <!--break-->
(วิดิโอจาก Telegraph: ญาติของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 'วันอาทิตย์นองเลือด' กล่าวถึงผลการตัดสินเหตุการณ์ว่าผู้เสียชีวิตเป็นผู้บริสุทธิ์) เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีการประกาศรายงานผลการสอบสวนคดีกองทัพอังกฤษสังหารหมู่ประชาชนที่มาชุมนุมเรียกร้องสิทธิพลเมือง เมื่อปี 1972 หรือที่เรียกว่าเหตุการณ์ 'วันอาทิตย์นองเลือด' (Bloody Sunday) ซึ่งผลออกมาว่าเหยื่อในเหตุการณ์ครั้งนั้นทั้งหมดเป็นผู้บริสุทธิ์ ดิ อินดิเพนเดนท์ รายงานว่า มีประชาชนราวพันคนยืนอยู่รอรับฟังคำตัดสินของลอร์ดซาวิลล์ ผู้พิพากษาศาลสูงอังกฤษ และแสดงความยินดีหลังได้รับฟังคำตัดสิน โทนี่ โดเฮอร์ตี ลูกของเหยื่อรายหนึ่งในเหตุการณ์กล่าวว่า "ในตอนนี้เราสามารถประกาศให้โลกรับรู้ได้แล้วว่าผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์วันอาทิตย์นองเลือด ซึ่งเป็นผู้ชุมนุมเรียกร้องสิทธิพลเมืองทุกคนต่างเป็นผู้บริสุทธิ์ และทุกคนถูกยิงโดยทหารผู้เชื่อว่าตนจะไม่ต้องรับโทษใด ๆ จากการลงมือสังหาร" เขาบอกอีกว่าปฏิบัติการของทหารที่ก่อเหตุสังหารหมู่ในเมืองเดอร์รี่ ถือเป็นการทำร้ายเมืองนี้อย่างมาก และหวังว่าจากวันนี้ไปจะเป็นการเริ่มต้นของการเยียวยา "จะไม่มีใครลืมผู้ที่เสียชีวิตจากการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม" โทนี่กล่าว
เหตุการณ์ 'วันอาทิตย์นองเลือด' เกิดขึ้นในวันที่ 30 ม.ค. 1972 โดยมีผู้ชุมนุมเรียกร้องสิทธิพลเมืองที่ชุมนุมโดยปราศจากอาวุธและผู้อยู่ในเหตุการณ์ ถูกกองทัพอังกฤษยิงจนมีผู้เสียชีวิต 14 ราย โดยหลังเกิดเหตุไม่นานก็มีการสอบสวนเหตุการณ์ 'วันอาทิตย์นองเลือด' โดยคณะผู้พิพากษาของบารอน จอห์น วิดเกอรี่ ซึ่งกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่ผู้ชุมนุมบางส่วนจะมีอาวุธหรือระเบิด ตรงจุดนี้ทำให้ญาติของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์รู้สึกโกรธเคือง เรื่องราวของ 'วันอาทิตย์นองเลือด' จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญข้ามทศวรรษมาจนถึงวันนี้ รายงานฉบับของวิดเกอรี่ใช้เวลาเพียง 10 สัปดาห์ในการจัดทำ ก่อนนำเสนอในวันที่ 19 เม.ย. 1972 มีปริมาณไม่ถึง 40 หน้า และเนื้อหาของรายงานมีเพียง 558 คำ ซึ่งหลายคนรวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ โทนี่ แบลร์ บอกว่าเป็นรายงานที่ 'ซักฟอก' รัฐบาล ซึ่งในรายงานฉบับของวิดเกอรี่มีการระบุถึงหลักฐานว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธ ขณะที่ดอน มูลลาน เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ในหนังสือเรื่อง 'พยานเหตุวันอาทิตย์นองเลือด' (Eyewitness Bloody Sunday) ระบุว่า มีการสร้างหลักฐานปลอมโดยการนำระเบิดมาไว้ที่ตัวผู้เสียชีวิตหลังเขาเสียชีวิตแล้ว นอกจากนี้รายงานฉบับของวิดเกอรี่ดูจะเอียงข้างไปทางฝ่ายทหาร โดยมีการระบุว่าทหาร "ไม่ได้ขัดขืนต่อระเบียบวินัย ไม่มีเหตุผลสนับสนุนว่าทหารจะยิงผู้ชุมนุมหากพวกเขาไม่ได้ถูกยิงก่อน" การฝึกของทหารนั้นทำให้บางส่วน "มุทะลุและตัดสินใจเร็ว" ขณะที่บางส่วน "มีการยับยั้งช่างใจมากกว่าในการตัดสินใจยิง" และมีอีกบางส่วนที่แสดงความรับผิดชอบสูง หนังสือพิมพ์ ดิ อินดิเพนเดนท์ ของอังกฤษ บอกว่ารายงานฉบับของวิดเกอรี่ไม่ได้แสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตเลย และมีความคาดหวังว่ารายงานฉบับของซาวิลล์ซึ่งใช้เวลาดำเนินการถึง 12 ปี และมีเนื้อหา 5,000 หน้า จะทำให้ฉบับของวิดเกอรี่หมดความหมาย
ภาพจาก AP Photo งานจิตรกรรมในเขตบ็อกไซด์ ลอนดอนเดอร์รี่ เขียนว่า "ตอนนี้คุณกำลังเข้าสู่เขต 'เดอร์รี่อิสระ' ปาเลสไตน์, ไทย, ศรีลังกา, อัฟกานิสถาน, อิรัก... อย่าได้มีวันอาทิตย์นองเลือดอีก" รายงานฉบับของซาวิลล์ (2010) : การใช้กำลังของทหาร 'ไร้ความชอบธรรม' ในรายงานฉบับของซาวิลล์ พูดถึงกรณีที่ทหารอ้างถึงการมีอาวุธของผู้ชุมนุมว่า ไม่มีใครเลยที่ยิงอาวุธปืนตอบโต้ทหาร หรือขู่ว่าจะใช้ระเบิดตะปูกับระเบิดเพลิง คำอธิบายของฝ่ายทหารถูกปฏิเสธ และจำนวนหนึ่งถือเป็นการ "ใส่ความ" ผู้ชุมนุม มีการอ้างว่าพบสมาชิกของกลุ่ม IRA หรือ กลุ่มกองกำลังแบ่งแยกดินแดนไอร์แลนด์ ได้ยิงปืนไปทางทหารแต่พลาดเป้า ทั้งที่มีการตรวจพบว่าฝ่ายทหารเป็นผู้เริ่มต้นยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมก่อน และไม่มีการเตือนผู้ชุมนุมก่อนเริ่มยิง ข้อสันนิษฐานที่ว่า มือปืน IRA ไม่ทราบชื่อผู้นั้นได้รับบาดเจ็บหรือถูกทหารสังหารแล้วลักซ่อนศพก็ถูกปฏิเสธ เนื่องจากไม่มีหลักฐานรองรับ และเรื่องนี้หากเกิดขึ้นจริงน่าจะมีความกระจ่างมากกว่านี้ เรื่องที่มีการกล่าวหาว่า มาร์ติน แมกกินเนส ผู้ช่วยรัฐมนตรีไอร์แลนด์เหนือ ที่เคยเป็นรองผู้นำของ Provisional IRA ปี 1972 ว่าเขา "อาจจะมีอาวุธปืนกลเบา Thompson" ในช่วงหนึ่งของวันนั้นและอาจมีการใช้อาวุธดังกล่าว เรื่องนี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่รายงานก็สรุปว่า "เขา (มาร์ติน) ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ ที่จะทำให้ทหารใช้อ้างความชอบธรรมในการใช้อาวุธได้" กรณีระเบิดตะปูที่ถูกพบในกระเป๋าของเจอราด โดนาเคย์ ที่มีคนบอกว่าอาจจะถูกทหารนำมาใส่ไว้ในภายหลังนั้น รายงานฉบับล่าสุดระบุว่าเจอราด 'อาจจะ' พกระเบิดตะปูไว้อยู่แล้วขณะที่เขาถูกยิง แต่ก็เสริมด้วยว่า "อย่างไรก็ตาม พวกเราแน่ใจว่าเจอราด โดนาเคย์ ไม่ได้เตรียมพร้อมหรือตั้งใจขว้างระเบิดตะปูในขณะที่เขาถูกยิง และพวกเราต่างมั่นใจว่าเขาไม่ได้ถูกยิงเพราะมีระเบิดในครอบครอง เขาถูกยิงขณะที่กำลังพยายามหนีจากทหาร" ซาวิลล์สรุปว่า ผู้บัญชาการกองทัพบกในไอร์แลนด์เหนือ โรเบิร์ท ฟอร์ด อาจคอยระวังหน่วยพลร่มของกองทัพอังกฤษซึ่งมีชื่อเสียงด้านการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ แต่เขาอาจไม่ทันได้คิดถึงความเสี่ยงที่กองพลร่มจะใช้อาวุธปืนโดยไม่มีเหตุชอบธรรม ผู้บัญชาการกองพลร่มอังกฤษ เดเรก วิลฟอร์ด ฝ่าฝืนคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงโดยการนำกองทัพเข้าไปในเขตบ็อกไซด์ ด้านผู้บัญชาการระดับสูง แพททริก แมคเลลาน ไม่มีความผิดจากกรณียิงผู้ชุมนุมเนื่องจากเขาไม่ทราบว่าวิลฟอร์ดมีความต้องการใช้กำลังอาวุธดังกล่าว และหากเขาทราบก็น่าจะมีคำสั่งให้ยุติ ด้านผู้ดำเนินการชุมนุม 'กลุ่มสมาคมสิทธิพลเมืองไอรฺ์แลนด์เหนือ' (Northern Ireland Civil Rights Association) ไม่มีความผิดใด ๆ ในกรณี 'วันอาทิตย์นองเลือด' และทั้งฝ่ายรัฐบาลไอร์แลนด์เหนือและรัฐบาลอังกฤษ ต่างไม่มีใครวางแผนหรือคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดการใช้กำลังรุนแรง บีบีซี ระบุว่ารายงานฉบับนี้มอบอำนาจการตัดสินใจดำเนินคดีทหารที่อยู่ในเหตุการณ์แก่หน่วยงานดำเนินคดีของไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland's Public Prosecution Service หรือ PPS) ซึ่งทาง PPS แถลงว่าผู้อำนวยการ PPS จะพิจารณารายงานเพื่อตัดสินใจและขยายผลการสืบสวนของตำรวจ
ภาพจาก Getty Image วันที่ 15 มิ.ย. ญาติของเหยื่อจากเหตุการณ์ 'วันอาทิตย์นองเลือด' เดินขบวนจากเขตบ็อกไซด์ไปยังจัตุรัสกิลด์ฮอลล์ โดยถือรูปเหยื่อจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นไปด้วย 12 ปี กับ 5,000 หน้ารายงาน ชำระคดี 'วันอาทิตย์นองเลือด' สำนักข่าวบีบีซี ของอังกฤษ รายงานตารางการสอบสวนคดี 'วันอาทิตย์นองเลือด' ของซาวิลล์ ว่าใช้เวลานานถึง 12 ปี มีการอ้างอิงคำของพยาน 2,500 ชิ้น การอ้างอิงสอบปากคำ 922 ชิ้น มีหลักฐาน 160 ชิ้น มีเทปเสียง 121 ชิ้น และวิดิโอเทป 110 ชิ้น จำนวนคำในรายงาน 20-30 ล้านคำ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 195 ล้านปอนด์ (ราว 9,300 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นการสอบสวนที่ยาวนานและราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ สำนักข่าวของอังกฤษหลายแห่งระบุว่า นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอังกฤษ เดวิด คาเมรอน จากพรรคอนุรักษ์นิยมออกมาแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ 'วันอาทิตย์นองเลือด' (เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในสมัยของเอ็ดเวิร์ด ฮีธ นายกฯ จากพรรคอนุรักษ์นิยม) โดยบีบีซีรายงานอีกว่า นายกฯ เดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ กล่าวถึงเหตุการณ์ 'วันอาทิตย์นองเลือด' ไว้ดังนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เซอร์ เดวิด ริชาร์ด และผู้ที่ปฏิบัติงานในหน่วยกองพลร่มช่วงเกิดเหตุ 'วันอาทิตย์นองเลือด' ต่างร่วมแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ผู้สื่อข่าวของบีบีซีรายงานจาก จัตุรัสกิลล์ฮอลล์ ลอนดอนดอร์รี่ ที่มีผู้มาชุมนุมรอฟังรายงานผลการสอบสวนว่า ทุกคนไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เวลาและราคาที่ต้องจ่ายให้กับการสอบสวนของซาวิลล์นั้นจะนำมาซึ่งช่วงเวลาแห่งความปลื้มปิติ และเหล่าครอบครัวผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุ 'วันอาทิตย์นองเลือด' ก็รู้สึกว่าพวกเขาได้รับความเป็นธรรมแล้ว
ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก Bloody Sunday: 'Victims vindicated - and parachute regiment disgraced', The Independent, 15 June 2010 Will the wounds ever be healed?, The Independent, 15 June 2010 Bloody Sunday: key findings of the Saville Report, Telegraph, 16 June 2010 Bloody Sunday report published, BBC, 15 June 2010 ข้อมูลเพิ่มเติมบางส่วนจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Bloody_Sunday_(1972) สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||
ตำรวจมหาชัยจับแรงงานข้ามชาติ 135 คน Posted: 16 Jun 2010 10:27 AM PDT <!--break--> 16 มิ.ย. 53 เมื่อเวลา 05.30 น. พ.ต.อ.ประทีป ราญสระน้อย รอง ผบก.ภ.จว.สมุทรสาคร ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ชัยชาญ ปุราธนานนท์ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองสมุทรสาคร นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจออกกวาดล้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรมและความมั่นคงของชาติ ดังนั้นทาง พ.ต.ต.สมชาย ขอค้า สวป.สภ.เมืองสมุทรสาคร จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจออกตรวจสอบพื้นที่รับผิดชอบในเมืองมหาชัยเพื่อกวาดล้างแรงงานต่างด้าว โดยสามารถจับกุมได้จำนวนทั้งสิ้น 135 คน แบ่งเป็นสัญชาติพม่า 103 คน สัญชาติกัมพูชา 20 คน และสัญชาติลาว 12 คน จึงนำตัวทั้งหมดมาที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร จากนั้น จึงได้ตั้งข้อกล่าวหาในเบื้องต้นว่าเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้รับอนุญาต จากนั้นจึงนำตัวทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ด้าน พ.ต.ท.ชัยชาญ ปุราธนานนท์ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองสมุทรสาคร กล่าวว่า ขอให้ผู้ประกอบการเจ้าของโรงงานต่างๆ ช่วยตรวจสอบแรงงานต่างด้าวของตนเอง และให้พกพาบัตรอนุญาตทำงานด้วย เพื่อความสะดวกแก่การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมทั้งควรจะรับบุคคลที่ถูกกฎหมายเข้าทำงานโดยให้คำนึงถึงคนไทยก่อนเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติต่อ ที่มา: สยามรัฐ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||
ประชาธิปไตยการแก้ไขความขัดแย้ง และหลักนิติธรรม Posted: 16 Jun 2010 10:18 AM PDT “ลารี เบอร์แมน” คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย บรรยายเรื่องเกี่ยวกับแนวคิดของประชาธิปไตย การแก้ไขความขัดแย้งและหลักนิติธรรม ที่ จ. เชียงใหม่ <!--break-->
วานนี้ (16 มิ.ย.) มีการบรรยายและนำเสนอประเด็นเสวนาในหัวข้อประชาธิปไตย การแก้ไขความขัดแย้ง และหลักนิติธรรม จัดโดย สถานกงสุลใหญ่อเมริกา ประจำประเทศไทย ร่วมกับสถาบันศาสนา วัฒนธรรมและสันติภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ โดยมีวิทยากรคือ ดร.ลารี เบอร์แมน (Dr.Larry Berman) เป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเดวิส และผู้อำนวยการโครงการวอชิงตันของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเดวิส ซึ่งนำเสนอเป็นภาคภาษาอังกฤษ พร้อมผู้แปลภาคภาษาไทย โดยเนื้อหาการบรรยายเป็นเรื่องแนวคิดของประชาธิปไตย การแก้ไขความขัดแย้ง และหลักนิติธรรม โดยแนวคิดของประชาธิปไตยในฐานะกรอบความคิด โดยคนในประเทศไทยสามารถพูดคุยช่วยเหลือสำหรับการสร้างประชาสังคมบนพื้นฐานของแนวคิดของคนส่วนใหญ่ ในหลักปกป้องสิทธิคนส่วนน้อย และอนุญาตเพื่อให้เกิดสันติภาพของการเปลี่ยนผ่านในอำนาจ ที่มีอยู่ในประชาธิปไตยไทยๆ ดร.เบอร์แมน กล่าวถึงว่า ปัญหาการปรองดองของไทย กับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่าจะสร้างความสมานฉันท์และปรองดอง ต้องเกี่ยวข้องกับความประนีประนอม โดยสถานการณ์ของประเทศไทยก็คล้ายคลึงกับสหรัฐอเมริกาในกรณีสงครามกลางเมืองของฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ในยุคสมัยของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอร์น ในช่วงหลังสงครามกลางเมืองที่มีผู้เสียชีวิตไปหนึ่งแสนคน และเมื่อเกิดเหตุดังกล่าว ประธานาธิบดีลินคอร์นก็พูดไว้ว่า “เราไม่แสดงเจตนาร้ายกับผู้ใด และเราแสดงจิตเมตตาต่อทุกคน คนอเมริกาก็สามารถเยียวยาให้เกิดสันติภาพอย่างแท้จริง” ทั้งนี้ ดร.เบอร์แมน เห็นว่าผู้นำของประเทศไทยต้องมีการให้อภัยกัน และการแก้ไขความขัดแย้งโดยสมานฉันท์ ทำนองเดียวกับผู้นำของโลกอย่างมหาตมะ คานธี, มาติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ และเนลสัน แมนเดลา ซึ่งเยียวยาความขัดแย้งด้วยการให้อภัยต่อกันกับคู่ขัดแย้งทางการเมือง ดร.เบอร์แมน กล่าวต่อว่า ถ้าผู้นำไทยสามารถแสดงคำพูดแบบเดียวกับลินคอร์นได้แสดงไว้ในคราวสงครามกลางเมืองของอเมริกา ก็เป็นขั้นตอนแรก ในสถานการณ์ของการคลี่คลายปัญหาของไทย และความสัมพันธ์แบบใหม่ ก็คือระหว่างความคิดเห็นที่แตกต่างของประชาธิปไตยทางวัฒนธรรม และก้าวย่างสำคัญของประชาธิปไตยไทยๆ กับความเห็นที่แตกต่าง กับแนวทางคุ้มครองเสรีภาพของคน “ผมเคยพูดอย่างนี้หลายวันก่อนที่กรุงเทพฯ ว่าควรนำทุกฝ่ายมาเจรจาอย่างเป็นธรรม อย่างเปิดเผย และแสดงเจตจำนงอย่างที่ประธานาธิบดี ลินคอร์น ทำไว้กับสงครามกลางเมืองที่อเมริกา” ดร.เบอร์แมน ชี้ให้เห็นว่าการพูดคุย การเจรจา เป็นหนทางเดียวสำหรับการไกล่เกลี่ย และเป็นการทำให้ทุกภาคส่วนยอมรับ การพัฒนาให้เกิดตุลาการที่เป็นอิสระและจะทำให้ลดความแตกต่างลงได้ ก่อนที่ความปรองดองเกิดขึ้นตามแผนโรดแมป ก็ต้องการการปฏิรูปเศรษฐกิจให้เป็นธรรม การให้สื่อมีความเสรี มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั่นก็เป็นเรื่องของประเทศไทย ถ้านายกรัฐมนตรี ไม่แสดงเจตจำนงเป็นท่าทีอย่างที่ลินคอร์นแสดงไว้แผนปรองดองก็จะไม่สำเร็จ และสิ่งที่ต้องพัฒนาในเรื่องของการพูดคุยกับทุกฝ่าย เพื่อที่จะพัฒนาการพูดคุยกัน เพราะแผนนั้นจะสะท้อนฉันทามติในแบบนั้น แผนปรองดองจึงจะเกิดขึ้นได้ ดร.เบอร์แมน ชี้แจงเพิ่มเติมว่าในฐานะที่เป็นศาตราจารย์ทางด้านรัฐศาสตร์ สันติภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ามีฝ่ายที่กำหนดว่าสันติภาพเป็นอย่างใด และสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อผู้นำต้องเข้าหาคนทุกฝ่าย แนวทางสำหรับเป็นช่วงเวลาหาสันติภาพที่ยั่งยืน และเมื่อจะทำให้ประชาธิปไตยเกิดขึ้นได้ เพราะประชาธิปไตยไม่ได้ หมายถึงการเลือกตั้งเท่านั้น และประชาธิปไตยต้องเป็นธรรมต่อมนุษย์ เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยไม่ได้ช่วยด้านเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม มันก็ช่วยทำลายความมั่นคงของมนุษย์ เมื่อในช่วงหลังเหตุการณ์ 9/11 ในสังคมอเมริกัน ก็ได้เรียนรู้ว่าประชาธิปไตยก็มีความเสี่ยงละเมิดสิทธิของคน และประชาธิปไตย ก็มีข้อจำกัดหลายประการในสังคมอเมริกัน ซึ่งคำถามสำหรับระบอบประชาธิปไตย และจะนำไปสู่ความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งกระจายความเท่าเทียม ส่งเสริมสิทธิ และส่งเสริมให้มีเสรีภาพในการแสดงความเห็นแตกต่างกันได้ ทั้งนี้การปรองดองของไทย ต้องนำไปสู่การทำหน้าที่ประชาธิปไตย เพื่อลดความยากจนด้วย และการเลือกตั้ง ต้องเป็นช่องทางแสดงความเห็นและประโยชน์ที่ตนเห็นว่าสำคัญ รัฐบาลมีหน้าที่ส่งเสริมให้ทุกคนเข้าสู่การศึกษาอย่างเท่าเทียมและการสื่อสารอย่างเท่าเทียม โดย ดร.เบอร์แมนคิดว่า ประชาธิปไตยในปัจจุบันเป็นแค่พิธีซึ่งคนที่มีอำนาจไม่ได้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทุกภาคฝ่าย และกระบวนการสู่การเลือกตั้งไม่สามารถแสดงได้อย่างเป็นธรรม และรัฐบาลไทยก็พูดถึงผลกระทบของลัทธิก่อการร้าย โดยสถานการณ์ในบ้านเรา คล้ายๆ กับรัฐบาลอเมริกา ในช่วงเหตุการณ์ 9/11 ที่มีการออก พ.ร.บ.รักชาติ ในการควบคุมเสรีภาพต่างๆ ดร.เบอร์แมนกล่าวว่าวิกฤติสำคัญที่สุดของประชาธิปไตยไทยๆ ก็เป็นปัญหาท้าทาย ในความขัดแย้งกันเอง และรัฐบาลอ้างว่า เมื่อมีคนก่อการร้าย นี่เป็นปัญหาท้าทาย ในการที่รัฐบาลแสดงท่าทีเกินขอบเขต เป็นการทำให้รัฐบาลแยกตัวออกจากประชาชนมากขึ้น นั่นเป็นการทำให้การแก้ไขความขัดแย้งด้านต่างๆ น้อยลง ดร.เบอร์แมน กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ผมเป็นเสียงส่วนน้อยมานาน และความพยายามของผม คือ เสียงส่วนน้อยที่ใช้เหตุผลของการพูดคุย อย่างยาวนาน จนทำให้เป็นเสียงส่วนใหญ่ โดยสถานการณ์ที่อเมริกาเหมือนกับไทย จากบทเรียนของอเมริกาและแอฟริกาใต้ ทั้งบุคคลอย่างมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ของอเมริกา ก็เรียกร้องสิทธิของคนดำ โดยที่เราก็เห็นอย่างกรณีเนลสัน มันเดลา ผู้นำของแอฟริกาใต้เรียกร้องสิทธิของคน ก็เป็นเสียงส่วนน้อยมาก่อน แล้วต่อมาก็กลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ จากกระบวนการแข่งขัน และส่งเสริมเสรีภาพอยู่ในพื้นที่การเมือง แล้วโอกาสที่นำไปสู่ความคลี่คลายของปัญหาของไทย ขึ้นอยู่กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ทำแบบที่ประธานาธิบดีลินคอร์นให้เจรจา สำหรับแก้ไขความขัดแย้ง ก็เกิดจากการริเริ่มของนายกรัฐมนตรีในแบบที่บุคคลสำคัญของโลกพยายามคลี่คลายวิกฤตินั่นเอง” สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||
ประสบการณ์ "ไอร์แลนด์เหนือ" จากความขัดแย้งสู่โต๊ะเจรจา Posted: 16 Jun 2010 09:39 AM PDT <!--break--> 16 มิ.ย. 53 - มติชนออนไลน์รายงานสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้าร่วมกับศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีสาธารณะ เรื่อง "จากสงครามสู่สมานฉันท์-ลองฟังประสบการณ์จากไอร์แลนด์เหนือ" เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ณ ห้องประชุมจุมภฏ-พันธ์ทิพย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีรศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาฯ พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า นายอเล็กซ์ มาสคีย์ สมาชิกสภาไอร์แลนด์เหนือจากเขตเบลฟาสต์ใต้ พรรคซีนเฟน (Sinn Fein) นายจิมมี่ สแปรตต์ สมาชิกสภาไอร์แลนด์เหนือจากเขตเบลฟาสต์ใต้ พรรคเดโมเครติก ยูเนียนนิสต์ ปาร์ตี้ (ดียูพี) Democratic Unionist Party (DUP) นายไมเคิล คัลเบิร์ต ผู้อำนวยการ คอยสต์ (Coiste) อดีตสมาชิกกลุ่มขบวนการกองทัพกู้ชาติไอริช (ไออาร์เอ) Irish Republican Army (IRA) และนักโทษการเมือง และนายเอียน ไวท์ ผู้อำนวยการศูนเกลนครี เพื่อสันติภาพและความสมานฉันท์ ทำงานในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกฝ่ายสามารถพูดคุยกันได้ เพื่อลดความรู้สึกแตกแยกระหว่างกลุ่มบุคคลและระหว่างชุมชนต่างๆ พล.อ.เอกชัย กล่าวว่า สถาบันพระปกเกล้าคิดว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องที่ควรต้องศึกษาเพื่อให้สังคมไทยอยู่กันอย่างสันติสุข จึงได้ก่อตั้งสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาลขึ้น เพราะคนไทยขาดความรู้ในการป้องกันความขัดแย้งและขาดความรู้เรื่องการเยียวยาเพื่อให้เกิดความปรองดอง โดยใช้กรณีศึกษา อย่างเช่นไอร์แลนด์เหนือ ที่มีความคิดแตกต่างกัน แต่ยังสามารถทำงานร่วมกันได้ ซึ่งสมาชิกสภาไอร์แลนด์เหนือและอดีตสมาชิกกลุ่มขบวนการไออาร์เอ เคยเป็นคู่ขัดแย้งกันมาก่อน ทุกวันนี้ร่วมมือกันในกระบวนการสันติภาพ นำไปสู่การยุติความรุนแรงที่ยืดเยื้อได้ในที่สุด จึงได้ร่วมกับศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาฯ จัดเวทีสาธารณะนี้ขึ้น นายอเล็กซ์ มาสคีย์ กล่าวว่า จากมุมมองการเมืองที่ต่างกัน เช่น ตนกับนายจิมมี่ มีวัตถุประสงค์ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เราเจรจาและสามารถทำงานร่วมกันได้ ทำงานแบบประชาธิปไตย โดยนับถือแนวคิดทางการเมืองแม้เราจะไม่เห็นพ้องต้องกัน ตนคิดว่าการเจรจากับฝ่ายตรงข้ามเป็นการสร้างสันติ เราจำเป็นต้องยอมรับว่ามีข้อขัดแย้งเกิดขึ้น บางครั้งก็มีการใช้อาวุธ การเจรจาสำคัญที่สุดว่าเราต้องรับฟังอีกฝ่ายว่าที่มาของข้อขัดแย้งคืออะไร ปัญหาเกิดจากอะไร ขณะนี้เราวางแผนอนาคตให้กระบวนการต่างๆ นำข้อตกลงที่บรรลุไปปฏิบัติอย่างเท่าเทียม คำนึงถึงความรุนแรง ความยุติธรรม ตกลงเพื่อสร้างกลไกในการแก้ไขปัญหา นำข้อตกลงมาสร้างความไว้วางใจ การเสวนาในครั้งนี้คงไม่มีคำตอบให้กับปัญหาในเมืองไทย แต่อยากให้ทุกคนได้ประโยชน์จากประสบการณ์ของเรา ด้านนายจิมมี่ สแปรตต์ เปิดเผยว่า ตนเป็นตำรวจมา 30 ปี อยู่ในเขตที่ขัดแย้งมาโดยตลอด ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ความรุนแรงต่างๆ เริ่มลดลงแล้ว ตอนที่เป็นตำรวจก็ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมาทำงานอยู่ที่สภา เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการเมืองกับคนที่เคยขัดแย้งกันมาก่อน ผ่านช่วงเวลาอันยาวนานจนสามารถคุยกันได้ เราได้เรียนรู้จากคนที่มีความเห็นต่าง อดทนกับคนที่ปูมหลังไม่เหมือนกัน หัดฟังคนอื่นบ้าง คุณไม่มีทางจะได้รับทุกอย่าง เราต้องประนีประนอมเพื่อที่จะให้ยอมรับกันได้ทั้งสองฝ่าย พยายามเปิดรับความคิดเห็นของคนอื่น บางคนอาจคิดว่าไม่จำเป็นต้องประนีประนอมแต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างจะคลี่คลายเอง "ผมมองว่าเมืองไทยต้องใช้เวลา ไอร์แลนด์เหนือเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว เรามีทั้งการเดินขบวนเรียกร้องความเป็นธรรม สิทธิทางการเมือง ช่วงที่ผมเป็นตำรวจใหม่ๆ เขาก็เรียกร้องสิทธิพลเมือง เราต้องมองย้อนอดีตเพื่อหาแนวทางการทูต ไม่ใช่ใช้ความรุนแรง เราจะช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เพื่อช่วยให้ความขัดแย้งลดลง และพร้อมที่จะพูดคุยกับกลุ่มต่างๆ ในเมืองไทย แต่ไม่ยัดเยียดวิธีแก้ปัญหา เพราะเรื่องนี้ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป" นายจิมมี่ แนะ นายเอียน ไวท์ ระบุว่า นี่ถือเป็นครั้งสำคัญที่จะสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ของไอร์แลนด์เหนือ ทุกคนที่เข้าร่วมเวทีสาธารณะในครั้งนี้ ไม่ใช่คนที่ได้สิทธิพิเศษแต่อย่างใด แต่เรามีกระบวนการในการสร้างสันติภาพ โดยยอมรับว่าไอร์แลนด์เหนือเองก็ยังไม่ได้สร้างสันติได้ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่พวกเราช่วยกันสร้าง ซึ่งเราไม่ได้มีคำตอบให้กับประเทศไทย ทำได้แค่ให้แง่คิดมุมมอง เพราะเรามีบางมิติที่คล้ายกัน แต่บางอย่างก็มีเฉพาะในไทยเท่านั้น ช่วงเวลาที่ผ่านมา ความขัดแย้งของเรามีความรุนแรงขึ้นๆ ลงๆ ปลายปี 1960 ถือว่ารุนแรงมาก เราพยายามต่อสู้เพื่อความยุติธรรมให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง ซึ่งผู้ที่มีส่วนร่วมนั้นมีหลายฝ่ายมาก เช่น องค์กรต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล หน่วยรักษาความมั่นคงปลอดภัย ด้านรัฐบาลอังกฤษก็มีองค์กรติดอาวุธหรือทหารบ้าน เป็นทั้งชาวไอริชและชาวอังกฤษ และความขัดแย้งดังกล่าวก็ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก มี 3 หมื่นคนที่ถูกคุมขังเพราะเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยข้อตกลงหยุดยิงในช่วงแรกยังไม่ได้ผล เพราะต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้ได้ก่อน ต้องสร้างความเข้าใจให้ชาวไอริชเห็นด้วยให้ได้ จนในปัจจุบันไอร์แลนด์เหนือปกครองแบบแบ่งสรรอำนาจ "ผมว่าความขัดแย้งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เป็นการมองโลกที่ต่างกัน แม้ความเชื่อต่างๆ จะไม่เหมือนกัน อาทิ ความเชื่อทางศาสนา แต่เราจำเป็นต้องมีความขัดแย้งเพื่อถ่วงดุลกัน อย่างบนเวทีเราเองก็เป็นคนที่มีความคิดเห็นต่างกัน บทเรียนที่เราได้คือการเรียนรู้อดีตว่าสันติต้องทำอย่างเป็นกระบวนการ แม้ว่าไอร์แลนด์เหนือจะไม่เหมือนสถานการณ์ของภาคใต้ในประเทศไทย แต่การแก้ปัญหาต้องรู้ก่อนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร การสร้างสันติต้องรวมทุกฝ่าย ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งผู้นำต้องเป็นคนที่มีบทบาทอย่างมาก" ที่มา: มติชนออนไลน์ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||
องค์กรสิทธิ์หนุนนิรโทษกรรมผู้ร่วมชุมนุม นปช. Posted: 16 Jun 2010 09:18 AM PDT <!--break--> 16 มิ.ย. 53 - เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน, สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม สนุนข้อเสนอให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุม จากฐานความผิดที่เกี่ยวกับการฝ่าฝืนประกาศตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน แถลงการณ์ฉบับที่ 7 สนับสนุนข้อเสนอให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุม จากฐานความผิดที่เกี่ยวกับการฝ่าฝืนประกาศตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 1. การที่ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมกับ นปช. เป็นการชุมนุมทางการเมืองของบุคคลและประชาชนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างจากรัฐบาลที่บริหารประเทศ จนท้ายที่สุดได้เกิดเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองขึ้น ซึ่งต่อมาได้มีการจับกุม ควบคุมตัว และดำเนินคดีต่อประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมาก รวมทั้งผู้ที่มิได้เข้าร่วมชุมนุมด้วย ด้วยเหตุเพราะมีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ที่ห้ามชุมนุม ให้ออกจากพื้นที่ชุมนุม หรือห้ามออกจากเคหสถาน ซึ่งมีโทษสูงสุดถึงจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท โดยที่ประชาชนดังกล่าวมิได้มีการกระทำอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และนอกจากผู้เข้าร่วมชุมนุมแล้ว ยังพบว่าข้อมูลรายชื่อผู้ถูกจับกุมและควบคุมตัวที่มีการเปิดเผย มีทั้งเด็กและเยาวชน ทั้งหญิงและชายถูกจับกุมและควบคุมตัวเป็นจำนวนมากเนื่องจากฝ่าฝืนพระราชกำหนดเดียวกัน โดยที่บุคคลดังกล่าวอาจมิได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุมแต่อย่างใด 2. หากมีการดำเนินคดีกับประชาชนผู้ชุมนุมที่มีความเห็นต่างทางการเมืองซึ่งมิได้กระทำการอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาอื่นใด นอกจากความผิดจากการฝ่าฝืนพระราชกำหนดดังกล่าว การดำเนินคดีต่อไปย่อมเป็นการลิดรอนเสรีภาพของประชาชนจนเกินสมควร และไม่คำนึงถึงหลักการแห่งระบอบประชาธิปไตย เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม จึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาลดังต่อไปนี้ 1. ขอให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมที่ถูกควบคุมตัวจากฐานความผิดที่เกี่ยวกับการฝ่าฝืนประกาศตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ไม่ว่าจะเป็นข้อหาร่วมกันชุมนุมโดยฝ่าฝืนพระราชกำหนดฯ ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งให้ออกจากพื้นที่ชุมนุม และข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งห้ามออกจากเคหสถาน ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม หากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานยืนยันชัดแจ้งว่าบุคคลใดเป็นผู้ใช้ความรุนแรงกระทำการหรือก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของประชาชนอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ก็มีความจำเป็นต้องนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายต่อไป 2. ดำเนินการการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเพียงพอแก่ประชาชนทั้งที่เป็นผู้ร่วมชุมนุมและมิใช่ผู้ร่วมชุมนุมที่ได้รับผลกระทบและถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่จากการบังคับใช้พระราชกำหนดดังกล่าว เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐในการคุ้มครองปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน กฎหมายนิรโทษกรรม และการยุติการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ จะช่วยลดแรงกดดันทางการเมือง เพื่อให้เกิดบรรยากาศการหันหน้าเข้ามาพูดคุยหารือกัน เพื่อการปฏิรูปประเทศไทยไปสู่สังคมที่มีความเสมอภาค ความยุติธรรม ตามหลักการแห่งสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยต่อไป สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องหาที่ถูกล่ามโซ่ Posted: 16 Jun 2010 07:58 AM PDT <!--break--> ภาพที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาและถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก คงไม่ภาพใดสร้างความสะเทือนใจแก่ผู้คน ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือต่างประเทศคือ ภาพของนายณัฐพล ทองคุณอายุ 20 ปีกับนายจรัญ ลอยพูน อายุ 39 ปีผู้ต้องหาคดีละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯซึ่งถูกยิงด้วยปืนจนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจและถูกล่ามโซ่บนข้อเท้าติดไว้กับเตียงพยาบาล และยังมีญาติคนเจ็บอีก 7 คนร้องเรียนว่าโดนล่ามโซ่ในโรงพยาบาลเช่นกัน ล่าสุดฮิวแมนไรต์วอตช์ ออกมาประณามล่ามโซ่ 2 คนเจ็บ นปช.กับเตียงคนไข้ โดยระบุเป็นการละเมิดสิทธิผู้บาดเจ็บชัดเจน ขัดกับมาตรฐานสากล ควรใช้วิธีจัดห้องควบคุมพิเศษแทนการล่ามโซ่ตีตรวน และคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) ก็เห็นเหมือนกันว่าเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คำว่า “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”นั้น ตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “Human Dignity” ซึ่งเป็นศัพท์ที่นักวิชาการได้บัญญัติขึ้นในยุคที่มีการเรียกร้องสิทธิมนุษยชน(Human Rights) และได้ปรากฏสู่วงการกฎหมายไทยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และยังคงสืบเนื่องมาจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่บัญญัติรับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไว้ถึงสามมาตราคือ มาตรา 4 ของบททั่วไป มาตรา 26 และมาตรา 28 ของหมวดว่าสิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้นมีนัย 2 ประการ คือ (1) “ธรรมชาติมนุษย์” กล่าวคือ ลักษณะที่แท้จริงของมนุษย์ที่เกี่ยวกับสภาพจิตใจและความต้องการจำเป็น(Needs)ที่จูงใจให้มนุษย์ทำการใดๆ โดยทฤษฎี มนุษย์น่าจะเป็นอย่างเดียวกันไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด แต่ในทางปฏิบัติ พฤติกรรมของมนุษย์ย่อมอยู่ภายใต้อิทธิพลของสังคมและวัฒนธรรมด้วย (2) “ศีลธรรม” อันได้แก่ หลักที่ว่าด้วยความผิดชอบชั่วดีที่สังคมหนึ่งๆกำหนดให้สมาชิกปฏิบัติ โดยไม่มีศีลธรรมสากลให้ยึดถือ นอกจากอนุมานเอาจากส่วนที่กำหนดไว้เหมือนกันในความประพฤติบางเรื่อง ฉะนั้น การที่เราจะวินิจฉัยว่าพฤติกรรมใดเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในสังคมไทยหรือไม่ แล้วจึงนำไปสู่การปกป้อง “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”ตามกฎหมายเมื่อถูกละเมิด สามารถแยกพิจารณาได้สองประเด็น คือ ประเด็นแรก สิ่งนั้นๆมนุษย์ควรปฏิบัติต่อกันหรือไม่ การที่มนุษย์คนหนึ่งแม้จะถูกล่าวหาว่ากระทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯหรือความผิดอื่นใด ในเมื่อยังไม่มี คำพิพากษาติดสินว่ากระทำความผิด ตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายย่อมถือว่าเขายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ การล่ามโซ่ในลักษณะเสมือนดั่งข้าทาสในยุคดึกดำบรรพ์หรือนักโทษที่กำลังจะถูกนำตัวเข้าสู่ตะแลงแกงประหารชีวิตเช่นนี้ย่อมกระทำมิได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอยู่ในสถานพยาบาลของรัฐที่มีเจ้าหน้าที่คุ้มกันอย่างแข็งแรงเช่นโรงพยาลตำรวจแห่งนี้ ที่สำคัญการล่ามโซ่นี้ก็ไม่ต่างกับการล่ามสัตว์แต่อย่างใด ประเด็นที่สอง ความรู้สึกทางด้านจิตใจของสังคมสนับสนุนหรือโต้แย้งหรือไม่ อย่างไร เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่าเหตุการณ์การชุมนุมของ นปช.นั้นเป็นการชุมนุมทางการเมือง การชุมนุมทางการเมืองย่อมมีทั้งการสนับสนุนและการคัดค้าน การคัดค้านก็หมายถึงการที่มีความเห็นที่แตกต่าง คนที่คิดเห็นแตกต่างไม่ได้หมายความว่าเป็นคนชั่ว เป็นคนเลว การปฏิบัติต่อผู้ที่เห็นต่างทางการเมืองไม่ใช่การนำไปลงทัณฑ์ทรมานด้วยการจองจำล่ามโซ่ติดกับเตียงคนไข้เช่นนี้ หลักคิดหรือแนวปฏิบัติของนานาอารยประเทศนั้น คนที่กระทำความผิดกฎหมายอาญาต่างๆหากเกี่ยวข้องกับความคิดทางการเมืองโดยทั่วไปแล้วย่อมได้รับอภัยโทษหรือนิรโทษกรรมเสมอ ส่วนคดีที่กระทำความผิดทางอาญาที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองก็ว่ากันไปเป็นกรณีๆไป ตัวอย่าง กรณีที่ปฏิบัติต่อพรรคคอมมิวนิสต์ไทยในอดีตที่มีคำสั่งสำนักนายกฯที่ 66/23 และ66/25 ก็เคยมีมาแล้ว ในกรณีที่ผู้ต้องหาต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลนั้นย่อมแสดงว่าอาการหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวพวกเขาได้หลายวิธี เช่น การเฝ้าที่หน้าห้อง และควบคุมอย่างแน่นหนา แต่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะใส่โซ่ล่ามพวกเขา เพราะเท่ากับเป็นการไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยปกติแล้วหากผู้ต้องหาหรือนักโทษที่ป่วยและอยู่ในเรือนจำ เจ้าหน้าที่จะไม่ใส่โซ่ตรวน ส่วนกรณีขึ้นศาล ถ้าเป็นคดีหนัก ถึงขั้นประหารชีวิต จะใส่โซ่ตรวน แต่หากเป็นคดีไม่รุนแรงหรือผู้ต้องหาเป็นผู้หญิงและเยาวชน จะไม่มีการใส่โซ่ตรวน กรณีนี้ผมเห็นว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 นายที่ถูกล่ามโซ่ สามารถดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่และผู้บังคับบัญชาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ได้ เนื่องจากเข้าข่ายเจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือสามารถนำคดีเป็นฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อดำเนินคดีกับหน่วยงานที่ควบคุมตัว คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้รับผิดชอบชดใช้ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ได้เช่นกัน การปรองดองจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่เริ่มต้นจากความจริงใจและการให้อภัยซึ่งกันและกัน สิ่งไหนที่มนุษย์ไม่พึงปฏิบัติต่อกันย่อมเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ก่อนที่จะปลดโซ่ตรวนของความขัดแย้งระหว่างพี่น้องชาวไทยที่มีต่อกัน ควรที่จะเริ่มต้นด้วยการปลดโซ่ตรวนของผู้ต้องหาที่มีความคิดแตกต่างจากตนเสียก่อน แม้เพียงเรื่องโซ่ตรวนเส้นเล็กๆของบุคคลที่ถูกละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เพียงไม่กี่คนเช่นนี้รัฐยังปลดไม่ได้แล้ว ป่วยการที่จะทำเรื่องการปรองดองซึ่งเป็นการถอดโซ่ตรวนใหญ่ที่ล่ามคนไทยไว้เป็นฝักเป็นฝ่ายต่างๆที่เป็นงานใหญ่และหนักหนาสาหัสกว่านี้มากนักจะสำเร็จลงได้ *ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 15 มิ.ย.53 สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||
พลิกบอลดูโลก เปิดมุมมองทางความคิด ธุรกิจ กีฬา วัฒนธรรม Posted: 16 Jun 2010 06:53 AM PDT <!--break--> “This time for Africa” เนื้อหาตอนหนึ่งของบทเพลงในมหกรรมฟุตบอลโลกปี 2010 ที่จัดขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้ เริ่มคุ้นหูเราขึ้นเรื่อยๆ เพราะถูกนำเสนอซ้ำอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนาน และเป็นการกระตุ้นเตือนให้เราหันมาให้ความสนใจกับกีฬาชนิดนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ฟุตบอลจัดเป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่เป็นปรากฎการณ์สำคัญอย่างที่กีฬาชนิดอื่นๆ ยังไม่สามารถทะยานขึ้นมาเทียบได้ โดยมีตัวชี้วัดที่สำคัญทั้งจำนวนของผู้ชมทั่วโลก ความถี่ของการถ่ายทอดสด และการถูกพูดถึงทั้งจากสื่อและจากสังคมแวดล้อม นี่ยังไม่รวมถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งก่อนและในช่วงการแข่งขัน นั่นหมายความว่าฟุตบอลโลกไม่ได้มีมิติทางด้านกีฬาเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังมีมิติทางด้านเศรษฐกิจ มิติทางด้านวัฒนธรรม และมิติทางการเมืองว่าด้วยเรื่องต่างๆ ให้มองได้อีกมากมาย เพียงแต่มิติมุมมองอื่นๆเหล่านั้นถูกกลบทับ ละเลย และถูกทำให้ลืมเลือนด้วยการนำเสนอเพียงมุมมองของกีฬาเพียงอย่างเดียว กีฬา ซึ่งโดยตัวของมันเองถูกสร้างให้เป็นภาพเชิงบวก ด้วยคำสำคัญเรื่องของสุขภาพความแข็งแรง ความมีน้ำใจ และการสร้างความสัมพันธ์อันดีในหมู่มวลมนุษย์ ทุกเหตุผลที่ยกมากล่าวนี้ล้วนเป็นความจริง แต่ไม่ใช่กับฟุตบอลโลกซึ่งยังซ่อนความจริงอีกหลายอย่างไว้มากมาย และนี่เป็นเหตุผลที่ผมพยายามจะเสนอว่าความจริงต่างๆ ที่เรายอมรับกันอยู่นั้นเป็นความจริงที่กำลังกลบเกลื่อนความจริงอีกหลายๆชุดไว้อย่างแนบเนียน..หรือไม่ ในคอลัมน์ทัศนะวิจารณ์ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 22 มิถุนายน 2545 ระบุว่าจากข้อมูลของ The Globalist ที่สำรวจทวีปแอฟริกา(ไม่นับรวมประเทศแอฟริกาใต้)พบว่ามีประชากรทั้งสิ้น 530 ล้านคน แต่มีจำนวนโทรทัศน์เพียง 67 ล้านเครื่อง คนแอฟริกาส่วนใหญ่หากจะเชียร์ทีมตัวแทนทั้งห้าของตน ก็ต้องฟังจากวิทยุ ขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แทบทุกครัวเรือนมีโทรทัศน์เป็นของตัวเอง และ 74% ของครัวเรือนทั้งหมดมีโทรทัศน์อย่างต่ำสองเครื่อง ที่ตลกร้ายก็คือ คนอเมริกันไม่ชอบดูฟุตบอล (Soccer) กีฬาฟุตบอลเป็นกีฬาที่ดูได้ทุกเพศทุกวัย แต่เป็นที่นิยมเล่นหรือเล่นแล้วเป็นที่นิยมได้ทุกเพศทุกวัยหรือไม่ยังคงเป็นคำถาม ผู้หญิงมากมายก็นิยมเล่นฟุตบอลและมีการจัดการแข่งขันสำคัญๆหลายครั้งและมีถึงระดับโลกด้วย แต่หาได้รับความสนใจจากประชาคมโลกเทียบเท่ากับผู้ชายไม่ ฟุตบอลจึงดูเหมือนเป็นกีฬาที่สังกัดอยู่กับผู้ชายและความเป็นชายอย่างแยกไม่ออก และความเป็นชายที่สอดคล้องกับยุคสมัยนั้นต้องมีลักษณะปรากฎทางด้านร่างกายที่สมส่วน สูงสง่า อุดมไปด้วยมัดกล้ามและมีบุคลิกลักษณะที่สามารถสะกิดความรู้สึกของเพศตรงข้ามได้ ความเก่งกาจอย่างเดียวจึงไม่สามารถจะยืนยันว่าจะประสบความสำเร็จจากการเล่นฟุตบอล การมีบุคลิกลักษณะและสรีระแบบ sport man ดูเหมือนจะนำไปสู่ความสำเร็จทางด้านธุรกิจการกีฬาได้มากกว่า เพราะสามารถเป็นภาพลักษณ์ตัวแทนของสินค้านานาชนิดได้ หน้าตาและร่างกายของนักกีฬาหากมองให้ดีจะพบว่าเป็นร่างกายที่ผูกพันเชื่อมโยงกับธุรกิจชนิดต่างๆ อย่างแนบแน่น ร่างกายของพวกเขาถูกแปรสภาพให้เป็น “พื้นที่” ทางธุรกิจและสามารถจับจองได้ไม่ต่างกับพื้นที่ธรรมดาทั่วไปแถวสีลม จะมีสิ่งที่แตกต่างกันอยู่บ้างก็คือร่างกายเป็นพื้นที่ที่เคลื่อนไหวได้ และเป็นพื้นที่ที่ “พูดแทน” เจ้าของสินค้านั้นๆได้ เมื่อถึงตรงนี้เราจึงพบว่าร่างกายของพวกเขาไม่เป็นของพวกเขาอีกต่อไป ร่างกายของไทเกอร์ วูด เป็นร่างกายของไนกี้ ร่างกายของ เบ็คแฮม ไม่ใช่ของเขาหรือของคุณวิคตอเรีย ที่สามารถทำอะไรกับมันได้ตามอำเภอใจแต่ต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของร่างที่แท้จริงในนามของ sponsor ที่มีความช่ำชองในการเปลี่ยนร่างกายมนุษย์ให้กลายมาเป็น “พื้นที่ทางการค้า” ของพวกเขา และมีอำนาจเหนือร่างกายของเราอย่างไม่น่าเชื่อ แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการเลือกใส่เสื้อผ้า นักกีฬาเหล่านี้มีสิทธิเลือกเสื้อผ้ารองเท้า หรือของใช้ตามอำเภอใจได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ได้ หากมันไม่ใช่คู่แข่งของสินค้าเรา แต่ความจริงที่โหดร้ายในโลกของธุรกิจกีฬาก็คือ สินค้าทุกยี่ห้อในโลกนี้ เป็นคู่แข่งกันหมด นี่ยังไม่ต้องพูดถึงประเด็นการทำให้มนุษย์กลายเป็นสินค้าอย่างถูกต้องตามกฏหมายในตลาดซื้อขายนักเตะนะครับ อีกด้านหนึ่งของฟุตบอลโลกก็คือมันทำให้ยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอร์และตัวเลขการพนันพุ่งสูงขึ้น ซึ่งสวนทางกับความสามารถในการทำงานของบุคคลที่ลดต่ำลงเมื่อมีฤดูกาลฟุตบอลโลก มีหลายประเทศในโลกนี้ที่พยายามขอจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกเพราะมีการคาดการณ์ถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ มีการคาดการณ์ถึงจำนวนของนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาใช้จ่ายในช่วงการแข่งขัน แต่ที่สำคัญก็คือ ความพยายามในการส่งผ่านวัฒนธรรมของประเทศตนสู่สายตาชาวโลกด้วยความคาดหวังว่าวัฒนธรรมที่ตนเองมีเหล่านั้นจะผันสภาพกลายมาเป็นสินค้าได้ และหากสามารถสร้างปรากฎการณ์ทางวัฒนธรรมได้จริงแล้ว มูลค่าและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาลจะไหลบ่าสู่ประเทศเจ้าของวัฒนธรรมนั้น (เหมือนอังกฤษที่สามารถสร้างและส่งออกกีฬาฟุตบอลจนนิยมไปทั่วโลก และกีฬาชนิดนี้ก็ทำเงินให้กับระบบเศรษฐกิจของอังกฤษปีละมหาศาล) ตัวอย่างที่น่าศึกษาจากความสำเร็จด้านการส่งออกวัฒนธรรมอีกประเทศหนึ่งก็คือเกาหลี เกาหลีส่งออกวัฒนธรรมตนผ่านละครโทรทัศน์ที่สามารถเจาะผู้คนได้ทุกเพศทุกวัย ส่งผ่านวัฒนธรรมผ่านดนตรีและนักร้องชายหญิง เกาหลีไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เม็ดเงินจากการขายละครหรือเพลง เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถหาดาวน์โหลดได้ง่ายในโลกไซเบอร์ แล้วเกาหลีหวังอะไร..รัฐบาลเกาหลีหวังว่าผลตอบแทนที่กลับมาคือนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวชมตามสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หรือละครต่างๆเกาหลีหวังว่าจะดึงดูดผู้คนในประเทศแถบเอเซียให้เข้าไปทำศัลยกรรมความงามเพื่อที่จะงามแบบดาราหรือนักร้องเกาหลี และเขาก็ประสบความสำเร็จจนกระทั่งสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดด้านศัลยกรรมจากประเทศไทยไปได้อย่างน่าตกใจ พร้อมกันนี้อุตสาหกรรมความงามที่มีมูลค่ามหาศาล เช่น เครื่องสำอางต่างๆของเกาหลีก็กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและทะลุทะลวงไปทำตลาดในประเทศที่เสพวัฒนธรรมเกาหลีเช่นกัน นั่นแหละสิ่งที่เกาหลีต้องการจากการส่งออกวัฒนธรรม และหากแอฟริกาใต้สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้นนี้ ความสำเร็จที่รอคอยก็ “อาจ” เป็นไปได้ วัฒนธรรมเป็นต้นทุนที่มีอยู่แล้วในสังคมไม่ต้องผลิตใหม่ เพียงแค่ผลิตซ้ำก็ฉวยใช้ได้ตลอดเวลาสินค้าทางวัฒนธรรมจึงมีต้นทุนต่ำกว่าสินค้าทางอุตสาหกรรม เมื่อต้นทุนต่ำกว่ากำไรก็ต้องมากกว่า การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกของแอฟริกาใต้มีการคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศประมาณ 450,000 คน แต่เมื่อการแข่งขันผ่านไปได้เพียง 3 วัน รัฐบาลก็ปรับตัวเลขประมาณการลงเหลือเพียง 350,000 คน อันเนื่องมาจากค่าใช้จ่ายในการชมฟุตบอลสูงมากเกินไปแต่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมีต่ำเกินไป ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวไม่เป็นไปตามคาด เพราะพวกเขาเกิดความลังเลที่จะเดินทางไปแอฟริกาใต้ อีกด้านหนึ่ง การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ยังมีผลโดยตรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศแอฟริกาใต้ เพราะการลงทุนก่อสร้างสาธารณูปโภคและสนามกีฬา จำเป็นต้องใช้เงินมหาศาล (แอฟริกาใต้ใช้งบไปประมาณ 4,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนเยอรมนีใช้ไป 7,700 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2006) การทุ่มเม็ดเงินลงไปในระบบก่อให้เกิดการลงทุนก่อสร้างและการจ้างงานภายในประเทศ แต่สิ่งเหล่านี้จะยั่งยืนได้หรือ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลง นักท่องเที่ยวหายกลับไป สิ่งปลูกสร้างเช่นสนามกีฬาจะทำอย่างไรต่อไป อาชญากรรมและโจรกรรมที่มีอยู่จะหายไปพร้อมฟุตบอลโลกได้หรือไม่ 4,300 ล้านเหรียญหากนำไปใช้แก้ปัญหาความยากจนหรือนำไปใช้เพิ่มศักยภาพให้กับระบบการศึกษาของประเทศจะดีกว่าหรือไม่ ทุกอย่างล้วนมีแต่คำถาม แต่คำตอบจะเป็นอย่างไรนั้นคงต้องรอให้แอฟริกาใต้ตอบคำถามนี้กับเรา เพราะ “This time for Africa” สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||
ภาคประชาชนเตรียมฟ้อง 'ทางหลวง-คมนาคม' กรณีเขาใหญ่ Posted: 16 Jun 2010 06:25 AM PDT <!--break--> 16 มิ.ย. 53 - สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ร่วมกับ เครือข่ายประชาชนอนุรักษ์มรดกโลกเขาใหญ่ และประชาชนที่รักและหวงแหนในทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม กว่า 100 คน ได้มอบอำนาจให้สมาคมฯดำเนินการฟ้องร้องกรมทางหลวง และกระทรวงคมนาคม ต่อศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ ในวันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 53 เวลา 10.00 น. เพื่อขออำนาจศาลสั่งไม่ให้มีการปรับปรุงหรือขยายถนนธนะรัชต์ได้อีกต่อไป รวมทั้งต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อนในการปรับปรุงฟื้นฟูถนนให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมหรือใกล้เคียงมากที่สุด ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรคสอง สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||
ล้อมวงเข้ามา : คุยกับ ‘นิธิ เอียวศรีวงศ์’ ในวัน ‘เสื้อแดง’ พ่าย Posted: 16 Jun 2010 06:22 AM PDT <!--break--> หลังเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม 2553 คนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ได้ขอให้อาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์ มาวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์การเมืองไทยให้ฟัง (3 มิถุนายน 2553) ซึ่งบรรยากาศดำเนินไปอย่างสบายๆ เป็นกันเอง และนี่คือถ้อยคำสนทนาในวันนั้น...โปรดล้อมวงกันเข้ามา 0 0 0
เป็นไปได้ไหมว่าจะมีการเลือกตั้งแบบเดิม แบบรัฐธรรมนูญปี 40 (คำถามนี้เริ่มขึ้นเนื่องจากรัฐบาลเพิ่งผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจมาหมาดๆ) แล้วการยึดอำนาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นไหม พวกเขาทิ้งไพ่ใบนี้ลงมาเพื่อจะรักษาทุกอย่างเอาไว้ ทีนี้เมื่อมีการชุมนุม มีการฆ่ากันตายแล้วนี่ ถามว่าถ้าไพ่ใบนี้ใช้ไม่ได้ ถูกกิน หรืออะไรก็แล้วแต่ ยังมีไพ่อื่นๆ อะไรอีก ผมว่าไม่มีอีกแล้วนะ เมื่อไม่มีแล้ว ดังนั้น มันก็จะเหลืออีกแค่วิธีเดียว คือการล้มกระดานนี้ ยึดอำนาจ ตอนนี้มีโอกาสไหม สมมติให้เราลืมไปก่อน ถ้าคุณอานันท์ขึ้นมาเป็นเพื่อทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย เป็นปกติ ถามว่า 6 เดือนมันจะพอไหมที่จะทำให้ประชาชนซึ่งไม่พอใจระบบทั้งระบบ ไม่ใช่ไม่พอใจแค่พรรคการเมือง เปลี่ยนใจ ผมว่าไม่พอ เมื่อไม่พอ เอ้า ปีหนึ่งพอไหม ปีหนึ่งก็ไม่พออีก สองปีล่ะพอไหม สองปีอาจจะพอ แต่ถ้าคุณอานันท์ประกาศสองปีปั๊บ จะมีคนออกมาต่อต้านคุณอานันท์มากมายไปหมด ดังนั้น ผมดูแล้ว มันไม่เหลือไพ่อะไรอีกสักเท่าไหร่แล้วในเวลานี้ เพราะการที่คุณเลือกวิธีฆ่าคน มันเป็นไพ่ใบหนึ่งที่คุณไม่ควรทิ้ง แต่คุณก็ทิ้งไปแล้ว มันไม่มีการรับผิดชอบทางการเมืองเลยหรือ คุณชวนก็ยังเป็นประชาธิปัตย์อยู่ดี คือการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงครั้งนี้ต่อให้มันจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนยังไงก็แล้วแต่ แต่มันไม่เคยมีในเมืองไทยเลยที่คนซึ่งเคยถูกกีดกันออกไปจากวงการเมืองตลอดมา บัดนี้กลับเข้ามา อาจจะเข้ามาเพราะทักษิณ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าคนเหล่านี้กลับมานี่ เขาจะเรียกร้องสิ่งที่ (หยุดนิดหนึ่ง) มันไม่ใช่แค่ทักษิณหรอก แต่เขาจะเรียกร้องในสิ่งที่ผมคิดว่า มันจะมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของกลุ่มคนชนชั้นนำเยอะแยะไปหมดเลย เช่น เรียกร้องในการปฏิรูปที่ดิน ยุ่งล่ะสิทีนี้ เรื่องนี้คุณกรณ์ก็เคยเสนอ ตอนนี้แกนนำเสื้อแดงโดนไล่ล่า
การปราบที่ผ่านมาจะนำไปสู่การสะสมอาวุธมากขึ้นไหม เสื้อแดงจะเปลี่ยนยุทธวิธีการต่อสู้ด้วยความรุนแรงไหม อันที่สองก็คือ มันต้องการความรู้ ความรู้ที่สังคมไทยมีอยู่คือการต่อสู้ในป่า สงครามกองโจรแบบที่คุณต้องมีเขตปลดปล่อยเพื่อจะตั้งฐานทัพได้ เมื่อคุณต่อสู้แล้วคุณก็กลับไปที่ตั้งฐานทัพ แต่การทำสงครามกองโจรในเมืองมันแตกต่าง เพราะคุณไม่ต้องมีเขตปลดปล่อย คุณไม่ต้องมีอะไรทั้งสิ้น เหมือนการทำสงครามกองโจรแบบพวกปาเลสไตน์ทำกับอิสราเอล หรือพวกไอริชเคยทำกับพวกอังกฤษ ซึ่งผมว่าประสบการณ์แบบนี้ของสังคมไทยเรายังมีไม่พอ ถึงมีจะมีคนคิดจัดตั้ง การจัดตั้งก็ยังมีไม่พอที่จะทำงานแล้วได้ผลจริงๆ ไอ้ที่ทำอยู่ในเวลานี้มันสะเปะสะปะ เช่น เผาโรงเรียนในเวลานี้ ผมคิดว่าเผาทำห่าอะไรวะ (ฮาครืน) เสียศักดิ์ศรีเปล่าๆ มีเผาตลาดวโรรสด้วย คิดไหมว่ามันจะเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อให้ภาพของคนเสื้อแดงที่แม้จะกลับบ้านไปแล้ว ยังเลวร้ายอยู่ แนวทางของรัฐบาลต่อจากนี้ไป เขาจะทำอย่างไร
พลังของชนชั้นกลางจะยังชนะไหมในอนาคต ถ้าอย่างนั้น เดิมที่ประกาศมาว่า จะเลือกตั้งวันที่ 14 พฤศจิกายน แปลว่า เขาไม่ได้คิดจะเลือกตั้งจริงๆ แต่ในแง่สื่อทั่วไปจะมองว่า นปช. ทำไมไม่ยอมรับ ในเมื่อเขาประกาศแล้วจะให้เลือกตั้ง เลยกลายเป็นว่า นปช. ได้คืบจะเอาศอก ไม่ยอมปรองดอง คุณจำลอง ศรีเมือง นี่ในสมัยพฤษภาทมิฬ (2535) หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เรียกคุณจำลองและคุณสุจินดา คราประยูร เข้าเฝ้า และคุณสุจินดาออกไป ทุกอย่างก็จบ ถามว่าคนที่ตายล่ะ ได้อะไรบ้าง ไม่ได้เลย ได้การเลือกตั้งครั้งใหม่ คุณจำลองก็ลงเลือกตั้ง แล้วไอ้คนที่ตายไป 30 กว่าศพบนถนนราชดำเนินวันนั้น ถามว่าคุณค่าชีวิตเขาอยู่ที่ไหน เขาคือเหยื่อที่ให้คุณไปเลือกตั้งเท่านั้นหรือ ไม่มีใครทวงชีวิตเขา ไม่มีใครทวงการกระทำนั้นกลับคืนมา ทุกครั้งมันจะเป็นอย่างนี้ทุกที แต่ครั้งนี้ ผมว่ามันเป็นครั้งแรกนะที่ผู้นำบอกว่าไม่ได้ คุณต้องรับผิดชอบกับ 20 ชีวิตนั้นก่อน วันที่อภิปรายไม่ไว้วางใจ คุณจตุพร (จตุพร พรหมพันธุ์) พูดในสภานั้นมีประเด็นนะ เขาบอกว่า เขาเป็นผู้แทน เมื่อมีการเลือกตั้งอย่างไรก็เป็นประโยชน์กับเขา รู้ว่าถ้าเลือกตั้งยังไงเขาก็ได้แน่ๆ จริงๆ จะหยุดตั้งแต่วันนั้นก็ได้ แต่ทีนี้ไอ้คนที่ตายไปล่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่การเคลื่อนไหวทางการเมืองคำนึงถึงคุณค่าชีวิตของคนมาร่วมชุมนุมแล้วก็ตายไป เป็นการชุมนุมที่คิดถึงชีวิตคนที่ตายไป ไม่ใช่ให้เขาตายกลายเป็นเหยื่อแล้วคุณได้ผลดีในการเลือกตั้งก็แล้วกันไป ดังนั้น ผมไม่แน่ใจนะว่า การที่เขาไม่ยอมหยุด มันผิดแน่เหรอ
กรณีวันที่ 10 เมษายน มีกองกำลังที่เราไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายไหน อยู่ในสถานการณ์นั้นด้วย คำถามคือ มันมีกองกำลังจริงไหม สมมติว่าจริงก็ได้ ซึ่งผมไม่เชื่อเลยนะ (หัวเราะ) แต่ เอ้า สมมติว่าจริง ถามว่าคุณเป็นรัฐบาลนี่ คุณคาดสิ่งเหล่านี้ได้ก่อนไหม ผมว่าน่าจะคาดได้ เพราะก่อนหน้าที่จะมีการชุมนุม มันมีการระเบิด ยิงตามโน่นนี่ตลอดเวลา คุณก็น่าจะรู้ว่า มันมีใครสักคนที่ใช้ยุทธวิธีรุนแรงแบบนี้ แล้วคุณยังใช้วิธีการรุนแรงแบบนี้ทำไม ทำไมอาจารย์ไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องของกองกำลัง (แสดงความเห็น):คลิปวิดีโอหรือภาพถ่ายก็มีแบบเดิมๆ ตั้งแต่สมัยวันที่ 10 เมษา คลิปเหล่านี้เอามาออกทีวี ออกแล้วออกอีกว่า มีชายชุดดำหน้าเดิมๆ เห็นเป็นสิบรอบแล้ว ยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมไม่ไปจับเล่า (แสดงความเห็น) : มีผู้สื่อข่าวญี่ปุ่นถามอภิสิทธิ์ว่า ผู้ก่อการร้ายห้าร้อยคนอยู่ไหน (แสดงความเห็น) : แสดงว่าการข่าวของรัฐล้มเหลวเลยนะนี่ นิธิ : แล้วมันมีกรณีอย่างนี้ด้วยนะ คุณสุเทพบอกว่า ไอ้พวกเสื้อแดงนี่มันจับไว้เอง แล้วก็จับส่งให้ตำรวจ แล้วคนคนนั้น นายสุเทพบอกว่ามีภาพใบหน้าชัดเจน แต่ตำรวจปล่อยไปแล้ว แต่เชื่อว่า จะตามหาเขาได้ (ในวงคุยหัวเราะ ฮากันตรึม) อะไรนี่! อะไร แต่เชื่อว่าจะตามหาเขาได้ อะไรนี่ (ฮา) งง แล้วถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงนะ ไอ้คนที่จับได้ก็ไม่ใช่ตำรวจหรือทหารจับด้วยนะ แต่ไอ้พวกเสื้อแดงเป็นคนจับเอง เออ แล้วก็ส่งให้ตำรวจ (หัวเราะ ขำกันใหญ่) แต่มันกลับกลายเป็นว่า เอากองกำลังมาอ้าง เพื่อที่รัฐบาลจะได้ปราบโดยไม่ผิด มันน่าสงสัยเหมือนกันนะว่า การที่มีคนติดอาวุธปนอยู่นั้น มันเป็นยุทธวิธีของรัฐเพื่อจะให้มีความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงกับผุ้ชุมนุม
การต่อสู้ที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธก็ยังโดนฆ่า ทีนี้เป็นไปได้ไหมว่า ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามันกลายเป็นบทเรียนให้พวกเขารู้จักป้องกันตัวด้วยการใช้อาวุธ แต่ชาวบ้านบางคนบอกว่า เขาจะต่อสู้แบบชาวบ้าน แรงมาแรงไป ตาต่อตาฟันต่อฟัน มีบางคนบอกว่า การที่รัฐเปิดเจรจาสองครั้งที่ผ่านมานั้น มันแค่ต้องการลดแรงเสียดทานกระแสสังคมเท่านั้น รัฐไม่มีทางอยากปรองดองหรืออยากเปิดเจรจาจริงๆ เขาจึงเชื่อว่า การเจรจาต่อรองจะเกิดขึ้นได้ คือ ต้องต่อสู้จนทำให้ทหารหรือรัฐเกิดความสูญเสียถึงจะเจรจาได้ คือมีอำนาจต่อรอง สันติวิธีเป็นสากลมากกว่า เช่น คุณนั่งลงเลย นั่งอยู่เฉยๆ ไม่กระดุกกระดิก เหมือนอย่างตอนที่ผู้นำเสื้อแดงประกาศมอบตัว เสื้อแดงมันแตกกันหมด แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 50 นั่งถือธงอยู่ (ผุสดี งามขำ) เธอบอกจะอยู่เป็นคนสุดท้าย เธอบอกจะรอให้เขามายิง คือถ้าคุณเชื่อในสันติวิธีจริงๆ หรือเชื่อว่ามันคือยุทธวิธีจริงๆ คุณต้องฝึก ฝึกหนักยิ่งกว่าการรบด้วยซ้ำ แล้วมันมีเทคนิคต่างๆ ร้อยแปด เช่น เมื่อมีทหารหรือตำรวจเข้ามาประชิดตัวคุณปั๊บ คุณอย่าหลบตา ให้จ้องตาเขา เพราะเมื่อไหร่ที่คุณหลบตา คนที่เผชิญหน้ากับคุณ เขาจะรู้สึกว่าคุณน่ากลัวขึ้นมาทันที แต่ถ้าคุณจ้องตา คนที่เขาจะเข้ามาตีคุณ เขาจะมองเห็นว่า คุณไม่มีอาวุธ คุณพร้อมจะเผชิญหน้าเขา เขาจะเห็นคุณเป็นศัตรูน้อยลง ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่มีการเจ็บนะ แต่จะเจ็บน้อยกว่านี้ ซึ่งทั้งหมดนี้คุณต้องฝึกฝน ในการต่อสู้ทางสันติวิธี คุณต้องปลดความกลัวของอีกฝ่าย ไม่ใช่การปลดอาวุธเขานะ แต่ปลดความกลัวของเขาให้ได้ ไอ้ทหารที่มันจะเข้ามาหาเรานี่ มันไม่ใช่ไม่กลัวเรานะ เขาก็กลัวเรา แต่ถ้าคุณไม่กลัว และปลดความกลัวของเขาซะ เขาจะไม่ทำร้ายคุณ หรือทำร้ายคุณน้อยลง หลักการของสันติวิธีเป็นอย่างนี้ ซึ่งคุณจะต้องฝึกฝน อย่าง... คานธีเคยบอกกับเนรูห์ (ผู้นำอินเดีย) ว่า ถ้าตำรวจเอากระบองตี ห้ามยกมือขึ้นรับนะ เพราะถ้าคุณกระดุกกระดิกปั๊บ คุณน่ากลัวละ เขาจะคิดว่าคุณจะทำร้ายอะไรเขาก็ได้ ดังนั้น คุณต้องยืนเฉยๆ ปล่อยให้เขาตี เนรูห์บอก ‘กูรับแทบไม่ไหวเลยแบบนี้’ (หัวเราะ) สันติวิธีจริงๆ มันต้องฝึกมาก (เน้นเสียง) อย่างการต่อสู้ของเสื้อแดง ถ้าคุณนั่งเฉยๆ แล้วเขาจะเอาคุณเข้าคุก คุณก็ปล่อยเขามาลากตัวเอาไปเลย แต่ไม่ต้องไปเดินกับเขา นั่งเฉยๆ นี่แหละ ปล่อยเขาฉุดกระชากลากถูไปเพื่อเอาไปใส่ล็อบที่ตำรวจเอามาเนี่ย ลากเอาไปเลย จะร้องวี้ดว้ายก็ได้ ร้องไปเลย คุณคิดดู เมื่อภาพอันนี้ลงหนังสือพิมพ์ทั้งโลก แล้วใครจะชนะ แต่ดูแนวทางตอนนี้ เสื้อแดงจะไม่เอาสันติวิธีแล้ว
โดยภาพรวมแล้ว ตอนนี้เขาเหนียวแน่นหรือว่ากระจัดกระจาย ถ้ามองอนาคตไทยในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยเราก็คงต้องผ่านช่วงเวลาหนึ่งซึ่งจะมีนักการเมืองเลวๆ เหล่านี้อยู่
แล้วการปฏิเสธระดับพื้นที่จะเป็นไปได้ไหม อย่างบางคนบอกว่า จะแยกประเทศ (แสดงความเห็น) : ส่งไปทางแม่น้ำโขง (หัวเราะ) (แสดงความเห็น) : แต่หลังวันที่ 19 พฤษภาคม มานี่ มันทำให้คิดอย่างนี้จริงๆ นะ เพราะเปิดทีวีมา รู้สึกเลยว่าประเทศไทย คือ ประเทศกรุงเทพฯ อยากจะคืนบัตรประชาชนคนไทยไปเลย (แสดงความเห็น) : เห็นแต่ข่าวไฟไหม้ เยียวยาผู้ประกอบการ แต่คนตาย คนกลับบ้านนอก มองไม่เห็นเลยว่าพวกเขาอยู่ตรงไหนของประเทศไทย นิธิ : ก็ใช่ ผมเห็นด้วยหมด แต่การแยกประเทศมันเป็นไปไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจการเมืองเราไปไกลแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า เขาว้าวุ่น เขาก็เลย... เอ้า อะไรก็ได้ แยกประเทศ เท่าที่จะคิดได้ เหตุการณ์นี้ทำให้คนสำนึกในความเป็นชาติมากขึ้นไหม การชุมนุมของคนเสื้อแดงทำให้คนกรุงเทพฯ อาจจะโกรธแค้น เพราะทำให้ลำบากลำบน แล้วทำไมเขาปราบ ชนชั้นนำของอาจารย์หมายถึงอะไร
อาจารย์คิดยังไงกับการที่สื่อเลือกข้าง ซึ่งครั้งนี้ชัดเจนมาก อย่างสื่อในเมืองไทย คุณสุทธิชัย หยุ่น อ้างว่ามันต้องเลือกข้างกันแล้ว ฝรั่งมันก็เลือกข้าง ต่างๆ นานา ประหนึ่งว่า แม่ง ฝรั่งมันทำเลวร้ายอะไร มันต้องกลายเป็นมาตรฐานไปเลย การเลือกข้างของสื่อมันเกิดขึ้นจริง มันเป็นปัญหาที่เราต้องเผชิญ ซึ่งมันก็เกิดทางเลือกใหม่อย่างสื่อทางเลือก แต่มันไม่มีสมรรถภาพพอ คุณจะให้ ‘ประชาไท’ เสนอข่าวได้รอบด้านเท่าไทยรัฐ มันเป็นไปไม่ได้หรอก (เสียงพูดแทรกกันระงม - ตอนนี้แค่จะเปิดประชาไทยังเปิดไม่ได้เลย) เออ อย่าง ‘ประชาไท’ เขาทำงานกันสองคนหรือสามคนก็ไม่รู้ คุณจะให้มันไปเท่าไทยรัฐได้ยังไง (หัวเราะกันครืน) (แสดงความเห็น) : สื่อทางเลือกอยากเสนอปัญหาของคนชั้นล่างก็จริง แต่เขาก็ไม่สามารถจะเจาะเข้าไปหาคนชั้นล่างได้ (แสดงความเห็น) : มันไม่มีเงินจะไปตามดูว่า ชาวบ้านเขากลับบ้านแล้วเป็นยังไง นิธิ : ใช่ไง ก็นี่ไงมันไร้สมรรถภาพไง (แสดงความเห็น) : เห็นบางคนบอกว่า นักข่าวบางคนก็ดี เขาก็รายงานตามความเป็นจริง แต่ว่า บ.ก. ไม่ให้ออก อันนี้มันก็มีอยู่จริง มันมีชนชั้นอยู่ในวิชาชีพสื่อ ตอนนี้สื่อไม่ใช่สถาบันอีกต่อไปแล้ว แต่สื่อคือธุรกิจประกอบการ นักข่าวหลายๆ คนบอกว่า จะให้เขาทำอย่างไร ลูกเขาต้องเรียนหนังสือ บ้านต้องเช่า ข้าวต้องกิน ถ้าเขาไม่ให้นักข่าวไปต่างจังหวัด ไม่ยอมไฟเขียว จะทำอย่างไรได้ อย่างเก่งก็มานั่งนินทากันเอง ที่อาจารย์เคยเขียนว่าชนชั้นนำไม่ปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมคืออะไร สรุปว่า ชนชั้นนำอังกฤษเนี่ย มันปรับตัวของมันเอง ไม่ว่าจะด้วยความโลภหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่มันปรับตัว แต่ของเรานี่ ชนชั้นนำไทยไม่รู้จักปรับตัวเอง ขณะที่สังคมไทยเราเปลี่ยนไปแล้ว แทนที่จะปรับแล้วไม่ปรับ แต่กลับไปใช้อำนาจเพื่อจะหยุดสังคมไทยให้มันอยู่อย่างเก่าอยู่ตลอดเวลา มันคือตัวปัญหาที่สุดของไทยเรา
สังเกตดูว่า คนตายเยอะขนาดนี้ ถ้าเป็นทุกครั้งจะมีคนชนชั้นกลางออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ แต่ครั้งนี้ไม่มี คือแต่ก่อนคุณไม่เคยคิดจะด่าคนในสังคม คุณด่าสุจินดา คุณด่าถนอม กิตติขจร ประภาส จารุเสถียร แต่คุณไม่ได้ด่าสังคมเราเอง มันเป็นแบบนี้ แต่บัดนี้คนในสังคมเราเห็นแล้วว่า มันไม่ใช่แค่อภิสิทธิ์ อภิสิทธิ์น่ะใช่แน่ แต่ไม่ใช่แค่อภิสิทธิ์ ในขณะที่คนชั้นกลางไปรบกับถนอม ประภาส ที่เรียกกันว่า สามทรราชย์ ด่าชนชั้นกลางเพราะเห็นว่าชนชั้นกลางนี่แหละ ที่ทำให้คนอย่างอภิสิทธิ์อยู่ได้
หากจะบอกว่าเสื้อแดงคือชนชั้นล่าง แต่ชนชั้นล่างที่เป็นเหลืองก็มี? สอง - กว่าครึ่งของคนไทยในเวลานี้มีชีวิตอยู่ในเขตที่เราเรียกว่าเขตเมือง ไม่ว่าคุณจะนิยามเมืองว่าอะไรก็แล้วแต่ จะเรียกเทศบาลก็แล้วแต่ กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของคนไทยอยู่ในเขตเมือง ซึ่งแปลว่า เขาได้รับข่าวสารข้อมูล หรืออะไรต่อมิอะไรแทบไม่ต่างกันแล้ว และสาม - กลับไปดูในภาคเกษตรกรรมว่า มันมีใครเหลืออยู่บ้างในภาคเกษตรกรรม ซึ่งก็จะเหลือคนอยู่สองประเภทด้วยกัน นั่นคือ ประเภทที่หนึ่ง เนื่องจากการเกษตรกรรมในเวลานี้มันต้องผลิตในเชิงพาณิชย์เข้มข้นมากขึ้นทุกวัน ไม่มีใครปลูกข้าวกินเองนอกจากพ่อหลวงจอนิ (ฮาครืน) ทุกคนต้องปลูกข้าวเพื่อจะขายคนอื่นทั้งนั้น ฉะนั้น คนที่เหลือในภาคเกษตรกรรมคือคนที่- (หยุดคิดนิดหนึ่ง) จะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ แต่มีทุนพอจะสะสมที่ดินและลงทุนในระดับที่มันคุ้มทุนในเชิงพาณิชย์ ส่วนคนที่ไม่สามารถจะทำอย่างนั้นได้ จะหลุดออกจากภาคเกษตรกรรม หลุดไปไหน หลุดไปทำผมในหมู่บ้าน หลุดไปเป็นหมอนวด ร้อยแปดพันเก้าอย่าง ไปขายก๋วยเตี๋ยว นั่นคือส่วนนี้ โดยสรุปก็คือว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ คนไทยได้เปลี่ยนตัวเองไปเป็นชนชั้นกลางไปแล้ว แต่เป็นชนชั้นกลางระดับล่าง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นแม่ค้าขายผักอยู่ในตลาด เป็นอะไรร้อยแปด แล้วคนกลุ่มนี้ประสบปัญหาในชีวิตแยะมากๆ เพราะครั้งหนึ่งตนเคยมาจากภาคเกษตรกรรมเลี้ยงตัวเองที่มันไม่สนใจรัฐ รัฐไม่ต้องมาเกี่ยว แต่บัดนี้ รัฐเกี่ยวกับตัวเองทุกอย่าง แม้แต่ขายก๋วยเตี๋ยว ไอ้กระดูกหมูที่เอามาต้มเป็นน้ำซุป มันก็ขึ้นอยู่กับนโยบายหมู ถูกไหมครับ สมัยก่อน เขาจะทำอะไรก็ทำของเขาเอง รัฐไม่เกี่ยว แต่ตอนนี้ไม่ว่ารัฐบาลจะทำอะไรกระทบเขาอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น คนที่ว้าวุ่นที่สุดก็คือ ชนชั้นกลางระดับล่าง อีกกลุ่มหนึ่ง คือคนที่เรียกว่า จนดักดาน ซึ่งเหลืออยู่ประมาณ 6-10 ล้านคน ซึ่งตัวเลขจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจเราว่าจะขึ้นหรือลง คนกลุ่มนี้ก็ยกตัวอย่าง คนเลี้ยงวัว เคยเลี้ยงวัวยังไงก็เลี้ยงมันยังงั้น ยังเป็นคนเลี้ยงวัวคนเดิม เดินไปเดินมา ไอ้นี่ไม่เหลืองไม่แดง ไม่ห่าอะไรทั้งนั้น กูจะเลี้ยงวัวของกูท่าเดียว พวกจนดักดานนี่ไม่เกี่ยวกับการเมืองในเวลานี้ แต่คนที่เกี่ยวคือชนชั้นกลางระดับล่าง ซึ่งผมคิดว่า ในความว้าวุ่นของเขานี่จะนำเขาไปสู่แดงก็ได้ นำเขาไปสู่เหลืองก็ได้ เป็นต้นว่า คนชนชั้นกลางระดับล่างเหล่านี้รู้สึกว่า ทำไมกูไม่รวยขึ้น อย่าลืมว่า คนชั้นกลางในหมู่คนทั้งหลายนี่ ถ้าเราจะพูดคำว่า “ชนชั้น” นี่ ชนชั้นกลางคือคนที่ไม่มีชนชั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพูดว่า อะไรคือชนชั้น มันแปลว่า มันต้องสืบทอดสถานะของมันให้แก่ลูกหลานได้ เช่น คนเลี้ยงวัวเนี่ย ถ้าเราถามว่า ลูกเขาต่อไปเป็นอะไร เขาบอก เลี้ยงวัว เหมือนเก่าเป๊ะเลย คือไม่ก้าวไปไหนเลย อย่างนี้คือชนชั้น จนสุด นี่คือชนชั้น หรือสูงสุดนี่ก็ชนชั้น อย่างลูกคุณอะไร โสภณพานิช ถามว่า ต่อไปลูกคุณจะมาเก็บขยะไหม ไม่มีทางหรอก คุณก็ต้องอยากให้ลูกทำอะไรสักอย่างรวยๆ อย่างคุณน่ะแหละ นั่นแหละ คุณคือชนชั้น แต่ชนชั้นกลางคือคนที่ใฝ่ฝันว่า ลูกกูจะดีกว่ากูตลอดเวลา และด้วยเหตุดังนั้น คนชั้นกลางระดับล่าง หรือชนชั้นกลางระดับกลาง จึงมีเหตุผลหลายอย่างที่ผมจะยังไม่เข้าสู่รายละเอียดตอนนี้ว่า คนเหล่านี้ว้าวุ่นเพราะว่า เขาไม่สามารถไต่ระดับได้เลย ตรงนี้แหละที่จะผลักเขาเข้าไปสู่การเมือง จะเข้าไปสู่เหลืองก็ได้ เพราะว่าตัวเองตายนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้ขยับขึ้นไปเลย คุณจะพูดว่า เป็นเพราะนักการเมืองมันโกงกินกันก็ได้ ก็คือเข้าไปอยู่ในขบวนการของเสื้อเหลือง ถูกไหม หรือคุณจะบอกว่ามันสองมาตรฐานนี่หว่า มันไม่ให้ความเป็นธรรมกับเรา ทักษิณเคยช่วยเรา อะไรต่างๆ นานา อย่างนี้ก็ได้ คุณก็เข้าสู่กระบวนการเสื้อแดง ถามว่าใครเคลื่อนไหวทางการเมืองขณะนี้ ผมว่า คือชนชั้นกลาง แต่เป็นชนชั้นกลางระดับล่างและกลางระดับกลาง แต่กลางระดับบนไม่มี แน่นอน คนชั้นสูงเข้ามามีส่วนเล่นเกมนี้ด้วย และเป็นคนเดินหมากด้วย แต่ตัวที่ออกหน้าที่สุดคือ คนพวกนี้
การที่อาจารย์พูดถึงชนชั้นกลางระดับล่างที่มีความทะเยอทะยาน มันอาจเป็นจุดโจมตีของอีกฝ่ายที่มองว่าผู้ชุมนุมเหล่านี้ไม่รู้จักพอเพียง ไม่มีชีวิตสมถะ เรียบง่าย โดยเฉพาะเอ็นจีโอจำนวนมากที่ไม่เข้ามาร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดง เพราะเห็นว่าเป็นผลมาจากทุนนิยมสามานย์ ผมพูดอย่างนี้ คนเป็นเอ็นจีโออาจจะไม่เห็นด้วย (มองหน้าเอ็นจีโอบางคนแล้วหัวเราะ) ผมมองอย่างนี้ เอ็นจีโอยิ่งนับวันก็สัมผัสกับประชาชนน้อยลง ฐานของเอ็นจีโอที่เคยทำงานและมีคนอยู่ด้วย มันน้อยลง เพราะทุกวันนี้ชาวบ้านจัดตั้งตัวเองแยะมากๆ และไม่ได้เชื่อมโยงกับเอ็นจีโอโดยตรงด้วย สังเกตว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่มีเอ็นจีโอเลย เพราะชนชั้นกลางระดับล่างที่มีความทะเยอทะยาน ทำให้เอ็นจีโอไม่อยากเข้าร่วมกับผู้ชุมนุมเสื้อแดง? ผมมองว่าเอ็นจีโอที่ทำงานกับชาวบ้านที่อยู่ในเมืองแทบไม่มีเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อชาวบ้านเข้ามาอยู่ในเมืองแล้วตอนนี้ แล้วจะทำอย่างไร คนจนดักดานทั้งหลายที่ผมว่านี่ ในหนึ่งหมู่บ้าน คือคนส่วนน้อยสุด คุณจะไปช่วยคนส่วนน้อยสุดที่มันไม่มีชุมชนด้วย เป็นคนจนอยู่ก้นตรอกอยู่สองสามครอบครัว ถามว่าเอ็นจีโอมีความรู้พอจะเข้าไปจัดการคนจนของหมู่บ้านซึ่งเขาเข้าไปอยู่ในเขตเมืองไปแล้วอย่างไร คำตอบคือ ไม่มี ตกลงมันหมดพลังไปแล้ว ดังนั้น สิ่งที่น่าจะหวังตอนนี้คือ ทำอย่างไรถึงจะทำให้ชาวบ้านจัดการตัวเอง จัดองค์กรตัวเอง ทำอะไรเอง คิดเองว่าจะทำอย่างไร ผมว่าชนชั้นนำตอนนี้นำเอายุทธวิธีของเอ็นจีโอเมื่อ 20 ปีที่แล้วมาใช้ ถ้าคุณดูอย่างช่อง ทีพีบีเอสบ่อยๆ รายการหลายรายการพร่ำพรรณนาถึงชุมชนไทยอันงดงามที่มันไม่มีในเมืองไทยแล้ว หรือแม้แต่ในอดีต มันก็อาจไม่เคยมีเลย ในขณะเดียวกันมันสะท้อนว่า คนกลุ่มนี้พยายามจะแช่แข็งสังคม แต่มันเป็นอุดมการณ์ที่ไม่มีจริง เข้ามาพยายามทำให้คนกลับไปสงบเหมือนเก่า ทำให้มันเชื่อง (แสดงความเห็น) : เอ็นจีโออย่างที่ว่า มันเป็นเอ็นจีโออีกระดับหนึ่งที่เหมือนราชการเข้าไปทุกที คือเป็นเอ็นจีโอระดับใหญ่ มีได้มีเสียกับสถานการณ์บ้านเมืองค่อนข้างมาก หรือมีได้มีเสียกับการรับรองหรือไม่รับรองรัฐ ในเมื่อมันเกิดภาวะคนสองชนชั้น เหมือนอยู่กันคนละกลุ่มก้อน เราจะทำอย่างไรให้กลับมาสู่ความปรองดอง(คนฟังหัวเราะครืน) แล้วที่การเมืองมันรุนแรงขนาดนี้ เป็นเพราะอะไร ก็เลยใช้ความรุนแรง? แล้วมันจะหยุดความเปลี่ยนแปลงได้หรือ? มีบางคนบอกว่า ต้องปฏิวัติก่อนถึงจะปฏิรูปได้ แล้วอาจารย์เชื่อสำนักไหน แล้วทำอย่างไรถึงจะมีอำนาจต่อรอง คือวิธีการปฏิวัติ ที่ผมเห็นในหลายๆ ประเทศนี่ มันต้องปล่อยให้เกิดปัญหาใหม่ๆ แล้วทำให้คุณแก้ตามเป็นระยะๆ ซึ่งไม่ใช่ว่าไม่ประสบความสำเร็จ อย่างในประเทศจีนก็ถือว่าเขาประสบความสำเร็จมากเลย อย่างน้อยสุดก็เป็นครั้งแรกที่เขาก็ทำให้คนจีนมีข้าวกินอิ่มก่อนทั้งประเทศ ซึ่งมันไม่ใช่ง่ายเลยนะ คนเป็นพันล้านทำอย่างไรให้อิ่มโดยทั่วถึงกัน มันยากนะ เพราะฉะนั้น ผมก็ยอมรับในความสำเร็จของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ขณะเดียวกันเมื่อเกิดปัญหาขึ้นจากการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน โอกาสที่สังคมจะปรับตัวเองต่อไปไม่มีละ เพราะมันไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดในโลกนี้ที่จะไม่ก่อปัญหาใหม่ขึ้นมา ขบวนการปฏิรูป มันจะเป็นไปได้อย่างไร แต่ทุกวันนี้ คำว่าประชาธิปไตยมันหลากหลายมาก การชุมนุมสองเดือนในใจกลางเมืองหลวงก็เป็นสิทธิตามประชาธิปไตย ถือว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงมีความชอบธรรมใช่ไหม ความแตกแยกของสังคมตอนนี้ถึงระดับครอบครัว เพื่อนฝูง มันจะบานปลายกว่านี้ไหม ซ้าย-ขวา น่ะหรือ แต่มันไม่รุนแรงขนาดนี้นะ (แสดงความเห็น) : เมื่อก่อนมันจะชัดๆ ขาวกับดำ ใครจะอยู่ข้างขาว ข้างดำ ก็ว่ากันไป แต่ตอนนี้มันมียิบย่อย อย่างบางคนไม่เอาแดงและไม่เอาอภิสิทธิ์ บางคนอยู่ข้างแดง ไม่เอาทักษิณ มันเลยทำให้เกิดหลายกลุ่ม เกิดประเด็นถกเถียง โต้แย้งมาก (แสดงความเห็น) : อย่างที่เขาว่า มันมีแดงหลายเฉด เหลืองก็เหลืองหลายเฉด (แสดงความเห็น) : มันจะไม่เกิดการแตกแยกขนาดนี้ ถ้ามันแค่เรื่องว่า ใครจะเชื่อผีหรือไม่เชื่อผีก็จบ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นว่า มึงต้องเชื่อกู ใครที่คิดไม่เหมือนตัวเองกลายเป็นผู้หลงผิด เขาต้องเปลี่ยนเรา เพราะเราเป็นผู้หลงผิด เรากลายเป็นผู้หลงผิดไปเลยนะ แต่เมื่อก่อน ผู้ใหญ่จะสอนว่า เพื่อนกัน สามเรื่องอย่าคุยกันคือ หนึ่ง การเมือง ศาสนา และความเชื่อ เราจึงจะสงวนสิทธิ์ต่างๆ อาจารย์เชื่อเรื่องความเสมอภาคไหม
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||
สรุปข่าวพม่ารอบสัปดาห์ (4 - 15 มิ.ย.53) Posted: 16 Jun 2010 06:01 AM PDT <!--break--> ดินถล่มในรัฐอาระกัน สังเวย 26 ศพ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||
กรุงเทพโพลล์สำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ “ทบทวนตัวเลขเศรษฐกิจ หลัง นปช. ยุติการชุมนุม” Posted: 16 Jun 2010 05:51 AM PDT นักเศรษฐศาสตร์ทบทวนตัวเลข GDP ปี 53 คาดทั้งปีขยายตัว 4.3 % เสนอคงอัตราดอกเบี้ยถึงสิ้นปี 16 มิ.ย. 53 - ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 25 แห่ง เรื่อง “ทบทวนตัวเลขเศรษฐกิจ หลัง นปช. ยุติการชุมนุม” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 8-14 มิ.ย. ที่ผ่านมา พบว่า นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากถึงร้อยละ 86.6 ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปี 2553 ทั้งปีจะขยายดีกว่าปี 2552 โดยคาดว่า GDP จะขยายตัวเท่ากับร้อยละ 4.3 แม้จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่ม นปช. และวิกฤติหนี้สาธารณะของประเทศแถบยุโรป โดยนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 27.8 เห็นว่าการส่งออกสินค้าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังของปี สำหรับประเด็นวิกฤติหนี้สาธารณะของกรีซและประเทศในแถบยุโรปนั้นนักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นต่างกันแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ ร้อยละ 44.8 เห็นว่า วิกฤติดังกล่าวจะไม่ลุกลามและจะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่อีกร้อยละ 44.8 เช่นกันกลับเห็นว่า วิกฤติจะลุกลามและนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจโลกอีกครั้งหนึ่งแต่แย่น้อยกว่าครั้งที่แล้ว(วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์) จากปัจจัยวิกฤติทางการเมืองของไทยและวิกฤติหนี้สาธารณะของยุโรปทำให้นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 50.7 เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 จนถึงสิ้นปี โดยให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า การคงอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก อีกทั้งยังเป็นการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ส่งเสริมการลงทุน ประกอบกับภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบันไม่ได้สูงมากนัก จึงเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันน่าจะเป็นอัตราที่เหมาะสม ด้านปัจจัยที่จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนั้น ร้อยละ 71.6เห็นว่าเป็นปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาล ร้อยละ 55.2 เห็นว่าการชุมนุมประท้วงที่อาจจะเกิดขึ้นอีก ร้อยละ53.7 เป็นปัญหาความเชื่อมั่นของนักลงทุน(การลงทุนทางตรง) นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์ได้ให้ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล ภายใต้แนวคิด “ 3 (อย่าง)สร้างประเทศไทย” ประกอบด้วย (1) สร้างเศรษฐกิจ ด้วยการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ กระตุ้นการท่องเที่ยว การบริโภค ช่วยเหลือ SMEs และภาคการเกษตร ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจในประเทศมีการขับเคลื่อนที่ดีขึ้น ลดการพึ่งพาเศรษฐกิจจากภายนอก (2) สร้างความเชื่อมั่น ทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนและความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวด้วยการออกมาตรการต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม (3) สร้างความปรองดอง เพื่อความแข็งแกร่งของประเทศในระยะยาว และการดำเนินการตามแผนปรองดอง การกำหนดให้การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมไทยเป็นวาระแห่งชาติ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น