ประชาไท | Prachatai3.info |
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 1- 6 มิ.ย. 2553
- 'อภิสิทธิ์' เผยสื่อนอกอาจเลือกตั้งใหม่ต้นปีหน้า
- เปิดข้อกล่าวหา 8 เหตุการณ์ "โค่นอำมาตย์ องคมนตรี-บงการป่วนเมือง" แจ้งข้อหา 'ณัฐวุฒิ' คดีก่อการร้าย
- ผลเลือกตั้ง สข.ปชป.ชนะยกทีม 10 เขต พท.3 เขต
- สมานฉันท์แรงงานไทย เตรียมยื่นข้อเรียกร้อง แรงงานที่ได้รับกระทบจากการชุมนุม
- โปรดเกล้าแต่งตั้ง รมต.ใหม่ 8 ตำแหน่ง "อภิสิทธิ์" นำเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตน พรุ่งนี้ 17.00 น.
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 1- 6 มิ.ย. 2553 Posted: 06 Jun 2010 12:44 PM PDT <!--break--> ไพฑูรย์ยอมรับเสียความรู้สึกหลังถูกปรับออก โพสต์ทูเดย์ (6 มิ.ย. 53) - นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน กล่าวถึงการถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง เพราะที่ผ่านมาเคยเป็นส.ส. 11 สมัย และเป็นรัฐมนตรี 6 สมัย รวมทั้งอายุก็มากแล้ว แต่ยอมรับว่ารู้สึกเสียความรู้สึกตรงที่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่มีการมาปรึกษาตนเลย "ตอนนี้ก็สบายดี แต่ว่างงาน มีงานหน้าที่ ส.ส.อย่างเดียว ส่วนการลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์นั้น คงยังก่อน ปล่อยเป็นเรื่องของอนาคต ผมยอมรับว่าเสียความรู้สึกนิดหนึ่งตรงที่ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรในระดับผม ก็ควรจะมาปรึกษา แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้ซีเรียสมากมาย"นายไพฑูรย์กล่าว อย่างไรก็ตาม นายไพฑูรย์ ยอมรับว่า พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา และนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ได้โทรศัพท์มาหาโดยเป็นการคุยกันธรรมดา บอกว่าเสียใจด้วย ส่วนการตั้งพรรคใหม่เพื่อดูแลการเลือกตั้งในภาคเหนือนั้น เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ ยังไม่มีอะไร ยังทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร เป็น ส.ส.ช่วยพรรคประชาธิปัตย์ดูแล ส.ส.ในกลุ่มต่อไป ลูกจ้างเหยื่อม็อบราชประสงค์วอนช่วยเหลือด่วน ฉะรัฐเยียวยาไม่ทั่วถึง แนวหน้า (6 มิ.ย. 53) - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) ประชุมหารือร่วมกับภาคีเครือข่ายแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมและยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ อาทิ แรงงานภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ได้แก่ พนักงานสถานบริการ นวดแผนโบราณ พนักงานร้านอาหาร บาร์เบียร์ บาร์อะโกโก้ เป็นต้น รวมทั้งแม่ค้าหาบเร่และคนงานก่อสร้าง ที่อยู่ในพื้นที่ศาลาแดง สีลม สุรวงศ์ ธนิยะ พัฒน์พงศ์ สาทร เพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐเข้าช่วยเหลือ ภายหลังการประชุม น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธาน คสรท.แถลงว่า ในวันที่ 8 มิถุนายนนี้ ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้ช่วยเหลือใน 3 ข้อ คือ 1.ขอให้ช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างเร่งด่วน โดยชดเชยรายได้เช่นเดียวกับที่ให้เจ้าของธุรกิจ 2.ให้ช่วยเหลือและส่งเสริมสวัสดิการสังคมอย่างต่อเนื่องต่อผู้ได้รับผลกระทบทั้งความเสียหายต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจในระยะยาว 3.ปรับวิกฤติเป็นโอกาสโดยการจัดตั้งกองทุนทางสังคมช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังมีแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง เช่น คนงานก่อสร้าง 300 คนในย่านดังกล่าว รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งรัฐบาลต้องมีมาตรการในการช่วยเหลือให้ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ สารเคมีรั่วโรงงานผลิตอะไหล่รถยนต์ นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร เดลินิวส์ (5 มิ.ย. 53) - ระทึก สารเคมีรั่วไหล คนงานสูดดม เป็นลมล้มพับ 22 ราย หนึ่งในนั้นอาการสาหัส โรงงานผลิตอะไหล่รถยนต์ นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร รับออเดอร์เพียบ เร่งเพิ่มการผลิต ทำงานทั้งกลางวัน-กลางคืน คาดความร้อนเป็นเหตุสารเคมีรั่วไหล สสจ.ชลบุรี เผยคนงานส่วนใหญ่เจ็บตา เยื่อโพรงจมูก พ่อเมืองสั่งสอบสวน เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 4 มิ.ย. พ.ต.ท. ณัฏฐ์ สุวรรณวัฒนะ สวญ.สภ.ดอนหัวฬ่อ จ.ชลบุรี รับแจ้งมีเหตุสารพิษรั่วไหลที่ บจก.สยาม คีปเปอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง เลขที่ 700/496 หมู่ 7 ต.ดอนหัวฬ่อ อ.เมือง ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งเป็นบริษัท ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ จึงรายงานให้ นายเสนีย์ จิตตเกษม ผวจ.ชลบุรี นายปรีดา สมบูรณ์ทรัพย์ นายอำเภอเมืองชลบุรี นายเลอสันต์ ศศิพงศ์ นายอำเภอพานทอง นายแพทย์วิชัย ธนาโสภณ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดฯ รีบไปตรวจสอบ พบคนงานหญิงมีอาการคลื่นไส้อาเจียน และเป็นลมจำนวนมาก จึงช่วยเหลือนำตัวส่ง รพ.พานทอง 14 ราย และ รพ.ศูนย์ชลบุรี 8 ราย มีอาการสาหัส 1 ราย เพราะได้รับสารเคมีไปจำนวนมาก สำหรับโรงงานดังกล่าว มีแรงงาน 150 คน และมีชาวญี่ปุ่นเป็นเจ้าของกิจการ จากการสอบสวนพบว่า จุดเกิดเหตุเป็นห้องชุบสารเคมีอะไหล่รถยนต์ ปกติจะทำงานในช่วงกลางคืน แต่ในช่วงนี้มีการสั่งอะไหล่รถยนต์จำนวนมาก จึงต้องเร่งทำการผลิตทั้งกลางวันและกลางคืน ในเบื้องต้นสันนิษฐานว่า เป็นเพราะอากาศร้อนจัดทำให้สารเคมีรั่วไหลเข้าไปในห้องทำงานดังกล่าว ประกอบกับช่องระบายอากาศมีปัญหา ทำให้สารพิษวนเวียนอยู่ในห้อง มีคนงานสูดสารพิษเข้าไปจำนวนมากดังกล่าว เครือข่ายแรงงานพอใจ ก.แรงงาน เดินหน้าผลักดันอนุสัญญา 87-98 สำนักข่าวไทย (4 มิ.ย. 53) - เครือข่ายแรงงานพอใจ ก.แรงงาน เห็นด้วยกับการรับรองอนุสัญญา 87-98 รองปลัดฯ เผย ส่งเรื่องให้ก.การต่างประเทศ พิจารณาเข้าข่ายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 หรือไม่ พร้อมเตรียมแก้กฎหมายคุ้มครองแรงงานให้สอดคล้อง คณะทำงานให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 และ 98 เข้าหารือกับผู้บริหารกระทรวงแรงงาน เพื่อติดตามความคืบหน้าการรับรองอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับโดยนางจิราภรณ์เกสรสุจริต รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการหารือว่า ก.แรงงาน ได้เห็นชอบในหลักการให้รับรองสัตยาบันอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับแล้ว ขณะนี้ได้ส่งเรื่องไปยังกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อให้พิจารณาว่าอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับเข้าข่ายมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ทั้งนี้หากกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาแล้วเห็นว่าเข้าข่ายมาตรา 190 ก็จะต้องให้ ครม.เสนอไปที่รัฐสภา เพื่อทำประชาพิจารณ์ และเสนอกลับเข้า ครม.อีกครั้ง นางจิราภรณ์ กล่าวอีกว่า แต่หากไม่เข้าข่ายมาตรา 190 สามารถนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. และรัฐสภาหากได้รับความเห็นชอบก็สามารถส่งให้กระทรวงการต่างประเทศลงนามในสัตยาบันได้เลย ทั้งนี้ หากลงนามในสัตยาบันแล้ว ต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาโดยมีผลบังคับใช้ภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งในระหว่างนี้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จะมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการให้สัตยาบันอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ ด้านนายชาลี ลอยสูง ประธานคณะทำงานฯ กล่าวว่าจากการที่ได้รับความชี้แจงจากกระทรวงแรงงาน เป็นที่น่าพอใจ จากนี้จะต้องติดตามความคืบหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งคณะทำงานจะพยายามผลักดันให้รัฐบาลให้การรับรองสัตยาบันให้เร็วที่สุด เนื่องจากอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับมีประโยชน์กับผู้ใช้แรงงานโดยเฉพาะเรื่องสิทธิและเสรีภาพในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง รวมถึงเรื่องการจัดตั้งสหภาพแรงงานซึ่งจากเดิมกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะเป็นผู้พิจารณาอนุญาต เมื่อนายจ้างรู้ จึงมีการกลั่นแกล้ง จนถึงขั้นไล่ออกจากงาน แต่หากมีการรับรองและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คนงานสามารถรวมกลุ่มและมาแจ้งต่อกรมสวัสดิการฯ เพื่อจัดตั้งได้สหภาพได้ทันที นายเสนีย์ ผวจ.ชลบุรีกล่าวว่า ได้สั่งให้ปิดโรงงาน จนกว่าทางสาธารณสุขจังหวัดจะตรวจสอบจนสามารถรับประกันความปลอดภัย ถึงจะอนุญาตให้ทำงานต่อไป พร้อม ทั้งกำชับให้ตำรวจสอบสวนเรื่องประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ด้านนายแพทย์วิชัย รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด กล่าวว่า ผู้ได้รับบาดเจ็บนั้นส่วนใหญ่สารเคมีจะส่งผลกระทบต่อเยื่อบุนัยน์ตา ทำให้แสบตา และเยื่อโพรงจมูกจะทำให้แน่นหน้าอกหายใจไม่ออก อย่างไรก็ตาม สารเคมีที่พบในขณะนี้มีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ สารเคมีและน้ำมัน โดยจะเร่งตรวจสอบว่าคนงานที่ได้รับบาดเจ็บ สูดดมสารพิษประเภทใดเข้าไปและจะรักษาตามอาการจนกว่าจะหาย 2 หน่วยงานร่วมถกป้องกันแรงงานไทยถูกหลอกไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดน สำนักข่าวไทย (4 มิ.ย. 53) - กรรมการสิทธิฯ ร่วมหารือ ก.แรงงาน หวั่นแรงงานไทยถูกหลอกไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดน รองอธิบดีกรมการจัดหางาน เผยปีนี้ไปได้ 3 ช่องทางในโควตา 4,000 คน พร้อมประกันรายได้ขั้นต่ำ 80,000 บาท ด้าน กก.สิทธิฯ ไม่เชื่อแก้ปัญหาได้จริง ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นำคณะอนุกรรมการฯ ด้านการคุ้มครองสิทธิแรงงานและการประกอบอาชีพ เข้าพบนายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และผู้บริหาร เพื่อหารือถึงปัญหาการส่งแรงงานไทยไปทำงานเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศสวีเดน ซึ่งกำลังเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ในเดือนกรกฎาคมนี้ นายสุภัท กุขุน รองอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยภายหลังการหารือว่า ในปีนี้ทางการไทยและสวีเดนได้ร่วมกันวางมาตรป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนปีที่ผ่านมา โดยให้สหภาพแรงงานของสวีเดนร่วมตรวจสอบสัญญาการทำงานว่าละเมิดกฎหมายของสวีเดนหรือไม่ ซึ่งในปีนี้คาดว่าแรงงานไทยจะได้โควตาไปทำงานไม่เกิน 4,000 คน ส่วนการเดินทางไปสามารถไปได้ 3 ช่องทาง คือ 1.เป็นญาติของคนไทยที่แต่งงานกับชาวสวีเดนรายละไม่เกิน 3 คน 2.บริษัทรับซื้อผลไม้ติดต่อตรงกับคนงาน แต่ต้องเสียภาษีรายได้จากการจัดเก็บให้สวีเดน และ 3.บริษัทรับซื้อผลไม้ติดต่อผ่านบริษัทไทยที่มีคนงานอยู่ โดยในกรณีนี้ไม่ต้องเสียภาษีและมีการประกันรายได้ประมาณ 80,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเชื่อว่าคนงานจะไปโดยวิธีที่ 3 มากที่สุด ด้านนายปริญญา ศิริสารการ ประธานอนุกรรมการฯ ด้านแรงงาน กล่าวว่า คณะกรรมการสิทธิฯ มีความเป็นห่วงในเรื่องของกติกาการจัดส่งคนงานในปีนี้ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาด้วยการประกันรายได้ขั้นต่ำให้คนงานเดือนละประมาณ 80,000 บาท และทำงานวันละ 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งไม่เชื่อว่าจะสามารถปฏิบัติได้จริง เพราะเป็นเงื่อนไขที่บริษัทจัดหางานแจ้งว่าไม่สามารถปฏิบัติได้ และอาจทำให้มีบริษัทบางแห่งหลอกคนงานไปทำงานจนเกิดปัญหาเหมือนในปีที่ผ่านมา ซึ่งกรรมการสิทธิฯ จะเฝ้าติดตามสถานการณ์ และเตือนรัฐบาลไม่ให้ปล่อยคนงานเหล่านี้ไปเป็นเหยื่ออีก หากยังมีผู้สนใจจะเดินทางไปทำงานต้องรู้ปัญหาและรับสภาพความเสี่ยงให้ได้ จับตุ๋นส่งคนงานไปเกาหลีใต้ ข่าวสด (4 มิ.ย. 53) - เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 4 มิ.ย. ที่ บก.ปคม. พ.ต.อ.ณพวัฒน์ อารยางกูร ผกก.1 บก.ปคม. ร่วมกับนายนิติชัย วิสุทธิพันธุ์ นักวิชาการแรงงาน 6ว. ศูนย์ประสานการปราบปรามผู้เป็นภัยต่อคนหางาน กระทรวงแรงงาน เข้าจับกุม นายศิราดล หรือ ฟู่ ดาวรุ่งเรืองทรัพย์ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 5/5 หมู่ 6 ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานต่างประเทศได้ฯ ได้ที่รัชดาออร์คิด คอนโดมิเนียม เลขที่ 129 ซ.หัสดิเสวี ถ.สุทธิสารวินิจฉัย แขวงและเขตห้วยขวาง ทั้งนี้ก่อนจับกุมได้มีผู้เสียหาย 2 ราย ที่ถูกผู้ต้องหาหลอกว่าสามารถส่งไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้โดยเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ 127,000-170,000 บาท แต่เมื่อถึงกำหนดเดินทาง กลับไม่สามารถส่งไปทำงานได้ตามที่ตกลงกันไว้ จึงเข้าแจ้งความ เบื้องต้นผู้ต้องหาสารภาพว่า เคยทำงานอยู่กับบริษัทจัดหาแรงงานไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน แต่บริษัทเลิกกิจการไปเมื่อ 3 ปีแล้ว จึงออกมารับงานส่งคนงานไปทำงานโรงงาน และการเกษตรที่ประเทศเกาหลีใต้แทน มีหน้าที่จัดหาหนังสือเดินทาง และตั๋วเครื่องบิน ได้ค่าจ้าง 1-2 หมื่นบาทต่อราย ที่ผ่านมาได้ส่งแรงงานไปเกาหลีใต้มาแล้วหลายร้อยราย บางรายก็ไม่สามารถส่งไปได้ อย่างไรก็ตามยืนยันว่าไม่ได้หลอกลวง เพราถือว่าเป็นการตกลงกันทั้งสองฝ่าย เจ้าหน้าที่จึงส่งตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป ธ.ออมสินปล่อยกู้คนรง.ยาสูบ เดลินิวส์ (4 มิ.ย. 53) - นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้ลงนามความมือร่วมมือกับโรงงานยาสูบ (รยส.) ปล่อยสินเชื่อในโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตพนักงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อช่วยเหลือพนักงานและแรงงานรัฐวิสาหกิจ รยส. ที่ประสบปัญหาด้านการเงิน ให้นำไปพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ โดยขณะนี้มีผู้สนใจยื่นขอกู้แล้ว 900 ราย รวมวงเงินกู้กว่า 1,500 ล้านบาท หรือเฉลี่ยรายละ 1.5 ล้านบาท โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตพนักงานรัฐวิสาหกิจของ รยส. นี้ กรณีที่ใช้บุคคลค้ำประกัน 2 คน จะขอกู้ได้ในวงเงิน 50 เท่าของเงินเดือน หรือไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ผ่อนชำระนาน 15 ปีกรณีใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน กู้ได้สูงสุด 5 ล้านบาท ผ่อนชำระได้ 30 ปี โดยออมสินคิดดอกเบี้ย 5.85% ต่อปี ทั้งนี้รวมเวลาผ่อนชำระหนี้แล้วต้องไม่เกิน 60 ปี ซึ่ง รยส. จะตัดบัญชี เงินเดือนของพนักงานผ่อนชำระหนี้ให้แก่ออมสินทุกเดือนต่อไป เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) เนื่องจากหัวหน้าหน่วยงานจะต้องคัดเลือกพนักงานที่มีความสามารถในการผ่อนชำระมาแล้วระดับหนึ่ง “สินเชื่อดังกล่าวนี้ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของพนักงานรัฐวิสาหกิจให้ดีขึ้น และระยะยาวจะหารือเพื่อต่อยอดสินเชื่อด้านอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก อาทิ สินเชื่อรถยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะพิจารณาต่อยอดสินเชื่อที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันก่อน โดยรอลงรายละเอียดต่อไป แต่ทั้งนี้จะต้องดูความสามารถในการผ่อนชำระด้วย” ทั้งนี้ธนาคารยังมีสินเชื่อคงค้างที่ ปล่อยกู้ให้รัฐวิสาหกิจอีกกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มปล่อยสินเชื่อให้พนักงานครู ทหาร ตำรวจเพิ่มเติมอีก โดยขณะนี้มีหน่วยงานต่าง ๆ ที่ใช้สินเชื่อออมสินเกือบ 300 แห่งทั่วประเทศแล้ว นายเลอศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าในการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง ขณะนี้มีลูกค้าและประชาชนทั่วไปมาลงทะเบียนไว้ทั้งสิ้น 40,000 ราย ซึ่งวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา ธนาคารได้นำร่องปล่อยกู้ให้พ่อค้าแม่ค้าย่านชุมชนบ่อนไก่ไปแล้ว 10 ราย รายละ 100,000 บาท ขณะเดียวกัน ธนาคารจะเร่งพิจารณาสินเชื่อให้ได้ทั้งหมด ทั้งพ่อค้าแม่ค้า ที่อยู่บริเวณการชุมนุมและท่องเที่ยว ส่วนการที่ออมสินได้เข้ามาดูแลการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้ผู้ประกอบการใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แทนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวงเงิน 25,000 ล้านบาทนั้น ยืนยันว่า ธนาคารพร้อมที่จะดำเนินการทันที มูลนิธิกระจกเงาเผยค้ามนุษย์น่าจะแรงขึ้น ไอเอ็นเอ็น (3 มิ.ย. 53) - นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า จากสถานการณ์การค้ามนุษย์ในรอบปี 2552 มูลนิธิกระจกเงา ได้รับแจ้งเหตุ เฉพาะกรณีการค้ามนุษย์ในแรงงานประมงมากกว่า 138 กรณี หรือ มากกว่าปี 2551 ถึง 3 เท่า เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนแรงงานจำนวนมาก ในภาคประมงและประมงต่อเนื่อง ซึ่งแม้ในปี 2553 จนถึงปัจจุบันจะมีการรับแจ้งเหตุเพียง 7 ราย แต่มูลนิธิฯ ประเมินว่า สถานการณ์มีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากภาวะขาดแคลนแรงงานยังมีอยู่จำนวนมาก นายเอกลักษณ์ กล่าวอีกว่า จากการเก็บข้อมูลยังพบว่า ขบวนการนายหน้าในการจัดหาแรงงานเพื่อค้ามนุษย์ในภาคประมงยังคงใช้พื้นที่สาธารณะ เช่น สถานีขนส่งหมอชิต สนามหลวง และสถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นที่ล่อลวงผู้มาหางานทำในกรุงเทพฯ แต่ปรับรูปแบบจากวิธีเข้ามาตีสนิท เป็นการเปิดร้านอาหารบริเวณสถานีขนส่ง ส่วนจังหวัดที่มีปัญหาการค้ามนุษย์ในขั้นรุนแรง ได้แก่ จังหวัดสงขลา ชลบุรี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ ส่วนผู้กระทำผิดแม้จะมีการจับกุมตัวนายหน้าที่หลอกลวง แต่ส่วนใหญ่ได้รับการประกันตัวและก่อเหตุซ้ำซาก และยังไม่สามารถเชื่อมโยงไปถึงผู้ประกอบการได้ สำหรับสถานการณ์ค้ามนุษย์ในด้านอื่น จากรายงานระบุว่า ยังทรงตัว โดยพบในกรณี อาทิ ขอทานเด็ก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเด็กมาจากประเทศกัมพูชาและพม่า เพื่อมาขอทาน และมีการเปลี่ยนรูปแบบจากการขอทานเป็นขายสินค้าหรือดอกไม้ ส่วนการลักพาตัวเด็กพบว่า ในปี 2552 มีการลักพาตัวเด็กทั้งหมด 7 ราย เด็กอายุเฉลี่ยเพียง 6 ปี ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระทำทางเพศและบังคับใช้แรงงาน และสุดท้าย คือ ขบวนการซื้อขายเด็กทารกที่พบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยซื้อเด็กจากหญิงขายบริการที่ตั้งครรภ์ หรือ ครอบครัวที่มีฐานะยากจน ซึ่งวัตถุประสงค์ในการซื้อเด็กยังไม่แน่ชัด พนักงานไทยคูลระยอง กว่า 400 คนชุมนุมหน้าศูนย์ราชการเรียกร้องขอขึ้นเงินเดือน โพสต์ทูเดย์ (3 มิ.ย. 53) - พนักงานบริษัท ไทยคูล เวิลด์ไวด์กรุ๊ป (ประเทศไทย)จำกัด บริษัท ผลิตเหล็กแผ่น เหล็กเส้น เลขที่ 99 หมู่ 1 อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง กว่า 400 คน นำโดยนายชัชวาล สมเพชร เดินทางมายื่นหนังสือ นายสยุมพร ลิ่มไทย ผวจ.ระยอง ให้ช่วยเจรจานายจ้างขอขึ้นเงินเดือนและโบนัสพนักงาน หลังชุมนุมเรียกร้องอยู่บริเวณหน้าโรงงานฯ มานานกว่า 2 สัปดาห์ แต่ไม่ได้รับความสนใจจากนายจ้างแต่อย่างใด ท่ามกลางการรักษาความสงบเรียบร้อยเจ้าหน้าที่ตำรวจ อส.และเจ้าหน้าที่ปกครองจำนวน 50 นาย แต่เนื่องจากผวจ.ติดราชการไปต่างจังหวัด นายจิระศักดิ์ ตะปะโจทย์ ป้องกันจังหวัด ออกมารับหนังสือข้อเรียกร้องดังกล่าว นายชัชวาล กล่าวว่า ข้อเรียกร้องหลัก นั้น ประกอบด้วย 1.ให้บริษัทปรับค่าจ้างประจำปีให้กับพนักงานทุกคน ทุกระดับ ในอัตรา 3.6 เปอร์เซ็นต่อคน 2.ให้บริษัท จ่ายเงินโบนัสประจำปีให้กับพนักงานทุกคน ทุกระดับ ในอัตรา 4 เดือน /คน / ปี 3.ให้บริษัทฯจ่ายเงินค่าเดินทางให้กับพนักงานทุกคน ทุกระดับ ในอัตราที่จ่ายอยู่ในปัจจุบัน โดยให้ยกเลิกเงื่อนไขการหักเงินค่าเดินทาง 4.ให้บริษัท ยกเลิกให้พนักงานเซ็นหนังสือยินยอมให้หักค่าจ้างและสวัสดิการในกรณีที่บริษัท ได้สั่งหยุดงาน โดยไม่มีเงื่อนไข 5.ให้บริษัท ปฎิบัติตาม พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 พรบ.แรงงานสัมพันธ์ 2518 พรบ.ประกันสังคม พรบ.กองทุนเงินทดแทน และกฏหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และ 6. สภาพการจ้างอื่นใดที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาในข้อเรียกร้องนี้ ให้คงสภาพไว้เหมือนเดิม นายจิรศักดิ์ ตะปะโจทย์ ป้องกันจังหวัดระยอง กล่าวว่าจะนำข้อเรียกร้องเสนอผวจ.ระยอง พิจารณาดำเนินการต่อไป กลุ่มผู้ชุมนุมจึงแยกย้ายกันเดินทางกลับ เชียงรายกวาดล้างต่างด้าวรวบได้ร่วม 100คน ไอเอ็นเอ็น (2 มิ.ย. 53) - แรงงานต่างด้าวชายหญิง อายุระหว่าง 16 - 25 ปี จำนวน 82 คน แบ่งเป็นชาวพม่า 30 คน ชาวลาว 47 คน และชาวเกาหลีเหนือ อีก 5 คน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำกองกำกับการ 11 กองบังคับการตำรวจน้ำ ควบคุมตัวมาสอบสวนดำเนินคดีที่สถานีตำรวจน้ำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย หลังร่วมกับตำรวจภูธรเชียงราย และตำรวจท่องเที่ยวออกกวาดล้างจับกุม ได้ในพื้นที่อำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ และอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ขณะลักลอบเข้ามาทำงานเป็นพนักงานร้านอาหารและกรรมกรรับจ้างขายแรง งานกระจายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ โดย พ.ต.ท.สุลักษณ์ เสงี่ยมลักษณ์ สารวัตรตำรวจน้ำเชียงแสน กล่าวว่า แรงงานทั้งหมดเป็นแรงงานใหม่ที่เคลื่อนย้ายจากประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาในประเทศไทย หลังปริมาณน้ำโขงเพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจการค้าและการลงทุนกลับมาคึกคัก ซึ่งเป็นกลุ่มไม่มีบัตรสัญชาติและไม่ได้แจ้งอนุญาตมาค้าแรงงานในพื้นที่ แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่มาในรูปขบวนการที่จะถูกส่งเข้าไปทำงานในพื้นที่ชั้นในของประเทศ ซึ่งจะมีค่านายหน้ารายหัว และอีกกลุ่มคือแรงงานเถื่อนที่มาทำงานชั่วคราวตามแนวชายแดนที่มักพบเป็นประจำ ทางตำรวจน้ำจะมีการคุมเข้มต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพราะกลุ่มแรงงานเหล่านี้ จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในเรื่องของปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมในอนาคตได้ ครม.เห็นชอบการจ่ายเงินขั้นต่ำให้ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ สำนักข่าวไทย (2 มิ.ย. 53) - นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างงานในรัฐวิสาหกิจ เพื่อจ่ายผลตอบแทนให้กับลูกจ้างที่เกษียณอายุจากการทำงานในรัฐวิสาหกิจจำนวน 65 แห่ง ร่างประกาศมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 30 ก.ย. 2552 เพื่อให้ลูกจ้างที่เกษียณอายุในวันที่ 30 ก.ย. 2552 ได้ปรับประโยชน์ตามประกาศนี้ด้วย โดยลูกจ้างต้องปฏิบัติงานก่อนเกษียณอายุครบ 15 ปี เพื่อรับเงินตอบแทน เป็นจำนวนเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน จากเดิมได้รับค่าตอบแทนเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน ซึ่งจะทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ในงบประมาณปี 2552 มากขึ้นจำนวน 2,700 ล้านบาท ปี 2553 จำนวน 2,880 ล้านบาท ปี 2554 จำนวน 2,487 ล้านบาท เตรียมตั้งกองทุนเงินทดแทนดูแลแรงงานต่างด้าวทั้งระบบกว่า 1 ล้านคน สำนักข่าวไทย (2 มิ.ย. 53) - นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ มีตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กองบัญชาการกองทัพไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ว่าที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการนำแรงงานต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้ทำงานในประเทศไทยกว่า 1 ล้านคนเข้าสู่ระบบกองทุนเงินทดแทนของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) หลังจากที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และ กลุ่มเอ็นจีโอได้ออกมาเรียกร้องให้เพิ่มความคุ้มครองแรงงานต่างด้าวให้มากขึ้น เพราะแรงงานต่างด้าวมักถูกนายจ้างเอาเปรียบเมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน ซึ่งที่ประชุมมีมติตามที่ สปส.เสนอให้มีการตั้งกองทุนเงินทดแทนของแรงงานต่างด้าวแยกจากกองทุนเงินทดแทนของคนไทย โดยนายจ้างต้องส่งเงินสมทบปีละ 500 บาท ต่อแรงงานต่างด้าว 1 คน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายและเงินชดเชย กรณีประสบอุบัติเหตุทั้งในหรือนอกงาน พร้อมเสนอให้บริษัทเอกชนเข้ามารับบริหารความเสี่ยงของกองทุนในรูปแบบการประกันชีวิต อย่างไรก็ตามเพื่อความรอบคอบได้ให้กรมการจัดหางาน และ สปส.ไปหารือกับนายจ้างและบริษัทประกันชีวิตเอกชน ถึงแนวทางความเป็นไปได้ จากนั้นให้นำข้อสรุปกลับเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณาอีกครั้งในสัปดาห์หน้า สนง.สถิติเผยแนวโน้มศก.ไทยดีขึ้น อัตราว่างงาน มี.ค.53 ลดลงเหลือ 1% อินโฟเควส (2 มิ.ย. 53) - นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เผยผลสำรวจภาวะการทำงานของประชากรในเดือนมี.ค.53 พบว่ามีผู้มีงานทำ 37.60 ล้านคน ผู้ว่างงาน 3.68 แสนคน และผู้รอฤดูกาล 3.17 แสนคน ส่วนผู้ที่อยู่นอกกำลังแรงงานมี 14.99 ล้านคน โดยในจำนวนผู้มีงานทำ 37.60 ล้านคนนั้น ถือว่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.8% หรือเพิ่มขึ้น 1.03 ล้านคน แบ่งเป็นผู้มีงานทำในภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 5.5 แสนคน และผู้มีงานทำนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 4.8 แสนคน สำหรับจำนวนของผู้ว่างงานในเดือนมี.ค. 53 ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 3.68 แสนคนนั้น คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1% และหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้ว มีจำนวนผู้ว่างงานลดลง 3.43 แสนคน หรือลดลง 0.9% หากพิจารณาอัตราการว่างงานเป็นรายภาค พบว่า ภาคใต้มีอัตราการว่างงานสูงที่สุด คือ 1.3% รองลงมาเป็นภาคกลาง 1.1%, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1%, กรุงเทพมหานคร และภาคเหนือมีอัตราการว่างงานเท่ากันคือ 0.7% ทั้งนี้หากเปรียบเทียบอัตราการว่างงานกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่าทุกภาคมีอัตราการว่างงานลดลง โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการว่างงานลดลงมากที่สุด รองลงมาเป็นภาคเหนือ, กรุงเทพฯ ส่วนภาคกลางและภาคใต้อัตราการว่างงานลดลงเท่ากัน พัทลุงเผชิญวิกฤตแรงงานขาดแคลนร้องขอแรงงานต่างด้าว โพสต์ทูเดย์ (2 มิ.ย. 53) - นายวินัย ครุวรรณพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง กล่าวว่า ได้ประชุมยามเช้ากับส่วนราชการ ภาคธุรกิจเอกชน ธนาคาร และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในจังหวัดพัทลุง เพื่อเร่งหาแนวทางในการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้เนื่องจากว่าแรงงานในพื้นที่พัทลุง จะไม่ทำงานในภาคอุตสาหกรรม เนื่องด้วยในช่วงระยะ เวลา 2 ปี ที่ผ่านมา ราคายางพาราได้เขยิบตัวสูงขึ้น ทำให้แรงงานในพื้นที่ หันไปรับจ้างกรีดยางเสียส่วนใหญ่ โดยในที่ประชุม ธุรกิจภาคอุสาหกรรม ต้องการแรงงานต่างด้าวเข้าทำงานในสถานประกอบการของตน แต่แรงงานเหล่านั้นจะต้องดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย เพราะแรงงานต่างด้าวส่วนใหญ่จะขยันทำงาน พร้อมกันนี้ธุรกิจภาคอุตสาหกรรม ยังต้องการให้สถาบันการเงิน ได้พิจารณาปล่อยเงินกู้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สถานประกอบการที่ต้องการเงินทุน สามารถกู้เงินไปลงทุน หรือขยายกิจการได้อย่างต่อเนื่อง นายวินัยกล่าวอีกว่า เรื่องของแรงงานต่างด้าว และแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ ที่ภาคอุตสาหกรรมเรียกร้อง จะนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการภาครัฐร่วมเอกชน (กรอ.จังหวัด) เพื่อเร่งหาทางช่วยเหลือต่อไป เตรียมตั้งชุดเฉพาะกิจจับกุมแรงงานต่างด้าวหนีเข้าเมืองกว่า 300,000 คน สำนักข่าวไทย (2 มิ.ย. 53) - นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อการส่งกลับคนต่างด้าวออกนอกราชอาณาจักรว่า ที่ประชุมวันนี้มีการหารือถึงการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันส่งกลับแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองจำนวนกว่า 300,000 คน โดยแรงงานเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของแรงงานกว่า 1.3 ล้านคน ที่ได้รับการผ่อนผันและอนุญาตทำงานในปี 2552 แต่ไม่ยอมต่ออายุใบอนุญาตทำงาน และผ่านกระบวนการพิสูจน์สัญชาติ ดังนั้น จึงเตรียมตั้งชุดเฉพาะกิจเพื่อเร่งรัดปราบปรามจับกุมแรงงาน ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ เพื่อที่จะสามารถนำเข้าแรงงานต่างด้าวชุดใหม่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยในปีที่ผ่านมามีการกวดขันจับกุมนายจ้างที่จ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายไปแล้วจำนวน 1,518 ราย และจับกุมแรงงานต่างด้าวจำนวน 11,436 ราย นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณาการดำเนินการจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งกลับแรงงานต่างด้าวที่มาทำงานอย่างถูกกฎหมายโดยรายได้มาจากการจัดเก็บเงินจากนายจ้าง ต่อแรงงานต่างด้าว 1 คน คนละ 2,400 บาท เพื่อเป็นค่าดำเนินการส่งกลับแรงงานต่างด้าวเมื่อหมดอายุใบอนุญาตทำงาน สำหรับการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารแรงงานต่างด้าวทั้งระบบในช่วงบ่ายวันนี้ จะมีการพิจารณาเพื่อนำแรงงานต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้ทำงานเข้าสู่ระบบกองทุนเงินทดแทนของสำนักงานประกันสังคมด้วย เจ้าหน้าที่รัฐ จับกุม 46 แรงงานต่างด้าว ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ผู้ต้องหาสารภาพ รับค่าเหนื่อย 5,000 บาท ไอเอ็นเอ็น (2 มิ.ย. 53) - ร.ต.สมบัติ ทองจันทร์ หัวหน้าจุดตรวจเกาะสะระนีย์ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 25 กองกำลังเทพสตรี พร้อมกำลังได้จับกุมหญิงสาวชาวพม่า จำนวน 46 คน อายุระหว่าง 20-25 ปี ตรวจสอบไม่มีเอกสารการเดินทาง ซุกซ่อนมาในเรือหางยาว บริเวณร่องน้ำ ด้านทิศตะวันตกเกาะสะระนีย์ หมู่ 2 ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.ระนอง ขณะขับมุ่งหน้าเข้าฝั่งจังหวัดระนอง เจ้าหน้าที่รัฐ ควบคุมตัวไว้พร้อมกับ คนขับเรือและผู้ช่วย ทราบชื่อ นายแวโซโม่ อายุ 24 ปี และนายอาก้า อายุ 24 ปี สารภาพรับค่าจ้าง 5,000 บาท เจ้าหน้าที่ จึงได้แจ้งข้อกล่าวหา นำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ส่วนแรงงานต่างด้าวที่เป็นหญิงทั้ง 46 คน ดำเนินคดี ข้อหาเป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
'อภิสิทธิ์' เผยสื่อนอกอาจเลือกตั้งใหม่ต้นปีหน้า Posted: 06 Jun 2010 09:11 AM PDT <!--break--> 6 มิ.ย. 53 - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ สั้นๆ ระหว่างการร่วมประชุม World Economic Forum ที่ประเทศเวียดนาม ในวันนี้ (6 มิ.ย.) ว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่ อาจจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน นอกจากนี้ นายกฯ ยังกล่าวด้วยว่า ตนอยากยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ถูกกำหนดใช้ในพื้นที่ 1 ใน 3 ของประเทศ โดยเร็ว แต่ก็ยังจำเป็นต้องประกาศใช้อยู่ เพื่อป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง นายกฯแจงเวทีเวิลด์อีโคโนมิคยันไทยสงบแล้ว นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ไทยพร้อมสนับสนุนความก้าวหน้าทั้งในกรอบลุ่มน้ำโขง และกรอบอาเซียน พร้อมกล่าวขอโทษนายกฯเวียดนามที่ไม่ได้เดินทางมาร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน และขอบคุณเวียดนามที่เข้าใจสนับสนุนประเทศไทยมาโดยตลอด โดยไทยยินดีสนับสนุนการเป็นประธานอาเซียนของเวียดนาม ด้าน นายเหงียน ตัน ดุง นายกฯเวียดนาม กล่าวแสดงความยินดีที่ประเทศไทยกลับสู่ภาวะปกติ พร้อมชื่นชมไทยที่มีศักยภาพในด้านเศรษฐกิจ และอยากจะขยายความร่วมมือกับไทยทั้งในกรอบอาเซียน และกรอบประเทศลุ่มน้ำโขงด้วย ซึ่งเวียดนามจะสานต่อแนวทางที่นายอภิสิทธิ์ ได้วางไว้ ในการเชื่อมโยงประชาคมอาเซียนไว้ด้วยกัน ขณะเดียวกันเวียดนามพร้อมจะสนับสนุนการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมระหว่างไทยและเวียดนามในต้นปีหน้า และขอให้ไทยช่วยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของประตูเมืองในกรุงฮานอย รัฐบาลมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีเสียงข้างมากที่เข้มแข็งตามสมควร เร่งฟื้นฟูและผลักดันแผนปรองดองให้เร็วที่สุด สวัสดีครับพี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านครับ วันนี้วันที่ 6 มิถุนายนนะครับ ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่เนื้อหาสาระของรายการและสิ่งที่ผมอยากจะพูดคุยกับพี่น้องประชาชนในวันนี้ ขอเรียนว่าเมื่อวานนี้วันที่ 5 มิถุนายนนั้น เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก และสำหรับพี่น้องคนไทยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้กำหนดให้เป็นวันข้าวและวันชาวนาแห่งชาติ ร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อมแก้ปัญหาวิกฤตโลก เร่งดูแลโครงการประกันภัยพืชผลให้แก่เกษตรกร และสุดท้ายในส่วนของสวัสดิการก็เป็นเรื่องที่มีข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการของชาวนา ซึ่งบังเอิญรัฐบาลนั้นได้มีการดำเนินนโยบายก่อนหน้านี้เรื่องกองทุนเงินออมแห่งชาติ และเรื่องของกองทุนสวัสดิการชุมชน ก็กำลังเอาทั้ง 3 ส่วนนี้มาพิจารณาดูว่าไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและจะทำอย่างไร แต่เป้าหมายของรัฐบาลนี้แน่นอนที่สุดก็คือต้องการให้อาชีพทางการเกษตรนั้นมีความมั่นคง และเราก็ยังมองว่าภาคการเกษตรนั้นในอนาคตจะมีความสำคัญมากขึ้น ไม่ใช่ลดลง เมื่อโลกต้องเผชิญกับวิกฤตในเรื่องของอาหารและพลังงาน และมีประเทศอย่างประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศไม่กี่ประเทศซึ่งมีศักยภาพเพียงพอที่จะใช้ผลผลิตทางการเกษตรมาตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของอาหาร ทั้งในเรื่องของพลังงาน ไม่เพียงแต่ในแง่ของการตอบสนองความต้องการภายในประเทศครับ แต่มีศักยภาพถึงขั้นที่จะสามารถส่งออกเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาซึ่งเป็นปัญหาของโลกด้วย อันนั้นก็คือความสำคัญของวันที่ 5 มิถุนายนเมื่อวานนี้ที่ได้มีการกำหนดทั้งในส่วนของสิ่งแวดล้อม และในส่วนของชาวนา และเกษตรกรของไทย ผมขอเรียนพี่น้องประชาชนครับวันนี้ผมตั้งใจว่าในรายการนั้นจะขอแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงที่ 1 จะพูดในเรื่องของการแก้ปัญหาบ้านเมือง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากทั้งเรื่องของเหตุการณ์ทางการเมืองและการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ช่วงที่ 2 นั้นจะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการที่จะเล่าถึงความคืบหน้าในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภัยแล้ง และการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการฟื้นฟูสภาพธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การชุมนุม และช่วงสุดท้ายครับจะมีพิธีกรรับเชิญมาพูดคุยสนทนาการที่ผมเดินทางไปประเทศเวียดนามหลังจากรายการนี้สิ้นสุดลง เพื่อไปร่วมในเวทีเศรษฐกิจโลก ในการประชุมสุดยอดของเอเชียตะวันออก อันนี้ก็เป็นแนวทางที่ตั้งใจที่จะพูดคุยกับพี่น้องประชาชนในวันนี้ในรายการ การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการของชาวนา ผมขอเรียนพี่น้องประชาชนครับวันนี้ผมตั้งใจว่าในรายการนั้นจะขอแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงที่ 1 จะพูดในเรื่องของการแก้ปัญหาบ้านเมือง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากทั้งเรื่องของเหตุการณ์ทางการเมืองและการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ช่วงที่ 2 นั้นจะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการที่จะเล่าถึงความคืบหน้าในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภัยแล้ง และการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการฟื้นฟูสภาพธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การชุมนุม และช่วงสุดท้ายครับจะมีพิธีกรรับเชิญมาพูดคุยสนทนาการที่ผมเดินทางไปประเทศเวียดนามหลังจากรายการนี้สิ้นสุดลง เพื่อไปร่วมในเวทีเศรษฐกิจโลก ในการประชุมสุดยอดของเอเชียตะวันออก อันนี้ก็เป็นแนวทางที่ตั้งใจที่จะพูดคุยกับพี่น้องประชาชนในวันนี้ในรายการ ตั้งคณะกรรมการอิสระสอบข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง แต่ว่าขณะเดียวกันครับ สิ่งที่ผมต้องย้ำก็คือว่า มีการอภิปรายซึ่งบางครั้งพูดเกินเลยไปครับ เสมือนกับว่ารัฐบาลนั้นกำลังที่จะผลักไสไล่ล่าพี่น้องประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล อันนี้ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงครับ และก็ตลอดระยะเวลาของการแก้ไขปัญหา เหตุการณ์การชุมนุมนั้นเราคำนึงเสมอภาคว่ามีพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่มาชุมนุมด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ เรียกร้องสิ่งที่เห็นว่าเป็นความคิดเห็นทางการเมือง ความเป็นธรรมในสังคม นั่นคือเหตุผลสำคัญที่สุดครับที่เราจะเห็นได้ว่าการปฏิบัติการต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่นั้นจะหลีกเลี่ยงและไม่ได้เข้าไปในบริเวณที่มีการชุมนุมหลัก ก็คือตรงเวทีที่ราชประสงค์เลย แต่ว่าจะใช้วิธีการในการปิดล้อม ในการกระชับวงล้อม เพื่อที่จะกดดันให้การชุมนุมนั้นสามารถยุติลงได้ โดยที่ไม่ต้องมีการปะทะกัน ซึ่งในที่สุดก็เป็นเช่นนั้นนะครับ แต่ว่าที่ต้องเข้าไปยึดพื้นที่ในบริเวณสวนลุมพินีก็เพราะว่าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ที่มีการเก็บรักษาอาวุธ และที่ผ่าน ๆ มาก่อนหน้านั้นก็มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 จากบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก ก็จะมีเหตุที่เกิดที่วัดปทุมวนารามฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องมีการสอบข้อเท็จจริงต่อไป แต่ผมก็ขอย้ำครับว่า การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตรงนั้น เราได้ให้นโยบายอย่างชัดเจนว่าในส่วนของเจ้าหน้าที่ จะไม่เข้าไปในบริเวณนั้น เนื่องจากว่าการชุมนุมได้ยุติลงแล้ว และอยู่ในช่วงที่พี่น้องประชาชนกำลังเดินทางกลับบ้าน มีเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปก็จะไปคุ้มกันเฉพาะการดับเพลิงที่เกิดขึ้นที่สยามสแควร์ แต่ว่าข้อเท็จจริงอย่างที่เรียนก็คือว่าจะต้องมีการสอบข้อเท็จจริงในรายละเอียดต่อไป เร่งเดินหน้าแผนปรองดองเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น สำหรับในส่วนถัดมาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของปัญหาการสื่อสารมวลชน ตรงนี้ผมได้มีการพูดคุยกับทางคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีความคิดที่จะทำโครงการลักษณะนี้อยู่แล้วก็จะทำงานร่วมกันกับบรรดาองค์กรวิชาชีพสื่อต่าง ๆ ซึ่งได้เคยมาพบผมก่อนหน้านี้ และมีข้อเสนอเบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับการที่จะทำให้สื่อสารมวลชนนั้นมีเสรีภาพในการแสดงออก แต่ในการใช้เสรีภาพนั้น ไม่สร้างความขัดแย้ง ไม่สร้างความเกลียดชัง และก็ไม่นำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรงอีก ตรงนี้ก็ได้มีการพูดคุยกับท่านคณบดีแล้ว และท่านก็กำลังกลับไปที่จะดำเนินการเพื่อที่จะดูเพิ่มเติมว่าจะวางรูปแบบในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร ซึ่งคาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนเช่นเดียวกัน ทาบทามอธิการบดีนิด้าเข้ามาช่วยแก้ปมปัญหารัฐธรรมนูญและกฎหมายต่าง ๆ อันนี้ก็คือสิ่งที่เป็นปัญหา ปมปัญหาที่ได้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวผม ก็ต้องขอขอบคุณเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎรที่ได้ให้ความไว้วางใจผม ผมก็ขอเรียนครับว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สิ่งที่ผมตั้งใจก็คือว่าจะเร่งฟื้นฟูและผลักดันในเรื่องของแผนปรองดองให้เร็วที่สุด บางเรื่องอย่างที่ผมได้เรียนแล้วว่าคงไม่สามารถเสร็จสิ้นได้ในรัฐบาลนี้ แต่ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม เมื่อแผนตรงนี้เดินหน้าไปได้ระดับหนึ่ง สังคมมีความมั่นคง การตัดสินใจทางการเมืองนั้นจะเป็นเรื่องที่เรากลับมาพิจารณา เพราะว่าผมก็ต้องการที่จะหาทางออกให้กับประเทศที่เหมาะสมที่สุด แต่ระหว่างนี้ครับสิ่งที่สำคัญก็คือว่ารัฐบาลนั้นจะต้องสามารถบริหารบ้านเมืองเพื่อผลักดันแผนฟื้นฟูและแผนปรองดองให้เป็นรูปธรรมได้ และต้องยอมรับครับว่าแม้ว่าสถานการณ์ต่าง ๆ เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น แต่ว่าปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและความมั่นคงนั้นยังดำรงอยู่ เราก็กำลังมีการทบทวนไปในเรื่องของความเหมาะสมในการยกเลิกภาวะฉุกเฉินตามพื้นที่ต่าง ๆ อย่างที่เคยได้กราบเรียนพี่น้องประชาชนให้ทราบแล้วว่า จะประเมินจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในพื้นที่ที่จะคอยรายงานมาเป็นระยะ ๆ ว่าเหมาะสมที่จะเลิกเมื่อไหร่ รัฐบาลมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีเสียงข้างมากที่เข้มแข็งตามสมควร ด้วยเหตุผลนี้ครับเมื่อมีโจทย์ว่าผมต้องการที่จะให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาทั้งความมั่นคงที่เราเผชิญอยู่กับการฟื้นฟูการปรองดองขึ้น เกิดปัญหาการลงมติการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ที่มีความขัดแย้งกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งความจริงผมก็ทราบมาก่อนหน้านี้ว่ามีปัญหาส่วนหนึ่งแล้วในแง่ของการที่จะลงมติไม่ไว้วางใจระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ผมก็จำเป็นจะต้องดูว่าการรวบรวมเสียงข้างมาก เพื่อทำงานต่อไปนั้นจะทำได้อย่างไร ผมเคารพการตัดสินใจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกพรรคในการลงมติ แต่ว่าอย่างไรก็ตามครับ เสียงข้างมากที่รัฐบาลจะสามารถรวบรวมและมีความเป็นเอกภาพ ก็จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อแผ่นดิน เนื่องจากว่าพรรคเพื่อแผ่นดินนั้นในอดีตที่ผ่านมานั้นจะทำงานในลักษณะเป็นกลุ่ม ๆอยู่แล้ว การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ก็คือดูให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อแผ่นดินที่ยังมีความพร้อมในการที่จะสนับสนุนรัฐบาลอย่างเป็นเอกภาพต่อไป ก็ยังมีบุคคลเข้ามาร่วมรัฐบาลที่จะแก้ไขปัญหาและเดินหน้าในการทำงานต่อไป สั่งรมว.คมนาคมตรวจสอบความโปร่งใสโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ส่วนประเด็นปัญหาว่ามติคณะรัฐมนตรีที่รับทราบผลของการดำเนินการ มีปัญหาในการขัดหรือไปยกเลิก หรือผิดเพี้ยนไปจากเจตนารมณ์ของมติครม.เมื่อปี 2551 หรือไม่ ผมก็ขอเรียนว่าเรื่องนี้เมื่อเข้าสู่การพิจารณาของทางคณะรัฐมนตรี มติคณะรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคม ปี 2552 ได้เขียนชัดเจนครับว่า มติในเรื่องของกรอบวงเงินปี 2551 เป็นอย่างไรก็ต้องคงกรอบวงเงินตามเจตนารมณ์ของมติปี 2551 ไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องซึ่งได้มีการติดตามและพยายามที่จะรักษาผลประโยชน์ในการลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกระบวนการของการตรวจสอบก็จะดำเนินต่อไปเนื่องจากว่ามีการยื่นในเรื่องของการถอดถอน ซึ่งการถอนถอดก็ถอดถอนทั้งตัวผม ทั้งท่านรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ เทือกสุบรรณ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งระงับและตรววจสอบโครงการขยายถนนสู่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ส่วนกรณีของกระทรวงมหาดไทย ผมก็ขอเรียนครับ เช่นเดียวกันครับว่าขณะนี้ได้ให้รวบรวมประเด็นปัญหาที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน การโยกย้ายแต่งตั้งซึ่งส่วนหนึ่งขณะนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการตรวจสอบอยู่แล้ว ผมจะให้มีการรวบรวมรายงาน และจะตรวจสอบเพิ่มเติม และเช่นเดียวกันครับถ้าหากว่าเรื่องใดพบว่ามีการกระทำที่ไม่ถูกต้องก็จะต้องมีการดำเนินการในเรื่องของการแสดงความรับผิดชอบต่อไป เพราะฉะนั้นไม่มีการละเลยในเรื่องนี้ พร้อม ๆกันไปนั้นผมก็จะมีการปรับปรุงในเรื่องของการแบ่งงานต่าง ๆ การกำกับดูแลเพื่อให้มีความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนครับว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นข้อสงสัยเกี่ยวข้องกับกระทรวงหลัก ๆ เหล่านี้ ก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการทำงานให้เกิดความมั่นใจในเรื่องของความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้ง 2 กระทรวงที่ได้กล่าวมาแล้ว และผลจากการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ ก็มีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของพรรคการเมืองที่เข้าไปดูแลกระทรวงสำคัญอีก 2 กระทรวงก็คือพรรคประชาธิปัตย์จะเข้าไปดูแลในเรื่องของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งมีความสำคัญทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ และเรื่องความมั่นคง กับกระทรวงอุตสาหกรรม ถือเป็นอีกหนึ่งกระทรวงหลักของทางด้านเศรษฐกิจต่อไป เตรียมตั้งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: โพสต์ทูเดย์, ไอเอ็นเอ็น, กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
เปิดข้อกล่าวหา 8 เหตุการณ์ "โค่นอำมาตย์ องคมนตรี-บงการป่วนเมือง" แจ้งข้อหา 'ณัฐวุฒิ' คดีก่อการร้าย Posted: 06 Jun 2010 08:44 AM PDT มติชนออนไลน์เปิดเผยบันทึกลับดีเอสไอยก 8 เหตุการณ์โค่น "อำมาตย์ องคมนตรี-บงการป่วนเมือง" แจ้งข้อหา 'ณัฐวุฒิ' คดีก่อการร้าย 6 มิ.ย. 53 - มติชนออนไลน์รายงานว่า ภายหลังจากรัฐบาลปฏิบัติการณ์กระชับวงล้อมเพื่อขอคืนพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ จากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายขวัญชัย สาราคำ (ขวัญชัย ไพรพนา) นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นายนิสิต สินธุไพร แกนนำ นปช. ได้เข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อมาบุคคลทั้งหมดถูกส่งตัวไปคุมขังที่ค่ายตำรวจตระเวณชายแดน (ค่ายนเรศวร) อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ยกเว้นนายจตุพร ที่ได้รับการปล่อยตัวเพราะใช้เอกสิทธิ์ในความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพียงคนเดียว ในค่ำวันเดียวกันทั้ง 5 คนถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 ,135/2 ,135/3 ประกอบมาตรา 83, 84 , 85 "มติชนออนไลน์" เปิดบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวน ต่อนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เมื่อเวลา ประมาณ 20.40 น. วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ดังนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวน ที่ปรากฎตามรายชื่อท้ายบันทึกนี้ ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบว่า ....ช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึง พฤษภาคม 2553 ได้มีกลุ่มบุคคลเรียกชื่อว่า แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า กลุ่ม นปช. หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กลุ่มคนเสื้อแดง โดยมี (1) นายวีระ มุสิกพงศ์ (2) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ (3) นายจตุพร พรหมพันธุ์ (4) นายเหวง โตจิราการ (5) นายอริสมันต์ หรือ กี้ พงษ์เรืองรอง (6) นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน (7) พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ (8) นายขวัญชัย สาราคำ หรือขวัญชัย ไพรพนา (9) พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง และบุคคลอื่นๆ อีกจำนวนมากเป็นแกนนำหลักทำหน้าที่ในการวางแผนควบคุม สั่งการ หรืออำนวยการ หรือสลับสับเปลี่ยน กล่าวปราศรัยโจมตีฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายตรงข้ามบนเวทีชุมนุม เคลื่อนไหว ได้ร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นชุมนุมประท้วง โต้แย้ง เคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ยุบสภาในทันทีโดยเร็ว ปลุกระดมมวลชนขับเคลื่อนการชุมนุมให้เข้าสู่ความขัดแย้ง หรือปลุกปั่น บิดเบือนความจริง หรือยุยุงส่งเสริมด้วยคำพูดที่รุนแรงก้าวร้าว สร้างปมขัดแย้ง อาฆาตมาดร้ายให้เกลียดชังรัฐบาล จนทำให้ไม่สามารถชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธได้ จากการสอบสวนสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ มีพยานหลักฐานตามสมควรว่า ในระหว่างการชุมนุมหรือเคลื่อนไหว ได้มีกองกำลัง ของการ์ด นปช. หรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายได้มีการกระทำผิดตามกฏหมาย โดยสั่งสมกำลังอาวุธสงคราม มีและใช้อาวุธปืน เครื่องอาวุธ และวัตถุระเบิด ก่อวินาศกรรม หรือใช้ความรุนแรง ในการตอบโต้ต่อต้านรัฐบาล หรือเจ้าหน้าที่รัฐ หรือฝ่ายตรงข้ามเพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนการชุมนุมเคลื่อนไหวให้บรรลุวัตถุประสงค์ในข้อเรียกร้องหรือเงื่อนไขต่างๆ ควบคู่ไปด้วย โดยแกนนำหลักยอมรับอย่างเปิดเผยหรือโดยปริยายว่า กองกำลังไม่ทราบฝ่ายเข้ามาช่วยเหลือ หรือ สนับสนุนคนเสื้อแดง แท้จริงแล้วทั้งการ์ด หรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายก็เป็นกองกำลังติดอาวุธ ส่วนหนึ่งของกลุ่ม นปช.นั้นเอง ผลจากการกระทำความดังกล่าวข้างต้นทำให้ มีผู้เสียชีวิตและได้รับอันตรายสาหัสจำนวนมาก มีทั้งประชาชนผู้บริสุทธิ์และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าปฏิบัติหน้าที่เพื่อแก้ไขสถานการณ์รุนแรงต่างๆ หรือทำให้ประชาชน ถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของทางราชการหรือของเอกชนตลอดทั้งอาวุธยุทธภัณฑ์ทางทหารสูญหายเสียหาย ก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจอย่างร้ายแรง โดยมีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เป็นความผิด เช่น -วันที่ 12 มีนาคม 2553 มีการปิดถนนที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขตพระนคร กทม. โดยกลุ่ม นปช. และวันที่ 3 เมษายน 2553 เคลื่อนพลเข้ายึดสี่แยกราชประสงค์ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม.ซึ่งเป็นศูนย์กลางย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพมหานครทั้งเวทีชุมนุมกดดัน ขู่เข็ญ หรือบังคับให้รัฐบาลยุบสภา คู่ขนานไปกับการชุมนุมสะพานผ่านฟ้า โดยมีประชาชนจากต่างจังหวัดเดินทางเข้าร่วมชุมนุมเคลื่อนไหวจำนวนหลายหมื่นคนอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันนี้ยังคงมีเวทีชุมุนุมที่สี่แยกราชประสงค์เพียงแห่งเดียว มีลักษณะเป็นศูนย์บัญชาการหรืออำนวยการ สั่งการไปยังกลุ่ม นปช. ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีกิจกรรมเคลื่อนไหว ผู้ชุมนุมบางส่วนแบบดาวกระจายไปตามถนนสายต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร ส่งผลกระทบต่อการคมนาคมการขนส่งของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางที่กลุ่ม นปช. เคลื่อนที่ผ่าน แจกจ่ายสติ๊กเกอร์ สีแดงให้ยุบสภา นำเลือดมนุษย์ไปเทราดตามสถานที่สำคัญหลายแห่ง กล่าวโจมตีรัฐบาลว่ามีที่มาโดยไม่ชอบธรรม หรือมาจากการปฏิวัติรัฐประหารหรือจากเผด็จการ กล่าวโจมตีหน่วยงานหรือองค์กรของรัฐว่ากระทำหรือปฏิบัติต่อกลุ่ม นปช.อย่างสองมาตรฐาน ต้องการโค่นล้มอำมาตย์ หรือองคมนตรีซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร ยุยง ปลุกปั่น บิดเบือนข้อมูลข่าวสารให้ผู้ชุมนุมให้เกลียงชัง อาฆาตมาดร้ายรัฐบาล ปลุกใจให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมมีความกล้า ฮึกเหิมเพื่อจะต่อสู้กับรัฐบาลทุกรูปแบบ เช่น ประกาศว่าหากมีการสลายการชุมนุมให้คนเสื้อแดงทั่งประเทศฌาปนกิจศาลากลางทันที -วันที่ 19 มีนาคม 2553 กลุ่ม นปช.ได้บุกรุกไปที่สถานีดาวเทียมไทยคมที่ตำบลลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี และต่อเชื่อมสัญญาณโทรทัศน์ PTV ได้สำเร็จ ทั้งๆที่รัฐบาลได้ใช้มาตรการตามกฏหมายปิดชั่วคราวแล้ว -วันที่ 7 เมษายน 2553 กลุ่มคนเสื้อแดงได้บุกเข้าไปในรัฐสภา แขวงอู่ทองใน เขตดุสิต กทม.ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ และใช้กำลังทำร้ายร่างกายทหารที่สวมเครื่องแบบในการปฏิบัติหน้าที่รวมทั้งได้ยึดอาวุธประจำกายที่รัฐสภา -เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 รัฐบาลได้มีการสั่งการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและตำรวจผลักดันกลุ่ม นปช.เพื่อขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขตพระนคร และที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ได้เกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างฝ่ายทหารหรือตำรวจกับกลุ่ม นปช.โดยการปลุกระดม ยุยงของแกนนำบนเวทีให้ผู้ชุมนุมช่วยกันต่อต้านและขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเอาฟื้นที่คืนไปได้ และมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายแฝงตัวอยู่กลับกลุ่ม นปช.ได้ใช้อาวุธปืนสงคราม ระเบิดขว้าง เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่ทหารและประชาชนทั่วไปเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก กลุ่ม นปช.ได้ถอดชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถหุ้มเกราะจนไม่สามารถใช้ปฏิบัติการได้ มีการสกัดกั้นรถยนต์ของทางราชการ ยานพาหนะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์บรรทุกทหารจนไม่สามรถใช้การได้ที่บริเวณสะพานพระปิ่นเกล้าและสี่แยกคอกวัว ยึดอาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการทหารไปจำนวนมาก และรถยนต์พาหนะไปบางส่วน ส่วนที่เป็นอาวุธยุทธภัณฑ์บางส่วนยังไม่ได้คืนมา นอกจากนี้ยังมีการจับกุมทหารไปเป็นตัวประกัน -วันที่ 16 เมษายน 2553 กลุ่ม นปช.ได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าจับกุมแกนนำตามหมายจับของศาล ที่โรงแรม เอสซี ปาร์ค แขวง/เขตวังทองหลาง กทม. เพื่อช่วยเหลือแกนนำคนดังกล่าวไม่ให้ถูกจับและตำรวจถูกสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บ มีการควบคุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าจับกุมไปเป็นตัวประกันด้วย ปัจจุบันได้รับการปล่อยตัวแล้ว -วันที่ 22 เมษายน 2553 เกิดการปะทะกันบนถนนสีลม เขตบางรัก กทม. ระหว่าง นปช. กับชาวสีลม ที่ไม่เห็นด้วยกับ นปช. และซึ่งได้รวมตัวกันประท้วงและสนับสนุนรัฐบาล ในการปะทะดังกล่าวได้มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 ประมาณ 5 ลูก จากกลุ่มบุคคลที่แฝงตัวอยู่จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก -วันที่ 28 เมษายน 2553 แกนนำกลุ่ม นปช. ได้นำผู้ชุมนุมบางส่วนไปตามถนนวิภาวดี รังสิต โดยอ้างว่าจะไปให้กำลังใจแก่กลุ่ม นปช. อีกส่วนหนึ่งที่ได้กระทำการปิดถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้าและตรวจค้นยานพาหนะของประชาชน จนเกิดการปะทะต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารหรือตำรวจที่เข้าไปแก้ไขสถานการณ์ บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี จนทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตและทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคลได้รับความเสียหาย -วันที่ 3 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้เข้าตรวจค้นและยึดอาวุธปืนอาร์ก้า จำนวน 5 กระบอก อาวุธปืน เอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนคาร์บิน 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืนอาวุธดังกล่าวตลอดจนทั้งลูกระเบิดเอ็ม 67 ,เอ็ม 26,เอ็ม 79 รวม 12 ลูก ประทัดยักษ์อีกจำนวนหนึ่ง แก็สน้ำตา พร้อมทั้งสัญลักษณ์ของกลุ่ม นปช. และรถยนต์ฮอนด้ารุ่น ซีอาร์วี 1 คันที่ซอยอ่อนนุช แขวงสวนหลวง กทม. ตามพฤติกรรมต่างๆ ดังกล่าวของกลุ่ม นปช. จึงเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการชุมุนุมเคลื่อนไหวที่มีเจตนาร่วมกันบังคับขู่เข็ญรัฐบาลเพื่อให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการตามวัตถุประสงค์ อันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือสร้างความปั่นป่วนโดยทำให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนที่จะดำเนินชีวิตตามปกติสุข โดยมีผู้ต้องหาเป็นหนึ่งในแกนนำหลักของกลุ่มในฐานะเป็นตัวการร่วมหรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดด้วยการยุยงส่งเสริมหรือกด้วยวิธีการอื่นใดหรือโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำผิด หรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กระทำผิดกฎหมาย โดยมีการร่วมกันเป็นขบวนการหรือเป็นเครือข่าย มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แบ่งหน้าที่กันทำ แต่มีอุดมการณ์และวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน หรือ กระทำการโดยการตระเตรียมหรือสมคบหรือสนับสนุนการก่อการร้าย การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดในข้อหา...ร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 ,135/2 ,135/3 ประกอบมาตรา 83, 84 , 85 เหตุเกิดที่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในพื้นที่บางจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง เมื่อระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึงเดือนพฤษภาคม 2553 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้แจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบและแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนให้ทราบว่าผู้ต้องหามีสิทธิตามกฎหมายคือ 1.สิทธิได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม 2.สิทธิที่จะมีทนายความ 3.สิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ 4.สิทธิที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้ 5.ถ้าผู้ต้องหาให้การ ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้น อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้แจ้งข้อหาและสิทธิให้ผู้ต้องหานี้ทราบก่อนเริ่มสอบสวนปากคำโดยมิได้มีการบังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวง ทรมาน ใช้กำลังบังคับ หรือกระทำการโดยมิชอบด้วยประการใดๆ ผู้ต้องหาทราบและเข้าใจดีแล้ว ได้อ่านบันทึกนี้ให้ผู้ต้องหาฟังแล้ว รับว่าถูกต้อง จึงให้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน ลงชื่อ นายณัฐวุฒิใสยเกื้อ ผู้ต้องหา ลงชื่อ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน ผู้แจ้งข้อกล่าวหา ลงชื่อ พ.ต.ท.เสกสรร ศรีตุลากร ผู้ร่วมแจ้งข้อกล่าวหา /บันทึก/อ่าน ลงชื่อ พ.ต.ต.แดนชัย ทูลอ่อง ผู้ร่วมแจ้งข้อกล่าวหา ลงชื่อ ร.ต.อ.ณัฐพงษ์ น้อยน้ำค ผู้ร่วมแจ้งข้อกล่าวหา ลงชื่อ นายธเนศ พ่วงพูล ทนายความผู้ต้องหา ที่มา: มติชนออนไลน์
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ผลเลือกตั้ง สข.ปชป.ชนะยกทีม 10 เขต พท.3 เขต Posted: 06 Jun 2010 08:30 AM PDT <!--break--> 6 มิ.ย. 53 - นายทวีศักดิ์ เดชเดโช รองปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) แถลงผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) 14 เขต ได้แก่ เขตบางกะปิ, เขตลาดพร้าว, บึงกุ่ม, วังทองหลาง, สะพานสูง, คันนายาว, บางเขน, จตุจักร, หลักสี่, ดอนเมือง, สายไหม, มีนบุรี, คลองสามวาและเขต ลาดกระบัง มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้น 1,450,957 คน ออกไปใช้สิทธิใน 2,100 หน่วยเลือกตั้ง มีผู้มาใช้สิทธิ 542,955 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 37.42% มากกว่าครั้งที่แล้ว 2.03% ทั้งนี้มีผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนนทั้งหมด 37,408 หรือ 6.89% บัตรเสีย 26,668 หรือ 4.91% ลดลงจากเดิม 0.03% โดยเขตคันนายาวมีผู้มาใช้สิทธิมาที่สุด 45.69% รองลงมาเป็นเขตหลักสี่ 41.62% และเขตสะพานสูง 39.88% ส่วนเขตที่มีผู้มาใช้สิทธิน้อยที่สุดคือเขตจตุจักร 33.30% สำหรับผลการเลือกตั้ง 14 เขตพบว่า ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ชนะยกทีมทั้งหมด 10 เขต ได้แก่ ลาดพร้าว บึงกุ่ม วังทองหลาง สะพานสูง หลักสี่ บางเขน จตุจักร สายไหม คลองสามวา บางกะปิ ส่วนพรรคเพื่อไทย (พท.) ชนะยกทีม 3 เขต ได้แก่ เขตคันนายาว ดอนเมือง ลาดกระบัง ส่วนเขตมีนบุรี ปชป.ได้รับเลือก 4 คน และพรรคเพื่อไทย 3 คน รวมเก้าอี้ส.ข.ทั้งหมด 105 ราย ปชป.ได้รับเลือกตั้งจำนวน79 คน เพื่อไทย 26 คน 14 เขตเร่งนับคะแนนหลังปิดหีบ ทั้งนี้เมื่อเวลา 17.30 น. มีผลการนับคะแนนถูกส่งเข้ามาที่ ศูนย์ประสานงานการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร ศาลาว่าการ กทม.ทั้งสิ้น 46 % จากทั้งหมด โดยพบว่า คะแนนของผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ใน 8 เขต มีคะแนนนำผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ได้แก่ วังทองหลาง บางกะปิ ลาดพร้าว บึงกุ่ม สะพานสูง จตุจักร สายไหม และคลองสามวา ขณะที่ ผลคะแนนในอีก 6 เขต ได้แก่ มีนบุรี ลาดกระบัง บางเขน หลักสี่ ดอนเมือง และคันนายาว ค่อนข้างสูสีกัน นายทวีศักดิ์ เดชเดโช รองปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ภาพรวมการจัดการเลือกตั้ง สข. ในวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น และไม่มีการร้องเรียนเรื่องการทุจริต ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถนับคะแนนเลือกตั้งแล้วเสร็จและประกาศผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการได้ในเวลา 19.00 น. บรรยากาศเลือกส.ข.เงียบเหงา ปชป.ขอบคุณประชาชนช่วยเลือกผู้สมัคร นายองอาจ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ผลการเลือกตั้ง ส.ข. 14 เขตนี้พรรคได้รับเลือกน้อยมากมาโดยตลอด แต่คราวนี้ได้มากกว่าเดิมเท่าตัว ซึ่งส่วนหนึ่งของการได้รับเลือกครั้งนี้เพราะในช่วงที่ผ่านมาในหลายพื้นที่ในหลาย ๆ เขต พรรคฯ พยายามทำงานหนักเพื่อให้พี่น้องประชาชนเห็นผลงานและช่วยสนับสนุนผู้สมัครของพรรค ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ส่วนในอีกบางเขตที่พรรค ยังไม่ได้รับเลือกตั้งนั้นก็จะพยายามทำงานหนักต่อไป เพื่อไทยโวยพื้นที่ฐานเสียงถูกขวางใช้สิทธิ์ "เป็นที่น่าสังเกตว่าการย้ายหน่วยเลือกตั้งเกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ชุมชนที่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ขณะที่ของพรรคประชาธิปัตย์กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลง แสดงให้เห็นเจตนาว่าไม่สนับสนุนให้ประชาชนได้ใช้สิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้ง วิธีการเช่นนี้ไม่สมควรแก่เหตุผล และที่ผ่านมาก็ไม่เคยปรากฏเหตุเช่นนี้มาก่อน"น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว อนึ่งสำหรับการเลือกตั้ง สข.ทั้ง 14 เขต ปีนี้มีผู้สนใจสมัครเป็นสมาชิกสภาเขตรวม 275 คน เป็นชาย 210 คน เป็นหญิง 65 คน โดยมีพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น สข.ประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ 105 คน พรรคเพื่อไทย 105 คน พรรคภูมิใจไทย 7 คน กลุ่มอดีต ส.ส.มงคล 8 คน กลุ่มสุวรรณภูมิ 8 คน กลุ่มดอนเมืองอิสระ 8 คน กลุ่มแนวร่วมพัฒนาหลักสี่ 7 คน กลุ่มพันธมิตรรักบางกะปิ 8 คน และผู้สมัครอิสระอีก 19 คน ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: โพสต์ทูเดย์, ครอบครัวข่าว, สำนักข่าวไทย สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สมานฉันท์แรงงานไทย เตรียมยื่นข้อเรียกร้อง แรงงานที่ได้รับกระทบจากการชุมนุม Posted: 06 Jun 2010 07:49 AM PDT <!--break--> 6 มิ.ย. 53 - สำนักข่าวไทยรายงานว่าภายหลังการหารือระหว่างคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กับเครือข่ายผู้ใช้แรงงานพบว่า ยังมีแรงงานในหลายกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมและยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐแต่อย่างใด อาทิ แรงงานภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ได้แก่ สถานบริการ นวดแผนโบราณ ร้านอาหาร บาร์เบียร์ บาร์อะโกโก้ และงานบริการย่านกลางคืนกว่า 200 แห่งในพื้นที่ศาลาแดง สีลม สุรวงศ์ ธนิยะ พัฒน์พงศ์ สาทร ซึ่งพนักงานนับพันคนต้องขาดรายได้จากการปิดกิจการลงร่วม 2 เดือน และยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ และมีแรงงานก่อสร้างในพื้นที่ดังกล่าวอีก 300 คนที่ถูกเลิกจ้างกะทันหันด้วยหตุผลนายจ้างระบุไม่มีเงินจ้าง นอกจากนี้ยังมีแรงงานข้ามชาติ และลูกจ้างขายของหน้าร้านรายวันด้วย ทั้งนี้ น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธาน คสรท. กล่าวว่า วันอังคารนี้จะนำจดหมายเปิดผนึกไปเสนอต่อกระทรวงแรงงานผ่านไปให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในข้อเรียกร้อง 3 ข้อคือ 1.ขอให้เร่งด่วนช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยชดเชยรายได้เช่นเดียวกับที่ให้เจ้าของธุรกิจ 2. ให้ช่วยเหลือและส่งเสริมสวัสดิการสังคมอย่างต่อเนื่องต่อผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งความเสียหายต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจในระยะยาว 3.ปรับวิกฤติเป็นโอกาสโดยจัดตั้งเป็นกองทุนทางสังคมช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ส่วนแรงงานข้ามชาติ เบื้องต้นจะเสนอให้มีการต่อระยะเวลาขึ้นทะเบียนที่ได้รับผลกระทบ
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
โปรดเกล้าแต่งตั้ง รมต.ใหม่ 8 ตำแหน่ง "อภิสิทธิ์" นำเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตน พรุ่งนี้ 17.00 น. Posted: 06 Jun 2010 05:11 AM PDT <!--break--> นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผย ระหว่างการเดินทางไปประชุมเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรั่ม ที่ประเทศเวียดนามเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง รัฐมนตรีใหม่ 8 ตำแหน่งแล้ว
สำหรับรายชื่อรัฐมนตรีทั้ง 8 ตำแหน่งประกอบด้วย 1.นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม 2.นายจุติ ไกรฤกษ์ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) 3.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน 4.นายนิพิกฐ์ อินทรสมบัติ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม 5.นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ เป็น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 6.นายวีระชัย วีระเมธีกุล เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 7.นายมั่น พัธโนทัย เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง 8.นายไชยยศ จิรเมธากร เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
โดยในวันพรุ่งนี้ (7 มิ.ย.) นายอภิสิทธิ์ จะนำรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณตนที่ รพ.ศิริราชในเวลา 17.00 น.
ที่มา: มติชนออนไลน์ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น