โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

รายงานสถาบันนิติเวช เปิดผลชันสูตร 6 ศพวัดปทุมฯ

Posted: 02 Jun 2010 01:03 PM PDT

สถาบันนิติเวชวิทยา ส่งรายงานผลการชันสูตร 6 ศพ ในวัดปทุมฯ ให้ สน.ปทุมวัน วิถีกระสุน "บนลงล่าง" พบ 3 ศพ รวมพยาบาลอาสา ถูกระดมยิง ส่วนกระสุนเป็นแบบ 5.56 มม. เป็นชนิดที่ "นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้"

<!--break-->

วันนี้ (2 มิ.ย.) กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานว่าสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พ.ต.อ.นพ.พรชัย สุธีรคุณ รองผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา (รอง.ผบก.นต.) ได้ส่งรายงานผลการชันสูตรพลิกศพของผู้เสียชีวิตภายในวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร จำนวน 6 ศพ ซึ่งคาดว่าเป็นการเสียชีวิตช่วงเย็นและค่ำของวันที่ 19 พ.ค.2553 ที่รัฐบาลโดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เปิดปฏิบัติการ "กระชับวงล้อม" การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ให้กับพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน

 

รายละเอียดผลการชันสูตรมีดังนี้

ศพที่ 1 นายวิชัย มั่นแพ อายุ 61 ปี

ผู้ตายมีบาดแผลบริเวณผิวหนังทะลุบริเวณต้นแขนขวาด้านนอก บาดแผลผิวหนังทะลุต้นแขนขวา และบาดแผลบริเวณทรวงอกด้านขวา สันนิษฐานกระสุนทะลุปอดขวา กะบังลม ตับ ไตขวา ขั้วยึดลำไส้ พบเศษทองแดง 2 ชิ้นบริเวณขั้วยึดลำไส้ ทิศทางจากขวาไปซ้าย หน้าไปหลัง และบนลงล่าง

ความเห็นเพิ่มเติม - ถูกยิง 1 นัด ระยะเกินมือเอื้อม

สาเหตุการตาย - กระสุนทำลายปอด ตับ

 

ศพที่ 2 นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี

มีบาดแผลผิวหนังทะลุบริเวณหลังด้านซ้าย บาดแผลผิวหนังทะลุบริเวณทรวงอกด้านซ้ายส่วนบน กระสุนตัดกระดูกซี่โครงด้านซ้ายซี่ที่ 3 ทะลุปอดซ้าย ทิศทางจากหลังไปหน้าแนวตรง

ความเห็นเพิ่มเติม - ถูกยิง 1 นัด ระยะเกินมือเอื้อม

สาเหตุการตาย - กระสุนทำลายปอด

 

ศพที่ 3 นายมงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี

พบบาดแผลฉีกขาดตื้นๆ รูวงกลมบริเวณต้นแขนซ้าย 2 แห่ง พบบาดแผลผิวหนังทะลุบริเวณทรวงอกด้านซ้าย กระสุนตัดกระดูกซี่โครงด้านหน้าซี่ที่ 2-3 กระดูกกลางอก ทะลุปอดซ้าย หัวใจ ปอดขวา กะบังลม ตับ พบเศษทองแดงในเสื้อ เศษตะกั่วเล็กๆ ในหัวใจและปอด ทิศทางจากซ้ายไปขวา หน้าไปหลัง และบนลงล่าง

สาเหตุการตาย - กระสุนทำลายหัวใจ ปอด ตับ

 

ศพที่ 4 นายสุกัน ศรีรักษา อายุ 31 ปี

มีบาดแผลทะลุผิวหนังถึง 9 แห่ง โดยบาดแผลที่ 1 กระสุนทะลุซี่โครงซี่ที่ 2 ด้านซ้าย ทะลุปอดซ้าย ทะลุเยื่อหุ้มหัวใจและกล้ามเนื้อหัวใจฉีกขาด พบโลหะคล้ายหัวกระสุนปืนหุ้มทองแดง 1 ชิ้น ค้างอยู่ที่เนื้อชายโครงด้านขวาไม่ทะลุออก ทิศทางจากซ้ายไปขวา บนลงล่าง หลังไปหน้าเล็กน้อย

สาเหตุการตาย - ปอดคั่งเลือดทั่วไป กล้ามเนื้อหัวใจฉีกขาด ตับคั่งเลือด เสียโลหิตเป็นจำนวนมาก

 

ศพที่ 5 นายอัครเดช ขันแก้ว อายุ 22 ปี (ผู้ช่วยพยาบาลอาสา)

ตรวจพบบาดแผลทะลุผิวหนังจำนวน 7 แห่ง พบรอยช้ำใต้หนังศีรษะบริเวณท้ายทอยด้านซ้าย สมองพบเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก กระสุนทะลุกระดูกกรามด้านขวาหัก กระดูกโหนกแก้มขวาแตก พบเศษตะกั่วในช่องปากและฐานกะโหลกศีรษะ และพบเศษตะกั่วบริเวณกระดูกก้นกบ

สาเหตุการตาย - ถูกยิง 2 นัด ระยะเกินมือเอื้อม เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก เนื้อสมองช้ำจากการถูกแรงกระแทก (กระสุนทะลุช่องปาก)

 

ศพที่ 6 น.ส.กมนเกด อัดฮาด อายุ 25 ปี (พยาบาลอาสา)

พบว่ามีบาดแผลถูกยิงทะลุผิวหนังมากถึง 10 แห่ง โดยบาดแผลที่ 1 กระสุนถูกเข้าที่หลัง ผ่านขึ้นด้านบน ผ่านแนวลำคอหลังทะลุ ผ่านกะโหลกศีรษะซีกซ้าย ทะลุสมองน้อยและสมองใหญ่ พบชิ้นส่วนโลหะคล้ายหัวกระสุนหุ้มทองแดง 1 ชิ้นค้างที่กะโหลกด้านขวา ทิศทางจากล่างขึ้นบน หลังไปหน้า ขวาไปซ้ายเล็กน้อย ลักษณะหมอบลงกับพื้น หน้าหันลงพื้นดิน บาดแผลที่ 2-4 ถูกยิงเข้าบริเวณอก บาดแผลที่ 5-10 ถูกยิงบริเวณแขนและขา ลักษณะถูกระดมยิง

สาเหตุการตาย - กระสุนทะลุหลังเข้าไปทำลายสมอง ซึ่งแพทย์ผู้ตรวจยังไม่สามารถระบุได้ว่าถูกยิงจากบนลงล่างหรือไม่ แต่จากการสันนิษฐานเชื่อว่า น.ส.กมนเกด หลบหน้าแนบพื้น ถูกระดมยิงจากด้านหลัง ซึ่งการตรวจสอบที่แน่ชัดต้องมีพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาประกอบด้วย เพราะการจำลองใช้เลเซอร์มาวางแนววิถีกระสุนก็ทำไม่ได้ในกรณีนี้ เนื่องจากหัวกระสุนไปถูกกระดูกและกระดอนไปมาทำให้ร่างกายเสียหายมากจนไม่สามารถจำลองแนวการยิงได้อย่างแน่ชัด

 

การตรวจที่เกิดเหตุ

กลุ่มงานตรวจอาวุธและเครื่องกระสุน กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ได้รับของกลางจากศพผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ศพภายในวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร พบเศษรองลูกกระสุนปืนเล็ก (ทองแดง) ขนาด 5.56 มม.จำนวน 5 ชิ้น เศษรองลูกกระสุนปืน (ทองแดง) ไม่สามารถระบุขนาดได้จำนวน 3 ชิ้น พบเศษตะกั่วทรงกลมไม่สามารถระบุได้จำนวน 3 ชิ้น

 

ความเห็นผู้เชี่ยวชาญ

ของกลางที่พบเป็นเครื่องกระสุนปืนเล็กกล ขนาด 5.56 มม.และเป็นเครื่องกระสุนแบบที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ เป็นกระสุนปืนที่สามารถยิงทำอันตรายแก่ชีวิตและวัตถุได้

 

 

ที่มา: เปิดผลชันสูตร 6 ศพวัดปทุมฯ วิถี"บนลงล่าง"3 ศพ-พยาบาลถูกรัว โดย กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ฝ่ายค้านนำญาติคนตาย-พยานในวัดปทุมฯ แถงข่าว เปิดคลิปที่อดฉายในสภา

Posted: 02 Jun 2010 12:39 PM PDT

ฝ่ายค้านพาญาติผู้เสียชีวิต และพยานในเหตุการณ์วัดปทุม แถลงข่าว เปิดแฟ้มคลิป-ภาพที่ถูกห้ามเปิดในการอภิปรายฯ พร้อมระบุฝีมือทหารในวันที่ 19 พ.ค.ชัดเจน รับแจ้งตายเพิ่มอีก 1 เป็น 90 ราย เตรียมฟ้องศาลทั้งในและนอกประเทศ

<!--break-->

 
 

2 มิ.ย.53 ที่ห้องคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) อาคารรัฐสภา นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยนำญาติผู้เสียชีวิต และพยานในเหตุการณ์การสลายการชุมนุม รวมถึงการยิงที่วัดปทุมฯ ร่วมแถลงข่าวพร้อมฉายภาพและคลิปวีดิโอที่เป็นหลักฐานจำนวนมาก ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง มีนักข่าวทั้งไทยและต่างประเทศให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า  มีการร้องเรียนจากญาติผู้เสียชีวิตผ่านมายังนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทยเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นปากเสียงในการตรวจสอบผู้เสียชีวิตจำนวน 89 รายโดยทางพรรคยืนยันจะทำหน้าที่แทนประชาชนในการยื่นฟ้องศาลทั้งในประเทศและนอกประเทศ

นอกจากนี้ยังต้องการที่จะเปิดคลิปวีดิโอที่ไม่สามารถเปิดในสภาได้ แม้ว่าในกรณีของนายจตุพร พรหมพันธ์นั้น คณะกรรมการ 3 ฝ่ายร่วมที่ตรวจสอบคลิปจะลงความเห็นว่าคลิปไม่มีการตัดต่อสามารถฉายในสภาได้ แต่ปรากฏว่ามีความพยายามในการปิดกั้นโดยกรรมการที่เป็นตัวแทนฝ่ายค้านไม่เข้าร่วมในห้องประชุมทำให้ไม่สามารถเปิดคลิปได้ ส่วนการถ่ายทอดคลิปเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ทราบว่ามีคนในรัฐบาลสั่งการโดยวาจาไปยังผู้ดูแลช่อง 11 ให้ตัดสัญญาณในภาคอีสาน ภาคเหนือและภาคตะวันออก ทำให้ประชาชนไม่ทราบข้อเท็จจริ

จากนั้นนายวสันต์ สายรัศมี หรือ เก่ง เจ้าหน้าอาสากู้ภัยจากศูนย์วิทยุร่วมด้วยช่วยกัน ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค.ได้บรรยายเหตุการณ์พร้อมเปิดภาพและคลิปต่างๆ อาทิ คลิปที่มีคนแต่งชุดทหารบนรางบีทีเอสยิงลงไปในวัดปทุมฯ โดยมีควันไฟบริเวณโรงหนังสยามด้วยจึงยืนยันได้ว่าเป็นวันที่ 19 พ.ค. คลิปที่นายอัครเดช ขันแก้ว ผู้ช่วยพยาบาลอาสาที่ถูกยิงที่เต๊นท์นอนทุรนทุรายอยู่กว่า 40 นาทีก่อนเสียชีวิต โดยในช่วงแรกนั้นไม่มีใครเข้าไปช่วยได้เพราะมีการยิงเข้ามาโดยตลอด

นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอภาพอีกจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะผู้ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณศาลาแดงหลังทหารเข้ากระชับพื้นที่ โดยวสันต์บรรยายด้วยว่า ผู้ที่วิ่งเข้าไปช่วยก็ถูกยิงเสียชีวิต และไม่สามารถนำศพออกมาได้ โดยตัวเขาเห็นผู้เสียชีวิตบริเวณดังกล่าว 4 ศพ ขณะที่รายงานข่าวและการแถลงของรัฐบาลระบุว่าบริเวณดังกล่าวเสียชีวิต 2 ศพ จึงตั้งข้อสังเกตว่ามีศพที่หายไปอีก 2 ศพ

จากนั้นมีการแสดงภาพทหารนำศพผู้เสียชีวิตขึ้นรถหุ้มเกราะ ซึ่งผู้ชุมนุมเชื่อว่าเป็นการเก็บซ่อนศพ ขณะที่ผู้สื่อข่าวจากสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งได้ลุกขึ้นชี้แจงว่าตนเองอยู่ในพื้นที่และภาพดังกล่าวเป็นภาพทหารนำผู้บาดเจ็บซึ่งคาดว่าจะเป็นทหารด้วยกันขึ้นรถหุ้มเกราะเพื่อไปส่งโรงพยาบาล เนื่องจากช่วงนั้นมีการปะทะกันหนักและรถหน่วยพยาบาลไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ ระหว่างนี้บรรดาญาติผู้เสียชีวิตโห่ร้องแสดงความไม่พอใจนักข่าวคนดังกล่าว ขณะที่ส.ส.พรรคเพื่อไทยพยายามอธิบายให้เข้าใจว่าเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันกับสื่อมวลชน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม มีญาติผู้เสียชีวิตรายหนึ่งกล่าวตอบโต้ด้วยเสียงสั่นเครือว่าทำไมรถหุ้มเกราะของทหารจึงไม่เข้าไปรับญาติของเขาซึ่งบาดเจ็บสาหัสอยู่ในวัดปทุมฯ ก่อนที่จะเสียชีวิตบ้าง

นายวสันต์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ แถลงว่าศพในวัดปทุมฯ นั้นไม่มีกระสุนฝังอยู่ภายใน โดยเปิดคลิปเช้าวันที่ 20 พ.ค.ที่พญ.พรทิพย์เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดยศพของเกดกมน พยาบาลอาสานั้นมีกระสุนฝังอยู่บนร่างบริเวณท้องชัดเจน โดยมีเสียงของ พญ.พรทิพย์กล่าวกับเจ้าหน้าที่ว่าให้นำสก๊อตเทปแปะไว้ไม่ให้หัวกระสุนหลุดร่วงระหว่างเคลื่อนย้ายเพื่อเก็บเป็นหลักฐาน

 
 

นอกจากนี้วสันต์ยังร้องเรียนกรณีที่ศพของนายอัครเดช ขันแก้ว นั้นเห็นได้ชัดว่าถูกยิงจากศรีษะกระสุนทะลุข้างกระพุ้งแก้ม แต่ปรากฏว่าเมื่อญาติมารับศพที่แผนกนิติเวช รพ.ตำรวจ แพทย์ระบุในใบชันสูตรว่า ศีรษะกระแทกของแข็ง และเมื่อญาติท้วงติงจึงวงเล็บให้ว่าถูกกระสุนปืน

วสันต์ยังกล่าวอีกว่า พระภิกษุที่ถูกทหารมัดมือไพร่หลังที่ปรากฏทั่วไปในอินเตอร์เน็ตนั้นเป็นพระที่ช่วยเขาลากศพบริเวณศาลาแดง เพราะเกรงว่าศพผู้เสียชีวิตจะสูญหาย โดยเขาอยากทราบจากรัฐบาลว่าพระที่ถูกคุมตัวเหล่านี้หายไปไหน  

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยรายหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์เปิดเผยว่า พวกเขาอยู่ในเหตุการณ์และมีรูป มีคลิปบางส่วน จึงตัดสินใจเป็นพยานร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ แม้ว่าจะหวั่นเกรงความไม่ปลอดภัย ขณะนี้ก็ต้องดูแลความปลอดภัยของตัวเอง ไม่มีใครดูแล ที่ผ่านมามีการคุกคามอยู่บ้าง เช่น มีมอเตอร์ไซด์ตัดหน้าแล้วขว้างหมวกกันน๊อกใส่รถ รวมถึงมีคนติดตาม ทำให้พยานบางคนตัดสินใจไม่ร่วมเป็นพยานในครั้งนี้

นายพร้อมพงศ์ ได้สรุปข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลว่า 1.รัฐบาลจะต้องเปิดเผยรายชื่อผู้ถูกจับกุมทั้งหมด 2.ตั้งกรรมการที่เป็นกลางในการตรวจสอบเหตุการณ์ ซึ่งไม่ใช่คณะกรรมการสิทธิฯ หรือ ปปช. ซึ่งมีความน่าเชื่อถือน้อยลงแล้ว แต่ควรเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่เป็นกลางในการตรวจสอบ เพราะนายอภิสิทธิ์และผู้สั่งการยังอยู่ในอำนาจ 3. ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะพ.ร.ก.ฉบับนี้ทำให้รัฐบาลมีอำนาจแบบครอบจักรวาล 4.ยุติการคุกคาม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาคประชาชนอย่างมูลนิธิกระจกเงาที่รวบรวมข้อมูลคนหายได้ 45 คนตัวประธานก็โดนศอฉ.เรียกให้ปากคำ รวมถึงญาติพี่น้องผู้เสียชีวิตในต่างจังหวัดที่มีการร้องเรียนว่ามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้าไปตรวจเยี่ยมบ้าน สอบประวัติ ถ่ายรูป เป็นจำนวนมาก

ด้านนายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทยกล่าวว่าได้รับแจ้งจากญาติของนายวุฒิชัย วราคำ อายุ 22 ปีอาชีพพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งหายตัวไปจากเหตุการณ์ชุมนุมนั้นได้เสียชีวิตแล้วและรพ.รามาธิบดี ได้นำศพจากซอยรางน้ำ ไปเก็บไว้ที่รพ.รามาฯเพราะไม่ทราบใครเป็นญาติทำให้รพ.ต้องนำศพไปฝังที่มูลนิธิสว่างประทีป หลุมที่ 56 จ.ชลบุรี

ขณะที่นายวรวัจน์  กล่าวว่า กรณีศพของนายวุฒิชัยถือว่าเป็นตัวเลขที่เกินกว่า 89 รายแล้ว ทั้งนี้ ข้อมูลตรงกับประชาชนที่มีการนำศพผู้เสียชีวิตไปฝังตามที่ต่างๆ ขอให้สื่อบอกประชาชนว่าหากมีพบการฝังศพผู้เสียชีวิตแบบผิดปกติไม่ทราบที่มา ขอให้แจ้งมาที่พรรคพท. เบอร์ 02-653-4000

 
 

ที่มาบางส่วนจาก เว็บไซต์มติชน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ป.ป.ช.รับสอบ 'อภิสิทธิ์-สุเทพ' สั่งสลายเสื้อแดง - สว.สหรัฐพบวุฒิสภาไทย จี้รัฐบาลสอบกรณี 10 เมษา

Posted: 02 Jun 2010 12:22 PM PDT

เลขาฯ ป.ป.ช. เผย ที่ประชุมใหญ่ ป.ป.ช.มีมติรับสอบกรณี 'อภิสิทธิ์-สุเทพ' สั่งสลายการชุมนุม ทั้ง 10 เม.ย., 28 เม.ย. และ 19 พ.ค. ด้านวุฒิสมาชิกสหรัฐพบวุฒิสภาจี้รัฐบาลไทยสอบเหตุการณ์ 10 เม.ย.ทำความจริงให้ปรากฏ ชี้การตาย-บาดเจ็บนายทหารใหญ่เป็นจุดเปลี่ยน

<!--break-->

ป.ป.ช.รับสอบ 'อภิสิทธิ์-สุเทพ' สั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง

2 มิ.ย.53 ไทยรัฐออนไลน์ รายงาน นายอภินันทน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้รายงานให้ทราบถึงกรณีพรรคเพื่อไทยยื่นเรื่องให้ป.ป.ช.ไต่สวนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีการสั่งการสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 วันที่ 28 เม.ย.53 และวันที่ 19 พ.ค.53 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

ทั้งนี้ ที่ประชุมป.ป.ช. มีมติให้รับเรื่องไว้ตรวจสอบในเบื้องต้น โดยให้ไปตรวจสอบว่า เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบของป.ป.ช.หรือไม่ และรีบรายงานให้คณะกรรมการป.ป.ช.ทราบโดยเร็วที่สุด

 

สว.สหรัฐพบวุฒิสภาไทย จี้สอบเหตุการณ์ 10 เม.ย.

กรุงเทพธุรกิจ รายงาน นายอนุศาสตร์ สุวรรณมงคล ส.ว.สรรหา ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภา เปิดเผยว่า วันนี้ (2 มิ.ย.) นายเจมส์ เวบบ์ วุฒิสมาชิกรัฐเวอร์จิเนีย และประธานคณะอนุกรรมาธิการกิจการเอเชียและแปซิฟิก คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภาสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยเอกอัครราชทูตอเมริกา ประจำประเทศไทย ได้เข้าพบพูดคุยแลกเปลี่ยน และหารือในคณะกรรมาธิการการต่างประเทศเป็นเวลา 30 นาที 

นายอนุศาสตร์ กล่าวด้วยว่า นายเจมส์ ถือว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเมืองไทยและประเทศในภูมิภาคนี้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเคยผ่านสงครามเวียดนาม รวมทั้งยังติดตามสถานการณ์การเมืองไทยมาโดยตลอด โดยล่าสุดได้ยื่นญัตติหารือในรัฐสภาสหรัฐ ซึ่งทำให้ที่ประชุมมีมติเห็นด้วยกับแผนปรองดอง 5 ข้อของรัฐบาลไทย รวมทั้งนายเจมส์ ยังแสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์การเมืองของประเทศไทยด้วย เพราะวิกฤติครั้งนี้ไม่เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา มีความสลับซับซ้อน ถือเป็นปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่ ในสายตาของต่างประเทศอาจไม่รู้ข้อเท็จจริงอย่างลึกซึ้ง มองว่าเป็นเรื่องสงครามชนชั้นและอาจมีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ดังนั้นจะต้องติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิด 

นายอนุศาสตร์ กล่าวอีกว่า นายเจมส์ยังได้แนะนำว่าคนจะลืมเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.ซึ่งมีนายทหารระดับสูงเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายนาย ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยน แต่สื่อมวลชนก็ไม่ได้เน้นการนำเสนอข่าว จึงอยากให้รัฐบาลได้ทำความจริงให้ปรากฏต่อสาธารณะทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งตรวจสอบเงินสนับสนุนการชุมนุม และกองกำลังไม่ทราบฝ่าย จึงจะเกิดความจะปรองดองได้ อย่างไรก็ตาม นายเจมส์ไม่ได้ก้าวล่วงในเรื่องภายในประเทศ แต่มีความเป็นห่วง อยากให้ไทยกลับมาสงบโดยเร็ว

ทั้งนี้ ในวันเดียวกันนี้ เวลา 17.00 น.นายเจมส์ ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า โดยก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า นายแดน ริเวอร์ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นประจำประเทศไทย จะเข้าพบนายอภิสิทธิ์ ในคราวเดียวกันนี้ด้วย หลังจากมีผู้ประชาชนร้องเรียนการนำเสนอข่าวของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ในช่วงเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. อย่างไรก็ตาม  นายแดนไม่ได้เดินทางมาแต่อย่างใด โดยรายงานข่าวแจ้งว่านายแดนอยู่ที่ต่างประเทศ

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พบตัวแล้ว “ผุสดี นาคคำ” จากแฟนคลับ “สนธิ” เปลี่ยนเป็น “คนเสื้อแดง”

Posted: 02 Jun 2010 12:02 PM PDT

“ข่าวสด” รายงานพบ “ผุสดี นาคคำ” ผู้ชุมนุมคนสุดท้ายที่แยกราชประสงค์แล้ว เจ้าตัวบอกมารอทหารหน้าเวทีเพื่อยืนยันเสื้อแดงไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย เผยยังมีหญิงอีก 2 คนนั่งสมาธิอยู่ใกล้กันและยังไม่ทราบชะตากรรม เผยเคยเป็นแฟนคลับ “เมืองไทยรายสัปดาห์” แต่เห็นว่าทำไม่ถูกจึงมาร่วม “คนเสื้อแดง” ด้าน “กระจกเงา” รับแจ้งคนหาย 42 ราย ตามหาพบแล้ว 3 ราย 

<!--break-->

ภาพหญิงเสื้อแดงคนสุดท้ายที่นั่งถือธงหน้าเวทีปราศรัยที่รอกระทั่งทหารมาถึงที่ชุมนุมเมื่อ 19 พ.ค. และมีการตามหาตัวหญิงในภาพนั้น (ภาพบนสุดและภาพกลาง) ล่าสุด “หนังสือพิมพ์ข่าวสด” (ล่าง) รายงานว่าพบบุคคลดังกล่าวแล้วชื่อ “ผุสดี นาคคำ” ภาพนี้เป็นภาพล่าสุดจากข่าวสด 1 มิถุนายน 2553

 

ตามที่มีการตามหาผู้หญิงเสื้อแดงคนสุดท้ายที่นั่งถือธงอยู่คนเดียวหน้าเวทีปราศรัย สี่แยกราชประสงค์ ระหว่างกำลังทหารบุกเข้ามากระชับพื้นที่ เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 19 พ.ค. นั้น (อ่านข่าวย้อนหลัง) ล่าสุด “หนังสือพิมพ์ข่าวสด” รายงานเมื่อ 1 มิ.ย. ว่า รายงานว่าทราบข่าวจากประชาชนว่าบุคคลดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ที่บ้านย่านฝั่ง ธนบุรี คือ “นางผุสดี นาคคำ” อดีตพยาบาล อายุ 54 ปี

นางผุสดี เปิดเผยนาทีระทึกช่วงทหารบุกมาถึงตัวว่า อดีตตนเคยเป็นแฟนคลับของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แต่เริ่มเห็นว่าสิ่งที่ทั้งนายสนธิ และรัฐบาลทำนั้นไม่ถูกจึงหันเห มาต่อสู้ร่วมกับคนเสื้อแดง เป้าหมายเพียงเพื่ออยากให้รัฐบาลยุบสภาเลือกตั้งใหม่เท่านั้น วันที่ 13 มี.ค. ตนก็เริ่มเข้าร่วมชุมนุมที่ผ่านฟ้าฯ จนย้ายมาที่ราชประสงค์ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากตลอด 2 เดือน เพราะต้องนอนอยู่กลางถนนทั้งที่ไม่เคยคิดเลยว่า แค่เรียกร้องให้ยุบสภาจะต้องมีคนมาล้มตายมากขนาดนี้

 

เผยเหตุ 19 พ.ค. มานั่งรอทหารหน้าเวทีเพื่อยืนยันเสื้อแดงไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย

นางผุสดี กล่าวต่อว่า ส่วนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.นั้น หลังแกนนำประกาศยุติชุมนุมตนเดินไปหน้าเวทีเพราะไม่เห็นด้วยที่มายุติตอนคน เสื้อแดงตายไปมากแล้ว ถ้าเลิกกลางคันแบบนี้ คนที่ตายก็ต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายทันทีตนคิดเพียงว่า เพื่อคนเสื้อแดงไม่ต้องตายเปล่า ควรรวมตัวกันอยู่ที่เวทีอย่างสงบเพื่อให้โลกรู้ว่าคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นผู้ ก่อการร้าย แต่หลังจากเสียงระเบิดและเสียงปืนดังใกล้เวทีต่อเนื่องแกนนำทั้งหมดก็วิ่ง หนีไปมอบตัว ส่วนผู้ชุมนุมคนอื่นๆ ก็หนีไปด้วย จึงตั้งใจว่าเมื่อครั้งหนึ่งเคยให้สัญญากับแกนนำคนหนึ่งไว้ว่า "คนเสื้อแดงจะอยู่และตายร่วมกัน" จึงตัดสินใจอยู่เพื่อรอจนกว่าทหารจะมาจับหรือยิงตนทิ้ง

น.ส.ผุสดี กล่าวต่อว่า ตนตัดสินใจนั่งถือธงแล้วนั่งจ้องไปทางแยกประตูน้ำเพราะคิดว่าทหารจะเข้ามา ทางนั้นโดยมีนักข่าวต่างประเทศกลุ่มหนึ่งนั่งสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ รอบตัวมีควันไฟเสียงปืนและเสียงระเบิดเป็นระยะๆ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่แผ่เมตตาเพื่อที่จะได้ตายอย่างสงบ แต่หลังจากนั้นมีทหารกลุ่มหนึ่งผูกผ้าพันคอสีเหลืองจำนวนหลายสิบนายเดินเข้า มาทางฝั่งเพลินจิต นักข่าวกลุ่มที่ยังอยู่ก็กรูเข้ามาสัมภาษณ์ตนเพื่อเหมือนกับจะบอกให้ทหารรู้ ว่ามีนักข่าวอยู่ จะได้ไม่กล้าทำอะไร แต่ทหารกลุ่มนั้นก็มาเพียงขอให้กลับบ้านไปและไม่ได้มีท่าทีคุกคาม

 

เผยยังมีหญิงอีก 2 คนนั่งสมาธิอยู่ ยังไม่ทราบชะตากรรม

ซึ่งเมื่อมานั่งคิดดูแล้วได้ปักหลักอยู่สู้จนทหารบุกเข้ามาเจอตนคนสุดท้าย แม้รอดชีวิตแต่ภารกิจก็ถือว่าสิ้นสุด จึงตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อที่อยู่ในกระเป๋าจากแดงเป็นสีขาวแล้วเดินตามนักข่าวต่างประเทศกลุ่มนั้นออกมาทางเพลินจิต ตลอดเส้นทางเห็นกำลังทหารเข้ามายึดพื้นที่ฝั่งถนนเพลินจิตไว้ได้ทั้งหมดมี ทั้งรถทหาร และรถดับเพลิง รถคุมขังแต่น่าแปลกที่ทหารเหล่านี้กลับไม่นำรถดับเพลิงมาดับไฟที่ลุกไหม้ อยู่ และนอกจากตนแล้วยังมีหญิงอีก 2 คนนั่งสมาธิอยู่ใกล้ๆ ซึ่งตอนที่ตนออกมานั้นทั้งคู่ก็ยังอยู่ ขณะนี้ไม่ทราบชะตากรรมว่าเป็นอย่างไร

"ส่วนตัวเชื่อว่ายังมีอีกหลาย คนที่สูญหายไป เพราะเชื่อว่าที่ใต้ถุนเซ็นทรัลเวิลด์นั้นยังมีคนเสื้อแดงอีกจำนวนหนึ่งวิ่ง เข้าไปหลบภัย" นางผุสดีกล่าว

 

เชื่อเสื้อแดงพักฟื้นรอโอกาสสู้ใหม่ แต่ไม่พอใจแกนนำหลอกตัวเองยูเอ็นมาช่วย

นางผุสดี กล่าวด้วยว่า ความรู้สึกของคนเสื้อแดงตอนนี้อยู่ในภาวะที่เจ็บช้ำ สังคมเชื่อในสิ่งที่เขาใส่ร้ายว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งที่เราเป็นคนไทยที่หลงผิดว่าบ้านเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่ที่แท้เป็นเผด็จการ ทั้งยังเสียใจที่คนเสื้อแดงต้องมาตายอย่างโจร รัฐบาลก็ออกมาซ้ำเติมตลอดวันนี้ พวกเรายังมีอุดมการณ์อยู่ในใจ รอโอกาสที่จะออกมาเรียกร้องใหม่และการต่อสู้ครั้งใหม่ไม่ได้เพื่อการทำลาย ล้าง แต่เพื่อให้สังคมรู้ความจริงที่เกิดขึ้น คนเสื้อแดงทุกคนเหมือนคนป่วยหนักที่ต้องพักฟื้น แต่ยังไม่ยอมแพ้ คนที่เผาบ้านเผาเมือง ตนเชื่อมั่นว่าคนพวกนั้นต้องไม่ใช่คนเสื้อแดงเพราะคนเสื้อแดงที่แท้จริงรัก สงบ

"สำหรับแกนนำนั้นก็ไม่ได้โกรธที่หนี แต่ไม่พอใจที่พยายามหลอกตัวเองว่าจะมีกองกำลังจากยูเอ็นมาช่วย ทั้งที่ความจริงเป็นไปไม่ได้ แต่แกนนำพยายามนำเรื่องนี้มาสร้างฝันให้คนที่ยังสู้อยู่ทั้งที่ยอมรับ ตั้งแต่แรกว่าไม่มีกองกำลังนี้ คนเสื้อแดงจะได้รู้ว่าจะต้องเตรียมรับมือกับเหตุที่จะเกิดอย่างไรและอาจจะ สูญเสียน้อยกว่าที่เกิดขึ้น" นางผุสดี กล่าว

 

กระจกเงาเผยรับแจ้งคนหาย 42 ราย ตามหาพบแล้ว 3 ราย

วันเดียวกัน นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าโครงการศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา เปิดเผยว่า ขณะนี้มูลนิธิได้รับแจ้งคนหายจากเหตุการณ์กระชับพื้นที่เมื่อวันที่ 19 พ.ค. แล้ว 42 ราย ตามหาพบแล้ว 3 ราย และญาติไม่ประสงค์ตามตัวต่อ 1 ราย ทั้ง 3 รายที่ตามตัวพบแล้ว ส่วนหนึ่งไปอยู่ที่อื่น และขาดการติดต่อไประหว่างเหตุชุลมุนในการกระชับพื้นที่ อีกส่วนถูกจับกุมและเพิ่งได้รับการปล่อยตัวออกมา ส่วนการเปิดเผยรายชื่อคนหายที่ได้รับแจ้งนั้น หากมีผู้สอบถามมา มูลนิธิก็ยินดีให้ข้อมูล และมูลนิธิกำลังเปิดรับอาสาสมัครมาช่วยงาน เพราะมีเจ้าหน้าที่ทำงานติดตามคนหายอยู่เพียง 2 คน ทำให้การทำงานค่อนข้างลำบาก

ส่วนกรณีของนางผุสดี นาคคำ หญิงเสื้อแดงที่นั่งอยู่หน้าเวทีราชประสงค์เป็นคนสุดท้าย และหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าหายไปไหนหลังการกระชับพื้นที่นั้น นายเอกลักษณ์ กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีญาติของนางผุสดี มาแจ้งความคนหายกับมูลนิธิแต่อย่างใด

นายเอกลักษณ์ เปิดเผยต่อว่า ในการติดตามคนหายจากสาเหตุทางการเมืองนั้น มูลนิธิจะแบ่งเป็นผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต ผู้ถูกจับกุมคุมขัง หรือผู้ที่ขาดการติดต่อไป ซึ่งกรณีของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น ขณะนี้มีการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงส่วนของผู้ถูกคุมขัง ที่ไม่มีการเปิดเผยรายชื่อส่วนนี้ออกมา มูลนิธิจึงพยายามเรียกร้องต่อหน่วยงานที่มีอำนาจในการจับกุมคุมขังให้เปิด เผยรายชื่อส่วนนี้ หากรายชื่อคนหายที่ได้รับแจ้ง ไม่ตรงกับรายชื่อของผู้ถูกคุมขัง มูลนิธิจะได้ติดตามในแนวทางอื่นต่อไป มูลนิธิเคยแจ้งเรื่องนี้ไปกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แล้ว แต่ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงไปมาตลอดเวลา

"เราเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ไม่มีอำนาจทางกฎหมาย ไม่มีสิทธิ์ไปขอดูเอกสารการใช้อำนาจ เรายินดีที่จะจับมือกับทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายเสื้อแดง ฝ่ายรัฐ ฝ่ายทหาร ทั้งหมดน่าจะจับมือกันเป็นคณะกรรมการร่วมกัน เพราะถ้าทำเป็นรูปคณะกรรมการ แต่ละหน่วยก็จะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้ดีกว่าเราที่เป็นองค์กรเอกชนธรรมดา ซึ่งบางทีจะไปขอข้อมูลจาก ศอฉ. ข้อมูลของฝ่ายทหาร ว่ามีคนถูกจับกุมกี่คนก็เป็นเรื่องยาก แต่ถ้ามีรัฐมาเป็นคณะกรรมการทำงานด้วยทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น" นายเอกลักษณ์ กล่าว

 

ที่มา: เรียบเรียงจาก หนังสือพิมพ์ข่าวสด, 1 มิ.ย. 53

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ข่าวสดเผย "เสน่ห์ นิลเหลือง" เหยื่อกระสุน “กระชับวงล้อม” สวมลุมไนท์บาซาร์

Posted: 02 Jun 2010 11:38 AM PDT

ข่าวสดเผยชะตากรรม “เสน่ห์ นิลเหลือง” เหยื่อกระสุน “กระชับวงล้อม” น้องชายเผยพี่ชายถูกกระสุนตัดขั้วหัวใจเสียชีวิต ยันผู้ตายไม่ได้ร่วมชุมนุมแต่ผ่านที่เกิดเหตุพอดี เรียกร้องรัฐบาลยอมรับความจริงว่าทำผิดพลาด ต้องแสดงความรับผิดชอบ

<!--break-->

 

หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 1 มิ.ย. ยังเปิดเผยชะตากรรมของชายคนหนึ่งซึ่งเป็นเหยื่อกระสุนปืนจนเสียชีวิต คือ นายเสน่ห์ นิลเหลือง คนขับแท็กซี่ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตที่บริเวณสวนลุมไนท์ บาซาร์ เมื่อวันที่ 14 พ.ค.

 

น้องเผยกระสุนตัดขั้วหัวใจพี่ชาย เห็นรอยกระสุนมาจากแนวทหาร

โดนนายนพดล นิลเหลือง น้องชายของนายเสน่ห์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว “หนังสือพิมพ์ข่าวสด” ว่า ในวันเกิดเหตุตนและพี่ชายกำลังจะนำรถแท็กซี่ไปเปลี่ยนกันที่บ้านพี่สาว บริเวณแฟลตตำรวจสน.ลุมพินี ในเวลาประมาณ 17.00 น. ตนโทรศัพท์คุยกับพี่ชายที่กำลังเดินทางมาบ้านพี่สาว พี่ชายบอกว่า ถนนถูกปิดหมด พี่ชายจึงลงรถที่คลองเตยแล้วเดินมา แต่เมื่อมาถึงแยกบ่อนไก่มีทหารกั้นไม่ให้เข้า พี่ชายจึงเดินเลาะมาทางสวนลุมไนท์ บาซาร์ ขณะที่ตนกำลังขับจักรยานยนต์จะไปรับพี่ชาย มีคนโทร.มาบอกว่าพี่ชายโดนยิงที่หน้าอก นัดเดียวตัดขั้วหัวใจทะลุหลัง ตอนที่ทราบข่าวก็ไม่คิดว่าพี่ชายจะถึงขั้นเสียชีวิต อาวุธที่ใช้คล้ายกับอาวุธสงคราม ไม่น่าจะใช่ปืนลูกซอง ตอนนั้นทหารอยู่บริเวณสนามมวย ส่วนพี่ชายผมอยู่ด้านหลังของแนวร่วมกลุ่มฮาร์ดคอร์ พี่ชายผมยังไม่ทันเดินผ่านแนวฮาร์ดคอร์ ก็โดนยิงเสียก่อน ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าใครเป็นฝ่ายยิง แต่เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ก็ไปดูจุดที่เกิดเหตุการณ์ เห็นรอยกระสุนที่สะพานลอย ราวเหล็ก มาจากแนวทหารทั้งนั้น

"ผมเลยคิดว่าเป็นคนอื่นไปไม่ได้ เพราะถ้าเป็นคนอื่น อยู่ในแนวทหาร ทำไมทหารไม่จัดการ แล้วพี่ชายผมไม่มีอาวุธ ทำไมคุณถึงต้องยิงคนที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือด้วย" นายนพดลกล่าว

 

เผยผู้ตายไม่เคยร่วมชุมนุมเสื้อแดง แต่ผ่านที่เกิดเหตุพอดี

นายนพดล กล่าวต่อว่า ปกตินิสัยของพี่ชายเป็นคนมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ และที่ผ่านมาพี่ชายไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง เพียงแต่วันนั้นไปอยู่ในบริเวณดังกล่าวพอดี พี่ชายอยู่กับแฟนและลูกติด อีก 4 คน อยู่กินกันมาหลายปี แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ภาระจะอยู่ที่การส่งเสียค่าเล่าเรียนลูกเลี้ยงคนเล็ก และครอบครัวของพี่ชายหลังจากการเสียของพี่ชายเองน่าจะมีปัญหา เนื่องจากรายได้ของแฟนพี่ชายมีเพียงไม่กี่พันบาทจากอาชีพแม่บ้านชั่วคราว ที่มีงานก็ได้เงิน แต่ถ้าไม่มีงานก็ไม่มีรายได้อะไรเลย แต่โชคดีอยู่บ้างตรงที่พี่ชายเป็นคนสมถะ จึงไม่ได้ทิ้งหนี้สินอะไรไว้ให้กับครอบครัวหรือญาติพี่น้อง

 

คาใจ สน.ทุ่งมหาเมฆ รับไม่ได้รับแจ้งพี่ชายเป็น “ฮาร์ดคอร์” เรียกร้องรัฐบาลรับความจริง

นายนพดล กล่าวต่อว่า ส่วนผลกระทบทางจิตใจของคนในครอบครัว และญาติพี่น้อง ตนทำใจได้บ้างแล้ว แต่พี่สาวคนโตและน้องสาวคนเล็ก จนถึงตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ พอเวลาเข้านอนครั้งใด ร้องไห้ตลอดเวลา เนื่องจากมีความผูกพันกันมาก ถึงตอนนี้การช่วยเหลือจากรัฐบาลยังไม่มีติดต่อเข้ามา ไม่มีโทรศัพท์ติดต่อ หรืออะไรทั้งสิ้น มีเพียงตนที่ติดต่อเรื่องเข้าไปเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือมากน้อยเพียงใด แต่ส่วนอื่นมีช่วยเหลือมาแล้ว คือสำนักพระราชวัง และพรรคเพื่อไทย

"แต่ที่ยังค้างคาใจมาจนถึงวันนี้ คือวันที่เกิดเหตุนั้น สน.ทุ่งมหาเมฆ เป็นพื้นที่เสี่ยงไม่สามารถเข้าไปแจ้งความได้ หลังจากวันนั้นจึงเข้าไปแจ้งความอีกครั้ง ตำรวจกลับบอกว่ามีคนแจ้งแล้ว แต่ไม่ทราบว่าใคร ไม่ใช่ญาติพี่น้อง และไม่มีหลักฐานใดๆ ขอดูหลักฐานการแจ้งความก็ไม่ให้ดู ร้อยเวรประจำวันก็หลบหน้า แค่อยากรู้ว่าคนที่แจ้งความเป็นใคร เพราะรับไม่ได้ที่แจ้งว่าพี่ชายเป็นพวกฮาร์ดคอร์ เป็นพวกเสื้อแดงหัวรุนแรง ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ ตรงนี้ยอมรับไม่ได้ สิ่งที่เรียกร้องอย่างเดียว ไม่ใช่เงินทอง แต่อย่ามาพูดว่าที่พี่ชายเสียชีวิต เพราะเป็นพวกก่อการร้าย มันไม่ใช่ความจริง รัฐบาลต้องยอมรับความจริง ว่าทำผิดพลาดลงไป ต้องแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป" นายนพดลกล่าว

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด, 1 มิ.ย. 53

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศอฉ.ยังให้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พร้อมเผยให้ มท.ติดตามอาวุธที่ถูกแดงยึดไป แต่ยังได้คืนไม่ครบ

Posted: 02 Jun 2010 10:52 AM PDT

ศอฉ.มอบ มท.หากำหนดช่วงวันให้ประชาชนคืนอาวุธโดยไม่มีความผิด ก่อนมีปฎิบัติการเพื่อปราบปรามอาวุธปืนเถื่อนในอนาคต  ยันจำเป็นต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เผยเชื่อ 6 ศพ ในวัดปทุมฯ ไม่ได้มาจากอาวุธทหาร ชี้ต้องว่าไปตามหลักฐาน

<!--break-->

ศอฉ.ให้ มท.หาวิธีตามคืนอาวุธ

วันนี้ (2 มิ.ย.) เวลา 18.00 น.ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะโฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงผลการประชุม ศอฉ.ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผอ.ศอฉ.เป็นประธานการประชุม โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมรับฟังด้วยว่า 

ที่ประชุม ศอฉ.มีความเป็นห่วงเรื่องอาวุธปืนสงครามที่มีการยึดไปจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งได้แสดงบนเวทีการชุมนุม แต่ไม่มีการส่งคืนตามที่กองทัพร้องทุกข์กล่าวโทษกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นมีการตรวจยึดจับอาวุธบางส่วนแต่ไม่ครบ 68 รายการที่แจ้งหายไป โดยที่ประชุมให้กระทรวงมหาดไทยไปตรวจสอบข้อมูลวิธีการปฏิบัติรูปธรรมว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้ประชาชนนำอาวุธสงครามหรืออาวุธปืนเถื่อนที่อยู่ในครอบครองมาคืนเจ้าหน้าที่รัฐ โดยกำหนดวันเวลาที่ชัดเจนว่าช่วงเวลาใดจะไม่มีควมผิด และหลังจากการดำเนินการเรื่องนี้แล้วคงจะกำหนดวันปฏิบัติภารกิจเต็มรูปแบบ เพื่อปราบปรามอาวุธปืนเถื่อนในอนาคต ซึ่งกระทรวงมหาดไทยรับเรื่องและจะมาชี้แจงต่อที่ประชุมอีกครั้ง

ส่วนการยกเลิกประกาศพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ที่ประชุมเห็นว่ายังมีความจำเป็น เพราะเจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติภารกิจดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ และทำงานง่ายขึ้น ถามว่ากระทบการดำรงชีวิตประชาชนหรือไม่ ก็มีแต่น้อยมาก แต่อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศ 

พ.อ.สรรเสริญกล่าวด้วยว่า ที่ประชุมได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่สังกัดใน ศอฉ.ทำรายละเอียด เงื่อนไขที่แต่ละหน่วยเห็นว่าจะตั้งเป็นหลักเกณฑ์ว่าเมื่อถึงเวลานี้แล้วจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เช่น ตำรวจ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ต้องไปทำเงื่อนไขหลักเกณฑ์การสืบสวนสอบสวนผู้ต้องหาคดีต่างๆ ว่าดำเนินการถึงขั้นไหนแล้วถึงเหมาะสมที่จะประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งไม่นัดหมายวันที่ชัดเจนว่ามาเสนอเมื่อไหร่ แต่ ผอ.ศอฉ. เร่งรัดให้เร็วที่สุด คาดว่าจะมีผลในเร็วนี้

“ที่เราต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะมีความจำเป็น แต่ทั้งนี้คงต้องมีการประเมินว่าแต่ละหน่วยงานจะมีความสัมฤทธิ์ผลในงานย่อยของตัวเองถึงขั้นไหนถึงจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้ หรือการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดจะต้องทำถึงขั้นไหนถึงจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ อย่างไรก็ตามหลังการประเมินทางเจ้าหน้าที่ก็จะส่งข้อมูลให้ ศอฉ.พิจารณาและมอบให้รัฐบาลพิจารณาอีกครั้ง” โฆษก ศอฉ.กล่าว และให้ข้อมูลด้วยว่าการติดตามคดีของนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดง ไม่ได้มีการพูดถึงในที่ประชุม

 

เชื่อ 6 ศพ ไม่ใช่เพราะอาวุธทหาร แต่ไม่สามารถอธิบายศพทุกรายได้ 

ต่อคำถามถึงเหตุยิง 6 ศพที่วัดปทุมวนารามฯ ซึ่งผลการชันสูตรเป็นอาวุธสงคราม โฆษก ศอฉ.ตอบว่า ส่วนตัวเชื่อมั่นว่าผลการพิสูจน์ไม่ใช่ว่าเกิดจากปืนทราโว้หรือปืนเอ็ม 16 มีลักษณะการยิงกระสุนปืนบนลงล่าง และล่างขึ้นบนหลากหลายลักษณะ ที่ผ่านมา ศอฉ.ไม่สามารถอธิบายศพทุกราย ซึ่งต้องว่าไปตามหลักฐาน เราพร้อมเข้าสู่กระบวนการ แต่สิ่งที่ยืนยันคือวันนั้นหลังเจ้าหน้าที่เข้าไประยะหนึ่งแล้วหยุดการเคลื่อนไหว เพื่อปล่อยให้ประชาชนออกจากทางแยกปทุมวันไปทางสนามศุภชลาศัย จึงมองไม่เห็นเหตุผลว่าจะไปฆ่าคนเพื่อประโยชน์อะไร 

ดังนั้น ที่วัดปทุมวนารามฯ เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งยังเข้าไม่ถึงพื้นที่ จะมีภาพที่อยู่บนรางรถไฟ แต่รางรถไฟก็มีภาพกลุ่มชายชุดดำใส่ไอ้โม่งมีอาวุธสงครามยิงมาที่เจ้าหน้าที่ และยิงโต้ตอบกลับไป ซึ่งมีรอยกระสุนทั้งพื้นที่ที่ยิงไปและกระสุนที่เขาโต้ตอบ ซึ่งเป็นการยืนยันว่ามีชายชุดดำที่มีอาวุธสงครามอยู่จริง ทั้งนี้ สื่อมวลชนก็ทราบดีว่ามีคนอาศัยเขตอภัยทานนำอาวุธสงครามมาซ่อนไว้

 

บช.น.เผย เตรียมออกหมายจับเพิ่มบุคคลที่มีภาพถ่าย-ภาพเคลื่อนไหว เหตุเพลิงไหม้

ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กล่าวว่า ตำรวจจะดำเนินการขยายผลเกี่ยวกับอาวุธสงครามที่มีการค้นพบจากสถานที่ต่างๆ โดยจะดำเนินการนำมาคืนให้ครบตามที่สูญหายไป นอกจากนี้จะมีการออกหมายจับเพิ่มเติมกับบุคคลที่มีภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผาอาคารมาลีนนท์ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 และเซ็นทรัลเวิลด์ รวมถึงจะมีการตรวจสอบสถานที่ต่างๆ ที่ถูกเผา และชายชุดดำที่ปรากฏตามสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งทางตำรวจจะออกหมายจับต่อไป 

นอกจากนี้จะมีการรายงานให้ ศอฉ.รับทราบถึงจำนวนผู้ที่ถูกดำเนินคดี ทั้งกรณีที่ทำความผิดตามการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและการกระทำผิดตามกฎหมายอาญา เช่น การวางเพลิง มีอาวุธปืนสงครามต่างๆ ว่ามีชื่ออะไรบ้างและควบคุมตัวอยู่ที่ไหน และจะนำข้อมูลดังกล่าวมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่มีการแจ้งคนหาย รวมถึงการตรวจสอบบุคคลที่สูญหายด้วย โดยจะมอบให้กับสถานีตำรวจทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดตั้งแต่เดือนมีนาคม จนถึงปัจจุบันว่ามีคนสูญหายไปอย่างไรบ้าง เพื่อตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนกรณีที่มีการอ้างว่ามีประชาชนสูญหาย

 

แจงร่วม มท.-DSI ตามล่าตัว "แกนนำเสื้อแดง"

โฆษก บช.น.กล่าวอีกว่า ตำรวจจะดำเนินการติดตามจับกุมกลุ่มแกนนำคนเสื้อแดงที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างต่อเนื่อง โดยจะทำงานร่วมกับทางกระทรวงมหาดไทย กรมสอบสวนคดีพิเศษ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในนครบาลและตำรวจภูธรจะต้องประเมินการปฎิบัติหน้าที่ของตัวเองเพื่อหาตัวชี้วัดในการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่าจำเป็นต้องใช้อยู่หรือไม่ ในส่วนงานของตำรวจนั้นก็ต้องชี้แจงว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่ เช่น เหตุอาชญากรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงว่ายังคงเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งทางตำรวจจะรวบรวมข้อมูลและนำไปสนธิกับข้อมูลอื่นเพื่อให้รัฐบาลพิจารณาตัดสินใจในการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

สำหรับการสร้างสถานการณ์ที่จังหวัดเชียงใหม่หลังจากที่ประกาศยกเลิกเคอร์ฟิว พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า ที่ประชุม ศอฉ.มีการพูดถึงเรื่องนี้ โดยได้ให้กระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์โดยตรง รวมถึงตำรวจภูธรภาค 5 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค (กอ.รมน.ภาค) ไปตรวจสอบเพิ่มเติม ทั้งกรณีการติดตามจับกุมเพิ่มเติม และการสร้างความเข้าใจในพื้นที่ และนำข้อมูลมารายงาน ศอฉ.

ต่อคำถาม เจ้าหน้าที่ได้มีการรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัดปทุมวนารามฯ จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 รายหรือไม่ พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า มีพนักงานสอบสวนดำเนินการเรื่องนี้ โดยแยกเป็น 2 ส่วน คือการชันสูตรพลิกศพ ต้องดูผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และสำนวนคดี ซึ่งในที่ประชุม ศอฉ.ได้รายงานเป็นภาพกว้างๆ ว่ามีหลักฐานเพิ่มเติมอย่างไร

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

บล็อค "ประชาไท" อีก

Posted: 02 Jun 2010 10:23 AM PDT

หลังเว็บประชาไทถูกบล็อคโดย ศอฉ. หลายครั้ง ล่าสุด เว็บเข้าไม่ได้อีก โดยครั้งนี้ไม่เปลี่ยนทางไปที่หน้าของ ศอฉ.

<!--break-->

(2 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา www.prachatai2.info ไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยระบุว่าไม่สามารถแสดงผลเว็บไซต์ได้ ผ่านอินเทอร์เน็ตทรูและทีโอที ขณะที่อินเทอร์เน็ตของ 3BB ยังเปิดดูได้ตามปกติ

อย่างไรก็ตาม สามารถติดตามประชาไทได้ที่ www.prachatai3.info

ทั้งนี้ เมื่อทดลองเข้าโดเมนเนมอื่นๆ ของเว็บประชาไทก่อนหน้านี้ ได้แก่ www.prachatai.net, www.prachatai1.com, www.prachatai.info, www.prachati1.info ซึ่งเคยถูกปิดกั้น และเปลี่ยนทางไปที่ http://58.97.5.29/www.capothai.org/ โดยหน้าเว็บเพจแสดงข้อความว่า "การเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวนี้ ถูกระงับเป็นการชั่วคราว โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน" ปรากฎว่าไม่มีการเชื่อมต่อและไม่แสดงข้อความแต่อย่างใด

เมื่อสอบถามไปที่คอลเซ็นเตอร์ของทีโอที ที่เบอร์ 1100 เจ้าหน้าที่ระบุว่า ไม่ทราบว่ามีการปิดกั้นหรือไม่ โดยแนะนำให้ติดต่อไปที่เบอร์โทร 1315 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และว่า ทีโอทีเป็นของรัฐ หากจะมีการบล็อคจะดำเนินการโดยไอซีที

อนึ่ง เมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา ตอนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ ผู้สื่อข่าวเอพีถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่า ทำไมจึงยังมีการบล็อคเว็บไซต์ประชาไท ขณะที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีที่กำกับโดยรัฐ ซึ่งแพร่กระจายความเกลียดและความกลัวยังคงออกอากาศได้อยู่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า การถกเถียงในเว็บบอร์ดอาจจะมีเนื้อหาที่เข้าข่ายหมิ่นประมาท อย่างไรก็ตาม เห็นว่าไม่ควรมีการบล็อคทั้งเว็บไซต์ และเข้าใจว่ามีการปลดบล็อคไปแล้ว อย่างไรก็ตามรับว่าจะติดตามเรื่องนี้ให้

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ปฏิทินกิจกรรม: "ขอพื้นที่พวกเราคืน"เสวนาว่าด้วยพื้นที่ ภายใต้นิติรัฐแห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

Posted: 02 Jun 2010 08:39 AM PDT

กลุ่มประชาคมธรรมศาสตร์ฯ-กลุ่มประชาคมจุฬาฯ ชวนร่วมเสวนา ขอพื้นที่พวกเราคืน : งานเสวนาว่าด้วย พื้นที่ทางสิทธิ เสรีภาพ ความเป็นมนุษย์ ภายใต้นิติรัฐแห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เืพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองทัศนะ ที่ มธ.ท่าพระจันทร์ บ่ายโมงตรง ศุกร์ที่ 4 มิ.ย.นี้

<!--break-->

กลุ่มประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบ (Thammasat Community Against Dictatorship) และกลุ่มประชาคมจุฬาเพื่อประชาชน (Chula Community for the People) เชิญรวมเสวนา ขอพื้นที่พวกเราคืน”: งานเสวนาว่าด้วย พื้นที่ทางสิทธิ เสรีภาพ ความเป็นมนุษย์ ภายใต้นิติรัฐแห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เืพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองทัศนะ กับวิทยากรจากชุมชนวิชาการ แวดวงสิทธิมนุษยชน รวมไปถึงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อันเป็นพื้นที่ภายใต้กฎหมายพิเศษอย่างยาวนาน

งานสัมมนา ขอพื้นที่พวกเราคืน เป็นกิจกรรมอันเนื่องมาจาก การประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก. ฉุกเฉิน) โดยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งผู้จัดงานเล็งเห็นว่าไม่ใช่เป็นไปเพื่อปฏิบัติการขอพื้นที่คืนจากกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายเพื่อขอพื้นที่คืนจากประชาชนทั่วไปในสังคมไทยด้วย นั่นคือ พื้นที่ทางสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นมนุษย์ ซึ่งได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแต่ดั้งเดิม

การขอพื้นที่คืนรูปแบบนี้ มิใช่การนำรถหุ้มเกราะและทหารพร้อมอาวุธสงครามเข้ากระชับพื้นที่แต่อย่างใด หากแต่ประกอบด้วย การลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร การปิดเว็บไซต์นับพันแห่ง การออกหมายเรียกและหมายจับแก่ผู้ที่รัฐสงสัยว่าเป็นศัตรู ตลอดจนการข่มขู่หลายรูปแบบต่างๆ นานาข้อความระบุในคำเชิญชวนร่วมงาน

ทั้งนี้ งานเสวนาจะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 4 มิ.ย.2553 เวลา 13.00 -16.00 น. ณ ห้อง ศ.201 ตึกศิลปศาสตร์ ชั้น 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีวิทยากร 4 ท่าน ประกอบด้วย ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ศราวุธ ประทุมราช นักสิทธิมนุษย์ชนอิสระ เกษม เพ็ญพินันท์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ กลุ่มสันติประชาธรรม และอับดุลเราะมัน มอลอ โฆษกสหพันธ์นิสิตนักศึกษาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศอฉ.บล็อคบันทึก "นิค นอสติตซ์" เล่าเรื่อง "ในเขตสังหาร"

Posted: 02 Jun 2010 04:39 AM PDT

<!--break-->

(2 มิ.ย.) เว็บไซต์นิว แมนดาลา (http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/) ซึ่งนำเสนอเรื่องราวของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่าเว็บเพจที่นำเสนอบทความชื่อ "Nick Nostitz in the killing zone"  ของนิค นอสติตซ์ ช่างภาพอิสระชาวเยอรมัน ถูกบล็อคโดยรัฐบาล เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา จึงทำการโพสต์บทความดังกล่าวใหม่อีกครั้งในชื่อ "Nick Nostitz in the killing zone (re-post)" โดยบทความของ นิค นอสติตซ์ เป็นบันทึกการทำข่าวภาคสนามในเขตที่มีเจ้าหน้าที่เคลื่อนพลเข้าใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งบริเวณราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2553

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.00น. เมื่อเข้าไปในเว็บเพจดังกล่าวด้วยอินเทอร์เน็ต True ก็ปรากฏเป็นหน้าว่าง ไม่มีข้อความใดๆ ขณะที่เมื่อเข้าโดยอินเทอร์เน็ต TOT มีการ redirect ไปที่ http://58.97.5.29/www.capothai.org/ ปรากฎข้อความ "การเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวนี้ ถูกระงับการเข้าถึงชั่วคราวเป็นการชั่วคราว โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริการราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน" อย่างไรก็ตาม หน้าอื่นๆ รวมถึงหน้าแรกของเว็บไซต์ยังสามารถเข้าชมได้

สำหรับบทความชิ้นนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส และภาษาไทย 2 สำนวนแปล คือ ฉบับที่แปลโดยประชาำไทและสฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ ที่ http://www.fringer.org/wp-content/writings/nostitz-killing-Thai.pdf 

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันเสาร์ที่ 29 พ.ค. ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศถามคำถามนั้น นิค นอสติตซ์กล่าวกับนายอภิสิทธิ์ว่า ขณะลงพื้นที่ เขาเห็นว่าทหารยิงผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ โดยนายอภิสิทธิ์ ได้ตอบว่า ทหารยิงกระสุนเตือนเท่านั้น และใช้กระสุนจริงเพื่อป้องกันตัวเองและยิงโดยมีเป้าหมายชัดเจน นอกจากนี้ ยังได้ขอให้นิคส่งหลักฐานให้คณะกรรมการสอบสวนด้วย
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จดหมายเปิดผนึกจาก "อมรา พงศาพิชญ์" ถึง "ยุกติ มุกดาวิจิตร"

Posted: 02 Jun 2010 04:06 AM PDT

<!--break-->

หลังจาก "ยุกติ มุกดาวิจิตร" อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง "อมรา พงศาพิชญ์" ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นักมานุษยวิทยาอาวุโส และอดีตอาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 29 พ.ค.

ล่าสุด (2 มิ.ย.) อมรา พงศาพิชญ์ ได้เขียนจดหมายตอบ ตามข้อความต่อไปนี้

------------------------------------

ขอบคุณ อาจารย์ยุกติ มุกดาวิจิตร ที่ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงดิฉัน ในฐานะที่ดิฉันเป็นผู้ร่วมวิชาชีพทางมานุษยวิทยา และปัจจุบันรับทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับมานุษยวิทยาและสิทธิมนุษยชนที่อาจารย์เขียนมา ดิฉันเห็นด้วยทั้งหมด และชื่นชมในความลุ่มลึกทางความคิดและความสามารถในการนำเสนอข้อคิดเห็นที่ลุ่มลึกนี้ได้อย่างชัดเจน เข้าใจง่าย ช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ทางมานุษยวิทยาสู่สาธารณชนในวงกว้างได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น ดิฉันได้ติดตามอ่านผลงานของอาจารย์ยุกติอย่างชื่นชมในความสามารถในการถ่ายทอดความคิดที่น่าสนใจเสมอมา และในครั้งนี้อาจารย์ได้แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสาธารณะได้อย่างไม่ผิดหวัง

ดิฉันไม่มีข้อแก้ตัวในสิ่งที่ไม่ได้ทำ หรือไม่ได้ทำตามความคาดหวังของอาจารย์และเพื่อนร่วมวิชาชีพ นอกจากจะบอกว่าเมื่อมานั่งเป็นประธานคณะกรรมการขององค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญ ดิฉันพบว่า ดิฉันไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเหมือนเมื่อเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ซึ่งมีเสรีภาพทางวิชาการสูง และอาจารย์สามารถแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลต่อสาธารณะได้

ปัจจุบันการแสดงความคิดเห็นของดิฉันต้องคำนึงถึงความคิดเห็นของกรรมการร่วมคณะอีก 6 ท่าน อำนาจหน้าที่ขององค์กรที่มีจำกัดเฉพาะในบางเรื่อง ภาพลักษณ์ขององค์กรต่อสาธารณะทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในกรณีที่ข้อมูลไม่ชัดเจน การแสดงออกของดิฉันจึงมีความล่าช้า รอบคอบ และคำนึงถึงองค์กรมากกว่าส่วนตัว หลายครั้งดิฉันอยากจะถอดหมวกประธานกรรมการฯ เพื่อจะได้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวได้อย่างเต็มที่ แต่ดิฉันก็ไม่ได้ทำตามที่อยาก ต้องขออภัยที่ทำให้อาจารย์ยุกติผิดหวัง

คณะกรรมการสิทธิฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนและการแสดงความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ มีทั้งจากผู้ถูกละเมิดสิทธิ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม ผู้สนับสนุนผู้ชุมนุม (เสื้อแดง) ผู้ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม (เสื้อเหลือง) ผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้รักชาติ ฯลฯ ดิฉันถูกต่อว่าว่าเข้าข้างกลุ่มเสื้อแดงและถูกต่อว่าว่าอยู่ในกลุ่มเสื้อเหลือง ที่เป็นเช่นนี้คงเป็นเพราะแต่ละคนต่างมีอัตตาและเชื่อว่าความคิดเห็นของตัวเองคือสิ่งที่ถูกต้อง และคาดหวังให้คณะกรรมการสิทธิฯ ทำตามความคิดเห็นของตน

ขอเรียนเพิ่มเติมว่า การทำงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหลายอย่างที่ไม่ได้เป็นข่าวหรือเป็นประเด็นสาธารณะ แต่คณะกรรมการสิทธิฯ ได้แสดงให้รัฐบาลเข้าใจว่า เราไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง เราจะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐ และเราจะส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนอย่างเข้มแข็งตลอดไป

ในโอกาสนี้ ดิฉันขอบคุณอาจารย์ยุกติที่ได้ทำหน้าที่ของนักวิชาการ โดยตั้งคำถามแก่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และเปิดโอกาสให้ดิฉันได้ชี้แจงในส่วนที่ทำได้ ดิฉันทราบดีว่าคำตอบนี้ไม่เพียงพอและไม่ช่วยให้ท่านหายข้องใจทั้งหมด แต่หวังว่าคงจะช่วยแก้ปัญหาความคับข้องใจของท่านได้ในบางส่วน

ขอบคุณในความห่วงใยและข้อคิดเห็นที่ลึกซึ้ง

อมรา พงศาพิชญ์
2 มิถุนายน 2553

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สกู๊ป CNN "เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในกรุงเทพฯ" พร้อมเผยภาพชายร่างท้วมสะพายเอ็ม 16

Posted: 02 Jun 2010 02:07 AM PDT

สถานีโทรทัศน์ CNN ของสหรัฐอเมริกา นำเสนอข่าว "เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในกรุงเทพฯ"  เป็นภาพเหตุการณ์การทหารใช้อาวุธสงครามปราบปรามผู้ชุมนุมในช่วง 19 พ.ค. ที่ผ่านมา และที่น่าสนใจคือมีการเผยภาพของชายสามคนบนสถานีรถไฟฟ้า BTS โดยชายร่างท้วมคนหนึ่งในภาพสะพานปืนเอ็ม 16 โดย CNN บรรยายว่า "ชายในภาพนี้อาจเป็นคนที่ทราบได้ว่าใครอยู่เบื้องหลังความรุนแรงในครั้งนี้"

<!--break-->

CNN เผยภาพใหม่ ชายร่างท้วมสะพานปืนเอ็ม 16 บนสถานีบีทีเอส
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2553 สถานีโทรทัศน์ CNN ของสหรัฐอเมริกา นำเสนอข่าว "เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในกรุงเทพฯ" (What really happened in Bangkok?) เป็นภาพเหตุการณ์การทหารใช้อาวุธสงครามปราบปรามผู้ชุมนุมในช่วง 19 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยมีภาพทหารของกองทัพซึ่งปฏิบัติการอยู่บนรางรถไฟฟ้า กับภาพของผู้ชุมนุมหนีตายเข้ามายังวัดปทุมฯ และมีผู้เสียชีวิต

ภาพข่าวเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ของ CNN "เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในกรุงเทพฯ" นอกจากภาพทหารที่เข้ามาสลายการชุมนุมเมื่อ 19 พ.ค. แล้ว ที่ฮือฮาก็คือ (ล่างสุด) ภาพกลุ่มชายบนสถานีรถไฟฟ้า BTS แห่งหนึ่ง หนึ่งในนั้นเป็นชายร่างท้วมสะพานปืนเอ็ม 16 CNN บรรยายว่า "ชายในภาพนี้อาจเป็นคนที่ทราบได้ว่า ใครอยู่เบื้องหลังความรุนแรงในครั้งนี้" (ชมวิดีโอ ที่นี่)

ที่น่าสนใจคือ CNN เผยภาพของชายหลายคนอยู่บนสถานีรถไฟฟ้า BTS แห่งหนึ่ง โดยหนึ่งในสามเป็นชายร่างท้วม สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเขียวแบบทหาร สวมกางเกงลายพราง ห้อยพระเต็มคอ สะพายปืนเอ็ม 16 ส่วนชายอีกคนสวมเสื้อเกราะสีดำ กางเกงสแล๊ก ไม่พบว่าถืออาวุธหรือไม่ นอกจากนี้มีชายแต่งชุดพลเรือนจำนวนหนึ่ง ไม่ติดอาวุธ โดย CNN บรรยายว่าเป็นผู้ที่รัฐบาลกล่าวหาว่าเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายรับจ้างโดยทักษิณ อย่างไรก็ตาม ในข่าวไม่ได้ระบุว่าภาพนี้ถ่ายเมื่อเวลาใด โดยการบรรยายประกอบวิดีโอของ CNN บรรยายโดยแดน ริเวอรส์ มีรายละเอียดดังนี้

“ภาพเหตุการณ์ความรุนแรงที่ปรากฏขึ้นในกรุงเทพฯ ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในสัปดาห์นี้ ซึ่งทางนักการเมืองของทั้งสองขั้วขัดแย้ง ก็ต่างนำเรื่องนี้มาอภิปรายว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่"

"มีคนราว 80 คนเสียชีวิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชุมนุม มีบางส่วนที่เป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และหน่วยพยาบาล มีราว 1,500 คนได้รับบาดเจ็บ ทั้งผู้สื่อข่าว ผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่"

"ทางรัฐบาลกล่าวหาว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมฮาร์ดคอร์ในหมู่เสื้อแดง ที่พวกเขาเรียกว่า 'ผู้ก่อการร้าย' เป็นคนเริ่มต้นยิงก่อน"

"รัฐบาลในตอนนี้กำลังถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยมีการกล่าวถึงกรณีที่ทางทหารใช้กำลังเกินควร"

"ทางฝ่ายค้านก็ใช้วิดิโอคลิปในการอภิปรายแสดงหลักฐานว่าทหารใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างไม่แยกแยะทำให้ผู้ชุมนุมต้องพากันหนี"

"ฝ่ายรัฐบาลยืนยันว่าฝ่ายผู้ชุมนุมมีผู้ใช้อาวุธรวมอยู่ด้วย แล้วพวกเขาอ้างว่าทหารเล็งเป้าแต่ผู้ที่มีอาวุธ แล้วพวกเขาก็บอกว่าจะมีการสืบสวนเรื่องการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ"

"ภาพวิดิโอที่ CNN ถ่ายได้ภาพนี้เป็นหลักฐานเท่าที่จะมีในขณะนี้ เป็นภาพของผู้ที่รัฐบาลอ้างว่าเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย (mysterious militia) คุณจะเห็นได้ชัดเจนว่ามีปืนอยู่ข้างตัวของชายคนนี้ และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภาพหน้าของชายคนนี้ชัดเจน ซึ่งสวมชุดทหาร และชายอีกคนหนึ่งในชุดดำ"

"ชายคนดังกล่าวยืนยันให้ช่างภาพออกจากพื้นที่ โดยที่ไม่ทราบว่าถูกถ่ายวิดิโอเอาไว้ ชายในภาพนี้อาจเป็นคนที่ทราบได้ว่า ใครอยู่เบื้องหลังความรุนแรงในครั้งนี้"

"ซึ่งทางนายกรัฐมนตรี บอกว่ากองกำลังไม่ทราบฝ่ายนี้ ไม่ได้เป็นตัวแทนของคนเสื้อแดงทั่วไป"

จากนั้นเป็นเสียงของนายอภิสิทธิ์ที่กล่าวว่า "ผมมั่นใจว่าผู้ที่ต้องการก่อความรุนแรงเป็นแค่คนกลุ่มเล็ก ๆ ผมไม่เชื่อว่าผู้ที่เข้าร่วมกับเสื้อแดงต้องการส นับสนุนการเคลื่อนไหวพวกนี้"

จากนั้นแดน ริเวอร์ส จึงกลับมารายงานต่อว่า "รัฐบาลบอกว่าเสื้อแดงโดยส่วนใหญ่ชุมนุมโดยสงบ แต่ก็มีคำถามอยู่ข้อหนึ่งที่รัฐบาลต้องตอบ คือเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุมหลายร้อยรายวิ่งหนีหลบทหารไปอยู่ในวัดปทุมวนารามหลังจากที่ทหารเข้าสลายการชุมนุม เสื้อแดงที่นี่บอกว่าพวกเขาถูกยิง มาจากทางรถไฟฟ้า"

ทาง CNN นำเสนอภาพถ่ายทหารบนรางรถไฟฟ้า บอกว่าภาพนี้ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาไท ในภาพจะเห็นทหารยืนประจำการอยู่ แต่รัฐบาลก็ยังปฏิเสธว่าไม่มีทหารอยู่ในวันที่มีการยิงกัน และเว็บไซต์ที่นำเสนอภาพนี้ก็ถูกบล็อกไปแล้วในประเทศไทย

วิดิโอของ CNN นำเสนออีกว่า มีประชาชนเสียชีวิต 6 รายในวัดปทุมฯ รวมถึงหญิงคนหนึ่งที่กำลังดูแลผู้บาดเจ็บ รวมถึงนักข่าวภาคสนามที่เข้ามาหลบภัย

ในช่วงท้ายของวิดิโอ นำเสนอภาพของชายที่ถูกอ้างว่าเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายอีกครั้ง ซึ่งทางรัฐบาลกล่าวหาว่าชายผู้นี้ได้รับการจ้างวานจากทักษิณ

สื่อไทยเล่นต่อ เอเอสทีวีอ้างตามสุเทพทหารบน BTS ถ่ายวันอื่น ประชาไทยันเหตุเกิด 19 พ.ค.

โดยวิดีโอดังกล่าว มีสื่อไทยนำไปเผยแพร่ต่อหลายสำนัก โดยวันนี้ (2 มิ.ย.) หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจคัดลอกภาพชายร่างท้วมจากวิดีโอ ตีพิมพ์เป็นภาพข่าวหน้า 1 มีข่าวในหน้า 16 พาดหัวข่าวว่า "สื่อนอกโชว์คลิปกลุ่มติดอาวุธ" ส่วนมติชน หน้า 14 ขึ้นพาดหัว "ซีเอ็นเอ็นแพร่ภาพ 3 ชายชุดดำ"

ภาพที่ถูกเผยแพร่ในประชาไท และต่อมา CNN นำไปเผยแพร่ ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณระบุว่าไม่ใช่ภาพวันที่ 19 พ.ค. อย่างไรก็ตามในภาพชุดเดียวกันนี้จะเห็นควันไฟปกคลุมบริเวณดังกล่าว ซึ่งสามารถยืนยันได้ว่าเป็นภาพที่ถ่ายในวันที่ 19 พ.ค. (อ่านข่าวย้อนหลัง)

ส่วน ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานเมื่อ 20.30 น. วานนี้ (1 มิ.ย.) โดยพาดหัว "CNN เผยภาพชัดๆ “อ้วนดำ” แฝงแดงก่อการร้าย" นอกจากนี้ได้อ้างถึงภาพที่ CNN นำมาจากเว็บไซต์ประชาไท ว่า "ภาพดังกล่าวที่ CNN นำมาแสดง วานนี้ได้ถูกชี้แจงในสภา โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และ ส.ส.รัฐบาลบางส่วนแล้ว ว่า ภาพดังกล่าวไม่ได้เป็นภาพในวันที่ 19 พ.ค.2553 วันเกิดเหตุ เนื่องจากภาพนิ่งและภาพวิดีโอดังกล่าวปราศจากควันไฟที่กำลังเผาไหม้ห้างสรรพสินค้าเซ็นบริเวณใกล้เคียง

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวยืนยันว่า ภาพที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาไท เป็นภาพที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 พ.ค. แน่นอน โดยภาพชุดเดียวกันนี้เผยให้เห็นว่ารอบๆ บริเวณวัดปทุมวนารามเต็มไปด้วยควันไฟจากการเผาสิ่งของและอาคารซึ่งเป็นเหตุการณ์ในวันที่ 19 พ.ค.

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ธรรมะหมวกแดง: สัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโล

Posted: 01 Jun 2010 11:29 AM PDT

"วิจักขณ์ พานิช" ได้กราบนมัสการพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล สนทนาพูดคุยอย่างเป็นกันเองในประเด็นเรื่องธรรมะ ศาสนา ศีลธรรม สังคม และการเมือง ด้วยเจตนาอย่างเปิดเผยของผู้สัมภาษณ์ที่จะขอสวมหมวกแดงระหว่างการพูดคุยครั้งนี้

<!--break-->

ภาพประกอบโดย วิจักขณ์ พานิช

ธรรมะเป็นสากล เพราะธรรมะคือธรรมชาติ คือความเป็นจริง ทั้งในจิตในใจ และในความเป็นไปภายนอกอันปราศจากการปรุงแต่ง  ธรรมะจึงไม่ได้แบ่งแยกด้วยสีเสื้อ แต่ธรรมะคือเรื่องของใจ ที่พร้อมเปิดกว้างยอมรับสรรพสิ่งตามที่เป็นจริง นั่นคือภาษาของธรรมะ ภาษาของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข

ทว่าการสื่อสารธรรมะ หรือการแสดงออกซึ่งความรัก “ของคน” จำเป็นจะต้องมีบริบท นั่นคือการแสดงความรักไม่สามารถแสดงออกอย่างลอยนวลได้ ดังว่า “รักเธอประเทศไทย” “รักคนไทยทุกคน” “รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์” “ฉันรักสรรพสิ่ง” ที่ทุกครั้งที่เราได้ยินได้ฟังการแสดงออกความรักอย่างลอยนวลแบบนั้น ก็มักจะตามมาด้วยคำถามเควชชั่นมาร์คอันใหญ่ๆ ว่า “รักใครนะ?”  หากจะพูดกันอย่างไม่เกรงใจ ผมว่าความรักในแบบนั้นออกจะเป็นไปในลักษณะของการประกาศอัตลักษณ์ของผู้พูดเสียมากกว่า หาได้เป็นการแสดงออกซึ่งความรักความเมตตาใดๆต่อใครที่ไหนไม่ 

เช่นเดียวกับเรื่องของธรรมะ ที่การสื่อสารธรรมะจำเป็นจะต้องเกิดขึ้นด้วยความเข้าถึงบริบท ไม่ใช่เอาแต่พร่ำบ่น สอนสั่งธรรมะกันอย่างเลื่อนลอย โดยไม่ใส่ใจบริบทความทุกข์ความเจ็บปวดของผู้รับสาร ซึ่งธรรมะแบบเหมารวมเช่นนั้นนอกจากจะไม่ได้ช่วยเยียวยาจิตใจของผู้ทนทุกข์แล้ว บ่อยครั้งที่กลับไปซ้ำเติมและเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นคนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดให้จมดินหายไปไม่มีเหลือ

บทสัมภาษณ์ “ธรรมะหมวกแดง” ชิ้นนี้ ผู้สัมภาษณ์ได้กราบนมัสการพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล สนทนาพูดคุยอย่างเป็นกันเองในประเด็นเรื่องธรรมะ ศาสนา ศีลธรรม สังคม และการเมือง ด้วยเจตนาอย่างเปิดเผยของผู้สัมภาษณ์ที่จะขอสวมหมวกแดงระหว่างการพูดคุยครั้งนี้ เพื่อที่จะเป็นประจักษ์พยานว่า ธรรมะยังเป็นสากล ที่คนทุกคนสามารถสัมผัสความรักความเมตตาจากผู้ประพฤติธรรมได้อย่างไม่มีข้อแม้เงื่อนไข และสามารถน้อมนำไปปฏิบัติจริงได้ในทุกบริบท ทุกกิจกรรม ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะสวมเสื้อสีใด หรือมีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบใดก็ตาม

วิจักขณ์: ผมได้ฟังบทสัมภาษณ์ของหลวงพี่ รวมถึงพระหลายรูปหรือนักศีลธรรมทั้งหลาย ที่ได้ออกมาเตือนสติประชาชนไม่ให้โกรธเกลียด และลดอคติที่มีต่อกัน รวมถึงการเรียกร้องให้สังคมยุติการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แต่โดยส่วนตัวก็ยังอยากได้ยินใครสักคนที่กล้าที่จะให้ความเข้าใจหรือแสดงความเห็นใจต่อผู้ชุมนุมที่กลับบ้านไป ผู้บาดเจ็บล้มตาย หรือญาติมิตรของผู้สูญเสีย ไม่อยากให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกลายเป็น “เรื่องอัปมงคล” ที่ไม่มีใครอยากพูดถึงกันอีกในรายละเอียด จากนั้นก็กลบเกลื่อนด้วยแคมเปญ “คนไทยรักกันเหมือนเดิม” ซึ่งตัวผมเองคิดว่ามันจะยิ่งทำให้ความแตกร้าวนี้ฝังรากลึกลงไปในหัวใจคนไทยยิ่งกว่าเดิม

หากมีผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ต่อสู้ทางการเมืองเพื่ออยากเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสังคม ที่ตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดกับท่าทีของรัฐบาล และกับเหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่เกิดขึ้น และยังทำใจไม่ได้ ยังโกรธ ยังฝังใจ ยังรู้สึกว่าตนเป็นผู้ถูกกระทำ หากมีคนเหล่านั้นเข้ามากราบหลวงพี่ หลวงพี่จะพูดกับเขาว่าอย่างไรครับ

พระไพศาล:  ต้องให้ความหวังแก่เขา อย่างน้อยก็อยากให้เขายอมรับว่า นั่นเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม คือ เราต้องผ่านความไม่สมหวัง ผ่านความล้มเหลวอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม

วิจักขณ์:  คือให้ยอมรับความล้มเหลวเหรอครับ?

พระไพศาล:  ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและการทำงาน  เราไม่สามารถปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้ อย่างไรก็ดีการทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมมีหลักอยู่ข้อหนึ่งคือ มันเป็นเรื่องของการสะสมชัยชนะและสรุปบทเรียนไม่หยุดหย่อน  ถ้าเราเจ็บปวด แต่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวบทเรียนที่เกิดขึ้น เราก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย  อย่างเหตุการณ์ครั้งนี้ โอกาสที่จะไม่สูญเสียมันก็มีอยู่ แต่ทุกฝ่ายก็ปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านเลยไป  จึงเป็นบทเรียนให้แก่เราว่าความผิดพลาดอยู่ที่ตรงไหน เหมือนกับคนที่ผ่านเหตุการณ์ ๖ ตุลามา ก็ต้องสรุปบทเรียนว่ามีความผิดพลาดตรงไหน ความสูญเสียเกิดจากอะไร ซึ่งหลายคนก็สรุปได้ อย่างสมศักดิ์ (เจียมธีระสกุล) เขาเตือนแล้วเตือนอีกว่ามันไม่คุ้มนะถ้าจะชุมนุมต่อในสถานการณ์ที่ล่อแหลม  แกนนำนปช.ควรจะหาทางลง รักษามวลชนไว้ก่อน คือ กระบวนการเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องมี ไม่เช่นนั้นหากเราจมอยู่แต่ในความเจ็บปวด เราก็มีแนวโน้มที่จะเพ่งโทษคนอื่น กล่าวหาคนอื่น จริงอยู่คนอื่นมีส่วนทำให้เราเจ็บปวด แต่ความผิดพลาดส่วนหนึ่งอาจเกิดจากเราด้วย  ถ้าเราไม่เรียนรู้อะไรเลย ก็จะเสียโอกาสไป

วิจักขณ์: ก็คือ ใช้โอกาสนี้ในการทบทวน สรุปบทเรียน เพื่อปรับอะไรหลายๆ อย่าง และพัฒนาศักยภาพของตัวเองขึ้นไปด้วย

พระไพศาล: ใช่  อาตมาก็พยายามบอกหลายๆ คนนะ ว่าถ้ามองในแง่ประวัติศาสตร์ มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องท้อแท้ เพราะประวัติศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นว่า ไม่มีสังคมไหนที่ตกต่ำดำมืดไปตลอด จะเลวร้ายอย่างไรในที่สุดก็จะฟื้นขึ้นมาใหม่  สังคมที่เจริญก้าวหน้าและมีเสถียรภาพอย่างยุโรปก็ผ่านการนองเลือดมาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน  ที่จริงเราน่าจะเรียนรู้จากเขาโดยไม่ต้องเกิดความสูญเสียก็ได้ แต่ว่าคนเราก็มักไม่เปิดใจเรียนรู้จากผู้อื่น  ก็เลยต้องเรียนรู้จากความเจ็บปวดของตัวเอง

วิจักขณ์:  ในมุมมองของคนที่ต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง เมื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันเป็นโครงสร้างที่ใหญ่ และยึดโยงกันแน่นมาก แม้ภายนอกอาจจะดูดี มีหลักการ หรือมีศีลธรรมอะไรก็ตาม แต่มันได้กลายเป็นโครงสร้างทางสังคมที่แข็งตัวมาก เต็มไปด้วยอำนาจ ความเหลื่อมล้ำ และความรุนแรง ไม่รับฟังอะไรเลย ไม่ยอมรับความแตกต่างอะไรเลย ไม่เปิดกว้างต่อการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เมื่อโครงสร้างทางสังคมมันปิดขนาดนี้ ไม่รู้สึกรู้สากันได้ขนาดนี้ ในมุมมองของคนที่ต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง มันจะหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้จริงหรือครับ

พระไพศาล: สังคมไทยก็ไม่ใช่ว่าจะเป็น monolithic ขนาดนั้นนะ มันไม่ใช่ว่าจะเป็นเนื้อเดียวกันหมด หรือดื้อรั้นไปเสียทั้งหมด  ไม่ใช่... สังคมไทยมีความหลากหลายอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน บางจุดมันก็แข็ง บางจุดมันก็อ่อน ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจจุดที่มันอ่อนด้วย อันนี้เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ยุทธวิธี  คือเวลานี้เราไปมองอะไรเป็นดุ้น เป็นก้อนไปหมด พวกเสื้อเหลืองก็มองพวกเสื้อแดงเป็นก้อนหรือเป็นเนื้อเดียวกัน พวกเสื้อแดงก็มองเสื้อเหลืองเป็นก้อนหรือเป็นเนื้อเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วมันมีความหลากหลายอยู่ในนั้นมาก พวกล้มเจ้าหรือพวกสุดโต่งมีแค่นิดเดียว แต่ถ้าเรามองแบบเหมารวม เราจะไม่สามารถมองเห็นความจริงที่หลากหลายได้  ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ แล้วสามารถมองเห็นได้ว่าสังคมไทยไม่ได้เป็นก้อนเดียวกัน เราก็จะเห็นว่ามันมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนที่เราสามารถเข้าไปได้ เราจะมองเห็นธรรมชาติของโครงสร้างสังคมทั้งหมดแบบมีชีวิตมีพลวัต ไม่ได้มองเป็นก้อนที่แข็งทื่อตายตัว   แล้วในที่สุดเราก็จะพบจุดคานดีด คานงัด แต่ตอนนี้เราก็ยังคลำหากันไม่เจอ หรือถ้าหาเจอ เราก็ยังไม่สามารถสร้างความเห็นพ้องต้องกันได้มากพอเพื่อร่วมกันผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้

วิจักขณ์:  ตอนนี้ทุกคนในสังคมมีความทุกข์มาก หลายคนหันมาหาธรรมะ แต่ธรรมะที่พูดๆ กันตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ศีลธรรม ความรัก ความไม่เห็นแก่ตัว ความสงบ ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง มันได้กลายเป็นวาทกรรมที่เอาไว้ปราบปรามผู้ที่เรียกร้องความเปลี่ยนแปลงหมดเลย คล้ายๆ จะบอกให้หุบปาก กลับบ้านไป..อะไรทำนองนั้น  ผมว่าผู้ชุมนุมที่กลับบ้านไปตอนนี้ก็เจ็บปวดไม่น้อยเลยนะ ก็คงอยากได้ธรรมะมาชโลมใจเช่นกัน แต่ถ้าธรรมะมันแอบซ่อนวาทกรรมพวกนั้น ผมว่าเขาก็คงเลือกไม่มีธรรมะเสียดีกว่า แต่ในโอกาสนี้ก็อยากให้หลวงพี่ได้ให้ธรรมะเตือนใจกับพี่น้องเสื้อแดงที่รู้สึกเจ็บปวด และอยู่ในภาวะน้อยเนื้อต่ำใจในตอนนี้สักเล็กน้อย

หลวงพี่ไพศาล:  ที่พูดนี้ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่า เพราะรู้ว่ามันยาก  แต่ก็อยากจะให้เรายอมรับความจริง มีสติ และมองไปข้างหน้า อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ แต่มันยาก เพราะเวลาคนเราเจ็บปวด มีความทุกข์ ยังปล่อยให้อดีตทิ่มแทง ยังวางมันไม่ได้ ก็คงจะมีสติได้ยาก

วิจักขณ์: แต่สติไม่ได้หมายความว่าลืม?

หลวงพี่ไพศาล: ไม่ (ตอบเร็ว) ... อาตมาพยายามบอกใครต่อใครว่า ความทรงจำบางครั้งมันมีพิษ มันมีหนามแหลม แต่ถ้าเรารู้จักถอนพิษออกจากความทรงจำ เราก็สามารถระลึกถึงอดีตได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอีก จำเหตุการณ์นั้นได้ว่าเป็นอย่างไร แต่ไม่ทุกข์ เพราะสามารถจะถอนพิษได้แล้ว

จะว่าไปแล้ว ความทรงจำหรือประสบการณ์เลวร้ายในอดีตก็เหมือนทุเรียน คือมีหนามแหลม แต่ถ้าเรารู้จักปอกเปลือกที่มีหนามแหลมออก ก็จะเหลือเนื้อทุเรียนซึ่งกินได้ และอร่อยด้วย คนส่วนใหญ่ครุ่นคิดจ่อมจมกับเหตุการณ์ในอดีตจึงเจ็บปวดเหมือนกอดทุเรียนเอาไว้ หนามแหลมมันจึงทิ่มแทงเอา  แต่คนที่ฉลาดคือคนที่รู้จักปอกเปลือกออก ทำให้ความทรงจำนั้นไม่สามารถทิ่มแทงจิตใจได้อีกต่อไป เราทุกคนสามารถทำให้เหตุการณ์ในอดีตไม่มีพิษสงอีกต่อไป  แล้วยังสามารถสรุปบทเรียน เก็บเกี่ยวบทเรียนจากเหตุการณ์นั้นๆ ได้ด้วย  ทำให้เกิดปัญญามากขึ้น  สิ่งที่ท้าทายก็คือ ทำอย่างไรเราจึงถอนพิษความทรงจำ หรือปอกเปลือกที่มีหนามแหลมออกไป คนส่วนใหญ่ถ้าไม่กอดมันไว้แน่น ก็เลือกที่จะทิ้งมันไป คือลืมมันไปซะเลย

วิจักขณ์:  คือ ธรรมะก็ยังเป็นเรื่องของการเผชิญความจริงอยู่ดี...

พระไพศาล:  ใช่ ...สติจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก สติในที่นี้ คือการยอมรับปัจจุบันหรือยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ถ้าเรายังเราทุกข์ ยังเจ็บแค้นโกรธเกลียดกับสิ่งที่เกิดขึ้น  นั่นแสดงว่าเรายังยอมรับความจริงไม่ได้ ถ้าเรามีสติ และยอมรับความจริงได้ เราก็หลุดจากอดีตแล้วสามารถเดินหน้าต่อไปได้

วิจักขณ์:  แบบนี้ก็ได้ยินบ่อยๆ นะหลวงพี่ คนในโครงสร้างสังคมเดิม ชนชั้นกลาง ที่มองไม่เห็นว่ามีอะไรต้องเปลี่ยน ก็จะใช้คำพูดแบบนี้แหละว่า ให้ยอมรับความจริง ความจริงมันก็เป็นแบบนี้ ยอมรับความจริงซะ ก็จะได้ไม่ทุกข์ มาเรียกร้องอะไรกัน ก่อกวนความสงบ เสียเวลาทำมาหากิน

พระไพศาล: ยอมรับระบบที่เป็นอยู่น่ะเหรอ...

วิจักขณ์:  (หัวเราะ) ประมาณว่าเราอยู่ในประเทศนี้ ในระบบนี้ มันเป็นแบบนี้ ก็ทำใจยอมรับ มองให้เห็นข้อดีของมัน ก็จะอยู่ได้ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไร

พระไพศาล:   ยอมรับไม่ได้แปลว่ายอมจำนนนะ เหมือนเรายอมรับความจริงว่าเราเป็นมะเร็ง โอเค เรายอมรับ เราไม่ตีโพยตีพาย แต่เราก็ต้องรักษาจริงมั้ย   แต่ถ้าไม่ยอมรับความจริงเราก็จะทุกข์ใจมากเลย  เรายอมรับความจริงว่าเราเป็นมะเร็ง  แต่เราไม่ยอมจำนน ก็ต้องมาดูว่าจะรักษายังไง  เราต้องแยกระหว่างยอมรับกับยอมจำนน โอเค ถ้าเรารักษาไม่หาย ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเรายังไม่ได้พยายามเลย เพราะมัวแต่ตีอกชกหัวตัวเองว่าทำไมถึงต้องเป็นฉัน อย่างนี้เรียกว่ายอมจำนน ยังยอมรับความจริงไม่ได้

ตัวอาตมาเองก้าวข้ามความเจ็บปวดจากเหตุการณ์ ๖ ตุลาได้ก็เพราะว่า มองเห็นว่าศัตรูของเราไม่ใช่คน แต่ศัตรูของเราเป็นความโกรธ ความเกลียด และโครงสร้างสังคมที่เป็นรูปธรรมหรือก่อรูปมาจากความโกรธ ความเกลียด ความโลภ และความหลง  กิเลสเหล่านี้มันอยู่ในใจคน และอยู่ในตัวโครงสร้างสังคมด้วย การมองเห็นเช่นนั้นทำให้เราหันมาจัดการกับความโกรธเกลียดในใจคน และในโครงสร้าง ซึ่งมันทำให้เรามีพลัง พลังของเราจะไม่หมดไปกับการสู้รบปรบมือหรือทำลายล้างผู้คน ซึ่งมันเหนื่อยมาก แต่ละวันหมดพลังไปกับความโกรธเกลียด ตอน ๖ ตุลาอาตมาข้ามเหตุการณ์นี้มาได้เพราะเห็นเลยว่า คนที่เตะถีบเรา เขาทำอย่างนั้นได้ก็เพราะความโกรธ ความเกลียด  ความโกรธเกลียดมันทำให้คนกลายเป็นสัตว์  อาตมาจึงไม่โกรธคนที่ทำกับอาตมา แต่อาตมาตั้งปณิธานตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่าจะต้องต่อสู้กับความโกรธ ความเกลียด ทีนี้เมื่อเราจะต่อสู้กับความโกรธเกลียด ทางเดียวก็คือต้องใช้ความรักความเมตตาเข้าสู้

วิจักขณ์:  แต่ตอนนี้ดูเหมือนพอตัวโครงสร้างความอยุติธรรมตรงหน้ามันยิ่งควบคุม ยิ่งปิดกั้น ยิ่งให้ความรุนแรงแฝง ลิดรอนสิทธิเสรีภาพอะไรมากขึ้น ถึงจุดนึงคนที่ต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลงก็มองว่า ทางเดียวที่จะทำให้โครงสร้างนั้นเปลี่ยนได้ ก็คือ ความทุกข์  

พระไพศาล:  ความทุกข์เป็นตัวขับเคลื่อนได้ก็จริง  แต่ทำไมเราจะต้องใช้อารมณ์เป็นตัวขับเคลื่อน ทำไมเราต้องใช้ความโกรธเป็นตัวขับเคลื่อนหรือเป็นตัวกระตุ้นด้วย ทำไมเราจึงไม่สามารถทำอะไรโดยไม่ต้องใช้ความโกรธเกลียดเป็นตัวผลักดัน  ทำไมเราไม่มองว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข และทำไปด้วยสติปัญญา การต่อสู้ด้วยความโกรธเกลียดนั้น มันบั่นทอนจิตใจมาก 

วิจักขณ์: แต่แม้ว่าเราจะทำไป ไม่ใช่ด้วยความโกรธเกลียดก็ตาม มันก็อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นชนวนของความทุกข์ให้เกิดขึ้นกับโครงสร้างนั้นอยู่ดี  ก็อาจทำให้คนในสังคม...

พระไพศาล:  ไม่พอใจ

วิจักขณ์:  ครับ

พระไพศาล: ก็ธรรมดา  คือเค้าไม่พอใจ ก็เพราะเค้ายังยึดติด เพราะเค้ายังมีความโลภ ยังมีความหลงอยู่ เราก็ต้องพยายามที่จะแก้ตรงนั้น พุทธศาสนาพูดเรื่องนี้ไว้ชัดว่า เราต้องเอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ เราต้องเอาชนะความชั่วด้วยความดี  มีเหตุการณ์มากมายในประวัติศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นว่าวิธีนี้มันเวิร์ค คนเราไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายไปหมด อย่างการเคลื่อนไหวต่อสู้ในอินเดีย ของคนผิวดำในอเมริกา  ผู้นำของขบวนการเหล่านั้นพยายามใช้สิ่งนี้เข้าไปเปลี่ยนใจคน เอาชนะใจคนได้ในที่สุด

อาตมายังมองไม่เห็นเลยว่าการใช้ความรุนแรงมันจะเปลี่ยนโครงสร้างได้ยังไง มันทำได้แค่กำจัดคนกลุ่มหนึ่งออกไป  เราก็เห็นอยู่แล้วว่าพอปฏิวัติด้วยความรุนแรงแล้วมันก็ล้มเหลว ในที่สุด เช่น  ในรัสเซีย  ในจีนเราต้องรู้จักที่จะเรียนรู้จากสังคมอื่นด้วย ศึกษาจากประวัติศาสตร์ จะได้เกิดความเข้าใจที่กว้างขวาง และเกิดความหวัง

วิจักขณ์:  เรื่องการยึดติด เรื่องอวิชชา เรื่องความโลภโกรธหลง คนก็เอามาพูดกันมาก แนะนำกันมาก กลายเป็นเครื่องมือของการจับผิดอีกฝ่าย และสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายตัวเอง  ธรรมะหรือศีลธรรมได้กลายเป็นอาวุธของคนที่อยู่ในโครงสร้างสังคมแบบอำนาจนิยม อนุรักษ์นิยม จารีตนิยม ในการรักษา “ความสงบ” หรือ “ความปกติ” ใน “ความจริง” ที่เขาได้สร้างขึ้นมาให้คนส่วนใหญ่ยอมรับ แวดวงธรรมะ ศาสนาก็ถูกเสียดสีตรงนี้ค่อนข้างมาก หลวงพี่คิดยังไงครับ

พระไพศาล: (ตอบเร็ว) ก็จริง คนส่วนใหญ่ที่ยึดติดในศีลธรรม มักจะมองปัญหาในเชิงบุคคล คือมองว่าปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นก็เพราะคนชั่ว เพราะทักษิณเป็นคนไม่ดี คนเหล่านี้ไม่สามารถมองทะลุไปถึงเรื่องโครงสร้างได้ เพราะกรอบคิดทางศีลธรรมของคนในปัจจุบันมักทำให้เข้าใจไปว่าปัญหาเกิดจากความไม่มีศีลธรรมในระดับบุคคล

วิจักขณ์: ...ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่

พระไพศาล: ..มันมีเรื่องโครงสร้างสังคมด้วย   แต่พอไม่มองเรื่องโครงสร้าง ก็ไม่แก้ปัญหาที่ตัวโครงสร้าง เลยคิดแต่จะไล่ล่ากำจัดตัวบุคคล เช่น คิดว่าถ้ากำจัดทักษิณได้ จับผู้ก่อการร้ายได้ ความวุ่นวายทั้งปวงก็จะหมดไป บ้านเมืองจะสงบสุขเหมือนเดิม  ทัศนคติแบบศีลธรรมที่เราเข้าใจกันในตอนนี้ มันคับแคบ เพราะศีลธรรมที่สอนๆ กันเน้นศีลธรรมระดับปัจเจก เช่น สอนกันว่าสังคมไม่ดีเพราะมีคนเลว หรือว่าถ้าเราทำตัวให้ดีแล้วสังคมจะดี  นี่คือการมองศีลธรรมในระดับปัจเจก  แต่พุทธศาสนาไม่ได้มีแค่นี้ มีมากกว่านี้ เช่นการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมทางสังคม  ที่อาตมาเขียนหนังสือเรื่อง “พุทธศาสนาไทยในอนาคต” ก็พยายามเสนอว่าเราต้องฟื้นฟูมิติทางสังคมของพุทธศาสนาขึ้นมา เพราะพุทธศาสนาตอนนี้ได้ถูกตีความให้เป็นเรื่องของปัจเจก ศีลธรรมถูกเน้นให้เป็นเรื่องของบุคคล  เราก็เลยมองอะไรแคบๆ

วิจักขณ์:  แล้วในทัศนะของหลวงพี่ จริงๆ แล้วไอ้ศีลธรรมที่มันก่อให้เกิดสันติสุขจริงๆ เนี่ย มันคืออะไรครับ

พระไพศาล:  อย่างที่พูดไปเมื่อตะกี๊ว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันไม่ได้อยู่ในใจคนอย่างเดียว แต่มันได้ก่อรูปขึ้นเป็นโครงสร้างสังคมหรือระบบเศรษฐกิจการเมืองขึ้นมา  โครงสร้างสังคมมันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เป็นความสัมพันธ์ที่เอารัดเอาเปรียบกัน ไม่มีน้ำใจต่อกัน โครงสร้างนี้กระตุ้นให้ความโกรธ ความโลภ ความหลง เกิดขึ้นในใจคนได้ง่ายมาก   ขอยกตัวอย่างที่เห็นชัด เช่นเวลาเราขับรถในกรุงเทพฯ คนอารมณ์ดีแค่ไหนถ้าขับรถในกรุงเทพฯ ก็ต้องเครียด เพราะ ระบบการจราจรในกรุงเทพฯ ซึ่งรวมถึงกฎระเบียบ ตำรวจ ถนน ฯลฯ มันทำให้คนเห็นแก่ตัว ทำให้คนไม่มีน้ำใจ คุณจะเป็นคนดีมาแค่ไหน พอคุณมาขับรถในกรุงเทพฯ ซักพัก คุณก็อารมณ์เสียหงุดหงิด  คุณก็ไม่มีน้ำใจแล้ว นี่เห็นมั้ย มันเป็นระบบน่ะ มันเป็นระบบที่หล่อหลอม กระตุ้นความเห็นแก่ตัว กระตุ้นเอาความรู้สึกฝ่ายลบออกมา ถ้าเรามองให้เห็นตรงนี้ มองให้กว้าง มองให้ทะลุ เราก็จะเห็นความสำคัญของการสร้างระบบหรือโครงสร้างใหม่ที่สามารถดึงเอาพลังฝ่ายบวกของคนออกมา ทำให้เกิดเมตตากรุณาก็ได้ ทำให้เกิดสติก็ได้

ดังนั้นหากจะคุยเรื่องศีลธรรม  เราต้องมองด้วยว่า สังคมเลวไม่ใช่เพราะคนไม่ดีอย่างเดียว  การที่คนไม่ดีก็เพราะสังคมไม่ดีด้วย เพราะฉะนั้นถ้าต้องการฟื้นฟูศีลธรรมของผู้คนในสังคม ก็ต้องฟื้นฟูสังคมให้มีศีลธรรมด้วย ต้องมีระบบที่เกื้อกูลต่อศีลธรรม พูดง่ายๆ  สังคมไทยตอนนี้เป็นปฏิปักษ์ต่อความดี  แต่คนที่เคร่งศีลธรรมมองไม่เห็น  เอาแต่มองศีลธรรมแค่ระดับบุคคล ไม่ได้มองว่าสังคมตอนนี้มันเป็นปฏิปักษ์ต่อความดี

วิจักขณ์: และความจริง

พระไพศาล: อือ ใช่ (ยิ้ม) ถ้าไม่จัดการหรือมองไม่เห็นถึงปัญหาศีลธรรมในเชิงโครงสร้างทางสังคม จะไปพูดเรื่องศีลธรรมยังไง จิตใจคนก็จะมีแต่ถดถอยลงไปเรื่อยๆ

วิจักขณ์:  แล้วหลวงพี่คิดยังไงกับกระแสการปฏิบัติธรรม หรือความสนใจธรรมะของคนในตอนนี้

พระไพศาล:  คนที่สนใจปฏิบัติธรรมมักเป็นคนที่มีปัญหามากมาย หลายคนมาปฏิบัติธรรมไม่ได้เพื่อลดความเห็นแก่ตัว จึงกลายเป็นคนที่คิดถึงแต่ตัวเอง  ขณะเดียวกันเนื่องจากต้องการความสงบเย็น ก็เลยกลายเป็นพวกหนีปัญหา และเพ่งโทษคนอื่นมาก คือโทษว่าคนอื่นทำให้ฉันทุกข์   และพอปฏิบัติธรรมมาก ๆ ก็เกิดความหลงตัวลืมตนว่าฉันดีกว่าคนอื่น  จึงตำหนิหรือมองคนในแง่ลบได้ง่าย  ใครที่ไม่เห็นด้วยกับตัว ก็โต้ตอบถกเถียงอย่างใช้อารมณ์ ไม่เว้นแม้แต่แวดวงกรรมฐาน  กลายเป็นว่าการปฏิบัติธรรม หรือความเป็นพุทธไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยังน่าเกลียด ยังรุนแรง นั่นแสดงว่ามีปัญหาบางอย่างกับการปฏิบัติธรรมด้วย

วิจักขณ์:  อยากจะขอวกกลับมาที่อาจารย์พูดว่าธรรมะหรือศีลธรรมแบบไทยมุ่งเน้นไปที่ปัจเจกหรือตัวบุคคล แต่มักละเลยการมองในมิติทางสังคม ก็เลยมองไม่ทะลุ หรือมองไม่เห็นโครงสร้างที่เป็นตัวแทนของความโลภ โกรธ หลง ความเหลื่อมล้ำและความอยุติธรรมที่มีอยู่  เลยกลายเป็นว่าธรรมะ ศีลธรรม หรือการปฏิบัติธรรมได้ไปช่วยเสริมให้โครงสร้างความรุนแรงเหล่านั้นมีอำนาจมากขึ้น หรือมีความมั่นคงมากขึ้น

พระไพศาล: ลักษณะหนึ่งของวงการธรรมะของไทยคือค่อนข้าง conservative   เพราะฉะนั้นจึงมักจะอิงกับโครงสร้างอำนาจนิยม หรือสถาบันแบบดั้งเดิม  เช่น สถาบันสงฆ์ สถาบันทหาร สถาบันพระมหากษัตริย์  คนกลุ่มนี้โดยธรรมชาติจะconservative ก็เลยมักรับรองหรือเห็นด้วยกับ status quo  อันนี้เป็นเรื่องของการศึกษาด้วย

วิจักขณ์: แล้วหลวงพี่อยากจะฝากอะไรกับวงการปฏิบัติธรรมบ้าง

พระไพศาล: อย่างแรกก็คือต้องมีความเมตตากรุณา  ไม่มองคนเป็นฝักฝ่าย ไม่ถือเขาถือเรา  มีขันติธรรม แม้ใครจะคิดต่างจากเรา ก็ยอมรับได้ ไม่เห็นเขาเป็นศัตรู  เห็นว่าเขาเป็นมนุษย์เหมือนเรา  ขณะเดียวกันก็อยากให้มองกว้างด้วย คือมองศีลธรรมโยงกับโครงสร้างสังคมด้วย  ความไม่มีศีลธรรมของคนไม่ได้เกิดจากกิเลสในตัวบุคคลอย่างเดียว แต่มันถูกปลุกหรือส่งเสริมโดยระบบต่าง ๆ ที่แวดล้อมเขา หรือโครงสร้างทางสังคมที่เป็นปฏิปักษ์กับความดีด้วย

วิจักขณ์: แล้วประเด็นเรื่องความกล้าหาญล่ะครับหลวงพี่ ดูเหมือนวงการนี้จะเงียบเชียบเหลือเกิน ไม่มีความกล้าหาญใดๆ ที่จะพูดความจริง เพราะไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง ไม่อยากทำให้ใครไม่พอใจ

พระไพศาล: อย่างที่บอกแล้วชาวพุทธเราส่วนใหญ่เป็นพวกที่ต้องการหนีปัญหา ต้องการความสงบส่วนตัว เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยมีความกล้าที่จะเผชิญปัญหาอยู่แล้ว   เราหนีปัญหาก็เพราะเรากลัวเผชิญหน้ากับปัญหา  ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว อย่างกรณีธรรมกายที่เป็นการทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ชาวพุทธเป็นอันมากก็ไม่สนใจที่จะแก้ปัญหานี้  พอเห็นปัญหาก็หลบๆ กัน แม้กระทั่งช่วงเกิดความวุ่นวายที่ผ่านมา พระหลายรูปก็หลบ ไม่กล้าแสดงความเห็นเพราะกลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์   ถ้าดังหน่อยมีคนมาขอสัมภาษณ์ก็ไม่เอา กลัวเสื้อแดงเล่นงาน ชาวพุทธเราส่วนใหญ่ค่อนข้างจะแหย  เนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อต้องการลดความเห็นแก่ตัว แต่ต้องการความสงบหรืออยากได้บุญมากกว่า  

วิจักขณ์: งั้นหลวงพี่ก็มองว่า ถ้าปฏิบัติธรรมจริงๆ ก็ต้องมีความ...

พระไพศาล: (ทันควันไม่รอให้พูดจบ) ...ต้องกล้า (เน้นเสียง)  ต้องสู้กับอัตตา ต้องกล้าเผชิญกับทุกข์ กับความยากลำบาก ถ้าต้องการลดความเห็นแก่ตัว ต้องการลดละอัตตา ก็จะกล้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ ไม่กลัวคำวิพากษ์วิจารณ์ ไม่กลัวเปลืองตัว เพราะตัวตนสึกหรอเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

วิจักขณ์:  และกับสังคม...

พระไพศาล: เรื่องสังคมก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน บางคนก็ไม่มีมิติทางสังคม แต่อย่างน้อยก็ต้องยืนหยัดในความถูกต้อง อะไรไม่ถูกก็ต้องกล้า ต้องสู้ แต่ถ้ามีความโน้มเอียงที่จะหนีปัญหาอยู่แล้ว ก็จะพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่สนใจปัญหาบ้านเมือง และพยายามไม่ขัดแย้งกับผู้คน ไม่อยากจะช่วย ไม่อยากทำอะไรให้ตัวเองเดือดร้อน วุ่นวาย  ความเป็น conservative ของชาวพุทธ ก็ยิ่งไปส่งเสริมความคิดแบบนี้ด้วย

หมายเหตุ

[1] สัมภาษณ์เย็นวันที่ ๓๐ พ.ค. ๕๓ ณ แสนปาล์มเทรนนิ่งโฮม จ.นครปฐม ระหว่างการอบรมเผชิญความตายอย่างสงบ

[2] วิจักขณ์ พานิช:  นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ศาสนา วิทยากรของเสมสิกขาลัย ปัจจุบันทำงานเขียน งานแปล และงานอบรมภาวนา จิตวิญญาณการศึกษา จิตวิทยาแนวพุทธ และพุทธศาสนาเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม ให้กับประชาชนทั่วไป องค์กรพัฒนาเอกชน โรงพยาบาล และสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วิกฤตการเมือง ไซเบอร์สเปซ สนามรบใหม่ของความขัดแย้งในไทย

Posted: 01 Jun 2010 11:12 AM PDT

<!--break-->

แม้ว่าความขัดแย้งที่เห็นบนถนนสิ้นสุดลงแล้ว แต่แท้จริงยังคงยืดเยื้อ คนไทยหลบมาถกเถียงกัน ซึ่งมีทั้งรูปและวิดีโอให้เห็นมากมายผ่านสังคมอินเตอร์เน็ทที่กำลังถูกเซ็นเซอร์มากขึ้นเรื่อย ๆ ในสนามรบแห่งนี้ กลุ่มนปช.ก็สื่อสารกันและกันถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกปิดกั้นโดยรัฐบาล

เฟซบุ๊ค เป็นเวบไซต์ที่มีคนใช้มากขึ้นถึงสามเท่าในระยะเวลาเพียงสองสามเดือน  มีผู้ที่ทั้งชอบและต่อต้านรัฐบาล มาแลกเปลี่ยนความคิดทางการเมือง ภาพถ่าย วิดีโอ อย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์ผ่านเวบไซต์นี้ อินเตอร์เน็ทกลายเป็นพื้นที่สำหรับกลุ่มเคลื่อนไหวทางความคิดของคนไทย ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะระงับการแลกเปลี่ยนผ่านอินเตอร์เน็ทหนักขึ้นทุกที ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา มีกระทั่งการถ่ายทอดสดภาพจากพื้นที่ที่เกิดเหตุการการเมือง มีฟอรั่มต่างๆ

ตัวอย่าง เฟซบุ๊ค มีคนใช้ ณ วันนี้ จำนวนกว่า 3,700,000 คน เพิ่มขึ้นมาจากเดือนกันยายนปีที่แล้วซึ่งมีผู้ใช้เพียง 1,100,000 คน เทียบกับสถิติล่าสุดปลายปีที่ผ่านมา มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ททั่วประเทศจำนวน 16,000,000 คน ดังนั้น เกือบจะเป็นจำนวน 1 ใน 4 ที่ใช้เวบไซต์เฟซบุ๊ค โดยมีผู้แลกเปลี่ยนความคิดที่ใช้ชื่อ แดงไทย หรือ เสื้อแดง ในการรวมตัวกันตั้งแต่ช่วงต้น ๆ ของความขัดแย้งทางการเมือง มีนับหลายร้อย กระทั่งกลุ่มละหลายพันคนที่เป็นสมาชิกในกลุ่มเดียวกัน ยังมีนักศึกษาที่ไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งใหม่  กลุ่มต่อต้านฝ่ายนปช. ทั้งสองกรณี ผู้ใช้นำเสนอวิดีโอที่มีเพลงชาติไทยประกอบ

ฟอรั่มหนึ่งอย่าง Panthip.com ก็เป็นศูนย์แลกเปลี่ยนทัศนะทางการเมืองที่ใช้มากที่สุด ในช่วงที่ความขัดแย้งพุ่งสูงสุด มีหัวข้อสนทนาถึง 1,000 เรื่องต่อวัน มีภาพถ่ายและวิดีโอจากทั้งสองฝ่าย (ทั้งฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล) มีการใช้คำพูดถกเถียงรุนแรงขึ้นจนกระทั่งฟอรั่มการเมืองถูกปิดก่อนวันที่ 19 พฤษภาคม วันที่ทหารใช้กำลังกับผู้ชุมนุม

 

การเซ็นเซอร์และการติดตามของฝ่ายรัฐบาลยังคงดำเนินต่อไป

รายงานจากนักข่าวไร้พรมแดน (RSF) บอกว่า  มีเวบไซต์เกือบ 1,150 แห่งที่ถูกปิดตัวลงนับแต่กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพราะถูก ศอฉ. ให้ข้อหาว่า ยุยงให้เกิดความขัดแย้ง วันที่ 19 พฤษภาคม เฟซบุ๊ค (FACEBOOK) และทวิตเตอร์ (TWITTER) ถูกระงับใช้งานเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ทั้งที่เป็น วิธีการน้อยเดียวที่หลงเหลือให้ใช้ในการส่งข้อมูลข่าวสารในช่วงบ่าย ในขณะที่เวลานั้น ข่าวผ่านรายการโทรทัศน์ถูกควบคุมโดยรัฐบาล ปากคำของสมาคมปกป้องสิทธิเสรีภาพสื่อสิ่งพิมพ์

อย่างไรก็ตาม การระงับการใช้เวบไซต์ทั้งสองแห่งไม่ง่าย รัฐบาลจึงหันไประงับหน้าอื่น ๆ ของกลุ่มที่ให้การสนับสนุน นปช. กลุ่มอื่น ๆ โดยให้เหตุผลว่า เป็นการรักษาความมั่นคงของชาติ

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลยังมีคำฟ้องบุคคลบางคนว่ามีคดีความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อันมีผลให้เจ้าของเว็บไซต์ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อถ้อยคำความคิดเห็นของผู้ใช้เวบไซต์ อย่างผู้อำนวยการเวบไซต์ Prachatai.com จีรนุช เปรมชัยพร ซึ่งต้องไปศาลอาญารัชดาวันนี้ โดยถูกกล่าวหาว่าไม่ดึงหรือลบข้อคิดเห็นของผู้ใช้เวบไซต์ให้เร็วเท่าที่ควรจะเป็น ข้อคิดเห็นดังกล่าวมีถ้อยความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คุณธีรนุชจึงเสี่ยงที่จะต้องรับโทษจำคุก 15 ปี

เว็บไซต์นี้ก่อตั้งขึ้นปี 2547 มีผู้เยี่ยมชมประมาณ 20,000 คนต่อวัน เว็บไซต์นี้ก็ถูกเซ็นเซอร์เป็นระยะมาอย่างต่อเนื่องนับแต่เกิดความขัดแย้งทางการเมือง กระทั่งเปลี่ยนชื่อเวบไซต์หลายต่อหลายครั้ง ดังนี้ จาก prachatai.com เป็น prachatai.net ตามด้วย prachatai.info ตามด้วย prachatai1.info และนับแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาใช้ชื่อว่า prachatai2.info

อนึ่่ง เวบไซต์ของกลุ่มเรียกร้องอิสรภาพในการใช้อินเตอร์เน็ท ต่อต้านการเซ็นเซอร์ก็ยังถูกปิดชั่วคราวจาก ศอฉ. และยังใช้การไม่ได้จนบัดนี้

 

สงครามเทคโนโลยีและการเคลื่อนไหว นปช. ยังคงคืบหน้าต่อไป
แม้ว่าระบบการเซ็นเซอร์จะถูกฝ่ายอำนาจนำมาใช้อย่างได้ผล กลุ่ม นปช.ก็รู้หาวิธีดึงเข็มหมุดออกได้ เพื่อต้านความพยายามของรัฐในการปรามข้อมูลข่าวสาร

เมื่อรัฐบาลระงับเวบไซต์ของกลุ่ม นปช. ผ่าน URL กลุ่ม นปช. ก็ตอบรับด้วยการพัฒนาระบบที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข่าวความเคลื่อนไหวของตนโดยใช้แถบเครื่องมือที่ชื่อ "นปช" หรือ "Norporchor" ก็เข้าไปในเว็บไซต์ห้องทัศนะความเห็น รายการ และดูวิดีโอต่างๆ ที่สามารถเซฟเก็บไว้ได้โดยเวบไซต์อาศัยเซอร์เวอร์ของสหรัฐอเมริกา การตั้งระบบที่ชื่อว่า UDD Thailand Player ก็สามารถเข้าถึงโทรทัศน์เสื้อแดงได้ แถม UDD ยังตั้งระบบ Proxy นิรนาม ซึ่งเมื่อเราเข้าอินเตอร์เน็ท ก็ซ่อนที่อยู่ IP ได้ของคอมพิวเตอร์ อีกทั้งยังสามารถเข้าไปในเวบไซต์ที่ถูกระงับได้ด้วย โดยใช้วิธีเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทนอกประเทศ

การสืบกรองอินเตอร์เน็ทของรัฐบาลจึงหาไม่พบ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ศอฉ. หรือ Capothai ก็ได้เห็นเว็บไซต์ของตน (www.capothai.org) ถูกระงับโดยรัฐมนตรีเทคโนโลยีโทรมนาคมและข่าวสาร โดยให้เหตุผลว่าเป็นการใช้คำสั่งพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินต่อสำนักงานที่เกี่ยวข้องกับสื่อ อย่างไรก็ดี วันนี้ Capothai ใช้ได้แล้ว

หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังเคลื่อนไหวให้เกิดสำนักงานความปลอดภัยทางอินเตอร์เน็ทแห่งชาติเพื่อสู้กับการบุกรุกทางอินเตอร์เน็ทผ่านทางต่างชาติ ซึ่งจะเป็นที่น่าเสียดาย สื่อวิดีโอต่างประเทศอย่าง Dailymotion และ Youtube และอื่น ๆ ก็จะถูกเซ็นเซอร์และดึงทิ้งได้ง่าย ๆ ในเมืองไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นมีสำนักงานประเภทนี้ในแล้ว

 

หมายเหตุ: *เวบไซต์ชื่อว่า « หนังสือพิมพ์เล็กๆ » สำหรับชาวฝรั่งเศสและผู้ใช้ภาษาฝรั่งเศสในต่างประเทศ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ยูเอ็นประณามอิสราเอลถล่มเรือบรรเทาทุกข์

Posted: 01 Jun 2010 10:11 AM PDT

กลุ่มนักกิจกรรมสนับสนุนปาเลสไตน์ นำขบวนเรือขนสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้ชาวฉนวนกาซาซึ่งถูกอิสราเอลล้อม ก่อนถูกอิสราเอลโจมตีจนมีผู้เสียชีวิต อย่างน้อย 10 ราย ด้านยูเอ็นและนักกิจกรรม ประณามอิสราเอล ขณะที่ทางการอิสราเอลบอกว่าทำไปเพื่อป้องกันตัว อ้างขบวนเรือบรรเทาทุกข์เอี่ยวก่อการร้าย

<!--break-->

วิดิโอจาก AljazeeraEnglish

 

โจมตีเรือลำเลียงของบรรเทาทุกข์ จับกุมนักข่าวและนักกิจกรรม

เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา ผู้คนที่โดยสารมากับขบวนเรือขนาดเล็ก (flotilla) 6 ลำ ซึ่งเป็นเรือขนส่งความช่วยเหลือมายังฉนวนกาซา ถูกสังหารเสียชีวิตไปสิบกว่าราย ซึ่งทางกองทัพของอิสราเอลรายงานว่ามี ทหารบาดเจ็บด้วย 4 ราย และเกิดการโจมตีขบวนเรือดังกล่าวขึ้นหลัง จากที่กองเรือไม่ฟังคำเตือนของเจ้าหน้าที่ท่าเรือแอซดอดของ อิสราเอล ซึ่งเป็นสถานที่ลำเลียงสิ่งของช่วยเหลือไปยังฉนวนกาซ่า

อัลจาซีร่ารายงานว่ากองเรือดังกล่าวลำเลียงผู้โดยสารที่เป็นนักกิจกรรมสนับสนุนปาเลสไตน์ราว 700 ราย และลำเลียงสิ่งของช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ให้กับฉนวนกาซาซึ่งถูกปิดล้อมโดยกองทัพอิสราเอลนับหมื่นตัน ขบวนเรือชุดนี้ถูกทหารอิสราเอลโจมตีขณะอยู่ในน่านน้ำสากลห่างจาก ชายฝั่งของฉนวนกาซาราว 65 กม.

ทางการอิสราเอลยืนยันว่ากองทัพอิสราเอลทำไปเพื่อป้องกันตนเอง หลังจากถูกผู้ที่อยู่บนเรือโจมตี

แต่ผู้สื่อข่าวอัลจาซีร่า จามาล เอลเชย์ยัล ซึ่งเดินทางไปกับเรือนำขบวนที่ชื่อมาวี มาร์มารา บอกว่ากองทัพยิงใส่ขบวนเรือหลังจากที่ผู้โดยสารโบกธงขาว กองทัพอิสราเอลนำเรือจอดที่ท่าเรือแอซดอดหลังยึดเรือได้

มีนักกิจกรรมได้รับบาดเจ็บรับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล นักกิจกรรมอีก 480 รายถูกจับกุมตัวและต้องเข้ารับการไต่สวน นักกิจกรรมอีก 48 รายถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศของตนเอง

ส่วนจา มาล ผู้สื่อข่าวอัลจาซีร่า ได้รับรายงานว่าถูกควบคุมตัวเอาไว้ที่สนาม บิน เบน กูเรียน ใน เทล อะวีฟ กับเพื่อร่วมงานอีก 2 ราย ผู้สื่อข่าวของอัลจาซีร่าอีกราย ไอมาน โมห์เยลดิน รายงานจากแอซดอดว่า พวกเขากำลังพยายามติดตามข้อมูลเกี่ยวกับสภาพของผู้โดยสารขบวนเรือ

"ในตอนนี้กำลังมีกระบวนการไต่สวนและสอบถามข้อมูลส่วนตัว เพื่อระบุว่าผู้ที่ถูกจับกุมแต่ละคนเป็นใคร และให้เลือกว่าจะให้ส่งตัวกลับโดยทันทีหรือจะให้กุมขังอยู่ในคุกของอิสราเอล" ไอมานกล่าว

รัฐบาลอิสราเอลโยงผู้โดยสารเรือกับกลุ่มก่อการร้าย

อัลจาซีร่ารายงานอีกว่าการโจมตีขบวนเรือให้ความช่วยเหลือ ทำให้เกิดการประท้วงตามเมืองต่างๆ หลายแห่งทั่วโลก มีผู้ประท้วงหลายพันคนในกรุงอิสตันบูล กรุงลอนดอน และกรุงอัมมานในจอร์แดน แสดงการต่อต้านการโจมตีเรือให้ความช่วยเหลือ ที่มุ่งเข้าไปให้ความช่วยเหลือคนในกาซา

แต่ทางโฆษกรัฐบาลอิสราเอล มาร์ก เรเยฟ ยืนยันว่า "ภายใต้กฏหมายนานาชาติอิสราเอลมีสิทธิโต้ตอบเรือที่มาเข้าฝั่งยัง ท่าเรือแอซดอด" เขาบอกอีกว่าคนที่มากับขบวนเรือให้ความช่วยเหลือไม่ใช่ นักกิจกรรมที่มาอย่างสันติ

"พวกเขาเป็นกลุ่ม IHH ซึ่งเป็นกลุ่มชาวอิสลามหัวรุนแรงของตุรกี ซึ่งได้รับการสืบสวนจากรัฐบาลตะวันตกและรัฐบาลตุรกีแล้วว่าในอดีต กลุ่มนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย"

แต่ทางด้านประธาน กรรมการฝ่ายต่างประเทศของตุรกี มูรัท เมอแคน บอกว่าการที่รัฐบาลอิสราเอลกล่าวหาว่าขบวนเรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับ การก่อการร้ายนั้น ทำไปเพื่อเป็นการกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง

"ข้อกล่าวหาที่ว่าสมาชิกของขบวนเรือให้ความช่วยเหลือนั้นมี ส่วนเกี่ยวข้องกับอัล-เคดา เป็นการโกหกคำโต เนื่องจากในขบวนนั้นมีประชาชน ชาวอิสราเอล, เจ้าหน้าที่ชาวอิสราเอล, ส.ส.อิสราเอล รวมอยู่ด้วย"

ยูเอ็นประณามอิสราเอลใช้กำลังกับพลเรือน

คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ออกแถลงการณ์ในวันที่ 1 มิ.ย. เรียกร้องให้มีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงในกรณีที่กองกำลังของ อิสราเอลจู่โจมเรือให้ความช่วยเหลือกาซา โดยบอกว่าขอให้การสืบสวนนั้นเป็นไปอย่าง "ทันที, ไม่ลำเอียง, น่าเชื่อถือ และโปร่งใส" นอกจากนี้ยังได้ประณามการกระทำที่ทำให้นักกิจกรรมซึ่งเป็นพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 10 ราย จากการปฏิบัติการณ์

และจากเหตุการณ์รุนแรงดังกล่าวทำให้นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล เบนจามิน เนธานยาฮู ยกเลิกการพบปะกับประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า

นายกรัฐมนตรีตุรกี เรเซป เทย์ลิป กล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ในสภาระบุว่าเป็น "การสังหารหมู่นองเลือด"

บาร์บาร่า เพลทท์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีกล่าวว่า แถลงการณ์ของสหประชาชาติมาจากการประนีประนอมกันระหว่างตุรกีและสหรัฐฯ ซึ่งทางตุรกีมีท่าทีรั้งรอ ในการลดความรุนแรงของคำที่ใช้วิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ลง ขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรของอิสราเอลต้องการให้ปรับภาษาที่ใช้

ทางด้านว่าการเอกอัครราชฑูตประจำสหประชาชาติของอิสราเอล ค้ดค้านว่าปฏิบัติการของทหารเป็นไปเพื่อป้องกันตนเอง บอกว่า "ขบวนเรือเป็นอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มผู้ให้ความช่วยเหลือด้าน มนุษยธรรม" โดยบอกอีกว่ากลุ่มนักกิจกรรมบนเรือมีอาวุธจำพวกมีด, กระบอง และอื่น ๆ ในการทำร้ายเจ้าหน้าที่ซึ่งเข้ามาในเรือมาวิ มาร์มารา

ร.อ.อาเรีย ชาลิเกอร์ ของกองกำลังอิสราเอลผู้เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการบอกว่าหน่วยคอมมานโดเริ่มปฏิบัติการโดยใช้ปืนเพนท์บอล

โดยบอกว่าพวกเขาเข้าไปยังตัวเรือโดยมีอาวุธเพนท์บอลที่จะใช้ในการสลายประชาชนหากมีความรุนแรง และไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดความ รุนแรง นอกจากนี้ยังเล่าอีกว่าพอทหารจะสลายประชาชนก็มีการยิงโต้ ตอบมาจากอีกฝั่ง ทำให้ไม่มีทางอื่นนอกจากเปลี่ยนจากอาวุธเพนท์บอลเป็นอาวุธกระสุนจริง

ที่มา:

Israeli assault on Gaza-bound flotilla leaves at least 9 dead, CNN
http://edition.cnn.com/2010/WORLD/meast/05/31/gaza.protest/index.html?hpt=T1

UN decries Israeli flotilla raid, Al Jazeera
http://english.aljazeera.net/news/middleeast/2010/06/20106133254496419.html

UN urges inquiry into Israel convoy raid, BBC
http://news.bbc.co.uk/2/hi/middle_east/10201165.stm

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาลนัดพร้อมคดีผอ.ประชาไทถูกฟ้องผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ สืบพยาน ก.พ.54

Posted: 01 Jun 2010 09:45 AM PDT

<!--break-->

 

เมื่อวันที่ 31 พ.ค.53   เวลา 13.00 น. นางสาวจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท (prachatai2.info) เดินทางไปยังศาลอาญา ถนนรัชดา ตามกำหนดการนัดพร้อม สอบคำให้การจำเลย ตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์และจำเลย กรณีที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 จากการโพสต์ข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของผู้อ่านในเว็บบอร์ดของประชาไท

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จำเลยแถลงขอให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ศาลรับคำร้องและสอบคู่ความเกี่ยวกับพยานหลักฐาน ได้ข้อสรุปว่า โจทก์ประสงค์จะสืบพยาน 14 ปาก ขอนัดสืบ 4 นัด ขณะที่จำเลยประสงค์จะสืบพยาน 13 ปาก จะขอนัดสืบ 4 นัดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นายชนาธิป เหมือนพะวงศ์ ผู้พิพากษาผู้นั่งบัลลังก์ เห็นควรว่าน่าจะตัดออกไปบ้าง คัดเลือกพยานเฉพาะที่อยู่ในประเด็น สืบเพียง 2 นัดก็น่าจะเพียงพอ จะได้ไม่เสียเวลาทุกฝ่าย แต่ทนายจำเลยและจำเลยยืนยันว่าทุกปากมีความจำเป็น ผู้พิพากษาจึงขอให้ระบุในรายงานไว้ให้ชัดเจนว่าต้องสิ้นสุดภายใน 4 นัด หากพยานรายใดไม่มาให้เป็นอันตกไป ไม่มีการเลื่อนสืบ ทนายจำเลยยินยอมต่อข้อผูกมัดดังกล่าวแต่ขอให้ผู้พิพากษาระบุเงื่อนไขเช่นเดียวกันนี้กับฝ่ายโจทก์ แต่ผู้พิพิกษาไม่เห็นด้วย ท้ายที่สุดทนายจำเลยและจำเลยยังคงยืนยันอย่างแข็งขัน ศาลจึงไม่ระบุเงื่อนไขดังกล่าวทั้งสองฝ่าย และนัดสืบพยาน 4 นัดเท่ากัน

 

โดยจะนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 4, 8, 9, 10 ก.พ.54  สืบพยานจำเลย 11, 15, 16, 17 ก.พ.54 เป็นการนัดพิจารณาคดีแบบต่อเนื่อง

 

ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 6 มี.ค.52 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกจับกุมผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไทที่สำนักงาน เนื่องจากพบว่ามีผู้อ่านโพสต์ข้อความในเว็บบอร์ดประชาไท 1 ข้อความ ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และได้รับการประกันตัวในชั้นตำรวจ ต่อมาในวันที่ 7 เม.ย.52 พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มอีก 9 ข้อหา โดยระบุถึง 9 ข้อความอันมีฐานความผิดเดียวกัน ซึ่งมีการโพสต์ระหว่างเดือน เม.ย.-ต.ค.52 อย่างไรก็ตาม ข้อความทั้ง 10 ข้อความถูกลบไปแล้วก่อนที่จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดี

 

จากนั้นวันที่ 1 มิ.ย.52 พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนไปยังอัยการ จนกระทั่งวันที่ 31 มี.ค.53 พนักงานอัยการได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจีรนุชเป็นจำเลยต่อศาลอาญา ในฐานความผิด เป็นผู้ให้บริการ จงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำผิดโดยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและประชาชน, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้ว่าเป็นข้อมูลที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นความผิดตามมาตรา 14, 15 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่6) พ.ศ.2526 มาตรา 4

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น