ประชาไท | Prachatai3.info |
- หนี้สาธารณะเดือน ม.ค. อยู่ที่ 41.06% ของจีีดีพี เป็นหนี้ของรัฐบาล 3.11 ล้านล้านบาท
- สุรพศ ทวีศักดิ์: ชาวพุทธกับคำถามท้าทายของ ‘คำ ผกา’
- สมาคมต้านโลกร้อนค้านเขื่อนแม่วงก์ เผยสอบอีไอเอปี 45 ไม่ผ่าน
- ยื่นหนังสือผู้ว่าฯ ตรัง รอบ 2 จวกเลี่ยงแก้ปัญหาอุทยานฯ คุกคามพื้นที่โฉนดชุมชน
- กวีประชาไท: ลืมเสีย10เมษา
- ยกเลิกเตือนภัยสึนามิทั่วชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียแล้ว
- แรงงานพม่าที่กาญจบุรีเรียกร้องนายจ้างปรับค่าจ้างตามอัตราใหม่
- ปธน.อินโดนีเซียระบุยังไม่มีความสูญเสียหลังแผ่นดินไหว-ยังไม่เกิดสึนามิ
- เตือนภัยสึนามิรอบมหาสมุทรอินเดีย หลังแผ่นดินไหว 8.9 ริกเตอร์ใกล้อาเจะห์
- บรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ ผู้สูญเสียลูกชายในวันที่ 10 เม.ย. 53
- Silence of the Lamp: อวสานสภาการหนังสือพิมพ์อังกฤษ (1)
หนี้สาธารณะเดือน ม.ค. อยู่ที่ 41.06% ของจีีดีพี เป็นหนี้ของรัฐบาล 3.11 ล้านล้านบาท Posted: 11 Apr 2012 11:19 AM PDT ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้ สำนักข่าวแห่งชาติ รายงานเมื่อ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา ว่า นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้ อย่างไรก็ตาม หนี้ของรัฐบาลเมื่อเปรียบเที
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สุรพศ ทวีศักดิ์: ชาวพุทธกับคำถามท้าทายของ ‘คำ ผกา’ Posted: 11 Apr 2012 11:14 AM PDT เป็นเรื่องท็อลค์ ออฟ เดอะ ทาวน์ ไปแล้ว เมื่อคำ ผกา ประกาศ “ขอขมาพระรัตนตรัย” มหาเถรสามคมและองค์กรชาวพุทธทั่วประเทศ และขอแสดงความรับผิดชอบด้วยการยุติรายการเป็นเวลา 1 เดือน จากกรณีที่ “กล่าวล่วงเกิน” พุทธศาสนา ในรายการ “คิดเล่น เห็นต่างกับคำ ผกา” ที่ออกอากาศทาง Voice TV เมื่อ 10 และ 11 มีนาคม 2555 ซึ่งก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากชาวพุทธกลุ่มหนึ่งอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะ “ปฏิกิริยา” จาก ดร.พระมหาโชว์ ทัสสนีโย ที่ใช้วิธีไม่เคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์ด้วยการกล่าวเสียดสีเรื่อง “สรีระ” มากกว่าที่จะใช้เหตุผลโต้แย้งคำถามและข้อวิจารณ์ต่างๆ ของ คำ ผกา ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม ผู้แทนศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนจำนวนหนึ่ง ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ นางสาวลีลาวดี วัชโรบล เลขานุการคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ขอให้คณะกรรมาธิการฯ ตรวจสอบเนื้อหารายการ “คิดเล่นเห็นต่าง กับคำ ผกา” โดยสาระสำคัญในหนังสือดังกล่าว ระบุว่า “ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยได้ตรวจสอบแล้วทำให้พบประเด็นการแสดงความคิดเห็นที่แสดงความไม่รู้จริงในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา และมีการกล่าววาจาลบหลู่ต่อพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา มีการกล่าวให้ร้ายรัฐบาลต่อนโยบายซึ่งเป็นไปตามมาตรา 37 และมาตรา 79 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมีการกล่าวพาดพิงถึงพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาในพระราชพิธี ซึ่งประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นพุทธมามกะซึ่งปรากฏในมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสถาบันหลักทั้ง 2 ของราชอาณาจักรไทย” (ดูเว็บไซต์ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย) นางสาวลีลาวดี รับเรื่องเพื่อจะนำเสนอให้คณะกรรมาธิการฯ เรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง และคลี่คลายเรื่องนี้ หากย้อนกลับไปดูรายการ “คิดเล่นเห็นต่าง กับคำ ผกา” เมื่อวันที่ 10 และ 11 มีนาคมที่พูดเรื่อง “รัฐศาสนาและรัฐโลกวิสัย” จะเห็นว่า คำ ผกา อ้างอิงจุดยืนของ “รัฐโลกวิสัย” (secular state) ตั้งคำถามต่อ “รัฐศาสนา” (state religion) โดยเธอเห็นว่า รัฐไทยเป็น “รัฐศาสนาโดยแอบแฝง” หรือเป็นรัฐศาสนาโดยพฤตินัย เห็นได้จากการยกพุทธศาสนาให้มีสถานะเหนือศาสนาอื่นๆ ความพยายามที่จะเรียกร้องให้ระบุในรัฐธรรมนูญว่า “พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย” การใช้สัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาในราชพิธี และพิธีกรรมที่เป็นทางการต่างๆ เช่น ตราธรรมจักร โต๊ะหมู่บูชา การกำหนดให้วันสำคัญทางพุทธศาสนาเป็น national holiday การบังคับให้เรียนวิชาพุทธศาสนาในโรงเรียน การเกณฑ์นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมในวันสำคัญต่างๆ ทางพุทธศาสนา รวมทั้งการใช้งบประมาณของรัฐจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เป็นต้น ประเด็นที่เราควรเข้าใจคือ รัฐโลกวิสัยถือว่าเรื่องการนับถือศาสนา หรือกิจกรรมทางศาสนาเป็นเสรีภาพของปัจเจกบุคคล บทบาทของรัฐคือการปกป้องเสรีภาพดังกล่าวนี้ ฉะนั้น รัฐจึงไม่มีหน้าที่สอนศีลธรรมแก่ประชาชน แต่ถือว่าสมาชิกแห่งรัฐทุกคนเป็นพลเมืองที่ต้องอยู่ภายใต้หลักการสากลอันเดียวกันคือ หลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค รัฐจึงไม่มีสิทธิ์ยกศาสนาใดศาสนาหนึ่งให้เหนือศาสนาอื่นๆ ไม่ว่าจะโดยการกำหนดให้สอนศีลธรรมทางศาสนาในโรงเรียน การมีนโยบายให้ความสำคัญกับกิจกรรมของศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นพิเศษ โดยใช้งบประมาณซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชนในทุกศาสนา เป็นต้นคำถามของ คำ ผกา ก็คือคำถามจาก “จุดยืน” ดังกล่าวนี้ ถามว่า มีเหตุผลหรือไม่ที่จะใช้จุดยืนของรัฐโลกวิสัยตั้งคำถามต่อการที่รัฐไทยที่ให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษแก่ศาสนาพุทธ (หรือศาสนาใดก็ตาม) คำตอบก็คือ ถ้าเรายืนยันว่าประเทศเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่ยึดหลักการสากลคือหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ซึ่งต้องใช้กับ “ทุกคน” อย่างเท่าเทียม ก็มีเหตุผลอย่างยิ่ง หรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม ฝ่ายที่เห็นว่า คำถามจากจุดยืนดังกล่าวไม่มีเหตุผล ก็มักจะอ้าง “ลักษณะเฉพาะทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาติไทย” ซึ่งก็เป็นเหตุผลทำนองเดียวกับที่อ้างเพื่อคัดค้านการแก้ไข หรือยกเลิกมาตรา 112 หรือคัดค้าการปฏิรูปสถานะของสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้หลักการสากลเฉกเช่นประเทศประอารยประชาธิปไตยทั้งหลายนั่นเอง ส่วนประเด็นที่ คำ ผกา วิจารณ์ (ประมาณ) ว่า การจัดกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี เริ่มต้นดี ชีวิตดี” เป็นการเอานิยามความสุขตามความเชื่อของตนเองไปมอบให้คนอื่นๆ เป็นการสะกดจิตหมู่ เป็นยากล่อมประสาท เพราะว่ามันทำให้คนคิดว่าสวดมนต์แล้วจะมีความสุข ชีวิตจะดี โดยละเลยประเด็นปัญหาที่เป็นจริงอื่นๆ เช่น รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ การพัฒนากิจการสาธารณะอื่นๆ ที่ทำให้ประเทศก้าวหน้า รวมทั้งวิจารณ์ว่าศีล 5 ก็ไม่ได้สูงส่งกว่า บัญญัติ 10 ประการ ของศาสนาคริสต์ การเอาพุทธศาสนามาตอบปัญหาสังคมทุกเรื่องไม่น่าจะถูกต้อง ศาสนาอาจไม่เกี่ยวกับการทำให้คนเป็นคนดี เพราะคนดีในโลกสมัยใหม่ต้องถูกควบคุมโดยหลักกฎหมาย การตรวจสอบโดยสื่อ ฯลฯ คำวิจารณ์ทำนองนี้ หากคิดตามหลักเสรีภาพของจอห์น สจ๊วต มิลล์ เราจะเข้าใจได้ว่านี่เป็นการท้าทายของ “ความเห็นต่าง” ที่เป็นโอกาสให้ “ความคิดกระแสหลัก” ได้ “ออกกำลัง” มีชีวิตชีวา ไม่ดำรงอยู่อย่างครอบงำให้คนเชื่อตามๆ กันอย่างปราศจากการตั้งคำถาม เพราะถ้าความคิดกระแสหลักไม่ถูกท้าทาย ไม่ได้ออกกำลังโต้แย้งกับความเห็นต่าง มันก็จะกลายเป็นความคิดที่เชื่อตามๆ กันอย่างงมงาย ไร้พลัง จืดชืด ไม่มีชีวิตชีวา และตายซากไปในที่สุด ผมนึกถึงเวลาอ่านงานของนักวิชาการพุทธศาสนาฝ่ายก้าวหน้า (เช่นงานของ สมภาร พรมทา)ที่มีการประยุกต์ความคิดของพุทธศาสนากับข้อถกเถียงของปรัชญาตะวันตกในประเด็นปัญหาเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรม ปัญหาการทำแท้ง ชีวจริยธรรม ฯลฯ เห็นได้ชัดว่า มันทำให้ความคิดของพุทธศาสนามีชีวิตชีวา ไม่แข็งทื่อ จืดชืด ก้าวร้าวเหมือนความคิดและวิธีปกป้องพุทธศาสนาของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าเองก็เคยตั้งคำถามกับความคิดกระแสหลักหลายๆ เรื่องในสมัยพุทธกาล เช่นที่เชื่อกันว่าสามารถล้างบาปในแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ได้ ท่านก็ถามว่า “ถ้าเช่นนั้นกุ้ง หอย ปู ปลา เต่าที่มันแช่อยู่ในน้ำตลอดเวลาก็ต้องบริสุทธิ์จากบาปใช่หรือไม่?” หรือที่เชื่อกันว่า “คนมีวรรณะ (ชนชั้น) ต่างกันเพราะเกิดจากปาก ไหล่ สะดือ เท้าของพระพรหม และ คนเราดี เลว ต่างกันเพราะชาติกำเนิด” ท่านก็พูดแรงๆ เลยว่า “คนทุกชนชั้นต่างก็เกิดจากโยนีของมารดาทั้งนั้นแหละ เรื่องจะดีหรือเลวอยู่ที่การกระทำของบุคคล ไม่ได้อยู่ที่ชาติกำเนิด” เป็นต้น จะเห็นว่า พระพุทธเจ้าต้องการแนะนำให้คนมีเหตุมีผล เชื่อและกระทำในสิ่งที่อธิบายได้ว่าถ้าทำอย่างนี้แล้วจะเกิดผลอย่างนี้ ไม่ใช่ให้เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปาฏิหาริย์ที่อธิบายให้เห็นความสัมพันธ์เป็นเหตุเป็นผลไม่ได้ เช่น อธิบายให้เห็นความเป็นเหตุผลไม่ได้ว่าการสวดมนต์ข้ามปีจะมีปาฏิหาริย์ให้ชีวิตดีมีความสุข ความเจริญได้อย่างไร การเดินธุดงค์บนถนนที่โรยด้วยกลีบกุหลาบของพระ 1,500 รูป เข้ามาในย่านชุมชนเมืองจะมีปาฏิหาริย์ช่วยป้องกันภัยพิบัติต่างๆ เช่น น้ำท่วมใหญ่ ดังที่เคยเกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาได้อย่างไร ฯลฯ ลองจินตนาการดูว่า ถ้าพระพุทธเจ้ามาเห็นการปฏิบัติพิธีกรรมที่เน้นความศักดิ์สิทธิ์ ปาฏิหาริย์ การสร้างภาพด้วยกิจกรรมประเภท “ธรรมะโฆษณา” เกินจริงว่า ธรรมะของพุทธศาสนาตอบปัญหาได้ทุกเรื่อง ท่านอาจจะตั้งคำถามกับ “ปรากฏการณ์ในนามของพุทธศาสนา” ทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมากยิ่งกว่าที่ คำ ผกา ตั้งคำถามหรือไม่ พระพุทธเจ้าอยู่ในยุคที่สังคมยังไม่มีเสรีภาพเท่าปัจจุบัน แต่พระองค์ก็พยายามต่อสู้เพื่อให้มีเสรีภาพในสถานการณ์ที่จำกัด โลกปัจจุบันให้คุณค่าสูงยิ่งกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทว่าชาวพุทธปัจจุบันกำลังเดินสวนทางกับพระพุทธเจ้าด้วยการทำลายเสรีภาพในนามของการ “ปกป้องพุทธศาสนา” เรากำลังปกป้องพุทธศาสนาจากอะไรกันแน่? จากการใช้เหตุผลตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบบนหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคอย่างนั้นหรือ? พระพุทธเจ้าเคยแสดงความเห็นว่า การตั้งคำถามวิพากษ์วิจารณ์ หรือกระทั่ง “ด่า” คือ “ภัยคุกกคามของพุทธศาสนา” เช่นนั้นหรือ? ภัยคุกคามพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้ายืนยัน คือการที่ชาวพุทธไม่ศึกษา ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนาไม่ใช่หรือ? แล้วมีในพระไตรปิฎกเล่มไหนครับที่พระพุทธเจ้าสอนให้ชาวพุทธประณาม หรือเรียกร้องให้เอาผิดคนที่ “ไม่รู้จริงในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา กล่าววาจาลบหลู่ต่อพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา กล่าวให้ร้ายรัฐบาล กล่าวพาดพิงถึงพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาในพระราชพิธี…” น่าเศร้าไหมครับ พระพุทธเจ้าเป็นคนก้าวหน้าในยุคที่โลกล้าหลัง และสร้างความคิดก้าวหน้าจากการต่อสู้กับความคิดที่ล้าหลังต่างๆ แต่ชาวพุทธปัจจุบันกลับมีความคิดล้าหลังในโลกที่ก้าวหน้า และปกป้องพุทธศาสนาจากความคิดที่ก้าวหน้า! สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สมาคมต้านโลกร้อนค้านเขื่อนแม่วงก์ เผยสอบอีไอเอปี 45 ไม่ผ่าน Posted: 11 Apr 2012 11:08 AM PDT อ้างรัฐบาลยุคนี้ใช้ข้ออ้างปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี 2554 มาเป็นตัวประกันสร้างความชอบธรรมในการเร่งรีบสร้างเขื่อน โดยมิได้พิจารณาเลยว่าน้ำท่วมที่ผ่านมามีสาเหตุจากอะไรกันแน่ 11 เมายน 2555 สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกแถลงการณ์เรื่อง คัดค้านเขื่อนแม่วงก์ที่มุ่งผลาญงบประมาณ-ทำลายแหล่งดูดซับโลกร้อน โดยระบุว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 เห็นชอบข้อเสนอของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในโครงการเขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์-กำแพงเพชร ในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ซึ่งติดต่อกับผืนป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวร พื้นที่ป่ามรดกโลกทางธรรมชาติ โดยมีข้ออ้างที่เป็นสูตรสำเร็จ คือ การป้องกันน้ำท่วม และช่วยเหลือเกษตรกรให้มีน้ำใช้เพื่อการเกษตร ทั้ง ๆ ที่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคเหนือตอนล่างมีเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลางมากกว่า 10 เขื่อนแล้ว แต่ก็มิสามารถป้องกันปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ได้ อีกทั้งโครงการดังกล่าวคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีมติไม่เห็นชอบในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ไปแล้วตั้งแต่ปี 2545 และยังเสนอให้กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กลับไปศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ ในลักษณะบูรณาการมากกว่าที่จะเสนอให้มีการสร้างเขื่อนเป็นทางเลือกเดียวเท่านั้น “แต่รัฐบาลยุคนี้กลับใช้ข้ออ้างปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี 2554 มาเป็นตัวประกันเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเร่งรีบการสร้างเขื่อนดังกล่าว โดยมิได้พิจารณาเลยว่าน้ำท่วมที่ผ่านมาเป็นความผิดพลาดล้มเหลวของรัฐบาลและหน่วยงานราชการทั้งระบบมากกว่าการไม่มีเขื่อนต่างหาก” แถลงการณ์ระบุด้วยว่า การก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์จะทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ไปมากกว่า 13,000 ไร่ ต้องสูญเสียผืนป่าแหล่งดูดซับก๊าซที่ก่อปัญหาโลกร้อน โดยมีไม้สักหนาแน่นเป็นอันดับสองของประเทศไทยรองจากอุทยานแห่งชาติแม่ยม จ.แพร่ ซึ่งจะถูกนำมาเป็นช่องทางหาผลประโยชน์ในการทำสัมปทานไม้ที่มีมูลค่านับหมื่นล้านบาท ชักลากไม้ออกจากป่า 4-5 ปีก็ยังไม่หมด นอกจากนั้นลักษณะเด่นของผืนป่าแม่วงก์คือ มีสภาพเป็นป่าลุ่ม ซึ่งแตกต่างจากป่าในบริเวณที่สูงกว่า เพราะเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งน้ำ และแหล่งหากินของสัตว์ป่า โดยเฉพาะในหน้าแล้ง สัตว์ป่าบางชนิดจะอาศัยอยู่เฉพาะที่ลุ่มหรือใกล้แม่น้ำเท่านั้น ป่าที่ลุ่มในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ก็เหลืออยู่น้อยมาก หากถูกน้ำท่วมอ่างเก็บน้ำจะเป็นตัวกีดขวางทางเดินของสัตว์ป่าและแบ่งพื้นที่ป่าออกเป็นสองส่วนจึงนับว่าเป็นการสูญเสียในด้านระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพที่ประเมินค่าไม่ได้ นอกจากนั้นมีข้อที่น่าสังเกต คือ เมื่อมีการเสนอโครงการนี้ใหม่ ๆ ในปี 2528 กรมชลประทานเสนอใช้งบประมาณในการก่อสร้างเพียง 3,187 ล้านบาทเท่านั้น โดยมีความจุของน้ำเหนือเขื่อน 380 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่พอมาเดือนสิงหาคม 2554 กรมชลประทานเพิ่มงบประมาณเป็น 9,629 ล้านบาท โดยลดความจุของน้ำเหนือเขื่อนเหลือ 258 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่เพียงชั่วระยะเวลาไม่ถึง 8 เดือน กลับมีการเพิ่มงบประมาณในการก่อสร้างไปถึง 13,000 ล้านบาท อันเป็นข้อน่าสงสัยว่าจะเป็นโครงการผลาญงบประมาณของชาติอีกโครงการหนึ่งจากเงินกู้ 3.5 แสนล้านหรือไม่ ที่สำคัญโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 67 วรรคสอง ซึ่งรัฐบาลต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเสียก่อนโดยเฉพาะในมาตรา 57 มาตรา 58 มาตรา 66 มาตรา 85 และมาตรา 87 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง แต่หากรัฐบาลรวบรัดดำเนินการ และใช้เทคนิคเลี่ยงขั้นตอนตามกฎหมาย สมาคมฯและชาวบ้านก็พร้อมจะใช้กระบวนการยุติธรรมตามมาตรา 60 และมาตรา 67 วรรคสาม เพื่อยับยั้งและเพิกถอนโครงการดังกล่าวแน่นอน สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ยื่นหนังสือผู้ว่าฯ ตรัง รอบ 2 จวกเลี่ยงแก้ปัญหาอุทยานฯ คุกคามพื้นที่โฉนดชุมชน Posted: 11 Apr 2012 10:52 AM PDT เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ยื่นหนังสือถึงพ่อเมืองตรังรอบ 2 หลังสมาชิกเครือข่ายฯ ถูกรื้อถอนสะพานเข้าหมู่บ้าน พร้อมทั้งเคลื่อนขบวนรณรงค์ 20 กม.แจกแถลงการณ์ 1,000 ชุดทั่วเมืองตรัง จากเหตุการณ์ที่สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด จ.ตรัง ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า นำกำลังเข้าไปตัดฟันสวนยางพาราในพื้นที่โฉนดชุมชนบ้านทับเขือ-ปลักหมู และรื้อสะพานเข้าพื้นที่โฉนดชุมชนบ้านหาดสูง วันที่ 10 เม.ย.55 เมื่อเวลา 12.00 น. เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด จ.ตรัง ประมาณ 150 คน ได้เคลื่อนขบวนรถยนต์และรถจักรยานยนต์รณรงค์แจกแถลงการณ์ จำนวน 1,000 ชุด ในพื้นที่ อ.เมืองตรัง เปิดโปงการข่มขู่คุกคามชุมชนดั้งเดิมในพื้นที่โฉนดชุมชนของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัดพร้อมทั้งเข้ายื่นหนังสือต่อนายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง นายสมนึก พุฒนวล กรรมการเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด กล่าวว่า จากการกระทำของเจ้าหน้าที่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั้งจังหวัด ที่มีพื้นที่ทับซ้อนระหว่างอุทยานฯ กับชาวบ้านซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งๆ ที่เครือข่ายฯ ได้ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เมื่อวันที่ 3 เม.ย.55 แต่เพียง 3 วัน ก็ถูกคุกคามอีก นับว่าเป็นการซ้ำเติมประชาชนที่ลำบากยากจนให้ลำบากสาหัสขึ้นไปอีก นายสมนึก กล่าวถึงการที่ทางเครือข่ายฯ เดินทางข้ายื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดตรังว่า เพื่อติดตามผลความคืบหน้าจากการยื่นข้อเรียกร้อง เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา และได้รับคำตอบจากนายไชยยศ ธงไชย รอง ผวจ.ตรัง ซึ่งลงมารับหนังสือว่า ได้ประสานงานส่งหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรี และกองทัพภาคที่ 4 แล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับมายังจังหวัดตรัง ส่วนการประสานงานหน่วยงานป่าไม้ให้ยุติการกลั่นแกล้งข่มขู่คุกคามดำเนินคดีกับเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ชุมชนดั้งเดิมนั้น รองผู้ว่าฯ บอกว่าขอเวลารับฟังหน่วยงานป่าไม้ก่อน แสดงให้เห็นถึงท่าทีหลีกเลี่ยงในการแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตาม ทางเครือข่ายฯ ได้ยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ต่อ ผวจ.ตรัง อีกครั้ง ดังนี้ 1.ให้ประสานงานหาทางแก้ไขช่วยเหลือกรณีการรื้อถอนสะพานบ้านหาดสูงโดยเร่งด่วน 2.ให้กำกับหน่วยงานป่าไม้และหน่วยงานอื่นที่อยู่ในการบริหารงานของจังหวัด เพื่อให้เกิดการปราบปรามผู้บุกรุกป่าตัวจริง และยุติการกลั่นแกล้ง ข่มขู่คุกคาม ทำลายอาสิน ดำเนินคดีกับเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ดั้งเดิม และ 3.ให้แจ้งผลดำเนินงานให้เครือข่ายฯ ทราบเป็นลายลักษณ์อักษร “เครือข่ายมีแผนรณรงค์กับคนตรัง ควบคู่ไปกับการเจรจากับทางจังหวัด สำหรับการเคลื่อนไหวหลังจากนี้ จะมีการเคลื่อนขบวนรณรงค์ไปแจกใบปลิวต่อพี่น้องในพื้นที่ อ.นาโยง อ.ย่านตาขาว และ อ.ปะเหลียน รวมทั้งอำเภออื่นๆ พร้อมทั้งยื่นหนังสือต่อนายอำเภอด้วย” นายสมนึกให้ข้อมูล นายสมนึกกล่าวด้วยว่า การแจกแถลงการณ์ในวันนี้ได้รับความสนใจจากพี่น้องข้าราชการ และพี่น้องคนเมืองตรังเป็นอย่างมาก หลายคนได้กล่าวให้กำลังใจเครือข่ายฯ ให้ต่อสู้ปกป้องสิทธิในที่ดินทำกิน และดูแลรักษาป่าต่อไป ส่งผลให้สมาชิกเครือข่ายฯ ได้มีกำลังใจมากขึ้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขบวนรณรงค์ของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัดในครั้งนี้ มีระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร โดยเคลื่อนขบวนท่ามกลางสายฝนจากศูนย์ประสานงานเครือข่ายฯ ม.4 ต.ควนปริง อ.เมือง ไปยังศาลากลางจังหวัดตรัง ทั้งนี้ สมาชิกเครือข่ายฯ ได้แต่งกายด้วยชุดดำและขาว และงดใช้เครื่องเสียง เพื่อไว้ทุกข์ต่อสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ ตามประกาศของรัฐบาล นอกจากนั้น เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ยังออกแถลงการณ์ “รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน หยุดซื้อเวลา เร่งแก้ไขปัญหาสิทธิชุมชน” สนับสนุนการแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยการจัดให้มีโฉนดชุมชน เนื้อหาดังนี้ แถลงการณ์ฉบับที่ 1 เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย แม้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะแถลงนโยบายที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เอาไว้อย่างชัดแจ้งต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ว่าจะปฏิรูปการจัดการที่ดินโดยให้มีการกระจายสิทธิที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน รวมถึงจะผลักดันกฎหมายในการรับรองสิทธิของชุมชนในการจัดการทรัพยากร ที่ดิน น้ำ ป่าไม้และทะเล น่าเสียดายที่นโยบายสวยหรูเหล่านี้ กระทั่งปัจจุบันไม่มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน มิหนำซ้ำ รัฐบาลยังปล่อยปละละเลย ให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐ โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ใช้อำนาจโดยมิชอบ ไม่เพียงแต่ ไม่เดินตามแนวทางรับรองสิทธิชุมชนตามทีกล่าวอ้างไว้ในนโยบาย แต่กลับมีพฤติกรรมละเมิดสิทธิของชุมชนในการจัดการทรัพยากรอย่างรุนแรง ดังที่เป็นข่าว กรณีนายสุรเชษฐ์ วันดีเรืองไพศาล หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัดจับกุมชาวบ้านในพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนบ้านตระ จ.ตรังจำนวน 2 รายด้วยข้อหาการนำผลหมากออกมาขายในวันที่ 25 มีนาคม ต่อมาในวันที่ 30 มีนาคม นายสมชัย แสงแก้ว หัวหน้าเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า นำกำลัง 50 นาย เข้ารื้อถอนตัดฟันต้นยางพารา ลองกอง สะตอ หมากและมะพร้าว รวม 1000 ต้น ของชาวบ้าน 3 ราย ในพื้นที่โฉนดชุมชนบ้านทับเขือ-ปลักหมู จ.ตรัง และในวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา นายเกรียงศักดิ์ ดีกล่อม หัวหน้าหน่วยปากแจ่ม อุทยานฯเขาปู่-เขาย่า นำกำลัง 30 นาย เข้ารื้อถอนสะพานสัญจรที่มีอยู่เพียงเส้นทางเดียวของชาวบ้านหาดสูง จ.ตรัง ในขณะที่ข้อเท็จจริง พื้นที่เหล่านี้อยู่ในกระบวนการทำงานและแก้ไขปัญหาร่วมกับสำนักงานโฉนดชุมชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน ซึ่งมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล เป็นประธานและกำกับดูแล อีกทั้งยังอยู่ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ลงนามโดยปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายโชติ ตราชู เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2554 ใจความสำคัญว่า กระทรวงทรัพยากรฯ จะดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อเอื้ออำนวยต่อการดำเนินงานโฉนดชุมชน และจะมอบหมายเป็นนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดแก้ไขข้อพิพาทแก่ชุมชนที่ประสงค์จะดำเนินงานโฉนดชุมชน โฉนดชุมชนเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการทับซ้อนสิทธิ์ระหว่างหน่วยงานรัฐกับประชาชน เหตุจากความผิดพลาดที่ว่า พื้นที่ป่าสงวนฯ และอุทยานแห่งชาติฯที่ราชการประกาศจำนวนมากนั้น ล้วนแต่มีชุมชนท้องถิ่นตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนแล้ว ชุมชนเหล่านี้ไม่ได้รับการสำรวจและกันแนวเขตที่ดินทำกินออก หากได้ถูกผนวกรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่อนุรักษ์ เพื่อร่วมกับหน่วยงานรัฐในการป้องกันปัญหาการบุกรุกทำลายป่า ชุมชนเตรียมการโฉนดชุมชนจึงมีกฎกติกาดูแลรักษาพื้นที่ปา ที่ได้รับการยอมรับจากสังคมวงกว้าง น่าเสียดายที่เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ไม่แยกแยะและมองไม่เห็นคุณค่าของชุมชนผู้ดูแลรักษาป่า พฤติกรรมความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่โฉนดชุมขนภาคใต้ จึงสะท้อนถึงความไร้ประสิทธิภาพ ความไม่จริงใจและไม่ใส่ใจของรัฐบาลผู้บริหารประเทศ ต่อนโยบายแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินตามที่ได้แถลงไว้ รวมถึงรัฐมนตรีที่กำกับดูแลเรื่องโฉนดชุมชน ที่ไม่สามารถกำกับให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐ โดยเฉพาะกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปฏิบัติตามนโยบายรับรองสิทธิชุมชนที่ให้ไว้กับประชาชนได้ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ขอเรียกร้องให้รัฐบาล และรัฐมนตรีที่กำกับดูแลเรื่องโฉนดชุมชน กลับมาใส่ใจต่อปัญหาพื้นฐานของประชาชน และดำเนินการดังต่อไปนี้
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
Posted: 11 Apr 2012 10:33 AM PDT
กลับบ้านกันเถิดคับพี่น้อง ชวนมารำลึกกันไปก็เท่านั้น ลืมดีกว่าคับ ง่ายกว่ากันเยอะ จำไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอกคับ ความจริงไม่มีประโยชน์ ความจริงเป็นสิ่งไร้สาระ เราต้องช่วยกันลืมคับ คนไทยรักสามัคคีต้องลืมวันนี้ไปให้ได้ ลืมเสีย อย่าพูดถึง 10 เมษา ถามว่าผมเป็นใครถึงมาชวนให้พวกท่านลืม ผมเป็นคนไทยผู้รู้รักสามัคคีคนหนึ่ง เลือดเนื้อเป็นสิ่งสมมติทั้งนั้น เข้าหาพระธรรมทำใจให้บริสุทธิ์ ถามว่าผมเป็นใครถึงมาชวนให้พวกท่านลืม ผมเป็นคนไทยผู้รู้รักสามัคคีคนหนึ่งคับ ลืม 10 เมษาเสียเถิด ใครจะเจ็บใครจะพิการ อย่าไปจำเลย ลืมเสีย อย่าพูดถึง 10 เมษา วันนี้ลืมไม่ได้ วันหน้าต้องลืมได้แน่ๆ อย่าแชร์คลิป อย่าแชร์ภาพ อย่าแชร์เรื่องราว อย่าก๊อปซีดีแจก อย่าถ่ายเอกสารแจก อย่าทำอีกเลยคับ ขอความกรุณาเถิดคับ เพื่อให้ประเทศของเราก้าวต่อไป เรามาก้าวข้ามความจริงกันเถิด แดง แด่ง แดง แผ่นดินร่ำร้องระงม อย่าแต่งอย่าเปิดอย่าร้องกันอีกเลยเพลงแบบนี้ เรามาเล่นเกมกันดีกว่า เฟซบุคๆ เรามาเล่นฟาร์มวิล เรามาเล่นแองกรี้เบิร์ด เรามาเล่นมาเฟียวอร์ เรามาโพสเพลงกันดีกว่า เรามาแชร์เพลง แชร์ข่าวดารา แชร์เรื่องคุณครูอังคณา เพื่อให้ลืม 10 เมษา อย่าได้ส่งต่อเรื่องราวเหล่านี้ อย่าได้ส่งต่อภาพเหล่านี้ กันอีกเลย ลืมง่ายกว่าจำคับ นี่เป็นสัจธรรม เขาจะปรองดองกันแล้ว ใครยังลืมไม่ได้ลองดูคับ นับพร้อมๆ กัน 1 2 3 อ้าวทำไมยังร้องไห้กันอีก จะโศกเศร้าคร่ำครวญอะไรกัน ลืม 10 เมษาได้แล้วคับ ลองใหม่คับ เอ้า 1 2 3 ลืม 10 เมษา !!! เห็นมั้ย ไม่ยากเลย ไม่เคยมีวันที่ 10 เมษา ในประเทศนี้ !!!!!!
*************************************************************************************
รายชื่อผู้เสียชีวิตจากการปะทะที่สี่แยกคอกวัว ณ วันที่ 10 เมษายน 2553 1 Mr. Hiroyuki Muramoto อายุ 43 ปี ถูกยิงอกซ้าย เสียชีวิตก่อนถึง รพ. (ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์) หมายเหตุ: ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ที่ผ่านฟ้า รวม 26 ราย เป็นทหาร 5 ราย, พลเรือน 21 ราย (ทหารนอกประจำการ 1 ราย, นักข่าวรอยเตอร์ 1 ราย) รายที่ 25 นาย มานะ อาจราญ ถูกกระสุนปืนเสียชีวิตขณะอยู่ในสวนสัตว์ดุสิต รายที่ 26 เสียชีวิตเพิ่มหลังนอนพักใน โรงพยาบาล (15 พค.53) ข้อมูลจาก:สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ยกเลิกเตือนภัยสึนามิทั่วชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียแล้ว Posted: 11 Apr 2012 06:19 AM PDT ศูนย์เตือนภัยสึนามิภาคพื้นแปซิฟิก ของสหรัฐอเมริกา ได้ยกเลิกการเฝ้าระวังการเกิดสึนามิ ในพื้นที่ชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียทั้งหมดแล้ว ศูนย์เตือนภัยสึนามิภาคพื้นแปซิฟิก (Pacific Tsunami Warning Center - PTWC) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งออกประกาศเฝ้าระวังคลื่นสึนามิทั่วชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวใกล้ชายฝั่งเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเวลา 15.39 น. วันนี้ (11 เม.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเวลาประเทศไทย) ล่าสุดศูนย์เตือนภัยสึนามิภาคพื้นแปซิฟิก ได้ประกาศยกเลิกการเฝ้าระวังการเกิดเหตุสึนามิ ในพื้นที่ชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียทั้งหมดแล้ว สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
แรงงานพม่าที่กาญจบุรีเรียกร้องนายจ้างปรับค่าจ้างตามอัตราใหม่ Posted: 11 Apr 2012 06:03 AM PDT แรงงานชาวพม่าภายในโรงงานแปรรูปผลไม้ที่กาญจบุรี ชุมนุมเรียกร้องให้โรงงานปรับค่าแรงจากวันละ 182 บาท เป็น 252 บาทตามอัตราใหม่ พร้อมเดินทางกลับที่พักหลังเจรจาไม่คืบ ด้านโรงงานส่งตัวแทนกล่อมให้กลับไปทำงาน แล้วจะขึ้นค่าจ้างให้ โดยคนงานเตรียมเข้าทำงานพรุ่งนี้ พร้อมรอดูท่าทีโรงงานสิ้นเดือนจะจ่ายหรือไม่ วันนี้ (11 เม.ย.) ที่โรงงานวีต้า ซึ่งประกอบกิจการแปรรูปและอบแห้งพืชผักและผลไม้ ตั้งอยู่ที่ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ได้มีคนงานในโรงงานกะกลางวันราว 3 พันคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า ได้ชุมนุมเรียกร้องให้โรงงานปรับค่าแรงจากเดิมวันละ 182 บาท เป็นอัตราใหม่ 252 ที่คณะกรรมการค่าจ้างประกาศให้มีผลตั้งแต่ 1 เม.ย. 2555 โดยสาเหตุของการชุมนุมเกิดจากการที่มีการประกาศปรับอัตราค่าจ้างใหม่แล้ว แต่ทางโรงงานไม่มีวี่แววปรับค่าจ้างให้ ทำให้คนงานในโรงงานรวมตัวชุมนุม โดยหลังจากที่การเจรจาช่วงเช้าวันนี้ไม่มีความคืบหน้า คนงานได้เดินทางกลับที่พักทันที ทำให้ทางโรงงานส่งตัวแทนของโรงงานไปเจรจากับตัวแทนคนงานถึงที่พัก โดยระบุว่าจะขึ้นค่าแรงให้ และขอให้กลับเข้าไปทำงาน โดยทางคนงานตัดสินใจว่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (12 เม.ย.) จะกลับเข้าไปทำงาน และจะรอดูท่าทีของโรงงานว่าสิ้นเดือนจะมีการจ่ายค่าแรงในอัตราใหม่หรือไม่ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ปธน.อินโดนีเซียระบุยังไม่มีความสูญเสียหลังแผ่นดินไหว-ยังไม่เกิดสึนามิ Posted: 11 Apr 2012 05:08 AM PDT สุศีโล บัมบัง ยุทโธโยโน ระบุสถานการณ์ที่อาเจะห์หลังแผ่นดินไหวยังควบคุมได้ และได้มีการเตือนภัยสึนามิ-อพยพประชาชนขึ้นที่สูงแล้ว พร้อมสั่งการให้ทีมกู้ภัยบินเข้าอาเจะห์แล้ว สำนักข่าว DNA ของอินโดนีเซียรายงานวันนี้ (11 เม.ย.) ว่า ประธานาธิบดีสุศีโล บัมบัง ยุทโธโยโน ของอินโดนีเซีย กล่าวว่า ไม่มีรายงานความสูญเสียจากเหตุแผ่นดินไหวใกล้เมืองอาเจะห์วันนี้ และไม่มีสัญญาณว่าจะมีเหตุสึนามิ แม้ว่าจะมีการเตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิเกิดขึ้นในหลายจุด "ยังไม่มีสัญญาณของสึนามิ แม้ว่าเราจะมีการเตือนภัยแล้ว" ประธานาธิบดีอินโดนีเซียกล่าวระหว่างแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษเดวิด คาเมรอน ซึ่งกล่าวด้วยว่าสหราชอาณาจักรเตรียมพร้อมช่วยเหลือหากจำเป็น ยุทโธโยโน กล่าวว่า "สถานการณ์ที่อาเจะห์อยู่ภายใต้การควบคุม แม้จะเกิดความตื่นตระหนกขึ้นเล็กน้อย แต่ประชาชนก็สามารถขึ้นไปอยู่บนที่สูง" เขายังกล่าวด้วยว่า ได้สั่งให้ทีมช่วยเหลือภัยพิบัติบินไปยังอาเจะห์ ซึ่งเมืองแห่งนี้เคยได้รับผลกระทบจากสึนามิเมื่อ 26 ธันวาคม ปี 2547 ด้วย สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
เตือนภัยสึนามิรอบมหาสมุทรอินเดีย หลังแผ่นดินไหว 8.9 ริกเตอร์ใกล้อาเจะห์ Posted: 11 Apr 2012 02:26 AM PDT (11 เม.ย.55) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า การเกิดแผ่นดินไหววัดแรงสั่นสะเทือนได้ 8.9 ริกเตอร์ ใต้ทะเลนอกจังหวัดอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย โดยแผ่นดินไหวดังกล่าวทำให้มีการประกาศเตือนภัยสึนามิรอบมหาสมุทรอินเดีย โดยศูนย์เตือนภัยสึนามิแปซิฟิกระบุว่า ยังไม่รู้แน่ว่าสึนามิจะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่แนะนำทางการอินโดนีเซียให้เตรียมมาตรการรับมือที่เหมาะสม ภูมิภาคดังกล่าวเกิดแผ่นดินไหวขึ้นบ่อยครั้ง โดยสึนามิในปี 2547 คร่าชีวิตผู้คนในอาเจะห์ราว 170,000 ราย ศูนย์เตือนภัยสึนามิระบุว่า แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวสามารถทำให้เกิดสึนามิทำลายล้างในวงกว้าง ที่สามารถส่งผลกระทบต่อชายฝั่งทั่วแอ่งมหาสมุทรอินเดีย ล่าสุด สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐ (USGS) ปรับลดระดับความแรงลงมาที่ 8.7 ริกเตอร์แล้ว
ที่มา: Large Aceh quake triggers Indian Ocean tsunami warning สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
บรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ ผู้สูญเสียลูกชายในวันที่ 10 เม.ย. 53 Posted: 11 Apr 2012 12:53 AM PDT |
Silence of the Lamp: อวสานสภาการหนังสือพิมพ์อังกฤษ (1) Posted: 10 Apr 2012 09:57 PM PDT ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์ของอังกฤษ (The Press Complaints Commission: PCC) ได้ประกาศยุบองค์กรลง โดย Lord Hunt ประธาน PCC ให้คำอธิบายกับการประกาศยุบสภาการหนังสือพิมพ์อังกฤษว่า เป็นช่วงการเปลี่ยนผ่าน เพื่อให้สื่อได้มีเวลาทบทวนไตร่ตรองบทบาทในอดีตที่ผ่านมา และเพื่อโอกาสในการเรียกความมั่นใจของสาธารณชนต่อสื่อกลับคืนมา ทั้งนี้ คณะกรรมการสภาฯมีมติเอกฉันท์ในหลักการที่จะแปลงรูป PCC หลังช่วงเปลี่ยนผ่านไปเป็นองค์กรใหม่ที่จะสามารถกำกับดูแลการรักษาจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพให้ได้รับการยอมรับจากสาธารณชน การประกาศยุบตัวของสภาการหนังสือพิมพ์อังกฤษนี้เป็นผลกระทบจากวิกฤตศรัทธาที่ประชาชนมีต่อสื่อและองค์กรวิชาชีพสื่อที่ทำหน้าที่กำกับดูแลจรรยาบรรณสื่อ ปรากฏการณ์วิกฤติศรัทธาต่อบทบาทสื่อและองค์กรวิชาชีพสื่อในประเทศอังกฤษพัฒนามาจนถึงจุดแตกหักจนถึงขั้นที่สภาการหนังสือพิมพ์ต้องประกาศยุบตัวนี้ เมื่อเกิดคดีที่สื่อละเมิดจรรยาบรรณจนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก กรณีที่มีการเปิดเผยว่าผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์นิวส์ออฟเดอะเวิร์ล (The News of the World) ทำการดักฟังโทรศัพท์ ติดสินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ และใช้ความสัมพันธ์และอิทธิพลเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลในการรายงานข่าวมาตั้งแต่ปี 2006 จากการสอบสวนเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าพฤติกรรมดักฟังโทรศัพท์และล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลของ The News of the World นั้นมีมาตั้งแต่ปี 2002 โดยในช่วงต้นการดักฟังโทรศัพท์ของหนังสือพิมพ์ดังกล่าวจำกัดอยู่ในหมู่บุคคลสาธารณะ เช่น ดารานักแสดง นักการเมือง และสมาชิกราชวงศ์อังกฤษเท่านั้น แต่ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2011 มีการเปิดเผยข้อมูลว่าผู้สื่อข่าวของ The News of the World สามารถเข้าไปฟังข้อความเสียง(voice mail) ในโทรศัพท์ของ Milly Dowler นักเรียนหญิงวัย 13 ปีที่ถูกลักพาตัวไปเมื่อเดือนมีนาคม 2002 และพบเป็นศพถูกฆาตกรรมเดือนกันยายนปีเดียวกัน การเปิดเผยถึงวิธีการหาข่าวของ The News of the World โดยเข้าไปฟัง voice mail ของ Milly Dowler ระหว่างที่เธอหายตัวไปนั้น ทำให้สาธารณชนไม่พอใจอย่างรุนแรงและรวมตัวกันรณรงค์ต่อต้านสื่อ ผลจากการบอยคอตของผู้อ่าน และการที่บริษัทต่างๆถอนโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ทำให้ The News of the World ที่ตีพิมพ์มานานถึง 168 ปีต้องปิดตัวลง ทั้งยังนำไปสู่วิกฤตศรัทธาของสาธารณชนต่อสื่อโดยรวม ไม่เพียงแต่บุคคลสาธารณที่ตกเป็นเหยื่อของสื่อที่ละเมิดจรรยาบรรณ ครอบครัวของบุคคลที่ได้รับผลกระทบเหล่านั้น ผู้บริโภคสื่อและประชาชนทั่วไปต่างพากันตั้งคำถามเพื่อตรวจสอบถึงจรรยาบรรณสื่อ และบทบาทของสภาการหนังสือพิมพ์อังกฤษ (PCC) ที่ประชาชนเรียกว่าเป็น “เสือกระดาษ” ประชาชนไม่มีความเชื่อมั่นอีกต่อไปว่าสื่อจะสามารถกำกับดูแลกันเองได้ ต่อกรณีการละเมิดจรรยาบรรณสื่อของ The News of the World นี้ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ปีที่แล้ว (2011) นายเดวิด คามารอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ลงนามในประกาศแต่งตั้ง Lord Justice Leveson เป็นประธานในการสอบสวนบทบาทและพฤติกรรมของสื่อและเจ้าหน้าตำรวจในการดักฟังโทรศัพท์ ของบุคคลทั่วไป โดยคณะกรรมการสืบสวนของ Lord Justice Leveson มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเรียกสอบสวนพยานต่างๆ ทั้งนี้ พยานที่ถูกเรียกตัวมาให้ปากคำในคดีนี้ มีทั้ง นักข่าว ผู้บริหาร สื่อ เจ้าของสื่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และนักการเมืองจากทุกพรรค โดยพยานทั้งหมดจะต้องสาบานตนก่อนให้ปากคำและต่อหน้าสาธารณชน กระบวนการสอบสวนนี้จะมุ่งไต่สวนวัฒนธรรม การทำข่าวและจรรยาบรรณของสื่อ Lord Justice Leveson กล่าวไว้ในการเปิดการสืบสวนคดีนี้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2011 ว่า “สื่อทำหน้าที่ตรวจสอบที่สำคัญยิ่งในทุกๆแง่มุมของสาธารณชน นั่นคือ ทำไมความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในวงการสื่อจึงกระทบต่อพวกเราทุกคน ดังนั้น หัวใจหลักของการสอบสวนคดีนี้ เป็นเพียงคำถามพื้นๆว่า ใครจะเฝ้าระวังผู้เฝ้าระวัง? ทั้งนี้ Lord Justice Leveson แถลงว่าจะไต่สวนถึงความสัมพันธ์ระหว่างสื่อ กับสาธารณชน เจ้าหน้าที่ตำรวจ และนักการเมือง การสอบสวนคดีดังกล่าวนี้ จะเป็นแนวทางต่อการกำหนดกฎระเบียบในการควบคุมกันเองของสื่อในอนาคต และ ธรรมาภิบาลของสื่อที่สอดคล้องกับเสรีภาพสื่อพร้อมไปกับการรักษาจรรยาบรรณและมาตรฐานของวิชาชีพสื่อ ตอนต่อไป -ประวัติสภาการหนังสือพิมพ์อังกฤษ : 59 ปีของการเปลี่ยนรูปแปลงร่าง สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น