ประชาไท | Prachatai3.info |
- กองทัพสหรัฐว้าฉลองใหญ่ก่อตั้งครบ 23 ปี
- "เอ็นแอลดี" จะไม่เข้าประชุมสภาเหตุไม่ต้องการปฏิญาณว่าจะ "พิทักษ์" รธน.ทหาร
- "สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" เบรกครม.ดำหัว "เปรม" ชี้ไม่จำเป็นทางกฎหมาย - นิติรัฐ - รธน.
- สภาประชาสังคมเปิดพื้นที่กลาง 3 ศาสนา เสวนาลดรุนแรงชายแดนใต้
- สุรพศ ทวีศักดิ์: ธรรมะคือเสรีภาพ
- อดีต ส.ส.เพื่อไทย ปทุมธานีแพ้เลือกตั้งนายกฯ อบจ.ให้แชมป์เก่า
- แรงงานภาคขนส่งอิตาลีประท้วงใหญ่ ค้านนโยบายรัดเข็มขัด
- คนงานพม่า รง.ถลุงแร่ ประท้วงขึ้นค่าแรง เจรจาไม่ลงเตรียมลาออกยกชุด
- กรณ์ จาติกวณิช
- "กรณ์ จาติกวณิช" ขอบคุณชาวปทุมฯ แนะบทเรียนเพื่อไทย "อย่าดูถูกประชาชน"
กองทัพสหรัฐว้าฉลองใหญ่ก่อตั้งครบ 23 ปี Posted: 22 Apr 2012 12:06 PM PDT กองทัพว้า UWSA ฉลองก่อตั้งกองทัพครบ 23 ปี อย่างยิ่งใหญ่ เจ้าหน้าที่จีนและพม่าได้รับเชิญเข้าร่วม ขณะที่ผู้นำอ้างกองทัพว้ามีศักยภาพสามารถปกป้องภัยรุกรานทั้งทางบกและทางอากาศ ขอประชาชนไว้วางใจ มีรายงานจากแหล่งข่าวชายแดนพม่า(รัฐฉาน) - จีน ว่า ระหว่างวันที่ 11-17 เม.ย. ที่ผ่านมา กองทัพสหรัฐว้า UWSA (United Wa State Army) หนึ่งในกลุ่มติดอาวุธใหญ่สุดในพม่า ได้จัดงานฉลองการก่อตั้งกองทัพครบ 23 ปี อย่างยิ่งใหญ่ ที่เมืองป๊อก ซึ่งเป็นสถานที่ใช้ฝึกการทหารของ UWSA อยู่ในภาคตะวันออกรัฐฉาน โดยเมื่อวันที่ 17 เม.ย. ซึ่งตรงกับวันก่อตั้งกองทัพว้า UWSA ได้มีพิธีสวนสนามของเหล่าทหารว้าอย่างยิ่งใหญ่ มีผู้นำระดับสูงเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง นอกจากนี้มีเจ้าหน้าที่จีนและพม่าได้รับเชิญเข้าร่วมในพิธีด้วย เจ้าโจงตาง ผบ.กองทัพว้า UWSA กล่าวต่อหน้าเหล่าทหารและประชาชนที่เข้าร่วมในพิธีตอนหนึ่งว่า กองทัพว้า UWSA มีศักยภาพสามาถปกป้องภัยการรุกรานทั้งจากทางบกและทางอากาศ โดยเฉพาะกองพล 468 (มีบก.อยู่ที่เมืองป๊อก) มีความแข็งแกร่งสามารถปกป้องเขตปกครองว้าและประชาชนได้ ดังนั้น ขอให้ประชาชนวางใจในกองทัพว้า UWSA ทั้งนี้ กองทัพสหรัฐว้า UWSA ประกาศแยกตัวออกจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่า CPB - Communist Party of Burma เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2532 ต่อมาได้เจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่า ปัจจุบันกองทัพสหรัฐว้า UWSA มีกองบัญชาการใหญ่อยู่ที่เมืองปางซาง รัฐฉานภาคตะวันออก มีนายเปาโหย่วเฉียง เป็นผู้นำสูงสุด โดยกองทัพว้า UWSA มีกำลังพลไม่ต่ำกว่า 25,000 นาย เคลื่อนไหวอยู่ในภาคตะวันออกของรัฐฉานและตามแนวชายแดนไทยด้านจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ "คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
"เอ็นแอลดี" จะไม่เข้าประชุมสภาเหตุไม่ต้องการปฏิญาณว่าจะ "พิทักษ์" รธน.ทหาร Posted: 22 Apr 2012 11:13 AM PDT พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยนำโดย "อองซาน ซูจี" ที่มี ส.ส. และ ส.ว. ได้รับเลือกตั้ง 43 คน ประกาศไม่ร่วมเปิดสมัยประชุมสภาพม่าครั้งแรกหลังเลือกตั้งซ่อม ในวันจันทร์นี้ เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับคำปฏิญาณเป็นสมาชิกรัฐสภาว่าจะ "พิทักษ์" รัฐธรรมนูญ โดยก่อนหน้านี้พรรคเอ็นแอลดีได้หาเสียงช่วงเลือกตั้งซ่อมว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างสมัยรัฐบาลทหารดังกล่าว 22 เม.ย. 2012 - สำนักข่าว BBC ของอังกฤษรายงานว่า พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ พรรคเอ็นแอลดี ของนางอองซาน ซูจี ประกาศจะไม่เข้าร่วมการเปิดประชุมสภาของพม่า ที่จะเปิดสมัยประชุมในวันจันทร์ (23 เม.ย.) นี้ เนื่องจากส่วนหนึ่งของข้อความให้สัตย์ปฏิญาณของ ส.ส. นางอองซาน ซูจี เป็นหนึ่งใน 43 คนของ ส.ส. พรรคเอ็นแอลดี ที่ได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้งซ่อมเมื่อเดือนต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ส.ส. พรรคเอ็นแอลดีบอกว่าพวกเขาต้องการให้สัตย์ว่า จะ "เคารพ" รัฐธรรมนูญ แทนที่จะใช้คำว่าจะ "พิทักษ์" รัฐธรรมนูญ ซึ่งฟังดูไม่เป็นประชาธิปไตยในความเห็นของพวกเขา ทั้งนี้รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของพม่าถูกร่างขึ้นโดยอดีตรัฐบาลเผด็จการทหาร "พวกเราจะยอมเข้าร่วมประชุมสภาก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทำให้สัตย์ปฏิญาณแล้วเท่านั้น" นายโอน เจ่ง โฆษกพรรคเอ็นแอลดีที่เพิ่งได้รับเลือกเป็น ส.ส. ครั้งล่าสุดกล่าว พม่าเริ่มปฏิรูปทางการเมืองและเศรษฐกิจในช่วงปีที่ผ่านมาหลังจากที่รัฐบาลพลเรือนเข้ามาแทนที่การปกครองของทหารซึ่งยาวนานมากว่า 50 ปี แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกร่างโดยรัฐบาลทหารและมีการลงประชามติเมื่อเดือน พ.ค. ปี 2551 และให้มีการจัดสรรที่นั่งร้อยละ 25 ให้กับทหารทั้งในวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร และสภาระดับรัฐของพม่า กองทัพและพรรคตัวแทนของพวกเขาอย่างพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา หรือยูเอสดีพี ได้รับที่นั่งในสภาร้อยละ 80 หลังการเลือกตั้งเมื่อเดือน พ.ย. ปี 2553 ซึ่งถูกคว่ำบาตรโดยพรรคเอ็นแอลดี เนื่องจากเห็นว่ากฏหมายเลือกตั้งไม่ยุติธรรม ราเชล ฮาร์วี ผู้สื่อข่าว BBC ในกรุงเทพฯ บอกว่าพรรคเอ็นแอลดีได้แสดงท่าทีดังกล่าวในฐานะหลักการและจุดยืน เมื่อนานมาแล้ว อองซาน ซูจี เคยกล่าวว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยส่วนหนึ่งเนื่องจากว่ามันได้ให้อำนาจศุนย์กลางอยู่ที่ทหาร ผู้สื่อข่าว BBC แสดงความเห็นว่า เมื่อดูจากในสภาซึ่งถูกครอบงำอยู่โดย ส.ส. จากพรรคที่มีทหารหนุนหลังแล้ว ความเปลี่ยนแปลงคงเป็นไปได้ยาก ก่อนหน้านี้ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงการใช้คำในกฏหมายการจดทะเบียนพรรคการเมืองในพม่า ถึงจะทำให้พรรคเอ็นแอลดีได้มีส่วนในการเลือกตั้งซ่อมครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ลงแข่งขันนับตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมา การประกาศของพรรคเอ็นแอลดีในครั้งนี้มีขึ้น 1 วัน หลังจากที่ญี่ปุ่นตกลงว่าจะจำหน่ายหนี้ที่พม่าติดค้างอยู่ 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 114,000 ล้านบาท และทางญี่ปุ่นจะมอบงบประมาณพัฒนาให้แก่พม่าอีกครั้ง ซึ่งข้อตกลงดังกว่านี้มาจากการที่ผู้นำทั้งสองชาติได้พบปะหารือกัน มีแหล่งข่าวทางการทูตเปิดเผยคาดว่าจะมีการยกเลิกการคว่ำบาตรของพม่าโดยสหภาพยุโรปยกเว้นการคว่ำบาตรด้านอาวุธในวันจันทร์นี้ ด้านสหรัฐฯ และออสเตรเลียได้ลดการคว่ำบาตรพม่าแล้วบางส่วนหลังจากที่มีการปฏิรูปทางการเมือง สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
"สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" เบรกครม.ดำหัว "เปรม" ชี้ไม่จำเป็นทางกฎหมาย - นิติรัฐ - รธน. Posted: 22 Apr 2012 09:57 AM PDT "โฆษก ปชป." ชี้เพื่อไทยแพ้เพราะตระบัดสัตย์ ไม่ทำตามนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ ด้าน "โฆษกเพื่อไทย" ยินดี ปชป. ชนะเลือกตั้งซ่อมปทุม - อ้างประชาชนเชื่อ "ยิ่งลักษณ์" เตรียมนำ ครม. ดำหัว "เปรม" เป็นเรื่องดี-นำไปสู่ปรองดอง ส่วน "สสจ." เห็นแย้ง-ชี้ไม่ด่าเปรมก็แล้วไป แต่ไม่จำเป็นต้องไปส่งเสริมการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง สำนักข่าวแห่งชาติ รายงานวันนี้ (22 เม.ย.) ว่านายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ปทุมธานีเขต 5 ที่พรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้ง ว่า ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ทางพรรคเพื่อไทย ขอแสดงความยินดีกับนายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชนะการเลือกตั้ง ส่วนกรณีที่นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ เป็นเพราะคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยตกนั้น มองว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์การเลือกตั้งครั้งนี้เพียงร้อยละ 30 และคะแนนที่ชนะการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ต่างกันประมาณ 3 พันคะแนน ระหว่าง 2 หมื่น 7 พันคะแนน กับ 2 หมื่น 4 พันคะแนน อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้ (23 เม.ย.) ทางพรรคเพื่อไทยจะประชุมสมาชิก ส.ส พรรคเพื่อไทย เพื่อกำหนดยุทธ์ศาสตร์ จุดอ่อนจุดแข็ง และปรับแนวทางการทำงาน รวมถึงการสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย นอกจากนี้ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังกล่าวถึงการเดินทางเข้าพบ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศน์ ในวันที่ 26 เมษายนนี้ เพื่อรดน้ำอวยพรปีใหม่ ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปพร้อมกับคณะรัฐมนตรี ซึ่งการเข้าพบประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ครั้งนี้ ประชาชนมองว่าเป็นเรื่องที่ดีนำไปสู่บรรยากาศการปรองดอง ความสามัคคี ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดี
โฆษกประชาธิปัตย์ชี้เพื่อไทยแพ้เพราะตระบัดสัตย์ ขณะเดียวกัน เว็บไซต์สุทธิชัย หยุ่น รายงานความเห็นของนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่กล่าว่า การเลือกตั้งที่ปทุมธานีเมื่อวานนี้ ต้องขอขอบคุณประชาชนทุกท่านที่ให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะ ดร. เกียรติศักดิ์ ส่องแสง ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะการทุ่มเททำงานหนักของผู้สมัคร แต่ส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็น ว่าความล้มเหลวของรัฐบาลในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลคะแนนหายไปที่ปทุมธานี เขต 5 เพียงเขตเดียว ถึงกว่าสองหมื่นคะแนน ไม่ว่าจะเป็นการตระบัดสัตย์เรื่องค่าครองชีพ การทำให้ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ เรื่องการทำให้เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เรื่องการทุจริตคอรรัปชั่นเงินเยียวยา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่รัฐบาลกลับไม่สนใจ และไม่ใช่มาต่อล้อต่อเถียงกับฝ่ายค้าน เรื่องการปฏิบัติงาน เพราะฉะนั้นขอเรียกร้อง รัฐบาลหันกลับไปให้ความสนใจ กับการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ในการลดค่าครองชีพ และทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ นโยบาย 300 บาท และ 1.5 หมื่นบาท ขณะนี้รัฐบาลไม่ได้ปฏิบติตามที่ได้พูดไว้ตั้งแต่ต้น และไม่มีแนวโน้มที่จะไปดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการปฏิบัตินโยบายดังกล่าว
"พะจุณณ์" เผย "เปรม" รู้แล้วยิ่งลักษณ์จะมารดน้ำ 26 เม.ย. ขณะเดียวกัน มติชนออนไลน์ รายงานวันนี้ (22 เม.ย.) ว่า พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษและนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี กล่าวว่า วันที่ 26 เม.ย. นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนำคณะรัฐมนตรี(ครม.) เดินทางที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ เพื่อเข้ารดน้ำดำหัว พล.อ.เปรม เนื่องในโอกาสเทศกาลสงกรานต์หรือวันปีใหม่ไทย และ พล.อ.เปรม รับทราบเรื่องแล้ว ด้านพล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการมูลนิธิรัฐบุรุษ กล่าวด้วยว่า การเข้าไปรดน้ำดำหัวเป็นขนบธรรมเนียมของคนที่เคารพกัน แต่น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เป็นทางการในการเข้าไป
"สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" ชี้ ครม.ดำหัวเปรมคือ "ส่งเสริมการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง" ต่อข่าวดังกล่าว นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แสดงความเห็นเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. วันนี้ (22 เม.ย.) ต่อกรณีนายกรัฐมนตรีและ ครม. เตรียมเข้ารดน้ำดำหัว พล.อ.เปรม โดยนายสมศักดิ์ ได้โพสต์แสดงความในเฟซบุค ตั้งค่าการเข้าถึงสาธารณะ มีรายละเอียดดังนี้ ตำแหน่งองคมนตรี เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีกำหนดไว้เลยให้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงใดๆ กับคณะรัฐมาล อันที่จริง องคมนตรีควรไม่มีบทบาททางสาธารณะใดๆ เลยด้วยซ้ำ เพราะถ้ามี แล้วมีปัญหาใดๆ ขึ้นมา ย่อมกระทบถึงสถาบันกษัตริย์ (อันทีจริง ทางกฎหมายต้องถือว่าองคมนตรีเป็นส่วนหนึงของสถาบันกษัตริย์) ตำแหน่งประธานองคมนตรี ก็ไม่ได้มีกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ต้องถือเป็นตำแหน่งพิเศษอะไร การที่ รัฐบาล และพรรคเพื่อไทย จะเลิกวิพากษ์วิจารณ์โจมตี พล.อ.เปรม นั้น ก็แล้วแต่ แต่อันที่จริง ถ้าพูดในแง่ของกฎหมาย หลักทางนิติรัฐ และรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีความจำเป็นต้อง มีการนำคณะรัฐมนตรีไปแสดงความเคารพอะไร พล.อ. เปรม ในลักษณะทางการเช่นนี้ คือต่อให้หยุดโจมตี พล.อ.เปรมแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลเชิงหลักการ เชิงกฎหมาย หรือนิติธรรม อะไร ที่ต้องให้ความสำคัญพิเศษ หรือแสดงการเคารพเป็นพิเศษต่อตัว พล.อ.เปรม จะว่าไปแล้ว ในประวัติศาสตร์ ก็มีแต่ พล.อ.เปรม ที่วางตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นประธานองคมนตรี คือออกมามีบทบาทสาธารณะ และการเมือง อย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่เกรงต่อข้อกำหนด รัฐธรรมนูญ (แสดงการฝักใฝ่พรรคการเมืองไม่ได้) และความเหมาะสม เชิงมารยาท และการปฏิบัติทางการเมือง (คนอื่นมีบทบาทแทรกแซงการเมือง ไมใช่ไม่มี แต่อย่างน้อย ยังรู้จักทำแบบหลบๆสายตาคนทั่วไป ไมใช่ทำแบบโจ่งแจ้งเช่นนี้) พูดง่ายๆ คือ ไม่โจมตี เปรม ก็แล้วไป แต่ไม่มีความจำเป็นใดๆ ทีต้องไปส่งเสริมการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องเช่นนี้ หมายเหตุ: ตามรายงานข่าวนี้ ที่ "ลูกป๋า" อ้างว่า "เป็นขนบธรรมเนียมไทย" นั้น เป็นการพูดแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว "ขนบธรรมเนียม" ของการมีองคมนตรี (ตั้งแต่ 2492 เป็นต้นมา) ไม่เคยมีการให้ความสำคัญกับตำแหน่งประธานองคมนตรีในลักษณะนี้เลย และจะอ้างว่า นี่เป็นเรื่อง "ส่วนบุคคล" ก็ไม่ได้ เพราะที่จะไปกัน ไปในฐานะ คณะรัฐมนตรี ทั้งคณะ และที่ไป ก็ไมใช่เพราะ พล.อ.เปรม คือ นาย เปรม ที่ไหน" สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สภาประชาสังคมเปิดพื้นที่กลาง 3 ศาสนา เสวนาลดรุนแรงชายแดนใต้ Posted: 22 Apr 2012 09:45 AM PDT สภาประชาสังคมชายแดนใต้ส่ง 2 ตัวแทน เป็นกรรมการเยียวยา ตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหยื่อ เปิดพื้นที่กลางให้คนคิดต่าง สานเสวนา 3 ศาสนาหาทางลดความรุนแรง
ประสิทธิ์ เมฆสุวรรณ
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 22 เมษายน 2555 ที่ห้องจัตุรัส ลีลารีสอร์ท อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา มีการประชุมสภาประชาสังคมชายแดนใต้ ครั้งที่ 4/2555 เป็นวันที่ 2 มีผู้เข้าร่วม 20 คน นายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป ที่ปรึกษาสภาประชาสังคมชายแดนภาคใต้ เปิดเผหลังการประชุมว่า สภาประชาสังคมชายแดนใต้มีมติให้มีการจัดสานเสวนา ระหว่าง 3 ศาสนา คือ อิสลาม พุทธ คริสต์ เพื่อใช้ศาสนาในการลดความรุนแรงหรือความคิดสุดโต่ง โดยจะบรรจุเข้าแผนปฏิบัติของสภาประชาคมชายแดนใต้ต่อไป นายแพทย์พลเดช เปิดเผยว่า สภาประชาสังคมชายแดนภาคใต้มีจุดยืนว่า จะต้องให้ทุกฝ่ายตระหนักว่าความรุนแรงไม่ใช่ทางออกของปัญหา สภาประชาคมชายแดนภาคใต้ต้องยึดหลักการสร้างพื้นที่กลาง เพื่อให้ทุกฝ่ายที่มีความคิดเห็นที่ต่างกัน ได้แสดงความคิดเห็นว่า จะแก้ปัญหาอย่างไร โดยใช้ความรุนแรงให้น้อยที่สุด นางโซรยา จามรุรี กรรมการสภาประชาสังคมชายแดนใต้ เสนอต่อที่ประชุมว่า ขอให้สภาประชาสังคมชายแดนใต้ส่งนายสมนึก ระฆัง และนายอับดุลอาซิซ ตาเดอินทร์ เป็นตัวแทนสภาประชาสังคมชายแดนใต้ เข้าไปเป็นกรรมการเยียวยาผู้ที่ได้รับความเสียหายและผู้ที่ได้รับผลกระทบ จากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐอันเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำจังหวัดยะลา ที่ประชุมรับหลักการและให้นายประสิทธิ์ เมฆสุวรรณ ประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ส่งหนังสือแจ้งไปยัง พ.ต.อ ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อขออนุญาตให้แต่งตั้งทั้ง 2 คน เป็นกรรมการเยียวยาฯ นายประสิทธิ์ เมฆสุวรรณ ประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ เปิดเผยหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีมติให้สภาประชาสังคมชายแดนใต้ตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ภาคใต้ ประจำทั้ง 3 จังหวัด คือ ยะลา ปัตตานีและนราธิวาส โดยมีนางโซรยา จามจุรี เป็นผู้ที่รับผิดชอบหลักในเรื่องนี้ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สุรพศ ทวีศักดิ์: ธรรมะคือเสรีภาพ Posted: 22 Apr 2012 08:20 AM PDT คำว่า “ธรรมะ” เป็นคำที่ใช้กันในวัฒนธรรมทางศาสนาหลายศาสนาของอินเดียมายาวนานกว่า 5,000 ปี ก่อนสมัยพุทธกาล ฉะนั้นจึงเป็นคำที่มีความหมายซับซ้อนมาก และมีวิธีทำความเข้าใจหลายวิธี ผมคิดว่าวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจความหมายของธรรมะที่น่าจะตรงตามความหมายของพุทธศาสนามากที่สุด คือ “วิธีถอดความหมายของธรรมะจากบุคลิกภาพของพุทธะ” เมื่อพิจารณาจากบุคลิกภาพของพุทธะ สิ่งที่เราเห็นได้ชัดที่สุดคือ “เสรีภาพ” เสรีภาพที่ว่านี้ หมายถึงความเป็นอิสระในการกำหนดตนเอง หรือความเป็นอิสระในการปกครองตนเองด้วยการเลือกการกระทำ หรือวิถีชีวิตที่ถูกต้องสำหรับตนเอง ซึ่งแสดงออกโดยการมีอิสระของเจตจำนง (freedom of the will) หรือมีเจตนาอิสระในการเลือกการกระทำที่เหตุผลหรือปัญญาบอกว่าถูกต้อง เช่น ที่ราเห็นได้จากบุคลิกภาพของพุทธะ (ตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ) เมื่อท่านใช้เหตุผลพิจารณาเรื่องความแก่ ความเจ็บป่วย ความตาย และวิถีชีวิตสมณะ แล้วเห็นว่า “การแสวงหาอิสรภาพทางจิตวิญญาณ (นิพพาน) เป็นสิ่งที่ถูกต้อง” และเป็น “ความถูกต้องที่ต้องทำอย่างปราศจากเงื่อนไข” ซึ่งหมายความว่า แม้จะต้องเจ็บปวดจากการฝืนความต้องการของพ่อที่อยากให้เป็นกษัตริย์ จากการพลัดพรากครอบครัว คนรัก ลูก หรือความสุขสบายใดๆ ก็ต้องเลือก “การแสวงหาอิสรภาพทางจิตวิญญาณ” เพราะนี่คือ “ความถูกต้องที่ต้องทำ” ฉะนั้น การตัดสินใจเลือกทำสิ่งที่เหตุผลหรือปัญญาเห็นว่าถูกต้อง จึงหมายความว่าสิทธัตถะมี “เสรีภาพของเจตจำนง” หรือมี “อิสระในการตัดสินใจ” ซึ่งเป็นเสรีภาพจากอิทธิพลของพ่อ (หรือรัฐ) ฐานันดร ครอบครัว และอื่นๆ เมื่อสิทธัตถะ ไปเรียนรู้และปฏิบัติตามสำนักของอาจารย์ต่างๆ แล้วพบว่า แนวทางที่ศึกษาและปฏิบัติกันอยู่นั้นไม่ได้ก่อเกิดอิสรภาพที่แท้จริง ก็จึงตัดสินใจเลือกทางอื่นๆ ซึ่งหมายถึงมีเสรีภาพจากอิทธิพลของอาจารย์ หรือจากการยึดติดในความคิด หลักคำสอนของอาจารย์ จากนั้นจึงนำลัทธิความเชื่อต่างๆ มาทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง เช่น ความเชื่อเรื่องการแสวงหาความสุขทางกามารมณ์อย่างเต็มที่แล้วพ้นทุกข์ได้ (ลัทธิกามสุขัลลิกานุโยค-พุทธประวัติฉบับมหายานระบุว่าพุทธะเคยทดลองปฏิบัติลัทธินี้ และลัทธิอัตตกิลมถานุโยคด้วย) และความเชื่อเรื่องการทรมานร่างกายอย่างถึงที่สุดแล้วจะหลุดพ้นได้ (อัตตกิลมถานุโยค-พุทธประวัติเถรวาทพูดถึงการทดลองลัทธินี้) เมื่อทดลองแล้วไม่ก่อเกิดอิสรภาพทางจิตวิญญาณ จึงตัดสินใจ “เลิกเดินตาม” ลัทธิความเชื่อใดๆ ซึ่งหมายถึง มีเสรีภาพจากระบบความเชื่อ จารีตปฏิบัติทางศาสนาที่เคยเดินตาม และเมื่อมีเสรีภาพจากการเดินตามก็พบ “ทางที่ถูกต้อง” ของตนเอง เมื่อเห็นว่าทางนั้นคือความถูกต้องก็ต้องทำอย่างปราศจากเงื่อนไข ดังที่สิทธัตถะตั้งปณิธานก่อนตรัสรู้ (ประมาณ) ว่า “จะทำความเพียรจนกว่าจะบรรลุโพธิญาณ จะไม่ยอมหยุดแม้ว่าเลือดเนื้อในร่างกายจะแห้งเหือดไปเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตาม” ฉะนั้น แม้ความตายก็ไม่ใช่เงื่อนไขให้หยุดกระทำสิ่งที่ถูกต้อง การไม่ยอมรับและการทอดทิ้งของศิษย์ทั้งห้าคน (ปัญจวัคคีย์) จึงยิ่งไม่ใช่เงื่อนไขให้หยุดทำสิ่งที่ถูกต้องได้เลย เพราะความถูกต้องเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างปราศจากเงื่อนไข แล้วเมื่อ “เดินตามทางของตนเอง” ในที่สุด อิสรภาพทางจิตวิญญาณก็ปรากฏ นั่นคือเสรีภาพเดินทางมาจุดสูงสุด คือความเป็นอิสระจากกิเลสและความทุกข์ทางจิตใจ หรืออิสรภาพทางจิตวิญญาณ (นิพพาน) ปรากฏการณ์ของเสรีภาพที่เริ่มจากความเป็นอิสระจากอิทธิพลของพ่อ (รัฐ) ครอบครัว อาจารย์ ลัทธิ จารีตปฏิบัติตามความเชื่อทางศาสนาต่างๆ การค้นพบ “ทางของตนเอง” จนกระทั่งพัฒนามาถึง “อิสรภาพทางจิตวิญญาณ” สะท้อนให้เห็นว่า เสรีภาพมีพัฒนาการผ่านการใช้ชีวิตเรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆ และเสรีภาพเจริญงอกงามและเบ่งบานเต็มที่ได้ เสรีภาพที่เบ่งบานเต็มที่พุทธะเรียกว่า “วิมุติ” หมายถึง ความเป็นอิสระจากกิเลสและความทุกข์ทั้งปวง วิมุตินี่เองที่พุทธะเรียกว่าเป็น “แก่นแท้” ของธรรม หรือคำสอนของท่าน ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า ธรรมะที่เราพบจากบุคลิกภาพของพุทธะคือเสรีภาพ เริ่มจากเสรีภาพที่จะเลือกทำสิ่งที่เหตุผลหรือปัญญาเห็นว่าถูกต้อง ซึ่งเป็นเสรีภาพจากการครอบงำของเงื่อนไขภายนอกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว รัฐ ศาสนา ฯลฯ จนพัฒนามาสู่ “เสรีภาพทางจิตวิญญาณ” หรือเสรีภาพภายในที่เบ่งบานเต็มที่ หรือเสรีภาพที่เป็นอิสระจากเงื่อนไขภายในคือกิเลสและความทุกข์ต่างๆ อย่างสิ้นเชิง (นักปรัชญาบงคน เช่น ค้านท์ก็เห็นว่า คนที่มีศีลธรรมคือบุคคลที่มี autonomous หรือ autonomy ในการกำหนดหลักการทางศีลธรรมสำหรับตนเองนั้น ต้องเป็นอิสระจากความปรารถนา ความโน้มเอียงทางสัญชาตญาณ อารมณ์ และอิทธิพลของครอบครัว รัฐ ศาสนา เป็นต้นด้วย) หากพิจารณาจากบุคลิกภาพแห่งพุทธะ จะเห็นว่าเสรีภาพทุกขั้นตอนเป็น “สิ่งที่มีค่าในตัวของมันเอง” (intrinsic value or intrinsic good) ฉะนั้น เสรีภาพจากอิทธิพลครอบงำทั้งจากเงื่อนไขภายนอกและภายในคือสิ่งจำเป็น หมายความว่า ชีวิตที่มีเสรีภาพจากทั้งอิทธิพลครอบงำภายนอกและภายใน คือชีวิตที่มีคุณค่าในตัวของมันเอง พูดด้วยสำนวนทางพุทธศาสนาก็คือ “ชีวิตที่มีเสรีภาพคือชีวิตที่มีธรรมะที่แท้จริง” ฉะนั้น ธรรมะคือเสรีภาพ หรือเสรีภาพคือธรรมะ! แน่นอนว่า เสรีภาพที่เราพบจากการพิจารณาบุคลิกภาพของพุทธะดังที่ว่ามาอาจจะไม่ได้ตรงกับเสรีภาพในความหมายของเสรีภาพทางสังคมการเมืองในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ แต่แม้จะต่างกันใน “รายละเอียด” ก็ตาม ทว่าที่ตรงกันแน่นอนก็คือ “เสรีภาพเป็นสิ่งที่มีค่าในตัวมันเอง” การมีเสรีภาพจึงเป็นสิ่งแสดงถึงการมีชีวิตที่มีค่า ปัญหาที่น่าคิดคือ เมื่อมองจากบุคลิกภาพของพุทธะแล้ว เราพบว่าจะไม่มีพุทธะเกิดขึ้นในโลกได้เลยหากมนุษย์ไม่สามารถจะมีเสรีภาพจากการครอบงำของอิทธิพลต่างๆ ทั้งภายนอกและภายใน ฉะนั้น เราจึงอาจเข้าใจได้ว่า ตามทัศนะของพุทธศาสนาเสรีภาพคือสิ่งที่มีค่าสูงสุด หรือคือ “ธรรมะที่แท้” แต่เหตุใดการอ้าง “ธรรมะ” ของชาวพุทธปัจจุบัน จึงนอกจากจะไม่ได้ยกย่องคุณค่าของเสรีภาพแล้วยังอ้างเพื่อเป็นปฏิปักษ์กับเสรีภาพอีกด้วย ผมคิดว่า แม้พูดอย่างถึงที่สุดพุทธศาสนาจะเน้น “เสรีภาพภายใน” และพุทธะเองก็ไม่ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับสังคม-การเมืองที่มีเสรีภาพอย่างเป็นระบบเหมือนนักปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่ แต่จากบุคลิกภาพของพุทธะที่แสดงให้เห็นว่า การมีเสรีภาพจากอิทธิพลภายนอกและภายในเป็นสิ่งมีค่า ย่อมไม่มีเหตุผลที่ถูกต้องรองรับเลยที่พุทธศาสนาควรจะสนับสนุนระบบสังคมการเมืองที่เป็น “เผด็จการ” ฉะนั้น ในบริบทของโลกประชาธิปไตยสมัยใหม่ซึ่งยกย่องเสรีภาพ น่าจะเป็นโอกาสมากกว่าที่พุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกันอย่างเกื้อกูลกับ “สังคมเสรีภาพ” จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะอ้างอิงพุทธศาสนาสนับสนุน “ระบบอำนาจใดๆ” ให้อยู่เหนือเสรีภาพในวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ และยิ่งไม่ควรอย่างที่สุดที่ชาวพุทธจะบัญญัติกฎหมายใดๆ ให้ “ศาสดา” หรือ “ธรรมะ” อยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ หรือแม้แต่การจาบจ้วง ล่วงละเมิด ก็ตาม ดังท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวว่า “การเมืองในอุดมคติแบบพุทธศาสนา คือการจัด การทำให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างปราศจากการใช้อาชญา” ฉะนั้น จะอ้างอิงการปกป้องพุทธะ ธรรมะ เพื่อใช้ “อาชญา” จับคนเข้าคุกไม่ได้! ธรรมะคือเสรีภาพ เสรีภาพคือธรรมะ จงปกป้องธรรมะอันเป็น “บุคลิกภาพ” ของ “พุทธะ” ด้วยการปกป้อง “เสรีภาพ” เถิดชาวพุทธผู้รักพุทธศาสนาทั้งหลาย!
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
อดีต ส.ส.เพื่อไทย ปทุมธานีแพ้เลือกตั้งนายกฯ อบจ.ให้แชมป์เก่า Posted: 22 Apr 2012 06:00 AM PDT ผลการเลือกตั้งนายกฯ อบจ.ปทุมธานี นับคะแนนแล้ว 100% ชาญ พวงเพ็ชร อดีตนายกฯ อบจ.ปทุมธานีชนะ 214,429 คะแนน ทิ้งห่าง ส่วนสุเมธ ฤทธาคนี อดีต ส.ส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย เป็นแสนคะแนน ผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเพิ่งปิดหีบไปเมื่อเวลา 15.00 น. วันนี้ (22 เม.ย.) โดยผลการนับคะแนนครบ 100% เมื่อเวลา 19.00 น. ปรากฎว่า นายชาญ พวงเพ็ชร อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี 2 สมัย เบอร์ 1 ได้ 214,429 คะแนน ส่วน ว่าที่ รต.สุเมธ ฤทธาคนี อดีต ส.ส.เขต 5 จ.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย เบอร์ 2 ที่ลาออก ส.ส.มาลงสมัครได้ 110,974 คะแนน โดยมีผู้มาเลือกตั้ง 344,708 คน คิดเป็นร้อยละ 49% จากจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 721,058 คน มีผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนน 10,979 คน มีบัตรเสีย 6,327 บัตร ที่มาผลคะแนน: เว็บไซต์ฐานเศรษฐกิจ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
แรงงานภาคขนส่งอิตาลีประท้วงใหญ่ ค้านนโยบายรัดเข็มขัด Posted: 22 Apr 2012 02:18 AM PDT พนักงานรถโดยสาร รถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดิน หลายพันคนเดินขบวนประท้วงในกรุงโรม ค้านนโยบายรัดเข็มขัดที่เอื้อให้นายจ้างเลิกจ้างง่ายขึ้น
เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 55 ที่ผ่านมาสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าพนักงานรถโดยสาร รถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดิน หลายพันคน ได้เดินขบวนประท้วงที่กรุงโรม เมืองหลวงของอิตาลี เพื่อคัดค้านนโยบายรัดเข็มขัด ที่กลุ่มสหภาพแรงงานเห็นว่าเป็นการเอื้อให้นายจ้างเลิกจ้างคนงานได้ง่ายขึ้น Susanna Camusso เลขาธิการของสมาพันธ์แรงงานอิตาลี (Italian General Confederation of Labour - CGIL) ได้เรียกร้องให้สหภาพแรงงานนัดหยุดงานประท้วงทั่วประเทศ ถ้าหากนายกรัฐบาลไม่ยกเลิกมาตรการรัดเข็มขัดนี้ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มคนงานในประเทศ อนึ่งรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี Mario Monti ได้อนุมัติเดินหน้าแผนปฏิรูปแห่งชาติเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งของนโยบายดังกล่าวนั้นได้เพิ่มอำนาจการต่อรองให้กับนายจ้างให้สามารถไล่พนักงานออกได้อย่างยืดหยุ่นขึ้น ซึ่ง CGIL ได้ประกาศที่จะเคลื่อนไหวต่อต้านนโยบายนี้ในทันที ทั้งนี้อิตาลียังประสบกับปัญหาอัตราการว่างงานในระดับที่สูง โดยต้นปีนี้อิตาลีมีจำนวนคนว่างงานถึง 2.3 ล้านคนและส่วนใหญ่เป็นคนวัยหนุ่มสาว สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
คนงานพม่า รง.ถลุงแร่ ประท้วงขึ้นค่าแรง เจรจาไม่ลงเตรียมลาออกยกชุด Posted: 22 Apr 2012 12:11 AM PDT ตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย. 55 ที่ผ่านมามติชนออนไลน์รายงานว่าแรงงานต่างด้าวชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง และแรงงานต่างด้าวชาวพม่า ของ บริษัท จี เอส เอ็น เนอร์จี จํากัด ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดราชบุรี หมู่ที่ 4 ตําบลเจ็ดเสมียน อําเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี กว่า 300 คน ได้รวมตัวประท้วงบริเวณหน้าประตูภายในโรงงานถลุงแร่ควอช เพื่อใช้ทําผงเซลิก้า ประกอบเป็นชิ้นส่วนทําแผงโซลาร์เซล และทําสีนํ้าทุกชนิด ทั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ตํารวจ สภ. โพธาราม ประมาณ 30 นาย เข้ามาดูแลความสงบเรีบยร้อย ผู้ประท้วงได้เรียกร้องให้ทางบริษัทยึดถือตามกฏเรื่องค่าแรงงาน เนื่องจากปัจจุบันค่าแรงงานรายวันอยู่ที่ 190 บาท ซึ่งทางแรงงานขอเพิ่มเป็น 251 บาท ตามที่กฏหมายกําหนด อีกทั้งกลุ่มผู้ใช้แรงงานอ้างว่า เงินค่าแรงตํ่าแล้วยังลดรายเดือนจาก 1,500 บาท เหลือเพียง 1,400 บาท เงินค่าความร้อน 80 บาท ลดเหลือ 70 บาท และเงินเบื้ยขยันรายวันจากเคยได้วันละ 90 บาท เหลือเพียง 39 บาท ทั้งนี้กลุ่มผู้ใช้แรงงานจึงไม่พอใจที่โรงงานดังกล่าวปรับลดค่าแรงลง จึงได้มีการรวมตัวประท้วงกันเพื่อเรียกร้องให้ทั้งบริษัท เพิ่มเงินค่าแรงดังกล่าว หลังจากกลุ่มผู้ประท้วงได้ลุกฮือขึ้นมา นายมฑเทียร สุขอร่าม กํานันตําบลเจ็ดเสมียน ได้เข้าไปเจรจากับกลุ่มผู้ชุมชนในอยู่ในความสงบ พร้อมจัดตัวแทนเข้าเจรจากับผู้บริหารโรงงาน แต่ไม่ยอมให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปภายในโรงงาน ต่อมานายณรงค์ ครองชนม์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสวัสดิการสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าไปเจรจากับทางบริษัท ได้ข้อสรุปว่า ทางโรงงานยินดีรับข้อเสนอให้ค่าแรงงานตามข้อเรียกร้อง แต่ต้องรอมีการประชุมบอร์ดของโรงงานอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น (21 เม.ย.) ทําให้ผู้ใช้แรงงานพอใจจึงแยกย้ายกันกลับเข้าไปทํางานต่อ เจราจาไม่ลง เตรียมออกยกชุดหากนายจ้างไม่ทำตามข้อเรียกร้อง ในวันต่อมา (21 เม.ย.) เนชั่นทันข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 16.00 น. หลังจากที่แรงงานต่างด้าวเลิกงานต่างก็พากันมาปิดถนนทางเข้านิคมอุตสาหกรรมราชบุรี อีกครั้ง เนื่องจากข้อเสนอที่แรงงานต่างด้าวยื่นขอไปนั้นทางโรงงานไม่สามารถให้ได้ตามที่ขอได้ ทำให้ทางนายบุญช่วย ยงยุทธสุทธิการ ผู้ช่วยฝ่ายบริหารของบริษัทจี เอส เอนเนอร์จี้ จำกัด ก็ได้พยายามออกมาพุดคุยกับแรงงานต่างด้าวที่ออกมาประท้วงปิดถนนว่าไม่สามารถให้ได้ตามนั้น เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังทรงตัว และเงินทุนของบริษัทก็ไม่สามารถให้ได้ แต่ค่าแรงที่ทางโรงงานจ่ายนั้นก็มากกว่าโรงงานอื่นๆอยู่แล้ว ซึ่งการพูดคุยนั้นนานกว่า 2 ชั่วโมง แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงทำให้แรงงานต่างด้าวกว่า 300 คน ที่ออกมาประท้วงไม่พอใจเนื่องจากหลายคนอ้างว่างานที่ทำงานนั้นเสี่ยงกว่าโรงงานอื่นเพราะต้องอยู่กับความร้อนตลอดเวลาแต่ค่าตอบแทนที่ได้นั้นไม่ยุติธรรม และจะขอลาออกทั้งหมดในวันพรุ่งนี้ (22 เม.ย.) ก่อนจะสลายตัวกันไป สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
Posted: 21 Apr 2012 11:00 PM PDT สำหรับเพื่อไทยบทเรียนสำคัญคือ อย่าดูถูกประชาชน ส.ส.คนเดิมลาออกไปสมัครนายก อบจ.ทั้งๆ ที่เพิ่งได้รับเลือกมาได้แค่ 8 เดือน ทางพรรคนอกจากเปิดทางให้แล้วยังส่งผัว ส.ส.เขตข้างเคียงมาลงสมัครแทนอีกต่างหาก ทำเหมือนทั้งหมดนี้เป็นของเล่น และคะแนนเสียงเป็นของตาย กรณ์ จาติกวณิช แสดงความเห็นในเฟซบุคหลังประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขต 5 จ.ปทุมธานี |
"กรณ์ จาติกวณิช" ขอบคุณชาวปทุมฯ แนะบทเรียนเพื่อไทย "อย่าดูถูกประชาชน" Posted: 21 Apr 2012 10:47 PM PDT จวก "เพื่อไทย" ยอมให้ ส.ส. ที่เพิ่งเลือกมาได้ 8 เดือนลาออก ไปสมัครชิง นายกฯ อบจ. แล้วส่งผัว ส.ส. เขตข้างๆ มาลงสมัครทำแบบนี้เหมือนเป็นของเล่น-เห็นคะแนนเสียงเป็นของตาย แนะ ปชป. ต้องพร้อมเหนื่อยเหมือน "เกียรติศักดิ์" ต้องขยันกว่าเดิม ถ้าต้องการเห็นผลแบบนี้ในเขตอื่น ขณะที่เลือกตั้ง อบจ.ปทุมธานี หย่อนบัตรวันนี้ คาดรู้ผลภายใน 2 ทุ่ม เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. วันนี้ (22 เม.ย.) นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้เขียนบทความ "ขอบคุณชาวปทุมฯ ครับ" เผยแพร่ในเฟซบุค KornChatikavinijDP ภายหลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.ปทุมธานี เมื่อวานนี้ โดยมีรายละเอียดดังนี้ ขอบคุณชาวปทุมฯ ครับ การเลือกตั้งซ่อมไม่มีผลต่อคะแนนในสภาฯมากนักแต่ก็มีผลต่อการประเมินคะแนนนิยมของพรรคการเมืองได้อย่างน่าสนใจ และมีบทเรียนให้กับทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ สำหรับเพื่อไทยบทเรียนสำคัญคือ อย่าดูถูกประชาชน ส.ส.คนเดิมลาออกไปสมัครนายก อบจ.ทั้งๆ ที่เพิ่งได้รับเลือกมาได้แค่ 8 เดือน ทางพรรคนอกจากเปิดทางให้แล้วยังส่งผัว ส.ส.เขตข้างเคียงมาลงสมัครแทนอีกต่างหาก ทำเหมือนทั้งหมดนี้เป็นของเล่น และคะแนนเสียงเป็นของตาย นอกจากนั้นควรเป็นสัญญาณให้เพื่อไทยด้วยว่า อย่ามัวแต่หมกมุ่นแก้ปัญหาให้ทักษิณ ละเลยการดูแลประชาชนที่เดือดร้อน และมีคุณภาพชีวิตที่นับวันมีแต่จะแย่ลง ส่วนทาง ปชป. ชัยชนะของ ดร.เกียรติศักดิ์นั้นชี้ให้เห็นว่า แม้แต่ในเขตที่เราดูเหมือนเสียเปรียบ ถ้าเรามีผู้สมัครที่มุ่งมั่นและขยันช่วยชาวบ้าน เราก็จะมีโอกาสพลิกชนะได้ ผมเคยเขียนใน FB ว่า "ดร.เกียรติศักดิ์ขยันช่วยเหลือชาวบ้านในช่วงน้ำท่วมทั้งๆ ที่เพิ่งถูกปฎิเสธมาในการเลือกตั้งใหญ่" ดังนั้นถ้าเราคิดจะชนะในพื้นที่อื่นๆ ผู้สมัครเราต้องพร้อมเหนื่อยเหมือน ดร.เกียรติศักดิ์เพื่อที่จะทำให้ตนเป็นที่พึ่งของประชาชน ชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นการปักธงในพื้นที่ 'แดง' พื้นที่หนึ่ง แต่เราต้องยอมรับว่าสภาพแวดล้อมเป็นใจต่อเรามากกว่าปกติ คือเป็นจังหวะที่ประชาชนต้องการลงโทษทั้งพรรคเพื่อไทยและผู้สมัครของพรรค และพอดีอยู่ในเขตที่เรามีผู้สมัครที่ขยันและจริงใจต่อประชาชน สรุปคือ เพื่อไทยหน้าแตกแน่นอน แต่ประชาธิปัตย์กลับยิ่งต้องขยันกว่าเดิมถ้าเราต้องการเห็นผลอย่างนี้ในเขตอื่นๆในอนาคต อย่างไรก็แล้วแต่ ผมขอยกนิ้วให้การกำหนดยุทธศาสตร์ของรองหัวหน้าภาคกลาง คุณอลงกรณ์ พลบุตร และ เลขาฯ พรรค คุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่สำคัญที่สุด ขอขอบคุณชาวปทุมฯ ทุกๆ คนอีกครั้งครับ"
อนึ่ง สำหรับผลการเลือกตั้งซ่อมเขต 5 ที่ จ.ปทุมธานี เมื่อวานนี้ มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 140,351 คน เป็นการเลือกตั้ง ส.ส.แทนตำแหน่งว่างลง เนื่องจาก ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี อดีต ส.ส.เดิมจากพรรคเพื่อไทยได้ลาออกจาก ส.ส. ไปลงสมัครรับเลือกตั้ง นายก อบจ.ปทุมธานี ที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 22 เมษายน 55 ผลการเลือกตั้ง นายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง พรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนนรวม 27,981 คะแนน ตามมาด้วยนายสมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ จากพรรคเพื่อไทย ได้คะแนนรวม 24,119 คะแนน และนายณรงค์ชัย ปัญญานนทชัย พรรคไทยมหารัฐพัฒนา ได้คะแนนรวม 347 คะแนน ส่วนในวันนี้ (22 เม.ย.) มีการเลือกตั้งนายกฯ อบจ. จ.ปทุมธานี มีผู้สมัครประกอบด้วยนายชาญ พวงเพ็ชร์ นายกฯ อบจ. คนปัจจุบัน จากพรรคภูมิใจไทย กับว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเพิ่งลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.เขต 5 ปทุมธานีมาสมัคร โดย กกต. คาดว่าหลังปิดหีบเลือกตั้ง จะรู้ผลอย่างไม่เป็นทางการภายในเวลา 20.00 นี้วันนี้ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น