โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ปมที่ดินใต้ร้อน ชาวบ้านโร่ร้อง “กรรมการสิทธิฯ-สภาทนายความ” ถูกอุทยานฯ รุกไล่

Posted: 24 Apr 2012 12:33 PM PDT

เครือข่ายที่ดินใต้ร้องถูกอุทยานรุกฟันยาง-รื้อสะพาน-จับกุมในพื้นที่ทับซ้อนที่ทำกินและที่อยู่อาศัย บุกกรุงฯ ยื่นหนังสือกรรมการสิทธิฯ-สภาทนายความ หามาตรการช่วยเหลือ เผยเตรียมพบวุฒิสภา-ประธานรัฐสภา แกนนำจวกรัฐบาลเมินนโยบายโฉนดชุมชน

 
 
 
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 เม.ย.55 ที่สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ ชาวบ้านเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด จาก จ.ตรัง จ.พัทลุง และจ.ประจวบคีรีขันธ์ ราว 50 คน เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนเรื่องเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ละเมิดสิทธิชุมชนและหามาตรการคุ้มครองพื้นที่การดำเนินการโฉนดชุมชนต่อนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานอนุกรรมการสิทธิชุมชน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการ
 
หนังสือดังกล่าว ระบุว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด ได้ฟันทำลายต้นยางพาราและพืชผลเกษตรและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งพยายามจับกุมดำเนินคดีแก่สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัดในเขตพื้นที่ดำเนินการโฉนดชุมชน ดังนี้
 
1.วันที่ 25 มี.ค.55 หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัดได้จับกุมหมากแห้งของสมาชิกองค์กรชุมชนบ้านตระ ต.ปะเหลียน อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ส่งสถานีตำรวจภูธรหนองเอื้อง อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง แต่สถานีตำรวจภูธรหนองเอื้องพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นวิถีชีวิตปกติของชาวบ้านจึงดำเนินการเจรจากับทางเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัดขอให้ผ่อนผัน
 
2.วันที่ 30 มี.ค.55 นายสมชัย แสงแก้ว หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า และเจ้าหน้าที่อุทยานฯ 50 นาย บุกฟันทำลายต้นยางพาราและพืชผลเกษตรอื่นๆ ของสมาชิกองค์กรชุมชนบ้านทับเขือ-ปลักหมู จำนวน 2 แปลง 7 ไร่ เป็นสวนยางของนายณรงค์ รอดรักษ์ 3 ไร่ สวนยางของนายเรวัตร รักษ์ทองจันทร์ 4 ไร่
 
3.วันที่ 6 เม.ย.55 นายเกรียงศักดิ์ ดีกล่อม หัวหน้าหน่วยปากแจ่ม อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า พร้อมเจ้าหน้าที่อุทยานฯ และตำรวจตระเวณชายแดน รวมทั้งนายเจิม เส้งเอียด หรือ ไข่หมูก อดีตจอมโจรชื่อดังภาคใต้ ประมาณ 35 นาย พร้อมอาวุธปืนและเลื่อยยนต์ 2 เครื่อง เข้ารื้อถอนสะพานเข้าชุมชนบ้านหาดสูง รอยต่อระหว่าง ต.เขาปูน อ.ห้วยยอด กับ ต.น้ำผุด อ.เมือง จ.ตรัง จำนวน 2 สะพาน
 
4.วันที่ 16 เม.ย.55 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด ได้พยายามจับกุมชาวบ้านที่หาหน่อไม้ เห็ดแครง องค์กรชุมชนบ้านตระ ต.ปะเหลียน อ.ปะเหลียน จ.ตรัง
 
 
คลิปเหตุการณ์โดย bandita92000
 
 
หนังสือดังกล่าว ระบุด้วยว่า จากลำดับเหตุการณ์การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชได้ทำความเดือดร้อนกับประชาชนส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ในเขตที่มีพื้นที่ทับซ้อนระหว่างอุทยานฯ กับพี่น้องชาวบ้านทั้งๆ รัฐบาลกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยยึดหลักสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 66 และมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยโฉนดชุมชนเป็นแนวทางในการใช้สิทธิชุมชนในขณะนี้ เพื่อขจัดความขัดแย้งระหว่างภาครัฐกับประชาชน โดยให้เป็นไปตามวิถีชีวิตของชุมชน พร้อมกับการปฏิบัติตามกฎ กติกา และแผนการจัดการขององค์กรชุมชนนั้นด้วยดีตลอดมา แต่เหตุการณ์เหล่านี้ยังเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนซ้ำแล้วซ้ำอีก
 
“ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวทางเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย จึงใคร่ขอให้ดำเนินการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชน และหามาตรการคุ้มครองพื้นที่ที่ดำเนินการปฏิบัติการตามแนวทางโฉนดชุมชนภายใต้รัฐธรรมนูญ มาตรา 66 ว่าด้วยสิทธิชุมชนโดยเร่งด่วน” หนังสือดังกล่าว ระบุ
 
 
 
ขณะที่นางสาววัชรี ทองพิทักษ์ เลขานุการเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น จ.สุราษฎร์ธานี  ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเรื่องขอร้องเรียนให้แก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ซึ่งอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็นประกาศทับซ้อนที่ดินทำกินราษฎรต่อนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานอนุกรรมการด้านที่ดินและป่า กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการ
 
หนังสือดังกล่าวระบุว่า เนื่องจากการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็นเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.34 เป็นการประกาศเขตอุทยานฯ ทับซ้อนที่อาศัย ที่ทำกินของชาวบ้านซึ่งอยู่มาก่อนปี 2500 สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน อ.กาญจนดิฐ อ.นาสาร อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งราษฎรได้รวมตัวกันเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2546 ได้มีมติของคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติเห็นชอบให้เพิกถอนพื้นที่เพิ่มเติมจำนวน 28,770 ไร่ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินงานเพื่อเสนอร่างพระราชกฤษฎีกา แต่จนบัดนี้ไม่มีการดำเนินการใดๆ ซ้ำยังมีการจับกุมปรับราษฎรหลายรายในหลายพื้นที่ อันเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนทุกข์ยากให้แก่ราษฎรเป็นอย่างยิ่ง
 
“ขอให้อนุกรรมการด้านที่ดินและป่า ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและหารือกับจังหวัดสุราษฎร์ธานี อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น และผู้ที่ได้รับผลกระทบอันเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาว ขอให้อุทยานฯ ชะลอการดำเนินการใดๆ ต่อราษฎร ในพื้นที่อุทยานทับซ้อนที่ทำกินและที่อยู่อาศัย และขอให้เร่งรัดการเพิกถอนพื้นที่ประกาศทับซ้อน 28,770 ไร่ ให้แก่ราษฎรที่อาศัยและทำกินมาก่อนการประกาศของอุทยานฯ” หนังสือดังกล่าวระบุ
 
 
ต่อมาเวลา 14.00 น. วันเดียวกัน ที่ห้องชั้น 4 สำนักงานสภาทนายความ ถนนราชดำเนินกลาง ชาวบ้านเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ร่วมกับเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น จ.สุราษฎร์ธานี และชาวบ้านผู้ประสบปัญหาเรื่องที่ดินจาก จ.ราชบุรี ประมาณ 60 คน ได้เดินทางไปพบนายวสันต์ พานิช ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ
 
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัดได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเรื่องเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ละเมิดสิทธิชุมชนและหามาตรการคุ้มครองพื้นที่การดำเนินการโฉนดชุมชนต่อนายวสันต์ พานิช ขณะที่เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น จ.สุราษฎร์ธานีได้ยื่นร้องเรียนเรื่องขอร้องเรียนให้แก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ซึ่งอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็นประกาศทับซ้อนที่ดินทำกินราษฎรต่อนายวสันต์ พานิช โดยหนังสือร้องเรียนมีเนื้อหาเดียวกันกับที่ยื่นต่อนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ
 
 
นายบุญ แซ่จุ่ง ผู้ประสานงานเครือข่ายปฏิรูปเทือกเขาบรรทัด เปิดเผยว่า ในเวลาประมาณ 10.00 น. ของวันที่ 25 เม.ย.55 ชาวบ้านเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น จ.สุราษฎร์ธานี และชาวบ้านผู้ประสบปัญหาเรื่องที่ดินจาก จ.ราชบุรี จะเดินทางไปที่รัฐสภาเพื่อเข้าพบและยื่นหนังสือร้องเรียนกับนายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ตรวจสอบถึงกรณีที่เกิดขึ้น
 
“กรณีที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกหนังสือเลขที่ นร 0118/1699 ลงวันที่ 12 มี.ค.55 เรื่องขอให้ชะลอการทำลายหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งอื่นใดที่ไม่ผิดไปจากสภาพเดิมในเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า ลงลายมือชื่อโดยนายจำรัส ศักดิ์จิรพาพงษ์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น ถือว่าอยู่ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ทำไมถึงไม่สามารถใช้กับกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชได้ ทำเป็นไม่ใส่ใจหรือไม่มีอำนาจสั่งการ ทั้งที่เคยประกาศนโยบายโฉนดชุมชนเอาไว้ด้วย” นายบุญ กล่าว
 
สำหรับหนังสือสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เลขที่ นร 0118/1699 ลงวันที่ 12 มี.ค.55 เรื่องขอให้ชะลอการทำลายหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งอื่นใดที่ผิดไปจากสภาพเดิมในเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ส่งถึงนายวิลาส สังข์ช่วย ประธานกรรมการชุมชนบ้านหาดสูง ลงลายมือชื่อโดยนายจำรัส ศักดิ์จิรพาพงษ์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุถึงกรณีที่ชุมชนบ้านหาดสูง ได้ยื่นคำขอดำเนินงานโฉนดชุมชนและขอให้ชะลอการทำลายหรือรื้อถอนสะพานข้ามคลองและพืชผลอาสินในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า ลงวันที่ 19 ม.ค.55
 
หนังสือดังกล่าว ระบุว่า สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักงานโฉนดชุมชน ได้ตรวจสอบคำขอและเอกสารหลักฐานประกอบคำขอในเบื้องต้นแล้ว เห็นสมควรขอเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมตามประกาศคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการดำเนินงานโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ 1.เอกสารหลักฐานการเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินไม่น้อยกว่า 3 ปีก่อนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 ใช้บังคับ 2.เอกสารแผนที่ที่มีขอบเขตชัดเจน โดยแสดงค่าพิกัดระวางแผนที่ด้วย 3.แนวทางการร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4.เอกสารรับรองคุณสมบัติของคณะกรรมการชุมชน พร้อมให้ดำเนินการจัดส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมดังกล่าวให้กับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ภายในวันที่ 10 เม.ย.55
 
ส่วนกรณีขอให้ชะลอการทำลายหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งอื่นใดที่ผิดไปจากสภาพเดิมในเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า อ.ห้วยยอด จ.ตรัง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามอำนาจหน้าที่และตามนัยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 ต่อไปแล้ว
 
อย่างไรก็ตาม ต่อมาได้มีบันทึกข้อความของสำนักอุทยาน กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เลขที่ ทส 0910503/5211 ลงวันที่ 26 มี.ค.55 ลงนามโดยนายเริงชัย ประยูรเวช รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้เจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ออกไปดำเนินการติดตามและเร่งรัดการสำรวจ จัดตั้ง ขยายเขต หรือเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติ การบังคับใช้กฏหมายในอุทยานแห่งชาติ ตรวจสอบการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการอนุญาตการใช้ประโยชน์ในอุทยานแห่งชาติ และติดตามโครงการหรือแผนงานเพื่อพัฒนาการจัดการอุทยานแห่งชาติอย่างมีส่วนร่วม
 
บันทึกข้อความดังกล่าว ส่งถึงรองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชทุกท่านผู้ตรวจราชการกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชผู้อำนวยการสำนักทุกสำนัก ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1-16 ผู้อำนวยการกองทุกกอง ผู้อำนวยการสำนักงานผู้ตรวจราชการกรม หัวหน้ากลุ่มตรวจสอบภายใน หัวหน้ากลุ่มพัฒนาระบบบริหาร
 
“กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ขอส่งสำเนาคำสั่งกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ที่ 562/2555 ลงวันที่ 26 มี.ค.55 เรื่องให้เจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ออกไปดำเนินการติดตามและเร่งรัดการสำรวจ จัดตั้ง ขยายเขต หรือเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติ การบังคับใช้กฏหมายในอุทยานแห่งชาติ ตรวจสอบการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการอนุญาตการใช้ประโยชน์ในอุทยานแห่งชาติ และติดตามโครงการหรือแผนงานเพื่อพัฒนาการจัดการอุทยานแห่งชาติอย่างมีส่วนร่วม มาเพื่อทราบ และให้สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1-16 แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบและให้ความร่วมมือตามสมควร สำหรับสำนักอุทยานแห่งชาติให้แจ้งผู้มีรายชื่อในคำสั่งทราบและปฏิบัติต่อไป” บันทึกข้อความดังกล่าว ระบุ
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คนงานโฮยาร้องสภาหอการค้าอเมริกัน จี้สมาชิกให้โฮยารับคนงานถูกเลิกจ้าง

Posted: 24 Apr 2012 09:55 AM PDT

24 เม.ย. 55 - วันนี้ที่สภาหอการค้าไทยอเมริกัน เครือข่ายกู้ดอิเล็กทรอนิกส์ประเทศไทยและคนงานที่ถูกเลิกจ้างจากบริษัทโฮยา จ.ลำพูน ได้ยื่นจดหมายให้สภาหอการค้าฯ เพือให้สภาหอการค้าฯ กดดันสมาชิกที่เป็นลูกค้าของโฮยา คือ seagate และ WD ให้เรียกร้องให้โฮยาปฏิบัติต่อคนงานอย่างเป็นธรรมด้วยการรับคนงานที่ถูกเลิกจ้างกลับเข้าทำงาน โดยมีตัวแทนสภาหอการค้าฯ มารับจดหมาย

ทั้งนี้หลังจากการเจรจาที่กรรมาธิการแรงงานรัฐสภาให้มีการเจราจาเพื่อรับคนงานเข้ากลับทำงานเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 55 นั้นปรากฎว่าไม่มีความคืบหน้า และสถานการณืยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีกเพราะหลังจากนั้นทางบริษัทได้มีการเลิกจ้างประธานสหภาพแรงงาน

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รายงาน: เริ่มก้าวแรกผลิตนักข่าว 4 ภาษา ค่ายอบรมเด็กปอเนาะชายแดนใต้

Posted: 24 Apr 2012 09:42 AM PDT

 

เปิดค่ายอบรมนักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในชายแดนใต้ เริ่มก้าวแรกผลิตนักข่าว 4 ภาษา สร้างนักสื่อสารจากคนพื้นที่ ผลิตสื่อไทย-มลายู

 

อบรมเข้ม – นักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กำลังฝึกการเขียนข่าว ในค่ายฝึกอบรมข่าว ระหว่างวันที่ 1- 10 เมษายน 2555 ณ บ้านพักตากอากาศ อามาน่าแปซิฟิก ตำบลสะกอม อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา

 

 

ปฏิบัติจริง - นางสาวรุสมี โตะอุง จากโรงเรียนมะอาหัดอิสลามียะห์ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ผู้เข้าอบรมโครงการค่ายอบรมข่าวนักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กำลังสัมภาษณ์นายอัดฮา โล๊ะมะ ครูตาดีกาบ้านปูโปร์ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกทำข่าว

 

ในห้วงของความโกลาหลหลังจากเหตุคาร์บอมบ์ที่โรงแรมลีการ์เดนส์ พลาซ่า กลางเมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และยะลา เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 นักข่าวหลายสำนักมุ่งนำเสนอความเสียหายอย่างเจาะลึก พอๆ กับการมุ่งไล่ล่าคนร้ายของเจ้าหน้าที่

ในห้วงนั้น นักข่าวทางเลือกกลุ่มหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการจัดค่ายฝึกอบรมการทำข่าวให้กับนักเรียนจากโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยหวังไกลถึงการผลิตนักข่าว 4 ภาษา และปูทางสู่การก่อตั้งสำนักข่าว 4 ภาษา ที่จะเริ่มต้นด้วยภาษามลายูอักษรยาวีควบคู่กับภาษาไทย

ด้วยพื้นฐานสำคัญที่เป็นข้อได้เปรียบทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามหรือ เรียกในชื่อเล่นว่า โรงเรียนปอเนาะ ในพื้นที่ คือมีการสอนทั้ง 4 ภาษา เป็นวิชาพื้นฐาน

ทั้ง 4 ภาษา ได้แก่ ภาษามลายู อันเป็นภาษาหลักของพื้นที่ ที่มีทั้งตัวเขียนที่ใช้อักษรโรมันและอักษรยาวี ภาษาไทย คือภาษาราชการของไทยที่ใช้ในการเรียนการสอนในหลักสูตรสามัญทั่วไป ส่วนภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันทั่วโลก และภาษาอาหรับ เป็นภาษาพื้นฐานสำคัญของอิสลามศึกษา

ค่ายฝึกอบรมข่าวนักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเตรียมคนให้พร้อมก่อนก่อตั้งสำนักข่าว เสมือนหนึ่งการเฟ้นหาเด็กที่สนใจในการฝึกทักษะและเห็นความสำคัญของการสื่อสารในรูปของการนำเสนอข่าว ก่อนนำไปฝึกทักษะอย่างจริงจังต่อไปในอนาคต

เป็นค่ายอบรมที่ดำเนินการโดยโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ ซึ่งอยู่ภายใต้ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งและการมีส่วนร่วมในภาคใต้ของประเทศไทย (STEP Project) โดยมีนายมูฮำหมัด ดือราแม ผู้สื่อข่าวประชาไท และผู้ช่วยบรรณาธิการโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ เป็นหัวหน้าโครงการ

ค่ายอบรมซึ่งจัดขึ้นที่บ้านพักตากอากาศ อามาน่าแปซิฟิก 302 หมู่ที่ 1 ตำบลสะกอม อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา มีทีมงานหลักๆ มาจากกลุ่มบูหงารายา กลุ่มซีเระปีแน และวิทยาลัยประชาชน ซึ่งเป็นกลุ่มภาคประชาสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น นายลุกมาน มะ นายแซมซู แยะแยง

มุ่งสู่รากหญ้าพัฒนาคนพื้นที่
ค่ายฝึกอบรมข่าวนักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดขึ้นภายใต้กรอบแนวคิดและยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ในกรอบการทำงานกับระดับรากหญ้า (Track 3)

ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แบ่งกรอบการทำงานตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว ออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับบน (Track 1) คือ การทำงานกับรัฐ ขบวนการ คู่ขัดแย้ง ระดับกลาง (Track 2) คือ องค์กรภาคประชาสังคม และ (Track 3) คือ ระดับรากหญ้า หรือระดับท้องถิ่น ซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

แนวคิดหลักๆ ของค่ายฝึกอบรมข่าว คือ มุ่งพัฒนาศักยภาพการสื่อสารให้คนชายแดนภาคใต้ ผ่านการฝึกทำข่าวทั้งภาษาไทยและภาษามลายูอักษรยาวี โดยมีช่องทางการเผยแพร่ 2 ทาง ทางแรกสำหรับข่าวภาษาไทย คือ ผ่านเว็บไซด์ต่างๆ ส่วนข่าวภาษามลายูอักษรยาวี คือนำไปผลิตจดหมายข่าวแจกจ่ายไปตามที่ต่างๆ ในพื้นที่

แน่นอนว่า เป้าหมายของผู้เข้าค่ายอบรมในโครงการนี้ จึงต้องเป็นนักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในฐานะที่เป็นทั้งผู้เรียน ผู้ใช้ ผู้เขียน และผู้อ่านทั้งภาษาไทย และภาษามลายู รวมถึงภาษาอังกฤษและภาษาอาหรับ อันเป็นเป้าหมายต่อไปในการพัฒนาทักษะการเขียนข่าวตามลำดับ

ในการคัดเลือกโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ให้ส่งนักเรียนเข้าร่วมนั้น เกิดจากแนวคิดในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้โรงเรียนเป็นผู้คัดเลือกนักเรียนเอง โดยกำหนดคุณสมบัติคร่าวๆ ของนักเรียน คือความสนใจในการพัฒนาทักษะการสื่อสาร และมีความสามารถด้านภาษามลายูอักษรยาวี

โดยกำหนดจำนวนผู้เข้าอบรมรวม 20 คน ระยะเวลาอบรม 10 วัน แบ่งเป็น 2 รุ่น รุ่นละ 10 คน และกำหนดโรงเรียนเป้าหมาย 10 โรงเรียน โรงเรียนละ 2 คน

ทีมงานได้กำหนดโรงเรียนเป้าหมาย ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่งในพื้นที่ และโรงเรียนที่มีอุสตาซ หรือครูสอนศาสนาที่เคยเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ภาษามลายู ชื่อ FAJAR เพื่อให้ง่ายต่อการอธิบายโครงการแก่ผู้บริหารโรงเรียน เนื่องจากมีความเข้าใจในการทำข่าวเป็นอย่างดี

เปิดชื่อโรงเรียนเป้าหมาย
เดิมทีมงานได้กำหนดโรงเรียนเป้าหมาย 10 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนดำรงวิทยา (ปอเนาะบันนังสตา) โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ (ปอเนาะฮายีฮารูน) โรงเรียนมะฮัดอัลอิสลามียะห์ (ปอเนาะบาลอ) วิทยาลัยอิสลามเซคดาวุด (JISDA) จังหวัดยะลา

โรงเรียนนะห์ฏอตุลสูบาน (ปอเนาะปือดอ) โรงเรียนสัมพันธ์วิทยา (ปอเนาะเจาะไอร้อง) จังหวัดนราธิวาส โรงเรียนดารุลมะอาเรฟ (มัจลิสปัตตานี) โรงเรียนดรุนศาสน์(ปอเนาะชอแม) โรงเรียนมูฮำมาดียะห์ จังหวัดปัตตานี และศูนย์ประสานงานโรงเรียนตาดีกาจังหวัดชายแดนภาคใต้

ทว่า ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนเป้าหมายบางส่วน เนื่องจากความไม่สะดวกของอุสตาซ รวมทั้งตัวนักเรียนที่จะเข้าอบรม

สำหรับค่ายอบรมข่าวรุ่นที่ 1 ผ่านไปแล้ว ระหว่างวันที่ 1 – 10 เมษายน 2555 โดยมีนักเรียนจากโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าร่วม 9 คน จากโรงเรียนเจริญวิทยานุสรณ์ (ปอเนาะลูโบะสาวอ) อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส โรงเรียนนะห์ฏอตุลสูบาน (ปอเนาะปือดอ) อำเภอรือเสาะ จังหวดนราธิวาส โรงเรียนประทีปวิทยา (ปอเนาะชายา) อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส โรงเรียนสุทธิศาสน์วิทยา (ปอเนาะบ้านแหร) อำเภอธารโต จังหวัดยะลา โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ (ปอเนาะฮายีฮารูน) อำเภอเมือง จังหวัดยะลา และโรงเรียนมะฮัดอัลอิสลามียะห์ (ปอเนาะบาลอ) อำเภอรามัน จังหวัดยะลา

ผลงานข่าวของนักเรียนรุ่นนี้ ได้ถูกนำไปเผยแพร่แล้วตามเว็บไซด์ข่าวต่างๆ แล้ว

ส่วนรุ่นที่ 2 ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ระหว่างวันที่ 21 – 30 เมษายน 2555 มีนักเรียนจาก 4 โรงเรียน และ 2 สถาบัน ที่เข้าร่วม ได้แก่ โรงเรียนวัฒนธรรมอิสลาม (ปอเนาะพ่อมิ่ง) อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี โรงเรียนบากงพิทยา (ปอเนาะตาฆู) อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี โรงเรียนอัครศาสน์ อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส โรงเรียนประทีปวิทยา (ปอเนาะชายา) อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส วิทยาลัยอิสลามเซคดาวุด และศูนย์ประสานงานตาดีกาจังหวัดนราธิวาส (pusaka)

นักเรียนที่ที่เข้าร่วมส่วนใหญ่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้ว แต่กำลังศึกษาในสายศาสนาอย่างเดียวเพื่อให้เรียนจบชั้น 10 ก่อนจะไปศึกษาต่อในระดับสูงต่อไป บางคนกำลังศึกษาชั้นมัธยมปลายควบคู่กับการเรียนในสายศาสนา

เนื้อหาเข้มฝึกปฏิบัติจริง
ตลอดระยะเวลา 10 วันของการอบรม เนื้อหาแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ภาคทฤษฎี เป็นการให้ข้อมูลหรือทำความเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐานของข่าว คือ 5W1H หรือ ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหน อย่างไร และทำไม โดยมีวิทยากรหลัก คือ นายสุพจ จริงจิตร บรรณาธิการโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้

ส่วนที่ 2 คือการบรรยายเกี่ยวกับความสำคัญของภาษามลายูอักษรยาวี รวมทั้งประสบการณ์ในการผลิตสื่อภาษามลายูอักษรยาวี โดยวิทยากรซึ่งเป็นอดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาษามลายูอักษรยาวี ได้แก่ นายอับดุลรอมาน หะยีหะสา และนายอุสมาน โตะตาหยง

พร้อมกันนั้น วิทยากรทั้ง 2 คน ได้จัดทำแบบทดสอบความสามารถด้านภาษามลายูของผู้เข้าอบรมแบบง่ายๆ ซึ่งสำหรับรุ่นที่ 1 แล้ว นายอับดุรอมาน ยืนยันว่า ทุกคนสามารถเขียนข่าวภาษามลายูได้

นอกจากนี้ ยังมีวิทยากรคนอื่นๆ ที่มาร่วมให้ความรู้ด้วย เริ่มจากนายมูฮำมัดอายุบ ปาทาน บรรณาธิการอาวุโส ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ บรรยายหัวข้อ “ข่าวอะไรคนชายแดนใต้สนใจ”โดยมีการสอดแทรกเรื่องความจำเป็นที่ต้องมีนักข่าวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ส่วนการบรรยายของนายสมัชชา นิลปัทม์ อาจารย์คณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตปัตตานี เป็นเรื่องของ “ช่องทางการสื่อสาร” เพื่อให้ผู้เข้าอบรมทราบว่า มีช่องทางใดบ้างที่สามารถนำเสนอข่าว รวมทั้งยังแนะนำสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่เปิดสอนเกี่ยวกับสื่อมวลชน

การฝึกอบรมส่วนที่ 3 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการฝึกอบรม ซึ่งเป็นหัวใจของการทำข่าว คือ การประชุมข่าว โดยให้ผู้เข้าอบรมนำเสนอประเด็นที่ตัวเองจะทำข่าว ซึ่งเป็นข่าวที่เกิดขึ้นในชุมชนหมู่บ้านของตัวเอง ในประเด็นง่าย ไม่ซับซ้อนมากนัก

จากนั้นได้ส่งนักเรียนลงพื้นที่ทำข่าวจริงๆ โดยการติดตามของพี่เลี้ยง เป็นเวลา 2 วัน ในช่วงวันที่ 6 – 7 ของการอบรม โดยผู้เข้าอบรมต้องไปหาข้อมูลและสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องตามที่กำหนดไว้ในช่วงการประชุมข่าว จากนั้นพี่เลี้ยงจะเดินทางไปรับนักเรียนถึงบ้าน

กระบวนการหลังจากนั้นคือการตรวจการบ้าน เริ่มจากตรวจดูว่าข่าวที่ได้ ครบองค์ประกอบพื้นฐานของข่าวหรือไม่ คือ 5W1H หากยังไม่ครบผู้เข้าอบรมต้องโทรศัพท์สัมภาษณ์เพิ่มเติม จนได้ข้อมูลครบ จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการตรวจวิธีการเขียน หรือการรีไรต์ จนกระทั่งได้ข่าวของแต่ละคน

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเพิ่มเติม คือการฝึกถ่ายภาพ โดยให้ผู้เข้าอบรมลงพื้นที่ถ่ายภาพในพื้นที่ชุมชนใกล้ๆ กับสถานที่อบรม จากนั้นให้แต่ละคนเลือกมา 1 รูปเพื่อให้วิทยากรซึ่งเป็นช่างภาพมืออาชีพ คือ นายอิบรอเฮม มาโซะ จากเครือข่ายช่างภาพชายแดนใต้ และกลุ่มบินตัง โฟโต้ วิจารณ์ เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถแยกแยะได้ว่า ภาพประเภทใดเป็นภาพข่าว เป็นต้น

ก้าวต่อไปผลิตสื่อ 2 ภาษา
สำหรับก้าวต่อไป หลังการอบรมครั้งนี้ คือ การมอบการบ้านให้ผู้เข้าอบรม แปลข่าวของตัวเองเป็นภาษามลายูอักษรยาวี เพื่อนำมาตีพิมพ์เป็นจดหมายข่าว 2 ภาษา คือ ภาษามลายูอักษรยาวี และภาษาไทย สำหรับแจกจ่ายไปยังสถานที่ต่างๆ โดยจะทยอยตีพิมพ์จดหมายข่าวดังกล่าว เดือนละ 1 ฉบับ เป็นเวลา 1 ปี

นอกจากนั้น ยังกำหนดให้แผนที่จะให้ผู้เข้าอบรมได้นัดหมายพบปะเพื่อประชุมข่าวเดือนละ 1 ครั้ง ในรูปของการประชุมข่าวสัญจรไปตามโรงเรียนหรือชุมชนต่างๆ ของผู้เข้าอบรม เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้นำเสนอประเด็นข่าวที่จะทำต่อไป เพื่อเป็นการต่อยอดหลักการเข้าค่ายฝึกอบรมข่าว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทักษะการทำข่าวเป็นเวลา 1 ปี ตามแผนที่กำหนดไว้

ส่วนภารกิจต่อไป คือ เส้นทางสู่เป้าหมายในการผลิตนักข่าว 4 ภาษา ซึ่งยังเป็นโจทย์ที่ต้องคบคิดต่อไป สำหรับการพัฒนาศักยภาพบุคคลต้นทุนกลุ่มนี้ รวมทั้งกลุ่มใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในอนาคต

วันนี้ แม้ความไม่สงบที่ยังไม่มีทีท่าจะยุติลง ภารกิจของนักข่าวก็ต้องมีต่อไป เช่นเดียวกับการสร้างนักข่าวรุ่นใหม่ในชายแดนใต้ ยิ่งพื้นที่ที่แตกต่างจากสังคมใหญ่ของประเทศ ก็ยิ่งต้องสร้างนักสื่อสารที่มีคุณภาพจากคนในพื้นที่ ซึ่งก้าวแรกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

 

 

อ่านข่าวผู้เข้าอบรมรุ่นที่ 1
http://www.deepsouthwatch.org/dsj/3113#en

http://www.deepsouthwatch.org/dsj/3114#en

http://www.deepsouthwatch.org/dsj/3118#en

http://www.deepsouthwatch.org/dsj/3133#en

http://www.deepsouthwatch.org/dsj/3121#en

http://www.deepsouthwatch.org/dsj/3122#en

http://www.deepsouthwatch.org/dsj/3125#en

http://www.deepsouthwatch.org/dsj/3135#en

http://www.deepsouthwatch.org/dsj/3141#en

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

'ผสานวัฒนธรรม' แจง กมธ.ทบทวนกฎหมายและสร้างมาตรการป้องเด็กเหยื่อไฟใต้

Posted: 24 Apr 2012 09:23 AM PDT

ผู้แทนมูลนิธิผสานวัฒนธรรม นำเสนอข้อมูลสถานการณ์สิทธิมนุษยชนต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ  ขอให้สภาผู้แทนฯ ทบทวนการบังคับใช้กฎหมายพิเศษและสร้างมาตรการคุ้มครองเด็กในกระบวนการยุติธรรมในจังหวัดชายแดนใต้

24 เมษายน 2555 ผู้แทนมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และนางสาวอัญชนา หีมมิหน๊ะ กลุ่มด้วยใจ ได้เข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการชุดที่ 2 ของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร นำโดยประธานอนุกรรมการฯ นายอภิชาต ศักดิ์เศรษฐ์   โดยผู้แทนฯ ได้นำเสนอสถานการณ์สิทธิมนุษยชน ผลกระทบจากความรุนแรงจากการก่อความไม่สงบฯ นโยบายด้านการใช้กำลังทหารและฝ่ายความมั่นคงจำนวนมาก  นโยบายด้านการเยียวยาและการสร้างกระบวนการเจรจาเพื่อสันติภาพ โดยทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและกลุ่มด้วยใจมีความห่วงใยอย่างยิ่งเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายพิเศษที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนในพื้นที่  พร้อมนำเสนอความเป็นมาและสภาพปัญหาของการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ อันได้แก่ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 (กฎอัยการศึก) และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พรก.ฉุกเฉินฯ) มีผลทำให้บุคคลที่เป็นผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับความไม่สงบได้รวมไปถึงผู้ต้องสงสัยที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ถูกจับและควบคุมตัวภายใต้กฎหมายพิเศษก่อนเข้าสู่มาตรการขั้นตอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาปกติ

จากการรวบรวมการข้อเท็จจริงในพื้นที่พบว่า ตั้งแต่ 2550-ต้นปี 2555 มีอย่างน้อย 30 กรณีที่เด็กถูกบังคับใช้กฎหมายพิเศษ ในจับและควบคุมตัวนั้นมีสภาพการดำเนินการที่ไม่เหมาะสมกับเด็กและไม่สอดคล้องกับวิธีการสำหรับเด็กที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553  เช่น การจับและควบคุมตัวโดยมิได้แสดงหมายและเหตุแห่งการจับกุม มีการควบคุมตัวเด็กรวมกับผู้ใหญ่ แม้หลังจากที่มีการร้องเรียน การควบคุมตัวเด็กตาม พรก.ฉุกเฉินฯจะได้มีการปรับปรุงระเบียบในการแยกสถานที่ควบคุมตัวเด็กออกจากผู้ใหญ่ แต่การควบคุมตัวภายใต้การบังคับใช้กฎอัยการศึก ยังไม่มีระเบียบในการกำหนดการแยกสถานที่ควบคุมตัวของเด็ก ในการซักถามเด็กก็ไม่ปรากฎว่ามีบุคคลที่เด็กไว้วางใจและมีเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพร่วมด้วย ทำให้บางกรณีพบว่าเด็กถูกข่มขู่หรือถูกทำร้ายร่างกายเพื่อให้รับสารภาพ ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่ามีกรณีที่เด็กถูกวิสามัญฆาตกรรมระหว่างการปิดล้อม ตรวจค้น หรือในบางกรณีเจ้าหน้าที่ให้เด็กเข้าร่วมชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านแบบไม่เป็นทางการซึ่งถือว่าเป็นการให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรมของความขัดแย้งด้วยอาวุธด้วย เป็นต้น

ทางมูลนิธิฯและองค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เห็นว่าสถานการณ์สิทธิมนุษยชนและภาพสะท้อนจากการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและการบังคับใช้กฎหมายพิเศษในการป้องกันการก่อเหตุและการปราบปรามการก่อความใม่สงบส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของมนุษย์และสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างมาก จึงได้ขอเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการฯ พิจารณาแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และเพิ่มระบบการติดตามตรวจสอบข้อเท็จจริงจากพื้นที่ด้วยการรับฟังความเห็นจากภาคประชาชนและภาคประชาสังคม  ทั้งนี้เพื่อการพิจารณาการบังคับใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ และการประกาศต่ออายุการใช้พรก.ฉุกเฉิน จากข้อเท็จจริงรอบด้าน  รวมทั้งเรียกร้องขอให้ตัวแทนคณะกรรมการธิการได้ใช้อำนาจทางนิติบัญญัติดำเนิการให้รัฐบาลทบทวนการประกาศใช้กฎหมายพิเศษในจังหวัดชายแดนใต้ทั้งระบบ โดยการประกาศใช้หรือขยายระยะเวลาในการประกาศใช้กฎหมายพิเศษ ควรให้มีการอภิปรายอย่างเปิดเผยในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรด้วย มิใช่เป็นการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรีเหมือนที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 8 ปีเท่านั้น

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘ธงทอง’ เบิกความคดี ‘สมยศ’ ชี้ไม่ได้ บทความหมิ่นใคร ย้ำม.112 โทษหนักเกิน

Posted: 24 Apr 2012 09:21 AM PDT

24 เม.ย. 55 เวลาประมาณ  9.30 น. การสืบพยานฝ่ายโจทย์ในคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ยังคงดำเนินต่อไป โดยช่วงเช้าวันนี้ก่อนเริ่มต้นการสืบพยาน ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อให้ส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ2550 ใน มาตรา 3 วรรคสอง และมาตรา29 หรือไม่

นายสุวิทย์ ทองนวล ทนายจำเลยและผู้ยื่นคำร้องกล่าวว่า การยื่นคำร้องนี้ไม่ได้ทำให้ศาลอาญายุติการสืบพยาน แต่ศาลอาญาไม่มีอำนาจตีความเองว่ามาตรา 112 ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ต้องส่งไปให้รัฐธรรมนูญเป็นผู้ตีความ และแม้ว่าจะสืบพยานเสร็จสิ้นแล้วก็ตามศาลอาญาก็ยังไม่อาจอ่านคำพิพากษาได้ เพราะต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน ส่วนศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไรก็เป็นหน้าที่ที่จะต้องชี้แจงเหตุผล การยื่นคำร้องเช่นนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะจำเลยซึ่งไม่ว่าจะกระทำผิดจริงหรือไม่ก็มักยอมรับผิดแล้วขอพระราชทานอภัยโทษเพื่อให้ไม่ต้องติดคุกนานเกินไป ดังนั้นการยื่นคำร้องในครั้งนี้ต้องศึกษากฎหมายอย่างรอบคอบ และที่สำคัญไม่ใช่เป็นการทำเพื่อตัวจำเลยเพียงคนเดียว เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มาตรา112 ขัดต่อรัฐธรรมนูญก็จะเป็นผลดีกับจำเลยคนอื่นๆ ในคดีลักษณะเดียวกันด้วย

ส่วนการสืบพยานในวันนี้ ประกอบด้วยพยานทั้งหมด 4 ปาก โดยหนึ่งในนั้นคือศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พยานปากสำคัญได้เบิกความถึงบทความที่ถูกฟ้องในนิตยสาร Voice of Taksin ว่า มี 2 บทความจาก 2 เล่มที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทตามมาตรา112  พยานเห็นว่าฉบับหนึ่งผู้เขียนตั้งใจเท้าความไปถึงประวัติศาสตร์ช่วงรอยต่อระหว่างธนบุรีและรัตนโกสินทร์ โดยพยานทราบว่าเป็นการหมิ่นประมาทเพราะอาศัยการเทียบเคียงกับความรู้ด้านประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ และเทียบเคียงกับพงศาวดารกรุงธนบุรี ของหมอ บลัดเลย์

เมื่อทนายจำเลยถามถึงการบันทึกประวัติศาสตร์แบบอื่นในเรื่องเดียวกัน เช่น ฉบับของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ธงทองตอบว่า ยอมรับว่าประวัติศาสตร์มีหลายฉบับ แต่ประวัติศาสตร์แบบอื่นๆ นั้นไม่ได้ให้น้ำหนัก เพราะถือว่าเป็นการบันทึกแนวหนึ่งที่มีคนส่วนน้อยถกเถียงกันอยู่ ส่วนบทความอีกฉบับหนึ่งที่กล่าวถึง “หลวงนฤบาล” ธงทองระบุว่าไม่สามารถให้ความเห็นได้แน่ชัดว่าผู้เขียนต้องการหมิ่นประมาทหรือกล่าวถึงใคร  

ทนายความถามว่า ในระบอบการปกครองของไทยปัจจุบันพระมหากษัตริย์กับอำนาจรัฐเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่ พยานกล่าวว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ก็อยู่ใต้กฎหมายแต่ยังเกี่ยวข้องกับความมั่นคง พยานจึงไม่สรุปว่าพระมหากษัตริย์แยกออกจากอำนาจรัฐหรือไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะยังมีคำว่า “รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ส่วนมาตรา112 นั้น ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน มีการระวางเพิ่มโทษสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าประเทศไทยจะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่ในปัจจุบันมาตรานี้กลับมีโทษสูงกว่าในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์เสียอีก พยานเห็นว่าโทษ 3-15 ปีรุนแรงเกินไปและไม่ได้สัดส่วนกับสาระของการกระทำความผิด คำว่า “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น” ในมาตรา112 ควรจะมีความหมายเช่นเดียวการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นบุคคลธรรมดาในมาตรา 326  ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้วถือว่าโทษหนักเบาแตกต่างกันมาก นอกจากนี้ยังไม่ให้จำเลยพิสูจน์เหตุยกเว้นโทษหรือยกเว้นความผิดได้ตามมาตรา 329 แต่พยานก็เห็นว่า โดยภาพรวมกฎหมายอาญาจะจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอยู่แล้ว พยานเห็นว่าการที่รัฐธรรมนูญมาตรา 8 บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ทางใดๆ มิได้ หมายความว่าประชาชนไม่สามรถฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ได้ ไม่ว่าจะโดยทางแพ่งหรือทางอาญา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะวิจารณ์พระมหากษัตริย์ไม่ได้ และพยานก็ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสไว้เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.48 ว่าการวิจารณ์พระองค์นั้นทำได้ แต่พยานก็เห็นว่าการกระทำผิดตามมาตรา 112 นั้น กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ แต่ไม่ถึงกับจะทำให้รัฐไม่ดำรงอยู่เสียทีเดียว

ทนายจำเลยสืบความถึงโทษจำคุกในคดีอาญาอื่นๆ พยานก็เห็นว่าในคดีซึ่งมีการกระทำผิดที่ร้ายแรงกว่านี้กลับมีโทษจำคุกน้อยกว่า นอกจากนี้พยานยังเห็นว่าการแก้ไขให้มาตรา112 ตามแนวทางของกลุ่มนิติราษฎร์จะทำให้รักษาหลักการของมาตรา 112 ที่แท้กว่าการนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม นายสุวิทย์ ทองนวล ทนายจำเลยได้ร้องต่อศาลก่อนที่จะมีการสืบพยานปากนายชนาธิป ชุมเกษียน อดีตลูกจ้างที่ทำงานเป็นช่างภาพให้แก่นิตยสาร Voice of Taksin เนื่องจากนายชนาธิป เคยเข้าฟังการสืบพยานฝ่ายเดียวกันที่จังหวัดเพชรบูรณ์ก่อนหน้านี้  

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พยานโจทก์อีกปากหนึ่งของวันนี้คือนายบวร ยะสินธร เครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน ซึ่งระบุว่าได้แจ้งความนายสมยศในคดีหมิ่นฯ ไว้อีกคดีหนึ่งด้วย

ทั้งนี้ การสืบพยานฝ่ายโจทย์ในคดีนี้จะมีไปจนถึงวันที่ 26  เม.ย. 55 และสืบพยานฝ่ายจำเลยจะมีในวันที่ 1-4 พ.ค. 55     

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์: ป่าแม่วงก์ ในความทรงจำ

Posted: 24 Apr 2012 09:16 AM PDT

 

"หวือๆๆ"

เสียงดังมาจากเบื้องหลัง ด้านหน้าของผมคือนายกั๊ก - กุลพัฒน์ ศรลัมภ์ ช่างภาพนกและสัตว์ป่ามือฉมัง ผู้กำลังชี้มือทำหน้าตื่นเต้นสุดขีด "อาจ้าน! นกเงือกคอแดง!!!"

หวือๆๆ ผมหันกลับไปทันเห็นเงาดำอีกหนึ่ง ร่อนลงมาเกาะบนตอไม้ที่ขึ้นอยู่ริมผา เหนือหลังคาบ้านพักเพียงไม่กี่เมตร ท่ามกลางสายหมอกที่ปลิวมาตามกระแสลมไม่ขาดระยะ ผมยกกล้องส่องทางไกลราคาแพงหูฉี่ที่ตัดใจซื้อมาตั้งแต่สมัยไปเคนย่า แนบเบ้าตาเข้ากับกล้อง ภาพที่ปรากฏคือนกสีดำสองตัว มัวซัวไม่ชัดเพราะไอน้ำในอากาศ
แล้วหมอกก็จางหายไป ชั่วอึดใจนั้น ผมเห็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...
...

นกเงือกคอแดง (Rufous-necked Hornbill) เป็น 1 ใน 12 ของนกเงือกที่พบในเมืองไทย จัดอยู่ในสกุลนกเงือกคอแดง (สกุล Aceros) คำว่า a หมายถึง "ไม่" คำว่า cera หรือ keras หมายถึง "เขาสัตว์" นกเงือกในสกุลนี้ไม่มีโหนกแข็งอยู่บนหัวเหมือนนกเงือกสกุลอื่นๆ 
นกเงือกคอแดงพบในเนปาล จีนด้านตะวันตกเฉียงใต้ พม่า ไทย ลาว และเวียดนามตอนเหนือ เป็นนกขนาดใหญ่มาก ความยาว 117 เซนติเมตร เมื่อดูจากระยะไกลจะเห็นร่างกายเป็นสีดำ ปลายหางสีขาว ปากสีเหลือง มีขนสีแดงตามหัว คอ และลำตัวด้านล่าง (ตัวผู้) อาศัยในป่าดิบแล้งและป่าดิบเขา ความสูง 600-1,800 เมตร มักอยู่เป็นคู่หรือฝูงเล็ก 4-5 ตัว เกาะอยู่ในระดับสูงบนต้นไม้ใหญ่

กฎหมายจัดนกเงือกคอแดงเป็นสัตว์คุ้มครอง สถานภาพในเมืองไทยเป็นนกประจำถิ่นหายากมาก พบเฉพาะด้านตะวันตกของประเทศ ตั้งแต่เชียงใหม่ไปจนถึงจังหวัดอุทัยธานี แต่ปัจจุบันมีรายงานเพียงบางแห่ง เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เขตฯทุ่งใหญ่นเรศวร และอุทยานฯแม่วงก์

ข้อมูลสรุปจากหนังสือ "นกในเมืองไทย" โดยรศ.โอภาส ขอบเขตต์ ขอบคุณอาจารย์ครับ แม้อาจารย์จะล่วงลับไปแล้ว แต่ปีนี้ ปีหน้า หรือปีไหนๆ ตลอดชีวิตนักเขียนของผม คงได้รบกวนอาจารย์อีกนาน
...

ต้นปี 2544 ผมหนีไปเที่ยวเมืองใต้ ตะลุยป่าฮาลาบาลาอยู่หลายวัน สวรรค์บันดาลให้ผมได้เห็นนกเงือกหัวแรด ปากย่น ชนหิน กรามช้าง กก และปากดำ หลังจากนั้นมา ผมถึงเข้าใจว่า นอกจากปลาและสาว เรายังหลงรักนกเงือกแต่เกลียดเด็กทารก

การไปป่าครั้งนั้น ไม่ใช่การเห็นนกเงือกเป็นครั้งแรก ตั้งแต่เด็กผมเคยเจอหลายหน แต่แทบทุกครั้งคือนกกกหรือนกเงือกพันธุ์โหลที่เชื่อว่าคุณๆ คงรู้จักดี ช่วงนั้นผมไม่ได้สนใจนกเงือก เพราะใจกำลังแตกสนใจเด็กมัธยมมากกว่า สำหรับผม นกเงือกเป็นนกตัวใหญ่ดีสีสวยเห็นแล้วชื่นใจ...ก็เท่านั้น ต่อมาได้เห็นนกเงือกกรามช้างบินกันเป็นฝูง ชอบใจครับ แต่ยังไม่ถึงขั้นวางแผนเข้าป่าไปดูนกเงือก เพราะความสนใจเพิ่งเลื่อนระดับจากเด็กมัธยมมาเป็นน้องปีหนึ่ง แถมยังมีงานในทะเลเยอะแยะ จัดทริปไปดูปลาผีเสื้อรู้สึกสนุกกว่า อีกอย่างการเห็นของผมเป็นการเห็นแบบธรรมดา ไม่ได้ไปกับผู้เชี่ยวชาญ จึงไม่มีความรู้อะไรติดตัว ความประทับใจวูบมาแล้วก็วูบไป เหมือนความรักในม่านหมอก

มาระยะหลัง ผมเริ่มเกลียดน้ำเค็ม ดำลงไปเจอโน่น...ยี้ เจอนี่...ย้า เคยเจอมาหมดแล้ว ความตื่นเต้นเริ่มเลือนหาย แถมยังเริ่มสนิทสนมคุ้นเคยกับทีมงานตะลุยป่า แม้สังขารจะไม่ให้ (พุงเป่งเกินไป) แต่ใจรักอยากลองเที่ยวไพรพฤกษ์ดูบ้าง เอาแบบป่าที่รถยนต์เข้าถึง เดินน้อยๆ แต่พองาม

ผมตั้งใจไปเที่ยวเพื่อดูนกครั้งแรกที่อินทนนท์ สองปีมาแล้ว แม้ได้เห็นนกมากหลาย แต่ยังไม่ติดใจเพราะเกือบทั้งหมดตัวเล็กกว่ากำปั้น แถมช่วงนั้นยังบ้าถ่ายภาพ แบกกล้องตัวยาวเท่าบาซูก้า เดินไปเดินมาเหนื่อยชะมัด จนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมตั้งใจไปป่าบาลาเพื่อดูนกเงือกโดยเฉพาะ ครั้งนี้ไม่เน้นภาพ เพราะเพิ่งบรรลุว่าเราเป็นนักเขียน ไม่ใช่ช่างภาพ มัวแต่ถ่ายภาพพอดีไม่มีไอเดียอะไรมาเขียนเรื่อง ผมมีเพื่อนเป็นช่างภาพเยอะแยะ อยากได้ภาพนกตัวไหน ออเดอร์ไปแป๊บเดียวก็ได้ (อย่าว่าแต่นกเลยครับ เสือ สิงห์ กระทิง แรด อยากได้อะไรมีหมด ฮ่าๆๆ เกิดเป็นอาจารย์ธรณ์สบายจริงหนอ)

เมื่อผมไม่ต้องถ่ายภาพ หันมาดูนกอย่างเดียว ความสุขเริ่มเกิด อย่างน้อยก็ไม่เหนื่อยเดินแบกกล้อง มีโอกาสพิจารณาคุณปักษามากกว่าเดิม พอลงไปบาลาก็โป๊ะเชะ เจอนกเงือกบินกันพึ่บพั่บ ทั้งเช้าทั้งเย็นดูได้ดูดีไม่มีเบื่อ พอกลับมากรุงเทพฯ ผมฝันดีเห็นหน้านกเงือก ฝันร้ายเห็นหน้าแฟน อัดอั้นตันใจขึ้นมา ฝนฟ้ากระหน่ำ ไปดำน้ำก็ไม่สนุก ไปทีไรน้ำขุ่นทุกที จึงตัดสินใจว่า เราไปดูนกอีกดีกว่า แต่นกที่มีศักดิ์ศรีสาสมกับสายตาของเรา ต้องเป็นราชาแห่งพงไพร นกเงือกตัวใหญ่เท่านั้น 

บรรดานกเงือกทั้งหลายที่ผมยังไม่เคยเจอ เจ้าตัวที่อยากเห็นสุดคือนกเงือกคอแดง เพราะโดนคุณโอภาส เพื่อนรุ่นพี่ผู้เที่ยวด้วยกันมา 30 ปีแล้ว กรอกหูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ธรณ์...นกเงือกคอแดงนะ อู้ฮู...ตัวมันใหญ่มากเลย กางปีกบินแล้วดังหวือๆๆ คอก็แดงกล่ำเหมือนคนกระดกตอกิลล่า หางก็ข๊าวขาว ยิ่งกว่าซอกแขนของคุณหนูที่เดินอยู่ตรงหน้าเราอีกแน่ะ (ผมมีนัดกับพี่เล็กที่สยามครับ) ผมเดินดูซอกแขนคุณเธอไปพลาง คิดถึงเรื่องนกเงือกไปพลาง คิดถึงภรรยาและบุตรทางบ้านบ้างนิดหน่อย ก่อนตัดสินใจเด็ดขาด ลูกเมียช่างมัน คอแดงสำคัญกว่า

เมื่อนั่งเช็คกับบรรดาผู้รู้เรื่องนกทั้งหลาย แทบทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน อยากเห็นคอแดงต้องไป "ช่องเย็น" ฮะอาจารย์ (ผู้รู้อ่อนวัยกว่าผมครับ) แต่อย่าฝันสูงให้มากนะฮะ เดี๋ยวจะรักคุดเหมือนผม หวังต่ำๆ เข้าไว้ ดอกไม้ริมทางคว้ามาก่อน นกกระจิบนกกระจอกอะไรก็ดูๆ เข้าไป บางคนไปช่องเย็นสิบกว่าเที่ยวยังไม่เคยเห็นเจ้าคอแดงเลยฮะ

ช่องเย็น...ชื่อนี้เคยได้ยิน เพราะพี่เล็กพูดถึงเป็นประจำ ผมไปค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้ความว่า ช่องเย็นเป็นชื่อช่องเขาแห่งหนึ่ง ความสูง 1,340 เมตร ถือเป็นจุดสูงสุดบนถนนสายคลองลาน-อุ้มผาง ถนนตัดผ่านป่าตะวันตกที่ปัจจุบันสิ้นสุดที่ช่องเย็น หากอยากไปต่อจากนั้นต้องเดินย่ำต๊อก สภาพถนนหายกลายเป็นป่าปกคลุม เหตุที่ถนนสายนี้ถูกปิดเพราะตัดผ่านผืนป่าตะวันตก ป่าใหญ่ผืนสุดท้ายของเมืองไทย ถ้ายังมีการใช้กันอยู่ มีหวังป่าหายป่าหดหมดแน่นอน (แล้วก่อนทำถนน ทำไมไม่คิด?)

ช่องเย็นอยู่ในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อุทยานระดับป๋ามีพื้นที่ 894 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดกำแพงเพชร ใครอยากไปต้องขับรถไปที่อุทยานฯแม่วงก์ ก่อนปุเลงๆ ขึ้นเขาอีกเกือบ 30 กิโลเมตร บนช่องเย็นไม่มีไฟฟ้า ไม่มีร้านอาหาร อยากกินอะไรเชิญทำเอง ที่นั่นมีลานกางเต็นท์ แล้วก็มีบ้านพักพออยู่ได้ 

ผมสำรวจข้อมูลหมดแล้วถึงเริ่มวางแผน ประการแรก...เราไปดูนก ขืนไปกับพี่เล็กสองคน นั่นเป็นความคิดที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่จะดูถูกพี่เล็ก ใครก็ทราบว่าแกเป็นป๋า แต่ชื่อนกที่พี่เล็กบอก กับชื่อนกที่อยู่ในหนังสือ รู้สึกว่ามันจะไม่เคยตรงกันเลย เอะอะก็ปรอดบ้างอีแพร่ดบ้าง พี่เล็กน่ะไปด้วยแน่ แต่เราควรหาใครที่มีความรู้เรื่องนกมากกว่านั้น
อย่างที่บอก ผมเป็นคนที่มีผู้ชายรักธรรมชาติอยู่รอบกายเยอะ แต่ละคนล้วนเป็นเซียน ตั้งแต่ฝึกหัดเซียน (ระดับ 400 ชนิด) โคตรเซียน (650 ชนิด) เซียนเหยียบเซียน (750 ชนิด - เจ้าตัวเลขเหล่านี้หมายถึงจำนวนชนิดของน้องนกที่เซียนเคยเห็นมา) ครั้งนี้ผมจึงเลือกไป 3 เซียน ได้แก่ นายตี๋นิสิตสุดที่รัก เห็นหน้ากันมานานเกือบแปดปีแล้ว เซียนรายที่สองชื่อนายกั๊ก ช่างภาพนกและสัตว์ป่า เซียนรายสุดท้ายคือนายก้อง บารมี ช่างภาพดาวรุ่งฝีมือดีน่าติดตาม 

ผมสอบถามจากพี่เล็กผู้เคยไปช่องเย็นมาแล้ว 4 ครั้ง ได้ความว่าบนนั้นหนาวนะธรณ์ ผมดูจากตัวเลขความสูงแล้ว ไม่แปลกอะไรหรอกครับ 1,340 เมตร สูงกว่าภูกระดึงอีกแน่ะ ถึงจะเป็นหน้าฝนแต่อากาศคงเย็น ไม่งั้นเค้าจะตั้งชื่อว่า "ช่องเย็น" ทำไม? เสื้อผ้าที่ต้องเตรียมควรมีเสื้อหนาวติดไปสักตัว แต่อากาศหน้าฝนคงเปียกชื้น เตรียมเสื้อฝนไปด้วยก็ดี อุปกรณ์กำเนิดแสง ประเภทตะเกียง ไฟฉาย เทียนไข ไฟสุมทรวง เอาไปให้ครบถ้วน เตา ตะหลิว และกระทะ พี่เล็กเป็นคนเตรียม ผมไม่เกี่ยว ทีนี้ก็มาถึง "คุ่น"

"คุ่น" หน้าตาเหมือนแมลงหวี่ แต่มีนิสัยเหมือนแวมไพน์ เมื่อคุ่นเจอเรา คุ่นจะบินมาเกาะ ใช้ปากเจาะผิวหนังนุ่มๆ แล้วก็จ๊วบๆๆ ดูดเลือดที่เต็มไปด้วยฮีโมโกลบินสีแดงฉ่ำของเราเข้าไปจนเต็มกระเพาะ ผมลองสังเกตคุ่นที่เกาะหน้านิสิต พบว่าเค้าใช้เวลาดูดเลือดนานกว่ายุงธรรมดาถึง 2 เท่า ที่สำคัญคือคุ่นกัดไม่เจ็บครับ เรียกว่าเราแทบไม่รู้ตัวเลย อย่างนิสิตผู้เป็นคนสาธิตให้ดู คุ่นดูดเลือดจนตัวเป่งก่อนบินจากไป เค้ายังไม่รู้ตัวเลยว่าโดนคุ่นกัด

ผมเหลือบมองขนอันดกดำของตัวเอง นั่นคือเกราะป้องกันคุ่นชั้นแรก คุ่นบินมาเจอขนเราคงส่ายหน้า บินไปหาเนื้อโล่งๆ ของชาวคณะรายอื่น หากมีคุ่นหน้าด้าน ผิวหนังอันหยาบกร้านของผม ผ่านการตากแดดตากลมตากไอเค็มมาหลายพันวัน คงป้องกันคุ่นได้ระดับหนึ่ง ถึงแม้กัดเข้าไป ร่างกายที่ทนทาน เกินมาโดนตัวอะไรกัดก็ไม่เคยแพ้ อย่างดีก็แค่เกาสองสามแกรกคงหาย ผมเลยตัดสินใจไม่เอาตะไคร้หอมติดตัวไป เพราะต้องไปซื้อใหม่ เนื่องจากที่บ้านไม่เคยมีอุปกรณ์อะไรในการป้องกันยุง

จากคุ่นมาถึงทาก เจ้าตัวยึกยือนี้หลายคนเกลียดมาก แต่ผมรู้สึกเฉยๆ ทากกับผมไม่เคยทำบุญทำกรรมร่วมกันมาแต่ชาติปางไหน ตั้งแต่เข้าป่ามาผมเคยถูกทากดูดเลือดแค่หนเดียว แถมครั้งนี้ยังมีพี่เล็กไปด้วย แกเป็นตัวดูดทาก ทั้งป่าต่างมุ่งหน้าหาแกหมด ผมเลยไม่เดือดร้อน ใส่กางเกงเลดูนกสบายดีออก

ท้องฟ้าใสกระจ่าง จันทร์ดวงงามลอยเด่นให้เราขอข้าวขอแกง เสียงหนุ่มสาวคุยกันกรุ๋งกริ๋ง ถ้าเป็นนักเขียนประเภทเพ้อฝัน คงเริ่มเรื่องด้วยคำพรรณนาเช่นนั้น แต่ผมเป็นนักเขียนประเภทอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งที่เกริ่นมาจึงเป็นเรื่องโกหก เพราะท้องฟ้ายามค่ำคืนวันศุกร์มืดตึ๊ดตื๋อ จันทร์เจ้าขาอยู่ไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ เห็นแต่ไฟนีออนของร้านคาราโอเกะข้างถนน เสียงหนุ่มสาวคุยกันก็ไม่มี ได้ยินแต่เสียงกรนครอกๆ ของนายกั๊กที่นอนชันเข่าอยู่เบาะหลัง ผมอยากกรนบ้างก็ไม่ได้กรน เพราะกลัวพี่เล็กโชเฟอร์ของเราจะกรนตาม แล้วจะได้ไปช่องเย็นในโรงพยาบาลแทน

ระหว่างเส้นทางกรุงเทพ-นครสวรรค์ ไม่มีอะไรเล่าให้ฟัง เราใช้เวลาเดินทางไม่ถึงสองชั่วโมง พอเข้าเขตนครสวรรค์ พี่เล็กเติมน้ำมันจนเต็มถัง บอกว่าต้องเผื่อไว้เพราะในอุทยานฯไม่มีน้ำมัน เราต้องขับรถไปโน่นมานี่ไม่สำรองไว้เดี๋ยวแย่ ผมลงมาเดินเล่นรอบปั๊มหนึ่งรอบ มองดูเมืองนครสวรรค์ยามค่ำคืน โอ้! เมืองแห่งโมจิ ปากน้ำโพที่ลือลั่นตั้งแต่สมัยบรมครูมาลัย ชูพินิจ เคยเขียนไว้ในเรื่อง "แผ่นดินของเรา" ทุกอย่างเปลี่ยนไปเกือบหมด ครูมาลัยกลับมาดูอีกหนคงกลุ้มใจพิลึก

จากนครสวรรค์ พี่เล็กใช้เส้นทางไปสู่กำแพงเพชร พอเลยนครสวรรค์สัก ๒๐ กิโลเมตร แกเลี้ยวซ้ายแยกจากถนนใหญ่ตามป้ายสู่อำเภอลาดยาว ถนนสายนี้แคบและมีหลุมบ่อ แต่พี่เล็กบอกว่าเป็นเส้นทางลัด ผมเชื่อใครไม่เชื่อ ดันไปเชื่อพี่เล็ก นั่งรถมาอีกชั่วโมงกว่ายังไม่ถึงสักที มันลัดยังไงเหรอพี่จ๋า? นิสิตผู้ทำหน้าที่เป็นโชเฟอร์ของรถอีกคันก็กลุ้มใจ เขานัดแนะกับพี่เล็กมาเสร็จสรรพ ขาไปใช้เส้นทางนี้ ขากลับไม่เชื่อพี่เล็กแล้ว ลองใช้อีกเส้นทางดีกว่า เลี้ยวออกทางอำเภอคลองขลุง ปรากฏว่าเร็วกว่ากันตั้งเยอะ สรุปแล้วใครจะมา กรุณาอย่าหลงผิดอย่างผม ขับรถไปตามถนนใหญ่มุ่งหน้าไปกำแพง เมื่อถึงอำเภอคลองขลุง เจอป้ายซ้ายมือเขียนว่า "อำเภอคลองลาน" เลี้ยวไปทางนั้น พอมาถึงคลองลาน สังเกตป้ายหรือถามทางชาวบ้าน อีกแค่ ๑๕ กิโลเมตรก็ถึงที่ทำการอุทยานฯแล้วครับ

แม่วงก์อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ถ้าอากาศดีไม่มีฝนตก ขับรถ ๓-๔ ชั่วโมงน่าจะถึง (อย่าลืมนะครับ พวกผมวัยกำลังห้าว ขับรถเร็วกว่าชาวบ้าน เวลาถูกรถคันอื่นแซงรู้สึกโดนเหยียดหยาม เชื่อว่าหากประพฤติเช่นนี้ต่อไป คงไม่ได้แก่ตายแน่) ออกจากกรุงเทพเย็นวันศุกร์ทันถมเถ ขนาดผมออกมาตอนหัวค่ำ ผจญรถติดบานตะไท แวะกินข้าวอีกต่างหาก ยังมาถึงอุทยานฯแห่งนี้ไม่เกินเที่ยงคืน เราจ่ายเงินค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯเรียบร้อย คุณยามแย้มยิ้มต้อนรับพร้อมเปิดที่กั้นให้ จากด่านกั้นเข้าไปสัก ๓-๔ กิโลเมตร เส้นทางขึ้นเขานิดหน่อย เรามาถึงที่ทำการอุทยานฯแล้วครับ

ที่ทำการฯอยู่บนเชิงเขา ปรับแต่งพื้นที่ไว้อย่างดี มีเจ้าหน้าที่เฝ้าตลอด ๒๔ ชั่วโมง แม้พวกผมมาถึงกลางดึก พอจอดรถได้แป๊บเดียว พี่เค้ารีบเข้ามาถามไถ่ เมื่อทราบว่าเราจองบ้านไว้เรียบร้อยแล้ว แกพาพวกเราไปที่บ้าน บอกว่าเชิญเลยครับ บ้านหลังนี้อยู่ริมน้ำมีระเบียงสวยงาม นอนให้สบายนะครับ

ผมกับคณะพรรคกำลังจะขนของเข้าห้อง แต่ยังไม่ทันขน นายตี๋ เบิร์ดลีดเดอร์ หยุดยืนเงี่ยหูแล้วบอกว่าโอ้เสียงนก ผมได้ยินเสียงนก มันต้องเป็นนกกลางคืนแน่ เอาไฟมา มีไฟฉายมั้ย? ผมจะหานกกลางคืน เมื่อตี๋ได้ไฟฉาย ตี๋ก้มตี๋เงย ตี๋ทำท่าเหมือนหมาล่าเนื้อได้กลิ่นกระต่ายป่า ตี๋บุกดงหญ้าแบบไม่กลัวงูกัด ก่อนฉายไฟปราดเข้าให้ นกตัวหนึ่งที่เกาะอยู่หลังต้นไม้ โผล่หน้าออกมาจ๊ะเอ๋ไฟฉาย นกแสกแดง! ก้องบารมีที่ย่องตามตี๋ไปอย่างกระชั้นชิด กระซิบบอก แสกแดง!!! เย้...ดีใจจัง ว่าแต่มันหายากหรือเปล่า? เมื่อก้องพยักหน้าบอกว่าหายาก ผมค่อยกลับเข้าไปในรถเพื่อตะกุยหากล้องส่องทางไกล รื้อออกมาได้ยังไม่ทันยกขึ้นส่อง ฟุ่บๆๆ นกแสกแดงบินลับลา คุณนกเจ้าขา เจ้านกบ้า รอเดี๋ยวก็ไม่ได้

นกไปแล้ว แต่ข้าวของยังอยู่ รอช้าอยู่ไย ผมบงการให้นิสิตและสตาฟขนของ ส่วนตัวเองเดินเข้าไปเลือกที่นอน บ้านพักอุทยานฯที่นี่ใช้ได้เลยครับ มีระเบียงฟังเสียงน้ำในห้วยไหลกระฉอกตลิ่ง คืนนั้นผมนอนฟังเสียงน้ำไหลสลับกับเสียงกรนของพี่เล็กตลอดทั้งคืน ตื่นเช้ามาฮ้าสดชื่น ออกมาเดินโต๋เต๋ เห็นนายตี๋พาพรรคพวกลงไปที่ริมห้วย ท่าจะไปหากระเต็นขาวดำใหญ่ แต่ผมเชื่อมั่นแน่ว่าด้วยโชคชะตาของนายตี๋ คงไม่มีวันเจอ

ว่าแล้วเราเดินสำรวจที่ทำการฯแม่วงก์ดีกว่า เค้าจัดสวนไว้สวยเชียวครับ มีไม้พุ่มตัดทำเป็นป้ายชื่อ สนามหญ้ากว้างเหมาะสำหรับกางเต็นท์ บ้านพักหลายหลังสร้างอยู่ริมห้วยสวยเก๋ ร้านอาหารสวัสดิการก็มี ราคาแพงกว่าร้านข้าวแกงข้างนอกเพียงนิดเดียว ในศูนย์นิทรรศการยังมีข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวให้พร้อมสรรพ ถ้าคุณเป็นคนชอบดูนก มาที่นี่คงไม่ผิดหวัง เพราะแม่วงก์มีนกให้ดูไม่ต่ำกว่า ๓๕๐ ชนิด

แล้วถ้าไม่ดูนกล่ะ? แม่วงก์ยังเหมาะสำหรับการท่องเที่ยวหลากรูปแบบ หนุ่มสาวเรอะ ต้องกางเต็นท์ครับ บ้านพักที่นี่หลังใหญ่เกินเหตุ อยู่บ้านคงโหวงเหวงน่าดู กางเต็นท์ฮันนีมูนกลางฝน ตื่นเช้าขึ้นมาเจ้าสาวถูกน้ำพัดหายไป เจ้าบ่าวคงสุขชะมัด (เหมาซองของขวัญในงานแต่งเป็นของเราแต่ผู้เดียว สุขหรือทุกข์ดีล่ะเนี่ย) ถ้าเป็นหนุ่มใหญ่มาแบบครอบครัว เหมาบ้านพักทั้งหลัง ปล่อยลูกหลานวิ่งไล่กันบนสนามหญ้า เรานั่งจิบเหล้าดูลูกหลานตกห้วย นั่นก็น่าจะสุข โดยเฉพาะถ้ามาหน้าหนาว แต่ต้องระวังสักนิด เสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดราชการ ผู้คนอาจล้นหลาม หากเลี่ยงช่วงนั้นได้ ผมเชื่อว่าทุกคนคงชอบใจการมาพักผ่อนที่แม่วงก์ 

บางคนอาจต้องการกิจกรรมเพิ่มเติม แต่ไม่หวังจะไปให้ถึงช่องเย็น เพราะรถเก๋งไม่เอื้ออำนวย ผมแนะนำว่าอาจเดินเที่ยวตามริมห้วย หรือไปแก่งผาคอยนาง อยู่เลยที่ทำการฯไปไม่ถึง ๒ กิโลเมตร จะเดินไปก็ได้ ขับรถไปก็สะดวก แต่ผมไม่ยักไป เพราะรู้สึกว่าชื่อแก่งดูหมิ่นศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย มีอย่างที่ไหนให้เราไปคอย นางนั่นจะสวยขนาดไหนก็มีสามีแล้ว ถ้าเปลี่ยนชื่อเป็น "แก่งคอยนางสาว" เมื่อไหร่รับรองไปแน่ 

สำหรับคุณที่ต้องการกิจกรรมเพิ่มมากขึ้น มานอนนี่สักคืน ตื่นเช้าค่อยเดินเที่ยวแก่ง ถึงบ่ายออกจากอุทยานฯไปเที่ยวน้ำตกคลองลานก็สนุก น้ำตกแห่งนั้นสูงใหญ่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแม่วงก์ ถ้าถนนดีๆ ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เทคนิคไปก็ไม่ยาก แค่ขับรถกลับไปที่อำเภอคลองลาน สังเกตป้ายบอกทางไป "อุทยานฯคลองลาน" แค่นั้นก็เรียบร้อย

ผมเดินคิดอะไรเพลินๆ จนไม่ได้ยินเสียงตี๋เรียก มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อนิสิตหนุ่มวิ่งเข้ามาจับมือถือแขน (ว้าย!) ลากผมให้ลงไปดูนกประหลาด ขณะนี้คณะพรรคกำลังชุลมุนดูอยู่อย่างสนุกสนานเป็นยิ่งนัก เมื่อเข้ามาใกล้ผมถึงร้องอ๋อ นกประหลาดที่ว่าคือเจ้าแสกแดง เมื่อคืนบินปิ๊วๆ ล่อนายตี๋ พอตะวันขึ้น นกกลางคืนที่ดีย่อมไม่บินพั่บๆ ท่ามกลางแสงแดดของประเทศใกล้เขตศูนย์สูตร เขาต้องหาที่พักผ่อนนอนหลับ สำหรับเจ้าแสกแดงตัวนี้ ท่าทางแถวแม่วงก์จะเงียบสงบ ไม่ค่อยมีใครไปกวน แถมยังไม่มีวัดอยู่ใกล้ๆ (นกแสกชอบนอนตามวัดครับ) แสกแดงเลยตั้งหลักปักขาเกาะอยู่บนตอไม้ริมน้ำ นายตี๋บังเอิญเหลือบไปเห็น กระโดดโลดเต้นดีใจก่อนพาชาวคณะส่องกล้องดูอย่างใกล้ชิด ส่องจนสาสมอารมณ์หมายแล้วค่อยวิ่งขึ้นมาเรียกผมไปช่วยส่อง

จากเลนส์ใสปิ๊งทำจากแร่ซิลากาชั้นเริ่ดในประเทศออสเตรีย ผมมองเห็นแทบทุกขุมขนของแสกแดง ในใจภาวนาให้เปลี่ยนจากนกกลายเป็นอย่างอื่น (อย่างไหน? แฮ่ม! เดี๋ยวนี้เอาใหญ่แล้ว ชักทะลึ่ง น่าตีจริงเชียวเรานี่) ส่องไปนายตี๋ก็อธิบายไป นกแสกแดงเป็นนกที่ออกหากินเวลากลางคืน อาศัยอยู่ในป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ และป่าพรุ มีถิ่นแพร่กระจายอยู่ทางตะวันตก ทางเหนือ ภาคใต้ และบางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดเป็นนกประจำถิ่นหายาก อาหารที่ชอบคือแมลงและสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก เช่น กิ้งก่า ตุ๊กแก

บางครั้งเขาก็กินพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น หนู เพื่อการจับเหยื่ออันรื่นรมย์ นกแสกแดงมีนิ้วเท้าที่แข็งแรงและเล็บที่แหลมคมเหมือนเท้าเหยี่ยวไว้สำหรับขยุ้มเหยื่อ ก่อนใช้จะงอยปากที่โค้งเหมือนเคียวฉีกทึ้ง ตัวอย่างเห็นง่าย น่าน...นั่น! เห็นมั้ยครับ ที่บนตอไม้ใกล้ที่เกาะของนายแสกแดง มีตุ๊กแกคอขาดนอนตายอยู่หนึ่งตัว เชื่อว่าตุ๊กแกตัวนี้ถูกแสกแดงจับกิน พอกินส่วนหัวหมด พุงแสกแดงก็เป่ง เลยเก็บตัวตุ๊กแกไว้กินต่อมื้อหน้า จัดเป็นนกที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลกว่าผู้บริหารประเทศบางคน

ชมแสกแดงเสร็จสรรพ ถึงเวลาเดินทางต่อ จากที่ทำการฯขึ้นไปจนถึงช่องเย็น ระยะทาง ๒๘ กิโลเมตร เป็นทางขึ้นเขาตามถนนสายคลองลาน-อุ้มผาง ที่ปัจจุบันเปิดให้บริการถึงแค่ช่องเย็น เลยจากนั้นห้ามเข้าจ้ะ ถึงอยากเข้าก็เข้าไม่ได้ เพราะป่ากลืนถนนไปหมดแล้ว ผมกระโดดขึ้นรถมีพี่เล็กเป็นโชเฟอร์ พอเราเลี้ยวออกจากที่ทำการฯได้หน่อยก็เจอด่าน ใครจะขับรถขึ้นไปต้องขออนุญาตให้เรียบร้อย เมื่อเช้าพี่เล็กแอบไปติดต่อศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมาแล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร เมื่อผ่านด่านไปสักหน่อย ถนนเริ่มแคบคดโค้งขึ้นเขา ผมคิดถึงถนนไปแก่งกระจานขึ้นมาทันที

จะว่าไปแล้ว ไปเที่ยวช่องเย็นกับไปเที่ยวแก่งกระจานมีส่วนคล้ายกันหลายอย่าง (แก่งกระจาน - ในที่นี้หมายถึงอุทยานฯ ไม่ใช่เขื่อนนะครับ) ถนนขึ้นเขาทั้งสองแห่งไม่เปิดให้บริการตอนกลางคืน ต้องขึ้นกลางวัน ที่แตกต่างคือการไปแก่งกระจานต้องขึ้นลงเป็นเวลา เพราะถนนแคบรถสวนกันลำบาก แต่ที่ช่องเย็นขึ้นลงได้ตลอดวัน ถนนยังอยู่ในสภาพดีกว่านิดหน่อย พอให้รถสวนกันได้

ข้อดีประการหนึ่งของการเที่ยวช่องเย็น คือ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีคนไป อาจเป็นเพราะอยู่ไกลกรุงเทพมากกว่า ผิดกับแก่งกระจานที่เสาร์อาทิตย์เกือบเป็นเหมือนตลาดนัด ผู้คนเยอะแยะ บางทีขับขึ้นเขามีรถต่อกันสิบกว่าคัน ขณะที่ทริปสู่ช่องเย็นของผม ไม่มีรถขึ้นเขาสักคันยกเว้นรถของพวกเรา ทั้งที่เป็นวันเสาร์นะเนี่ย

สูงๆ ขึ้นไป ชาวคณะแวะจอดดูนกสองข้างทางเป็นระยะ อันนี้ก็เหมือนครับ เพราะไปเที่ยวแก่งกระจานใช้เทคนิคดูนกตามถนน บางหนอาจเจอสัตว์ป่า เช่น เสือดาว อย่างที่พี่เล็กเคยเจอและเคยเล่าในคอลัมน์ของแกไปสักหนึ่งปีมาแล้ว เส้นทางขึ้นช่องเย็นมีเสือดาวเช่นกัน เพื่อนผมเพิ่งจ๊ะเอ๋ไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ครั้งที่เราไป ผมเป็นคนโชคร้ายในเรื่องสัตว์ๆ สรุปแล้วเลยไม่เจออะไรยกเว้นนก

ผมกับพี่เล็กรุดหน้ามาก่อน ปล่อยให้ชาวคณะขับรถตู้ตามหลัง เราผ่านเส้นทางลาดยางแต่มีหลุมบ่อ บางหนก็เป็นทางดินเละๆ ที่เขากำลังทำทาง ฝนที่ตกลงมาทำให้ดินลื่นปรู๊ดปร๊าด ถ้าเป็นถนนธรรมดาอย่างดีก็ตกคูข้างทาง แต่ที่นี่ข้างทางคือเหวนรก มองลงไปสูงไม่ต่ำกว่าห้าสิบเมตร ขอบถนนมีต้นหญ้าคาหรอมแหรม ไม่มีที่กั้นใดๆ แม้กระทั่งต้นไม้ ช่วงนี้เลยลุ้นหนักหน่อยกว่าจะตะลุยผ่านมาได้ ทางตรงนั้นยาวแค่ ๒-๓ กิโลเมตร แต่สร้างความหวาดเสียวได้ดีแท้

ในที่สุด เราเริ่มใกล้ยอดเขา ช่องเย็นเป็นจุดสูงสุดของถนนคลองลาน-อุ้มผาง ที่ระดับความสูง ๑,๓๔๐ เมตร สูงกว่าภูกระดึงนิดหน่อย อากาศย่อมเย็นแน่ ผมเปิดหน้าต่างยื่นมือออกไป ยังไม่เท่าไหร่แฮะ มันจะเย็นแค่ไหนเชียว ระดับเราผ่านอินทนนท์มาแล้ว ยอดเขาสุดสูงในนิวซีแลนด์ก็เคยไป ช่องเย็น?...อ่อน!!!

พ้นโค้งขึ้นเนินสุดท้าย ภาพช่องเย็นโผล่มาตรงหน้า ผมจึงเพิ่งรู้ตัวว่า อย่าได้คิดเอายอดดอยอินทนนท์ นิวซีแลนด์ ฯลฯ มาเปรียบเทียบกับช่องเย็นเป็นอันขาด ที่นี่ไม่เหมือนที่ไหน...เพราะเมืองในหมอกของประเทศไทย ไม่ได้มีที่แม่ฮ่องสอนเพียงแห่งเดียว ที่นี่ก็มี และไม่ได้มีเพียงหมอก แถมเมฆให้อีกด้วย

อยากให้คุณหลับตาคิดภาพครับ เทือกเขาสูงเป็นพืดของดินแดนแห่งผืนป่าตะวันตก ถนนสายคลองลาน-อุ้มผางลัดเลาะมาตามหุบเขา จนชนแป้กเข้ากับเขาสูงลูกหนึ่ง ไม่มีหุบผ่าน ถนนเลยต้องตัดขึ้นสู่ยอดเขาที่ลักษณะเป็นเนิน กว้างสักเท่าสนามฟุตบอล ล้อมรอบด้วยหลายยอดเขาที่สูงกว่า เนินนี้แหละครับที่ตั้งของช่องเย็น มองลงไปด้านล่างเป็นหุบเขาสวยเชียว ลมที่พุ่งมาตามหุบเขา เมื่อปะทะกับเนินเขาช่องเย็น จะหลบซ้ายขวาก็มียอดเขาอื่นคอยบังอยู่ ลมเลยถูกบังคับให้พัดผ่านช่องเย็นดังหวือๆ

บังเอิญหน้าฝนไม่ได้มีแต่ลม แต่บนฟ้ามีเมฆด้วย ลมพาเมฆพุ่งขึ้นผ่านช่องเย็น สร้างบรรยากาศเมืองในเมฆตลอดเวลา พอฟ้าโปร่ง เราจะเห็นวิวข้างหน้าสักแป๊บ จากนั้นก็มาแล้ว ลมพัดเมฆลอยมาตามหุบเขาเห็นถนัดตา สักเดี๋ยวลอยหวือขึ้นมาบนช่องเย็น พุ่งผ่านสนามหญ้า รถ ต้นไม้ และบ้านพัก ความชื้นในอากาศแค่ไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่ที่ทราบคือสูงปรี๊ด สูงจนเกือบเป็นร้อยเปอร์เซนต์มั้งครับ ขนาดมุ้งลวดที่บ้านพักยังใช้มุ้งลวดพลาสติก มีหยดน้ำเกาะพราว ไถ่ถามเจ้าหน้าที่แล้วได้ความว่ามุ้งลวดธรรมดาใช้ได้ไม่นานสนิมกินพังหมด

รถโฟร์วีลของเราจอดอยู่บนสนามหญ้า เมฆพัดมาเป็นก้อนๆ พี่เล็กไปหาเจ้าหน้าที่เพื่อติดต่อที่พัก ผมก้าวลงมามองบรรยากาศซ้ายขวา เงียบสงบสุดบรรยาย ทั่วช่องเย็นไม่มีใครเลยทั้งที่เป็นวันเสาร์ เสียงนกร้องจิ๊บดังมาจากราวป่าด้านล่าง บรรยากาศตอนนี้สุขสงบแปลกประหลาด จนแทบไม่น่าเชื่อว่าที่นี่คือเมืองไทย จะเปรียบเทียบให้ใกล้เคียง คงเหมือนชนบทประเทศอังกฤษมั้งครับ ชั่วแต่ว่าอากาศเย็นกว่า (เคยไปแล้ว ไม่ใช่ตู่เอา แต่ไปมาเมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้ว สมัยนั้นเป็นเด็กเกเร ถูกคุณพ่อส่งไปฝึกงานนานสามเดือน เศร้ามากครับ)

ผมสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ชีวิตช่างมีสุข แล้วจะมีสุขมากขึ้นถ้า...ถ้า เสียงหวือๆๆ ดังมาจากด้านหลัง นายกั๊กที่ยืนอยู่ข้างผมร้องออกมา "อาจ้าน!!! นกเงือกคอแดง" ผมหันขวับกลับไป เงาดำสองเงาร่อนผ่านกลางสายหมอก ลงเกาะที่ตอไม้เหนือหลังคาบ้าน ห่างจากจุดที่ผมยืนไปไม่เกินยี่สิบเมตร ขนาดของเงาใหญ่จนหมดสงสัยว่าเป็นตัวอะไร? ทั้งป่านกใหญ่ขนาดนี้นอกจากอีกาห้าตัวบินต่อกันแล้ว คงมีแต่นกเงือกเท่านั้น แล้วกั๊กรู้ได้ไงว่าเป็นนกเงือกคอแดง สุดยอดนกเงือกของเมืองไทยล่ะ?

ช่องเย็นเป็นสถานที่ลือชื่อในการเฝ้าดูนกเงือกคอแดง เรียกว่าเจ๋งสุดในบ้านเราได้แน่ แม้ว่าคอแดงอาจพบในป่าตะวันตกแถวอื่น แต่มีน้อยมากแถมอยู่กลางป่าลึก โอกาสที่คนอย่างเราท่านพบเห็นเป็นศูนย์ แต่ช่องเย็นเป็นจุดที่นักเที่ยวทั่วไปสามารถมาได้ มีรายงานการพบนกเงือกคอแดงสองตัว บางหนอาจเป็นสามตัวถ้าอยู่ในช่วงเลี้ยงลูกที่มีขนาดใหญ่พอติดตามพ่อแม่ไปกินอาหารได้ เป้าหมายของคอแดงคือต้นไม้ที่มีลูกสุกเกือบตลอดเวลา บังเอิญต้นไม้ที่ว่าขึ้นอยู่เลยหน้าผาชมวิวของช่องเย็นไปนิดเดียว

ใครมาที่นี่เลยมีโอกาสเจอคอแดงสูงเชียวล่ะ นั่นคือเหตุผลประการแรก อีกอย่างหรือครับ นกเงือกคอแดงตัวใหญ่มาก นกเงือกอื่นมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกันมีน้อย ต้องเป็นระดับนกกาฮังทำนองนั้น แต่รูปร่างและนิสัยของนกทั้งสองต่างกัน นายกั๊กเป็นประเภทโคตรเซียนดูนกมาแล้วเฉียด ๗๐๐ ชนิด แค่นี้จะไม่รู้เชียวหรือ? ยิ่งใจอยากเห็นคอแดง ตัวอะไรกระพือปีกได้ขนาดใกล้เคียงนกเงือกคอแดง ไงๆ ก็ต้องเดาว่าคอแดงไว้ก่อน

ผมเป็นคนโชคดี เขียนหนังสือก็มีคุณๆ กรุณาตามอ่าน อย่างหนนี้ผมกำลังยืนยิ้มกลางสนามหญ้า ร้อยวันพันปีไม่เคยยืนยิ้มแบบมีกล้องส่องทางไกลห้อยคอ ก็บังเอิญหนนี้ดันมีเพราะอยากทำเท่ว่าตูข้าคือเซียนดูนก เมื่อผมเห็นเป้าหมาย กล้องถูกยกขึ้น ฮ่า...ไม่เห็นอะไรเลยวุ้ย สายหมอกบังไว้จนเห็นแค่เงาดำ ไม่มีหนอกบนหัว เพราะงั้นไม่ใช่นกกาฮังแน่

และแล้ว...ดุจฟ้าปราณี สายหมอกจางหายไปหนึ่งวูบ สิ่งที่ผมเห็นคือนกขนาดใหญ่ ตัวสีดำสนิท ส่วนคอถึงส่วนหัวสีแสด มีเหนียงตรงคอสีแดง รอบตาสีฟ้า ปากสีเหลืองมีบั้งเป็นร่องๆ อยู่ที่จะงอยปากด้านบน ก่อนมาผมดูรูปเจ้าคอแดงไม่รู้กี่สิบครั้ง ดูไปฝันไปว่าเราจะได้เจอบ้าง ครั้งนี้...ได้เจอแล้วครับ

ติ๊ก...ติ๊ก เข็มวินาทีกระดิกสองหน หมอกลอยมาขวางกั้น ภาพนกตรงหน้าหายกลายเป็นเงาดำเหมือนเดิม หวือๆๆ นกทั้งคู่กระพือปีกบินร่อนหายไปในสายหมอก ตั้งแต่เขาและเธอลงเกาะจนถึงบินไป ใช้เวลารวมไม่เกินสิบห้าวินาที เร็วชนิดที่พี่เล็กผู้วิ่งหน้าตั้งมาคว้ากล้องไม่ทัน แต่เห็นด้วยตาก็ถือว่าเห็น แม้จะไม่ได้ดูแบบใกล้ชิด มาถึงช่องเย็นไม่ถึงสิบนาทีได้เห็นนกเงือกคอแดง สุขครับ...สุขมาก ยิ่งสุขใหญ่เมื่อคิดว่าจะได้ทับถมนายตี๋นักดูนก ผู้ยังมาไม่ถึงพร้อมคณะลูกทัวร์

เพียงไม่นาน รถตู้คันใหญ่โผล่ขึ้นมาจากสายหมอก ชาวคณะตามมาถึงแล้ว ตี๋โผล่หน้ามา ตี๋เขินตี๋อาย ตี๋ไม่เคยได้เห็นคอแดง เพราะเกิดมาไม่เคยมาช่องเย็น ตี๋จึงเจ็บแค้นใจ (เหตุผลที่ตี๋ไม่เคยมาทั้งที่เป็นนักดูนกตัวกลั่น ที่นี่โบกรถลำบาก ไม่ค่อยมีรถให้โบก เลยมาทีไรไม่เคยถึงสักที ได้แต่เดินย่ำต๊อกรอรถผ่านอยู่ข้างล่าง รอเท่าไหร่ก็ผิดหวังเหมือนรอรัก ใครที่คิดว่าการดูนกไม่เกี่ยวกับเงินทอง ใช่ครับ...ถ้าเป็นนกกระจิบนกกระจอก แต่ถ้าเป็นราชานก คนจนไม่มีรถย่อมอาภัพจ้ะ)

อากาศปิด มีเมฆอยู่ทั่วไป ไม่ใช่อยู่เพียงบนฟ้า แต่เมฆก้อนหนึ่งเพิ่งลอยเข้าไปในข้าวกล่องของผม ที่ซื้อติดมาจากร้านสวัสดิการข้างล่าง เมฆอีกก้อนลอยเข้าไปในถุงน้ำปลา กรุณาอย่าคิดว่าเว่อร์จนกว่าคุณจะได้ไปช่องเย็นยามหน้าฝน เพราะคุณสามารถกินข้าวโดยไม่ต้องมีแก้วน้ำ แค่อ้าปากให้กว้าง สักเดี๋ยวเมฆก็จะลอยเข้าไป ไอน้ำบริสุทธิ์กลั่นตัวไหลโกร๊กลงมาตามไรฟัน สะอาดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

ผมกินข้าวแกล้มเมฆไปเรื่อยๆ สายตาจับจ้องแมลงประหลาดบินไปเกาะหน้านายตี๋ หน้าตาคล้ายแมลงหวี่แฮะ ฮูย...เกาะแล้วดูดเลือดด้วยเนี่ย เห็นเลยว่าตัวพองเป่งขึ้น ดูดนานตั้งนาทีแล้วยังไม่ยอมปล่อย เอ้า...ปล่อยแล้วล่ะ เห็นหยดเลือดเล็กๆ โผล่มาจากบาดแผล เมื่อถึงตอนนั้นผมค่อยบอกตี๋ว่าคุ่นกัด ตี๋เอามือปาดหน้าหัวเราะร่าใช่ที่ไหนครับ นี่มันขี้แมลงวันของผมต่างหาก สามสัปดาห์หลังจากนั้น ผมแอบเห็นตี๋เกาหน้าแกรกๆๆ อยู่หน้าห้องน้ำหญิง ขี้แมลงวันคันได้แปลกดีนะ

กินข้าวเสร็จ โดนคุ่นเจาะเลือดเสร็จ ถึงเวลาเดินดูนก ป่ารอบด้านของช่องเย็นมีนกมากหลาย แต่ละตัวไม่ค่อยได้เห็นง่ายๆ เช่น หัวขวาน แถมยังเชื่องเจาะไม้โป๊กๆ ให้เราชมตั้งนาน แต่อย่างว่า เรื่องนี้ไม่ใช่สารคดีดูนก ผมจะไม่ลงรายชื่อนกโน้นนี้นั้น เพราะมันไม่สมศักดิ์ศรีของนักเขียน เป้าหมายของเราต้องเป็นนกเงือก เมื่อกี้เจอนกเงือกคอแดงไปแล้ว คราวนี้มาดูนกเงือกกรามช้างบ้าง

เราเดินอยู่บนถนนครับ ก่อนชาวคณะรายหนึ่งจะหยุดยืนแล้วชี้โบ๊ชี้เบ๊ขึ้นไปบนอากาศ เจ้าเงาดำที่ร่อนอยู่เป็นฝูงคือนกเงือกกรามช้าง ไม่ได้มีแค่หนึ่ง แต่มาเป็นฝูง แถมยังไม่มีแค่ฝูงเดียว แต่มาหลายฝูง ตั้งแต่ไปยันกลับ ผมนับนกเงือกกรามช้างได้ ๓๒ ตัว มีอยู่หนหนึ่งทั้งฝูงร่อนลงเกาะต้นไม้ ส่องกล้องเห็นชัดเจนจนอยากกรี๊ด แม้นกเงือกกรามช้างหาไม่ยาก ไปแค่เขาใหญ่ก็มีสิทธิเจอ แต่กรามช้างเป็นฝูงหาดูไม่ง่าย ที่เห็นแบบสะดวกสบายทัวร์ คงต้องล่องใต้ไปถึงบาลาจึงจะมีสิทธิเห็นกรามช้างเยอะขนาดนี้

หนึ่งวันผ่านไป ค่ำคืนเข้ามาเยือน พายุพุ่งทะลวงผ่านช่องเย็น ทั้งเมฆทั้งฝนมืดไปหมด เปิดประตูห้องปุ๊บเมฆลอยเข้ามาในห้อง ยิ่งกลางคืนที่ช่องเย็นไม่มีไฟฟ้า เราต้องจุดตะเกียง บรรยากาศยิ่งสุดยอด ชาวคณะรวมกลุ่มกันในห้องพักสร้างไออุ่น ห้องที่นี่ทำไว้ใช้ได้ครับ มีเตียงนอนเรียงกัน ด้านหลังเป็นห้องครัวใช้ประกอบอาหาร แต่คุณต้องนำอุปกรณ์ทุกอย่างรวมทั้งเตาไฟมาเอง เขามีบริการเพียงก๊อกน้ำ ห้องน้ำอยู่ด้านหลังแยกชายหญิง ใช้รวมกันสองห้องนอนต่อห้องน้ำหนึ่งชุด

คืนนั้นที่ช่องเย็นผมขดตัวอยู่ในถุงนอนหลับสบายมาก มีเพียงหนเดียวที่ตื่นมากลางดึกหนหนึ่งรู้สึกฝ่ออยู่นาน ก่อนนอนดันเล่าเรื่องผีตากลวง ยิ่งที่ช่องเย็นมืดตึ๊ดตื๋อ ต้องเดินไปเข้าห้องน้ำข้างนอก ใครชอบดีฝ่อไม่ควรพลาดโอกาสมาเข้าห้องน้ำที่ช่องเย็นกลางดึก
ตื่นเช้ามาฝนจากไปแล้ว ฟ้าแม้ไม่สดใสแต่ถือว่าใช้ได้ เสียงนกร้องลั่นป่า ผมคว้ากล้องส่องทางไกลเดินออกมา ไม่ยอมล้างหน้าแปรงฟันหรือแม้กระทั่งคิดเปลี่ยนชุด เนื่องจากมาดูนกไม่ใช่ไปเดทกับน้องนก ความหอมของร่างกายไม่จำเป็น

พี่เจ้าหน้าที่เค้าบอกว่านกเงือกคอแดงมักมาตอนเช้ากับตอนเย็น ผมเดินออกไปที่สนาม มุ่งหน้าไปจุดชมวิวเพื่อส่องต้นไม้ของนกเงือก ปัญหาคือต้นไม้นี้ถูกต้นไม้อื่นบังไว้ ส่องลอดช่องไปเห็นนิดเดียว มองดูแล้วไม่เจอนกเงือก เลยเดินลัดเลาะไปตามขอบผา กำลังจะลงไปตามทางเพื่อดูนกในป่า ผมได้ยินเสียงบ๊อกๆๆ

เรื่องเสียงนี่ว่ากันลำบาก หูคนฟังเสียงไม่เหมือนกัน บางคนได้ยินคำหวานกลับกลายเป็นคำขม ผมเลยบอกคุณไม่ได้ว่าเสียงที่ได้ยินดังยังไง แต่บอกได้ว่าเคยได้ยินเสียงทำนองนี้ แม้จะไม่เหมือนเปี๊ยบ เสียงที่ผมเคยได้ยินเกิดขึ้นที่ป่าบาลา สมัยไปเฝ้าดูนกเงือก หนนี้ได้ยินแว่วมาจากหน้าผา แปลว่าน่าจะมีนกเงือก ผมเลยเดินย้อนกลับไปที่จุดชมวิว ยืนส่องกล้องแถวนั้น นายตี๋เดินมาเยาะเย้ยว่ารอนกเงือกหรือครับ?

ผมบอกตี๋ว่าได้ยินเสียง ตี๋ก็ไม่ยอมเชื่อ จนเมื่อต้นไม้สั่นไหว ผมมองเห็นนกตัวใหญ่สีดำหางขาวชัดแจ๋ว บินผ่านกิ่งไม้ที่จับตาอยู่แวบหนึ่ง ตี๋ไม่เชื่อก็เรื่องของตี๋ ผมแน่ใจแล้วว่าตรงนั้นมีนกเงือก กล้องในมือถูกยกขึ้นพร้อมๆ กับนกตัวใหญ่สองตัวบินออกมาจากต้นไม้ เมื่อวานเห็นชัดแค่ไหน วันนี้คูณด้วยร้อย นกเงือกทั้งคู่คือนายและนางคอแดงคู่เก่า ใหญ่มากสีสวยมาก ประสบการณ์ครั้งนั้นสุดบรรยาย น่าเสียดายที่มีผม ตี๋ และพี่เล็กเห็นกันอยู่สามคน ส่วนคนอื่นยังไม่ได้เดินออกมาจากห้องพัก เพราะยังเช้าอยู่มากหรือไม่ก็เพราะบุญไม่ถึง ฮ่าๆๆ 
ตลอดทั้งวันจนถึงยามบ่าย พวกเราเฝ้าดูนกอื่น แม้ไม่ได้เห็นนกเงือกคอแดงอีกเลย แต่นกที่พบทั้งหมด ๕๓ ชนิดล้วนติดตาติดใจ จะสวยงามแค่ไหนต้องเชิญให้คุณๆ ไปชมเอง

บทสรุปของช่องเย็น อย่าถามว่าผมจะกลับไปอีกไหม ต้องเปลี่ยนเป็นจะกลับไปเมื่อไหร่? เพราะผมติดอกติดใจที่นั่นมาก ชอบกว่าแก่งกระจานหลายเท่า อาจเป็นเพราะผมโชคดีไปตอนที่ไม่มีคนอื่น เลยมีโอกาสชื่นชมธรรมชาติสมใจอยาก ลองถามพี่เจ้าหน้าที่ เค้าบอกว่าถ้าเป็นหน้าหนาวในช่วงเทศกาล สนามหญ้าไม่พอกางเต็นท์ ต้องลงไปกางข้างล่างแน่ะ

หากคุณๆ สนใจไปช่องเย็น ผมสรุปให้อีกครั้ง ที่นี่บรรยากาศแจ่มมาก แต่เที่ยวตอนหน้าฝนควรโทรไปถามสภาพอากาศด้วย เมื่อถามแล้วควรติดต่อบ้านพักจากกรมป่าไม้ให้เรียบร้อย การกางเต็นท์ช่วงหน้าฝนอาจไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากฝนตกกลางคืนเกือบทุกคืน และไม่ใช่ตกเบาๆ แต่เป็นระดับลมพัดหวีดหวิว เช็คพาหนะสักนิด ถ้าเป็นรถเก๋งผมไม่แนะนำ รถกระบะสะดวกกว่า (รถตู้ที่มากับคณะ คนขับสั่นพั่บๆๆ ตลอดทาง ผมถึงไม่นั่งไงครับ) เตรียมอุปกรณ์มาทำอาหารทุกอย่าง เตรียมไฟฉายเสื้อหนาว อากาศประมาณ ๑๐-๑๕ องศากำลังดี ถ้ามาในช่วงหน้าหนาว หลีกหนีช่วงเทศกาล อย่าพยายามมาเป็นเด็ดขาด ควรเลือกมาวันธรรมดา ลางานสักสองวันสุขกายสบายใจกว่าเยอะ

คนที่ชอบเที่ยวโน่นนี่ ไม่สนใจการดูนกหรือดูป่า ทำใจไว้นิด ช่องเย็นไม่มีถ้ำ มีน้ำตกแต่อยู่ไกลมากและไม่ได้สวยเลิศเลอ แต่ถ้าอยากมานอนอยู่ในบรรยากาศป่าที่ผิดจากป่าไทยทั้งหลาย ได้เห็นนกเงือกก็ดี ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร นอนบ้างเดินเล่นบ้างแค่นั้นก็พอแล้ว ช่องเย็นเหมาะกับคุณครับ
...
ว่าแต่...อีกไม่นาน จะมีอะไรเหลือที่ช่องเย็น
เขื่อนแม่วงก์กำลังจะถูกสร้าง ป่านับหมื่นไร่จะหายไป
นกกี่ตัว สัตว์กี่ตัว
เคราะห์ดีที่ผมเคยไปช่องเย็น เคยเห็นแม่วงก์
เคราะห์ร้ายที่ผมยังมีความทรงจำถึงที่นั่น
เมื่อคิดถึงแล้ว ใจจะขาด
หากแลกป่า กับความเดือดร้อนจากคนโดนน้ำท่วมหลายล้าน
อาจชั่งใจคิด
แต่จริงหรือที่เป็นเช่นนั้น
เมืองไทยมีกี่เขื่อนแล้ว ???
เรากำลังจะเสียป่าไป
เพื่ออะไร...??? 
ผมคัดค้านเขื่อนแม่วงก์
ผมคัดค้านการนำภาษีของผมไปฆ่านกเงือกคอแดง !

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กระตุกกรมทรัพย์สินฯ ‘เร่งออกคู่มือขจัดสิทธิบัตรยาที่ไม่มีที่สิ้นสุด

Posted: 24 Apr 2012 09:06 AM PDT

เครือข่ายภาคประชาชนเพื่อการเข้าถึงยา มอบ คู่มือฯ สกัดคำขอ Evergreening ขนาดมหึมา กระตุกสำนึกกรมทรัพย์สินฯ ‘เร่งออกคู่มือ ขจัด evergreening สกัดทางหากิน พวกแร้งทึ้งผู้ป่วย’

4 เม.ย.55 เวลา 13.30 น. เครือข่ายภาคประชาชนเพื่อการเข้าถึงยา (อาทิ เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ, เครือข่ายเพื่อนมะเร็ง, ชมรมผู้ป่วยโรคไต, เครือข่ายผู้บริโภค, มูลนิธิเข้าถึงเอดส์, มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ ฯลฯ) มีนัดหารือกับนางปัจฉิมา ธนสันติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อวางกรอบและหลักเกณฑ์คู่มือการตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ทางยาเพื่อป้องกันสิทธิบัตรที่ไม่มีที่สิ้นสุด (Evergreening Patent) ซึ่งที่ผ่านมามีการหารือหลายครั้งตั้งแต่ต้นปี 2553 แต่ยังไม่คืบหน้า เพราะบริษัทยาข้ามชาติพยายามขัดขวางการทำคู่มือฯดังกล่าว เพราะเกรงว่า คำขอสิทธิบัตรที่ไม่มีความใหม่ และไม่มีนวัตกรรมที่สูงขึ้นจริงจะไม่ได้รับสิทธิบัตร

ก่อนการหารือ นายอนันต์ เมืองมูลไชย รองประธานมูลนิธิเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ เป็นตัวแทนมอบคู่มือการตรวจสอบสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งประดิษฐ์ทางยาขนาดสูง 1.78 เมตร กว้าง 1.20 เมตร ให้แก่อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา และติดตั้งถาวรที่กรมฯเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาพัฒนามาตรฐานการตรวจสอบสิทธิบัตรให้มีคุณภาพเพื่อรักษาสมดุลย์ระหว่างการรักษาประโยชน์ให้เจ้าของสิทธิและการพิทักษ์ประโยชน์สาธารณะ โดย คู่มือฯ สกัดคำขอ Evergreening ขนาดยักษ์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นหนังสือขนาดใหญ่ โดยมีปกหลังเขียนว่า ‘เร่งออกคู่มือฯ ขจัด Evergreening สกัดทางหากิน แร้งทึ้งผู้ป่วย’

"อุปสรรคชิ้นใหญ่ ของการเข้าไม่ถึงยารักษา และกรรมการยาแห่งชาติไม่บรรจุยานั้นเข้าในบัญชียาหลักแห่งชาติ อีกทั้งทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพไม่สามารถจ่ายยานั้นๆให้กับประชาชนได้ คือราคายาที่สูงอย่างไม่สมเหตุสมผล การกำหนดราคาที่ไม่เคยชี้แจง โครงสร้างราคา ของบริษัทยา และที่สำคัญที่ทำให้บริษัทยา มีพฤติกรรมที่ไร้มนุษยธรรม ไม่มีคุณธรรม คือการผูกขาดการค้า การใช้สิทธิบัตรที่ได้มาง่ายๆ ได้ไม่รู้จบ จากการยื่นขอสิทธิบัตรได้อย่างต่อเนื่อง เพียงแค่ปรับสูตรของตัวยาเล็กน้อย เท่านั้น ดังนั้นถ้าเราจะหยุดวงจรสูบเลือด สูบเนื้อ เอาเปรียบผู้ป่วย เอาเปรียบคนไทยทั้งประเทศได้ ประเทศของเราต้องมี "คู่มือฉบับนี้" เพื่อกำหนดกติกา หลักเกณฑ์ ที่รัดกุมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย" รองประธานมูลนิธิเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯกล่าว

คู่มือดังกล่าวพัฒนามาจากงานวิจัย “สิทธิบัตรยาที่จัดเป็น evergreening patent ในประเทศไทย และการคาดประมาณผลกระทบที่เกิดขึ้น” ที่เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข และกรมทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้ทำการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ทางยา ในระหว่าง ปี พ.ศ. 2543-2553 จำนวน 2,034 ฉบับ พบว่า มีคำขอรับสิทธิบัตร ร้อยละ 96 ที่มีลักษณะอยู่ในเงื่อนไขที่เป็น evergreening patent โดยพบว่าปัญหาส่วนใหญ่คือ คำขอรับสิทธิบัตร ‘ข้อบ่งใช้/การใช้’ ร้อยละ 73.7 สูตรตำรับและส่วนประกอบ ร้อยละ 36.4 และ Markush Claim ร้อยละ 34.7 ซึ่งทางสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขได้ทำหนังสือถึงกรมทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อนำเสนอผลการวิจัยในฐานะที่เป็นองค์กรร่วมสนับสนุนการวิจัย และมีข้อเสนอแนะให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาควรจะพิจารณาคู่มือที่คณะผู้วิจัยพัฒนาขึ้นนำไปใช้ในการปรับปรุงระบบการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรซึ่งกรมฯกำลังดำเนินการพัฒนาระบบอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งการพัฒนาแก้ไข พรบ.สิทธิบัตรให้มีความเป็นธรรมมากขึ้นตามยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ

“ประเด็นเร่งด่วนที่กรมทรัพย์สินฯเร่งขจัดข้อถือสิทธิใน สูตรตำรับใหม่ และองค์ประกอบใหม่ของสารเคมีเดิมที่เป็นที่รู้จักกันอยู่แล้ว รวมถึงกรรมวิธีการเตรียมสูตรตำรับดังกล่าว, หากตัวยาสำคัญของตำรับดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันอยู่แล้ว ตำรับยาสูตรผสมนั้นไม่สมควรได้รับสิทธิบัตร, ขนาดการใช้ยาใหม่ของสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เปิดเผยอยู่แล้วสำหรับข้อบ่งใช้เดิมหรือข้อบ่งใช้ใหม่ ไม่ถือว่ามีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น ไม่สมควรได้รับสิทธิบัตร, วิธีการรักษา บำบัด รวมถึงการวินิจฉัย ที่ใช้กับมนุษย์หรือสัตว์ ก็ไม่ได้รับสิทธิบัตรตามมาตรา 9 (4) แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตรของไทย และ ข้อถือสิทธิการใช้ยารวมถึงข้อบ่งใช้ที่ 2 ไม่ให้รับสิทธิบัตรตามมาตรา 9 (4) แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตรของไทย ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการสิทธิบัตรที่ 1/2553 ลงวันที่ 26 มกราคม2553”

เมื่อไม่นานมานี้ เคยมีรายงานข่าวระบุว่า บ.ติลลิกีแอนด์กิบบิน ยื่นหนังสือถึงกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้ทบทวนคำสั่งปฏิเสธข้อถือสิทธิการใช้ยาเพื่อเตรียมเป็นเภสัชภัณฑ์ที่ได้มีการปฏิเสธก่อนหน้านี้ทั้งหมด ทั้งที่เป็นคำวินิจฉัยที่เป็นบรรทัดฐานของคณะกรรมการสิทธิบัตร ปรากฏว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาแทนที่จะส่งให้คณะกรรมการสิทธิบัตรพิจารณา กลับส่งให้ ‘คณะอนุกรรมการสิทธิบัตร สาขาเคมี’ ซึ่งมีประธานซึ่งมีผู้ใกล้ชิดทำงานให้กับบริษัทยาข้ามชาติชี้ขาดว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการสิทธิบัตรไม่เป็นบรรทัดฐาน

ในประเด็นนี้ รองประธานมูลนิธิเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ กล่าวว่า ขณะนี้ กำลังให้นักกฎหมายพิจารณาว่า อาจมีความจำเป็นที่ต้องฟ้องร้องดำเนินคดีกับคณะอนุกรรมการสิทธิบัตรสาขาเคมี

“จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสิทธิบัตรซึ่งเราได้เรียกร้องความโปร่งใสและต้องไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัทยาข้ามชาติเข้ามาเป็นกรรมการดังเช่นที่ผ่านมา นอกจากนี้ ภาคประชาสังคมร่วมกับทีมวิชาการและนักกฎหมาย กำลังรวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆ และคำวินิจฉัยสิทธิบัตร เรากำลังพิจารณาเลือกใช้การฟ้องเพิกถอนสิทธิบัตรที่ได้อย่างไม่ชอบธรรมเพื่อให้เกิดบรรทัดฐานที่ดีของสังคม เพื่อให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญามีมาตรฐานและเป็นธรรมการผู้บริโภคเท่าๆกับที่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการภายใต้กฎหมายเดียวกัน”

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แรงงานนอกระบบร้อง คปก.ชงคลอดกฎกระทรวงคุ้มครองสิทธิคนทำงาน

Posted: 24 Apr 2012 08:56 AM PDT

24 เมษายน 2554 สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย - ผู้แทนเครือข่ายแรงงานนอกระบบ  คนทำงานบ้านจากหลายจังหวัด เช่น ขอนแก่นปัตตานี เชียงราย  และมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพกว่า 30คน  เข้าพบ คปก. โดยนางสุนี ไชยรส ศ.ดร.เสาวนีย์ อัศวโรจน์  นายชัยสิทธิ์ สุขสมบูรณ์ นายไพโรจน์ พลเพชร และดร.โชคชัย สุทธาเวศ คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงและพัฒนากฎหมายด้านสวัสดิการสังคม  เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555 ขอให้เร่งรัดกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. 2553 ซึ่งกำหนดว่าต้องจัดตั้งคณะกรรมการมากำกับภายใน 120 วัน รวมทั้ง ออกกฎ ระเบียบอีกหลายฉบับ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555 แต่ไม่มีการดำเนินการใด โดยพ.ร.บ.ประกาศเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2553  มีผลบังคับใช้หลังจากนั้น 180 วัน คือในวันที่ 15 พฤษภาคม 2554

ทั้งนี้ความล่าช้าดังกล่าวส่งผลให้ผู้รับงานไปทำที่บ้านไม่สามารถใช้สิทธิตามกฎหมายรับรองและคุ้มครอง เช่น   ค่าจ้างขั้นต่ำ ความปลอดภัยในการทำงาน และสุขภาพของแรงงานนอกระบบ ฯลฯ   ทำให้แรงงานนอกระบบไม่สามารถใช้สิทธิ  สูญเสียโอกาสและประโยชน์ที่ควรจะได้รับจากสิทธิที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองแม้พระราชบัญญัติที่มีผลบังคับใช้มากว่าหนึ่งปีแล้ว

นอกจาก แรงงานทำงานบ้านที่ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541ยกเว้นไม่คุ้มครอง  ไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิในกฎหมายประกันสังคม ทั้งที่มีอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 189 ว่าด้วยงานที่มีคุณค่าสำหรับแรงงานทำงานบ้าน และข้อเสนอแนะฉบับที่ 201 คนทำงานบ้านยังถูกโกงค่าแรง  ถูกล่วงละเมิดทางเพศจากนายจ้าง บางส่วนปกป้องสิทธิตนเองได้ยากลำบากเพราะกลัวถูกเลิกจ้าง บางรายสะท้อนว่าเมื่อถึงยามอายุมาก ไม่มีใครดูแล ต้องอาศัยพี่น้อง และรับจ้างทำงานเล็กๆน้อยๆ  

อย่างไรก็ตามหลังจากรับฟังแล้วคณะกรรมการฯ จะเชิญผู้แทนจากกระทรวงแรงงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงการบังคับใช้พ.ร.บ.คุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน สาเหตุของความล่าช้าในการออกกฎกระทรวงต่างๆ เพื่อคุ้มครองสิทธิผู้รับงานไปทำที่บ้านและคนทำงานบ้านตามกฎหมาย ต้นเดือนพฤษภาคมนี้

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ถกปัญหาโรฮิงญา "อมรา" แนะอาเซียนเลิกเกรงใจ-พูดกันตรงไปตรงมา

Posted: 24 Apr 2012 08:30 AM PDT

“ศรีประภา เพชรมีศรี” เสนอผลักดันให้ประเด็นโรฮิงญาถูกพูดถึงในวงกว้าง และดึงประเทศนอกอาเซียน ร่วมมือกันเพื่อให้ปัญหานี้ได้รับการแก้ไข

 

ศรีประภา เพชรมีศรี (ซ้าย) ผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษย์ชน และโซฟี่ แอนเซล  (ขวา) นักข่าวชาวฝรั่งเศสที่ติดตามประเด็นโรฮิงญา ในวงเสวนา “โรฮิงญา...บนเส้นทางที่โลกลืม”

วันนี้ (24 เม.ย. 55) ฝ่ายเครือข่ายทุนทางสังคม สำนักพัฒนาทุนทางสังคม สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และองค์กรเครือข่ายด้านสิทธิมนุษยชน ได้มีการเปิดเวทีเสวนา “โรฮิงญา…บนเส้นทางที่โลกลืม” มีผู้ร่วมเสวนาคือ อมรา พงศาพิชญ์ ประธานกรรทการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ศรีประภา เพชรมีศรี ผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษย์ชน หม่อง จอ นู จากสมาคมโรฮิงญาในประเทศไทย (BRAT) ฟิล โรเบิร์ตสัน จากกลุ่มติดตามสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (Asia Division Human Right Watch) และโซฟี่ แอนเซล นักข่าวชาวฝรั่งเศสที่ติดตามประเด็นโรฮิงญา

โดย ศรีประภา เพชรมีศรี ผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษย์ชน ได้เสนอว่า ควรมีการผลักดันให้ปัญหาผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาให้เป็นประเด็นสาธารณะที่จะต้องมีการพูดถึงเป็นวงกว้าง นอกจากนั้นยังต้องมีการแก้ไขปัญหาโรฮิงญาไม่เพียงเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนเท่านั้น ควรให้มีการแก้ไขปัญหาโรฮิงญานอกภูมิภาคอาเซียนด้วย อาทิ เช่น ในประเทศซาอุดิอาระเบีย และบังคลาเทศ ซึ่งในสองประเทศนี้มีชาวโรฮิงญาที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอยู่อีกล้านกว่าคน

ด้านโซฟี่ แอนเซล นักข่าวซึ่งที่ติดตามประเด็นโรฮิงญา ได้แสดงข้อคิดเห็นต่อความเป็นประชาธิปไตยของรัฐบาลพม่าว่า ควรยกเลิกคำสั่งการเดินทางออกนอกพื้นที่ของชาวโรฮิงญา ซึ่งถ้าเกิดยังไม่มีการยกเลิกก็ยังไม่ถือว่าประเทศพม่ายังไม่ได้เป็นประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ส่วนอมรา พงศาพิชญ์ กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้ปัญหาของชาวโรฮิงญายังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าที่ควร เป็นเพราะว่าแต่ละประเทศในสมาคมประชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ยังมีความเกรงใจกันอยู่ ไม่กล้าพูดถึงถึงปัญหาดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา โดยประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติผู้นี้แนะว่าควรให้ประเทศอาเซียนลดความเกรงใจระหว่างกันลงและขยายความร่วมมือกันในระดับที่กว้างออกไปกว่าภูมิภาคอาเซียนนำปัญหาดังกล่าวมาพูดถึงอย่างตรงไปตรงมา จึงจะสามารถทำให้ปัญหาโรฮิงญาได้รับการแก้ไข

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แวดวงเภสัช-หมอขยับ สรุปบทเรียนจาก ‘ยาซูโด’ สู่ การยกเครื่องระบบยา

Posted: 24 Apr 2012 06:54 AM PDT

ยาซูโดอีเฟดรีน หรือเรียกสั้นๆ ว่า “ซูโด” กลายเป็นประเด็นร้อนและร้อนขึ้นเรื่อยๆ สะเทือนแวดวงเภสัชกรและแพทย์จนเจ้าของประเด็นต้องลุกมาทำความเข้าใจภาพย่อยของยาซูโดฯ และภาพรวมของเรื่องทั้งหมดเพื่อหาทางออกร่วมกัน  ผ่านการจัดประชุมเรื่อง “การพัฒนาระบบยา จากบทเรียนยาซูโดฯ”

งานนี้จัดโดยแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) แผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.) วิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย(วคบท.)ชมรมเภสัชชนบท

ยาซูโดฯ เป็นยาสูตรผสม (ผสมตัวยาหลายชนิด) ที่ใช้ในการบรรเทาอาการหวัดคัดจมูกหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป มันถูกขึ้นบัญชีเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทสองเมื่อวันที่ 4 เม.ย.55 ซึ่งอนุญาตให้จำหน่ายเพียงในโรงพยาบาลเท่านั้น เนื่องจากซูโดฯ ถูกนำไปเป็นสารตั้งต้นของยาเอมเฟตามีน หรือ “ยาบ้า” ที่สำคัญคือการปรากฏข่าวคราวการสั่งซื้อยาซูโดฯ จำนวนมากและการสูญหายไปจากโรงพยาบาลในหลายจังหวัด

แม้ว่าคนในแวดวงสาธารณสุขหลายคนยังไม่แน่ใจว่ามหากาพย์ซูโดฯ นี้เป็นข่าวใหญ่โตเกินเหตุเพราะ “การเมือง” ในช่วงโยกย้ายถ่ายโอนอำนาจหรือไม่ แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากรณีนี้สะท้อนปัญหาระบบยาทั้งระบบที่คนในวงการก็ยอมรับว่า ควรต้องทบทวนและควรถือโอกาสปัดกวาดกันใหม่ เป็น “ซูโดภิวัตน์” ดังที่ภก.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาฯ เปรียบเปรยอย่างอารมรณ์ดีไว้

งานประชุมเริ่มต้นด้วยการเล่าภาพรวมของปัญหาโดย ผศ.ภญ.ดร.วรรณา ศรีวิริยานุภาพ รองผู้จัดการ คคส. คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ระบุว่า ก่อนหน้านี้ ซูโดอีเฟดรีนสูตรเดี่ยวที่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทที่ถูกควบคุมเป็นอย่างดีตลอดกระบวนการโดย อย. ขณะที่ยาซูโดอีเฟดรีนสูตรผสมนั้นไม่ถูกควบคุมมากเท่าสูตรเดี่ยว มีผู้ผลิตถึง 65 บริษัท และมีสูตรถึง 241 ตำรับ ซูโดฯ สูตรผสมกระจายอยู่ตามร้านขายยามากที่สุดราว 70% ที่เหลืออยู่ตามโรงพยาบาลรัฐและเอกชน แต่เมื่อยกระดับประกาศเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทสองที่ขายได้เฉพาะในโรงพยาบาลที่ได้รับอนุญาต ทำให้ อย.ต้องประกาศให้ร้านขายยาหรือ รพ.ที่ไม่ประสงค์รับอนุญาตส่งคืนยา ซึ่งถึงขณะนี้คาดว่ายังค้างอยู่ในระบบในหลักสิบล้านเม็ด โดย อย.ให้เวลานำส่งคืนภายใน 30 วัน (นับจาก 4 เม.ย.) และสามารถเรียกคืนมาได้เพียง 700,000 เม็ดในสัปดาห์แรก

อาจารย์วรรณายังชี้ถึงปัญหาเชิงระบบของยาซูโดฯ ด้วยว่า นอกจากยาซูโดฯ สูตรผสมจะควบคุมได้ยากแล้ว ยังมีปัญหาการลักลอบนำเข้าผิดกฎหมาย ซึ่งกว่า 75% มาจากประเทศเกาหลีใต้ ปัญหาการนำเข้าผิดกฎหมายเป็นปัญหาใหญ่และมีสัดส่วนสูงยิ่งกว่าปัญหายาภายในประเทศ ดูจากสถิติคดีตั้งแต่ปี 51-55 จำนวน 40 คดี จะพบว่ายึดของกลางได้กว่า 48 ล้านเม็ด เป็นยาที่ผลิตในไทยเพียง 8 ล้านเม็ด

ที่สำคัญ กฎหมายของไทยที่มีอยู่ยังไล่ตามการ “นำผ่าน” หรือการซื้อยาจากต่างประเทศ ผ่านไทย ไปสู่ประเทศอื่นๆ ไม่ทัน ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ที่ไม่มีบทบัญญัติเรื่องการนำผ่านและส่งออก มีเพียงการควบคุมการผลิต ขาย นำเข้าเท่านั้น ขณะที่ พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ก็มีบทลงโทษผู้กระทำผิดได้เพียงตัดโควตา ไม่สามารถเพิกถอนใบอนุญาตได้ และไม่มีบทบัญญัติการเรียกคืนยา ทำได้เพียงประกาศให้ผู้ไม่ประสงค์จะรับอนุญาตส่งคืนกับบริษัทผู้ผลิต ดังนั้น จึงควรเร่งผลักดันร่างพ.ร.บ.ยา ฉบับใหม่ของภาคประชาชน และของ อย. ซึ่งตอนนี้ทั้งร่างทั้ง 2 ฉบับอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ขณะที่ร่างพ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ที่ตกไป รัฐบาลก็ควรนำมาพิจารณาใหม่

นอกจากนี้ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างส่วนอื่นๆ ที่สำคัญอีก เช่น ความบกพร่องในการบริหารเวชภัณฑ์ ซึ่งดูจากตัวอย่างโรงพยาบาลที่มีปัญหายาซูโดสูญหายแห่งหนึ่งพบว่า การจัดซื้อยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนมิได้ดำเนินการตามแผนจัดซื้อของโรงพยาบาล ขาดการควบคุมการเบิกจ่ายยาในคลังย่อย ไม่มีระบบการตรวจสอบการรับยาที่เบิกจ่าย

ขณะที่เภสัชกรจิระ วิภาสวงศ์ หัวหน้าฝ่ายเภสัชสาธารณสุข จังหวัดลำพูน ขยายความถึงข้อบกพร่องในการบริหารเวชภัณฑ์ว่า แม้ว่าจะมี “การออกแบบระบบ” การบริหารเวชภัณฑ์ที่รัดกุมและมีประสิทธิภาพไว้แล้ว แต่ที่ผ่านมาก็มีการละเลยจากบุคลากรภายในเอง กระทั่งข้อบกพร่องหลายอย่างเกิดมาอย่างยาวนานจนกลายเป็นเรื่องปกติแล้ว เช่น การสั่งยาในนามโรงพยาบาลเข้าคลินิกส่วนตัวของแพทย์เพราะจะได้ราคาถูกกว่า คณะกรรมการที่มีหน้าที่วางนโยบาย อนุมัติกรอบรายการยาทั้งในระดับจังหวัดและโรงพยาบาลไม่ทำหน้าที่ รวมไปถึงปัญหาการจัดซื้อที่มีการซอยใบสั่งซื้อ บันทึกการขออนุมัติภายหลัง การมีคำสั่งซื้อลอย

“วันหนึ่งหมดจากเรื่องซูโดไปแล้ว แล้วมาแตะที่ระบบเวชภัณฑ์ว่ามันรั่วไหล จะเห็นจุดอ่อนเยอะแยะไปหมด แล้ววันนั้นเราจะขาดความน่าเชื่อถือไปเลย” เภสัชกรจิระเตือน

ในช่วงท้ายการสัมมนา ตัวแทนจากร้านขายยา เภสัชกรหญิงช้องนาง นิติศฤงคาริน ประธานสมาคมเภสัชกรรมชุมชน (ประเทศไทย) ได้ให้ความเห็นต่อมาตรการคืนยาภายใน 30 วันว่าเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับร้านขายยาเพราะกระชั้นชิดเกินไปและไม่มีการส่งสัญญาณให้ปรับตัวอย่างเพียงพอ ขณะที่ระบบการส่งคืนบริษัทผู้ผลิตค่อนข้างยุ่งยาก ประกอบกับมีวันหยุดสงกรานต์ยาวนาน หากร้านใดจะไม่ส่งคืนก็ต้องทำลาย จะเอาไปทิ้งขยะก็จะเป็นประเด็นอีกและตามไม่ได้ว่ามาจากไหน มาตรการเช่นนี้ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจในระบบ  นอกจากนี้กรณีของซูโดไม่ควรทำให้ร้านขายยาเป็นผู้ร้ายแต่ควรหาหนทางว่าจะพัฒนาอย่างไรให้ร้านขายยาซึ่งเป็นหน่วยหนึ่งในระบบได้เข้ามามีส่วนร่วมแก้ปัญหาด้วย

อย่างไรก็ตาม เภสัชกรประพนธ์ อางตระกูล ผอ.กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาระบุว่า อย.ได้ทำหนังสือแจ้งต่อร้านขายยาให้ระงับการขายยาเหล่านี้หลายครั้งแล้ว และเคยพูดในเวทีเสวนาตั้งแต่ปีที่แล้วว่าซูโดฯ สูตรผสมกำลังจะถูกยกระดับเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทสอง นอกจากนี้เขายังเพิ่มเติมข้อมูลในด้านการประสานกับหน่วยงานควบคุมเรื่องอาหารและยาของต่างประเทศ โดยเฉพาะเกาหลีใต้ซึ่งมีการนำเข้าซูโดฯ มาในไทยเยอะมากว่าเป็นไปอย่างใกล้ชิด และพยายามผลักดันให้เกาหลีใช้ระบบแจ้งการส่งออกยาไปยังประเทศปลายทางล่วงหน้าเหมือนระบบสากล เพื่อให้มีการตรวจสอบที่รัดกุมมากยิ่งขึ้น

นั่นเป็นเรื่องของ “ระบบ” การบริหารจัดการยา ซึ่งเป็นวงจรขนาดใหญ่ตั้งแต่การคัดเลือก  การผลิต การกระจาย และการใช้ แต่สำหรับความเห็นของแพทย์ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการสั่งยานี้ให้กับคนไข้ ซึ่งพากันกังวลกับกระแส “กลัวไม่มียาแก้หวัดกิน” บรรดาแพทย์กลับมองต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล จากคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ฟันธงว่า เป็นหวัด หายได้เอง ไม่ต้องกินยา ไม่ต้องหาหมอ เนื่องจากยาที่จะได้รับทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่มีประสิทธิพลในการบรรเทาอาการ ผลการวิจัยจากต่างประเทศพบว่า ยาซูโดฯ ประสิทธิผลต่ำ แต่ยา Phenylephrine ที่กระทรวงสาธารณสุขจะให้นำมาใช้เป็นยาทดแทนยิ่งประสิทธิผลต่ำกว่า หรือที่จริงควรเรียกว่า “ไม่มีประสิทธิผลเลย” โดยเฉพาะในเด็กยาสูตรผสมสำหรับบรรเทาอาการหวัดคัดจมูกนั้นถูก “ยกเลิก” ไปแล้วในหลายประเทศ เนื่องจากประสิทธิผลต่ำและมีผลข้างเคียงสูงอาจถึงชีวิต

“ยาผสมที่ผสมหลายตัวแก้ไอ ขับเสมหะ คัดจมูก ในต่างประเทศเขาไม่ให้เด็กของเขาใช้แล้วและอาจมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย สังคมต้องคุยกันว่ายาเหล่านี้ไม่ควรให้ซื้อได้ง่ายตามร้านขายยา” นพ.พิสนธิ์กล่าวและว่าการไปหาหมอด้วยโรคหวัดก็ทำให้โรงพยาบาลแน่นโดยใช่เหตุ เพราะก็จะได้ยาเหล่านี้กลับมา ที่สำคัญ คนไทยจำนวนมากเข้าใจผิดใช้ยาปฏิชีวนะ หรือยาแก้อักเสบบรรเทาอาการทั้งที่มันไม่ช่วยและไม่เกี่ยวข้องกับโรคแต่อย่างใด รังแต่จะทำให้เกิดการดื้อยา  ดังนั้น แม้ซูโดฯ สูตรผสมจะเข้าถึงยากขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องต้องกังวล

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีก็สรุปคล้ายกับว่า การแบนยาซูโดฯ อาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุสำหรับสกัดกั้นสารตั้งต้นผลิตยาบ้า ผศ.ดร.ชำนาญ ภัตรพานิช จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ระบุถึงการสังเคราะห์ทางเคมีของยาซูโดฯ ไปสู่เอมเฟตามีนว่าทำได้หลายวิธีมากกว่าที่ อย.เฝ้าระวัง และยังมีสารเคมีในผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีความสามารถเป็นสารตั้งต้นสำหรับผลิตแอมเฟตามีนได้อีกหลายชนิด หรือแม้แต่ยาทดแทน Phenylenphrine ก็ไม่แน่ว่าในอนาคตจะสามารถสังเคราะห์เป็นแอมเฟตามีนในต้นทุนที่ต่ำลงได้หรือไม่  

สำหรับบทสรุปก็คงเป็นดังที่ ผศ.พญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการ กพย.สรุปไว้ว่า

"การบริหารเวชาภัณฑ์คงต้องมีการรื้อระบบ การติดตาม การจัดหา ยังเป็นเรื่องที่ต้องเร่งปรับปรุง เพื่อให้เกิดธรรมาภิบาล มีความความโปร่งใส , accountability , การตรวจสอบการมีส่วนได้ส่วนเสียของผู้เกี่ยวข้อง ตลอดจน code of conduct ขณะเดียวกัน ยากลุ่มเสี่ยงยังมีอีกเยอะ ซูโดฯ เป็นแค่ยอดน้ำแข็ง ยังมีอย่างอื่นๆ เช่น สเตียรอยด์ ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกันในการจัดหาและกระจาย ซึ่งเชื่อว่ามีการลักลอบนำเข้าด้วย"

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“เกรียนลิขสิทธิ์”: เมื่อเจ้าของ“ทรัพย์สินทางปัญญา” ถือไพ่เหนือกว่าทางอำนาจและศีลธรรม

Posted: 24 Apr 2012 02:50 AM PDT

ชื่อบทความเดิม : เมื่อหนังสือถูกลิขสิทธิ์ที่สิงคโปร์กลายเป็นหนังสือละเมิดลิขสิทธิ์ในอเมริกา: ว่าด้วย ขีดจำกัดการใช้ของ “หลักการขายครั้งแรก” ในกฏหมายสหรัฐ [1]

 

“คดีตัวอย่าง! ขายหนังสือในอีเบย์เจอคดีเรียก 18 ล้าน นศ.ไทยโดนฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์” [2] เว็บไซต์มติชนออนไลน์ได้กล่าวพาดหัวคดีของอดีตนักศึกษาปริญญาโท (ปัจจุบันเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย) ไว้ดังนี้ เรื่องราวย่อๆ ก็คือ นักศึกษาปริญญาโทไทยคนหนึ่งได้นำเข้าตำราเรียนจำนวนหนึ่งที่ผลิตถูกต้องตามกฏหมายทุกอย่างในสิงคโปร์เข้าไปขายในเว็บไซต์อีเบย์เพื่อหาเงินเรียนหนังสือโดยที่ตำราที่เขาขายมีราคาถูกกว่าที่ขายในตลาดอเมริกาถึงครึ่งหนึ่ง (เช่น เขาขายประมาณ 50$ ในขณะที่ตำราเล่มเดียวกันในท้องตลาดอเมริกาอยู่ที่ 100$) ทางบริษัท Wileys & Sons ในอเมริกาไม่พอใจจึงฟ้องนักศึกษาคนนี้ฐานละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งของประกอบลิขสิทธิ์ที่ถูกละเมิดก็คือสิทธิ์ในการขายสินค้าลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในอเมริกา มีการสู้กันไปแล้วในสองชั้นศาลคือศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ของรัฐ ซึ่งอดีตนักศึกษาผู้นี้ก็แพ้คดีไปแบบไม่เป็นเอกฉันท์ทั้งสองศาล และนักศึกษาผู้นี้ก็กำลังจะสู้คดีต่อในศาลสูงสหรัฐที่น่าจะพิจารณาคดีนี้ในตอนปลายปี 2012 นี้

สังคมออนไลน์ในไทยมีปฏิกิริยาต่อคดีนี้ในทางลบกันเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยมากก็เห็นว่าอดีตนักศึกษาคนดังกล่าวมีความผิดจริงนี่เป็นกรณี “ละเมิดลิขสิทธิ์” ตัวอย่างที่ไม่ควรจะเอาเยี่ยงอย่าง อย่างไรก็ดีประเด็นที่สื่อไทยไม่ได้ให้ความสนใจเท่าใดนักก็คือ การเป็น “คดีตัวอย่าง” ที่อาจพลิกการตีความกฎหมายลิขสิทธิ์ไปจนถึงการลดทอนสิทธิพื้นฐานของผู้บริโภคสินค้าศิลปวัฒนธรรมในระบบกฏหมายอเมริกา นี่เป็นเหตุให้คีดนี้เป็นคดีที่หลายๆ ฝ่ายในอเมริกาจับตามอง พวกเขาไม่ได้สนใจหรอกว่านักศึกษาจากประเทศโลกที่สามคนนี้จะถูกหรือผิดในทางศีลธรรมแบบชาวไทยหลายๆ คน แต่เขาสนใจนัยยะของการตัดสินของศาลมากกว่าเพราะถ้านักศึกษาคนนี้แพ้คดีในศาลสูงอีก มันจะหมายความว่า “หลักการขายครั้งแรก” (First-Sale Doctrine) นั้นจะไม่สามารถใช้ได้กับสินค้าศิลปวัฒนธรรมที่ผลิตนอกสหรัฐอเมริกา นี่จะทำให้ธุรกิจการนำเข้าสินค้า ห้องสมุดที่มีหนังสือต่างประเทศ ไปจนถึงการซื้อของฝากทางศิลปวัฒนธรรมจากต่างประเทศได้รับการประทบกระเทือนไปหมดดังที่จะชี้ให้เห็นต่อไป

หากจะกล่าวง่ายๆ “หลักการขายครั้งแรก” เป็นหลักกฎหมายอเมริกาที่ว่าด้วยสิทธิของผู้บริโภคในการทำการขายสินค้าลิขสิทธิ์ในเงื่อนไขที่ว่าสินค้าลิขสิทธิ์นั้นถูกผลิตขึ้นมาโดยชอบด้วยกฏหมาย กล่าวคือเจ้าของลิขสิทธิ์จะมีสิทธิ์ในการขายเพียงครั้งแรกเท่านั้น เมื่อผู้ซื้อทำการซื้อของลิขสิทธิ์มา เขาก็มีสิทธิขายต่อโดยไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิการขายสินค้าลิขสิทธิ์ดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของลิขสิทธิ์ ทั้งนี้ สิทธินี้นอกจากจะครอบคลุมการนำไปขายครั้งที่สองของผู้ซื้อแล้ว ก็ยังครอบคลุมการถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ไปจนถึงการให้เช่าสินค้าลิขสิทธิ์ของผู้ซื้อแก่ผู้อื่นอีกด้วย [3]

หลักกฏหมายนี้เกิดจากคดี Bobbs-Merrill Co. v. Straus ในปี 1908 เรื่องมีอยู่ว่าสำนักพิมพ์ Bobbs-Merrill ได้ติดข้อความแนบมากับหนังสือที่พิมพ์เล่มหนึ่งว่า “ราคาค้าปลีกของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่ 1 $ ผู้จำหน่ายห้ามขายราคาต่ำกว่านี้ และเราจะถือว่าการขายราคาต่ำกว่านี้เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์” อย่างไรก็ดีก็มีผู้ที่ซื้อไปแบบขายส่งเพื่อไปขายปลีกในราคา 0.89 $ สำนักพิมพ์ Bobbs-Merrill ไม่พอใจจึงฟ้องศาล ในที่สุดศาลตัดสินว่าการนำมาขายต่อดังกล่าวไม่ใช่การละเมิดลิขสิทธิ์ และสถาปนา “หลักการขายครั้งแรก” ขึ้นในกฎหมายอเมริกา และนี่ก็เป็นบนเรียนที่สำคัญว่าในบางครั้งบรรดาเจ้าของลิขสิทธิ์ก็ไม่ได้มีสิทธิ์ดังที่พวกเขากล่าวอ้างเสมอไป อย่างน้อยก็ในสายตาของศาล

ถ้าลองมองดูดีๆ คดีนี้ก็ดูจะคล้ายคลึงกับคดีของนักศึกษาชาวไทยที่กล่าวมาข้างต้นที่เกิดขึ้นราว 100 ปีต่อมา เพราะทางผู้ซื้อก็ซื้อของถูกต้องตามลิขสิทธิ์ทุกอย่างจากเจ้าของลิขสิทธิ์และมาขายในราคาที่ถูกกว่า อย่างไรก็ดีความต่างคือศาลชั้นต้นกล่าวว่า “หลักการขายครั้งแรก” ดังกล่าวไม่สามารถใช้กับคดีนี้ได้ และศาลอุทธรณ์ที่ก็เห็นตรงกัน (แม้จะไม่เป็นเอกฉันท์) ศาลเห็นว่า “หลักการขายครั้งแรก” ไม่สามารถใช้กับสิ่งที่ผลิตขึ้นนอกสหรัฐอเมริกาได้ กล่าวคือ ศาลเห็นว่าหนังสือที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ที่ผลิตในสิงคโปร์ไม่เข้าข่ายสิ่งที่ “ผลิตอย่างถูกต้องตามกฏหมาย” หรือ “lawfully made” ในระบบกฎหมายอเมริกาตาม 17 USC § 109 (a) [4] เนื่องจากผู้ถือลิขสิทธิ์ในอเมริกาก็ทำการผลิตเช่นกันและในอเมริกาก็ให้ถือว่างานที่ผลิตในอเมริกาเท่านั้นที่เป็นการ “ผลิตอย่างถูกต้องตามกฏหมาย” นี่ส่งผลให้ข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ใช้ไม่ได้ และทำให้ทางนักศึกษามีความผิดฐานนำเข้าสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ [5]

ในระดับศาลอุทธรณ์ คดีได้รับการตัดสินโดยผู้พิพากษาสามคน ผู้พิพากษาสองคนลงความเห็นว่านักศึกษามีความผิด ส่วนผู้พิพากษาอีกคนเห็นว่าไม่มีความผิด เขาเห็นว่านักศึกษาไม่มีความผิดหากมองเจตนารมณ์ของกฏหมายในคำว่า “ผลิตอย่างถูกต้องตามกฏหมาย” หรือ “lawfully made” ว่ามีความหมายรวมถึงการผลิตอย่างถูกต้องตามกฏหมายในประเทศคู่สัญญาด้านทรัพย์สินทางปัญญาด้วย โดยอ้างข้อกฏหมายที่ว่ากฏหมายอเมริกายอมรับลิขสิทธิ์ของประเทศคู่สัญญาลิขสิทธิ์ [6] ซึ่งสิงคโปร์ก็เข้าข่ายอย่างไม่ต้องสงสัย และงานที่ว่าก็ไม่มีทางจะเป็นงานที่ละเมิดลิขสิทธิ์ไปได้ เนื่องจากเป็นงานที่ผลิตอย่างถูกต้องของบริษัทลูกของบริษัท Wiley & Sons ผู้ฟ้องเอง

มาถึงตรงนี้เราจะเห็นว่านัยยะของคำตัดสินนั้นใหญ่มาก มันเป็นการปฏิเสธสถานะอันถูกต้องตามลิขสิทธิ์ของงานที่ผลิตนอกอเมริกาด้วยซ้ำ และผลในทางปฏิบัติของการยืนยันว่าสิ่งที่ผลิตนอกอเมริกาเป็นสิ่งที่ไม่ได้ “ผลิตอย่างถูกต้องตามกฏหมาย” ตามนิยามของกฎหมายลิขสิทธิ์ ก็ยังส่งผลให้ผู้ที่ซื้อสินค้าลิขสิทธิ์มาจากต่างประเทศนั้นไม่สามารถทำสิ่งใดๆ กับสิ่งที่เขาซื้อมาได้นอกจากนำมาใช้ส่วนตัว เพราะลำพังการมอบให้ผู้อื่นเป็นของฝากไม่ว่าจะเป็นการมอบให้ญาติสนิทแค่ไหนก็ถือว่าเป็นการละเมิดแล้วตามแนวทางของการตัดสินของศาล หากสินค้าลิขสิทธิ์ดังกล่าวมีผู้ถือลิขสิทธิ์ในสหรัฐอเมริกา แน่นอนว่าแนวทางการตีความกฎหมายแบบนี้จะส่งผลกระทบกับผู้ค้าสินค้าลิขสิทธิ์นำเข้ารายย่อยจำนวนมากในอเมริกาที่ต้องคอยระวังว่าจะมีเจ้าของลิขสิทธิ์รายใหญ่มาฟ้องเขาหรือไม่ เพราะแม้แต่การนำเข้าของที่ถูกมองว่า “มีคุณภาพ” กว่าอเมริกาที่ราคาสูงว่าที่ผลิตในอเมริกา (เช่นแผ่น CD จากญี่ปุ่น) มาขายในอเมริกานั้นก็ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามแนวทางการตีความนี้ นอกจากนี้ปัญหานี้อาจลุกลามไปถึงการให้ยืมหนังสือต่างประเทศของห้องสมุดด้วยซ้ำเพราะมันก็เป็นกิจกรรมที่ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ภายใต้เงื่อนไขที่ว่ารัฐต้องยอมรับว่าหนังสือจากต่างประเทศนั้น“ผลิตอย่างถูกต้องตามกฏหมาย” เช่นกัน

ปัญหาดูจะลุกลามใหญ่โตไม่น้อยหากเป็นเช่นนี้ ในการอภิปรายกันบนอินเตอร์เน็ตก็มีผู้ตั้งข้อสงสัยและยกข้อมูลที่สืบค้นมาเพื่อจะชี้ว่านักศึกษาคนดังกล่าวได้ขนหนังสือไปขายเป็นตันๆ ไม่ใช่เพียงแค่ 8 เล่มดังที่เขาโดนฟ้อง (ซึ่งเขาโดนเรียกร้องค่าเสียหายเล่มละ 75,000 $ ตามที่กฏหมายกำหนดไว้อย่างเต็มที่) อย่างไรก็ดีผู้เขียนเห็นว่าประเด็นนี้ทำให้เราหลงประเด็นปัญหาในทางข้อกฏหมายของคำตัดสินเพราะ “หลักการขายครั้งแรก” ถือว่าการนำหนังสือขายครั้งที่สองไม่ว่าจะขายหนึ่งเล่มหรือขายหนึ่งล้านเล่มนั้นก็เป็นสิ่งถูกกฏหมายทั้งสิ้นหากหนังสือ “ผลิตอย่างถูกต้องตามกฏหมาย” และที่เราต้องไม่ลืมก็คือคดีที่สถาปนาหลักกฎหมายข้อนี้มาก็เกิดจากการซื้อหนังสือมาขายใหม่ในราคาที่ต่ำกว่าที่เจ้าของลิขสิทธิ์ต้องการให้เป็นในท้องตลาดและศาลก็ตัดสินว่าเจ้าของลิขสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์ควบคุมราคาในการขายครั้งที่สองมาเป็น 100 ปีแล้ว ดังนั้นการทำเพื่อการค้าใหญ่โตหรือไม่จึงไม่ใช่ประเด็นว่านักศึกษารายนี้จะผิดหรือไม่ผิดถ้าเรามองจากมุมมองของตัวบทกฎหมาย

สุดท้ายน่าสนใจที่ชาวไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนักว่าการให้อำนาจแก่เจ้าของลิขสิทธิ์มากเกินไปมันจะทำให้เกิดภาวะ “เกรียนลิขสิทธิ์” (copyright trolls) ขึ้นได้เช่นกัน หากข้อโต้แย้งว่าสิ่งที่นักศึกษาทำนั้นแม้จะไม่ผิดกฎหมายแต่ก็เป็นการใช้ความคลุมเครือของกฎหมายเอาเปรียบเจ้าของลิขสิทธิ์ ก็น่าจะโต้แย้งว่าการกระทำของเจ้าของลิขสิทธิ์จำนวนมากก็น่าจะใช้ความคลุมเครือของกฏหมายและกระบวนการยุติธรรมเอาเปรียบผู้บริโภคได้เช่นกัน และการขู่จะฟ้องของ “เกรียนลิขสิทธิ์” ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง [7] สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บริโภคทั่วไปจะตระหนักถึง และอาจมองว่าเป็นปัญหา “การบังคับใช้กฎหมาย” ด้วยซ้ำในกรณีที่มันเป็นความผิดอาญา

อย่างไรก็ดี ความผิดพวกนี้จะไม่เกิดถ้ากฎหมายไม่ให้อำนาจการฟ้องหรือมีความชัดเจนพอในขอบเขตของการฟ้อง และท้ายที่สุดความย้อนแย้งของผู้บริโภคชนชั้นกลางชาวไทยผู้มีศีลธรรมสูงส่งทั้งหลายก็คือ พวกเขามักจะเรียกร้องให้จับคนผิด “เข้าคุก” และให้หลายๆ อย่างมีความผิดทางอาญามากขึ้นๆ แต่สิ่งที่พวกเขามองไม่เห็นก็คือการยิ่งมีกฎหมายอาญามากขึ้น มีความผิดอาญามากขึ้น รัฐก็ต้องรับภาระหนักขึ้น และถ้าเจ้าหน้าที่มีเท่าเดิมจำนวนเจ้าหน้าที่ที่ทำการบังคับใช้กฎหมายก็จะไม่เพียงพอ นี่ทำให้เกิดภาวะในการเลือกที่จะบังคับใช้กฎหมายบางข้อของเจ้าหน้าที่ขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และโดยส่วนใหญ่แล้วในที่สุดการเลือกบังคับใช้กฎหมายก็จะนำไปสู่การคอร์รัปชั่นที่เหล่าผู้เปี่ยมด้วยศีลธรรมไม่ปรารถนาในที่สุด และที่น่าเศร้าก็คือ พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าการสำเร็จความใคร่ทางศีลธรรมของพวกเขานั้นสุดท้ายมันก็ได้นำมาพวกเขามาสู่โลกอันไม่พึงประสงค์ในที่สุด

 

หมายเหตุ:

  1. ผู้เขียนเขียนบทความนี้ในฐานะของผู้เฝ้าดูปรากฎการณ์ทางลิขสิทธิ์ในโลกที่ต้องการจะเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ผู้อ่านทั่วไปที่ไม่มีความรู้เฉพาะทางด้านกฎหมายเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวที่อาจเกิดกับพวกเขา ผู้เขียนไม่ใช่เรียนกฎหมายโดยตรง ความรู้ที่เขียนในบทความนี้เกิดจากการตามอ่านคดี ตัวบทกฎหมาย และการสนทนากับนักกฎหมาย หากผู้เขียนกล่าวอะไรผิดไปจากหลักวิชาด้านกฎหมายก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
  2. http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1334721992&grpid=03&catid=03
  3. นี่หมายความว่าผู้ที่ซื้อสินค้าลิขสิทธิ์ใดๆ มามีสิทธิ์โดยชอบที่จะให้เช่าสินค้าลิขสิทธิ์ได้โดยไม่ถือว่าเป็นการละเมิด ดังนั้นการให้ผู้อื่นเช่าหนังสือและดีวีดีจึงเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของผู้ที่ซื้อมาอย่างถูกต้องตามกฏหมาย อย่างไรก็ดีไม่ครอบคลุมการให้เช่าในกรณีของงานบันทึกเสียงและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ดู 17 USC § 109 (b) (1) (A) http://www.law.cornell.edu/uscode/text/17/109
  4. ดู http://www.law.cornell.edu/uscode/text/17/109
  5. ดู 17 USC § 602 (a) (2) http://www.law.cornell.edu/uscode/text/17/602
  6. ดู 17 USC § 104 (b) (2) http://www.law.cornell.edu/uscode/text/17/104
  7. การเกรียนลิขสิทธิ์เกิดจากการที่เจ้าของลิขสิทธิ์เล่นกับอำนาจการฟ้องตามกฏหมายเพื่อรีดค่ายอมความจากผู้ถูกฟ้องซึ่งในหลายๆ ครั้งไม่ได้กระทำความผิด แต่เลือกที่จะยอมความเพราะค่ายอมความดูจะประหยัดกว่าค่าทนายในการสู้คดีจนชนะ กรณีนี้เกิดขึ้นมากมายในสหรัฐอเมริกาในการฟ้องคดีการดาวน์โหลดหนังและเพลงกว่า 200,000 คดีที่ผ่านๆ มาก็มีผู้บริสุทธิ์จำนวนไม่น้อยต้องยอมจ่ายค่ายอมความเพราะเหตุผลดังกล่าว ในไทยภาวะการเกรียนลิขสิทธิ์ก็เกิดขึ้นเมื่อบริษัทเก็บค่าลิขสิทธิ์เรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์การแสดงดนตรีในร้านอาหารหรือร้านต่างๆ ที่ไม่ได้ขายกิจกรรมทางดนตรีโดยตรง ที่ศาลไทยเคยชี้แล้วว่าไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยซ้ำ หรือกรณีอื่นๆ ก็เช่นการกล่าวหาว่าร้านเสื้อผ้าเล็กๆ ลอกลายผ้าของยี่ห้อใหญ่ๆ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่แน่ชัดว่าการลอกเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะการจ่ายค่ายอมความทั้งๆ ที่ตนไม่มีความผิดก็ดูจะคุ้มค่าทางเศรษฐกิจกว่าการสู้เพื่อยืนยันความถูกต้องของตนในศาล
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ชาวบ้านลุ่มน้ำโขงเหนือ-อีสาน บุกยื่นหนังสือ ช.การช่าง ค้านเขื่อนไซยะบุรี

Posted: 24 Apr 2012 01:14 AM PDT

เครือข่ายภาคประชาชน 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง จี้ ช.การช่าง ยุติการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรีในลาว ชี้ยังไม่มีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งโครงการเดินหน้า เมินมติที่ประชุมคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง

 
 
หลังจากมีการลงนามสัญญาก่อสร้างโครงการเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ระหว่าง บริษัท ช.การช่าง (ลาว) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.ช.การช่าง กับบริษัทไซยะบุรีพาวเวอร์ (ลาว) โดยมีมูลค่าสัญญาประมาณ 51,824.64 ล้านบาท เมื่อวันที่ 17 เม.ย.55 ที่ผ่านมา ถือเป็นการละเมิดมติที่ประชุมคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) ที่ 4 ประเทศลุ่มน้ำโขง อันได้แก่ ไทย ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ให้ทำการศึกษาผลกระทบเพิ่มเติม
 
นอกจากนั้น พนมเปญโพสต์ของกัมพูชายังมีรายงานข่าวว่าโครงการเขื่อนไซยะบุรี ที่จะสร้างขึ้นบริเวณภาคเหนือของ กัมพูชา ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากบรรลุข้อตกลงสัญญาการก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว
 
วันนี้ (24 เม.ย.55) เมื่อเวลาประมาณ 9.00 น. เครือข่ายภาคประชาชน 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ประกอบด้วย เชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ราว 60 คน รวมตัวหน้าอาคารสำนักงานใหญ่ บมจ.ช.การช่าง (CK) เพื่อยื่นหนังสือต่อผู้บริหารและผู้ถือหุ้น เรียกร้องให้บริษัทยุติการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรีในประเทศลาว หลีกเลี่ยงการสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน และประเด็นที่จะสร้างความขัดแย้งในภูมิภาค
 
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขงมองว่า โครงการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรีจะสร้างผลกระทบร้ายแรงต่อ ระบบนิเวศลุ่มน้ำโขง การอพยพของพันธุ์ปลา การประมง การเกษตร และความมั่นคงทางอาหารของชุมชนสองฝั่งแม่น้ำโขง ที่มีแม่น้ำโขงเป็นสายเลือดหล่อเลี้ยงชีวิต อันจะส่งผลไปสู่การบังคับให้อพยพย้ายถิ่น และการขาดแคลนอาหาร ตลอดทั้งอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงดินแดนของประเทศด้วย
 
จากนั้นได้มีการอ่านแถลงการณ์ประณามการละเมิดข้อตกลงของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ระบุข้อเรียกร้อง 1.บริษัท ช.การช่าง หยุดโครงการเขื่อนไซยะบุรีทันที พร้อมทั้งระงับการก่อสร้างในพื้นที่ จนกว่าการศึกษาผลกระทบของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงจะแล้วเสร็จ มีการเผยแพร่ และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างรอบด้าน และมีส่วนร่วม 2.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระงับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี เนื่องจากโครงการยังไม่ได้รับฉันทามติจากประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงทั้ง 4 ประเทศ
 
3.ธนาคารกรุงไทย กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ และกรุงเทพ ระงับและยกเลิกการปล่อยเงินกู้เพื่อการสร้างเขื่อนไซยะบุรี เพื่อหยุดสนับสนุนการลงทุนที่ฉวยโอกาสจากประเทศเพื่อนบ้าน 4.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ควรเข้าไปตรวจสอบบริษัทที่จดทะเบียน ให้คำนึงถึงหลักธรรมาภิบาลในการลงทุน เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากล โดยเฉพาะมาตรฐานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
 
“เขื่อนไซยะบุรีจะทำลายระบบนิเวศอันอุดมสมบูรณ์ของลุ่มน้ำโขงตอนล่าง และวิถีชีวิตของคนริมฝั่งโขงหลายล้านคน เป็นความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง กว้างขวาง และไม่อาจแก้ไขกลับคืนได้” แถลงการณ์ระบุ
 
 
ต่อมา เครือข่ายภาคประชาชน 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขงได้เดินทางไปชุมนุมที่บริเวณหน้าสำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ธนาคารไทยที่ปล่อยเงินกู้ในก่อสร้างโครงการ เพื่อยื่นข้อเรียกร้องให้ระงับเงินกู้แก่ บมจ.ช.การช่าง (CK) ในการสร้างเขื่อนไซยะบุรี
 
นอกจากนั้นเครือข่ายฯ ยังจะมีการทำหนังสือส่งไปยังธนาคารที่ปล่อยกู้ให้แก่โครงการดังกล่าว ให้ระงับและยกเลิกการปล่อยเงินกู้ รวมทั้งทำหนังสือถึงตลาดหลักทรัพย์ ให้มีการตรวจสอบการประกอบกิจการที่ควรคำนึงถึงหลักธรรมาภิบาลแม้จะเป็นการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน
 
ทั้งนี้ โครงการสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำไซยะบุรี ถูกต่อต้านจากกลุ่มองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศลุ่มน้ำโขง เพราะการก่อสร้างเขื่อนใดๆ บนแม่น้ำโขงต้องตกลงกันให้ได้ทั้ง 4 ประเทศก่อน และก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.54 ประชุมคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงได้มีมติให้ทบทวนการประเมินผลกระทบจากเขื่อนบนแม่น้ำโขงใหม่อย่างรอบด้าน โดยประเทศสมาชิกยังไม่ให้ฉันทามติต่อการก่อสร้างโครงการเขื่อนไซยะบุรีแต่อย่างใด
 
ภาพ: ข้อมูลโครงการเขื่อนบนแม่น้ำโขง จาก http://www.stimson.org/infographics/interactive-mekong-map
 
สำหรับ โครงการเขื่อนไซยะบุรี มีบริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์เป็นผู้รับสัมปทานผลิตไฟฟ้าซึ่ง บมจ.ช.การช่างถือหุ้นในไซยะบุรี พาวเวอร์ ราว 50%, บริษัท นทีซินเนอร์ยี่ จำกัด ถือหุ้น 25%, บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ถือหุ้น 12.5%, บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL ถือหุ้น 7.5%  และ บริษัทพี.ที.คอนสตรัคชั่นแอนด์ อิริเกชั่น ถือหุ้น 5%
 
โครงการนี้มีกำลังการผลิต 1,285 เมกะวัตต์ มีสัญญาขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 1,220 เมกะวัตต์ โดยจะขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าลาว 60 เมกะวัตต์ ตลอดอายุสัมปทาน 29 ปี ภายหลังการลงนามในสัญญาก่อสร้าง คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างราว 8 ปี โดยจะเริ่มขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนมกราคม 2562
 
แถลงการณ์ระบุรายละเอียดดังนี้
 
 
 
 
แถลงการณ์
เครือข่ายประชาชน 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง
ประณามการฝ่าฝืนมติ MRC ของบริษัท ช.การช่าง
กรณีเดินหน้าสร้างเขื่อนไซยะบุรี
 
ตามที่บริษัท ช.การช่างฯ ได้ลงนามกับบริษัทไซยะบุรีพาวเวอร์ เพื่อลงทุน ก่อสร้าง และพัฒนาโครงการเขื่อนไซยะบุรี บนแม่น้ำโขงสายหลัก และวางแผนที่จะส่งไฟฟ้าขายให้แก่ประเทศไทยนั้น
 
เครือข่ายภาคประชาชน 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ที่ได้ติดตามกรณีการพัฒนาโครงการในแม่น้ำโขงมาตลอด มีความกังวลใจอย่างยิ่งต่อโครงการเขื่อนไซยะบุรี 
 
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขงมองว่า โครงการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรีจะสร้างผลกระทบร้ายแรงต่อ ระบบนิเวศลุ่มน้ำโขง การอพยพของพันธุ์ปลา การประมง การเกษตร และความมั่นคงทางอาหารของชุมชนสองฝั่งแม่น้ำโขง ที่มีแม่น้ำโขงเป็นสายเลือดหล่อเลี้ยงชีวิต อันจะส่งผลไปสู่การบังคับให้อพยพย้ายถิ่น และการขาดแคลนอาหาร ตลอดทั้งอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงดินแดนของประเทศด้วย
 
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ชาวบ้านได้รับรู้ถึงผลกระทบของการสร้างเขื่อน4 แห่ง ในประเทศจีน ซึ่งกั้นแม่น้ำโขงทางตอนบน ที่แม้จะอยู่ห่างไกลกว่าโครงการเขื่อนไซยะบุรี แต่ได้สร้างผลกระทบต่อคนลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างชัดเจน หากมีการสร้างเขื่อนไซยะบุรีสำเร็จ จะเกิดผลกระทบไม่เพียงแต่ประชาชนในประเทศไทยเท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนริมแม่น้ำโขงในลาว กัมพูชา และเวียดนาม รวมถึงคนริมฝั่งแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง
 
เขื่อนไซยะบุรีจะทำลายระบบนิเวศอันอุดมสมบูรณ์ของลุ่มน้ำโขงตอนล่าง และวิถีชีวิตของคนริมฝั่งโขงหลายล้านคน เป็นความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง กว้างขวาง และไม่อาจแก้ไขกลับคืนได้
 
ที่สำคัญ การเดินหน้าก่อสร้างโครงการของ บริษัท ช.การช่าง ได้ละเมิดมติคณะมนตรีแม่น้ำโขง โดยคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (เอ็มอาร์ซี) ซึ่งสมาชิก 4 ประเทศลุ่มน้ำโขง อันได้แก่ ไทย ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ที่ประชุมกัน เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2554 ที่ประเทศกัมพูชา โดยที่ประชุมมีมติให้ทำการศึกษาชิ้นใหม่ เพื่อประเมินผลกระทบจากเขื่อนบนแม่น้ำโขงอย่างรอบด้าน และ 4 ประเทศสมาชิกเอ็มอาร์ซียังไม่ให้ฉันทามติต่อการก่อสร้างโครงการเขื่อนไซยะบุรีแต่อย่างใด
 
การลงนามในสัญญาก่อสร้างโครงการเขื่อนไซยะบุรี การดำเนินการก่อสร้างดังกล่าว จึงละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศของภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งในภูมิภาคได้ในระยะเวลาอันใกล้
 
เครือข่ายภาคประชาชน 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง เรียกร้องให้
 
1        บริษัท ช.การช่าง หยุดโครงการเขื่อนไซยะบุรีทันที พร้อมทั้งระงับการก่อสร้างในพื้นที่ จนกว่าการศึกษาผลกระทบของเอ็มอาร์ซีจะแล้วเสร็จ มีการเผยแพร่ และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างรอบด้าน และมีส่วนร่วม
 
2        การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระงับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี เนื่องจากโครงการยังไม่ได้รับฉันทามติจากประเทศสมาชิก MRC ทั้ง 4 ประเทศ
 
3        ธนาคารกรุงไทย กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ และกรุงเทพ ระงับและยกเลิกการปล่อยเงินกู้เพื่อการสร้างเขื่อนไซยะบุรี เพื่อหยุดสนับสนุนการลงทุนที่ฉวยโอกาสจากประเทศเพื่อนบ้าน
 
4        ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ควรเข้าไปตรวจสอบบริษัทที่จดทะเบียน ให้คำนึงถึงหลักธรรมาภิบาลในการลงทุน เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากล โดยเฉพาะมาตรฐานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
 
เพื่อแม่น้ำโขงที่ไหลอย่างอิสระ หล่อเลี้ยงผู้คนแห่งสุวรรณภูมิสืบต่อไป
 
 
 
หมายเหตุภาพจาก: คำปิ่น อักษร
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

มาร์คแนะ "จตุพร-ณัฐวุฒิ" เข้าไปรดน้ำขอขมา "พล.อ.เปรม"

Posted: 24 Apr 2012 12:36 AM PDT

ชี้ถ้านายณัฐวุฒิไม่ไปรดน้ำเปรม จะชัดเจนใหญ่ว่าอะไรเป็นอะไร ด้าน "ณัฐวุฒิ" ไม่ตอบจะขอขมา พล.อ.เปรม หรือไม่ แต่ไล่อภิสิทธิ์ไปแยกราชประสงค์ 19 พ.ค. นี้เพื่อขอขมาญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายชุมนุมปี 53 

อภิสิทธิ์แนะ "จตุพร-ณัฐวุฒิ" เข้าไปรดน้ำ "เปรม" เพื่อขอขมาสิ่งที่กล่าวหาไว้

ตามที่มีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมนำ ครม. เข้าไปบ้านสี่เสาเทเวศร์เพื่อรดน้ำดำหัว พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษนั้น ล่าสุดวันนี้ (24 เม.ย.) สำนักข่าวไทย รายงานคำพูดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำพรรคฝ่ายค้านว่า เป็นเรื่องดีที่จะไปรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ และเป็นธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติที่เคยทำกันมา แต่ไม่ควรนำมาอ้างเรื่องความปรองดอง “หากอยากแสดงความปรองดอง ควรให้แกนนำเสื้อแดง อาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ไปขอขมาพล.อ.เปรม ว่าสิ่งที่เคยปราศรัยกล่าวหา ไม่เป็นความจริง ส่วนที่มีข่าวว่า นายณัฐวุฒิติดภารกิจไม่สามารถไปร่วมรดน้ำขอพร พล.อ.เปรมได้ ยิ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร เพราะ ครม.คนอื่นว่างหมด มีเพียงนายณัฐวุฒิคนเดียวที่มีภารกิจ

 

ณัฐวุฒิไม่ตอบจะขอขมาเปรมหรือไม่ แต่แนะอภิสิทธิ์ไปราชประสงค์ขอขมาญาติผู้เสียชีวิต

ด้าน มติชนออนไลน์ รายงานคำพูดของนายณัฐวุฒิ ซึ่งตอบว่า วันที่ 26 เม.ย. เป็นคนละสถานการณ์กับที่คนเสื้อแดงเคยไปไล่ พล.อ.เปรมถึงหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องการสร้างความปรองดองและเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น ทั้งนี้จะไม่ตอบว่าจะขอขมาหรือไม่ขอขมา พล.อ.เปรมตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้า ปชป.เรียกร้อง วันดังกล่าวตนก็คงปฏิบัติหน้าที่ปกติ เพราะยืนยันว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องระหว่างบุคคล ส่วนตัวเห็นว่านายอภิสิทธิ์ชอบคิดเล็กคิดน้อย หากนายอภิสิทธิ์อยากให้ตนและนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดงไปขอขมา พล.อ.เปรม ตนก็อยากเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ไปขอขมาญาติผู้เสียชีวิต 92 ศพ ในเหตุการณ์ปี 2553 และในวันที่ 19 พ.ค.นี้ นายอภิสิทธิ์ควรจะไปสี่แยกราชประสงค์ เพื่อทำพิธีขอขมาผู้เสียชีวิตด้วย ทั้งนี้ การเข้ารดน้ำดำหัว พล.อ.เปรมจะไม่ทำให้คนเสื้อแดงต้องเสียมวลชน เพราะขณะนี้จุดยืนในการต่อสู้ของตนยังเหมือนเดิม

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ธิดา ถาวรเศรษฐ : ผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย แพ้เลือกตั้งที่ปทุมธานีบ่งบอกอะไรบ้าง?

Posted: 23 Apr 2012 08:00 PM PDT

สนามเลือกตั้งเป็นที่เดียวที่บอกความคิดและความต้องการของประชาชน  ถ้าเป็นการเลือกตั้งเฉพาะพื้นที่ก็บ่งบอกความคิดและความต้องการของประชาชนในพื้นที่  ถ้าเป็นการเลือกตั้งทั่วไปก็จะบอกถึงความคิดความต้องการของทั้งแต่ละพื้นที่และในขอบเขตทั่วประเทศ

การที่มีการเลือกตั้ง  แม้ไม่อาจแสดงว่าประเทศนี้มีการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์  แต่ผลการเลือกตั้งทุกครั้งก็เป็นการแสดงผลทัศนคติและความประสงค์ของประชาชนที่ต้องเคารพและสะท้อนให้เห็นว่า  ระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งนั้นดีกว่าเผด็จการทหารและระบอบอำมาตย์ฯ ที่ปล้นอำนาจประชาชนไปเพียงไร?  การที่ผู้สมัคร สส. และนายก อบจ. มาจากพรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งทั้ง 2 ตำแหน่ง  และผู้สมัครนายก อบจ. ที่ลงทุนทิ้งตำแหน่ง สส. มาสมัครแพ้นับแสนคะแนน  จึงเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะวิเคราะห์เป็นอย่างยิ่ง            

สำหรับผู้สมัคร สส. นั้น  พบว่าแพ้ชนะไม่มากนัก  แต่น่าสังเกตที่มีผู้มาเลือกตั้งเพียงสามสิบกว่าเปอร์เซ็นต์  นั่นหมายถึงผู้สมัคร สส. ประชาธิปัตย์ได้ฐานเสียงเดิมของตนเต็มจำนวน  ส่วนผู้สมัคร สส.เพื่อไทยก็ยังได้ฐานเสียงเดิมจำนวนหนึ่ง  แต่ก็มีคนที่เคยเลือก สส. เพื่อไทยไม่ไปออกเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ไม่น้อยทีเดียว  รวมแล้วคิดเป็นจำนวนกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง   นี่คือปรากฎการณ์  แล้วเนื้อแท้ของปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไร?            

ผู้เขียนมีมุมมองจากจุดที่พอจะสัมผัสประชาชนพี่น้องจังหวัดปทุมธานีระดับหนึ่ง  ก็ขอแสดงทัศนะแลกเปลี่ยน ณ. ที่นี้คือ   คำถามว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้บ่งบอกถึงลักษณะทั่วไปทั้งประเทศว่าประชาชนเสื่อมศรัทธาพรรคเพื่อไทยหรือไม่?  ผู้เขียนคิดว่ายังไม่ใช่เช่นนั้น  ปรากฎการณ์ครั้งนี้มีลักษณะเฉพาะมากกว่าลักษณะทั่วไป  แต่น่าจะเป็นบทเรียนที่ดีของพรรคเพื่อไทย  (ถ้าคิดจะสร้างพรรคให้เป็นพรรคมวลชน)  ลักษณะเฉพาะคืออะไร?  ประการแรก  ลักษณะเฉพาะที่ผู้สมัคร สส. ลาออกจากตำแหน่งเพื่อลงสมัครนายก อบจ. โดยไม่คำนึงถึงประชาชนผู้เลือกตั้งและผู้สนับสนุน  เขาคงคิดบนการตัดสินใจส่วนตนเป็นหลัก  ประเมินตนเอง  ประเมินพรรค  และประชาชนไม่ตรงความเป็นจริง  ผลจึงออกมาแบบนี้   เมื่อลาออกแล้วไปลงนายก อบจ. จึงแพ้นับแสนคะแนน  อย่างนี้ต้องถือว่าจบแล้วทางการเมือง  เพราะประเมินตนเองสูงกว่าความเป็นจริง  และประเมินประชาชนคนเสื้อแดงต่ำกว่าความเป็นจริง  คิดว่าผลที่แล้วมาได้รับชัยชนะเพราะมีฐานเสียงของตนเอง  คิดว่าประชาชนศรัทธาตัวตนของผู้สมัครโดยไม่ให้ความสำคัญว่า ที่แล้วมาผู้สมัครได้รับเลือกตั้งเพราะพรรค  และการสนับสนุนของประชาชนที่ชอบพรรคเพื่อไทย  และการสนับสนุนเอาการเอางานของคนเสื้อแดง (ไม่ต้องจ้าง) 

ส่วนผู้สมัคร สส. ในนามพรรคเพื่อไทยแพ้ชนะไม่มากนักก็จริง  แต่ที่คนไม่มาเลือกตั้งรวม ๆ กว่าร้อยละหกสิบ  แสดงว่าผู้เคยสนับสนุนอย่างเอาการเอางานก็เฉื่อยชา  ไม่ออกไปเลือกพรรคไหน  นี่จึงแสดงว่าประชาชนขาดแรงจูงใจที่จะไปออกเสียงสนับสนุนผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย  แต่ก็ไม่ไปเลือกพรรคประชาธิปัตย์  และประชาชนจำนวนหนึ่งไม่ให้ความสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้  เพราะไม่เชื่อว่า สส. จะมีประโยชน์อะไรแก่ประชาชนในพื้นที่และแก่ประเทศ  จึงเป็นสาเหตุที่บ่งบอกว่า สส.เดิมและผู้สมัครใหม่ยังไม่ใกล้ชิดกับประชาชนมากเพียงพอตั้งแต่ได้รับการเลือกตั้ง  และผู้สมัครใหม่ก็ยังไม่ได้ใจจากประชาชนเพียงพอ            

เหตุผลที่สำคัญยิ่งคือประชาชนจังหวัดปทุมธานีได้ประสบเคราะห์กรรมจากมหาอุทกภัยปลายปี 54 จนต้นปี 55 กว่าสามเดือน  และบัดนี้เงินชดเชยเยียวยายังลงไปถึงพี่น้องไม่ทั่วถึง  คำถามถึง สส.พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย  คือมาตรการดูแลประชาชนที่เดือดร้อนจากอุทกภัยครั้งนี้  มีระบบและการติดตามตรวจสอบอย่างไร  นอกจากระบบงานของรัฐบาลแล้วยังเป็นปัญหาเฉพาะตัว สส. ด้วย  ถ้าคิดว่ากระแสพรรคแรงจนตัว สส. จะปฏิบัติตัวอย่างไรประชาชนก็ต้องเลือกวันยังค่ำ  ไม่จำเป็นต้องดูแลใกล้ชิดประชาชน  ถ้าคิดอย่างนี้ก็คิดผิด            

สำหรับลักษณะทั่วไปที่นำมาร่วมพิจารณาได้แม้ยังไม่ใช่สาเหตุหลักของการพ่ายแพ้ครั้งนี้ในจังหวัดปทุมธานี  ซึ่งลักษณะเฉพาะเป็นด้านหลักที่ สส. ลาออกและมีปัญหาอุทกภัยหนักหนาสาหัส

1.      พรรคเพื่อไทยก็ต้องพิจารณาว่า  จุดอ่อนของ สส. และการทำงานในฐานะ สส. เขตหรือ สส. บัญชีรายชื่อนั้น  ต้องมีระบบแบบแผนการทำงาน และการตรวจสอบในขอบเขตที่เหมาะสม  รวมทั้งการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและกลุ่มคนเสื้อแดงในพื้นที่

2.      รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องตรวจสอบผลการทำงานของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ปัญหาประชาชน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสำคัญอันมีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก

3.      พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทย  รัฐบาล  กับคนเสื้อแดงและ นปช.  

ข้อดี ก็คือผลการเลือกตั้งครั้งนี้แสดงว่า  คนเสื้อแดงปทุมธานีมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก  ไม่ได้เป็นอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์โจมตีว่าเป็นพวกโง่เง่า  บริวารคุณทักษิณ  ถูกซื้อได้ด้วยเงิน แสดงว่าถ้าเขาไม่พอใจที่  สส. ลาออกมาสมัครนายก อบจ.  เขาก็แสดงออกชัดเจน  ผู้เขียนได้รับการร้องเรียนจากคนเสื้อแดงปทุมธานีเรื่อง สส. พรรคเพื่อไทย  หรือในหลายจังหวัดก็มีเรื่องทำนองนี้มาก  ที่พูดนี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าข้างคนเสื้อแดงเสียทั้งหมด  เพราะคนเสื้อแดงก็คือประชาชนไทยธรรมดาที่เอาการเอางานในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความยุติธรรม  ก็มีความหลากหลายเช่นเดียวกับประชาชนไทยทั่วไป 

แต่ถ้าพรรคจะเก็บรับบทเรียนครั้งนี้ไปก็เป็นผลดีของพรรคเอง  ที่สำคัญอย่าโยนว่าเป็นความผิดของ สส. ทั้งหมดโดยพรรคไม่จำเป็นต้องปรับปรุงอะไรเลย  และความคิดที่ว่าเมื่อได้รับการเลือกตั้งมาแล้วก็เดินหน้าทางการเมืองโดยไม่สนใจ  รับฟังประชาชนหรือแม้แต่คนเสื้อแดง  แม้แต่องค์กร นปช. แดงทั้งแผ่นดิน คิดว่าถ้าควบคุมแกนนำจำนวนหนึ่งในฐานะสมาชิกพรรคได้  ก็แปลว่าควบคุมคนเสื้อแดงทั้งประเทศได้  ขอโทษ!  คิดผิดแล้ว  เพราะคนเสื้อแดงเติบใหญ่ทั้งปริมาณและคุณภาพยิ่งกว่าจะเดินตามอย่างเชื่อง ๆ  ไม่ใช่จะให้ใครมาสั่งการที่ไม่มีเหตุผลหรือไม่สอดคล้องความเป็นจริงแล้วเขาจะทำตามนะ  อย่าว่าแต่พรรคเลย  แกนนำก็สั่งการโดยไม่มีเหตุผลไม่สอดคล้องความจริงก็สั่งการไม่ได้

ในด้านลบ
อาจจะมองว่าทำให้พรรคการเมืองที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตยอ่อนกำลังลง  ครั้งนี้ไม่น่าจะเสียหายอะไรมากมาย  ดีเสียอีกที่ผลการเลือกตั้งจะส่งสัญญาณเตือนพรรคเพื่อไทยให้ปรับปรุงทั้งในมิติเรื่องการคัดเลือกผู้สมัคร สส.  การตรวจสอบ สส.  และความสัมพันธ์ระหว่างพรรค,  ผู้สมัคร สส. กับประชาชนและองค์กรประชาชนคนเสื้อแดง  จะทำให้ยกระดับการทำงานของพรรค  ของ สส. ในแง่ความสัมพันธ์กับประชาชนและประสิทธิภาพการทำงานของ สส. ของพรรคของรัฐบาล  ก็น่าจะทำให้อนาคตฝ่ายประชาชนดีขึ้น  

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แนะนำหนังสือ: มีอะไรบ้างในหนังสือ “แรงงานอุ้มชาติ”

Posted: 23 Apr 2012 05:06 PM PDT

เพื่อประเทศชาติก้าวไปข้าง หน้าและพัฒนาอย่างยั่งยืน ผู้เขียนขอร่วมเสนอมุมมองและบทวิเคราะห์ทางด้านแรงงานที่สะท้อนผ่านการ ต่อสู้ของแรงงานทั้งในเมืองและชนบท และบทวิเคราะห์ปัญหาการเมืองไทยที่เขียนตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2540 จนถึงปัจจุบัน รวมกันทั้งสิ้น 33 เรื่อง ในหนังสือ “แรงงานอุ้มชาติ” เล่มนี้

ด้วยหวังว่า ไม่มากก็น้อย บทความเหล่านี้ อาจจจะช่วยบอกเล่าเรื่องราวแห่งความทุกข์ยากและการต่อสู้ของคนชั้นล่างใน สังคม คนที่อยู่ชายขอบ คนที่เปรียบดังมือที่โอบอุ้มชาติ ที่ชาติไม่เคยมองเห็น หรือไม่เคยใส่ใจใยดีต่อพวกเขาอย่างแท้จริง และด้วยหวังว่าเรื่องราวของพวกเขาจะสามารถสั่นสะเทือนหัวใจของผู้มีอำนาจใน สังคมไทยได้บ้าง โดยเฉพาะต่อนักการเมืองที่พวกเขาเลือกเข้ามาบริหารบ้านเมือง

คนไทยทุกข์มายาวนานเกินพอแล้ว มันถึงเวลาที่การเมืองไทย จะมุ่งแก้ปัญหาโครงสร้างสังคม ที่ดำรงตนอยู่บนการกดขี่ขูดรีดชนชั้นล่างมายาวนาน มันจำต้องเร่งหามาตรการเพื่อลดช่องว่างแห่งรายได้และวิถีชีวิตของประชาชนคน ส่วนใหญ่กับอภิสิทธิชนในสังคมอย่างเร่งด่วน  (คำนำ)

“การโค่นผู้นำคนหนึ่งในสังคมที่ปกครองด้วยการคอรัปชั่นไม่สามารถสร้างการเปลี่ยน แปลงใดๆ ได้อย่างแท้จริง” (สลายหมอกควันแห่งการคอรัปชั่น)

(*.*) . . . (”_”)

ใต้ถุนกระทรวงแรงงานเป็นที่อาศัยของคนงานกลุ่มแล้ว กลุ่มเล่า โดยเฉพาะคนงานหญิงอายุมากที่ถูกนายจ้างลอยแพ หลังจากพลังงานและสุขภาพของพวกเขาถูกวิถีการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมทำลายไป เกือบสิ้นแล้ว (คำโปรยภาพ)

(*.*) . . . (”_”)

“เราไม่สามารถหรือว่าใครก็ตามไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของนายจ้าง ที่บอกว่าไม่เห็นด้วยกับสหภาพ คุณเปลี่ยนเขาไม่ได้ คุณไม่ชอบแมลงสาบ คุณก็จะไม่ชอบแมลงสาบทั้งชีวิต แต่ว่าจะทำอย่างไรให้แมลงสาบอยู่ที่หนึ่ง และเราอยู่ที่หนึ่ง มันเป็นสิทธิ  เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรให้แมลงสาบมันเติบโต น่ารัก ดูดี” (สหภาพแรงงานคือแมลงสาบปฏิบัติการล้มสหภาพแรงงาน)

ปฏิบัติการหมา คือ การใช้มาตรการกดดันที่รุนแรง คุกคามเพื่อให้คนงานไม่กล้าตั้งสหภาพ ไม่กล้าเป็นสมาชิกสหภาพ หรือถอนตัวจากการเป็นสมาชิก โดยมุ่งเป้าที่การคุกคามแกนนำเป็นหลัก (สหภาพแรงงานคือแมลงสาบปฏิบัติการล้มสหภาพแรงงาน)

(*.*) . . . (”_”)

ความฝันของคนงานทั่วโลก คือการมีโรงงานของตัวเองที่ปลอดการกดขี่ขูดรีด และพวกเขาบริหารจัดการกันเอง ออกกฎระเบียบกันเอง คนงานเบดแอนด์บาธ ทำได้ พวกเขาตั้งโรงงาน “สมานฉันท์” ผลิดสินค้าตัวเองยี่ห้อ “Dignity Returns” (คำโปรยประกอบภาพ)

(*.*) . . . (”_”)

ผู้พิพากษาถาม “พูดไทยได้ไหม?”, “ล่ามอยู่ไหน?”, “ช่วยเป็นล่ามได้ไหม?” (ประสบการชีวิตในห้องพิจารณาคดี)

(*.*) . . . (”_”)

ประเทศไทย เป็นประเทศเกษตรกรรมและเกษตรกรไทยก็รักการใช้ชีวิตบนผืนดิน คนชนบทที่ดิ้นรนเดินทางไปหางานทำในเมืองหลวงและในต่างแดนต่างก็ฝันว่าจะนำ รายได้ไปซื้อที่ดิน อุปกรณ์การเกษตร และเพื่อลงหลักปักฐานในชนบท แต่ความฝันอันเรียบง่ายและชอบธรรมยิ่งนี้ กลับเป็นเครื่องมือให้พวกเขาถูกเอารัดเอาเปรียบทั้งจากนายทุน นักค้าแรงงาน ธนาคารเงินกู้ของทั้งรัฐและเอกชน มาโดยตลอด และทำให้เกษตรกรจำนวนมากในประเทศไทยต้องล้มละลาย สูญเสียที่ดินและวิถีชีวิตบนการพึ่งตนเอง (เกริ่นนำ “คนชนบทอุ้มประเทศ”)

(*.*) . . . (”_”)

ในปี 2535 บุญถิน จากหมู่บ้านโนนผักหวาน อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู ได้รับการเชิญชวนจากญาติห่างๆ ที่ทำงานที่สิงคโปร์ให้ไปทำงานด้วยกัน ซึ่งบุญถินและเพื่อนๆ จากบ้านโนนผักหวานและหมู่บ้านใกล้เคียงจำนวน 7 คน ได้ตกลงไปทำงานที่สิงคโปร์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าการไปครั้งนี้จะเป็นการไปทำงานอย่างผิดกฎหมาย แค่ที่ทุกคนกล้าเสี่ยงเพราะสภาพความแห้งแล้งและความยากจนที่ตัวเองประสบอยู่ (แรงงานไทยในสิงคโปร์)

(*.*) . . . (”_”)

การค้าความฝันกับคนจนโดยเฉพาะชาว อีสานที่มีความฝันหลักคือๆ เพื่อเงิน “แต่งงาน” ”สร้างบ้าน” “ซื้อรถปิ๊กอัพ เครื่องมือการเกษตร” หรือ “ที่ดิน” และ “การศึกษาลูก” ที่ต้องแลกด้วยความเสี่ยงของการเสียบ้านและที่ดินที่มีอยู่เดิม! (ตลาดค้าความฝัน)

(*.*) . . . (”_”)

อุปกรณ์ป้องกันไม่มีให้เลย ตั้งแต่รองเท้าใส่ทำงาน เราก็ต้องซื้อเอา เก็บเอาตามกองขยะ ชุดทำงานก็ต้องหาเก็บตามถังขยะมาใช้ ก็พอใส่ได้ นายจ้างไม่ให้อะไร ใช้งานเราอย่างเดียว …

อ้วนจากไปในเวลา 8.00 น. ของวันที่ 17 มิถุนายน 2551 หนึ่งชีวิตของผู้ที่สร้างเศรษฐกิจชาติที่จบลงโดยปราศจากการรักษาเยียวยา อย่างจริงจัง การนอนรอการรักษาเป็นเวลาถึง 46 วัน นับตั้งแต่วันที่อ้วนเดินทางมาถึงเมืองไทย (อีกกี่ชีวิตที่ต้องเสียสละเพื่อความงามของดอกกุหลาบที่อิสราเอล)

(*.*) . . . (”_”)

“หนูตระเวนทำงานก่อสร้างกับแม่ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ พ่อเป็นทหารไทใหญ่ที่เสียชีวิตไปนานแล้ว” แสงเดือน นักร้องสาวเสียงหวานจับใจบอกกับฉัน …  ในวัยเพียง 22-29 ปี พวกเขาไม่เคยหยุดสู้และพยายามยิ้มสู้โลกแม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะไม่เคยหยุด ร่ำไห้ (รอจันทร์ส่องแสง)

(*.*) . . . (”_”)

ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่เราพบก็คือในปัจจุบัน คนไม่มีเวลาที่จะจัดแบ่งให้กับกิจกรรมที่อยู่นอกเหนือกิจวัตรประจำวันไม่ว่า จะเป็นคนงานในเมืองหรือชาวบ้านในชนบท … เรื่องที่นำความปวดหัวมาสู่พวกเราอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องการเมือง  เมื่อชาวบ้านไม่แน่ใจว่าพวกเราเป็นกลุ่มการเมืองไหนกันแน่ ก็จะไม่กล้าเข้าร่วมกิจกรรมกับพวกเรา  ที่ภาคอีสานพวกเราถูกถามว่า เป็นพวกสีแดงหรือสีเหลือง พอขึ้นมาที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะที่หมู่บ้านของตัวเอง เล็กถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกพันธมิตรไปเสียนี่ (เทศกาลหนังแรงงานนานาชาติ)

(*.*) . . . (”_”)

“ไปกันทั้งสามีภรรยา โดยสามีจ่ายค่านายหน้า 78,000 บาทและภรรยาจ่าย 75,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและการเตรียมการ จะตกคนละ 90,000 บาท ทั้งคู่อยู่จนครบกำหนดสัญญา แต่ว่าเหลือเงินหลังจากหักค่าใช้จ่ายกันเพียง 75,000 บาท (สามี) และ50,000 บาท (ภรรยา) ซึ่งไม่พอจ่ายคืนเงินกู้ที่กู้ยืมไป ตอนนี้ยังมีหนี้สินอยู่รวมกันอีก 70,000 บาท”

“เขาว่าได้เงินเร็ว สองเดือนได้เงินเป็นแสน พอเสร็จจากทำนาแล้วก็ว่างงาน ก็เลยไป” (เรื่องเล่าจากคนเก็บเบอร์รี่ปี 2552)

ปัญหามากมายที่เกิดจากการปฏิบัติตามพิมพ์เขียวการพัฒนาของสถาบันแบรทตัน วูดส์ (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund -IMF และธนาคารโลก (World Bank – WB)) ยังคงเป็นตัวบั่นทอนและสร้างความสับสนต่อทิศทางการพัฒนาประเทศของหลายประเทศ ในโลกใต้ (100 ปี วันสตรีสากล)

(*.*) . . . (”_”)

อย่าให้ความเกลียดชังต่อระบอบทักษิณ ทำให้พวกเรามืดบอดต่อความจริงและหลักการ เราจะยอมให้มีรัฐประหารและการรัฐประหารอีกกี่ครั้ง ถึงจะเข้าใจอุดมการณ์ที่แท้จริงของคำว่า “ประชาธิปไตย” ที่ไม่มีคำว่า “แบบไทยๆ” พ่วงท้ายอยู่ตลอดเมื่อทหารต้องการรัฐประหาร หรือขั้วอำนาจชาตินิยมใช้แอบอ้างเพื่อความชอบธรรมในการปล้นประชาธิปไตยมาจาก ประชาชนอย่างเช่นที่เป็นอยู่

เราจะต้องประนีประนอมอีกสักกี่ครั้ง? . . . เราจะเชื่อทหารได้อีกสักกี่ครั้ง? (ยุทธวิธี “ได้อะไรก็เอาไว้ก่อน” ใช้ไม่ได้กับรัฐบาลเผด็จการ)

(*.*) . . . (”_”)

ผู้เขียนรู้สึกทันทีเมื่อได้อ่านข้อเขียนของคุณนวมทอง ว่า  “นี่คือ วีรบุรุษเพื่อประชาธิปไตยของไทย เป็นวีรบุรุษที่ประเทศนี้รอคอยมากว่า 75 ปี” เป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ว่า “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” สามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย เมื่อคนขับแท็กซี่ ตัวแทนจากชนชั้นคนยากจนที่มีสัดส่วนกว่า 80% ของประชากรทั้งประเทศ คนยากจนที่แทบไม่เคยมีตัวแทนในรัฐสภา ที่แทบไม่เคยมีสิทธิใดๆ ทั้งสิ้นนอกจากสิทธิเลือกตั้งตามหน้าที่ ได้ประกาศ “เพื่อประชาธิปไตย” ด้วยชีพ (นวมทอง ไพรวัลย์ฯ)

(*.*) . . . (”_”)

รูปแบบการประท้วงที่นี่จะเป็นรูปแบบไม่มีองค์กรนำ แต่ละคนแต่ละกลุ่มที่รู้สึกร่วมในปัญหาและเห็นด้วยกับการประท้วงจะมีการ เตรียมการณ์กันในระหว่างกลุ่ม จะมีตัวแทนในแต่ละกลุ่มที่ทำหน้าที่ปรึกษากันในส่วนการวางแผนงานในระดับชาติ และนำประเด็นต่างๆ มาเตรียมงานกับกลุ่มเพื่อนฝูงกันเอง แต่ในระหว่างการประท้วง ทุกกลุ่มมีอิสระจะแสดงหรือจะประท้วงในรูปแบบใดก็ได้ (รายงานจาก : Climate Camp 2009, ลอนดอน)

(*.*) . . . (”_”)

ไปเยี่ยมอีสานแต่ละครั้ง จะเศร้าสะเทือนใจมากกับเรื่องราวและทุกข์ของชาวบ้านมากมาย ที่เป็นหนี้สินและหมดตัว เพราะความไร้น้ำยาของรัฐในการไม่มองการณ์ไกล ไม่รู้จักความต้องการที่แท้จริงของชาวบ้าน ให้เขาต้องดิ้นรนกันจนเป็นเหยื่อของนักค้าแรงงานมายาวนาน (คำโปรยภาพ)

(*.*) . . . (”_”)

คำถามคือ คลื่นคนทั้งสี่ห้าแสนคน และถ้ารวมกันทั้งประเทศก็นับล้านคนออกมาประท้วงเพื่อทักษิณเพียงคนเดียวจริงหรือ? (จะปรองดองกันถามคนเสื้อแดงก่อนนะ)

(*.*) . . . (”_”)

การให้ค่าของสังคมกับมนุษย์นั้นก็มีชนชั้นมาโดยตลอดทั้งที่กางกั้นด้วย ฐานะ วรรณะ และชาติตระกูล – คนงานต่างชาติผิดกฎหมายเด็กขายพวงมาลัย คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แม่ค้าลูกชิ้นทอดที่มุกดาหาร นักศึกษามหาวิทยาลัย กับลูกอภิสิทธิชน (ปรากฏการณ์ลูกอภิสิทธิชนกับการทำให้ผู้เสียชีวิตบนท้องถนนถึง 9 ศพ กับการให้ค่าชีวิตคนไทย)

(*.*) . . . (”_”)

ปัจจุบันเกาหลีมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นนักการเมืองเสรีนิยม และนับตั้งแต่ปี 2491 เป็นต้นมา เป็นเวลา 63 ปี ที่เกาหลีใต้ปกครองด้วยประธานาธิบดีเพียง 10 คน โดยหลายคนควบยาวสองถึงสามสมัย ในขณะที่ 78 ปี ประชาธิปไตยไทย มีนายกรัฐมนตรีถึง 27 คน (ไม้ขีดก้านเดียวที่เปลี่ยนสังคมเกาหลี: เกาหลีเปลี่ยนแล้ว ไทยทราบแล้วเปลี่ยน?)

(*.*) . . . (”_”)

แต่เมื่อมองดูบริบทการเลือกตั้งในฟินแลนด์ แล้วมาดูการเมืองไทย ก็ต้องบอกว่าอดชื่นชมไม่ได้ โดยเฉพาะฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีครรลองการเลือกตั้งต่อเนื่องยาวนาน นับตั้ังแต่ปี 2449 ในขณะที่ประเทศไทยพรรคการเมืองถ้าไม่ได้รับการยินยอมและยอมรับจากทหารและชน ชั้นสูง ก็จะไม่สามารถดำรงพรรคการเมืองมาได้ต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้ จะเห็นว่าในประวัติศาสตร์พรรคการเมืองไทยจะมีการยุบพรรคการเมืองกันมาตลอด ทำให้พรรคการเมืองที่ตั้งมาด้วยอุดมการณ์ไม่สามารถดำรงตนอยู่ได้อย่างยาวนาน (บทเรียนจากการเลือกตั้งของประเทศสาธารณรัฐฟินแลนด์ สำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึงในประเทศไทย)

(*.*) . . . (”_”)

งบด้านสิ่งแวดล้อมของแผนงบประมาณปี 2554 มีเพียง 2,761 ล้านบาท คิดเป็นเพียง 0.1% ของแผนงบประมาณ ในขณะที่งบด้านการป้องกันประเทศ 153,543.8 ล้านบาท คิดเป็น 8.1% และงบการรักษาความสงบภายใน 122,566 ล้านบาท คิดเป็น 5.9% หรือจะเปรียบเทียบได้ว่างบทหารมีมากกว่างบด้านสิ่งแวดล้อมถึง 55.6 เท่า และงบด้านการรักษาความสงบภายในมีมากกว่างบด้านสิ่งแวดล้อมถึง 44 เท่า และเมื่อรวมกันทั้งงบทหารและการรักษาความสงบภายในประเทศ มีมากกว่างบด้านสิ่งแวดล้อมถึง 99.6 เท่าตัว (ดูน้ำท่วม ดูงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อม 2554)

(*.*) . . . (”_”)

ด้วยเป็นพรรคเดียวในประเทศไทย ที่อยู่รอดจากการถูกล้มมาได้จนถึงปัจจุบัน ประชาธิปัตย์จึงมีวิทยายุทธทางเกมส์การเมืองที่กล้าแกร่ง และมีประสบการณ์ทางการเมืองอย่างยากที่จะหาพรรคการเมืองใดในประเทศไทยเทียบ เทียมได้ และด้วยการมีสายสัมพันธ์กับขั้วอำนาจเก่ามาอย่างยาวนาน พรรคประชาธิปัตย์จึงโดดเด่นในเรื่องการ “เล่นเป็นทีม” มากกว่าพรรคการเมืองรุ่นหลัง ที่มักมีตัวชูโรงส่วนใหญ่เป็น “หัวหน้าพรรค” เท่านั้น (ตรรกะสลิ่มกับประชาธิปไตยแบบไทยๆ)

(*.*) . . . (”_”)

“เดินแกว่ง แขนและเหวี่ยงขาให้เต็มเหนี่ยว ให้สมกับเสรีภาพที่บรรพชนและวีรชน ได้เสียสละเลือดเนื้อให้กับเราวิญญาณพวกเขายังเฝ้ามองอยู่ พวกเขาจะภูมิใจยิ่งว่าการเสียสละของพวกเขาในนามแห่งเสรีภาพ ถูกคนรุ่นหลังใช้มันอย่างสำนึกในคุณค่า

จงกวัดแกว่งแขนขาไปกับเสรีภาพให้เต็มเหนี่ยว”

“เหยื่ออธรรม” เหล่านี้ เริ่มกลายเป็นคนใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเพื่อนที่รู้จักมักคุ้นมาหลายปี เป็นคนที่เดินในแถวขบวนเดียวกัน ร่วมกันเปล่งเสียง “อำนาจอธิปไตยต้องเป็นของปวงชน” (จดหมายถึงเหยื่ออธรรม)

(*.*) . . . (”_”)

เช่นเดียวกับหลายๆ คนในขบวนการแรงงาน เราก็เคยสงสัยในยุทธวิธีการทำงานของพี่ว่าการทำงานมวลชนเพื่อเป็นฐานต่อรอง การเมืองแค่นั้นหรือไม่ แต่เมื่อได้เห็นพี่ยืนยันจุดยืนและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างเข้มแข็ง ตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 แม้ว่าจะต้องเข้าคุก – ถึงสองครั้งสองครา – เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2553 และครั้งล่าสุดที่ถูกจับเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2554 และถูกส่งเข้าเรือนจำทันทีโดยไม่อนุญาตให้ประกันตัวจนถึงบัดนี้ร่วมสองเดือน เต็ม กระนั้น พี่ก็ยังปฏิญญาว่าจะสู้จนลมหายใจสุดท้าย (จดหมายถึงพี่สมยศ พฤกษาเกษมสุข)

(*.*) . . . (”_”)

ในช่วงหลังๆ ของการเดินทางไปอีสาน มักจะมีชาวบ้านขอคำปรึกษาและถามไถ่ว่า “ไปประเทศไหนรายได้ดีและไม่ถูกหลอก” “หาแฟนฝรั่งให้คนซิ” ชาวบ้านพูดถึงปัญหาการเงิน หนี้สิน และความฝันที่ต้องเสี่ยงด้วยวิธีคิด “ไปตายเอาดาบหน้า” กันตลอดเวลา

“แรงงานอุ้มชาติ” จึงไม่ใช่เป็นแค่ปัญหาแรงงานกับทุนเท่านั้น แต่เป็นการนำเสนอปัญหาที่ส่งผลต่อเนื่องกันตั้งแต่การล่มสลายของวิถีชีวิตใน ชนบท สู่การเป็นแรงงานในโรงงานเย็บผ้าเพื่อการส่งออก ถูกค้าฝันไปทำงานต่างประเทศ . . . เพื่อชี้ให้เห็นว่า ตราบใดที่การเมืองยังไม่รับรองสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของประชาชน ไม่ดำเนินตามหลักการประชาธิปไตย ไม่เคารพหลักการสิทธิมนุษยชน (ที่รวมถึงสิทธิแรงงาน สิทธิสตรี สิทธิคนกลุ่มน้อย สิทธิคนงานต่างชาติ ฯลฯ) ไม่ยอมรับสิทธิการรวมตัวและเจรจาต่อรองของประชาชนแล้วละก็ ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถก้าวสู่การเป็นประเทศอารยะที่ประชาชนทั้งประเทศไม่ ว่าเชื้อชาติ ศาสนา หรือสีผิวใด ก็สามารถอยู่ร่วมกันอย่างผาสุข และเป็นประเทศที่รักสงบและสันติสุขอย่างแท้จริง.(บทส่งท้าย)

* * * * * * * * * *

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ในหนังสือ “แรงงานอุ้มชาติ” หนังสือของชนชั้นกรรมาชีพที่พูดถึงการต่อสู้ของคนชั้นล่างทั้งกรรมกรในเมือง หลวงและเกษตรกรรับจ้างในชนบทที่มีความหนากว่า 400 หน้า

หนังสือวิพากษ์วิถีเสรีนิยมใหม่ แน่นอนว่าไม่มีนายทุนจ่ายค่าพิมพ์อยู่แล้ว ผู้เชียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านที่สนใจหนังสือเล่มนี้จะสั่งจองและจ่าย เงินล่วงหน้าเพื่อที่เราจะสามารถจ่ายค่าจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ได้โดยเร็ว ที่สุด

และขอบคุณทุกท่านที่สั่งจองมาแล้วทั้งใน ประเทศไทยและในต่างประเทศมาร่วม 200 เล่มแล้วในขณะนี้ แต่กระนั้นยอดส่ังจองล่วงหน้ายังไม่เพียงพอกับราคาค่าจัดพิมพ์ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านที่สนใจในหนังสือเล่มนี้จะสั่งจองและจ่ายเงิน ล่วงหน้ากันมามากขึ้น เพื่อที่กระบวนการจัดพิมพ์หนังสือจะได้ดำเนินการได้โดยไว

สั่งซื้อล่วงหน้าโดยการโอนเงินผ่านบัญชีกสิกรไทย สาขาบิ๊กซีรามอินทรา บัญชีเลขที่ 864-2-07040-2 ชื่อบัญชีประเวศ ประภานุกูล

โปรดแจ้งรายละเอียดการโอนและที่อยู่มาที่อีเมล ACT4DEM@gmail.com

* * * * * * * * * * * * * * * * * * *

บทสัมภาษณ์เกี่ยวกับหนังสือ “แรงงานอุ้มชาติ”

ไทยอีนิวส์ สัมภาษณ์นักเขียน’ต้องห้าม’เปิดตัวหนังสือ’ต้องอ่าน’

ประชาไท  ไทยอีนิวส์สัมภาษณ์ “จรรยา ยิ้มประเสริฐ” เปิดตัวหนังสือ “แรงงานอุ้มชาติ”

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น