โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

เกาหลีเหนือสวนสนามในโอกาส 100 ปี ชาตกาล "คิม อิล ซุง"

Posted: 16 Apr 2012 12:59 PM PDT

ที่มา: KCNA

เมื่อวันที่ 15 เม.ย. สถานีโทรทัศน์กลางเกาหลี (KCTV) ของเกาหลีเหนือ ได้ถ่ายทอดสด พิธีสวนสนามของกองทัพประชาชนเกาหลี เนื่องในโอกาส 100 ปีชาตกาลนายคิม อิล ซุง ประธานาธิบดีตลอดกาลและเป็นผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ จากลานจตุรัสคิม อิล ซุง กรุงเปียงยาง โดยมีนายคิม จอง อึน หลานของนายคิม อิล ซุง ปัจจุบันผู้บัญชาการทหารสูงสุดกองทัพประชาชนเกาหลี เลขาธิการคนที่หนึ่งพรรคแรงงานเกาหลี และประธานคนที่หนึ่งคณะกรรมาธิการป้องกันสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (สปป.เกาหลี) กล่าวสุนทรพจน์

โดยนับเป็นการกล่าวสุนทรพจน์เป็นครั้งแรกของนายคิม จอง อึน นับตั้งแต่ขึ้นสู่อำนาจเมื่อสี่เดือนก่อน หลังการเสียชีวิตของนายคิม จอง อิล ผู้เป็นบิดา ขณะที่นาย คิม จอง อิล ตลอดการครองอำนาจเคยกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าสาธารณชนเพียงครั้งเดียว

ในสุนทรพจน์ นายคิม จอง อึน ได้กล่าวยกย่องนายคิม จอง อิล และนายคิม จอง อุน และชื่นชมนายคิม อิล ซุงว่าตลอดการมีชีวิตของเขาได้มุ่งสร้างกองทัพแห่งการปฏิวัติให้มีความเข้มแข็ง นับเป็นมหัศจรรย์ทางการทหารในศตวรรษที่ 20 ที่สามารถเอาชนะจักรวรรดินิยม 2 ชาติ (หมายถึง ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา) ภายในชั่วอายุคนเดียว สามารถฝึกกองทัพประชาชนเกาหลีให้เทียบเท่ากับมีกองทัพปฏิวัตินับร้อยๆ กองทัพปฏิวัติ ได้ทำให้ประชาชนทั้งหมดจับอาวุธและนำประเทศไปสู่ความเข้มแข็ง เป็นหลักประกันแห่งความเข้มแข็งทางทหารเพื่อเอกราชของชาติ และเพื่อความถาวรแห่งความมั่งคั่งของชาติ นายคิม จอง อึน ยังได้ยกย่องนายคิม จอง อิลว่า ได้ทำหน้าที่ตลอดชีวิตเพื่อทำให้การปฏิวัติซอนกันซึ่งริเริ่มโดยคิม อิล ซุง บรรลุผล

นายคิม จอง อึน ปราศรัยด้วยว่า ความเหนือชั้นทางทหารและทางเทคนิค ไม่อาจถูกผูกขาดไว้โดยจักรวรรดินิยม และวันที่ศัตรูข่มขู่และแบล็กเมล์เกาหลีเหนือด้วยระเบิดปรมาณูก็ได้หายไป

การบรรลุยุทธศาสตร์ระยะยาว และชัยชนะขั้นสุดท้ายของการปฏิวัติเกาหลี อยู่ที่การมุ่งไปยังเส้นทางแห่งเอกราช เส้นทางแห่งนโยบายซอนกัน (ทหารต้องมาก่อน) และเส้นทางสังคมนิยมที่ชี้นำโดยคิม อิล ซุง และ คิม จอง อิล  นี่เป็นทางออกแน่วแน่ของพรรคแรงงานเกาหลีเพื่อให้อำนาจแก่ประชาชนของเรา ประชาชนที่ดีที่สุดในโลกซึ่งมอบความจงรักภักดีให้แก่พรรค ให้พวกเขาชนะต่อความยากลำบากทั้งปวง ให้มีชีวิตอยู่โดยไม่ลำบากอีกต่อไป และให้พวกเขามีความสุขภายใต้ความมั่งคั่งและความสำเร็จภายใต้สังคมนิยม

กองทัพประชาชนเกาหลี และรัฐบาลเกาหลี จะร่วมมือกับทุกคนที่ต้องการเห็นการรวมชาติ สันติภาพ และความมั่งคั่งของชาติ และร่วมรับภาระและพยายามอย่างยิ่งเพื่อทำใหภารกิจการรวมชาติครั้งประวัติศาสตร์บรรลุผล

ทั้งนี้ การกล่าวสุนทรพจน์ และการสวนสนามของทหารเกาหลีเหนือ ถือเป็นการปิดฉากช่วง 2 สัปดาห์ของการเฉลิมฉลองชาตกาล 100 ปี นายคิม อิล ซุง ผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ ปู่ของนายคิม จอง อึน โดยเมื่อวันศุกร์ (13 เม.ย.) ที่ผ่านมา มีการปล่อยจรวดเพื่อส่งดาวเทียมกวางเมียงซง 3 แต่ประสบความล้มเหลว และมีเสียงประณามจากทั่วโลกนำโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งกล่าวหาว่าเกาหลีเหนือกำลังทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกล

ทั้งนี้ DailyNK ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในเกาหลีใต้ ได้รายงานความเห็นของผู้แปรพักตร์ชาวเกาหลีเหนือคนหนึ่ง ซึ่งให้ความเห็นว่าในการกล่าวสุนทรพจน์ คิม จอง อึน พยายามเลียนแบบบุคลิกของ คิม อิล ซุง ผู้เป็นปู่ โดยพยายามเลียนแบบทั้งน้ำเสียงและท่าทาง โดยเฉพาะในช่วงสุดท้ายของการกล่าวสุนทรพจน์ เขาตะโกนคำว่า "เดินหน้า" พร้อมทิ้งมือขวาไปข้างหน้าเหมือนกับที่คิม อิล ซุงชอบทำ ขณะที่คิม จอง อิล ไม่เคยทำท่าแบบนี้ นอกจากนี้การที่ผู้ช่วยของคิม จอง อึน ในช่วงพิธีสวนสนาม ได้สวมชุดทหารสีขาว ก็เหมือนกับพิธีสวนสนามฉลองชัยชนะหลังทำสัญญาสงบศึกกับเกาหลีใต้ในปี 1953

ผู้แปรพักตร์ให้ความเห็นว่า ทางการเกาหลีเหนือ ตั้งใจให้ประชาชนมีความคาดหวังอย่างสูงต่อระบบ และให้ย้อนระลึกถึงสมัยของคิม อิล ซุง และการทำให้ภาพลักษณ์ของคิม จอง อึน เหมือนกับ "ยุคแห่งความมั่งคั่ง" ก็ต้องการสร้างแรงสนับสนุนจากประชาชน

ซอ แจ ปุง เลขาธิการกลุ่มสร้างประชาธิปไตยเกาหลีเหนือ กล่าวกับ Daily NK ว่า ชาวเกาหลีเหนือสงสัยในตัวคิม จอง อึน แต่การกล่าวสุนทรพจน์ที่ 'คล้ายคิม อิล ซุง' น่าจะสร้างความคาดหวังจากประชาชน "อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีอะไรในประเทศเปลี่ยนแปลง ประชาชนก็จะรู้ว่านี่ก็เป็นเรื่องจัดฉากขึ้นมา"

 

แปลและเรียบเรียงจาก

Military Parade Commemorating 100th Birth Anniversary of Kim Il Sung Held, KCNA, April 15, 2012 http://www.kcna.kp/

Kim Jong Un Speaks at Military Parade, KCNA, April 15, 2012 http://www.kcna.kp

Like Grandfather, Like Grandson, By Mok Yong Jae, Daily NK [2012-04-16 17:57] 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

Greg Mortenson จากผู้นำแสงสว่างแห่งความหวังสู่นักโกหกระดับโลก

Posted: 16 Apr 2012 10:05 AM PDT

Three cup of Tea เป็นหนึ่งในหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนจำนวนมากในการที่จะทำอะไรเพื่อสังคมและส่วนรวม หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Greg Mortenson และ David Oliver Relin [1] ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2007 และได้กลายเป็นหนังสือขายดีอย่างต่อเนื่องโดยติดอันดับ The New York Times Bestseller ถึง 53 สัปดาห์ จนมีการตีพิมพ์ซ้ำอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีการแปลเป็นภาษาต่างๆ รวมถึงภาษาไทยซึ่งแปลโดยคำเมือง จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สันสกฤต ทั้งนี้ชื่อหนังสือดังกล่าวมาจากสุภาษิตของชาว Balti [2] ที่ว่า

“The first time you share tea with a Balti, you are a stranger. The second time you take tea, you are an honored guest. The third time you share a cup of tea, you become family”

หนังสือเล่มนี้เล่าถึงเรื่องราวของ Mortenson ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1993 หลังจากที่เขาพยายามที่จะไปพิชิตยอดเขา K2 ยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสองของโลกที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาคาราโครัม ระหว่างชายแดนปากีสถานและอัฟกานิสถาน แม้ว่าความพยายามครั้งนั้นจะล้มเหลว แต่โชคชะตาก็ได้พา Mortensonไปพบกับมิตรภาพจากหมู่บ้าน Korphe ของชาว Balti กลางหุบเขา ที่ซึ่งนอกจากเขาจะได้รับมิตรภาพอันเปี่ยมล้นจากชาวบ้านที่นั้นแล้ว ที่แห่งนี้ยังได้เปลี่ยนความคิดและชีวิตของเขาไปโดยสิ้นเชิง

ช่วงเวลาที่เขาพักรักษาตัวอยู่ในหมู่บ้าน ทำให้เขาได้มีโอกาสเรียนรู้ชีวิตและน้ำใจของชาวบ้านที่นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กผู้หญิงที่ยังขาดโอกาสในการศึกษา โดยเขาได้เห็นเด็กในหมู่บ้านเกือบร้อยคนต้องนั่งเรียนกลางแจ้งโดยไม่มีอาคารและอุปกรณ์การเรียนใดๆ และนั่นก็ทำให้เขาเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตจากการพิชิตยอด K2 ไปสู่การสร้างโรงเรียนในพื้นที่ทุรกันดาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนสำหรับเด็กผู้หญิง

เริ่มจากการตอบแทนพระคุณหมู่บ้านแห่งนั้นด้วยการสร้างโรงเรียนให้กับเด็กๆ ในหมู่บ้าน โดยได้รับเงินบริจาคจากนักธุรกิจใน Silicon Valley  ก่อนจะขยายไปสู่พื้นที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง ในหนังสือ Three Cups of Tea นั้น Mortensonได้กล่าวถึงอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นความยากลำบากในการเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ การถูกต่อต้านจากคนในพื้นที่ รวมถึงกลุ่มการเมืองต่างๆ เนื่องจากโรงเรียนของเขานั้นไม่ได้เน้นเรื่องศาสนา หรือปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองเช่นเดียวกับโรงเรียนอื่นๆ แถบนั้น รวมถึงการที่เขาต้องเสี่ยงตายจากเหตุการณ์ถูกจับเป็นตัวประกันโดยกลุ่มตอลิบาน Taliban) ในปี 1996 โดยภายหลังเมื่อได้รับการปล่อยตัวมา เขาก็ได้กลับไปยังพื้นที่ดังกล่าวอีกครั้งเพื่อสร้างโรงเรียนให้กับลูกหลานของกลุ่มคนที่เคยจับเขาเป็นตัวประกัน

ทั้งนี้ Mortenson ได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันเอเชียกลาง (Central Asia Institute หรือ CAI) [3] ขี้นในปี 1996 เพื่อเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการศึกษาในพื้นที่ชนบทของปากีสถานและอัฟกานิสถาน โดยองค์กรดังกล่าวได้สร้างโรงเรียนและสนับสนุนการศึกษาแก่โรงเรียนต่างๆ หลายร้อยโรงเรียน ซึ่งในบางพื้นที่ความช่วยเหลือได้ขยายไปถึงด้านสาธารณสุข และ การพัฒนาชุมชนอีกด้วย [4]

จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นทำให้ CAI ได้รับเงินสนับสนุนเป็นจำนวนมาก รวมถึงจากประธานาธิบดี Barack Obama ที่บริจาคถึง 100,000 เหรียญสหรัฐฯจากเงินรางวัลที่เขาได้จากโนเบลสาขาสันติภาพ โดยในปี 2010 เพียงปีเดียว CAI ได้รับเงินบริจาคถึง 22 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ CAI ยังได้ดำเนินโครงการที่ชื่อว่า Pennies for Peace ซึ่งร่วมกับโรงเรียนต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา โดยเป็นการระดมเงินบริจาคจากเด็กนักเรียนพร้อมทั้งการปลูกฝังแนวความคิดเรื่องสันติภาพและการไม่ดูถูกชาติพันธุ์ โดยโครงการนี้สามารถระดมเงินบริจาคได้กว่า 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ในขณะที่ตัว Mortenson เองก็ได้รับการเสียงสรรเสริญจากรอบด้าน จนได้รับรางวัลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงการได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ จนหลายคนยกย่องเขาว่า เป็นผู้ที่จะทำหน้าที่สลายความเกลียดชังของชาวมุสลิมในเอเชียกลางที่มีต่อสหรัฐอเมริกา

ในปี 2009 เขายังได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ Stones into Schools [5] โดยเป็นภาคต่อของ Three Cups of Tea เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นการพูดถึงภารกิจของเขาและ CAI ในการพัฒนาอัฟกานิสถานและปากีสถานผ่านการพัฒนาการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้การศึกษากับผู้หญิงโดย Mortenson มองว่า ผู้หญิงจะเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนาพื้นที่ในเอเชียกลาง โดยในหนังสือได้มีการกล่าวถึงสุภาษิตแอฟริกันที่ว่า “การให้การศึกษากับผู้ชาย ก็คือการให้การศึกษากับคนเพียงคนเดียว แต่การให้การศึกษาแก่ผู้หญิงนั้น เสมือนให้การศึกษากับทั้งหมู่บ้าน” [6]

อย่างไรก็ดี ภาพวีรบุรุษของ Mortenson ต้องมีอันมัวหมอง เมื่อจากการตรวจสอบความจริงของนักเขียนสารคดีมือฉมังนาม Jon Krakauer เจ้าของหนังสือระดับตำนานอย่าง Into Thin Air และ Into the Wild ทั้งนี้ Krakauer นั้น ถือว่าเป็นผู้สนับสนุน CAI มาตลอด แต่ต่อมาภายหลังเขาได้พบความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการดำเนินงานของ CIA จนนำมาซึ่งหนังสือเรื่อง Three Cups of Deceit: How Greg Mortenson, Humanitarian Hero, Lost His Way ในปี 2011 [7] และต่อมาสวรรค์ของ Mortenson ก็พังพินาศลง เมื่อสารคดี 60 minutes ซึ่งออกฉายทางช่อง CBS เมื่อวันที่ 17เมษายน 2011 ได้ทำการเปิดเผยถึงความไม่ชอบมาพากลของ Mortenson และมูลนิธิ CAI โดยมีประเด็นสำคัญคือ [8]

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการปีนเขา K2 ในปี 1993 นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง เนื่องจากเขาได้ไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งไม่ใช่ หมู่บ้าน Korphe ตามที่เขากล่าวอ้าง แม้ว่าในภายหลังเขาจะบริจาคเงินเพื่อสร้างโรงเรียนที่นั่นจริงๆ แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหนังสือของเขานั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น ซึ่งข้อมูลดังกล่าวก็ได้รับการยืนยันจากเพื่อนร่วมคณะของเขา และชาวบ้านในหมู่บ้าน Korphe

นอกจากนี้ที่เขาเขียนถึงการถูกจับเป็นตัวประกันโดยกลุ่มตอลิบาน ซึ่งในหนังสือของเขาได้มีการตีพิมพ์ภาพชายชาวมุสลิมกลุ่มหนึ่งที่ถืออาวุธอยู่ในมือซึ่ง Mortenson ได้อ้างว่า เป็นกลุ่มตาลิบันที่จับตัวเขาไป ทาง 60 Minutes ก็ได้ไปสืบหาจนเจอว่า ชายที่ปรากฎอยู่ในภาพถ่าย ซึ่งพวกเขาเป็นชาวปากีสถานที่ทำหน้าที่เป็นคนคุ้มครอง Mortenson มิใช่กลุ่มตอลิบาน และก็ไม่รู้เลยว่า รูปของพวกเขาได้ไปปรากฎอยู่ในหนังสือขายดีระดับโลก ซึ่งภายหลังก็ยังได้มีคนนำภาพของ Mortensonถือปืนถ่ายรูปกับกลุ่มดังกล่าวอีกด้วย

ในขณะเดียวกัน องค์กรที่เขาตั้งขึ้นอย่าง CAI ก็ยังถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของการดำเนินการ ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับตัว Mortenson โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ CAI ได้ใช้เงินจำนวนมากไปกับการซื้อหนังสือของ Mortenson เพื่อแจกจ่ายในโอกาสต่างๆ รวมถึงการโฆษณาหนังสือตามสื่อต่างๆ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่ Mortenson ใช้ในการเดินทางไปปาฐกถาตามที่ต่างๆ อีกด้วย

แน่นอนว่า Mortenson ย่อมได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากเรื่องดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการขายหนังสือ รวมถึงเงินที่ได้รับจากการได้รับเชิญไปพูดตามงานต่างๆ ซึ่งมีการประมาณกันว่า ค่าตัวของเขาน่าจะสูงถึง 30,000 เหรีญญสหรัฐฯ ต่อครั้งเลยทีเดียว ในขณะที่ CAI นั้นแทบจะไม่ได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ดังกล่าวเลย ซึ่งการตั้งคำถามดังกล่าวยังรวมไปถึงการทำงานในพื้นที่ของ CAI อีกด้วย เนื่องจากทาง 60 Minutes ได้ไปสำรวจพื้นที่ต่างๆ ที่ทาง CAI ได้อ้างว่าได้ให้ความช่วยเหลือ โดยพบว่า บางพื้นที่ไม่ได้มีการสร้างโรงเรียนขึ้นจริงๆ ตามที่ได้กล่าวอ้าง หรือตึกที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นก็ไม่ได้นำไปใช้เป็นโรงเรียน

หลังจากเรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผยออกมา ความนิยมในตัวของ Mortenson ก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับเงินบริจาคให้กับ CAI นอกจากนี้ยังมีการดำเนินการทางกฎหมายในกรณีของการใช้จ่ายเงินของ CAI โดยทางอัยการทั่วไปของมลรัฐมอนทานา (Montana Attorney General) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ CAI ได้เข้าทำการสอบสวนประเด็นดังกล่าว โดยได้สรุปผลการสอบสวนออกมาเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2012 ที่ผ่านมา [9] โดยในรายงานผลการสอบสวนความยาวกว่า 31 หน้านี้ได้ระบุว่า CAI มีปัญหาภายในเกี่ยวกับการบริหารจัดการ โดยองค์กรไม่ได้มีการตรวจสอบภายในและการตรวจสอบด้านการเงินที่ดีเพียงพอ ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ Mortenson ซึ่งเป็นทั้ง Executive Director และบอร์ด (ซึ่งมีเพียงสามคนรวมทั้ง Mortenson) มีอำนาจในการตัดสินใจบริหารอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเจ้าหน้าที่คนอื่นของ CAI ก็มิได้มีส่วนรู้เห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นตารางการเดินทางของเขา หรือการใช้จ่ายเงินที่เกี่ยวข้องกับเขา

ในรายงานฉบับนี้ยังได้ระบุถึงค่าใช้จ่ายของ CAI นับตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา โดยยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกี่ยวกับหนังสือของ Mortenson มีถึง 10ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นค่าโฆษณาหนังสือเพียงอย่างเดียวถึงกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางของเขานั้นก็สูงถึง 9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นค่าเช่าเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวของเขาสูงถึง 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีการประเมินว่า ในการที่ Mortensonได้รับเชิญไปพูดในแต่ละครั้งนั้น มีอยู่หลายครั้งที่ผู้จัดงานเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทางหรือค่าที่พัก ขณะที่ CAI ก็ยังต้องออกค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้เขาอยู่เช่นเดิม เท่ากับว่าเงินส่วนเกินดังกล่าวก็ตกอยู่กับ Mortenson นั่นเอง นอกจากนี้ยังได้ระบุถึงค่าใช้จ่ายๆ เบ็ดเตล็ดอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของ CAI อีกด้วย

ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายของ CAI ภายในประเทศ (Domestic Expense) กลับสูงกว่าค่าใช้จ่ายในต่างประเทศ (International Expense) ทั้งที่การดำเนินงานของทาง CAI นั้นมุ่งไปที่พื้นที่เอเชียกลางเป็นหลัก ซึ่งในรายงานดังกล่าวได้ระบุถึงการใช้จ่ายเงินอย่างผิดวัตถุประสงค์ของเงินบริจาค อย่างไรก็ตามทาง CAI ได้ชี้แจงว่า ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับหนังสือของ Mortenson นั้นมีความเกี่ยวข้องกับงานของ CAI เนื่องจากมีส่วนช่วยให้องค์กรมีเงินบริจาคเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นการเผยแพร่การดำเนินงานขององค์กรอีกด้วย นอกจากนี้ในรายงานยังระบุถึงแนวทางการปรับปรุงองค์กรเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการบริหาร และการให้ Mortenson จ่ายเงินจำนวนกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คืนให้กับ CAI เนื่องจากการใช้จ่ายเงินที่ผิดประเภทของเขานั้น

ทั้งนี้หลังจากที่เรื่องดังกล่าวได้รับการเปิดเผยขึ้น ทาง Mortenson ก็ได้เก็บตัวและไม่ยอมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยทาง Twitter ส่วนตัวของเขาที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมากนั้นก็มิได้มีการกล่าวถึงประเด็นนี้แต่อย่างใด อีกทั้งยอดผู้ติดตามได้ลดลงอย่างต่อเนื่องนับจากที่ประเด็นดังกล่าวถูกเปิดเผยออกมา [10] ในขณะที่ทางผู้จัดงานต่างๆ ซึ่งเคยวางแผนให้เขาเป็นผู้กล่าวปาฐกถา ก็ล้วนแล้วแต่ยกเลิกไปเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับหน่วยงานต่างๆ และมหาวิทยาลัยที่กำลังจะมอบรางวัลให้กับเขา ก็ล้วนแล้วแต่เหยีบเบรคและกลับตัวกันอย่างอุตลุด นอกจากนี้ยังนำไปสู่กระแสการตรวจสอบการใช้เงินขององค์กรพัฒนาเอกชนอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

แม้ว่ายังมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ยังให้การสนับสนุน Mortenson และ CAI เนื่องจากมองว่า แม้เนื้อหาในหนังสือจำนวนมากจะเป็นเรื่องโกหก แต่ทาง Mortensonเองก็ได้ทำประโยชน์ให้กับพื้นที่ดังกล่าวไม่น้อย และได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก  แต่ภาพวีรบุรุษผู้ถือคบเพลิงแห่งความหวัง ก็กลับกลายมาเป็นจอมปลอมผู้โดนฉีกหน้ากาก สุดท้าย แม้ว่าเขาจะยอมจ่ายเงินกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คืนให้กับ CAI แต่เงินจำนวนดังกล่าวก็มิอาจจะกอบกู้ชื่อเสียงที่ป่นปี้ของเขาได้ และแน่นอนว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาก็มีโอกาสกลับไปยืนอยู่นะจุดที่เคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้

เช่นเดียวกับหนังสือของเขาที่เคยมีสถานะที่ทุกคนควรอ่าน เป็นหนังสือที่ถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตรการศึกษาในหลายระดับ ถึงแม้เนื้อหาจะยังอยู่คงเดิมทุกตัวอักษร แต่คุณค่าของเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดกลับเหลือน้ำหนักเพียงปุยนุ่น เช่นเดียวกับชื่อของ Greg Mortenson ที่จะถูกจดจำในฐานะคนหลอกลวง ที่เคยสร้างแรงบันดาลใจดีๆ ให้กับผู้คนเพียงเท่านั้น

 

เชิงอรรถ

(1) David Oliver Relin เป็นนักเขียนหลักที่เขียนเรื่องดังกล่าว โดยการบอกเล่าของ Greg Mortensonรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถหาได้ในเวบไซต์อย่างเป็นทางการของหนังสือที่ http://www.threecupsoftea.comหรือในเวบไซต์ส่วนตัวของเขาที่ http://www.gregmortenson.com

(2) ชาวBaltiเป็นชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมที่อาศัยกระจายกันอยู่บริเวณเอเชียกลางและเอเชียใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเทือกเขาคาราโครัม มีภาษาพูดเป็นของตนเอง

(3) รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CAI สามารถดูได้ที่เวบไซต์ของสถาบัน (https://www.ikat.org)

(4) รายชื่อโครงการทั้งหมดของ CAI  (http://www.ikat.org/wp-includes/documents/masterprojectlist.pdf)

(5) หนังสือเล่มดังกล่าวMortensonเขียนร่วมกับGhost Writer สองคนชื่อ Kevin Fedarkoและ Mike Bryan

(6) “If you teach a boy, you educate an individual; but if you teach a girl, you educate a community”จาก Stone into Schools หน้า 13

(7) หนังสือ Three Cups of Deceit: How Greg Mortenson, Humanitarian Hero, Lost His Wayนั้นในช่วงแรกมีจำหน่ายเฉพาะฉบับอิเลคทรอนิคเท่านั้น ต่อมาจึงมีการจัดพิมพ์เป็นเล่มขึ้น

(8) รายการ 60 minutes ที่เสนอเรื่องของ Mortenson http://www.cbsnews.com/video/watch/?id=7363068n

(9) ผลการสอบสวนของอัยการทั่วไปมลรัฐมอนทานา https://dojmt-zippykid.netdna-ssl.com/wp-content/uploads/2012_0405_FINAL-REPORT-FOR-DISTRIBUTION.pdf

(10)

http://twitter.com/#!/gregmortenson

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แรงงานชาวพม่า-กัมพูชา ที่สงขลา โทร 1300 ร้องเรียนถูกค้ามนุษย์

Posted: 16 Apr 2012 09:55 AM PDT

สหภาพรถไฟฯ หาดใหญ่ มอบสิ่งของ-อาหารช่วยแรงงานพม่า-กัมพูชาที่พัฒนาซีฟู้ด หลังแคมป์คนงานเกิดภาวะขาดอาหาร หลังประท้วงเรียกร้องโรงงานปรับปรุงสวัสดิการ ด้านพนักงานส่วนหนึ่งโทรสายด่วน 1300 ร้องเรียนถูกค้ามนุษย์ ขณะที่ตัวแทนโรงงานแจ้งพนักงานงานรอบล่าสุดว่าจะเพิ่มสวัสดิการ และคืนหนังสือเดินทางให้พนักงาน

ตามที่เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่ผ่านมา พนักงานชาวกัมพูชา และชาวพม่า หลายร้อยคน ที่โรงงานพัฒนาซีฟู้ดส์สงขลา จำกัด ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งประกอบกิจการอาหารทะเลแช่แข็ง ได้ชุมนุมภายในโรงงานเพื่อขอเจรจากับฝ่ายบุคคลของโรงงาน เพื่อให้มีการปรับปรุงสภาพการจ้างงาน โดยตัวแทนพนักงานมีข้อเรียกร้อง 2 เรื่อง คือให้โรงงานจ่ายค่าเบี้ยขยัน 600 บาทต่อเดือน และค่าข้าววันละ 20 บาท ตามที่เคยระบุไว้ว่าจะจ่าย

สถานการณ์ในช่วงสุดสัปดาห์นั้น เมื่อวันที่ 15 เม.ย. พนักงานชาวพม่าและชาวกัมพูชาที่โรงงานแช่แข็งอาหารทะเลที่ จ.สงขลา กลุ่มหนึ่งที่เดินทางมาทำงานกับบริษัทนายหน้าจัดหางาน ได้โทรแจ้งสายด่วน 1300 ศูนย์ประชาบดี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อร้องเรียนว่าตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์และขอความช่วยเหลือเร่งด่วน ทั้งนี้พนักงานชาวพม่าและกัมพูชาจำนวนมากที่มาทำงาน พบว่าเมื่อมาถึง จ.สงขลา พวกเขาต้องกลายเป็นหนี้บริษัทจัดหางานเหล่านี้ และต้องทำงานใช้หนี้

ขณะที่มีข่าวว่า เกิดการขาดแคลนอาหารขึ้นที่แคมป์พนักงานชาวพม่าและชาวกัมพูชา  ซึ่งทำงานที่โรงงานพัฒนาซีฟู้ดส์ อ.เมือง จ.สงขลา โดยทางโรงงานจะจ่ายค่าจ้างรอบใหม่ในวันที่ 22 เม.ย. นี้ ขณะที่พนักงานมีเงินติดตัวราว 200 - 500 บาท ขณะที่บางมีเงินติดตัวเพียง 20 บาทเท่านั้น ทำให้ต้องมีการเก็บพืชผัก และหอยโข่งบริเวณข้างที่พักเพื่อรับประทานนั้น ทำให้วันนี้ (16 เม.ย.) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) สาขาหาดใหญ่ ได้ระดมความช่วยเหลือเพื่อมอบให้กับพนักงานชาวกัมพูชาและชาวพม่าที่โรงงานพัฒนาซีฟู้ดส์ อ.เมือง จ.สงขลาด้วย

โดยเบื้องต้นจะบริจาคสิ่งของช่วยเหลือและอาหารเป็นมูลค่าราว 70,000 บาท โดยตอนเช้าวันพรุ่งนี้ ตัวแทนจากสหภาพแรงงาน รฟท. สาขาหาดใหญ่ จะนำสิ่งของช่วยเหลือและอาหารไปมอบให้กับพนักงานชาวกัมพูชาและชาวพม่าดังกล่าว

ส่วนสถานการณ์ที่โรงงาน เมื่อ 16 เม.ย. ผู้จัดการโรงงานได้เรียกตัวแทนพนักงานชาวพม่ามาพบ และแจ้งว่าทางโรงงานจะเพิ่มสวัสดิการให้ได้แก่ เพิ่มค่าจ้างจากวันละ 177 บาท เป็น 264 บาท เพิ่มค่าล่วงเวลาจากเดิมชั่วโมงละ 33 บาท เป็น ชั่วโมงละ 50 บาท เบี้ยขยันเดือนละ 300 บาท สำหรับพนักงานจ้างรายวัน และเดือนละ 400 บาท สำหรับพนักงานที่ทำงานรายชิ้น

ขณะเดียวกัน ผู้จัดการโรงงานแจ้งว่า ทางโรงงานจะคืนหนังสือเดินทางและบัตรอนุญาตทำงานให้กับคนงานทุกคนภายในคืนนี้

นอกจากนี้มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่อาวุโสของทางการพม่า ได้แจ้งไปยังทำเนียบประธานาธิบดีเพื่อแจ้งสถานการณ์จ้างงานที่เกิดขึ้นที่ จ.สงขลา และมีการเตรียมเจ้าหน้าที่มายังประเทศไทยเพื่อดูแลเรื่องนี้แล้ว

ทั้งนี้การเรียกร้องให้ปรับปรุงสวัสดิการเิกิดขึ้นตั้งแต่ 8 เม.ย. หลังจากที่ประกาศค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. โดยที่อัตราค่าจ้างของ จ.สงขลา ปรับเพิ่มจากวันละ 176 บาท มาเป็นวันละ 246 บาท

อนึ่ง ก่อนหน้านี้พนักงานเคยร้องเรียนด้วยว่า สภาพการจ้างงานของโรงงานมีปัญหาหลายเรื่อง เช่น ห้องน้ำภายในโรงงาน และที่พักอาศัยมีจำกัดและไม่ถูกสุขลักษณะ ที่พักมีความแออัด ไม่เป็นไปตามที่ตกลงกัน และต้องจ่ายค่าที่พักคนละ 300 บาทต่อเดือน และมีการเก็บค่าน้ำ ค่าไฟ ทั้งที่ก่อนหน้าที่จะมาทำงาน บริษัทจัดหางานระบุว่าจะไม่มีการเรียกเก็บ นอกจากนี้ยังมีการยึดหนังสือเดินทางเอาไว้ ให้คนงานถือเพียงสำเนาหนังสือเดินทาง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พิภพ อุดมอิทธิพงศ์: ปกิณกะจาก The Iron Lady

Posted: 16 Apr 2012 09:16 AM PDT

หากจะพูดถึงนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นบุคคลที่ประชาชนเกลียดมากที่สุดคนหนึ่ง น่าจะหนีไม่พ้นอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Margaret Thatcher ฉันใดก็ฉันนั้น ความพยายามที่จะฉายภาพของคนที่มีทั้งภาพความนิยม (นายกฯ หญิงจากการเลือกตั้งสามสมัย) กับภาพของมนุษย์ที่เป็นปุถุชนซึ่งเชื่อแต่ขาวหรือดำ ไม่ชอบอะไรที่เทา ๆ คนหนึ่ง ก็หนีไม่พ้นคำวิจารณ์มากมายมหาศาลอย่างหนัง The Iron Lady ที่ลงโรงไปเมื่อต้นปีนี้เอง

The Iron Lady เป็นอะไรที่ “ผู้หญิง” มาก ๆ ตัวละครหลักเป็นผู้หญิง (Meryl Streep ซึ่งได้รางวัล Academy Award ด้วย) ผู้กำกับ (Phyllida Lloyd) และผู้เขียนบท (Abi Morgan) ก็เป็นหญิง และเป็นเรื่องของบุคคลทางการเมืองในเพศ “กระแสรอง” ที่คน “ทั้งรักทั้งชัง”

11 ปีครึ่งที่ Margaret Hilda Thatcher เป็นนายกฯ อังกฤษนั้น ทั้งประเทศเหมือนผ่านการผ่าตัดครั้งใหญ่ เป็นยุคแห่งการเปิดเสรีการค้า ตัดสวัสดิการสังคม ควบคุมและบั่นทอนอำนาจของสหภาพแรงงาน เป็นยุคที่อังกฤษมีอัตราการว่างงานสูงสุด และก็เป็นยุครุ่งเรืองของเศรษฐกิจในเวลาต่อมาด้วย ก่อนหน้าสมัยที่ยังเป็นรัฐมนตรีศึกษาธิการ นโยบายแรกที่นางแธตเชอร์ทำคือการตัดงบประมาณสนับสนุนงบซื้อนมให้เด็กกิน เพื่อรัดเข็มขัด ต้องการให้โรงเรียนพึ่งตัวเองได้ และสนองนโยบายแปรรูป (privatization) ที่เธอดำเนินการต่อมาเมื่อขึ้นเป็นผู้นำประเทศ

เป็นยุคสมัยของกำปั้นเหล็กของผู้หญิงเหล็กซึ่งเป็นเจ้าของวรรคทองมากมาย โดยเฉพาะ TINA (There is no alternative) ซึ่งนางแธตเชอร์มักใช้ในยุคที่อังกฤษเริ่มฟื้นสถานะมหาอำนาจของโลกเพื่อยืนยันว่า นอกจากทุนนิยมเสรี โลกาภิวัตน์ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การควบรวมกิจการแล้ว โลก “ไม่มีทางเลือกอื่นอยู่” ผมเติบโตมาในยุคที่แอคติวิสต์ต่อต้านโลกาภิวัตน์มักเอ่ยอ้างวลีนี้เพื่อประณามอดีตลูกเจ้าของร้านชำจากบ้านนอกย่านมิดแลนด์อังกฤษ ที่ต่อมากลายเป็นผู้นำฝ่ายค้านหญิงและนายกฯ หญิงคนแรก (ของอังกฤษและยุโรปในปี 1979) เมื่ออายุ 54 ปี  

Margaret Hilda Roberts เกิดปี 1925 (เกิดก่อนควีนเอลิซาเบธที่ 2 เพียงปีเดียว) ในเมือง Grantham เมืองเล็ก ๆ ขึ้นไปตอนเหนือจากลอนดอนเกือบ 200 กม.ไปทางสก็อตแลนด์ พ่อเป็นเจ้าของร้านชำเล็ก ๆ และต่อมาเล่นการเมืองเป็นสมาชิกสภาเทศบาลท้องถิ่นสังกัดพรรคคอนเซอร์เวตีฟ แม่เป็นแม่บ้านธรรมดา มาร์กาเร็ตเรียนหนังสือในโรงเรียนรัฐทั่วไปจนต่อมาสามารถสมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดได้ ระหว่างเรียนก็เป็นประธานสหภาพนักศึกษาพรรคคอนเซอร์เวตีฟด้วย

หลังจากได้ดีกรีเคมีจากอ็อกซ์ฟอร์ด และทำงานตามวิชาชีพอยู่พักหนึ่ง เธอเริ่มลงสมัครสส.สมัยแรกปี 1950 และต้องใช้เวลาอีกถึงเก้าปีกว่าจะได้รับเลือกเป็นสส.สมัยแรกได้ในปี 1959 ก่อนหน้านั้นก็เพิ่งแต่งงานกับ Denis Thatcher นักธุรกิจที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อนางแธตเชอร์ในช่วงเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่อยู่ด้วยกัน ช่วงนั้นเธอมีลูกแฝด (Carol และ Mark) ระหว่างสร้างครอบครัว เลี้ยงลูก เธอก็ขวนขวายเรียนต่อจนสอบได้นิติศาสตร์บัณฑิตและสอบเนติบัณฑิตได้ด้วย ก่อนได้เป็นผู้นำพรรคคอนเซอร์เวตีฟในปี 1975 และได้รับเลือกตั้งเป็นนายกฯ อีกสี่ปีต่อมา

เรียกว่านางแธตเชอร์ต้องเล่นการเมืองถึงเกือบ 30 ปีกว่าจะได้ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ

แม้จะได้รับเสียงสนับสนุนขาดลอยในการเลือกตั้งทั้งสามครั้ง (เปรียบเทียบผลการเลือกตั้งทั่วไประหว่างพรรคอนุรักษ์นิยมกับพรรคแรงงาน ปี 1979 43.9 ต่อ 36.9% ปี 1983 42.4 ต่อ 27.6% ปี 1987 42.2 ต่อ 30.8%) แต่ยุคของนางแธตเชอร์เป็นยุคที่เต็มไปด้วยการแบ่งแยก ความปั่นป่วนวุ่นวาย ความรุนแรงทางการเมืองจากปฏิบัติการของ IRA การเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของสหภาพแรงงาน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เป็นซิกเนเจอร์ของอังกฤษอย่างเช่น เหมืองแร่เหล็ก ผมเห็นด้วยกับข้อสรุปของคอลัมนิสต์ท่านหนึ่งที่ว่า Margaret Thatcher เป็น one of the great Prime Ministers, but not one who brought the country together (“มาร์กาเร็ต แธตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรีที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง แต่ไม่ใช่คนที่ทำให้ทั้งประเทศเห็นร่วมกันได้”)*  

เล่าลือกันว่านโยบาย “อประชานิยม” ของเธอ โดยเฉพาะในยุคกลางทศวรรษ 1990 (หลังผ่านยุครุ่งเรืองคะแนนเสียงจากชัยชนะในสงครามหมู่เกาะโฟล์กแลนด์มาแล้ว) ทำให้แม้แต่ควีนเอลิซาเบธก็ไม่สบายพระทัย เพราะเกรงว่าจะสร้างความแตกแยกให้กับสังคม จนถึงขั้นมีการ “แทรกแซง” ลงมา (แบบไม่ประเจิดประเจ้ออย่างบางประเทศนะครับ) ซึ่งน่าจะสะท้อนความจริงที่ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลยุคนางแธตเชอร์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ค่อยชื่นมื่นเท่าไร จะเห็นว่าในหนัง The Iron Lady ไม่ได้กล่าวถึงควีนเอลิซาเบธเลยแม้แต่แอะเดียว

ประโยคเดียวของนางแธตเชอร์ที่น่าจะเข้าข่ายการชื่นชมพระราชวงศ์มากสุดคือตอนที่เธอบอกว่า “Those who imagine that a politician would make a better figurehead than a hereditary monarch might perhaps make the acquaintance of more politicians." (“คนที่คิดว่านักการเมืองจะเป็นประมุขประเทศได้ดีกว่ากษัตริย์ที่สืบสันตติวงศ์นั้น ควรทำความรู้จักนักการเมืองให้มากขึ้น”) นอกนั้นอดีตหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมท่านนี้ไม่เคยแสดงความชื่นชมต่อราชวงศ์และไม่เคยยอมประนีประนอมกับอำนาจนอกกรอบกฎหมายแต่อย่างใด

ความรั้นของนางแธตเชอร์สะท้อนจากวรรคทองอย่างเช่น

- “We will stand on principle or we will not stand at all.” (“เราจะยืนอยู่บนหลักการ ไม่เช่นนั้นแสดงว่าเราไม่มีหลักการอะไรเลย”)

- หรือ “If you set out to be liked, you would be prepared to compromise on anything at any time, and you would achieve nothing.” (“ถ้าคุณต้องการเป็นที่ชื่นชอบ ก็เตรียมที่จะประนีประนอมเสีย แต่อย่าหวังว่าจะประสบความสำเร็จอะไร”)

แม้หนังจะฉายภาพที่เกินจริงไปบ้างในฐานะผู้นำหญิงเดี่ยว (เพราะในความจริงตั้งแต่สมัยที่เข้าสภาครั้งแรกในปี 1979 อังกฤษก็เริ่มมีสส.หญิง 19 คนแล้ว) แต่ก็สะท้อนให้เห็นอุปสรรคด้านทัศนคติมากมายที่ผู้หญิงที่ต้องการทำงานบริการสาธารณะต้องเผชิญ แต่นายกฯ หญิงเหล็กท่านนี้ก็ฝ่าฟันมาได้จนได้ จนต่อมาได้รับการยกย่องด้วยการมีรูปปั้นร่วมกับเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลในรัฐสภา (ถือเป็นนายกฯ คนที่สองที่ได้รับเกียรติดังกล่าวในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่)   

ฟางเส้นสุดท้ายก่อนลาออกจากตำแหน่งในปี 1990 น่าจะเป็นความขัดแย้งกับ Geoffrey Howe รองนายกฯ และสหายเก่าแก่ตั้งแต่ครม.ยุคแรกในปี 1979 เพราะไม่เห็นด้วยกับช่วงเวลาการเข้าร่วมเงินสกุลยูโร (ซึ่งน่าจะเป็นจุดยืนที่ถูกต้องถ้าพิจารณาจากปัญหายูโรไครซิสในปัจจุบัน) และจากการผลักดันโยบาย Poll Tax (เป็นภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากพลเมืองของประเทศเป็นรายหัวในอัตราตายตัว)  

ที่เกี่ยวกับ “สยาม” อยู่บ้างคือการเลือกใช้เพลง Shall We Dance? ซึ่งเป็นเพลงประกอบละครเวที “The King and I” ที่มีเนื้อหากล่าวถึงความโรแมนซ์ระหว่างพระเจ้ากรุงสยามกับฝรั่งที่พระองค์จ้างมาเลี้ยงดูราชบุตรราชธิดา แอนนา เลียวโนเวนส์ ไม่แน่ใจว่าที่เลือกใช้เพลงประกอบละครมาเป็นธีมของหนังจะเป็นเพราะผู้กำกับ Phyllida Lloyd เดิมมีอาชีพผู้กำกับละครมาก่อนหรือเปล่า

ส่วนวรรคทองที่ประทับใจผมเป็นการส่วนตัวมากสุดคือ “It used to be about trying to do something. Now it’s about trying to be someone.” (“เดิมเรามักพยายามทำอะไรบางอย่าง แต่เดี๋ยวนี้มีแต่ขวนขวายที่จะเป็นเหมือนคนบางคน”) ซึ่งกลายเป็นสูตรสำเร็จของคนที่ “ประสบความสำเร็จ” ในปัจจุบันไปเสียแล้ว 

ผมเคยเขียนไปแล้วว่า แม้จะยังไม่ตาย แต่สังคมอังกฤษเริ่มถกเถียงกันแล้วว่าหากนางแธตเชอร์ถึงแก่อสัญกรรม จะมีการจัดงานศพให้กับท่านเป็นแบบรัฐพิธี (state funeral) หรือไม่ เพราะในประวัติศาสตร์ของอังกฤษนั้น มีเพียงเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลเท่านั้นที่เคยได้รับการจัดงานศพแบบเป็นรัฐพิธี แม้แต่งานพระศพของเจ้านายในราชวงศ์วินเซอร์ (พระราชชนนี หรือเลดี้ไดอาน่า ฯลฯ) ก็ไม่เคยได้รับเกียรติให้จัดเป็น “รัฐพิธี”  

 

หมายเหตุ
- http://blogs.telegraph.co.uk/news/peteroborne/100125535/lady-thatcher-deserves-every-honour-%E2%80%93-apart-from-this-one/

- เพลง Shall We Dance? http://www.youtube.com/watch?v=PdyqmN5cnRQ จากละคร The King and I

- ดูตัวอย่างหนัง Iron Lady ได้ที่นี่นะครับ http://www.youtube.com/watch?v=Im2UvBs_gfs

- ดูวรรคทองของนางแธตเชอร์จากหนัง The Iron Lady ได้จาก http://www.rottentomatoes.com/m/the_iron_lady/quotes/   

-

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 8 - 14 เม.ย. 2555

Posted: 16 Apr 2012 07:15 AM PDT

ตะลึง! แรงงานนอกระบบชาย-หญิงพุ่งต่อเนื่อง 6 ปีเฉียด 25 ล้านคน อีสานมากที่สุด

รายงานข่าวจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการเปรียบเทียบข้อมูลตั้งแต่ ปี 2549 จนถึง ปี 2554 พบว่า ผู้ทำงานที่เป็นแรงงานนอกระบบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แรงงานนอกระบบมีมากกว่าร้อยละ 60 ของผู้ทำงานทั้งหมด 39.3 ล้านคน แบ่งเป็นแรงงานนอกระบบ 24.6 ล้านคน ผู้ทำงานในระบบ 14.7 ล้านคน มากกว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานนอกระบบทำงานอยู่ในภาคเกษตรกรรมถึง 15.1 ล้านคน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด

การสำรวจดำเนินการระหว่างวันที่ 1 – 12 ของเดือนกรกฎาคม – กันยายน พ.ศ. 2554 โดยมีครัวเรือนตัวอย่างทั้งสิ้น 79,560 ครัวเรือน เป็นครัวเรือนตัวอย่างในกรุงเทพมหานคร 4,680 ครัวเรือน ในเขตเทศบาล 45,360 ครัวเรือน และนอกเขตเทศบาล29,520 ครัวเรือน โดยใช้การสัมภาษณ์หัวหน้าครัวเรือน หรือสมาชิกในครัวเรือน สามารถสรุปสาระสำคัญ 6 ด้านหลัก พบว่า

1. จำนวนแรงงานนอกระบบผลการสำรวจในปี 2554 พบว่า มีจำนวนผู้มีงานทำทั้งสิ้น 39.3 ล้านคน โดยเป็นผู้ทำงานที่ไม่ได้รับความคุ้มครองและไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการ ทำงานหรือเรียกว่าแรงงานนอกระบบ 24.6 ล้านคน หรือร้อยละ 62.6 และที่เหลือเป็นผู้ทำงานในระบบหรือแรงงานในระบบ 14.7 ล้านคน หรือร้อยละ 37.4 สำหรับแรงงานนอกระบบเมื่อพิจารณาตามเพศ พบว่า มีจำนวนไม่แตกต่างกันมาก คือเพศชาย 13.2 ล้านคน หรือร้อยละ 53.8 และเพศหญิง11.4 ล้านคน หรือร้อยละ 46.2 ของแรงงานนอกระบบทั้งหมด นอกจากนั้น แรงงานนอกระบบทำงานอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุดร้อยละ 41.5รองลงมาเป็นภาคเหนือร้อยละ 21.4 ภาคกลาง ร้อยละ18.7 ภาคใต้ ร้อยละ 13.3 และกรุงเทพมหานครมีแรงงานนอกระบบน้อยที่สุด ร้อยละ 5.1

2. ระดับการศึกษาที่สำเร็จของแรงงานนอกระบบสำหรับระดับการศึกษาที่สำเร็จของแรง งานนอกระบบ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่จบการศึกษาในระดับประถมศึกษาและต่ำกว่ามากที่สุด ประมาณ16.0 ล้านคน หรือร้อยละ 65.1 รองมาเป็นระดับมัธยมศึกษา 6.7 ล้านคน หรือ ร้อยละ 27.2 และระดับอุดมศึกษา 1.7 ล้านคน หรือ ร้อยละ 6.9จะเห็นได้ว่าแรงงานนอกระบบส่วนใหญ่เป็นผู้มีการศึกษาในระดับที่ไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับแรงงานในระบบ ดังนั้น หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องควรมีการส่งเสริมสนับสนุนด้านการศึกษาแก่แรงงาน นอกระบบเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพและยกระดับสถานภาพการทำงานของแรงงานนอกระบบ ให้ดีขึ้น

3. การประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจของแรงงานนอกระบบเมื่อพิจารณาถึงประเภทการ ประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ พบว่า แรงงานนอกระบบมากกว่าครึ่งหนึ่งทำงานอยู่ในภาคเกษตรกรรมโดยมีจำนวนถึง15.1 ล้านคน หรือร้อยละ 61.4 รองลงมาทำงานอยู่ในภาคการค้าและการบริการ ร้อยละ 29.7 และภาคการผลิต ร้อยละ 8.9

4. การได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุสำหรับการได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุจากการ ทำงานของแรงงานนอกระบบในปี 2554 มีจำนวน3.7 ล้านคน โดยลักษณะของการเกิดอุบัติเหตุและบาดเจ็บเกิดจากการถูกของมีคมบาดมากที่สุด ร้อยละ67.3 รองลงมาเป็น การพลัดตกหกล้ม ร้อยละ 12.3 การชนและกระแทก ร้อยละ 8.7 ไฟไหม้หรือ นํ้าร้อนลวกร้อยละ 4.8 ได้รับสารเคมี ร้อยละ 3.0 อุบัติเหตุจากยานพาหนะ ร้อยละ 2.9 และไฟฟ้าช็อต ร้อยละ 0.6หากพิจารณาแรงงานนอกระบบที่ได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุในปี 2554 พบว่า มีจำนวนเฉลี่ยวันละ10,003 คน ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปี 2553 (เฉลี่ยวันละ 9,637 คน) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง ดังนั้น สถานประกอบการควรเข้ามาดูแลและสร้างความปลอดภัยจากการทำงานให้แก่แรงงานนอก ระบบมากขึ้น

5. ปัญหาของแรงงานนอกระบบผลจากการสำรวจแรงงานนอกระบบต่อปัญหาต่าง ๆ จากการทำงานเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา พบว่า ปัญหาด้านการทำงานที่แรงงานนอกระบบต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุด คือ ปัญหาการได้รับค่าตอบแทนน้อย ร้อยละ 45.6 รองลงมาเป็น ทำงานหนักร้อยละ22.1 และงานที่ทำไม่ได้รับการจ้างอย่างต่อเนื่องร้อยละ 19.3 ที่เหลือเป็นอื่นๆ เช่น ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีวันหยุด ทำงานไม่ตรงเวลาปกติ ชั่วโมงทำงานมากเกินไปและลาพักผ่อนไม่ได้

สำหรับปัญหาด้านสภาพแวดล้อมในการทำงานที่แรงงานนอกระบบประสบมากที่สุด คือ อิริยาบถในการทำงาน (ไม่ค่อยได้เปลี่ยนลักษณะท่าทางในการทำงาน) ร้อยละ 44.2 มีฝุ่น ควัน กลิ่น ร้อยละ 17.8และมีแสงสว่างไม่เพียงพอ ร้อยละ 17.0 ปัญหาด้านความไม่ปลอดภัยในการทำงาน ส่วนใหญ่ ได้รับสารเคมีเป็นพิษ ร้อยละ 65.0 เครื่องจักรเครื่องมือ ที่เป็นอันตราย ร้อยละ 21.8 และการได้รับอันตรายต่อระบบหู/ระบบตา ร้อยละ 6.1

6. เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของแรงงานนอกระบบในช่วงปี 2549-2554เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลตั้งแต่ ปี 2549 จนถึง ปี2554 พบว่า ผู้ทำงานที่เป็นแรงงานนอกระบบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2549 – 2551 แต่ปี 2552 – 2554 แรงงานนอกระบบเริ่มลดลง เมื่อเทียบกับปี 2551 (ร้อยละ 63.7) ปี 2552 (ร้อยละ63.4) ปี 2553 (ร้อยละ 62.3) และปี 2554 (ร้อยละ62.6) สำหรับระดับการศึกษาที่สำเร็จของแรงงานนอกระบบในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา พบว่า แรงงานนอกระบบส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา รองลงมาเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย และอุดมศึกษา ตามลำดับ

อนึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงปี 2549 ถึงปี 2554แรงงานนอกระบบที่สำเร็จการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษาขึ้นไป มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้ที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษามีจำนวนลดลงแต่เป็นการลดลงใน อัตราค่อนข้างช้า จะเห็นว่าระดับการศึกษาของแรงงานนอกระบบในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาก็ยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มของผู้มีการศึกษาไม่สูงนัก

และเมื่อพิจารณาตามอุตสาหกรรมในภาคเกษตรกรรมและนอกภาคเกษตรกรรม พบว่า ตั้งแต่ปี2549 – 2554

แรงงานนอกระบบที่อยู่ในภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนมากกว่านอกภาคเกษตรกรรม แต่จะเห็นได้ว่าปี2551 – 2553 แรงงานนอกระบบที่อยู่ในภาคเกษตรกรรมมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในปี 2554 มีจำนวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

(มติชน, 8-4-2555)

ก.แรงงานเปิดเส้นทางแรงงานนอกระบบสมัครเข้าใช้สิทธิ์เงินทดแทนกรณีบาดเจ็บ-เจ็บป่วย

นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี พ.ศ. 2553 มีแรงงานนอกระบบอยู่จำนวน 24.1 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 62.3 ของผู้มีงานทำทั้งสิ้น 38.7 ล้านคน กระทรวงแรงงานได้ตระหนักและเห็นถึงความสำคัญในการให้ความคุ้มครองและการให้ หลักประกันทางสังคมแก่แรงงานกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นแรงงานที่ไม่ใช่ลูกจ้างในสถานประกอบการ

เช่น กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน กลุ่มผู้ขับรถรับจ้าง แท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก มอเตอร์ไซค์รับจ้าง แรงงานรับจ้างทางการเกษตร หาบเร่แผงลอย คนทำงานบ้าน แรงงานรับจ้างทั่วไป รวมถึงบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้ทำงานอยู่ในกลุ่มสาขาอาชีพต่าง ๆ จะได้มีหลักประกันและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมจึงได้เปิดโอกาสให้แรงงานกลุ่มนี้สามารถสมัครใจเข้า สู่ระบบประกันสังคมตามมาตรา 40 ได้ โดยมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญคือ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ มีบัตรประจำตัวประชาชน โดยสามารถสมัครได้ที่สำนักงานประกันสังคม/หน่วยบริการเคลื่อนที่หรือสมัคร ผ่านตัวแทนที่ได้รับการอบรมจากสำนักงานประกันสังคมแล้วเท่านั้น

แรงงานนอกระบบที่สนใจจะสมัครเข้าสู่ระบบประกันสังคมตามมาตรา 40 นั้น สามารถเลือกสิทธิประโยชน์ได้ใน 2 ทางเลือก คือ ทางเลือกที่ 1 จ่ายเงินสมทบ 100 บาทต่อเดือน จะได้รับสิทธิประโยชน์ 3 กรณี ได้แก่ 1. กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ เมื่อเป็นผู้ป่วยในและนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ตั้งแต่ 2 วันขึ้นไป 200 บาทต่อวัน ไม่เกิน 20 วันต่อปี 2. กรณีทุพพลภาพ ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 500 – 1,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 15 ปี 3. กรณีเสียชีวิต ได้รับค่าทำศพ 20,000 บาท

ทางเลือกที่ 2 จ่ายเงินสมทบ 150 บาทต่อเดือน ได้รับสิทธิประโยชน์ใน 4 กรณี ได้แก่ กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ เมื่อเป็นผู้ป่วยในและนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ตั้งแต่ 2 วันขึ้นไป 200 บาทต่อวัน ไม่เกิน 20 วันต่อปี กรณีทุพพลภาพ ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 500 – 1,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 15 ปี กรณีเสียชีวิต ได้รับค่าทำศพ 20,000 บาท และกรณีชราภาพ ได้รับเงินก้อนสำหรับวัยหลังเกษียณ นายเผดิมชัยฯกล่าว

(มติชน, 9-4-2555)

ปรับค่าจ้างมาตรฐานฝีมือแรงงาน 22 สาขาอาชีพ

นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยดำเนินการให้แรงงานมีรายวันละไม่น้อยกว่า 300 บาท และผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีมีรายได้เดือนละไม่น้อยกว่า 15,000 บาท นั้น กระทรวงแรงงานได้เดินหน้าผลักดันนโยบายดังกล่าว โดยได้มีการบังคับให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท/วัน ไปแล้วเมื่อวันที่ 1 เม.ย.55 ซึ่งการปรับขึ้นค่าจ้างดังกล่าวนั้น ได้ดำเนินการพิจารณาบนพื้นฐานของระบบไตรภาคีคือการร่วมพิจารณาจากฝ่ายนาย จ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐ ซึ่งได้พิจารณาข้อมูลประกอบรอบด้านและมีมติร่วมกันให้ปรับขึ้นค่าจ้าง 40% เท่ากันทั่วประเทศ ทำให้ 7 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม และภูเก็ต ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท โดยในส่วนของจังหวัดอื่นจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น300 บาท เท่ากันทั่วประเทศ ในวันที่ 1 ม.ค.56

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานยังได้มีการพิจารณาทบทวนค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานใน 22 สาขาอาชีพ เพื่อให้สอดคล้องกับค่าจ้างขั้นต่ำที่มีการปรับไปแล้วด้วย โดยพิจารณาตามสภาพความยากง่าย และเศรษฐกิจของแต่ละสาขาอาชีพตามความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพการจ้างงานในตลาดแรงงานตามสาขาอาชีพด้วย และสอดคล้องกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ได้บังคับใช้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.55 เช่นเดียวกับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท โดยค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานที่ได้พิจารณาปรับขึ้นนั้น ได้ปรับในระดับซึ่งจะเริ่มต้นที่ 320 บาท และสูงสุดในระดับ 3 ที่ 775 บาท เช่น ช่างบุครุภัณฑ์ระดับ 1 วันละ 320 บาท ระดับ 2 วันละ 370 บาท และระดับ 3 วันละ 420 บาท, ช่างสีรถยนต์ ระดับ 1 วันละ 400 บาท ระดับ 2 วันละ 465 บาท ระดับ 3 วันละ 530 บาท, ช่างเชื่อมทิกระดับ 1 วันละ 455 บาท ระดับ 2 วันละ 615 บาท และระดับ 3 วันละ 775 บาท เป็นต้น ทั้งนี้ ค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือจะทำให้แรงงานได้มีโอกาสพัฒนารายได้ตามประสบการณ์และ ความสามารถที่มีอยู่

(บ้านเมือง, 10-4-2555)

พนง.ชินเอไอเทคร้องขอเพิ่มสวัสดิการ

พนักงาน บริษัท ชินเอ ไฮเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ตั้งอยู่เลขที่ 183 หมู่ 3 ราชสีมา-โชคชัย ต.หนองบัวศาลา อ.เมือง จ.นครราชสีมากว่า 500 คน รวมตัวภายในวัดหนองบัวศาลา เพื่อชุมนุมเรียกร้องสวัสดิการให้กับนักงานจำนวน 35 ข้อ จากผู้บริหารบริษัท โดยมีนายเอกลักษณ์ พรหมพันธ์ใจ ประธานสหภาพแรงงานชินเอไฮเทค พร้อมกับสมาชิกสหภาพฯ เป็นแกนนำพนักงาน

ทั้งนี้ข้อเรียกร้องส่วนใหญ่ต้องการให้ผู้บริหารเพิ่มสวัสดิการในความ ปลอดภัยของพนักงาน และการเพิ่มเงินค่าตอบแทนในการทำงาน เช่น การขอชุดพนักงานใหม่ 4 ชุดต่อปี การขอรองเท้าทำงานที่มีคุณภาพ การขอสนามหญ้าเทียมเพื่อเล่นกีฬา การขอเพิ่มเงินเดือนร้อยละ 5 ต่อปี และการขอให้บริษัทจ่ายเงินโบนัส 2 ครั้งต่อปี เป็นต้น ซึ่งตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.2555 จนถึงขณะนี้กลุ่มสหภาพแรงงานชินเอไฮเทคได้ประชุมหารือกับทางผู้บริหารบริษัท มาแล้ว 2 ครั้ง แต่ไม่สามารถตกลงหาข้อยุติกันได้ พร้อมกันนี้ผู้บริหารบริษัทยังได้สั่งพักงานสมาชิกสหภาพแรงงานชินเอไฮเทค จำนวน 2 คน โดยให้เหตุผลระบุความผิดว่า สมาชิกสหภาพทั้ง 2 คน สร้างความแตกแยกในองค์กร

นายภูมิพัฒน์ ขจรภพ ประธานฝ่ายสารสนเทศ สหภาพแรงงานชินเอไฮเทค กล่าวว่า ขณะนี้ทางกลุ่มสหภาพแรงงานชินเอไฮเทคได้แจ้งเรื่องทั้งหมดไปยังสำนักงาน สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนครราชสีมา เพื่อให้ช่วยหาทางไกล่เกลี่ยปัญหาดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนครราชสีมาได้นัด ผู้บริหารบริษัทฯ และกลุ่มสหภาพบริษัทฯ หารือร่วมกันทั้ง 3 ฝ่ายอีกครั้ง ในเวลา 10.00 น. วันที่ 12 เม.ย.นี้ ที่สำนักงานแรงงานจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งหากข้อเรียกร้องที่ทางกลุ่มสหภาพแรงงานชินเอไฮเทคไม่ได้รับการตอบสนอง ทางพนักงานของบริษัทก็จะนัดกันรวมตัวเพื่อหยุดงานประท้วงพร้อมกันอย่างแน่ นอน

(ไทยโพสต์, 11-4-2555)

รัฐบาลอ้างกระทบตลาดแรงงานยืด “เงินป.ตรีหมื่นห้า”

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงโต้การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนเรื่องกาปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและ เจ้าหน้าที่รัฐว่า สื่อมวลชนแถลงข่าวไม่ถูกต้องกับสิ่งที่รัฐบาลทำ ซึ่งรัฐบาลนั้นได้พยายามทำ นโยบายสำคัญๆ ที่ครั้งเลือกตั้งและแถลงต่อสภา มีความคืบหน้าไปมากทั้ง 16 เรื่อง ทั้งเรื่องคืนภาษีรถคันแรก ปรับลดภาษีนิติบุคคล นโยบายบ้านหลังแรก เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ได้มีผลไปแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2554

”ประเด็นที่ขอชี้แจง เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ ซึ่งได้รับเงิน 15,000บาทไปแล้ว โดยบางหน่วยงาน ได้รับย้อนหลังไปตั้งแต่เดือน มกราคมถึงเดือนมีนาคม มติ ครม.ที่สื่อสารอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน รัฐบาลมีนโยบายเพิ่มรายได้ ให้กับข้าราชการจบปริญญาตรีที่ไม่ได้รับเงินเดือนไม่ถึง15,000 บาท โดยรัฐบาลได้เพิ่มรูปแบบ เรียกว่าเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว หรือ พชค. 15000 ซึ่งข้าราชการได้รับตั้งแต่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ ข้าราชการได้รับเรียบรัอยแล้ว คือมีรายได้ 15000 บาท เมื่อวานเป็นมติ ครม.เป็นเรื่องการปรับฐานเงินเดือน บางส่วนอาจเข้าใจว่า สิ่งที่รัฐบาลไปหาเสียงไว้แล้วไม่นำไปปฎิบัติจึงไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่รัฐบาลได้ปรับรายได้ในรูปแบบของเงินเดือนบวกเงินเพิ่มการครองชีพ ชั่วคราว 15000บาทเรียบร้อยแล้ว” นายอนุสรณ์ กล่าว

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า รวมทั้งได้ปรับผู้ที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ปวช.ปวส.มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 9000 บาทเรียบร้อยแล้ว ซึ่ง มติ ครม.31 มกราคม 2555ได้อธิบายชัดว่า เห็นชอบให้ปรับรายได้ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1มกราคม 2555 เป็นต้นไปเงินเดือนแรกบรรจุ รวมเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว จะมีรายได้ไม่น้อยกว่า 15,000 บาท

ตนขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้มีการเลื่อนการปรับรายได้กับปริญญาตรี แต่ ได้ 15,000 บาทไปแล้วตั้งแต่ 1 มกราคม 2555 ส่วนจะเรียกว่า เงินเดือนบวกรายรับพิเศษ หรือเงินเดือน บวก พชค. ก็สุดแล้วแต่ แต่ขณะนี้ข้าราชการทุกคนได้รับรายได้เดือนละ 15,000 บาทเป็นที่เรียบร้อย

” หลังจากมีมติ ครม.ออกไปเมื่อวานนี้ มีส่วนที่ไม่เข้าใจโดยเจตนา ไปอธิบายว่ารัฐบาลทำไม่ได้อย่างที่หาเสียงไว้ ข้าราชการก็แห้วไป อธิบายความว่ารัฐบาลทำได้ แต่มีข้อเทคนิคบางประการ เมื่อเราฟังความเห็นจากกระทรวงการคลังแล้วยังไม่สามารจะเรียกว่าจะปรับเงิน เดือนทั้งระบบ15,000 บาทได้ แล้วมันจะกระทบภาคเอกชน ถ้าจะปรับเพิ่มทั้งระบบ จะต้องใช้เงินสูงกว่า ห้าหมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งอาจไม่ถึงขั้นนั้น ซึ่งรัฐบาลก็ต้องฟังความเห็นของหน่วยงาน ที่ให้ปรับขึ้นสองครั้ง ตัวเงินเดือนจริงๆ 15,000 บาท จะเป็นไปใน 1 มกราคม 2557 นโยบายเร่งด่วนทั้งหมด รัฐบาลยังอยู่เส้นทาง และกรอบระยะเวลา ที่จะดำเนินการให้สำเร็จตามที่ได้แถลงนโยบายไว้กับรัฐสภา ” นายอนุสรณ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายอนุสรณ์ เปิดเผยด้วยว่า สาเหตุที่ต้องดำเนินการปรับระบบเงินเดือนเป็น 2ช่วง เนื่องจากในครม.มีการเสนอความเห็นหลากหลายเกี่ยวกับการนำงบประประมาณมาใช้ ที่ต้องพิจารณาจากหลายหน่วยงาน อาทิ สำนักงบประมาณ และอีกส่วนหนึ่งเนื่องจากหากขึ้นเงินเดือนในทันที อาจเป็นการส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานภายในประเทศ ซึ่งเป็นการกดดันให้ภาคเอกชนไม่มีศักยภาพในจ้างงาน

(บ้านเมือง, 11-4-2555)

สปส.ยืนยันให้ผู้ประกันตนรักษากรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินร่วมกับ 3 กองทุน

ก.แรงงาน 11 เม.ย.- นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวถึงกรณีที่ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน ออกแถลงการณ์ประณามคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) ว่ามีมติไม่เห็นชอบกับข้อตกลงในการรักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน 3 กองทุน ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะที่ประชุมบอร์ด สปส.เห็นชอบในหลักการแล้ว แต่ยังกังวลเรื่องภาระงบประมาณ จึงมอบให้ สปส. ร่างระเบียบที่ชัดเจน และรัดกุม ป้องกันกลุ่มผู้แสวงหาผลประโยชน์ และจะนำเรื่องเข้าพิจารณาอีกครั้งในวันที่ 17 เมษายนนี้ หากผ่านความเห็นชอบกับร่างระเบียบใหม่ ประธานคณะกรรมการแพทย์ ก็จะลงนาม เพื่อประกาศบังคับใช้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าขณะนี้ผู้ประกันตนที่เจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลนอกเครือข่าย สปส.ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะเป็นผู้เบิกค่ารักษากับ สปส.ตามเกณฑ์ที่กำหนด สำหรับเรื่องค่าใช้จ่าย ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณมากนัก เนื่องจาก สปส.มีการรักษากรณีฉุกเฉินเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงเปลี่ยนรูปแบบการจ่ายเงินเท่านั้น โดยจำนวนผู้ประกันตนที่เข้ารับการรักษาฉุกเฉินของ สปส. มีเพียงร้อยละ 10 ของผู้เข้ารับการรักษาทั้งหมด

(สำนักข่าวไทย, 11-4-2555)

ผู้ช่วยนักบินการบินไทยนัดลาหยุดสงกรานต์ เรียกร้องสิทธิประโยชน์

13 เม.ย. 55 - สำนักข่าวไทยรายงานว่าผู้ช่วยนักบินของการบินไทยพร้อมใจกันลาหยุดงานเป็น จำนวนมาก เพื่อเรียกร้องสิทธิประโยชน์ของนักบินเพิ่มเติม และไม่พอใจการทำงานของฝ่ายบริหารบางคน ทำให้ฝ่ายดูแลนักบินต้องจัดนักบินสับเปลี่ยนวุ่ยวาย จนส่งผลให้เที่ยวบินสายการบินไทย บางเที่ยวบินต้องล่าช้า ล่าสุดการบินไทยออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า เหตุที่บางเที่ยวบินล่าช้า เป็นผลจากที่การบินไทยมีการเพิ่มเที่ยวบินรองรับผู้โดยสารช่วงสงกรานต์ แต่การบินไทยมีนักบินส่วนหนึ่งได้ลาพักผ่อนในช่วงดังกล่าวด้วย ทำให้มีผลกระทบต่อการเรียกนักบินมาปฏิบัติการบินทดแทนนักบินที่ขอลาพักผ่อน พร้อมยืนยันสามารถบริหารจัดการให้มีนักบินปฏิบัติการบินได้ในทุกเที่ยวบิน ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการให้บริการแต่อย่างใด

ด้านเว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่าน.ต.อัษฎาวุธ วัฒนางกูร รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติบัติการบริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า กรณีเกิดเหตุการณ์เที่ยวบินการบินไทยล่าช้า ในบางเที่ยวบิน เป็นผลจากการที่การบินไทยมีการเพิ่มเที่ยวบิน เพื่อรองรับความต้องการของผู้โดยสารในเทศกาลสงกรานต์ แต่การบินไทยมีนักบินส่วนหนึ่งได้ลาพักผ่อน เพื่อใช้เวลาอยู่กับครอบครัวในช่วงดังกล่าวด้วย จึงทำให้มีผลกระทบเพียงเล็กน้อย ต่อการเรียกนักบินมาปฏิบัติการบินทดแทนนักบินที่ขอลาพักผ่อน ซึ่งฝ่ายปฏิบัติการ การบินไทย ขอยืนยันว่า สามารถบริหารจัดการให้มีนักบินปฏิบัติการบินได้ในทุกเที่ยวบิน ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการให้บริการแต่อย่างใด

(ประชาไท, 13-4-2555)

เผย 20 วันศูนย์โปร่งใสแรงงานรับร้องเรียนแล้ว 102 เรื่อง

นายอนุสรณ์ ไกรวัตนุสสรณ์ โฆษกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากที่นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ให้มีการจัดตั้งศูนย์โปร่งใสกระทรวงแรงงาน ขึ้น ณ บริเวณกระทรวงแรงงาน เพื่อให้บริการรับเรื่องราวร้องทุกข์ การให้คำปรึกษากรณีค่าจ้าง 300 บาท กรณีแรงงานต่างด้าว และกรณีการหลอกลวงแรงงานไทยเพื่อไปทำงานต่างประเทศ นั้น ได้รับความสนใจจากประชาชนเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก

ขณะนี้ได้มีการร้องเรียนผ่านศูนย์ดังกล่าวแล้วจำนวน 102 เรื่อง ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องค่าจ้าง 300 บาท เช่น จังหวัดใดจะได้รับค่าจ้าง 300 บาท หากนายจ้างไม่จ่ายค่าจ้าง 300 บาทจะมีความผิดหรือไม่อย่างไร ค่าจ้างจะรวมถึงสวัสดิการด้วยหรือไม่ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งในทุกประเด็นคำถามหรือเรื่องราวร้องทุกข์ของผู้ใช้แรงงานนั้นจะมีเจ้า หน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะคอยตอบคำถและรวบรวมคำถามเพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งใน ระดับปฏิบัติและนโยบาย

นายอนุสรณ์ฯ กล่าวอีกว่า หากประชาชนหรือผู้ใช้แรงงานมีข้อสงสัยหรือปัญหาในเรื่องดังกล่าว สามารถเดินทางมาสอบถามหรือร้องเรียนได้โดยตรงที่ “ศูนย์โปร่งใสกระทรวงแรงงาน” ชั้น 1 อาคาร 15 ชั้น กระทรวงแรงงาน หรือโทรศัพท์สอบถามหรือร้องเรียนได้ที่หมายเลข 0 2232 1137 ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ในเวลาราชการ( 08.30 ถึง 16.30 น.) หรือจะสอบถามผ่านสายด่วน 1506 เกี่ยวกับสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคม 1694 เกี่ยวกับกรมการจัดหางาน และ 1546 เกี่ยวกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานสามารถสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง

(กรุงเทพธุรกิจ, 13-4-2555)


 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"สถานการณ์ก่อนขึ้นค่าแรง 300 บาท" คนทำงานประจำเดือนมีนาคม 2555

Posted: 16 Apr 2012 06:22 AM PDT


Published under a Creative Commons License By attribution, non-commercial

ร้ายสไตล์บายรุ้งรวี : น้องมิกกี้ : เพศและกฎหมายในสังคมไทย

Posted: 16 Apr 2012 06:12 AM PDT

 

จำได้ว่าบทความชิ้นก่อนที่ลงเผยแพร่ ดิฉันเขียนไว้ว่า

“คาดว่าสงกรานต์นี้เดี๋ยวก็มีเรื่องคล้ายๆ ปีก่อน ทั้งเรื่องการรณรงค์ไม่ให้ผู้หญิงแต่งโป๊เปลือยไปเล่นน้ำ รวมถึงอาจมีมือปราบศีลธรรมของสังคมสักคนไปถ่ายคลิปอะไรมาแล้วเอาโพสต์เป็นข่าวต้องรีบหาตัวผู้กระทำการให้ศีลธรรมในสังคมเสื่อมเสียมาลงโทษอีกเช่นเคย”

แหม่! ทำไมไม่เป็นหวยนะ ป่านนี้คงรวยไปแล้ว เพราะล่าสุดก็มีกรณีน้องมิกกี้ ที่ขึ้นไปเต้นโชว์เปลือยอกที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนเป็นข่าวครึกโครมและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในเฟซบุ๊กเช่นเคย ซึ่งล่าสุดนั้นน้องมิกกี้ได้เข้าไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจตามหมาย และเสียค่าปรับ 500 บาท ในข้อหากระทำการอนาจารในที่สาธารณะต่อธารกำนัลเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากคลิปสามสาวสีลมในปีที่แล้ว เพียงแต่มความซับซ้อนอยู่หน่อย ตรงที่ว่าน้องมิกกี้นั้นเป็นสาวประเภทสองที่มีหน้าอกเป็นหญิง

ร้ายสไตล์บายรุ้งรวี : น้องมิกกี้ : เพศและกฎหมายในสังคมไทย

ก่อนอื่น ขอออกตัวไว้ก่อนว่า แม้ดิฉันจะร่ำเรียนจบด้านกฎหมายมาก็จริง แต่ความรู้ทางด้านกฎหมายนั้น แทบจะไม่หลงเหลืออยู่ในกระผีกหนึ่งของสมองเลย การเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้น ซึ่งพาดพิงไปยังประเด็นข้อกฎหมายจึงสุ่มเสี่ยงต่อการหน้าแตก รู้ไม่จริง ตีตัวบท หรือเจตนารมย์ของกฎหมายไม่แตก อย่างมาก แต่ถึงอย่างไรประเด็นนี้ก็เป็นประเด็นที่ควรจะร่วมกันถกเถียงและวิพาก์วิจารณ์ ดิฉันจึงขอเสี่ยงตาย และขอออกตัวอย่างสลิ่มสวยๆ (และเซฟ) ไว้ก่อนว่า ผิดถูกประการใดก็ให้ถือเสียว่าเป็นการจุดประเด็นเพื่อให้เกิดการถกเถียงร่วมกันเพื่อนำปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ด้วยสติปัญญาในลำดับต่อไป (กรี๊ดดด...ไม่นึกว่าจะเขียนอะไรแบบนี้ได้ในชีวิตนี้)

เอาล่ะ น้องมิกกี้ นั้น เธอ (เขา ?) ถูกปรับ 500 บาท ตามความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 388 ที่ว่า

“ ผู้ใดกระทำการอันควรขายหน้าต่อหน้าธารกำนัลโดยเปลือยหรือเปิดเผยร่างกาย หรือกระทำการลามกอย่างอื่น ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท”

ความฉลาดและกำกวมของกฎหมายอยู่ที่ว่า มักจะขึ้นต้นมาตราว่า “ผู้ใด” เสมอ และในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเกี่ยวข้องกับความผิดในฐานเดียวกัน แต่ผู้กระทำความผิด ‘ต่างเพศ’ กันนั้น เราก็ต้องไปค้นคว้าฎีกามาอ่านประกอบว่า “ผู้ใด” ในกรณีที่เป็นชายนั้น การ “เปลือย” “เปิดเผยร่างกาย” “กระทำการลามกอย่างอื่น” คืออย่างไรบ้าง และในกรณีที่เป็นหญิงนั้น คืออย่างไรบ้าง

สมัยที่ยังเรียนกฎหมายอยู่ มาตรานี้ไมได้สลักสำคัญพอจะนำไปออกข้อสอบเท่าใดนัก อาจารย์ก็จะสอนพอให้เข้าใจ ไม่ได้ลงรายละเอียด นักศึกษาสุดขี้เกียจอย่างดิฉันก็จะข้ามไป ไม่จำเท่าไหร่ เพราะมันไม่ออกสอบแน่ๆ การตีความตัวบทในมาตรานี้ เราจึงดูเพียงแค่คำว่า อะไรคืออนาจาร เปิดเผยร่างกายมีกรณีใดบ้าง อ้างตามความเห็นทางด้านกฎหมายของอาจารย์ผู้สอน ผู้เขียนตำรา โดยท่านให้ความเห็นไว้ดังนี้

“คำว่า “การอันควรขายหน้า” นั้น ศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ อธิบายว่า คือเป็นที่อับอายแก่ผู้พบเห็น ไม่จำกัดเฉพาะที่เกี่ยวกับความใคร่หรือทางเพศเท่านั้น แต่จำกัดเฉพาะเปลือยหรือเปิดเผยร่างกาย เช่น แต่งกายชุดประกวดนางงาม หรือว่ายน้ำมาเดินซื้อของในตลาดนัดสนามหลวงเป็นความผิดฐานนี้

ศาสตราจารย์หยุด แสงอุทัย อธิบายว่า “การเปิดเผยร่างกาย” นั้น หมายความว่า เฉพาะอวัยวะที่ควรปกปิด เช่นของลับ ถ้าเป็นกรณีหญิงเปิดหน้าอกต้องดูจารีตประเพณีและอายุ เช่น มารดาเปิดนมให้ลูกกิน ต้องถือว่าไม่ผิด แต่ถ้าเข้าไปเปิดนมเป็นการแสดงในไนต์คลับก็เป็นความผิด

คำว่า “ธารกำนัล” คำพิพากษาฎีกาที่ 770/2482, 1231/2482 วินิจฉัยว่า หมายความถึงการกระทำที่ประชาชนเห็นได้

คำว่า “กระทำการลามกอย่างอื่น” ตามมาตรา 388 คำพิพากษาฎีกาที่ 1069/2506 วินิจฉัยว่า ไม่ได้หมายความเฉพาะเกี่ยวกับร่างกายเท่านั้น หมายถึง วาจาด้วย จำเลยกล่าวคำว่า “เย็ดโคตรแม่มึง” ต่อหน้าธารกำนัล เป็นความผิดตามมาตรานี้ด้วย

น้องมิกกี้ เธอได้รับการกล่าวโทษว่ามีความผิด (และไปเสียค่าปรับ) เรียบร้อยแล้ว อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 388 โดยข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนั้น เข้าข่ายว่าน้องมิกกี้ “เปิดเผยร่างกาย” (ไมได้เปลือย เพราะยังใส่กางเกงอยู่ แต่โชว์ท่อนบน เห็นหน้าอก นม อย่างกระจะกระจ่าง) และ “ต่อหน้าธารกำนัล” คือเกาะเมือง สถานที่เล่นน้ำสงกรานต์ในจังหวะพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีผู้คนมาเล่นสาดน้ำในวันสงกรานต์ ในขณะที่น้องมิกกี้ขึ้นไปเต้นและเปลือยอกโชว์อยู่จำนวนมาก

หากจะพิจารณาต่อไป ตามความคิดเห็นทางกฎหมายของ ศาสตราจารย์หยุด แสงอุทัย ที่กล่าวว่าในกรณีที่เป็นหญิง การเปลือยหน้าอกนั้น ถือว่าเป็นการเปิดเผยร่างกายซึ่งมีความผิดตามมาตรานี้ แต่ต้องพิตารณาดูตามจารีตประเพณี เช่น แม่ให้นมลูก ซึ่งข้อเท็จจริงของน้องมิกกี้นั้น ไม่ใช่การกระทำตามจารีตประเพณีที่ไม่ถือว่ามีความผิดตามมาตรานี้ เพียงแต่ว่า ตกลงน้องมิกกี้มีความผิดตามมาตรานี้ในฐานะ ข้อเท็จจริงตามกฎหมายที่ว่า “เธอเป็นผู้หญิง” หรือ ?

คิดเล่นๆ โดยที่ไม่ได้ดูตัวอย่างฎีกาประกอบ กรณี “ผู้ชาย” ในความผิดตามมาตรานี้ คือการเปิดเผย ‘ของลับ หรือของสงวน” อันหมายถึงอวัยวะเพศนั่นเอง (คาดว่า “ก้น” ของผู้ชายไม่น่าเข้าข่ายความผิดตามมาตรานี้ เพราะจำได้ว่ากรณีดาราหนุ่ม แมทธิว แฟนลิเดีย เปิดก้นโชว์ใส่นักข่าวกลางห้าง ยังไม่เห้นมีการสอบสวนเอาความผิดกระทำการอนาจารในที่สาธารณะตามมาตรา 388 นี้แลย) คิดต่อไปว่า หากในกรณีนี้ เป็นน้อง ‘รุ้ง’ ซึ่งเธอเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว เป็นกะเทย แต่หน้าสวยประหนึ่งน้องปอยตรีชฎา ผมยาวสลวยไปถึงกลางหลัง เรียกได้ว่าถ้าแต่งหญิงดูยังไงก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้ชาย แต่ว่ายังไม่ได้นำนม เธอลุกขึ้นมาเต้นโชว์เปลือยอกแฟ่บๆ เหมือนเด็กผู้ชายบ้าง เธอจะมีความผิดตามมาตรานี้หรือไม่ คาดว่าคงไม่ผิด เพราะองค์ประกอบที่เข้าข่ายความผิดตามมาตรานี้คือ “นม”

แม้ว่าในทางกฎหมาย น้องมิกกี้จะมีคำว่า “นาย” นำหน้า (ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่านอกจากทำนมแล้ว เธอแปลงเพศแล้วหรือยัง) แต่เมื่อเธอมี “นม” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ “เพศหญิง” และถือเป็นของสงวน อันมิอาจเปิดเล่น เปิดโชว์ในที่สาธารณะได้ เธอจึงมีความผิดตามมาตรานี้ จึงตีความได้ต่อไปว่า นม (ในแบบเพศหญิง) คือสิ่งที่ทำให้เกิดความผิด อ่านความต่อไปให้ไกลกว่าเดิมคือ นมเป็นตัวกำหนดเพศ (ในกรณีความผิดตามกฎหมายนี้) ซึ่งก่อให้เกิดองค์ประกอบที่ทำให้มีความผิด เพราะถ้านมไม่กำหนดเพศแต่ให้กฎหมายกำหนด คือน้องมิกกี้มีคำนำหน้าว่า “นาย” ซึ่งหมายถึงเพศชาย การเปิดเผยนมของเพศชายในที่สาธารณะคงไม่มีความผิดตามมาตรานี้

อะไรกันแน่ที่เป็นตัวกำหนดเพศของ “ผู้ใด” ในทางกฎหมาย สรีระร่างกาย หรือคำนำหน้า

หลายคนคงอ่านแล้วด่าออกมาดังๆ ว่า นังรุ้งงงง...เธอโง่หรือแกล้งโง่กันนี่ ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าน้องมิกกี้ มีนมเป็นผู้หญิงเสียขนาดนั้น ก็ต้องมีความผิดตามกฎหมายสิ แม้ว่าน้องจะเป็นสาวประเภทสองหรือยังปเนผู้ชายในทางกฎหมายก็ตาม แต่ในกรณีนี้เขาดูที่พฤติการณ์ที่ก่อให้เกิดความผิด มีองค์ปรกะอบที่ก่อให้เกิดความผิด ไม่ได้ยึดตามความเที่ยงแท้ของตัวบทกฎหมาย

ยอมรับว่าโง่ไว้ก่อน (เขาบอกว่าผู้หญิงสวยมักจะโง่) แต่เมื่อคิดต่อไปให้ไกลจากเรื่องของน้องมิกกี้ สาวประเภทสองทั้งหลาย ที่มีนม มีสรีสระ (หรือรวมไปถึงอวัยวะเพศ) เป็น “หญิง” เธอเหล่านั้นจะมีความผิดตามกฎหมายเมื่อเปิดเผยร่างกายอันเป็นความผิดตามองค์ประกอบของเพศหญิง แต่ในทางกฎหมายเธอกลับไม่สามารถเรียกร้องต่อรัฐได้ว่า เธอเป็น “เพศหญิง”ในขณะที่รัฐใช้อำนาจผ่านกฎหมายเอารัดเอาเปรียบต่อพวกเธอว่า แม้เธอจะเป็น “ชาย” ทางกฎหมาย แต่เมื่อเธอมีสรีระเป็นหญิง เธอก็สามารถมีความผิดได้ในกรณีที่ร่างกายในแบบหญิง เข้าองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย ความย้อนแย้งนี้คือความไม่ยุติธรรมของการใช้อำนาจรัฐผ่านทางกฎหมายต่อเพศที่สามใช่หรือไม่

ถือเป็นความรุนแรงทางเพศที่รัฐกระทำต่อประชาชนอย่างเชือดนิ่มๆ ที่ทุกคนยินยอมพร้อมใจกันเห็นว่า ถูกต้องแล้วใช่หรือเปล่า

หากเป็นเช่นนั้น น้องมิกกี้ หรือสาวประเภทสองที่(อาจ)มีความผิดตามมาตรานี้ก็มีสิทธิใยการเรียกร้องต่อรัฐว่า โอเค ฉันมีความผิดในการโชว์นม เพราะถือว่าฉันเป็นผู้หญิงตามกฎหมายมาตรานี้ เพราฉะนั้นในเมื่อรัฐหรือกฎหมายนำร่างกายที่เป็นหญิงของฉันไปใช้เพื่อให้เข้าข่ายความผิดทางกฎหมาย ทั้งๆ ที่ฉันยังเป็น “นาย” หรือในทางกฎหมายจริงๆ ฉันเป็นผู้ชายแล้วล่ะก็ ก็ขอใช้สิทธิในการเป็น “หญิง” ในทางกฎหมายอย่างเต็มๆ เลยก็แล้วกัน เพราะฉะนั้น โปรดจงให้สิทธิฉันในการเปลี่ยนจากนายเป็น “นางสาว” ตามร่างกายที่ฉันเป็นเดี๋ยวนี้ แฟร์ๆ กันไปเลย!!!

แน่นอน...เรื่องที่ว่าจะขอ “นางสาว” ไปทำไม เพื่ออะไร จะส่งผลอะไรบ้างตามมา นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องไปเถียงกันต่อหลังจากนั้น สิ่งที่ดิฉันยกตัวอย่างให้เห็นนั้น มันเป็นเพียงการลุกขึ้นมาตั้งคำถาม ท้าทาย ต่ออำนาจรัฐผ่านการย้อนแย้งในสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อให้เห็นว่ามีความไม่สมดุล ไม่เสมอภาคกันอยู่ในเพศสภาวะในทางกฎหมาย ซึ่งส่งผ่านมายังสังคม หน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ บนวอลเฟซบุ๊ก และแน่นอนว่า....สงกรานต์ปีหน้า เราก็ยังคงได้พูดคุยถกเถียงเรื่องนี้กันอีก เสมือนประหนึ่งว่าเป็นเทศกาลตรวจจับความดีงามของศีลธรรม วัฒนธรรมไทย อันไม่อาจล่วงละเมิดได้ด้วยนม ไม่ว่าจะเป็นนมผู้หญิงหรือนมสาวประเภทสอง

 

ภาพข่าวจาก: http://news.voicetv.co.th/thailand/36465.html

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สื่อสเปนวิจารณ์กษัตริย์ฮวน คาร์ลอสล่าสัตว์ที่แอฟริกา ขณะประเทศเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ

Posted: 16 Apr 2012 03:35 AM PDT

เว็บไซต์ Le Parisien ของฝรั่งเศสรายงานว่าฮวน คาร์ลอส กษัตริย์แห่งสเปนทรงมีอาการดีขึ้นจากพระอาการสะโพกหักที่ประเทศบอตสวานา หลังจากที่ทรงรับการผ่าตัดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แพทย์รักษาโดยการผาตัดใส่อวัยวะเทียมให้ และระบุว่า “พระอาการของเป็นที่น่าพอใจ” อย่างไรก็ตามข่าวเกี่ยวกับพระองค์กลับไม่จางหายไปตามพระอาการ เพราะชาวสเปนเริ่มตั้งข้อสงสัยถึงความเหมาะสมที่พระองค์ออกไปล่าช้างที่แอฟริกาในขณะที่ประเทศประสบปัญหาวิกฤติ

ตามรายงานข่าวของสเปน กษัตริย์ฮวน คาร์ลอส พระชนมายุ 74 พรรษา เสด็จไปบอตสวานาพร้อมกับคณะเพื่อล่าช้าง โดยเป็นที่เข้าใจว่า บอตสวานาอนุญาตให้มีการล่าช้างได้โดยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมระหว่าง 7,000 ถึง 30,000 ยูโร (ประมาณ 300,000 บาท ถึง 1,300,000 บาท) และแม้ว่าราชสำนักจะปฏิเสธข่าวดังกล่าว และยืนยันว่าพระองค์เสด็จประพาสส่วนพระองค์ กระนั้นก็ตาม หนังสือพิมพ์หลายฉบับตีพิมพ์ได้พากันตีเผยแพร่ภาพของพระองค์เมื่อปี 2549 ที่ทรงฉายโดยประทับยืนถือปืนอยู่หน้าซากช้าง 

ภาพถ่ายเมื่อปี 2549 ของกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส แห่งสเปน ถ่ายคู่กับซากช้างที่บอตสวานาเมื่อปี 2549 ภาพนี้ถูกสื่อมวลชนสเปนหลายฉบับนำมาตีพิมพ์ซ้ำเมื่อวันอาทิตย์ (15 เม.ย.) (ที่มา: Le Parisien)

“ภาพที่กษัตริย์ออกไปล่าช้างที่แอฟริกาในขณะที่วิกฤติเศรษฐกิจดำเนินอยู่ในประเทศเรายั่วยุให้เกิดปัญหากับคนสเปน” “ภาพที่ไม่แยแสและทรงออกไปเล่นสำราญส่วนพระองค์ ในฐานะประมุขของประเทศแล้วไม่ควรแสดงออกมา” พาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์เอียงขวาอย่าง El Mundo ระบุ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ขิ่งขึ้นอีก เพราะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ประเทศสเปนต้องแถลงนโยบายรัดเข็มขัดอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา กษัตริย์ฮวน คาร์ลอสได้เรียกร้องข้าราชการให้รัดเข็มขัดและทำงานหนักเพื่อแสดงตนเป็นตัวอย่าง ข้อเรียกร้องนี้ถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์ต่อเนื่องเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวที่ราชบุตรเขยของกษัตริย์คาร์ลอส Inaki Urdangarin เข้าไปพัวพันกับคดีคอร์รัปชั่นที่ส่งผลให้ต้องขึ้นศาลเมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

 

ความเคลือบแคลงต่อการประพาสต่างประเทศเป็นการส่วนพระองค์

Le Parisien ระบุว่า ความกังวลที่จะปกป้องภาพลักษณ์ของราชวงศ์ ทำให้ราชสำนักยกเลิกพิธีการประจำปีในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และแสดงความโปร่งใสโดยการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของราชวงศ์เป็นครั้งแรกต่อสาธารณชน แต่สำหรับหนังสือพิมพ์ El Pais แล้วมันยังไม่พอ ยังคงมีความเคลือบแคลงต่อกรณีการเสด็จไปต่างประเทศเพื่อท่องเที่ยวส่วนตัวแต่กลับไปในฐานะประมุขของรัฐ “ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่เคยรายงานต่อรัฐบาล ต่อสภาหรือต่อสาธารณชน”

หนังสือพิมพ์อนุรักษ์นิยมและกษัตริย์นิยมอย่าง ABC พาดหัวข่าววันอาทิตย์ว่า “เป็นปีที่รุนแรงที่สุด” ของกษัตริย์ตั้งแต่ทรงครองราชย์เมื่อปี 2518 ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมายังมีรายงานข่าวด้วยว่า Felipe Juan Marichalar Bourbon นัดดาของกษัตริย์ฮวน คาร์ลอสวัย13ปี ได้รับบาดเจ็บที่เท้าขวาจากการฝึกยิงปืน ซึ่งการฝึกยิงปืนนี้ได้รับอนุญาตเฉพาะคนที่อายุ 14 ปีขึ้นไป

 

กษัตริย์ชราภาพ

Le Parisien ระบุว่า นี่เป็นครั้งที่สี่ในรอบสองปีที่กษัตริย์ฮวน คาร์ลอสทรงรับการผ่าตัด โดยครั้งแรกนั้นทรงรับการผ่าตัดเนื้องอกไม่ร้ายแรงที่ปอดเมื่อพฤษภาคม 2554 และ ผ่าตัดใส่เข่าขวาปลอมและผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมเอ็นร้อยหวายเมื่อเดือนกันยายน และในเดือนพฤศจิกายนพระองค์ใส่แว่นดำเพื่อปิดบังร่องรอยฟกช้ำที่ตา อุบัติเหตุเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาสุขภาพของกษัตริย์ชราภาพพระองค์นี้ และเกิดคำถามกับชาวสเปนในช่วงเปลี่ยนผ่านถ่ายทอดอำนาจให้กับองค์รัชทายาท เจ้าชาย Felipe ซึ่งใกล้เข้ามาทุกที

นี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต่อระบอบกษัตริย์ในอนาคต ในประเทศที่ผลโพลระบุว่าชาวสเปนให้ความนิยมต่อ ฮวน คาร์ลอสในลักษณะตัวบุคคลมากกว่าสถาบัน หรือนัยหนึ่งพวกเขาเป็นพวก “ฮวน คาร์ลอส นิยม” มากกว่า “กษัตริย์นิยม”

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

'ยูเอ็น' เริ่มส่ง 'คณะผู้ตรวจการ' ตรวจสอบการหยุดยิงใน 'ซีเรีย'

Posted: 16 Apr 2012 03:11 AM PDT

เลยเส้นตายแผนหยุดยิงในซีเรียแล้ว แต่ยังมีรายงานการปะทะในบางพื้นที่ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายกบฏต่างกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้ละเมิดข้อสัญญา ด้านยูเอ็นกำลังส่งตัวแทนผู้ตรวจการลงไปตรวจสอบการหยุดยิง
 
 
 
15 เม.ย.2555 สำนักข่าว BBC รายงานว่า ในประเทศซีเรียยังคงมีการปะทะแม้ว่าจะเลยกำหนดเส้นตายของแผนหยุดยิงเมื่อวันที่ 12 เม.ย.มาแล้ว ขณะที่แนวหน้าของคณะตรวจสอบการหยุดยิงจากสหประชาชาติกำลังเดินทางไปเยือนซีเรียเพื่อประเมินผลลัพธ์จากข้อสัญญาหยุดยิง
 
นักกิจกรรมกล่าวว่ามีการใช้อาวุธหนักยิงโจมตีเมืองฮอม ขณะที่มีรายงานว่ากองกำลังกบฏได้โจมตีใส่สถานีตำรวจในเขตปกครองอเลปโป
 
สื่อของรัฐบาลซีเรียอ้างว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นฝีมือของ "ผู้ก่อการร้าย" ซึ่งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นนับตั้งแต่กำหนดเส้นตายเมื่อวันที่ 12 เม.ย.เป็นต้นมา
 
ทางสหประชาชาติได้ผ่านมติเกี่ยวกับประเด็นของซีเรียเมื่อวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีคำสั่งให้ส่งผู้ตรวจการที่ปราศจากอาวุธลงไปในพื้นที่
 
โคฟี่ อันนัน ตัวแทนโฆษกเพื่อสันติภาพ กล่าวว่าคณะผู้ตรวจการที่ถูกส่งไปก่อน 6 คน จะไปถึงซีเรียในวันที่ 16 เม.ย.นี้ อาห์หมัด ฟาวซี บอกว่าทั้ง 6 คนจะมีคณะผู้ตรวจการอื่นๆ มาสมทบเป็น 25-30 คน
 
แม้ว่าจะพ้นเส้นตายข้อสัญญาหยุดยิงในวันที่ 12 เม.ย. แล้วแต่ก็ยังมีการละเมิดข้อสัญญาหลายครั้งมากนับจากนั้น
 
ในวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มเฝ้าระวังด้านสิทธิมนุษยชนในซีเรียรายงานว่ามีการใช้อาวุธหนักยิงถล่มย่านคาลดิเยห์ และบายาดา ของเมืองฮอม มีผู้เสียชีวิตจากการโจมตี 3 ราย
 
"ในช่วงเช้าพวกเราเห็นเฮลิคอปเตอร์กับเครื่องบินลาดตระเวนบินโฉบเหนือน่านฟ้า อีก 10 นาทีถัดมาก็มีการโจมตีด้วยอาวุธหนักตามมา" นักกิจกรรมในย่านคาลดิเยห์บอกกับนักข่าว
 
นอกจากนี้ยังมีรานงานว่ากองทัพรัฐบาลซีเรียได้โจมตีโดยใช้ปืนกลหนักอีกด้วย
 
ทางกลุ่มสิทธิมนุษยชนบอกอีกว่ามีการใช้อาวุธปืนและระเบิดต่อสู้กันเมื่อกลุ่มกบฏโจมตีเข้าใส่สถานีตำรวจทางตอนเหนือของเขตปกครองอเลปโป
 
กลุ่มนักกิจกรรมเปิดเผยว่ามีรายงานผู้เสียชีวิต 32 รายแล้วนับตั้งแต่ข้อสัญญาหยุดยิงส่งผล
 
นักข่าว BBC รายงานว่า ทั้งฝ่ายกบฏและฝ่ายรัฐบาลต่างก็กล่าวหาฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ละเมิดข้อสัญญา และทางคณะผู้ตรวจการของของยูเอ็นจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะปฏิบัติงานเช่นไรในสถานการณ์เช่นนี้
 
คณะผู้ตรวจการจะต้องหาหนทางในการขอความร่วมมือจากรัฐบาลซีเรีย โดยให้กำหนดว่าพวกเขาจะเดินทางในซีเรียได้มากแค่ไหน และจะอยู่ในสถานการณ์ที่ปลอดภัยมากน้อยเพียงใด
 
บัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติกล่าวว่า หากขอความร่วมมือสำเร็จเขาจะเสนอแผนให้มีคณะผู้ตรวจการ 250 คนภายในไม่กี่วัน เขายังบอกอีกว่าทางยูเอ็นต้องการเสรีภาพในการเดินทางอย่างไม่มีข้อจำกัดสำหรับการตรวจสอบในครั้งนี้
 
แม้ว่าระดับความรุนแรงดูจะน้อยกว่าในช่วงก่อนมีข้อสัญญาหยุดยิง ทางรัฐบาลซีเรียยังต้องปฏิบัติตามข้อหนึ่งในแผนการสันติภาพ 6 ประการ คือการถอนรถถังออกจากเมืองและย่านชุมชน
 
วิลเลียม เฮก รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษบอกว่าคณะผู้ตรวจการ 30 คนไม่เพียงพอในการตรวจสอบซีเรียทั้งประเทศ และต้องมีการเสริมกำลัง อย่างไรก็ตามฮาคบอกอีกว่า "แผนการของอันนันในตอนนี้ก็ดีกว่าทางเลือกอื่นๆ ที่จะนำมาซึ่งความรุนแรงและการสูญเสีย"
 
 
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น