โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ซีเรียตกลงให้ยูเอ็นส่งตัวคณะผู้ตรวจการเยือนซีเรีย

Posted: 19 Apr 2012 02:21 PM PDT

19 เม.ย. 2012 - ทั้งฝ่ายสหประชาชาติและรัฐบาลซีเรียเปิดเผยไปในทางเดียวกันว่า พวกเขาตกลงกันเรื่องพิธีสารในการส่งคณะผู้ตรวจการเข้ามาตรวจสอบการหยุดยิงในประเทศซีเรีย

โคฟี อันนัน ตัวแทนของยูเอ็นและสันนิบาตชาติอาหรับกล่าวว่า ได้มีการตกลงร่วมกับรัฐบาลซีเรียเรื่องภารกิจหน้าที่ในครั้งนี้ รวมถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐบาลซีเรีย
 
แม้ว่าข้อสัญญาหยุดยิงจะส่งผลแล้ว แต่ยังคงมีรายงานความรุนแรงในซีเรีย
 
ก่อนหน้านี้ บังคีมูน เลขาธิการยูเอ็น บอกว่าต้องการให้เพิ่มจำนวนคณะผู้ตรวจการเป็น 300 คน
 
ในจดหมายรายงานถึงยูเอ็น เลขาธิการเปิดเผยว่าซีเรียไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาหยุดยิง แต่ก็ยังมีโอกาสในการทำให้การหยุดยิงคืบหน้า
 
สมาชิกสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติกำลังประชุมกันที่สหรัฐฯ เพื่อหารือเกี่ยวกับรายงานฉบับนี้
 
รัฐมนตรีต่างประเทศของซีเรียกล่าวในแถลงการณ์ว่า มีการลงนามสัญญาข้อตกลงร่วมกันเรื่องการส่งตัวคณะตรวจสอบเข้ามาในซีเรีย โดยผู้ลงนามในสัญญาคือรักษาการ รมต.ต่างประเทศ ไฟซัล อัล-เม็คแดด และสมาชิกของคณะตรวจการที่เดินทางมาเยือนล่วงหน้าในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
 
แถลงการณ์ระบุว่า "ข้อตกลงในครั้งนี้ อยู่ในขอบข่ายความพยายามของชาวซีเรียที่มุ่งให้แผนการของอันนันประสบความสำเร็จ และเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คณะผู้ตรวจการของยูเอ็น ในขณะเดียวกันก็เคารพต่ออธิปไตยของซีเรีย"
 
ฝ่ายของอันนันก็ยืนยันว่ามีการลงนามสัญญาข้อตกลงแล้ว และบอกว่าพวกเขากำลังหารือกับตัวแทนของฝ่ายต่อต้านของซีเรีย
 
"ข้อตกลงในครั้งนี้วางโครงสร้างหน้าที่ของคณะผู้ตรวจการเอาไว้ ในการที่จะปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงในซีเรีย และหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐบาลซีเรียต่อกรณีนี้" อาห์มัด ฟาวซี กล่าวในแถลงการณ์
 
แถลงการณ์ระบุว่า จุดที่ยากต่อจากนี้ไปคือการที่ให้มีการเจรจาทางการเมืองโดยชาวซีเรีย ของชาวซีเรีย ในการระบุถึงปัญหาและความต้องการของประชาชนชาวซีเรีย
 
ขณะเดียวกันนักกิจกรรมก็บอกว่า ยังคงมีการโจมตีด้วยอาวุธหนักจากฝ่ายรัฐบาลในเมืองฮอม ขณะที่ผู้สื่อข่าว BBC รายงานว่า ในตอนนี้ยังไม่มีการระบุอย่างชัดเจนว่า คณะผู้ตรวจการจะมีเสรีภาพในการเดินทางมากแค่ไหนและได้รับอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลได้มากน้อยเพียงใด แต่ในขณะนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขตที่เป้นปัญหาอย่างชัดเจนอย่างเมืองฮอม
 
 
 
ที่มา
UN and Syria agree on observer protocol, BBC, 20-04-2012
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ญี่ปุ่นเตรียมยกหนี้ 1.1 แสนล้านบาทให้พม่า

Posted: 19 Apr 2012 11:02 AM PDT

ขณะที่สหภาพยุโรปวางแผนระงับการคว่ำบาตรพม่าเป็นเวลา 12 เดือน ยกเว้นมาตรการคว่ำบาตรอาวุธที่ยังคงไว้ โดยทูตอียูเตรียมเยือนพม่าปลายเดือนนี้

สำนักข่าวไทย รายงานวานนี้ (19 เม.ย.) ว่านักการทูตอียูเผยว่า กำหนดเวลาไว้ 12 เดือนเพื่อประเมินว่าการปฏิรูปของพม่ามีความยั่งยืนหรือไม่ คาดว่าจะมีการประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการในที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอียูที่ลักเซมเบิร์ก ในวันที่ 23 เมษายนนี้ และอาจจะมีการทบทวนการตัดสินใจในอีก 6 เดือน

ก่อนหน้านี้ นางแคทเธอรีน แอชตัน หัวหน้านโยบายต่างประเทศของอียูรับปากว่า จะผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรพม่าในสิ้นเดือนนี้ เนื่องจากพม่าได้เดินหน้าปฏิรูปทางการเมือง อียูต้องการสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับพม่า และเห็นว่าพม่ามีโอกาสที่จะเดินไปข้างหน้า อียูจะเข้าไปร่วมมือกับพม่าอย่างแข็งขันเพื่อช่วยเหลือกระบวนการปฏิรูป การพัฒนาเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมของพม่า นางแอชตันมีกำหนดเยือนพม่าในวันที่ 28-30 เมษายนนี้ และได้เชิญรัฐมนตรีต่างประเทศพม่าไปเยือนคณะกรรมาธิการยุโรปที่กรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียมด้วย

สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า หนังสือพิมพ์อาซาฮีรายงานคาดว่า นายกรัฐมนตรีโยชิฮิโกะ โนดะของญี่ปุ่นจะประกาศแผนยกหนี้มูลค่า 300,000 ล้านเยน (114,700 ล้านบาท) รวมทั้งแผนรื้อฟื้นความช่วยเหลือด้านเงินกู้แก่พม่าเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปีระหว่างหารือกับประธานาธิบดีเต็ง เส่งที่กรุงโตเกียวในวันเสาร์

ทั้งนี้่ ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ผู้นำพม่าจะเดินทางเยือนญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 20-24 เมษายนนี้ซึ่งนับเป็นผู้นำพม่าคนแรกที่ไปเยือนต่างประเทศในรอบ 28 ปีหลังพม่าเริ่มกลับเข้าสู่ประชาคมโลกภายหลังการเลือกตั้งรัฐบาลพลเรือนเมื่อปีที่แล้ว ญี่ปุ่นดำเนินนโยบายไม่เหมือนกับชาติมหาอำนาจตะวันตกด้วยการคงความสัมพันธ์ทางการค้าและการเจรจากับพม่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเตือนว่าการใช้มาตรการเด็ดขาดเกินไปจะยิ่งทำให้พม่าไปใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กลุ่มแฮกเกอร์ "Anonymous" ติดอันดับ 100 ผู้ทรงอิทธิพลนิตยสารไทม์

Posted: 19 Apr 2012 10:59 AM PDT

นิตยสารไทม์ประกาศรายชื่อ 100 อันดับผู้ทรงอิทธิพลของโลก ผู้สร้างแรงบันดาลใจ ความบันเทิง ความท้าทาย และเปลี่ยนแปลงโลก โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่เรียกตัวเองว่า Anonymous  ซึ่งปฏิบัติการโจมตีเว็บไซต์องค์กรใหญ่หลายแห่งทั่วโลก ติดอันดับด้วย

เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 55 นิตยสารไทม์ประกาศรายชื่อ 100 อันดับผู้ทรงอิทธิพลของโลก ซึ่งได้รับการโหวตจากผู้อ่าน โดยปีนี้มีผู้หญิงติดอันดับถึง 38 ราย ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านๆ มา ทั้งนี้ นิตยสารไทม์ระบุว่า ผู้ที่ได้รับการจัดอันดับเป็นผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจ ความบันเทิง ความท้าทาย และเปลี่ยนแปลงโลก

ในบรรดาผู้ได้รับการจัดอันดับ นอกจากบุคคลทั่วไปแล้ว ยังมีกลุ่มแฮกเกอร์ที่เรียกตัวเองว่า Anonymous (นิรนาม) ซึ่งปฏิบัติการโจมตีเว็บไซต์องค์กรใหญ่หลายแห่งทั่วโลก ติดอันดับด้วย โดยได้รับโหวตมากที่สุดถึง 395,793 คะแนน ทิ้งห่างผู้ที่ได้รับการโหวตอันดับสองอย่าง เอริก มาร์ติน ผู้จัดการทั่วไปของเว็บไซต์ Reddit ชุมชนออนไลน์ด้านไอทีขนาดใหญ่ ที่แสดงจุดยืนต่อต้านกฎหมาย SOPA และ PIPA และปฏิบัติการจอดับประท้วงพร้อมเว็บอื่นๆ ซึ่งได้ 264,193 คะแนน

บาร์ทัน แกลแมน บรรณาธิการฝ่ายบทความของนิตยสารไทม์ เขียนแซวว่า กลุ่ม Anonymous มาทำอะไรกับผลสำรวจนี้หรือเปล่า และว่า มีนักเดินทางนิรนามคนหนึ่งถามขึ้นว่า "คุณคิดว่าใครฉลาดกว่ากันล่ะ ระหว่างกลุ่มแฮกเกอร์ทักษะสูงจากทั่วโลกกับแผนกไอทีของไทม์"

ทั้งนี้ ผู้ทรงอิทธิพลที่ได้รับการจัดอันดับ มีทั้งผู้นำของประเทศอย่าง บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ, อังกีลา แมร์เคิล นายกฯ ของเยอรมนี, บาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดีซีเรีย, คิม จอง อึน ผู้นำคนใหม่ของเกาหลีเหนือ, โมฮัมเหม็ด โอมาร์ ผู้นำกลุ่มทาลิบัน, เต็ง เส่ง ประธานาธิบดีพม่า

นักเคลื่อนไหวจากโลกตะวันออกกลางอย่าง ซามิรา อิบราฮิม นักเคลื่อนไหวสตรีชาวอียิปต์, มาร์ยาม ดูรานี นักเรียกร้องสิทธิสตรีชาวอัฟกานิสถาน, มานาล อัล-ชารีฟ สตรีชาวซาอุดิอาระเบีย ผู้ท้าทายกฎหมายห้ามผู้หญิงขับรถ

นักธุรกิจอย่าง วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ซีอีโอของบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์, ทิม คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทแอปเปิล, เชอรีล แซนด์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายปฏิบัติการของเฟซบุ๊ก, ศิลปิน นักแสดงอย่างอะเดล, ริฮานนา, บิยอนเซ่ และนักกีฬาอย่าง เจเรมี ลิน นักบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอชาวอเมริกันเชื้อสายจีน


แปลและเรียบเรียงจาก
The 2012 TIME 100 Poll

http://www.time.com/time/specials/packages/article/0,28804,2107952_2107959,00.html

Anonymous
http://www.time.com/time/specials/packages/article/0,28804,2111975_2111976_2112122,00.html

Time’s 100 ‘Most Influential People in the World’ list includes Obama, Pippa, Tebow, Kim, Lin, Lauer
http://ca.news.yahoo.com/blogs/cutline/time-100-most-influential-people-world-list-includes-131606103.html

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ปะทะเดือดกรงปินังตาย 5 ดับแกนนำสำคัญ 7 หมายจับ

Posted: 19 Apr 2012 08:08 AM PDT

ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง สนธิกำลังปิดล้อมพื้นที่กรงปินัง จ.ยะลา ปะทะเดือดกลุ่มป่วนใต้ตาย 5 ศพ ดับ “นายสะกือรี จะปะกียา” แกนนำก่อเหตุรุนแรงมี 7 หมายจับ

เมื่อเวลาประมาณ 16.30 น. วันที่ 19 เมษายน 2555 พล.ต.ต. สฤษดิ์ชัย อเนกเวียง รองผบช.ศชต. พล.ต.ต.พีระ บุญเลี้ยง ผบก.ภ.จว.ยะลา พ.อ.ยุทธนาม เพชรม่วง ผบ.กรมทพ.47 พ.ท.กฤษณ์ แสงม่วง ผบ.ฉก.ยะลา 13 อ.กรงปินัง  นายสนั่น สนธิเมือง นายอำเภอกรงปินัง ได้สนธิกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านตะโละสโตร์ หมู่ 6 ต.สะเอะ อ.กรงปินัง จ.ยะลา หลังสืบทราบว่านายสะกือรี จะปะกียา อายุ 32 ปี แกนนำอาร์เคเค.ระดับสั่งการ ได้นัดหมายสมาชิก รวม 14 คน มาวางแผนก่อเหตุร้าย

ขณะเจ้าหน้าที่กระจายกำลังตรวจค้นบ้านต้องสงสัยไม่มีเลขที่ คนร้ายใช้ปืนเอ็ม16 ยิงใส่ จนเกิดปะทะกันขึ้น เป็นเวลานานกว่า 15 นาที หลังเสียงปืนสงบ พบผู้เสียชีวิต 5 ราย โดย 1 ใน 5 ราย คือนายสะกือรี จะปะกียา อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1281 บ้านอุเบ็ง ม.4 ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา เป็นสมาชิกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ ส่วนอีก 4 ราย เจ้าหน้าที่กำลังตรวจพิสูจน์ว่าเป็นผู้ใดบ้าง

เจ้าหน้าที่ ยังได้ยึดปืนเอ็ม 16 ได้ 1 กระบอก ปืนลูกซอง 1 กระบอก ปืนพกสั้นขนาด .38 อีก 1 กระบอกของกลุ่มคนร้ายไว้ได้ ส่วนคนร้ายอีก 9 คน อาศัยความชำนาญพื้นที่สามารถหลบหนีไป เจ้าหน้าที่เชื่อว่า คนร้ายน่าจะได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ส่วนเจ้าหน้าที่ทุกนายปลอดภัย

หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่เข้าปิดล้อมพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมตั้งจุดตรวจจุดสกัด เพื่อค้นหาคนร้ายที่ได้รับบาดเจ็บ และกำลังหลบหนีอยู่ เบื้องต้นเชื่อว่า 1 ในคนร้ายที่หลบหนีไปได้คือนายฮูไบดีล๊ะ รอมือลี

พ.อ.ยุทธนาม เปิดเผยว่า จุดเกิดเหตุอยู่ในป่าลึก เจ้าหน้าที่ยังคงไล่ล่าคนร้าย รวมทั้งได้ส่งเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าตรวจสอบด้วย

พ.อ.ยุทธนาม เปิดเผยว่า นายสะกือรี หนึ่งในคนร้ายที่เสียชีวิต เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ เป็นครูฝึก RKK ของกลุ่มนายฮูไบดีล๊ะ รอมือลี แกนนำสั่งการในพื้นที่ อ.ยะหา นายสะกือรี มีหมายจับ 7 หมาย คือ หมาย ป.วิอาญา เลขที่ จส 235/2550 หมาย พรก. ที่ฉฉ.270/2550 หมาย ป.วิอาญาที่ จส.155/2551 หมาย ป.วิอาญาที่ จส.167/2551 และหมายที่ 505/2551 หมายที่ 28/2551 หมายที่ 55/2551 ซึ่งก่อเหตุทั้งในพื้นที่ ต.ปะแต ต.ละแอ อ.ยะหา และ ต.สะเอ๊ะ อ.กรงปินัง จ.ยะลา

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เลื่อนสั่งฟ้องรอบ 2 ผู้ต้องหาถอนตัวมาตรา 21

Posted: 19 Apr 2012 08:05 AM PDT

อัยการนาทวีเลื่อนส่งฟ้องอีกครั้ง 4 ผู้ต้องหาถอนตัวมาตรา 21 นัดใหม่เป็นวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 โดยไม่แจ้งเหตุผล

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 19 เมษายน 2555 ที่สำนักงานอัยการจังหวัดนาทวี อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา พนักงานอัยการจังหวัดนาทวี ได้นัดนายมะซับรี กะบู นายซุบิร์ สุหลง นายสะแปอิง แว และนายอับริก สหมานกูด ผู้ต้องหาคดีความมั่นคงที่ถอนตัวจากการสมัครเข้าอบรมแทนการถูกขัง ตามมาตรา 21 ของพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 (พ.ร.บ.ความมั่นคง) เพื่อแจ้งว่า ได้ขอให้ศาลเลื่อนการส่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ต่อศาลจังหวัดนาทวีไปเป็นวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 โดยไม่ได้แจ้งเหตุผลที่เลื่อน

เดิมพนักงานอัยการจังหวัดนาทวี ได้กำหนดวันส่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ต่อศาลจังหวัดนาทวี ในวันที่ 6 มีนาคม 2555 ต่อมาเลื่อนเป็นวันที่ 19 เมษายน 2555 กระทั่งล่าสุด พนักงานอัยการจังหวัดนาทวีได้แจ้งเลื่อนการส่งฟ้องศาลทั้ง 4 คนอีกครั้งไปเป็นวันที่ 21 พฤษภาคม 2555

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เรื่องเล่าจากโรงงาน: เมื่อนักสหภาพฯ ต้องสูญเสียลูก

Posted: 19 Apr 2012 07:36 AM PDT

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการละเมิดสิทธิแรงงานในวันนี้ไม่ได้จำกัดขอบเขตอยู่เพียงแต่ในรั้วโรงงานเท่านั้น แต่วันนี้มันได้ลุกลามและรุนแรงมากขึ้น คุกคามแม้กระทั่ง “สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนที่ยังไม่มีโอกาสลืมตาดูโลก” วันนี้เราคงพูดเพียงคำว่า“ทุนนิยมข่มขืนเรา” เท่านั้นไม่ได้แล้ว “หรือวันนี้ทุนนิยมกำลังทำลายความเป็นคนของเรา?”

ก่อนวันสงกรานต์ ขณะที่เพื่อนกรรมกรจำนวนมากกำลังวางแผนสำหรับการเดินทางเพื่อกลับบ้านต่างจังหวัด และอีกจำนวนมากที่กำลังวางแผนสำหรับการท่องเที่ยวในวันหยุดประเพณีที่หลายคนมักเรียกว่าวันปีใหม่ไทย สำหรับตัวผมเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเพื่อนกรรมกรคนอื่นๆ 

แต่ในเช้าวันที่ 10 เมษายน 2555 ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนผู้นำสหภาพแรงงานพรีเมี่ยมสตีลโพรเซสซิ่ง ว่าต้องสูญเสียบุตร ซึ่งตนเองและภรรยาต่างก็รอความหวังที่จะได้เห็นหน้าเมื่อครบกำหนดคลอด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบ ทุกคนพยายามจะบอกว่ามันเป็นเรื่องของกรรมเก่า หรือบางคนพูดเป็นแค่เพียงคำว่าเสียใจด้วยนะ

ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดเหล่านี้จะหลุดออกมาจากปากนักบริหารบริษัทฯ ที่ประกอบธุรกิจระดับพันล้าน หลังจากได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนผู้นำกรรมกรท่านหนึ่ง ผมจึงรีบทิ้งภารกิจที่มีอยู่เพื่อไปให้กำลังใจและรับฟังปัญหาของเขา แต่ก็เป็นการยากมากที่จะตั้งคำถามว่าปัญหามันเกิดขึ้นจากจุดไหน และเกิดขึ้นได้อย่างไร

ในสภาวะที่โศกเศร้า และความรู้สึกที่กดดันเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นตั้งคำถาม หรือให้ผู้ได้รับความสูญเสียเล่าเรื่อง ปัญหาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากตรงไหนดี เพราะแทนที่จะเป็นการให้กำลังใจมันกลับจะกลายเป็นการตอกย้ำความเจ็บปวด หรือมันอาจจะเริ่มจากตรงนี้ และนี่คือเรื่องราวของเขา …

 

0 0 0

ข้าพเจ้านายชัชชัย (ทางกอง บก. ขอสงวนนามสกุล) ตำแหน่งประธานสหภาพแรงงานพรีเมี่ยมสตีลโพรเซสซิ่ง และเป็นประธานคณะกรรมการลูกจ้าง ปัจจุบันเป็นพนักงาน บริษัท พรีเมี่ยมสตีลโพรเซสซิ่ง จำกัด โรงงานตั้งอยู่นิคมอุตสาหกรรมทองโกรว์ เลขที่ 188 ม.2 ต.คลองตำหรุ อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี โทรศัพท์ 038-469400 ตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มแผนก PDS-P นายจ้างเป็นชาวญี่ปุ่น วันและเวลาทำงานปกติของข้าพเจ้าคือ วันจันทร์ถึงวันเสาร์ (หยุดเสาร์เว้นเสาร์) คือ 08.00-17.00 น. เริ่มทำงานกับบริษัทฯ เมื่อ 24 สิงหาคม 2548 และเป็นประธานก่อการสหภาพแรงงานก่อตั้งสหภาพแรงงานเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2549 ทะเบียนสหภาพแรงงานเลขที่ ชบ.105/2549 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 61/9 หมู่ 12 ต.นาป่า อ.เมือง จ.ชลบุรี

ที่ผ่านมาและในปัจจุบันเองปัญหาทางด้านแรงงานสัมพันธ์ไม่ดีนักเนื่องจากนายจ้างมักใช้อำนาจในการบริหารตามอำเภอใจ พนักงานส่วนใหญ่ไม่พอใจในการบริหารงานของผู้บริหารบางคนที่ไม่รับฟังความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะของพนักงานหรือตัวแทนของพนักงาน เช่น กรรมการลูกจ้าง หรือสหภาพแรงงานฯ การทำงานส่วนใหญ่ที่ผ่านมาผู้บริหารที่ถูกกล่าวถึงทำงานเพียงแค่ให้ผ่านไปวันๆ โดยที่ไม่สนใจว่าในโรงงานจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง จนในที่สุดประธานกรรมการกรรมการลูกจ้างรู้สึกว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องแก้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ เพื่อพนักงานทุกคนจะได้ทำงานอย่างมีความสุข ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงและมีขวัญและกำลังใจในการทำงาน

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2555 คณะกรรมการลูกจ้างจึงได้ทำหนังสือออก เลขที่ กจ.พสพ.พิเศษ/2555 เรื่อง การไม่ยอมรับการบริหารงานของผู้ช่วยรองประธานของบริษัทฯ (CFO) โดยทำหนังสือถึง ประธานบริษัท พรีเมี่ยมสตีลโพรเซสซิ่ง จำกัด พร้อมทั้งได้แนบสำเนารายชื่อพนักงานที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานมาด้วย คณะกรรมการลูกจ้างได้นำเสนอเรื่องร้องเรียนเพื่อประโยชน์ต่อการบริหารจัดการให้บริษัทฯมีแต่ความเจริญยิ่งขึ้นจำนวน 9 ข้อ ดังนี้

1. สัญญาว่าจะให้ค่าจ้างเป็นกรณีพิเศษ พนักงานแผนก PDS-P โดยเรียกเข้าพบที่ห้องทำงานทีละคน (ไม่ทุกคน)เป็นเหตุให้พนักงานมีความหวาดระแวงต่อกันมีผลกระทบต่อการทำงานและการบังคับบัญชา

2. ก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ในความเหมาะสมกับตำแหน่งงานไม่เป็นตามสายบังคับบัญชาขาดความชอบธรรม

3. ออกกฎระเบียบคำสั่งกระทำการใดๆเป็นเหตุให้บริษัทฯได้รับความเสื่อมเสียทั้งทางตรงและทางอ้อม

4. กระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่บริษัทฯหมิ่นประมาทใส่ร้ายผู้ใต้บังคับบัญชาให้ได้รับความเสียหายขาดความรับผิดชอบ

5. ลงโทษพนักงานกักบริเวณให้นั่งอยู่ภายในโรงอาหารให้เกิดความอับอายเมื่อพบผู้คนเดินผ่านไปมาเป็นเวลาหลายวัน

6. ปกปิดความจริงที่ควรแจ้งให้บริษัทฯทราบทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่นซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริษัท

7. ใช้ตำแหน่งหน้าที่กดขี่ข่มเหงกระทำการใดให้หวาดกลัวข่มขู่ เพื่อหวังผลแห่งการกระทำนั้นๆเพื่อพวกพ้องและตนเอง

8. โยกย้ายพนักงานโดยใช้อคติขาดหลักการเหตุผลความรู้ความสามารถวิสัยทัศน์ถือทิฐิในการปกครองมีผลในทางลบ

9. ไม่ดำรงตนในตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายขาดคุณธรรมในการปกครองจนเป็นเหตุให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ยอมรับ

หลังจากเหตุหารยื่นหนังสือร้องเรียนดังกล่าวแล้วก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแต่อย่างใด ผู้บริหารยังคงเพิกเฉยถึงแม้กรรมการลูกจ้างจะขอให้มีการประชุมคณะกรรมการลูกจ้างเพื่อขอคำชี้แจงแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ และสถานการณ์ภายในแย่ลงมากขึ้นเมื่อผู้บริหารมีการโยกย้ายหน้าที่งานสมาชิกสหภาพแรงงานอย่างไม่เป็นธรรม สหภาพแรงงานฯได้เคยทำหนังสือคัดค้านและเจรจากันอย่างไม่เป็นทางการหลายครั้งแต่ปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด สมาชิกสหภาพแรงงานได้ขอให้สหภาพแรงงานชี้แจงถึงความคืบหน้าถึงหนังสือที่ยื่นต่อผู้บริหารให้แก้ไขปัญหา รวมถึงชี้แจงปัญหาการที่สมาชิกสหภาพแรงงานถูกกลั่นแกล้งด้วยว่าจะดำเนินการแก้ไขอย่างไร คณะกรรมการลูกจ้างจึงได้ตัดสินใจนัดพนักงานชุมนุมเพื่อรับฟังคำชี้แจงที่หน้าบริษัทฯ ในวันที่ 28 มีนาคม 2555 เมื่อพนักงานทราบว่าปัญหาที่เสนอไปไม่ได้รับการแก้ไขจึงได้ชุมนุมที่หน้าบริษัทฯ เรื่อยมาเพื่อรอคำตอบจากนายจ้าง จน

ต่อมาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2555 เวลา 08.15 น.นางลำเพย ซึ่งเป็นภรรยาของข้าพเจ้าซึ่งกำลังท้องแก่ได้โทรศัพท์มาแจ้งข้าพเจ้าว่าเจ็บท้องคล้ายจะคลอดลูกให้รีบพาไปหาหมอด่วน หลังจากวางสายข้าพเจ้ารีบนำใบลาซึ่งอยู่ภายในห้องแผนกมาเขียนพร้อมแนบใบขออนุญาตออกนอกพื้นที่บริษัทฯ และยื่นกับผู้จัดการฝ่าย พร้อมบอกเหตุผลการลาพักร้อนฉุกเฉินแต่นายชยพล บอกไม่รับให้ไปขอลากับฝ่ายบุคคลเองข้าพเจ้าจึงใช้โทรศัพท์ภายในติดต่อผู้จัดการฝ่ายบุคคล 3 ครั้งไม่มีผู้รับสายจึงตัดสินใจโทรเข้ามือถือ 3 ครั้ง แต่ก็ไม่รับสายเข้าใจว่าน่าจะติดประชุมอยู่

ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจนำใบขออนุญาตออกนอกพื้นที่บริษัทฯมาแจ้งกับผู้ช่วยผู้จัดการ พร้อมแจ้งสาเหตุการลาให้ทราบและเซ็นอนุมัติตามช่อง 2 ช่องยังเหลืออีก 1ช่องต้องให้ฝ่าย HRV เซ็นเดินมาที่ออฟฟิศใหญ่สอบถามเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ว่าผู้ที่จะอนุมติอยู่ไหม ก็ได้รับคำตอบว่าน่าจะประชุมอยู่ข้าพเจ้าจึงถามประชาสัมพันธ์ต่ออีกว่าถ้าเขาไม่ว่างหรือไม่อยู่ จะมีใครเซ็นได้บ้าง มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งบอกเซ็นให้ได้เพราะเคยเซ็นมาเยอะแล้วข้าพเจ้าจึงให้เจ้าหน้าที่คนนี้เซ็นให้พร้อมเดินผ่านด้านข้างห้องผู้ช่วยรองประธานออกมาเพื่อทาบบัตรออกจากบริษัทฯเวลา 09.14 น.

ขณะนั้นมีรถจักรยานยนต์ลูกชายซึ่งมารออยู่ตั้งแต่ 08.30 น. ขณะจะขับจักรยานยนต์ก็มีสายโทรศัพท์จากภรรยาของข้าพเจ้าบอกว่าไม่ไหวแล้วให้เร็วหน่อยเอารถใหญ่มาเลยข้าพเจ้าจึงรีบมาที่บ้านและเรียกรถในซอยโดยเหมา 500 บาทให้ไปส่งที่โรงพยาบาลชลบุรีออกจากบ้านเวลา 09.35 น. ขณะนั้นสังเกตพบภรรยาของข้าพเจ้าปวดท้องอย่างรุนแรงมีน้ำเดินเปียกกางเกงข้าพเจ้าซึ่งนั่งประคองตัวไว้จนถึงโรงพยาบาลเวลา 10.17 น .ก็นั่งรถเข็นเข้าห้องคลอดทันทีโดยลัดคิวคนท้องที่รออยู่หลายคนและแพทย์ผู้ทำคลอดคือ แพทย์หญิงอารีรัตน์สอนเสนาะทำคลอดเสร็จเวลา 10.22 น. ได้รับแจ้งว่าเด็กขาดอากาศหายใจประมาณ 15 นาทีถ้ามาเร็วกว่านี้เด็กจะปลอดภัยเพราะสามารถฉีดยาเพิ่มอ็อกซิเจนในปอดได้ทันแต่ตอนนี้หมอกำลังช่วยโดยการปั้มหัวใจและให้ข้าพเจ้ารอพบหน้าลูกอยู่หน้าห้องคลอดเพื่อจะย้ายไปอยู่ห้อง ICU และแพทย์ได้แจ้งกับข้าพเจ้าว่าให้ทำใจด้วยนะ           

ต่อมาเมื่อเวลา 11.35 น. หลังจากเพื่อนพนักงานทราบว่าลูกของข้าพเจ้าเข้าห้อง ICU เนื่องจากการขาดอ๊อกซิเจนอย่างรุนแรงต้องใช้เครื่องปั้มช่วยหายใจเพื่อฟื้นคืนชีพ ทั้งนี้มีเพื่อนพนักงานได้เข้าไปสอบถามผู้จัดการฝ่ายว่าทำไมไม่อนุมัติให้ข้าพเจ้าลาพักร้อนฉุกเฉิน ผู้จัดการฝ่ายตอบว่าไม่ทราบ เป็นเหตุให้พนักงานในโรงงานแสดงความไม่พอใจต่อผู้จัดการฝ่ายเป็นอย่างมากพร้อมมีเหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดขึ้นภายในบริษัทฯ พนักงานทั้งหมดปฏิเสธการทำงานล่วงเวลาและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเห็นได้ชัดว่าเป็นการกลั่นแกล้งอย่างชัดเจน เพราะข้าพเจ้าเป็นประธานสหภาพฯประธานกรรมการลูกจ้าง

และต่อมา 14.20 น. ผู้จัดการฝ่ายบุคคลและ ผู้ช่วยผู้จัดการได้มาเยี่ยมภรรยาของข้าพเจ้าที่โรงพยาบาลชลบุรีและบอกกับข้าพเจ้าว่าได้ตักเตือนผู้จัดการฝ่ายไปแล้วและใช้เวลาเยี่ยมพูดคุยประมาณ 30 นาทีก็เดินทางกลับบริษัทฯ          

ต่อมาเวลา 17.50-20.00 น.มีพนักงาน,ผู้จัดการและผู้บริหารระดับสูงประมาณ 50 คนได้มาเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจข้าพเจ้าและภรรยาที่โรงพยาบาลชลบุรี และในวันดังกล่าวผู้ช่วยรองประธานของบริษัทฯ ได้นำใบออกนอกพื้นที่ของข้าพเจ้าไปต่อว่ากับฝ่ายบุคคลและคนที่เซ็นช่องสุดท้ายแสดงว่าบุคคลดังกล่าวมีเจตนาที่มุ่งจะทำลายผู้นำและสหภาพฯ 

ต่อมาเวลา 22.40 น.แพทย์ผู้รักษาภรรยาข้าพเจ้าได้แจ้งให้ข้าพเจ้ากลับมาที่โรงพยาบาลด่วนข้าพเจ้ามีบ้านพักอยู่ที่ตำบลคลองตำหรุ จึงรีบมาที่ทางถึงโรงพยาบาลชลบุรีพบแพทย์ และแพทย์ได้แจ้งให้ทราบว่าลูกข้าพเจ้าไม่ไหวแล้วนะขณะนี้ได้เพิ่มยาแล้วแต่ไม่ดีขึ้นหมอบอกให้สวดมนต์ให้ลูกและลูกของข้าพเจ้าได้เสียชีวิตในเวลา 00.44 น. ของวันที่ 5 เมษายน 2555 ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมาก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร หลังจากนั้นจึงได้ไปซื้อเสื้อผ้าชุดเด็กมาแต่งตัวให้ลูกในขณะที่หมดลมหายใจก็โอบกอดลูกไว้ระดับหน้าอกในสภาพโศกเศร้าเสียใจและต่อมาได้โทรแจ้งผู้จัดการฝ่ายบุคคลให้รับทราบ

ต่อมาในวันที่ 5 เมษายน 2555 เวลา 08.00 น. บริษัทฯได้เรียกประชุมฉุกเฉินพนักงานทั้งหมดในบริษัทฯจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพนักงานมีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงต่อการบริหารจัดการจากเหตุความสูญเสียของข้าพเจ้า ต่อมาในเวลาประมาณ 15.20 น.ได้มีผู้บริหารระดับสูง 4 คนได้มาเยี่ยมภรรยาของข้าพเจ้าพร้อมมอบเงินส่วนตัวช่วยเหลือ 20,000 บาทและบอกให้ข้าพเจ้าอยู่ดูแลภรรยาจนกว่าจะหายโดยให้ถือเป็นวันทำงานได้รับสวัสดิการทุกอย่างใช้เวลาเยี่ยมประมาณ 40 นาทีแล้วเดินทางกลับไป ต่อมาในเวลา 17.50-20.00 น. มีเพื่อนพนักงานและผู้บริหารประมาณ 45 คนมาเยี่ยมภรรยาของข้าพเจ้า และประเด็นที่พนักงานพูดคุยกันมากที่สุดคือการอนุมัติออกนอกพื้นที่ล่าช้าจนเกิดความสูญเสียต่อชีวิตของบุตรของข้าพเจ้าเนื่องจากเกิดจากความบกพร่องในการบริหารงานของฝ่ายจัดการ

ต่อมาในวันที่  6 เมษายน 2555 ผู้บริหาร ได้มาเยี่ยมภรรยาของข้าพเจ้าที่โรงพยาบาลจังหวัดชลบุรี และได้พูดขอร้องข้าพเจ้าให้ไปพูดคุยกับพนักงานให้ยุติการชุมนุมที่หน้าบริษัทฯ เนื่องจากเหตุการณ์ได้บานปลายสาเหตุจากที่พนักงานทุกคนไม่พอใจที่ข้าพเจ้าถูกกลั่นแกล้งไม่ได้รับความเป็นธรรมจนลูกต้องเสียชีวิต และขณะนี้ไม่มีใครที่จะสามารถเข้าไปดูแลและควบคุมมวลชลได้ โดยที่ผู้บริหารรับปากว่าจะมีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงของข้อร้องเรียนทั้ง 9 ข้อ ข้าพเจ้าจึงรับปากจะไปขอร้องให้พนักงานยุติการชุมนุมเพราะเกรงจะเกิดปัญหาร้ายแรงเกินกว่าที่จะควบคุมได้ 

ภรรยาของข้าพเจ้าพักรักษาเป็นผู้ป่วยใน ที่โรงพยาบาลจังหวัดชลบุรีตั้งแต่วันที่ 4-9 เมษายน 2555 รวมเวลาทั้งสิ้น 6 วันขณะนี้กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่


0 0 0

เมื่อประเมินแล้ว จากการกระทำต่างๆ ของนายจ้างนั้นเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ ดังนี้

• อนุสัญญาหลัก ILO ฉบับที่ 87 เรื่องสิทธิเสรีภาพในการรวมกลุ่มกันเป็นสหภาพแรงงานของลูกจ้าง 

• อนุสัญญาหลัก ILO ฉบับที่ 98 เรื่องสิทธิเสรีภาพในการเจรจาต่อรองร่วม

• ยังเป็นการกระทำที่ขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน รวมทั้งละเมิดหลักข้อตกลงการลงทุนร่วมระหว่างประเทศ OECD และ Gobal Compact

• เป็นการละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์ และเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในหมวดที่ 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย

ดังนั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมของลูกจ้าง และเป็นการแก้ไขปัญหาแรงงานสัมพันธ์ในสถานประกอบการ จึงขอร้องเรียนมายังผู้ที่เกี่ยวข้องและนายจ้าง แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร่งด่วน ดังต่อไปนี้

1. สืบสวนหาข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนของลูกจ้างในประเด็นร้องเรียน ตามหนังสือร้องเรียน ฉบับ เลขที่ กจ.พสพ.พิเศษ/2555 (จำนวน 9 ข้อ)

2. เร่งดำเนินให้มีการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ภายในสถานประกอบการ และกรณีที่มีการโยกย้ายหน้าที่งานพนักงานอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมให้กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและหน้าที่เดิม

3. เร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามกฎหมายหาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมาย กรณีที่ทั้งทางอาญาและทางแพ่ง กรณีทำให้บุตรของนายชัชชัย ต้องเสียชีวิต

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นิติ มธ.จัดเวทีถก “ม.112” วรเจตน์-ปชป.-คอป.-กิตติศักดิ์

Posted: 19 Apr 2012 05:21 AM PDT

 

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประชาสัมพันธ์การจัดงาน “เชิดชูครูกฎหมาย” เนื่องในงานรำลึก ศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย โดยมีการจัดสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “มาตรา 112 ข้อถกเถียงทางกฎหมาย สู่ข้อถกเถียงทางสังคม” ในวันเสาร์ที่ 28 เมษายน 2555 ณ ห้องจิ๊ด เศรษฐบุตร (ห้อง LT.1) คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

รายละเอียดงานสัมมนา มีดังนี้

 

12.00 – 13.00 น. ลงทะเบียนสัมมนา ณ ห้องจิ๊ด เศรษฐบุตร (ห้อง LT.1) ชั้น 1

13.00 - 13.30 น. ประธานมูลนิธิศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย กล่าวรายงาน

คณบดีคณะนิติศาสตร์ กล่าวเปิดงาน

ฉายวีดีทัศน์ ชีวประวัติ ศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย

13.30 – 16.00 น. สัมมนาในหัวข้อ “มาตรา 112 ข้อถกเถียงทางกฎหมาย สู่ข้อถกเถียงทางสังคม”

วิทยากรการสัมมนา

1. นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ภาคใต้

2. นายสมชาย หอมลออ กรรมการคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)

3. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

4. รองศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดำเนินการสัมมนาโดย อาจารย์ สาวตรี สุขศรี หัวหน้าภาควิชากฎหมายอาญาและอาชญาวิทยา

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

พิธีกร อาจารย์ ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ อาจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

16.000 – 16.30 น. ผู้เข้าร่วมสัมมนาแสดงความคิดเห็น

16.30 น. ปิดการสัมมนา

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จุดเปลี่ยนที่ต้องจับตามองของนโยบายการจัดการแรงงานข้ามชาติ: นโยบายและแนวโน้ม

Posted: 19 Apr 2012 04:37 AM PDT

“ใกล้ปิดตำนานแรงงานต่างด้าวเถื่อนในประเทศไทย”

คำโปรยพาดหัวข่าวแจกของกรมการจัดหางานซึ่งพูดถึงนโยบายการจัดการแรงงานข้ามชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 ข้อความที่แฝงด้วยความมั่นใจของกรมการจัดหางานในครั้งนี้ ไม่อาจดูเบาได้ดังแต่ก่อน ด้วยเพราะแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยภายในประเทศต้นทางของแรงงานข้ามชาติเอง

มีความเป็นไปได้ว่า อาจมีความเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าที่กรมจัดหางานคาดหวัง


ทิศทางการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ภายใต้มติคณะรัฐมนตรี 19 มกราคม 2555 บอกอะไรบ้าง?


ประการแรก
มติคณะรัฐมนตรีได้ขยายเวลาในการอนุญาตให้แก่กลุ่มแรงงานข้ามชาติที่เคยได้รับการผ่อนผันให้อยู่อาศัยและทำงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2553 ซึ่งการผ่อนผันจะสิ้นสุดในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 โดยผ่อนผันให้อยู่อาศัยและทำงานได้ต่อไปจนถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2555

แต่แรงงานกลุ่มนี้จะต้องดำเนินการพิสูจน์สัญชาติให้เสร็จภายในวันที่ 14 มิถุนายน 2555 ด้วยเช่นกัน

ในส่วนของกระบวนการการผ่อนผันการต่อใบอนุญาตทำงาน ยังคงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการตามระบบที่เคยเป็นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขอต่อใบอนุญาตทำงาน การตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพ โดยมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการออกประกาศ แนวปฏิบัติโดยระยะเวลาในการได้รับใบอนุญาต และประกันสุขภาพก็จะต้องสิ้นสุดในวันที่ 14 มิถุนายน 2555 และหากในระหว่างนั้นแรงงานข้ามชาติได้ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้ว ก็ให้ยกเว้นในเรื่องค่าธรรมเนียมการขออนุญาตทำงานที่เหลื่อมซ้อนกัน สำหรับการต่อใบอนุญาตทำงานนั้น จากการประชาสัมพันธ์ของสำนักงานจัดหางานเชียงใหม่ระบุว่า ให้มีการดำเนินการต่อใบอนุญาตทำงานได้จนถึง 13 เมษายน 2555

ประการที่สอง ให้แรงงานกลุ่มที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและได้รับอนุญาตทำงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2554 ซึ่งใบอนุญาตทำงานจะหมดอายุในวันที่ 14 มิถุนายน 2555 ให้ดำเนินการพิสูจน์สัญชาติให้เสร็จสิ้นภายใน 14 มิถุนายน 2555 เช่นกัน

ประการที่สาม มติคณะรัฐมนตรีได้กำหนดให้ค่าธรรมเนียมวีซ่าของแรงงานที่พิสูจน์สัญชาติแล้วทั้งสองกลุ่ม รวมทั้งแรงงานข้ามชาติทั้งสามสัญชาติที่จะนำเข้าตาม MoU เหลือ 500 บาท รวมทั้งเมื่ออยู่ครบสองปีแล้ว และต้องต่อวีซ่าก็ให้คงอัตราค่าธรรมเนีบมที่ 500 บาท รวมทั้งให้มีการตรวจสุขภาพหลังจากที่ได้ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้ว

ประการสุดท้าย มติคณะรัฐมนตรีได้ขยายเวลาในการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 ออกไปอีกหนึ่งปี


เหตุผลที่ทำให้กรมการจัดหางานมั่นใจ ?

“ทั้งนี้โดยภาพรวมนายจ้างและแรงงานต่างด้าวฯ ที่จะมากรอกแบบพิสูจน์สัญชาติและต่ออายุใบอนุญาตทำงานจะได้รับความสะดวกรวดเร็วขึ้น เนื่องจากทางการพม่าได้มีการปรับปรุงวิธีดำเนินงานใหม่เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยนำระบบไอทีเข้ามาใช้ในการจัดเก็บข้อมูลแทนการกรอกเอกสาร ซึ่งนายจ้างสามารถกรอกข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของกระทรวงแรงงานพม่า เพื่อยืนยันสัญชาติ จากนั้นกระทรวงแรงงานพม่าจะส่งอีเมลยืนยันกลับมาที่ตัวนายจ้างโดยตรง เพื่อให้นายจ้างใช้เป็นหลักฐานพาลูกจ้างไปยืนยันตัวที่ศูนย์พิสูจน์สัญชาติในประเทศไทยอีกครั้ง ซึ่งล่าสุดทางการพม่าได้ร่วมกับทางการไทยเห็นชอบให้เปิดศูนย์พิสูจน์สัญชาติฯ เพิ่มอีก 5 แห่ง ที่กรุงเทพฯ สมุทรสาคร สมุทรปราการ สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 3 แห่ง ที่จังหวัดเชียงราย ตาก และระนอง”

คำให้สัมภาษณ์ของ นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน
จากเอกสารเผยแพร่ของกรมการจัดหางาน “ใกล้ปิดตำนานแรงงานต่างด้าวเถื่อนในประเทศไทย *

อาจสรุปในเบื้องต้นได้ว่า สิ่งที่ทำให้กรมการจัดหางานมั่นใจว่าคงใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแรงงานเถื่อนตามความเห็นของกรมการจัดหางานนั้น น่าจะมีปัจจัยในเรื่องการปรับเปลี่ยนท่าทีและวิธีการดำเนินการในเรื่องการพิสูจน์สัญชาติของประเทศพม่าเป็นหลัก ทั้งนี้เนื่องจากแรงงานข้ามชาติจากพม่าที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย และได้รับการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีในช่วงที่ผ่านมา คิดเป็นถึง 70% ของจำนวนแรงงานทั้งสามสัญชาติ และที่ผ่านมาดูเหมือนว่ากระบวนการในการพิสูจน์สัญชาติจะมีความล่าช้า และมีความซับซ้อนส่งผลกระทบต่อแรงงานข้ามชาติ และกระบวนการจัดการแรงงานข้ามชาติทั้งระบบ ก็เนื่องมาจากความไม่ลงตัวของระบบอันเกิดจากประเทศต้นทางนี่เอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการต้องไปดำเนินการพิสูจน์สัญชาติพม่าที่ชายแดนซึ่งสร้างความยากลำบากให้แก่ตัวแรงงาน และเอื้อต่อการเข้ามาแสวงหากำไรของกลุ่มนายหน้าต่างๆ หรือความล่าช้าของการดำเนินการ

การเปลี่ยนแปลงของประเทศต้นทางของพม่าครั้งนี้คงไม่ได้ทำให้เกิดความมั่นใจเพียงแค่การพิสูจน์สัญชาติที่ระบบเอื้อมากขึ้นเท่านั้น แต่การเปลี่ยนแปลงท่าทีทางการเมืองของรัฐบาลพม่า ก็ยิ่งทำให้กระทรวงแรงงาน มั่นใจมากขึ้นไปอีกว่า ปัจจัยที่จะทำให้เกิดการย้ายถิ่นของแรงงานจากพม่า เริ่มค่อยๆ ลดลง และที่สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงท่าทีทางการเมือง อาจจะมีผลต่อการนำเข้าอย่างถูกกฎหมายที่จะทำได้ง่ายมากขึ้น รวมทั้งทิศทางการลงทุนในพื้นที่ชายแดนที่ประเทศไทยสามารถรองรับได้ด้วยช่องทางที่เปิดไว้ใน มาตรา 14 ของ พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551


ความเปลี่ยนแปลงที่ต้องเป็นไป: แนวโน้มสถานการณ์และผลกระทบหลัง 14 มิถุนายน 2555

หากว่าสถานการณ์ทุกอย่างเป็นไปตามการคาดการณ์ของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานจริง หลังวันที่ 14 มิถุนายน 2555 แรงงานข้ามชาติสามสัญชาติกว่าล้านคน จะกลายเป็นคนเข้าเมืองถูกกฎหมาย มีหนังสือเดินทางอย่างถูกต้อง มีระยะเวลาในการทำงานในประเทศไทยที่ค่อนข้างแน่นอน คือ ทำงานได้ครั้งละสองปี ต่อได้อีกสองปี และต้องเดินทางกลับประเทศต้นทาง และจะกลับเข้ามาทำงานใหม่ได้ในอนาคตด้วยระบบการนำเข้าอย่างถูกกฎหมายตามข้อตกลงเรื่องการจ้างแรงงานระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านสามประเทศ คือ พม่า ลาวและกัมพูชา ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อการจ้างแรงงานข้ามชาติ และด้านอื่นๆ อยู่ไม่น้อย


ระบบบริการสุขภาพแรงงานข้ามชาติ: การพลิกผันที่ไม่อาจจะทันได้เตรียมตัว

ผลกระทบอันเนื่องมาจากกรณีที่สามารถพิสูจน์สัญชาติได้ทั้งหมด หรือส่วนใหญ่ของกลุ่มแรงงานข้ามชาติกลุ่มนี้ก็คือ แรงงานข้ามชาติเดิมที่เคยใช้ระบบบริการสุขภาพผ่านการซื้อประกันสุขภาพแรงงานข้ามชาติที่รับผิดชอบโดยกระทรวงสาธารณสุข ก็จะต้องเปลี่ยนไปเข้าสู่ระบบประกันสังคมตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม ซึ่งครอบคลุมถึงแรงงานข้ามชาติที่เข้าเมืองถูกกฎหมายมีหนังสือเดินทางอย่างถูกต้อง โดยทั้งสองระบบก็มีรูปแบบการบริหารจัดการที่แตกต่างกันไป

หากพิจารณาจากตัวเลขของการขออนุญาตทำงานที่คงเหลือเมื่อเดือนมกราคม 2555 ของกลุ่มแรงงานข้ามชาติสามสัญชาติที่ได้รับการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีหากพิจารณาเฉพาะกลุ่มที่มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถเข้าประกันสังคมหลังการพิสูจน์สัญชาติได้ ซึ่งมีเพียงสามกิจการหลักๆ ได้แก่ งานรับใช้ในบ้าน งานประมงและเกษตรกรรมที่ไม่ใช่การจ้างงานทั้งปี จากแรงงานที่ได้รับการผ่อนผันทั้งหมด 1,248,064 คน พบว่า

ในกลุ่มงานรับใช้ในบ้าน มีจำนวน 85,062 คน
ประมง มีจำนวน 41,128 คน และ
เกษตรและปศุสัตว์ 228,041 คน
รวมทั้งสามกิจการ 354,231 คน

อย่างไรก็ตาม ก็พบว่าในงานภาคเกษตรและปศุสัตว์จำนวนไม่น้อยที่จะทำใบอนุญาตทำงานแบบทั้งปี ซึ่งก็อาจจะต้องมาพิจารณาว่าจะต้องเข้าระบบประกันสังคมหรือไม่

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นก็คือ การหดตัวลงของผู้ประกันตนในระบบประกันสุขภาพแรงงานข้ามชาติ จะส่งผลต่อความมั่นคงทั้งของกองทุนประกันสุขภาพ และตัวสถานบริการสุขภาพ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการจ้างงานในเชิงอุตสาหกรรม หรือการจ้างงานทั่วไปมาก การแบกรับความเสี่ยงของกองทุนจะมีมาก นอกจากนั้นแล้วระบบประกันสุขภาพแรงงานข้ามชาติจะครอบคลุมถึงการบริการด้านอื่นๆ เช่น งานส่งเสริมสุขภาพ งานเฝ้าระวังป้องกันซึ่งเป็นงบที่จัดสรรให้ระดับพื้นที่โดยตรง แต่ระบบประกันสังคมบริการเหล่านี้ยังเป็นคำถามว่าจะสามารถครอบคลุมได้หรือไม่ แต่โดยระบบที่เป็นอยู่แล้วไม่ครอบคลุมในบริการดังกล่าว ซึ่งก็กลายเป็นคำถามในเชิงปฏิบัติว่าการดำเนินการดังกล่าวจะทำอย่างไร และเป็นหน้าที่ของใคร

นอกจากนั้นแล้วยังพบว่าที่ผ่านมาเมื่อแรงงานข้ามชาติเข้าสู่ระบบประกันสังคมแล้ว แต่ยังไม่มีการทำความเข้าใจร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ หรือมีแนวปฏิบัติที่เป็นระบบชัดเจนก็ทำให้การใช้สิทธิประโยชน์ในประกันสังคมบางส่วนก็เกิดปัญหาติดขัด เช่น กรณีเงินสงเคราะห์บุตรกับการแจ้งเกิดลูกของแรงงานข้ามชาติ เป็นต้น

อีกประเด็นหนึ่งที่ยังเป็นประเด็นปัญหาหรือคำถามหลักสำหรับช่วงระยะการเปลี่ยนผ่านจากระบบประกันสุขภาพในสู่ระบบประกันสังคมโดยเฉพาะในด้านรักษาพยาบาล คือ สิทธิในการรักษาพยาบาลตามระบบประกันสังคมจะเริ่มมีใช้บริการเมื่อแรงงานได้จ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมไปแล้วสามเดือน ในขณะที่ประกันสุขภาพสามารถใช้สิทธิได้ทันทีหลังจากจ่ายเงินประกันสุขภาพ ทำให้เกิดเป็นคำถามว่าในช่วงสามเดือนระหว่างรอให้สิทธิประโยชน์รักษาพยาบาลเกิดขึ้น จะมีการดำเนินการอย่างไร จะมีกระบวนการรองรับหรือไม่ เพราะหากไม่มีกระบวนการรองรับ ผลกระทบอาจเกิดขึ้นทั้งตัวแรงงานข้ามชาติ และตัวสถานพยาบาลหากไม่สามารถดำเนินการเก็บค่ารักษาพยาบาลตามจริงได้

 

 
* สืบค้นได้ที่ http://wp.doe.go.th/sites/default/files/news/228.pdf

 

 


หมายเหตุ: บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานสถานการณ์ด้านสถานะบุคคลและสิทธิปี 2554,
สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

'สภาโอนอำนาจอธิปไตย' อ้าง 'บิ๊กจิ๋ว' เป็นหัวขบวน ชวนร่วมงาน 21 เม.ย. สโมสรทัพบก อีก

Posted: 19 Apr 2012 04:29 AM PDT

19 เมษายน 2555 กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานข่าวว่า เครือข่ายภาคประชาชน  ประกอบด้วย สภาการวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติ ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (สวชพ.), สมาพันธ์พลเมืองฐานราก (สพฐ.) องค์การโอนอำนาจทรัพยากรใต้ดิน เพื่อสร้างสรรค์การปรองดองแห่งชาติ (อทพช.) องค์การทรัพยากรทางทะเล เพื่อสรางสรรค์การปรองดองแห่งชาติ (อททช.) ประมาณ 70 คน ได้รวมตัวที่บริเวณด้านหน้าอาคารรัฐสภา เพื่อแจกแถลงการณ์และเชิญชวนให้ประชาชนรวมถึงนักการเมือง เข้าร่วมงานเสวนา “สภาโอนอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชน” ในวันที่ 21 เม.ย. ที่สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดีฯ โดยระบุด้วยว่า ในงานดังกล่าวจะมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ฐานะที่ปรึกษาใหญ่ สวชพ. ร่วมเปิดในงานดังกล่าวด้วย

สำหรับแถลงการณ์ของเครือข่ายดังกล่าว ระบุว่า พล.อ.ชวลิต ได้ร่วมผนึกกำลังมวลชน เพื่อปฏิบัติภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ทางประวัติศาสตร์ของชาติ ในการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ด้วยการประชุมสถาปนา “สภาโอนอำนาจรัฐแห่งชาติเพื่อสร้างสรรค์การปรองดอง อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ”

ทั้งนี้เครือข่าย ที่เรียกตนเองว่า “สหธรรมิก 4” ได้นำเสนอนโยบายและแผนการโอนอำนาจการบริหารทรัพยากรธรรมชาติในทุกๆ ด้าน ให้แก่คนไทย แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า คือ การยุติความขัดแย้ง แก้ไขปัญหาพื้นฐาน คือ ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการบริหารทรัพยากรธรรมชาติ ตามโครงการมรดกจากพ่อ ซึ่งมีการโอนอำนาจในการบริหารทรัพยากรธรรมชาติ บนท้องฟ้า ภาคพื้นดิน ใต้ดิน และทางทะเล อย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้ 1.ด้านทรัพยากรในท้องฟ้า คือ การโอนอำนาจการบริหารทรัพยากรคลื่นความถี่ วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ด้วยความเป็นธรรม ประกอบด้วย ให้ใบอนุญาตประกอบการด้านสถานีวิทยุชุมชนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ให้กับประชาชนทั่วราชอาณาจักร รวม 7,600 สถานี รวมถึงใบอนุญาตด้านสถานีวิทยุกระจายเสียงด้านศาสนา นอกจากนั้นให้ใบอนุญาตประกอบการด้านสถานีโทรทัศน์ประจำภูมิภาคอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวม 6 ช่อง ได้แก่ ภาคเหนือ, ภาคกลาง,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันตกและภาคใต้  รวมถึงให้ใบอนุญาตประกอบการกับประชาชนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้ง 77 จังหวัด

แถลงการณ์ระบุต่อว่า 2.ด้านทรัพยากรบนดิน คือ โอนที่ดินให้กับกรรมสิทธิ์ของประชาชนทุกคน ทุกอาชีพ ด้วยความเป็นธรรม ได้แก่ ปลดหนี้, จัดสรรที่ดิน ให้ประชาชนอย่างเท่าเทียมและถูกกฎหมาย รวมถึงให้ประชาชนแต่ท้องถิ่นมีส่วนรวมในการบริหารทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงร่วมพัฒนาแหล่งต้นน้ำ ป่าไม้ นอกจากนั้นแล้วให้ออกโฉนดถวายโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่พุทธสถานทุกแห่ง และปลดหนิ้สินให้กับวัด 3.ทรัพยากรใต้ดิน คือ โอนอำนาจการบริหารจัดการทรัพยากรใต้ดิน อาทิ ปิโตรเลียม แร่ทองคำ แร่ตะกั่ว แร่ดีบุก แร่เหล็ก อย่างเป็นธรรม รวมถึงต้องให้คนไทยเป็นเจ้าของกิจการ เพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด ราคาไม่เกินลิตรละ 19 บาท

ส่วนแก๊สแอลพีจี, เอ็นจีวี ราคาไม่เกิน 9 บาทต่อกิโลกรัม และ 4.ด้านทรัพยากรทางทะเล คือ โอนอำนาจการบริหารทรัพยากรางทะเลให้เป็นของประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมการบริหารพลังงานทางทะเล เช่น บ่อก๊าซ บ่อน้ำมัน ตามกฎหมายทันที และให้ประชาชนี่อาศัยตามหมู่เกาะสามารถเข้าถึงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเล สามารถทำการประมง ปศุสัตว์ตามวิถีชีวิตดั้งเดิม และที่สำคัญ ต้องไม่ให้มีโครงการที่กระทบต่อวิถีชีวิตของชาวประมง

อย่างไรก็ตาม ประชาไท ตั้งข้อสังเกตว่า ในวันเวลา และสถานที่ของงานเสวนาดังกล่าว ซึ่งระบุไว้เป็นวันที่ 21 เมษายน ณ สโมสรกองทัพบก เป็นวันเดียวกับที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.พะเยา เคยประกาศว่า จะใช้เป็นวันเวลาและสถานที่นัดชุมนุม สมาชิกพันธมิตรฯ ทุกจังหวัด ก่อนที่แกนนำพันธมิตรฯ ประกาศไม่เข้าร่วม และวันต่อมา กองทัพบกได้ขึ้นป้ายประกาศไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ดังกล่าว  

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กษัตริย์สเปนกล่าวคำขอโทษ หลังจากถูกวิจารณ์จากสาธารณะหนักข้อขึ้น

Posted: 19 Apr 2012 04:13 AM PDT

หลังจากที่กษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ของสเปนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่เหมาะสมหลังเดินทางไปทริปล่าสัตว์ป่าที่บอตสวานา เขาตัดสินใจขอโทษต่อสาธารณะ "ข้าพเจ้าขอโทษอย่างมาก ข้าพเจ้าทำผิดไปแล้วและมันจะไม่เกิดขึ้นอีก"

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (18 เม.ย.) กษัตริย์ฮวน คาร์ลอสแห่งสเปน ได่กล่าวคำขอโทษที่หาได้ยากยิ่งต่อสาธารณะ ต่อเรื่องที่ท่านได้เดินทางไปทริปล่าสัตว์ในแอฟริกาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากในและต่างประเทศอย่างหนัก จากเรื่องความไม่เหมาะสมด้านค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ รวมถึงการล่าสัตว์ป่าด้วย 

สถานีโทรทัศน์ TVE ของสเปน ได้รายงานคำขอโทษจากกษัตริย์สเปนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งฮวน คาร์ลอส ให้สัมภาษณ์หลังจากที่ท่านได้รับการผ่าตัดสะโพกในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในมาดริด เนื่องมาจากการบาดเจ็บในระหว่างทริปล่าสัตว์ส่วนตัวที่บอตสวานา 

"ข้าพเจ้าขอโทษเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าได้ทำผิดไปแล้ว และมันจะไม่เกิดขึ้นอีก" กษัตริย์สเปนกล่าว

ในการกล่าวขอโทษสั้นๆ นี้ เขาไม่ได้กล่าวถึงทริปการล่าสัตว์ป่าโดยเฉพาะ แต่โทรทัศน์ของรัฐและสื่อสเปนอื่นๆ รายงานว่า ฮวน คาร์ลอสน่าจะหมายถึงทริปดังกล่าว 

ทั้งนี้ ชาวสเปนมักจะให้ความนับถือกษัตริย์เป็นอย่างสูง ในแง่การทำหน้าที่พระราชกรณียกิจต่อประเทศชาติและการปกป้องประชาธิปไตยหลังจากการสิ้นสุดของผู้ปกครองเผด็จการฟรานซิสโก ฟรังโกในปี 1975 โดยเฉพาะจากเหตุการณ์ที่กษัตริย์ตัดสินใจหยุดยั้งการรัฐประหารจากคณะทหารฝ่ายขวาได้ในปี 1981 

กระแสการวิจารณ์ที่เริ่มหนาหู

แต่หลังจากที่มีการรายงานข่าวเรื่องทริปล่าสัตว์ที่ใช้งบประมาณเกินจำเป็น และการล่าช้างออกมานั้น แม้กระทั่งฝ่ายพันธมิตรที่หนาแน่นกับสถาบันกษัตริย์ ยังกล่าวในทางสาธารณะว่าทริปการล่าสัตว์ดังกล่าวเป็นความผิดพลาด บางส่วนยังเรียกร้องให้เขากล่าวขอโทษก่อนหน้านี้ด้วย

ก่อนหน้านี้ มีการคาดเดาในสื่อสเปนอย่างมากว่าฮวน คาร์ลอสน่าจะตัดสินใจกล่าวขอโทษหลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาล ในขณะที่แพทย์ระบุในรายงานการรักษาว่าท่านฟื้นตัวจากการรักษาสะโพกได้ค่อนข้างดี และกษัตริย์สเปนกล่าวว่า พระองค์จะทรงทำพระราชกรณียกิจต่อไป โดยในระหว่างที่พระองค์อยู่ในโรงพยาบาล มกุฏราชกุมารฟิลิปเป้ก็ได้ทรงทำพระราชกรณียกิจแทน 

คำวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณะต่อทริปส่วนตัวของกษัตริย์สเปน ในช่วงแรกเพียงเจาะจงอยู่ที่เรื่องต่าใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสมในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ โดยเสปนมีอัตราการว่างงานในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 23 มีชาวสเปนที่ว่างงานอยู่ราว 5 ล้านคน และรัฐบาลก็ใช้มาตรการลดค่าใช้จ่ายโดยการตัดสวัสดิการและเพิ่มการเก็บภาษีเพื่อเพิ่มงบประมาณประเทศ 

ในเวลาต่อมา คำวิพากษ์วิจารณ์ต่อทริปดังกล่าว ก็ขยายประเด็นไปสู่เรื่องการล่าสัตว์ ซึ่งกลุ่มรณรงค์สิทธิสัตว์ได้รวมตัวกันประท้วงหน้าโรงพยาบาลในระหว่างที่พระองค์รักษาพระวรกายอยู่ นอกจากนี้ องค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่า World Wildlife Fund (WWF) สาขาสเปน ระบุว่า พวกเขาจะเรียกร้องให้ถอดถอนกษัตริย์ฮวน คาร์ลอสจากการเป็นประธานสมาคมกิติมศักดิ์ ซึ่งพระองค์ดำรงตำแหน่งอยู่ตั้งแต่ปี 1968 เนื่องจากการเดินทางไปล่าสัตว์ของพระองค์ที่บอตสวานา โดยเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่อนุญาตให้ฆ่าช้างได้

ก่อนหน้านี้ในปี 2006 ได้มีการเผยแพร่ภาพรูปถ่ายของฮวน คาร์ลอสที่ถ่ายคู่กับช้างที่ล่าเสียชีวิตในบอตสวานาในทริปส่วนตัวของพระองค์ ภาพดังกล่าวนำไปสู่การล่ารายชื่อออนไลน์เรียกร้องให้ถอดถอนกษัตริย์สเปนออกจากการเป็นประธานกิติมศักดิ์ โดยสามารถรวบรวมลายเซ็นได้มากกว่า 80,000 ชื่อ

ถึงคราวิกฤติสถาบัน

หนังสือพิมพ์ El Pais ของสเปน ระบุว่า การที่กษัตริย์ฮวน คาร์ลอสออกมากล่าวขอโทษต่อสาธารณะเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างผิดปรกติ แต่สถานการณ์ในปัจจุบันได้ทำให้เขาตัดสินใจดังกล่าว เนื่องจากราชวงศ์สเปนกำลังเผชิญการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ซึ่งนับว่าเป็นวิกฤติที่สำคัญมากที่สุดครั้งหนึ่งหลังจากการฟื้นฟูราชบัลลังก์ในทศวรรษ 1970

โดยในต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา พระราชนัดดาชายของพระองค์วัย 13 ปี ได้เกิดอุบัติเหตุทำปืนลั่นที่เท้าของตนเองในระหว่างการฝึกซ้อมยิงปืนกับบิดา ซึ่งได้สมรสและหย่าแล้วกับเจ้าหญิงเอลีน่า พระราชธิดาของกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ทั้งนี้ กฎหมายสเปนระบุว่า อายุที่ถูกกฎหมายของเยาวชนซึ่งสามารถถืออาวุธปืนได้ ถึงแม้จะอยู่ภายใต้อยู่ความควบคุมของผู้ใหญ่ก็ตาม คืออายุ 14 ปี 

นอกจากนี้ อินากิ อูร์ดันการิน พระสุณิสา (ลูกสะใภ้) ของกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ผู้ได้สมรสกับเจ้าหญิงคริสตินา พระราชธิดาคนเล็กสุดของพระองค์ ได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีทุจริตด้านการเงิน จากการถูกกล่าวหาว่าได้นำเงินจากกองทุนการกุศลไปใช้เป็นการส่วนตัว แต่อูร์ตันการินปฏิเสธในทุกข้อหา

หนังสือพิมพ์เทเลกราฟรายงานด้วยว่า ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ราชวงศ์สเปน ได้เปิดเผยรายละเอียดด้านการเงินเป็นครั้งแรก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสแก่สาธารณะ 

ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ในปีนี้ สำนักพระราชวังของสเปนได้งบประมาณราว 8.26 ล้านยูโร หรือราว 335 ล้านบาท ซึ่งน้อยลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบจากปีที่แล้ว เร็วๆ นี้ สำนักพระราชวังยังได้ประกาศการตัดงบประมาณอีกราว 220,000 ดอลลาร์หรือคิดเป็นราว 6,800,000 บาท และตัดลดเงินเดือนพนักงานที่ได้รับเงินเดือนสูงสุดอีกจำนวนหนึ่งในพระราชวัง

ที่มา:
แปลและเรียบเรียงจาก Spain's king apologizes for African hunting trip, CNN, 19/04/55
King of Spain's unprecendented apology for elephant-sized blunder amid abdication calls, The Telegraph, 18/04/55

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ดึงกลุ่มองค์กรจัดกิจกรรม กระตุ้นท่องเที่ยวอุทยานฯ บูโด–สุไหงปาดี

Posted: 19 Apr 2012 02:34 AM PDT

สถานการณ์ชายแดนใต้กระทบอุทยานแห่งชาติบูโด นักท่องเที่ยวลด รายได้วูบ แก้เกมปรับภูมิทัศน์ รับกลุ่มองค์กรจัดกิจกรรมตั้งแต่นักศึกษายันภาครัฐ

 
 
นายสมปอง จำนงณ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติบูโด–สุไหงปาดี อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เปิดเผยว่า สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติบูโด–สุไหงปาดีลดลง เมื่อเทียบกับก่อนเกิดเหตุการณ์ เนื่องจากคนต่างถิ่น ทั้งชาวไทยเชื้อสายจีน ชาวไทยพุทธไม่กล้าเข้ามาท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียแทบจะไม่มีให้เห็นเลย ตอนนี้คนที่มาท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่
 
นายสมปอง กล่าวด้วยว่า ถึงแม้ระหว่างปี 2549–2551 นักท่องเที่ยวจะยังไม่กล้าเข้ามา แต่ช่วงปี 2552–2554 ทางอุทยานฯ ได้ปรับปรุงภูมิทัศน์ ดึงองค์กรต่างๆ เข้ามาใช้สถานที่ เช่นทหารเข้ามาจัดกิจกรรมวันเด็ก โรงเรียนเข้ามาจัดค่ายลูกเสือ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้ามาจัดกิจกรรมค่าย เป็นต้น ส่งผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
 
เปรียบเทียบได้จากสถิตินักท่องเที่ยวและเงินรายได้ของอุทยานแห่งชาติบูโด–สุไหงปาดี ระหว่างปี 2548–2554 แยกเป็น ปี 2548 มีนักท่องเที่ยว 4,798 คน เงินรายได้ 123,190บาท ปี 2549 มีนักท่องเที่ยว 2,911 คน เงินรายได้ 89,660บาท ปี 2550 มีนักท่องเที่ยว 2,147 คน เงินรายได้71,850 บาท ปี 2551 มีนักท่องเที่ยว 2,653 คน เงินรายได้ 89,340บาท
 
ปี 2552 มีนักท่องเที่ยว 3,823 คน เงินรายได้136,820 บาท ปี 2553 มีนักท่องเที่ยว 6,121 คน เงินรายได้139,570 บาท และปี 2554 มีนักท่องเทียว 4,831คน เงินรายได้ 159,20 บาท
 
 
หมายเหตุ: โครงการค่ายอบรมข่าวนักเรียน โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดำเนินการโดย โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (DSJ) สนับสนุนโดย โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งและการมีส่วนร่วมในภาคใต้ของประเทศไทย (STEP Project)
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เรื่องเล่าจากคุก: กระบวนการยุติธรรมไทย และชะตากรรมคน 8 คุก

Posted: 19 Apr 2012 02:28 AM PDT

 

หลังจากที่ผมถูกจับกุมในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553 ผมถูกนำตัวขึ้นรถกระบะซึ่งเป็นรถที่ไม่ได้ใช้ในราชการเดินทางจากกรุงเทพในเวลา  20.30 น.มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ ผมถึงเชียงใหม่ในเวลา 06.30น. ของเช้าวันที่ 22 พฤศจิกายน เมื่อถึงเชียงใหม่ทางเจ้าหน้าที่จึงเริ่มสอบสวนผมในทันที โดยสอบปากคำผมถึงเวลา 05.30น.ของเช้าวันที่ 23 พฤศจิกายน โดยไม่ยอมให้ผมนอนเลยตั้งแต่ผมถูกจับตัวมา และยังไม่ยอมให้ผมได้ติดต่อกับทางครอบครัวหรือทนายเลย

จนถึงเวลา 06.30น.ของเช้าวันที่ 23 พฤศจิกายน ทางเจ้าหน้าที่จึงนำตัวผมไปที่สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ เพื่อเดินทางไปแถลงข่าวการจับกุมที่ บช.น. ภาค 1 โดยสายการบิน Air Asia ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมได้แถลงข่าวกับ พล.ต.อ อัศวิน ขวัญเมือง และพล.ต. ต วิชัยสังข์ประไพ พร้อมนักข่าวอีกมากมาย หลังแถลงการณ์เสร็จ ผมได้ถูกนำตัวกลับเชียงใหม่ โดยสายการบินไทย เพื่อสอบสวนต่อจนถึงเที่ยงคืน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยินยอมให้ผมนอน เนื่องจากสภาพร่างกายของผมทนไม่ไหวแล้ว จนถึงเวลา 07.30น.ของเช้าวันที่ 24 พฤศจิกายน ผมถูกส่งตัวให้ DSI เพื่อสอบสวนต่อ ทาง DSI ได้พูดจาข่มขู่ผมตลอดเวลา ผมถูก DSI สอบสวนอยู่ 2 วัน ผมจึงขอกลับไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะผมทนพฤติกรรมของพวกเค้าไม่ไหว

ในเช้าวันที่ 26 พฤศจิกายน ผมถูกส่งตัวเข้ากรุงเทพเพื่อมาแถลงข่าวอีกครั้ง ซึ่งตั้งแต่ผมถูกจับกุมจนถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน ทางเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ผมติดต่อกับใครเลย หลังจากแถลงข่าวเสร็จ ผมจึงถามเจ้าหน้าที่เรื่องสิทธิในการติดต่อญาติ ทางเจ้าหน้าที่จึงบอกว่ากลับถึงเชียงใหม่ก่อน เช้าวันที่ 27 พฤศจิกายน ทางเจ้าหน้าที่จึงให้ผมติดต่อกับญาติ ทุกคนดีใจมากเพราะเห็นแต่ข่าว แต่ไม่รู้ว่าผมอยู่ไหน เช้าวันที่ 28 พฤศจิกายน ทุกคนจึงมาเยี่ยมผมที่สถานีตำรวจภูธรภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมได้เจอครอบครัว เพราะหลังจากที่ผมออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่เดือน มีนาคม 2553 ผมก็ไม่ได้เจอกับครอบครัวอีกเลย ญาติผมทุกคนก็สอบถามเรื่องการประกันตัวจากทางเจ้าหน้าที่ แต่ผมถูกคัดค้านการประกันตัว

วันที่ 3 ธันวาคม 2553 ผมถูกส่งตัวเข้าเรือนจำเชียงใหม่ เป็นครั้งแรกที่ผมต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ ผมถูกส่งตัวเข้าสู่แดนความมั่นคงสูง (กีดกัน) ในทันที ห้องที่ผมนอนกว้าง 5 x 15 เมตร มีจำนวนผู้ต้องขัง 36 คน ซึ่งแต่ละคนเป็นคดีอุจฉกรรจ์ทั้งสิ้น ผู้ต้องขังทุกคนเคยออกข่าวทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์มาแล้วทั้งสิ้น แดนความมั่นคงสูงอยู่ที่ชั้น 5 ของตึก ในแดนมีห้อง 5 ห้องจำนวนผู้ต้องขัง 120 คน เป็นแดนเดียวของเรือนจำเชียงใหม่ที่ผู้ต้องขังไม่เคยเห็นดิน และไม่เคยถูกแสงแดดเลย เวลาซักผ้าก็ผึ่งกับพัดลม เวลาญาติมาเยี่ยมก็เยี่ยมผ่านกล้องวีดีโอ เรื่องอาหารก็ค่อนข้างดี เป็นข้าวสวย 6 เดือน ข้าวเหนียว 6 เดือน ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นั่น ผมกดดันมาก แต่โชคดีที่ผู้ต้องขังในแดนชื่นชอบพรรคเพื่อไทย เพราะเมื่อไหร่ที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล การอภัยโทษหรือลดโทษของผู้ต้องขังนั้นพรรคเพื่อไทยได้ให้มากกว่าที่พรรคอื่นให้ ทุกคนจึงมาคุยสอบถามข้อมูลข่าวสารจากผมตลอดเวลา จึงทำให้ผมพอหายเหงาได้บ้าง และวิธีคลายเครียดที่ดีที่สุดของผมก็คือ การอ่านหนังสือธรรมะและสวดมนต์ก่อนนอน เพราะตัวผมเองนับถือเจ้าแม่กวนอิมอยู่แล้ว

การใช้ชีวิตในเรือนจำเชียงใหม่ของผมนั้น ผมอยู่ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากทางญาติไม่มีเงินและอยู่ไกล และทุกคนก็ลำบากอยู่แล้ว ผมจึงรบกวนเงินทางบ้านเดือนละ 800 บาทเพื่อไว้ซื้อของใช้ ทุกๆ วันที่ผมอยู่ที่นั่นผมคิดถึงแต่เรื่องครอบครัวและเรื่องการประกันตัวตลอดเวลา แต่ยื่นประกันตัวกี่ครั้งก็ไม่เคยผ่าน ผมเลยลุ้นให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ โดยการถามข่าวการเมืองจากผู้คุมทุกวัน เพราะที่นั่นไม่ให้ดูข่าว พอผมทราบมาว่าพรรคประชาธิปัตย์ยอมให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 3 กรกฎาคม ผมจึงเชิญชวนผู้ต้องขังที่มีญาติมาเยี่ยมให้ช่วยกันเลือกพรรคเพื่อไทย ซึ่งทุกคนพร้อมใจกันบอกญาติให้เลือกพรรคเพื่อไทย ถึงมันจะเป็นการกระทำที่เล็กๆ น้อยๆ แต่ผมขอให้ผมได้ทำอะไรเพื่อพรรคการเมืองที่ผมรักบ้างก็ยังดี และในวันที่ชัยชนะมาถึง วันที่ 4 กรกฎาคม 2554 ผมได้ทราบข่าวการเลือกตั้งจากผู้คุมว่า พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ทุกๆ คนดีใจกันมาก ซึ่งนั่นหมายถึงการอภัยโทษที่จะมาถึงในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 ที่จะมาถึงนี้ ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบรอบ 84 พรรษาซึ่งพรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้ดำเนินการนั่นเอง ซึ่งผมก็ดีใจเพราะผมจะได้มีโอกาสในการยื่นประกันตัวอีกครั้ง แต่แล้วความฝันของผมก็พังทลายลงไป

เช้าวันที่ 28 กรกฎาคม 2554 มีคำสั่งย้ายผมด่วน เนื่องจากกลัวว่าจะมีคนช่วยผมออก ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำกลางพิษณุโลก ระหว่างการย้ายทางเจ้าหน้าที่ไม่ยินยอมให้ผมเข้าห้องน้ำเลย ทั้งๆ ที่ขาทั้ง 2 ข้างของผมก็มีเครื่องพันธนาการ (โซ่ตรวน) อยู่ ไม่มีอาหารให้รับประทาน ทันทีที่มาถึงเรือนจำกลางพิษณุโลก ผมก็ถูกส่งตัวเข้าสู่แดน 2 โดยไม่ถอดเครื่องพันธนาการออก ห้องที่ผมนอนกว้าง 5 x 9 เมตรมีผู้ต้องขัง 16 คนอากาศที่นี่ดีมากๆ เพราะมีต้นไม้และสนามหญ้า แต่ผมก็ไม่ได้ออกจากห้อง เพราะผมต้องถูกขังเดี่ยว ทุกวันผมเฝ้ามองธรรมชาติผ่านลูกกรง ถึงแม้จะเครียด แต่อากาศที่นั่นก็บริสุทธิ์ ผมใช้ธรรมชาติในการบำบัดความเครียด แต่หลังจากที่ผมย้ายออกมาจากเรือนจำกลางเชียงใหม่ ผมก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องประกันตัวอีกเลย

เช้าวันที่ 11 สิงหาคม 2554 ผมถูกส่งตัวไปยังเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยไม่ถอดเครื่องพันธนาการเช่นเคย ห้องที่ผมนอนกว้าง 5 x่ 12 เมตร ทุกๆ วันผมได้แต่ยืนมองเพื่อนผู้ต้องขังจากในห้อง เพราะมีคำสั่งให้ขังเดี่ยวผมในตอนกลางวัน แต่อยู่ที่นี่ผมไม่ค่อยเครียดเพราะอยู่ใกล้บ้าน ซึ่งทุกคนในครอบครัวของผม ผลัดกันมาเยี่ยมทุกวัน กลับจากการเยี่ยมญาติผมก็อ่านหนังสือ ผมจึงไม่มีแรงกดดันใดๆ ผมทำทุกอย่างซ้ำๆ จนมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไป

เช้าวันที่ 29 กันยายน 2554 ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำพิษณุโลก (คนละแห่งกับเรือนจำกลางพิษณุโลก) ผมถูกส่งตัวเข้าสู่แดน 5 ทางผู้คุมส่งตัวผมเข้าห้องขังเดี่ยวทันที การมาที่นี่ของผมทำให้ผมเครียดมาก เพราะห้องขังเดี่ยวกว้างเพียง 2 x 4 เมตรเป็นห้องมืดนอนคนเดียวและขาทั้งสองข้างก็มีเครื่องพันธนาการ ผมกลายเป็นเหมือนคนบ้า ที่ประตูห้องจะมีช่องสำหรับส่งอาหารจากทางผู้คุม ผมจะไปรับแสงแดดช่วงที่ผู้คุมนำอาหารมาส่งให้ ที่นี่มีห้องขังเดียวทั้งหมด 10 ห้องเพราะใช้คุมขังผู้ต้องขังที่ผิดระเบียบวินัยของทางเรือนจำ จะไม่เคยมีใครเห็นหน้ากัน ทุกๆวันผมได้แต่สวดมนต์ภาวนาขอให้ใครซักคนนึกชื่อผมได้ แล้วยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผม หรือให้ส่งตัวผมไปที่เรือนจำอื่นเร็วๆ แล้วสิ่งที่ผมเฝ้ารอก็มาถึง

เช้าวันที่ 18 ตุลาคม 2554 ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำจังหวัดพะเยา เมื่อผมมาถึงที่เรือนจำจังหวัดพะเยา เหมือนสวรรค์มาโปรดผม เพราะขาทั้ง 2 ข้างที่ใส่เครื่องพันธนาการมาตั้งนาน ได้ถูกถอดเครื่องพันธนาการออก ห้องที่ผมนอนกว้าง 9 x 18 เมตร แต่จำนวนผู้ต้องขังในแต่ละห้องมีมากถึง 127 คน ซึ่งถือว่าแออัดทีเดียว อาหารที่นี่คือข้าวเหนียว ใส่ในถาดหลุม 1 หลุม 1 ถาดรับประทาน 4 คน ซึ่งไม่อิ่มแน่ น้ำที่นี่ค่อนข้างขาดแคลน ในช่วงที่ผมย้ายมาจากเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก ทุกคนจะเรียกผมว่า “จิ้งจก” เพราะผมขาวจนซีด แต่พอผมมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงสัปดาห์ ผมก็ดำเท่าเทียบกับผู้ต้องขังคนอื่น อยู่ที่นี่ผมเครียดมาก เพราะมีเวลามากเกินไป ที่นี่มีห้องนอนธรรมะ ซึ่งในทุกเช้าเวลาตี 5 ผมจะตื่นมาฟังเพื่อนผู้ต้องขังที่นอนในห้องธรรมะสวดมนต์ทำวัดเช้าเป็นประจำ ซึ่งพอจะช่วยให้จิตใจของผมสงบลงได้บ้าง

เช้าวันที่ 6 ธันวาคม 2554 ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำกลางเชียงราย หรือ ดอยฮาง ที่นี่มีสโลแกนว่า “สวิตเซอร์แลนเมืองไทย” ห้องที่นี่กว้าง 5 x 9 เมตร จำนวนผู้ต้องขัง 32 คน อากาศที่นี่ดีมาก ตื่นเช้ามาจะมองเห็นทะเลหมอกในเรือนจำ อากาศก็บริสุทธิ์ อาหารที่นี่คือข้าวเหนียว ช่วงที่ผมอยู่ที่นี่ผมได้ฝึกวิชาชีพในโรงงานสานอวน ทุกๆ วันผมต้องทำงานทั้งวัน จึงไม่ค่อยมีเวลามาคิดเรื่องอื่นให้เครียด แต่ในใจของผมก็ยังต้องการให้ใครมาช่วยเหลือ เพราะอีกไม่กี่วันผมก็จะได้ฉลองปีใหม่ในเรือนจำเป็นปีที่ 2 ผมเหมือนคนที่ต้องอยู่คนเดียว เพราะไม่มีญาติมาหาเลย แต่ก็มีเพื่อนๆ ผู้ต้องขังคอยให้กำลังใจซึ่งกันและกันเสมอ และผมต้องทำงานเพื่อให้ลืมความเครียดทั้งหมด ในวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ผมได้ยืนดูพลุผ่านลูกกรง และนับถอยหลังในเรือนจำอีกครั้ง แต่ผมก็ยังไม่ท้อ ผมยังคงรอให้ใครซักคนข้างนอกเป็นห่วงผมบ้าง แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รับกำลังใจก้อนโต ผมได้รับ ส.ค.ส. จากกลุ่มเพื่อนนักโทษทางการเมือง เป็น ส.ค.ส. อวยพรปีใหม่ที่อวยพรมาจากพี่น้องคนเสื้อแดงหลายๆ คน ใครอาจจะมองว่า ส.ค.ส นี้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับผมมันคือกำลังใจ ที่มากมายมหาศาลและอย่างน้อยก็ยังมีคนที่นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีผมอีกคนที่อยู่ในเรือนจำ ทุกคืนก่อนนอนผมต้องนำส.ค.ส นั้นขึ้นมาอ่านเพื่อเสริมสร้างกำลังใจของผมให้เข้มแข็งและช่วยให้หายเหงาได้

เช้าวันที่ 18 มกราคม 2555 ผมถูกส่งตัวไปยังเรือนจำพิเศษพัทยา ผมถูกส่งตัวเข้าแดน 5 ห้องนอนที่นี่กว้าง 5 x 9 เมตร แต่นอนอึดอัดมากทั้งที่ในห้องนอนมีผู้ต้องขังเพียง 67 คน เพราะที่นี่จะมีผู้ต้องขังเก่าหรือที่เรียกกันว่า “ขาใหญ่” ทุกห้องในห้องจะเหลือเนื้อที่เพียง 3 x 3 เมตร เพื่อสำหรับให้ผู้ต้องขังใหม่จำนวนกว่า 40 คนได้นอนซึ่งทุกคนต้องนอนทับกัน การอาบน้ำใน 1 วันมีเวลาอาบแค่ 1 นาทีเดินออกมาจากห้องน้ำบางครั้งสบู่ยังเต็มตัวอยู่เลย น้ำดื่มก็ขาดแคลน ผู้ต้องขังที่นี่จะมีโรค ผื่น ฝี และหิดกันทุกคน เรื่องอาหารก็ต้องซื้อกินอย่างเดียว ส่วนตัวผมนั้นมีพี่น้องเสื้อแดงทั้งจาก ชลบุรี,สมุทรปราการ,กรุงเทพ และจังหวัดใกล้เคียงผลัดเปลี่ยนกันมาเยี่ยมทุกวัน ทุกๆ คนช่วยให้กำลังใจผมดีขึ้นมาก ถึงแม้จะไกลและลำบาก แต่ทุกคนก็ไป ผมคงทำได้เพียงแค่ เอ่ยคำว่า “ขอบคุณ”เท่านั้น

เช้าวันที่  9 กุมถาพันธ์ 2555 ผมถูกส่งตัวมายัง เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ผมถูกส่งตัวเข้าแดน 1 ซึ่งเป็นการย้ายเรือนจำครั้งที่ 8 ของผมห้องนอนที่นี่กว้าง 6 x 12 เมตร จำนวนผู้ต้องขัง  31 คน ที่นี่สะอาดและเป็นระเบียบทุกอย่าง อาหารการกินก็ได้กินทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา อยู่ที่นี่ผมได้พบกับพี่สมยศ พฤกษาเกษมสุข,พี่สุรภักดิ์ ภูไชยแสง,อาจารย์สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) และพี่น้องทุกคนที่ยังอยู่ที่นี่ เราทุกคนพูดคุยปรึกษากันได้ และมีพี่น้องคนเสื้อแดงมาคอยให้กำลังใจพวกเราตลอดเวลา ถึงผมจะห่างครอบครัวมานาน แต่ผมก็ไม่เหงา เราอยู่กันเหมือนพี่น้อง มีเท่าไหร่ก็แบ่งกันเท่านั้น พี่น้องเสื้อแดงทุกคนคือส่วนหนึ่งของชีวิตผม ทุกคนคือครอบครัวผม กำลังใจทั้งหมดที่ผมมี ก็มาจากพี่น้องคนเสื้อแดงทุกคน ไม่ว่าจะในเรือนจำหรือข้างนอก ทุกคนคอยให้กำลังกันเสมอ ในเร็วๆนี้ผมต้องย้ายไปที่ เรือนจำปทุมธานี อีกครั้ง ผมคงต้องห่างกับทุกๆ คนอีกครั้ง แต่พี่น้องคนเสื้อแดงทุกคน จะอยู่ในใจของผม “ตลอดกาล”

สุดท้ายนี้ ผมก็ขอขอบคุณน้องสาวที่แสนดีผู้ติดตามข่าวของผมตลอด และคอยเยี่ยมคอยดูแลผมเสมอ คือน้องเปิ้ล (กริชสุดา) และพี่เมย์ (แดง E.U) ที่คอยห่วงคอยดูแลผมขอบคุณ D.J อ้อม (กัญญาภัคร) ที่ถึงจะอยู่ไกลแต่ก็ยังคอยมาเยี่ยม และขอบคุณพี่น้องคนเสื้อแดงทุกคน ผมอยากบอกรัฐบาลและทุกๆ คนว่า พวกเราร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา ขอเพียงทุกๆ ฝ่ายเดินหน้าแก้ปัญหา เพื่อพาพวกเราที่เหลือ ทั้งที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ และที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ได้กลับบ้านให้หมดทุกคน พวกเราจะได้ออกไปเพื่อเป็นเกราะป้องกันภัยให้กับท่านอีกครั้ง ฝากถึงญาติพี่น้องผู้ต้องขังทุกคนว่า ทุกคนในนี้ต้องการกำลังใจจากท่าน ขอเพียงแค่ท่านเขียนจดหมายมาหา ทุกคนก็ดีใจมากแล้ว ฝากถึงสังคม ทุกคนในนี้ไม่ใช่คนไม่ดี ขอเพียงแค่เวลาที่พวกเค้าได้กลับออกไป พวกคุณและสังคมโปรดให้โอกาสเขาบ้าง เขาทุกคนจะได้ช่วยกันพัฒนาประเทศของเราให้สืบต่อไป

 

                                    ขอขอบคุณทุกกำลังใจ

                                    วัลลภ   พิธีพรม

                                       19    มีนาคม    2555

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาสวัต บุญศรี: สื่อออนไลน์ในภาวะสังคมอุดม “เสียบประจาน”

Posted: 19 Apr 2012 01:35 AM PDT

ในมุมมองของฟากรัฐผู้ชื่นชอบภาพลักษณ์อันดีงามของวัฒนธรรมไทย งานสงกรานต์คืองานแห่งการได้พบปะครอบครัว รดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ คนไทยสาดน้ำใส่กันสนุกสนาน ทว่าในทางกลับกันสงกรานต์คือเทศกาลเปลี่ยนคนให้กลายเป็นหมาบ้าไร้สติอย่างเต็มสตรีม ภาพวัยรุ่นตีกัน กระทืบกันเป็นภาพชินตา ภาพสาวน้อยถูกหนุ่ม ๆ รุมลูบขยำเนื้อตัวกลายเป็นภาพปกติ ข่าวตายเพราะขับรถตอนเมาคือข่าวสามัญยามหน้าร้อนกลางเมษา

ปีนี้ทุกเหตุการณ์ทั้งดีและร้ายเกิดขึ้นซ้ำเป็นวัฐจักร หน่วยงานรัฐมิได้นิ่งนอนใจปล่อยให้เกิดเหตุซ้ำซาก พยายามหาวิธีแก้ปัญหาเพื่อลดจำนวนคนตายไม่ว่าจะเพราะโดนกระทืบหรือซิ่งยามเมา เจ้าหน้าที่ตามสถานที่เล่นน้ำชื่อดังต่าง ๆ ทำงานกันอย่างเคร่งครัดด้วยถือเป็นพันธกิจระดับชาติ

เพียงวันแรกของงานสงกรานต์ที่ข้าวสาร เกิดเหตุชายหนุ่มถือโอกาสจับหน้าอกหญิงสาว เจ้าหน้าที่รีบเข้าจับกุมพร้อมมีวิธีลงโทษแบบไทย ๆ ราวกับเด็กประถมด้วยการเขียนประโยคว่า “ผมชอบจับนมผู้หญิงครับ” ลงบนกระดาษกล่องแล้วแขวนคอ ให้ยืนบนเก้าอี้ประจานความผิด เพื่อให้คนมาเล่นน้ำคนอื่น ๆ เห็นเป็นแล้วไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง

กรณีนี้สร้างกระแสเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนในโลกไซเบอร์ ทางแรกคือเห็นควรแล้วที่ตำรวจทำเช่นนี้ จะได้รู้สึกสำนึก และเป็นการประจานเพื่อให้ได้อาย การถูกสายตามากมายจ้องมองทั้งที่ป้ายและหน้าถือเป็นการเพียงพอที่กระตุ้นเตือนจิตสำนึกของคนอื่นไม่ให้ทำตาม แต่อีกกระแสหนึ่งก็ไม่เห็นด้วยเนื่องด้วยการประจานเป็นการละเมิดสิทธิของชายผู้นั้น

ผมเองลองตรวจสอบข่าวนี้บนหน้าสื่อออนไลน์ต่าง ๆ เป็นไปในทิศทางการนำเสนอข้อเท็จจริง และอาจจะมีการนำเสนอความคิดเห็นบ้าง แต่สิ่งที่ปรากฎน้อยมากคือการตั้งคำถามต่ออำนาจหน้าที่ของตำรวจว่ามีอำนาจในการประจานใครก็ตามได้หรือไม่ รวมถึงลักษณะของการประจานนั้นเป็นเรื่องที่พึงทำหรือเปล่า (เห็นงานเขียนไม่กี่ชิ้นที่กล่าวไว้ อาทิของ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทองกล่าวไว้)

ในกรณีนี้บทบาทของสื่อควรเป็นเช่นไร สนับสนุนการทำงานของตำรวจเพื่อผดุงไว้ซึ่งความดีงามของประเพณีสงกรานต์ ปกป้องทางอ้อมต่อหญิงสาวจำนวนมากที่อาจถูกลวนลาม การนำเสนอข่าวจึงเท่ากับช่วยตำรวจปรามไปในตัว หรือตั้งคำถามต่ออำนาจของตำรวจในการดำเนินการเช่นนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แม้ว่าทั้งสองคนที่ถูกจับประจานนั้นจะทำผิดจริงก็ตาม

ในสังคมประชาธิปไตยสื่อมวลชนจะต้องดำเนินการอิงพื้นฐานประชาธิปไตยอันเคารพซึ่งหลักการว่าด้วยความเสมอภาค เสรีภาพและหลักนิติธรรม ในกรณีนี้สื่อย่อมต้องชั่งน้ำหนักว่าระหว่างการปกป้องทางจริยธรรมต่อประชาชนที่อาจจะถูกลวนลาม กับหลักนิติธรรมที่ประชาชนคนหนึ่งโดนกระทำจากเจ้าหน้าที่รัฐนั้น อันนั้นสำคัญกว่ากัน

กรณีนี้เลือกได้ไม่ยากหากพิจารณาอย่างใคร่ครวญ ไม่มีกฎหมายฉบับไหนอนุญาตให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำการประจานผู้ต้องหาถึงแม้เขาจะผิดจริงได้ ที่สำคัญในระหว่างที่ศาลยังไม่ตัดสินนั้นเขาคือผู้บริสุทธิ์ กลายเป็นตำรวจตั้งตนเป็นศาลเตี้ยกลาย ๆ พิพากษาไปเรียบร้อยแล้ว

สื่อสามารถเสนอข่าวนี้เป็นลักษณะของข้อเท็จจริงได้ แต่การกำหนดประเด็นนั้นสามารถพลิกไปได้หลากหลาย หากสื่อเลือกที่จะดำเนินการตามหลักการนิติธรรม ตามหลัก due process of law เขาย่อมนำรู้ว่าควรเสนอข่าวในมุมมอง “ตำรวจทำเกินกว่าเหตุ” และ “แม้ผิดจริง ตำรวจก็ทำเช่นนี้ไม่ได้” ส่งผลให้ทิศทางข่าวสารและมุมมองผู้เสพสารเป็นไปลักษณะอื่น

ดูเหมือนสื่อไทยก็พร้อมสมาทานการเสียบประจานและนำเสนอข่าวผ่านสื่อโดยไม่ได้ตั้งคำถามอย่างจริงจังแต่ไหนแต่ไร ถ้ายังจำกันได้ช่วงที่มีการจับยาเสพติดได้แล้วนำผู้ต้องหามาแถลงข่าวพร้อมจัดเรียงยาเสพติดนั้นเป็นคำว่า ยาบ้าบ้าง เฮโรอีนบ้าง นั่นก็คือการเสียบประจานอยู่เช่นกันเพราะต้องถือหลักว่าตราบใดที่ศาลไม่ตัดสิน ผู้ต้องหานั้นคือผู้บริสุทธิ์ การนำเสนอข่าวเห็นหน้าเห็นตาพร้อมคำถามสัมภาษณ์ประเภท “ทำทำไม” นี่เป็นการสร้างศาลเตี้ยผ่านสื่อชัด ๆ

ไม่เฉพาะสองกรณีที่ว่ามา ปกติตามหน้าข่าวอาชญากรรมทางทีวี เราก็มักจะได้เห็นภาวะมองผู้ต้องหากลายเป็นผู้ร้ายอยู่ร่ำไป ยิ่งรายการคุยข่าวด้วยแล้ว ลำพังภาพก็ทำร้ายกันมากเพียงพอ มาบวกกับความคิดเห็นที่เรียกผู้ต้องหาว่า “มัน” นี่ก็เป็นการตั้งศาลเตี้ยเป็นปริยาย และผลิตซ้ำวัฒนธรรมศาลเตี้ยผ่านสื่อกันโดยไม่รู้ตัวไปทุกวัน ๆ

ไม่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อยว่าทำไมการล่าแม่มดในช่วงสองสามปีนี้ถึงได้ร้อนแรงเสียเหลือเกิน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อินเดียทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป "อัคนี 5"

Posted: 18 Apr 2012 11:37 PM PDT

อินเดียปล่อยจรวด "อัคนี 5" เป็นผลสำเร็จ โดยมีพิสัยไกลถึง 5,000 กม. ครอบคลุมจีนจรดยุโรปตะวันออก โดยเตรียมทดสอบอีก 2 ครั้งก่อนเข้าประจำการกองทัพอินเดีย

ข่าวการทดสอบขีปนาวุธอัคนี 5 เมื่อเช้าของวันที่ 19 เม.ย. (ที่มา: TV9/youtube.com)

องค์การวิจัยและพัฒนาการป้องกันประเทศแห่งอินเดีย (DRDO) แถลงว่า ได้ทดสอบการยิงจรวดอัคนี 5 (Agni-V) ขีปนาวุธซึ่งมีพิสัยไกลถึง 5,000 กม. ฐานยิงจรวดที่เกาะวีเลอร์ ชายฝั่งอ่าวเบงกอล ของรัฐโอริสสา เมื่อเวลา 8.06 น. (9.35 น. ตามเวลาประเทศไทย) วันนี้ (19 เม.ย.) ทำให้อินเดียกลายเป็นชาติมหาอำนาจด้านขีปนาวุธข้ามประเทศ (ICBM)

นาย ว. เซวามุที เจ้าหน้าที่ของ DRDO ระบุว่าจรวดที่ทำการทดสอบจะไปตกที่กลางมหาสมุทรอินเดีย และน่าจะมีการทดสอบอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อความน่าเชื่อถือก่อนนำเข้าประจำการในกองทัพ

ทั้งนี้การทดสอบขีปนาวุธถูกเลื่อนมาเป็นช่วงเช้าแทนช่วงเย็น เนื่องจากปัญหาสภาพอากาศเลวร้ายบริเวณฐานปล่อยขีปนาวุธ

สำหรับจรวดอัคนี 5 มีความสูง 17 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 2 เมตร หนัก 50 ตัน ใช้เชื้อเพลิงแท่ง โดยมีพิสัยทำการ 5,000 กม. โดยสำนักข่าวอินเดียเอ็กเพรสระบุว่า "ครอบคลุมเมืองสำคัญๆ ของจีน" โดยหลังจากยิง จรวดอัคนี 5 จะอยู่ในอากาศราว 20 นาทีก่อนไปถึงเป้าหมาย ทั้งนี้มีนักวิทยาศาสตร์กว่า 200 คนจาก 20 ห้องทดลองช่วยกันพัฒนา "อัคนี 5"

ทั้งนี้อัคนี 5 สามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ขนาดน้ำหนักเกิน 1 ตันได้ด้วย ซึ่งขณะนี้มีเพียงสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ฝรั่งเศส และจีนเท่านั้นที่มีขีดความสามารถเช่นนี้

DRDO ยังระบุด้วยว่า จรวดอัคนี 5 ยังสามารถยิงข้ามทวีปและทำลายได้หลายเป้าหมายอีกด้วย มีการออกแบบภายนอกของจรวดให้ทนต่ออุณหภูมิสูงถึง 5,000 องศาเซลเสียส เพื่อให้ทนต่ออุณหภูมิเสียดสีขณะที่จรวดกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกเพื่อตรงเข้าไปทำลายเป้าหมาย

ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์กระทรวงกลาโหมของอินเดีย ระบุว่า จรวดอัคนี 5 เป็นการพัฒนาต่อเนื่องจากจรวดอัคนี 3 ที่มีพิสัยทำการ 3,500 กม. ขณะที่จรวดอัคนี 1 มีพิสัยทำการ 700 กม. อัคนี 2 2,000 กม. ส่วนจรวดอัคนี 3 และ 4 มีพิสัยทำการ 3,000 กม. ขึ้นไป

 

ที่มา: เรียบเรียงจาก Indianexpress

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น