โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai.com

ประชาไท | Prachatai.com

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

นศ.ม.หาดใหญ่ เผยความลับทางการเมือง โทรศัพท์คุย 'มาร์ค' บอก 'แม้ว' ซื้อ ส.ส. 100 ล้าน

Posted: 05 May 2010 02:21 PM PDT

หลังส่ง SMS ไปเตือนระวังจะเป็นทรราช 'มาร์ค' โทร.กลับแจงไม่ได้ตัดสินใจคนเดียว-สารภาพรีบตัดสินใจ หลัง ส.ส.พรรคร่วมฯ ถูก 'แม้ว' ล็อบบี้ย้ายขั้วหัวละ 100 ล้าน

<!--break-->

เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 53 ที่ผ่านมา ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่าที่บริเวณหน้าหอประชุมเทศบาลนครหาดใหญ่ นายธนวัฒน์ วาหะรักษ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิชาเอกการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ขึ้นเวทีแสดงความคิดเห็นทางการเมือง พร้อมเปิดใจว่า หลังรับทราบแผน 5 ข้อสร้างความปรองดองคนในชาติหรือ“โรดแมป” ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเสนอต่อกลุ่มเสื้อแดง รวมถึงการประกาศเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย.นี้ ได้ตัดสินใจส่งข้อความไปหานายกฯ เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ อีกทั้งไถ่ถามถึงการแก้ปัญหา โดยข้อความมีใจความว่า “เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าทักษิณคือทรราชขายชาติ แต่เมื่อเห็นท่านนายกตัดสินใจแบบนี้ หมดเลยซึ่งความศรัทธา ระวังท่านจะได้ชื่อว่าทรราชคนต่อไป และทำไมถึงไม่จัดการ ช่วยตอบหน่อย”

หลังจากนั้นได้มีสายโทรเข้าจากนายกรัฐมนตรีในเวลา 23.23 น. วันที่ 4 พ.ค. และตนเองก็ได้รับสาย ซึ่งในตอนแรกตนคิดจะต่อว่าถึงการกระทำของนายกรัฐมนตรี ถึงเรื่องการออกโรดแมป แต่เมื่อฟังน้ำเสียงนายกฯ แล้วเกิดความเห็นใจ

นายธนวัฒน์ อ้างคำกล่าวของนายอภิสิทธิ์ว่า ตนมีความอึดอัดใจพอสมควร แต่ก็ตัดสินใจเพียงคนเดียวไม่ได้ และตอนนี้ทักษิณก็ได้ล็อบบี้ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเพื่อให้ได้เปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาลรายละ 100 ล้านบาทแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับ ส.ส.เหล่านั้นว่าจะขายชาติตามทักษิณหรือรักษาประเทศนี้ไว้

จากนั้นนายธนวัฒน์ได้ถามต่อว่า “ทำไมท่านถึงไม่สลายการชุมนุม” ซึ่งก็ได้คำตอบมาว่า “ผมต้องหาความชอบธรรมในการสลาย ถ้าจะสลายก็เกรงจะมีประชาชนสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็อยากสลายเหมือนกัน แต่ก็กลัวที่จะสูญเสีย”

นอกจากนี้ยังได้ถามถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งตัวนายธนวัฒน์ก็ไม่เห็น ด้วยอย่างยิ่งต่อการแก้ไข เพราะรัฐธรรมนูญเดิมนั้นดีอยู่แล้ว ซึ่งนายอภิสิทธ์ก็ได้ตอบกลับมาว่า “ต้องค่อยๆ แก้ ไม่ได้แก้ทีเดียว” จากนั้นก็ได้วางสายไป

นายธนวัฒน์กล่าวว่า ตนเป็นคนที่สนใจปัญหาการเมืองมาตั้งแต่ศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และเริ่มศึกษามาเรื่อยๆ และได้เคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอยู่บ่อยครั้ง แต่ได้อยู่บริเวณหลังเวที

จนกระทั่งตนได้หมายเลขโทรศัพท์ของนายกฯ มา จึงอยากที่ระบายความผิดหวังเสียใจ หลังจากที่นายกฯ ไม่เข้มแข็งพอที่จะตัดสินใจแก้ไขปัญหาโดยเด็ดขาด ในกรณีกลุ่มคนเสื้อแดง อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินเสียงนายกฯ แล้ว ก็เกิดการสงสาร และได้รับรู้ว่านายกฯ มีความเครียดและก็เร่งที่จะแก้ไขปัญหาตลอดเวลา เพื่อที่ไม่ให้กระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สื่อนอกวิเคราะห์ปัญหาไทยจบด้วยดี/'ทักษิณ' จ้างที่ปรึกษาต่างประเทศ

Posted: 05 May 2010 11:59 AM PDT

<!--break-->

5 พ.ค. 53 - สำนักข่าวรอยเตอร์เผยแพร่บทวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่สถานการณ์ขัดแย้งทางการ เมืองในไทยจะลงเอยด้วยสันติ ว่า ยังถือเป็นแนวทางที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดแม้ทางฝ่ายผู้ชุมนุมจะยังคงตั้ง เงื่อนไขขอให้กำหนดวันยุบสภาที่แน่ชัดออกมา

โดยเชื่อด้วยว่า หากมีการตกลงกันได้ด้วยดีดังกล่าวจะส่งผลดีต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์  ตลาดพันธบัตร และตลาดเงินของไทย และเชื่อว่า จะทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สามารถพุ่งขึ้นสู่ระดับ 950 จุดได้เมื่อถึงปลายปีนี้

รอยเตอร์ระบุว่า ยังมีความเป็นไปได้เช่นกันที่การทำความตกลงดังกล่าวจะยังไม่เกิดขึ้นในทันที แต่อาจชะลอออกไปอีกหลายวัน โอกาสที่จะเป็นไปได้ลำดับถัดมาก็คือการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับผู้ชุมนุมตาม แนวทางปรองดองแห่งชาติของรัฐบาลล้มเหลวลง และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดด้วยการใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น พันธบัตรและตลาดเงินอย่างหนักหน่วงอยู่ระยะหนึ่งจนกว่ารัฐบาลจะฟื้นฟูความ เป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นมาได้

"โอกาสเป็นไปได้ที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยที่สุดในทัศนะของรอยเตอร์ก็ คือ การชุมนุมยังคงดำเนินไปอย่างยืดเยื้อต่อไป โดยให้เหตุผลของความเป็นไปได้น้อยที่สุดว่า เป็นเพราะรัฐบาลอดทนมามากพอแล้วและการเข้าสลายการชุมนุมจะเป็นที่ยอมรับของ สาธารณชนทั่วไป หรืออย่างน้อยที่สุดก็จากประชาชนในกรุงเทพฯ"

ในรายงานของ เจมส์ ฮุคเวย์ เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์นัล เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมนี้ ให้ความสนใจไปที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหลังจากที่เสธ.แดงออกมาปฏิเสธข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าเป็นเพียงกลลวงให้ยุติการชุมนุม เป็นการซื้อเวลาและหาทางให้ตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวอ้างความเห็นของนักวิเคราะห์อิสระระบุว่า อิทธิพลของเสธ.แดงต่อกลุ่มผู้ชุมนุมที่รวมตัวกันเป็นกองกำลังมีมากขึ้นตาม ลำดับ ซึ่งอาจนำไปสู่การนองเลือดได้ โดยชี้ให้เห็นว่ามีอย่างน้อย 5,000 คนเข้าร่วมพรรคการเมืองที่พล.ต.ขัตติยะ จัดตั้งขึ้นในชื่อ พรรคขัตติยะธรรม

พล.ต.ขัตติยะบอกกับวอลสตรีท ว่าจะไม่เลิกล้มการชุมนุมครั้งนี้จนกว่าจะได้รับคำสั่งจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สั่งการโดยตรงของตน ไม่เกี่ยวกับแกนนำของผู้ชุมนุม โดยประกาศอย่างชัดเจนไว้ว่า ภารกิจสุดท้ายของคือการเปลี่ยนการชุมนุมมาราธอนเพื่อต่อต้านรัฐบาลหนนี้ให้ กลายเป็นสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบในเมืองหลวง

"ทักษิณ" จ้างบริษัทกฎหมาย อัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์ เป็นที่ปรึกษา

บริษัท อัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์ (Amsterdam & Peroff) ประกาศว่า บริษัทได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เพื่อช่วยในเรื่องการฟื้นฟูประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมในประเทศ

"เรารู้สึกยินดีที่ได้รับการว่าจ้างจากอดีตนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการในเรื่องเร่งด่วนนี้ และเราตระหนักดีถึงความซับซ้อนและความอ่อนไหวของวิกฤตการเมืองในประเทศไทยที่ยังไม่สามารถหาทางออกได้” โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท อัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์ กล่าว

“เราตั้งใจจะใช้ความรู้ทางกฎหมายที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยครั้งนี้ พร้อมกันนั้นเราขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกอย่าอดทนอดกลั้นต่อรัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ที่ชุมนุมอย่างสันติ”

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งดำรงตำแหน่งในช่วงปี พ.ศ.2544-2549 ก่อนที่จะถูกรัฐประหาร ต้องเนรเทศตัวเองออกไปอยู่ต่างประเทศตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาแม้จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยหลายครั้ง ขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงในกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เสียชีวิตไป 27 รายจากการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารในเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ บริษัท อัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์ เป็นบริษัทที่ปรึกษากฎหมายระดับสากล ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2523 โดยโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม และ ดีน พีรอฟฟ์ บริษัทมีความเชี่ยวชาญด้านการฟ้องร้องดำเนินคดีที่ซับซ้อน อนุญาโตตุลาการพาณิชย์ และคดีความทางการเมืองในตลาดเกิดใหม่ที่มีความท้าทาย บริษัทมีสำนักงานในลอนดอน วอชิงตัน ดีซี และโทรอนโต

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: มติชนออนไลน์, ฐานเศรษฐกิจ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ก.แรงงาน ยกเลิกใบอนุญาตจัดหางานไปทำงานต่างประเทศ บริษัท เอส.เอ.กรุ๊ป จำกัด

Posted: 05 May 2010 11:38 AM PDT

<!--break-->

5 พ.ค. 53 - นายนิวัฒน์ ตังหงส์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานประสานความร่วมมือระหว่างรปะเทศ แจ้งข่าวประกาศของกรมการจัดหางาน กรณีบริษัท เอส.เอ.กรุ๊ป จำกัด ผู้รับอนุญาตจัดหางานให้คนไปทำงานในต่างประเทศ โดยมี น.ส.กรธิดา จงใจพระ กรรมการผู้จัดการ กระทำการแทนนิติบุคคลใบอนุญาตเลขที่ ต.34/2527 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 27/1-2 ซอยศูนย์วิจัย เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ใบอนุญาตใช้ได้ถึงวันที่ 28 มกราคม 2553 อยู่ระหว่างการต่ออายุใบอนุญาต

หากผู้ใดมีเรื่องร้องทุกข์เกี่ยวกับการจตัดหางานของบริษัท เอส.เอ.กรุ๊ป ให้แจ้งนายทะเบียนจัดหางานกลางทราบภายใน 30 วัน เพื่อจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป หากมีปัญหาสงสัยติดต่อสายด่วนกรมการจัดหางานโทร.1694

กระทรวงแรงงานมีความห่วงใยต่อคนหางานที่ประสงค์จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศควรทบทวนก่อนว่า อาชีพปัจจุบันมั่นคงอยู่แล้วหรือมีรายได้พอสมควร มีครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมหน้าพ่อ แม่ ลูก มีโรคประจำตัวหรือโรคร้ายแรงหรือไม่ อยากไปทำงานต่างประเทศเพราะเห็นคนอื่นเขาไปกันหรือไม่ ค่าจ้างที่จะได้นั้นคุ้มกับการเดินทางไปหรือไม่ และขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ศูนย์ทะเบียนฯ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานจัดหางานเขตพื้นที่ 1-10 ใกล้บ้านก่อนตัดสินใจและติดต่อลงทะเบียน "ผู้ประสงค์จะไปทำงานต่างประเทศ" เพื่อจได้รับการดูแลคุ้มครองคนหางานและลดปัญหาการถูกหลอกลวงโดยสายและนายหน้าเถื่อน

ทั้งนี้ ลงทะเบียนเพียงครั้งเดียว รายชื่อของท่านจะปรากฏอยู่ในระบบสารสนเทศของศูนย์ลงทะเบียนคนหางานฯ กรุงเทพมหานคร ทันทีคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนคือ มีอายุระหว่าง 20-40 ปี สุขภาพดีไม่มีโรคประจำตัวหรือโรคติดต่อร้ายแรง มีฝีมือในตำแหน่งที่จะลงทะเบียน มีความพร้อมที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศหลักฐานที่ใช้ในการลงทะเบียน ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชน หลักฐานการศึกษา ใบรับรองทดสอบฝีมือ

"ควรคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจไปทำงานต่างประเทศ" มีข้อสงสัยติดต่อสำนักงานแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานเขตพื้นที่ 1-10 ศูนย์บริการร่วมกระทรวงแรงงาน และสายด่วน กรมการจัดหางาน โทร.1694

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ผอ.รพ.จุฬาฯโต้ 'หมอพรทิพย์' หลักฐานไม่แน่น อย่าพึ่งด่วนสรุป

Posted: 05 May 2010 11:31 AM PDT

ผอ.รพ.จุฬาฯ ยัน M-79 ยิงใส่สีลม ไม่ได้ยิงจากตึก ภปร. ไม่เคยอนุมัติให้ใครขึ้นไปทำอะไรบนตึก ติง 'หมอพรทิพย์' มีหลักฐานไม่แน่นหนาทำภาพลักษณ์ รพ. เสียหาย เจ้าตัวสวนผอ.รพ.จุฬาฯ ต้องหนักแน่น ด้าน DSI ไม่ยันคนร้ายใช้ตึก ภปร.ยิง

<!--break-->

5 พ.ค. 53 - ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ หลังเปิดให้บริการห้องฉุกเฉินและห้องคลอดตลอด 24 ชั่วโมง เป็นวันแรก ปรากฎว่าตั้งแต่ช่วงเช้าที่ห้องฉุกเฉิน มีรถพยาบาลวิ่งนำคนป่วยเข้ามารักษาอาการบาดเจ็บหลายราย ขณะเดียวกันได้มีหญิงท้องแก่ 3 คน ที่เคยฝากครรภ์ไว้ที่ รพ.จุฬาฯ ถูกส่งตัวเข้ามานอนรอคลอด ที่ห้องคลอดตึกคัคณางค์ หลังจากที่สถานการณ์เริ่มใกล้เข้าสู่ภาวะปกติ โดยถนนราชดำริเริ่มถูกใช้เป็นเส้นทางสัญจรตามปกติ มีรถพยาบาล และรถเจ้าหน้าที่ วิ่งเข้าออกตลอดเวลา แม้ว่าทางกลุ่มผู้ชุมนุมยังไม่เปิดถนนไปจนถึงแยกสารสิน ตามที่มีการร้องขอ ขณะที่การ์ด นปช. ไม่มีการออกมาเฝ้าสังเกตการณ์บริเวณนี้มากเหมือนที่ผ่านมา

โดยเวลา 10.00 น. รถพยาบาลของโรงพยาบาลจุฬาฯ ได้เริ่มทยอยนำตัวผู้ป่วยที่ย้ายออกไปรักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆ กลับเข้ามารักษาตัวอีกครั้ง หลังมีการเปิดตึกด้านในฝั่งถนนอังรีดูนังต์เป็นที่พักรักษาตัว อาทิ ตึกว่องวานิช ตึกสวัสดิ์-ล้อม ตึกจงกลนี โดยตึกอยู่ห่างจากพื้นที่ชุมนุมของคนเสื้อแดงประมาณ 100 เมตร ขณะที่พื้นที่ภายในได้มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน กระจายกำลังดูแลความปลอดภัยตามตึกต่างๆ ที่มีการเปิดใช้งาน รวมทั้งตึก อปร. ตึก สก. และ ตึก ภปร. ที่ยังไม่เปิดใช้งานก็ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลอยู่ในบริเวณรอบนอก

น.ส.วรรณวดี เนติพันธุ์รัตน์ อายุ 44 ปี ได้นำนายสุนิต เนติพันธุ์รัตน์ อายุ 76 ปี บิดาที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย กลับเข้ามารับการรักษาที่ รพ.จุฬาฯ อีกครั้ง โดยกล่าวว่า ก่อนหน้านี้เคยเข้ารับการรักษาที่ รพ.ยาสูบ และย้ายเข้ารักษาที่ รพ.จุฬาฯ กว่า 2 เดือน เนื่องจากเครื่องอุปกรณ์ทางการแพทย์มีความพร้อมกว่า แต่หลังเสื้อแดงบุก รพ.จุฬาฯ ได้ย้ายกลับไปรักษาตัวต่อที่ รพ.ยาสูบ เมื่อวันที่ 30 เม.ย. อาการเริ่มไม่ดี มีไข้ขึ้น และน็อก ประกอบกับอาหารที่ทางโรงพยาบาล 2 แห่งจัดให้ไม่เหมือนกัน เมื่อทาง รพ.จุฬาฯ เปิดให้บริการอีกครั้งจึงรีบนำพ่อกลับ แม้ตอนนี้จะไม่มั่นใจในอาการของพ่อ อยากให้ทุกฝ่ายรอมชอมพูดกันด้วยดี เป็นคนไทยด้วยกัน จะได้ไม่ส่งผลกระทบไปถึงคนป่วย และญาติคนป่วยก็จะได้ไม่ต้องเครียด

ต่อมาเวลา 11.00 น. คณะศิษย์เก่าโรงเรียนสตรีวิทยา ถนนราชดำเนิน ได้นำดอกไม้เข้าให้กำลังใจ ศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ ผอ.รพ.จุฬาฯ ที่ตึกอานันทมหิดล พร้อมทั้งเข้าขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน ที่เข้ามาดูแลความปลอดภัยในโรงพยาบาล จากนั้นได้นำดอกไม้ ผ้าเย็น และขนม ไปมอบให้ทหารที่รักษาการณ์อยู่ที่ถนนสีลม โดย น.ส.มณฑปนัณณ์ กังวาลทัศน์ ตัวแทนศิษย์เก่าสตรีวิทยา กล่าวว่า เข้าใจหัวอกโรงพยาบาลจุฬาฯ ที่ถูกมองว่าใช้เป็นจุดยิงเอ็ม 79 บนตึก ภปร. ชั้น 7-8 เหมือนกับที่สตรีวิทยาถูกระบุว่าใช้ชั้น 1-2 เป็นจุดยิงในวันที่ 10 เม.ย. ขอให้กำลังใจ และเห็นด้วยกับทางจุฬาฯ ที่ยืนยันให้ผู้ชุมนุมเปิดถนนราชดำริไปจนถึงแยกสารสิน เพื่อให้ทุกส่วนสามารถทำงานได้เป็นปกติ โดยไม่ต้องหวาดระแวงอันตราย

ศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ ผอ.รพ.จุฬาลงกร์ กล่าวถึงกรณีที่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ระบุจุดยิง เอ็ม 79 ไปตกที่ถนนสีลม เมื่อวันที่ 22 เม.ย. สันนิษฐานว่าวิถีการยิงอาจจะมาจากชั้น 7 และ 8 ตึก ภปร.นั้น ถ้าเป็นการยิงเอ็ม 79 ที่มีวิถีมาจากลานพระบรมราชาอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าอาจจะมีการยิงเอ็ม 79 จากชั้น 7 และ 8 ของตึก ภปร. เป็นการสันนิษฐานยังไม่ได้สรุปว่าใช่ ซึ่งตนยืนยันว่าโรงพยาบาลไม่เคยอนุมัติให้ผู้ใดขึ้นไปทำอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน ถ้าเป็นการยิงรถไฟฟ้าน่าจะเป็นกลุ่มเสื้อแดง เพราะคนที่ถูกยิงเป็นประชาชน ไม่ใช่ตำรวจ แต่ถ้าใครจะขโมยขึ้นไปทำอะไรที่ไม่รู้ก็คงบอกไม่ได้ เหมือนกับขโมยขึ้นบ้าน ถึงอย่างไร ก็ไม่น่าจะเป็นตึก ภปร. เพราะไม่มีระเบียงที่จะสามารถเป็นจุดที่ยิงเอ็ม 79 ได้ อีกทั้งที่ผ่านมาก็มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่เดินทางมาตรวจสอบแล้ว แต่ก็ไม่มีข้อสรุปอะไรออกมาเป็นหลักฐานชัดเจน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตึก ภปร.มีกล้องวงจรปิดที่ใช้บันทึกการเข้าออกหรือไม่ ศ.นพ.อดิศร ตอบว่า มีกล้องโทรทัศน์วงจรปิดติดตั้งไว้ แต่เนื่องจากตัวสัญญาณตัวแม่เสียมานานแล้วจึงจับภาพได้เพียงบางชั้นเท่านั้น เพิ่งจะมีการซ่อมแซมให้ใช้งานได้เป็นปกติหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ไปแล้ว

"รู้สึกเป็นห่วงเรื่องที่ระบุจุดยิงในตึก ภปร. คิดว่าคนพูดทำไม่ถูก ที่อยู่ๆ ก็ออกข่าวมาโดยไม่มีหลักฐาน 100 เปอร์เซ็นต์ โรงพยาบาลก็คือโรงพยาบาล จะไปทำอะไรที่ผิดจากปกติก็คงไม่ได้ อีกทั้งข่าวนี้ก็ผ่านไปนานแล้วเห็นเงียบหายไป ไม่จำเป็นที่จะต้องนำกลับมาพูดอีก อาจจะสร้างความสับสน และภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลจะเสียหาย" ผอ.รพ.จุฬาฯ กล่าว

DSI ไม่ยันคนร้ายใช้ตึก ภปร.ยิง M-79 ใส่ศาลาแดง

ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีพญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เปิดเผยผลการตรวจสอบพบสารไนเตรทบริเวณห้องน้ำหญิงชั้น 8 ตึกภปร. ในรพ.จุฬา ซึ่งอาจเป็นอีกจุดหนึ่งที่คนร้ายลอบยิงเอ็ม 79 ใส่ผู้ชุมนุมเสื้อหลากสีบริเวณแยกศาลาแดง ว่า ดีเอสไอเป็นผู้ขออนุมัติหมายค้นเพื่อให้ทีมงานนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เข้าตรวจสอบหลักฐานภายในรพ.จุฬาฯ แต่การลงความเห็นว่าคนร้ายใช้พื้นที่ในอาคารภปร.ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ผู้ชุมนุมเสื้อหลากสีหรือไม่ยังเป็นความเห็นในทางเทคนิคของพญ.คุณหญิงพรทิพย์ แต่ในทางการสอบสวนของดีเอสไอยังไม่มีการลงความเห็นดังกล่าว โดยจะต้องตรวจสอบพยานหลักฐานในส่วนของพญ.คุณหญิงพรทิพย์และหลักฐานในส่วนอื่นๆอย่างละเอียดก่อน

ส่วนกรณีที่นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายธาริตจากกรณีที่ดีเอสไอนำกำลังเข้าตรวจค้นห้องพักภายในเฟิร์สอพาร์ตเมนท์ ย่านลาดพร้าว 71 นั้น นายธาริต ยืนยันว่า การเข้าตรวจค้นห้องพักดังกล่าวสืบเนื่องจากชุดสืบสวนได้ข้อมูลแน่ชัดว่า นายสุภรณ์เป็นผู้เช่าห้องดังกล่าว นอกจากนี้ในการตรวจค้นดีเอสไอมีหมายค้นอย่างถูกต้อง และทุกขั้นตอนในการตรวจค้นมีการบันทึกทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว รวมทั้งมีพยานซึ่งเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของอพาร์ตเมนท์เป็นผู้นำค้นห้องพัก โดยส่วนตัวเชื่อว่าการแจ้งความดำเนินคดีกับตน คงเป็นข้อกังวลเกี่ยวกับสลักระเบิดและกระเดื่องระเบิดใช้งานแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ยึดได้ภายในห้องพักดังกล่าว

คุณหญิงหมอพรทิพย์เตือนผอ.โรงพยาบาลจุฬาให้หนักแน่น

ทางด้านพญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ในฐานะคณะกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวชี้แจงกรณีแถลงข่าวการตรวจสอบแนววิถีกระสุนกรณีการยิงอาวุธ เอ็ม 79 ใส่ประชนชนชาวสีลมที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ศาลาแดงว่า ว่า การเข้าไปตรวจสอบของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เนื่องจากวันที่เกิดเหตุ ทาง ศอฉ. และดีเอสไอ รวมทั้ง ครม.ได้มีพยานจำนวนมาก ระบุว่าเห็นทิศทางการยิงเอ็ม 79 มาจาก 2 ทิศทาง คือ ทางด้านบริเวณลานพระบรมรูป รัชกาลที่6 และทางด้านโรงพยาบาลจุฬาฯ จึงได้ใช้อำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อให้ตนและเจ้าหน้าที่สถาบันนิติฯ เข้าไปตรวจสอบ ก็พบว่ามีความเป็นไปได้ที่จะยิงมาจากชั้นใดชั้นหนึ่ง ของอาคารดังกล่าวหรือตึกสูงอาคารใกล้เคียง และเมื่อตรวจสอบที่บริเวณ ชั้น 7-8 มองลงมาก็สามารถมองเห็นจุดเกิดเหตุได้ อย่างไรก็ตามตนบอกชัดเจนว่า มีความเป็นไปได้ที่ยิงมาจากทิศทางนั้น จากอาคารสูงหรือตึกสูงบริเวณดังกล่าว แต่ยังไม่ได้สรุปหรือชี้ชัดว่ายิงมาจากจุดใด

พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวย้ำว่า ยามนี้อยากให้ประชาชนทุกคนรวมทั้งผอ.โรงพยาบาลจุฬาฯให้มีความหนักแน่น หากไม่ได้ฟังจากผู้พูดก็ขออย่าเพิ่งด่วนสรุป เพราะข่าวที่ได้รับอาจจะมีความคลาดเคลื่อน โดยเมื่อวานนี้ตนแถลงว่า มีความเป็นไปได้ ที่จะมาจากทิศทางนั้น ซึ่งอาจมาจากตึกใกล้เคียงบริเวณนั้น ยังไม่ได้สรุปอะไรเลยว่ายิงจากจุดใด ส่วนการจะพิสูจน์ให้ทราบข้อเท็จจริงนั้น เนื่องจากความไม่ปลอดภัย ต้องรอให้ม็อบเสื้อแดงยุติการชุมนุมเสียก่อน จากนั้นเจ้าหน้าที่สถาบันนิติฯ จึงจะเข้าไปดำเนินการจำลองสถานการณ์จริงเพื่อให้ทราบว่าคนร้ายยิงมาจากจุดใดกันแน่

รอข้อมูลชี้ชัดอาร์พีจีถล่มวัดพระแก้ว

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 พ.ค. พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แถลงความคืบหน้าการตรวจสอบแนววิถีกระสุนอาร์พีจีที่คนร้ายยิงใส่ด้านหลังกระทรวงกลาโหมพร้อมกับเปิดสไลด์ประกอบด้วย ว่าหลักฐานในที่เกิดเหตุยิงจรวดอาร์พีจี ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธยืนยันว่า เป็นการยิงด้วยท่านั่งเนื่องจากกระถางต้นไม้บริเวณใกล้เคียงมีรอยไหม้ และสายโทรศัพท์ที่ถูกหัวจรวดอาร์พีจีเฉี่ยวจนขาดเป็นมุมเฉียงขึ้น อย่างไรก็ตามการตรวจสอบที่เกิดเหตุเป็นเพียงการทดสอบความเป็นไปได้ต่าง ๆ เพื่อนำมาเทียบเคียงกับคำให้การของผู้ต้องหา ขณะนี้ต้องรอผลการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธ ว่ากระสุนหัวระเบิดที่คนร้ายนำมาใช้ก่อเหตุ มีระยะการยิงเท่าใดระหว่าง 300 เมตร หรือ 600 เมตร หากหัวระเบิดมีระยะการยิงเพียง 300 เมตร เป้าหมายน่าจะเป็นกระทรวงกลาโหมแต่ถ้าระยะยิง 600 เมตร ก็มีความเป็นไปได้ว่าเป้าหมายจะเป็นวัดพระแก้ว 

ส่วนแนววิถีกระสุนที่คนร้ายลอบยิงพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ เสียชีวิตบนถนนวิภาวดี ยังไม่สามารถระบุอาวุธที่ใช้ยิงได้ว่าเป็นปืนเอ็ม 16 หรือปืนไรเฟิล ระบุได้เพียงยิงมาจากด้านข้างถนนวิภาวดีฝั่งขาออก ไม่ใช่ยิงลงมาจากโทลล์เวย์ เนื่องจากพบรูกระสุน1 นัด เข้าที่เบาะด้านซ้ายของ จยย. ส่วนอีก 1 นัด เข้าศีรษะของพลทหารณรงค์ฤทธิ์โดยจุดซุ่มยิงอาจมาจากอาคารสูงที่เปิดเป็นสำนักงานขาย อาคารที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือปั๊มน้ำมันที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งเป็นจุดที่ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอัลจาซีเราะห์บันทึกภาพชายชุดดำถืออาวุธสงครามไว้ได้ ส่วนเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ที่สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดงและยิงถล่มใส่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อหลากสีเบื้องต้นพบว่าเป็นการยิงระยะไกล 3 จุดและมีความเป็นไปได้ที่คนร้ายจะยิงมาจากลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 แต่จะยิงมาจากจุดใดจะต้องเข้าไปทดสอบยิงแสงเลเซอร์ซึ่งจุดที่มองเห็นหลังคาชานชาลารถไฟฟ้าจะเป็นจุดที่คนร้ายก่อเหตุ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะเป็นจุดที่อยู่ใกล้กับกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง

 

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: ไทยรัฐ, คม ชัด ลึก, สยามรัฐ, เดลินิวส์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ภาพการชุมนุม นปช. วันที่ 5 พ.ค. 53

Posted: 05 May 2010 11:05 AM PDT

ประมวลภาพการชุมนุมคนเสื้อแดงหรือ นปช. คืนวันที่ 5 พ.ค. 53 ที่แยกราชประสงค์

<!--break-->

วันนี้ (5 พ.ค.) คนเสื้อแดงยังคงชุมนุมตามปกติในพื้นที่แยกราชประสงค์ แม้ว่าในวันนี้ ศอฉ. ได้ส่งข้อความสั้นเพื่อโฆษณาชวนเชื่อทางมือถือทั่วประเทศ ได้แก่ "รักในหลวง ห่วงประเทศ ช่วยกันสร้างความสามัคคี เพื่อชาติไทย...ศอฉ." "ยุติการชุมนุมเพื่อร่วมถวายเป็นพระราชกุศลในโอกาสมหามงคล...ศอฉ." "รัฐบาลพร้อมปรองดอง กำหนดเลือกตั้ง 14 พ.ย. นี้ ได้เวลากลับบ้านแล้ว"  และ "แกนนำ นปช. รับแผนปรองดองแห่งชาติ ได้เวลากลับบ้าน รอเลือกตั้ง 14 พ.ย. นี้"

อย่างไรก็ตามผู้ชุมนุมที่ได้รับข้อความดังกล่าว ต่างบอกว่าไม่สนใจจะเลิกชุมนุมตามที่ ศอฉ. เขิญขวน

ส่วนนายณัฐวุติ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.เปิดเผยว่า การหาทางออกโดยยึดหลักสันติวิธียังคงเป็นแนวทางของกลุ่ม นปช. ถึงแม้ว่าแผนการปรองดองที่นายกรัฐมนตรีเสนอมาจะสะดุด แต่ขณะนี้สิ่งที่ต้องการเห็นคือความชัดเจนและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อมีความชัดเจนแล้ว กลุ่ม นปช.ก็จะร่วมหารือเพื่อกำหนดแผนต่อไปซึ่งขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีว่าจะใช้ เวลาดำเนินการนานเท่าไร ส่วนการชุมนุมของกลุ่ม นปช.ยังคงยืนยันจะดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องวันยุบสภา

ขณะที่ในช่วงเช้ากิจกรรมของ นปช. มีการทำบุญพระสงฆ์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวันฉัตรมงคล และมีการร้องเพลงสดุดีมหาราชาและเพลงสรรเสริญพระบารมีเนื่องในวันฉัตรมงคลด้วย

ขณะที่เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย แกนนำ นปช. รุ่นสอง ได้ประกาศสดุดีนายจิตร ภูมิศักดิ์ นักคิดนักเขียนคนสำคัญ ซึ่งวันครบรอบการเสียชีวิตของเขาตรงกับวันนี้ด้วย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นปช. ชุมนุมต่อจนกว่านายกประกาศวันยุบสภาชัดเจน

Posted: 05 May 2010 10:26 AM PDT

 นปช. ยืนยันชุมนุมต่อจนกว่านายกประกาศวันยุบสภาชัดเจน หวั่น ปชป.ถูกยุบก่อนสภา ตั้ง"ชวน"เป็นนายกฯจะไม่ยอมทำตามข้อตกลง ด้านญาติผู้เสียชีวิตแถลงข่าวสื่อนอกเตรียมฟ้องอาญาทั้งไทยและศาลระหว่างประเทศด้วย

<!--break-->

รอคำตอบจากนายกก่อนยุติการชุมนุม

5 พ.ค. 53 - เวลา 18.04น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงว่า แนวทางของคนเสื้อแดงต่อแนวทางปรองดองถือว่าจบแล้วเราตอบรับเพื่อหลีกเลี่ยง ไม่ให้มีการสูญเสียของเจ้าหน้าที่และประชาชน ยืนยันข้อสรุปนี้ไปจนถึงการยุติการต่อสู้ หมายความว่า ถ้าแผนปรองดองเดินหน้าก็เดินหน้าแต่ถ้าสะดุดหยุดลงเราก็ยืนยันแนวทางสันติ ไม่เปลี่ยนแปลง ท่าทีของเราที่แสดงออกไปเราประสงค์ให้พรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคร่วมรัฐบาล แสดงความชัดเจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก่อนเราถึงจะศึกษาตามแนวทางของเรา

"อยากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นับหนึ่งให้เสร็จก่อนหลังจากมีท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะนายชวน หลีกภัย ซึ่งคาดว่าน่าจะมีข้อสรุปในวันที่ 6 พ.ค. ที่จะมีการประชุมพรรค เช่นเดียวกับการคัดค้านของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถ้าจบตรงนี้ปุ๊บเราจะเริ่มนับสองแล้วจะมาประชุมแกนนำของเราเพื่อไปร่วมนับ สามกับรัฐบาล หมายความว่า นายกฯคิดการยุบสภาอย่างไรว่ามา เราก็จะคิดหาทางออกตามแนวทางสันติวิธีอย่างไรก็ว่ากันไป นปช.ไม่ได้มีหน้าที่พิจารณาเฉพาะในสิ่งที่นายอภิสิทธิ์เสนอเท่านั้นเช่น เดียวกับนายอภิสิทธิ์ที่ไม่ต้องมาพิจารณาเฉพาะข้อเสนอของเราเช่นกัน ส่วนจะนำไปสู่ขั้นตอนปฎิบัติอย่างไรคงมีข้อสรุปอีกครั้ง ถ้าจะมองว่ายืดยาวหรือกระชับก็ได้ขึ้นอยู่กับว่านายกฯนับหนึ่งเสร็จเมื่อไห ร" นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า อยากขอตั้งข้อสังเกตุว่าเวลานี้สถานการณ์สำคัญของประชาธิปัตย์ไม่ได้อยู่ที่ ยุบสภาแต่อยู่ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะคนในประชาธิปัตย์เคยมีมติไม่แก้รัฐ ธรรมนูญไปแล้ว แต่เมื่อนายอภิสิทธิ์เสนอแนวทางปรองดองซึ่งมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย คงต้องรอดูว่าจะมีมติอย่างไร เชื่อว่าถ้าไม่แก้รัฐธรรมนูญจะมีปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลอีก จึงเป็นตัวอธิบายว่าการนับหนึ่งของประชาธิปัตย์ยังไม่จบ ข้อสังเกตุนี้ไม่ใช่การตั้งเงื่อนไขของนปช.อย่างไรก็ตามระหว่างที่ขั้นตอน การปรองดองดำเนินการอยู่เรายังไม่มีการกำหนดยุติการชุมนุมเวทีการต่อสู้ยัง มีอยู่ ยังไม่มีการผ่อนคันเร่งไม่มีการเปลียนแปลงเส้นทาง

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวถึงการยุติชุมนุมของคนเสื้อแดงว่าจะต้องรอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แสดงความชัดเจน รวมถึงรอให้คนในพรรค ปชป. มีความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันก่อนที่กลุ่มเสื้อแดงจะพิจารณาถึงการยุติชุมนุม

โดยก่อนหน้านั้นในช่วงเช้าที่ผ่านมานายวีระ มุสิกพงษ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ  (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ได้เป็นประธานการทำบุญตักบาตรพระสงฆ์จำนวน 99 รูป เนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  หลังจากเสร็จสิ้นการทำบุญตักบาตร นายวีระ ได้ขึ้นปราศรัยบนเวที โดยยืนยันว่า มีความจงรักภักดี และไม่ได้เป็นขบวนการล้มล้างสถาบันตามที่มีการกล่าวอ้าง

ส่วนกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศโรดแมป 5 ข้อ โดยระบุว่าจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ นั้น  นายวีระ กล่าวว่า จะให้กลุ่มผู้ชุมนุมได้กลับภูมิลำเนาเร็วขึ้น แต่คงต้องรอความชัดเจนจากนายกรัฐมนตรี ถึงรายละเอียดของวันยุบสภาอีกครั้ง

"จตุพร" หวั่น ปชป.ถูกยุบก่อนสภา ตั้ง"ชวน"เป็นนายกฯจะไม่ยอมทำตามข้อตกลง

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)-แดงทั้งแผ่นดิน กล่าววันที่ 5 พฤษภาคม ถึงท่าทีของคนเสื้อแดง ต่อโรดแมป 5 ข้อตามที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเสนอเพื่อยุติวิกฤติว่า สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ เสนอมานั้นไม่ใช่โรดแมปแต่เป็นเพียง 5 ประเด็นที่จะใช้ในการหารือกัน เพราะยังไม่มีจุดใดเป็นรูปธรรม และยังต้องพูดคุยกันในรายละเอียดอีกมาก แต่หัวข้อเรื่องความปรองดองสมานฉันท์นั้นใครก็ไม่สามารถปฎิเสธได้ ซึ่งการที่คนเสื้อแดงแบ่งรับแบ่งสู้นั้นเป็นเพราะไม่ต้องการผลีผลามตัดสินใจ พาประชาชนไปถูกหลอกหรือปรารถนาให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายอีก โดยเฉพาะเรื่องระยะเวลาการกำหนดวันเลือกตั้งที่นายอภิสิทธิ์ เสนอมาว่าจะให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายนนั้นไม่มีความเป็นรูปธรรม เพราะการกำหนดวันเลือกตั้งนั้นนายอภิสิทธิ์ ไม่สามารถกำหนดเองได้ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ในการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ว่านายกรัฐมนตรีจะต้องหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งก่อน กำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งจุดนี้ไม่สามารถการันตีได้ว่าการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤศจิกายนจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ คนเสื้อแดง จึงขอให้นายอภิสิทธิ์ ประกาศวันยุบสภามาให้ชัดเจน

นายจตุพรกล่าวว่า อย่างไรก็การเห็นด้วยกับแนวทางการปรองดองก็ไม่ได้หมายความว่าคนเสื้อแดงเห็น ด้วยกับกำหนดการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤศจิกายน เพราะเงื่อนไขเรื่องระยะเวลานั้นเรายังไม่ได้พิจารณาจนกว่านายกรัฐมนตรีจะ ประกาศวันยุบสภา ออกมาจากนั้นแกนนำคนเสื้อแดงถึงจะมาพิจารณาอีกครั้งว่าเหมาะสมหรือไม่ หากพอที่จะยอมรับได้เราจะนำเข้าสู่กระบวนการเจรจาในรายละเอียดทั้ง 5 ข้ออีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เกิดความชัดเจน เพราะไม่ต้องการให้มีการบิดพริ้วเหมือนการตั้งคณะกรรมการอิสระ 2 ชุดหลังเหตุการณ์เมษายน 2552 แต่ไม่เกิดผลอะไร โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เสนอให้แก้ไขรัฐ ธรรมนูญ 6 ประเด็นแต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล

“หาก นายอภิสิทธิ์ ประกาศวันยุบสภามาแน่นอนแล้วคนเสื้อแดงยอมรับเรื่องเงื่อนเวลาได้ ก็จะไปสู่การเจรจาในรายละเอียดอีกครั้งเพื่อกำหนดให้ชัดเจนลงไปเลยว่า ระหว่างทางก่อนที่จะยุบสภาตามที่ได้ตกลงกันนั้นจะต้องทำอะไรบ้าง เป็นขั้นเป็นตอน ต้องทำอะไรวันไหน เมื่อไร ระหว่างทางจะต้องทำอะไรบ้างให้สำเร็จ โดยจะต้องเป็นการเจรจาแบบเปิดเผย โดยจะต้องประกาศผลการเจรจาต่อสาธารณะ เพื่อเป็นสัตยาบรรณต่อประชาชน และหากใครบิดพริ้วก็ต้องถูกประชาชนลงโทษ โดยระหว่างการเจรจานั้นเราก็ยังจะไม่ยุติการชุมนุม และการชุมนุมจะต้องมีต่อไป ไม่เช่นนั้นการเจรจาก็จะไม่เกิดขึ้น”

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช. กล่าวเมื่อวันที่ 5 พ.ค. ว่า โรดแมป ทั้ง 5 ข้อของนายกฯไม่ได้เป็นโรดแมปแต่เป็นเพียงข้อเสนอที่ยังไม่มีรายละเอียดเป็น รูปธรรมเพราะมีหลายเรื่องที่ต้องคุยอย่างชัดเจน ประสำคัญ คือ การกำหนดวันยุบสภาฯเคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องการกำหนดวัน เลือกตั้งเมื่อปี2549เอาไว้ว่ารัฐบาลและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องร่วมมือกันในการกำหนดวันเลือกตั้ง

"นอก จากนี้ มีข้อสงสัยมากมาย เช่น ถ้ามีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ก่อนยุบสภา และถ้าสรรหานายกฯในสภาใหม่ได้นายชวน(นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์) เป็นนายกฯ พรรคประชาธิปัตย์จะยังยืนยันให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย.หรือไม่ เช่นเดียวกับคดีความที่อยู่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เป็นกรรมการในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อยากถามว่าจะยุติธรรมหรือไม่เพราะศอฉ.มีส่วนร่วมในการวางแผนทำร้ายประชาชนใน วันที่10 เม.ย.จะให้คนที่มีส่วนทำร้ายประชาชนมาเป็นผู้สอบสวนคดีนี้ได้อย่างไร" นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า การกำหนดวันเลือกตั้งมาจากมิติการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2554 ที่ใช้เวลาประมาณ 105 วันตามกฎหมายแต่เอาเข้าจริงเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องซื้อโลงศพที่คนซื้อไม่ได้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ ควรให้รัฐบาลเข้ามาทำ พวกเราไม่ต้องการถูกหลอกอีกครั้ง ถ้าจะเอาเรื่องของนักการเมืองเป็นหลักไม่คุ้มค่าต่อการเสียชีวิตของประชาชน โดยเรื่องของนักการเมืองต้องเอาไว้สุดท้าย

"เหมือน เป็นการกดดันให้คนเสื้อแดงยอมจำนน ยิ่งข่มเหงมากเท่าไหรการปรองดองจะไม่เกิดขึ้นเราไม่ยอมให้ถูกกดขี่ให้ยอม จำนน นายอภิสิทธิ์ต้องไปดูว่าต้องการปรองดองจริงหรือไม่ 5 ข้อนี้ยังเป็นนามธรรมต้องคุยให้เกิดขึ้นจริง ความชัดเจนต้องปรึกษากกต.ให้จบแถลงต่อสาธารณะแล้วค่อยมาว่ากันว่า 5 ข้อจะดำเนินการอย่างไร" นายจตุพร กล่าว

ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะ 10 เม.ย.เรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบด้วยการยุบสภา

ทั้งนี้เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา (5 พ.ค. 53) นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้นำญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปะทะกันของทหารและกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อ วันที่ 10 เม.ย. บริเวณแยกคอกวัว มาแถลงข่าวและเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้กับผู้สื่อข่าวต่างประเทศและเปิดโอกาสให้ซักถามกับญาติผู้ เสียชีวิตโดยตรง

ญาติผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ระบุว่า เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเชื่อมโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่ ผู้ชุมนุมไม่ได้ตอบชัด แต่ยอมรับว่าชื่นชอบนโยบายของอดีตนายกรัฐมนตรีที่ช่วยเหลือประชาชนภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ และอยากให้รัฐบาลรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยการยุบสภาโดยเร็ว และอยากให้การชุมนุมในครั้งนี้ยุติลงโดยเร็วที่สุด เพราะไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียขึ้นอีก และอยากฝากถึงรัฐบาลด้วยว่าไม่ต้องพยายามขอคืนพื้นที่ แค่เพียงรัฐบาลประกาศยุบสภาให้ชัดเจน กลุ่มผู้ชุมนุมก็จะเดินทางกลับบ้านทันที

สำหรับร่างของผู้เสีย ชีวิตได้ทำพิธีฌาปนกิจไปแล้ว 3 ศพ ที่เหลืออีก 18 ศพ ยังเก็บไว้เพื่ออยู่ในขั้นตอนของการชันสูตรและดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย

นพ.เหวง กล่าวว่า จะให้ทีมกฎหมายของ นปช.ฟ้องศาลแพ่งและศาลอาญา แจ้งความต่อกองปราบปราม ในวันที่ 10 พ.ค. จับรัฐบาลในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288และจะฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศด้วย

ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์ ฯ เตรียมเข้าหารือ นายกรัฐมนตรี  นปช. หวังเป็นตัวกลางช่วยคลายวิกฤติชาติ

นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี อดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญ กล่าวว่า ตัวแทนคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ ได้ทำหนังสือขอหารือกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 7 พ.ค. ในช่วงบ่ายที่รัฐสภา เพื่อพูดคุยแนวทางและข้อปฏิบัติที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายการปรองดองตามโรดแมป 5 ข้อที่นายกฯเสนอ

โดยจะไปรับฟังว่านายกฯตั้งเป้าอะไร มีแนวทางอย่างไรให้บรรลุตามเป้านั้น และตัวแทนคณะกรรมการสมานฉันท์ฯจะมีข้อเสนอแนะให้ ซึ่งนายกฯเคยระบุว่า จะให้มีคณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่มาจากทุกภาคส่วน คณะกรรมการสมานฉันท์ฯก็เห็นด้วย และคิดว่านอกจากจะให้ภาคสังคมเข้ามามีส่วนร่วมแล้ว ควรจะมีตัวแทนพรรคการเมืองเข้าไปร่วมด้วย เพื่อให้เป็นคณะกรรมการที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ และจะหารือว่าก่อนถึงวันเลือกตั้งจะต้องทำอะไรบ้างตามลำดับความสำคัญก่อนและ หลัง

จากนั้นวันที่ 8 พ.ค. จะไปคุยกับแกนนำ นปช.ว่ามีแนวทางอย่างไร เป้าหมายเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมาเจรจากันในรายละเอียดให้มากขึ้น เมื่อมีการเลือกตั้งจะได้ไม่มีปัญหา เป็นการเอาความคิดของทั้งสองฝ่ายมาหลอมรวมให้ไปในทางเดียวกัน

ด้าน ข้อเสนอเรื่องการคืนสิทธิ นักการเมืองที่ถูกเพิกถอนสิทธิจะหารือด้วยหรือไม่ นายดิเรกกล่าวว่า จะไม่คุยเรื่องนี้แล้ว แต่รัฐบาลและนปช.จะคุยกันเอง แต่ตัวแทนคณะกรรมการสมานฉันท์ฯจะทำตามกรอบ 3 กรอบ ที่คณะกรรมการสมานฉันท์ฯเคยมีข้อเสนอไว้เท่านั้น ซึ่งข้อเสนอไม่ว่าจะเป็นกรอบ 1 การปรองดองที่ให้ทุกฝ่ายลดวิวาทะ ลดการใส่ร้าย ไม่สร้างเงื่อนไขใหม่ กรอบ 2 การปฏิรูปใหญ่ทางการเมือง และกรอบ 3 การแก้รัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น เป็นแนวทางปฏิบัติ ที่นายกฯสามารถนำไปใช้ได้ ซึ่งสอดคล้องกับโรดแมป 5 ข้อที่นายกฯเสนออยู่แล้ว

วิปวุฒิ หนุนโรดแมปสร้างความปรองดองในชาติ ของ นายกรัฐมนตรี อ้าง คนส่วนใหญ่เห็นด้วยมากกว่าคัดค้าน แนะใช้ข้อเสนอคณะกรรมการสมานฉันท์ประกอบ

นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ ส.ว.นครศรีธรรมราช และกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) กล่าวถึงการประกาศแผนโรดแมปเพื่อนำไปสู่ความปรองดองของคนในชาติ ของนายกรัฐมนตรีว่า ต้องขอให้กำลังใจนายกฯที่ใช้แนวทางประชาธิปไตย คลี่คลายปัญหาความขัดแย้ง ถึงแม้จะมีคนบางกลุ่มไม่เห็นด้วยและต่อต้าน แต่จากผลสำรวจความเห็นของประชาชนกว่า 60% เห็นด้วย มีเพียง 15% เท่านั้นที่คัดค้าน ถึงแม้จะต้องรับฟังความเห็นทุกฝ่าย แต่เมื่อไม่เหลือทางเลือกอื่นก็ควรเดินหน้าในแนวทางปรองดองต่อ ถือว่าเหมาะสมแล้ว

ผลดีที่เกิดทันทีตามแนวทางนี้ คือหยุดการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับผู้ชุมนุม ความตึงเครียดของผู้คนลดลง และมีความหวังว่าปัญหาชาติจะสงบขึ้น จึงขอนายกฯว่าอย่าทำให้คนส่วนใหญ่ผิดหวัง สำหรับแผนโรดแมปทั้ง 5 ข้อ ส.ว.จำนวนมากพร้อมให้ความร่วมมือ ทั้งการร่วมคิดและร่วมทำในกรอบบทบาทของวุฒิสภา ขอให้นายกฯประสานมายังวิปวุฒิสภาหรือประธานวุฒิสภาได้เลย เพราะท่านก็เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวอยู่แล้ว

นายสิริวัฒน์ กล่าวต่อว่า แต่สิ่งที่นายกฯสามารถทำได้ทันทีคือ นำผลการศึกษาตามแนวทางของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและ ศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เกิดจากความคิดริเริ่มของนายกฯเอง เอาไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น ใน 6 ประเด็น ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 3-4 เดือนก็เสร็จแล้ว

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: มติชนออนไลน์, เว็บไซต์ไทยรัฐ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศอฉ.ส่ง SMS ให้เสื้อแดงยุติชุมนุม-วิทยุสื่อสาร นปช.โดนป่วนอีก

Posted: 05 May 2010 09:49 AM PDT

<!--break-->

5 พ.ค. 53 - มติชนออนไลน์รายงานว่าผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่เวทีชุมนุมสี่แยกรางประสงค์ ได้รับข้อความสั้นผ่านทางโทรศัพท์มือถือ (SMS) จากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นจำนวน 3 ครั้งติดต่อกัน โดยครั้งแรกมีข้อความว่า “รักในหลวง ห่วงประเทศ ช่วยกันสร้างความสามัคคี เพื่อชาติไทย” ส่วนครั้งที่สองมีข้อความว่า “ยุติการชุมนุมเพื่อร่วมถวายเป็นพระราชกุศลในโอกาสมหามงคล” และครั้งที่สามระบุว่า “รัฐบาลพร้อมปรองดองกำหนดเลือกตั้ง14พ.ย.นี้ ได้เวลากลับบ้านแล้ว”

ไอ้แหลมคืนชีพ ป่วนวิทยุสื่อสาร นปช. หลังป่วน พฤษภาทมิฬ-พันธมิตรชุมนุม

ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่าศูนย์วิทยุสื่อสารของการ์ด นปช.ที่ใช้ชื่อว่า CENTER 1 ถูกแทรกสัญญาณจากเสียงของชายที่มีการดัดแปลงโทนเสียงให้เล็กลง(เสียง แหลม)ก่อกวนจนไม่สามารถสื่อสารระหว่างศูนย์วิทยุกับการ์ด นปช.ได้อย่างสะดวก ซึ่งจากการฟังการสนทนาตลอดทั้งวันมีการใช้ถ้อยคำด่าทออย่างต่อเนื่อง โดยเสียงดังกล่าวได้โจมตีการชุมนุมของกลุ่ม นปช.ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์สร้างความเสียหายให้แก่ย่านเศรษฐกิจ การที่มีผู้ก่อการร้ายที่แฝงตัวอยู่ในพื้นที่ชุมนุม รวมถึงมีการกล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองด้วย สร้างความไม่พอใจให้ การ์ด นปช.อย่างมาก

นายอารี ไกรนรา หัวหน้าการ์ด นปช.ได้พยายามสั่งห้ามการ์ดทุกคนตอบโต้ แต่ก็ไม่สามารถห้ามได้เนื่องจากเสียงดังกล่าวทำให้การ์ด นปช.ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ต้องกล่าวตอบโต้กลับทั้งด่ากลับและขอร้องก็ไม่สามารถหยุดยั้งนายเสียงแหลม ได้ ซึ่งสร้างความลำบากในการสื่อสารเป็นอย่างมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกด้วยว่า นายเสียงแหลม(ไอ้แหลม)มักจะแทรกคลื่นความถี่เข้ามารบกวนสัญญาณวิทยุสื่อสาร ในช่วงที่มีสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงหลายครั้ง ตั้งแต่ยุคพฤษภาทมิฬ และการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ จนกระทั่งล่าสุดได้มารบกวนสัญญาณของกลุ่ม นปช.

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วงวิชาการจัดอภิปราย "วิพากษ์ขบวนการล้มเจ้า ฉบับ ศอฉ." ที่นิติ มธ. พรุ่งนี้ (6 พ.ค.)

Posted: 05 May 2010 02:03 AM PDT

<!--break-->

“ในทางวิชาการ เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การที่ความรู้ความเข้าใจของสังคมเกี่ยวกับสถานะและบทบาทหน้าที่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อระบอบการเมืองการปกครองไทยปัจจุบันยังไม่กระจ่างแจ้งและเป็นความรู้ที่หนักแน่นถูกต้องตามหลักการ เป็นสาเหตุสำคัญให้มีการอาศัยสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือทางการเมืองกล่าวหาบุคคลอื่นในความผิดฐานหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างพร่ำเพรื่อไร้เหตุผลในหลายกรณี ปรากฏการณ์เหล่านี้ล้วนทำลายหลักการปกครองของไทยที่มุ่งยกสถานะสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ในที่สูงพ้นจากความขัดแย้งและการต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งในระยะยาวย่อมส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์เสื่อมคุณค่าลงได้”

จันทจิรา เอี่ยมมยุรา หัวหน้าโครงการประกาศนียบัตรบัณฑิตทางกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวไว้ในคำนำของหนังสือ หลากมิติกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดงานสัมมนาวิชาการในหัวข้อเดียวกันเมื่อวันทื่ 21-22 มีนาคม 2552 ในนามของ 4 สถาบันวิชาการอันประกอบด้วย คณะกรรมการโครงการประกาศนียบัตรกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ภาควิชาปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จากวันนั้นถึงวันนี้ปัญหาเรื่องสถาบันกษัตริย์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในฐานะ “ใจกลาง” ของปัญหาสังคมไทยโดยเฉพาะล่าสุด ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้เปิดเผยเอกสาร “ขบวนการล้มเจ้า” ซึ่งเป็นเครือข่ายที่โยงใจบุคคล/องค์กร จำนวนมากมาไว้ด้วยกัน

ในวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม 2553 เวลา 13.00น. ที่ห้องจี๊ด เศรษฐบุตร (แอลที 1) คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ 4 สถาบันวิชาการที่มีรายชื่อข้างต้นนอกจากจะจัดปิดตัวหนังสือ หลากมิติกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภา แล้ว ยังมีรายงานสถานการณ์ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในปัจจุบัน โดย ศรีประภา เพ็ชรมีศรี ศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล หลักจากนั้นอภิปราย "บทวิพากษ์ขบวนการล้มเจ้า ฉบับ ศอฉ." โดยมีวิทยากรประกอบด้วย สาวตรี สุขศรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ปิยบุตร แสงกนกกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , อนุธีร์ เดชเทวพร เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.) ดำเนินรายการโดย พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ประชาไทเปลี่ยนโดเมน "ดอทคอม" เป็น "ดอทเนต" ติดตามข่าวประชาไท ได้ที่เว็บ www.prachatai.net

'วงดนตรี' มาตรการใหม่ของทหารพม่าในการเจรจากับกลุ่มหยุดยิง

Posted: 05 May 2010 01:19 AM PDT

รัฐบาลทหารพม่าใช้มุกใหม่พาศิลปินไปแสดงดนตรี ระหว่างเจรจากลุ่มหยุดยิงเมืองลาให้เปลี่ยนสถานะเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน  - ทหารพม่าเกณฑ์รถยนต์-ม้าต่างในรัฐฉาน คาดใช้ถล่มกลุ่มหยุดยิง - เกิดเหตุทหารพม่า 4 นายข่มขืนนักเรียนในรัฐฉาน

<!--break-->

อดีตทหารพม่ารุมข่มขืนแล้วฆ่านักเรียนอายุ 13 ในรัฐฉาน

(SHAN 5 พ.ค. 53) - สลดอดีตทหารพม่า 4 คน รุมข่มขืนแล้วฆ่าโหดเด็กนักเรียนชั้นปีที่ 7 ใน อำเภอเมืองไหย๋ รัฐฉานภาคเหนือ ขณะไปเลี้ยงควายช่วยพ่อแม่ในช่วงปิดเทอม

มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่ ผ่านมา เกิดเหตุสลดอดีตทหารพม่า 4 คน ร่วมกันรุมข่มขืนแล้วฆ่า ด.ญ.นางยอด (นามสมมติ) อายุ 13 ปี นักเรียนชั้นปถมปีที่ 7 บุตร ของนายติ นางแหลง (นามสมมติ) อยู่ บ้านนายาง ต.ลุกไข่ อำเภอเมืองไหย๋ รัฐฉานภาคเหนือ ขณะไปเลี้ยงควายเพื่อช่วยพ่อแม่ในช่วงปิดเทอม

ทั้งนี้ ก่อนเกิดเหตุทราบว่า อดีตทหารพม่าทั้ง 4 คน เดินทางจากเมืองไหย๋ไปทำงานรับจ้างขุดทรายที่ฝั่ง แม่น้ำลอง ระหว่างนั้นได้พบเห็นด.ญ.นาง ยอด กำลังเลี้ยงควายอยู่เพียงลำพัง จึงเข้าไปร่วมกันจับข่มขืน จากนั้นได้ฆ่าปิดปากแล้วทิ้งศพไว้บนหาดทรายข้างลำน้ำลอง ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านนายางไม่มากนัก

สำหรับอดีตทหารพม่าที่ก่อเหตุทั้ง 4 คน ทราบว่า เป็นอดีตทหารในสังกัดกองพันทหารราบที่ 67 ประจำ เมืองไหย๋ ทราบชื่อ 2 คน คือ นายมิ้นส่วย อายุ 50 ปี และนายทุนเต็ง อายุ 49 ปี ส่วนอีกสองคนไม่ทราบชื่อ

 

พม่าเล่นบทใหม่กล่อมกลุ่มหยุดยิง ใช้ดนตรี-นักร้องช่วย

(SHAN 4 พ.ค. 53) - พม่าเล่นกลยุทธ์ใหม่กล่อมกลุ่มหยุดยิงตั้งหน่วยพิทักษ์ชายแดน นำวงดนตรี-นักร้องแสดงเอาใจ ขณะที่ยังไม่มีเค้ากลุ่มหยุดยิงจะรับข้อเสนอ แม้เส้นตายล่าสุดจะผ่านพ้น

ภาพทหาร "กองกำลังสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตย รัฐฉานตะวันออก" หรือ กลุ่มหยุดยิงเมืองลา (NDAA-ESS) ซึ่งเป็นกองกำลังที่ปกครองเขตปกครองพิเศษที่ 4 หรือเมืองลา รัฐฉานตอนบนติดชายแดนจีน ล่าสุดกลุ่มหยุดยิงเมืองลาถูกกดดันอย่างหนักจากรัฐบาลทหารพม่าให้เปลี่ยนสถานะภาพเป็นหน่วยพิทักษ์ชายแดน (BGF) ซึ่งโครงสร้างนี้เพิ่มอำนาจให้ทหารพม่าควบคุมดูแลกองกำลังชนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้ได้มากขึ้น (แฟ้มภาพ/S.H.A.N.)

 

มีรายงานจากแหล่งข่าวว่า เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ที่ ผ่านมา พล.ต.จ่อเพียว แม่ทัพภาคสามเหลี่ยม มี บก.อยู่ที่เมืองเชียงตุง รัฐฉานภาคตะวันออก พร้อมด้วยผู้ติดตามรวมกว่า 20 คน เดินทางไปยังเมืองลา เมืองหลวงกองกำลังสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตย รัฐฉานตะวันออก หรือ กลุ่มหยุดยิงเมืองลา National Democratic Alliance Army – Eastern Shan State [NDAA-ESS] โดยพบปะหารือกับผู้นำระดับสูงของ กลุ่มหยุดยิงเมืองลา ถึงประเด็นการจัดตั้งหน่วยพิทักษ์ชายแดน แต่ไม่ทราบรายละเอียดจากผลการหารือของทั้งสองฝ่าย

อย่างไรก็ตาม การเดินทางไปพบหารือกลุ่มหยุดยิงเมืองลาครั้งนี้ พล.ต.จ่อเพียว ได้นำคณะนักร้อง นักดนตรี ไปด้วย โดยหลังสองฝ่ายหารือกันแล้วเสร็จ คณะวงดนตรี นักร้อง ได้จัดแสดงให้ประชาชนในเมืองลาได้รับชม เริ่มตั้งแต่หัวค่ำไปจนถึงเวลา 1.00 – 2.00 น. ซึ่งวงดนตรีที่แม่ทัพพม่านำไปจัดแสดง มีนักร้องมีชื่อหลายคน และผู้ชมส่วนใหญ่เป็นแรงงานชาวพม่าที่รับจ้างทำงานทั่วไปอยู่ใน เมืองลา ขณะที่มีทหาร NDAA และประชาชนในเมืองลาเข้าชมไม่มาก นัก อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่ไม่สามารถพูดฟังภาษาพม่าได้

แหล่งข่าวเผยด้วย ว่า ที่แม่ทัพภาคพม่านำวงดนตรี นักร้อง ไปจัดแสดงในเมืองลานี้ เสมือนไปเอาใจประชาชนและเป็นการกล่อมเอาใจทหารกลุ่มหยุดยิง NDAA อีก ทาง หลังกลุ่มหยุดยิง NDAA มีการตกลงกับกลุ่มหยุดยิงว้า UWSA กลุ่มหยุดยิงคะฉิ่น KIA และ กลุ่มหยุดยิงไทใหญ่ SSA-N ในการปกป้องร่วมกันหากถูก ผู้อื่นรุกราน อย่างไรก็ตาม แม้เส้นตายการจัดตั้งหน่วยพิทักษ์ชายแดนที่รัฐบาลทหารพม่ากำหนดไว้วันที่ 28 เม.ย. จะผ่านพ้น แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มหยุดยิงใดแสดงท่าทีตอบรับชัดเจน ขณะที่หลายฝ่ายเชื่อ รัฐบาลทหารพม่าเองคงไม่เสี่ยงใช้กำลังเต็มรูปแบบจัดการกลุ่มหยุดยิง ซึ่งอาจใช้เพียงวิธีกล่อมหรือข่มขู่มากกว่า

 

พม่าบังคับเกณฑ์รถยนต์-ม้าต่างในรัฐฉาน คาดเตรียมบุกกลุ่มหยุดยิง

(SHAN 3 เม.ย. 53) มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 53 พ.อ.จ่อ จ่อหน่าย ผู้บัญชาการกองร้อย 33 ของทหารพม่า ประจำอำเภอเมืองก๋าว รัฐฉานภาคเหนือ ได้เรียกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในหลายตำบล เช่นตำบลเมืองก๋าว ต๋องเฮว เมืองลู และน้ำเลา เข้าพบ โดยสั่งบังคับให้จัดหาม้าต่างอย่างน้อยตำบลละ 1 ตัว พร้อมด้วยรถยนต์ตามที่มีส่งให้ แต่ไม่ได้ชี้แจงว่าจะนำไปใช้เพื่ออะไร

ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวได้สร้างความกังวลใจให้กับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เนื่องจากเกรงจะไม่สามารถจัดหาสิ่งที่ได้รับสั่งให้ได้ โดยเมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา พวกเขาได้พากันไปอ้อนวอนขอร้องพ.อ.จ่อจ่อหน่าย เพื่อไม่ให้จัดหาในสิ่งที่สั่ง โดยให้เหตุผลว่า ในตำบลไม่มีม้าต่าง ส่วนรถรายานยนต์ที่มีก็เป็นของส่วนบุคคล ขณะที่พ.อ.จ่อจ่อหน่าย ไม่ได้พูดอะไร

มีรายงานด้วยว่า กองกำลังอาสาสมัครลาหู่ ประจำเมืองก๋าว ซึ่งเป็นกองกำลังภายใต้การควบคุมของทหารพม่า ร่วมกับทหารพม่าจำนวนหนึ่งออกตระเวนเกณฑ์รถยนต์ของชาวบ้านในหลาย พื้นที่ย่างต่อเนื่อง ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่เปิดเผยว่า ทหารพม่าไม่ได้เกณฑ์ลูกหาบ ม้าต่าง หรือแม้กระทั่งรถยนต์เช่นนี้มานานแล้ว ซึ่งการเกณฑ์ครั้งนี้เชื่อว่า น่าจะนำไปใช้ในการเตรียมโจมตีกลุ่มหยุดยิง โดยเฉพาะกองกำลังไทใหญ่ “เหนือ” SSA-N ที่เคลื่อนไหวในพื้นที่

 

ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/

สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) เป็นสำนักข่าวอิสระจัดตั้งโดยกลุ่มชนไทยใหญ่พลัดถิ่น มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทยใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org

ประชาไทเปลี่ยนโดเมน "ดอทคอม" เป็น "ดอทเนต" ติดตามข่าวประชาไท ได้ที่เว็บ www.prachatai.net

ศอฉ.บล็อคประชาไทอีกครั้ง แต่ยังเข้าได้ที่ www.prachatai1.com

Posted: 05 May 2010 12:50 AM PDT

<!--break-->

 

ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 5 พ.ค. www.prachatai.net ถูกปิดกั้นอีกครั้งโดย ศอฉ. โดย redirect ไปที่ http://58.97.5.29/www.capothai.org ปรากฎข้อความสีแดงบนพื้นขาว "การเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวนี้ ถูกระงับเป็นการชั่วคราว โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน"

อย่างไรก็ตาม ผู้อ่านสามารถอ่านประชาไท ได้ที่ www.prachatai1.com

สำหรับโดเมน www.prachatai.net เป็นโดเมนใหม่ของเว็บไซต์ประชาไท ซึ่งเปิดใช้เมื่อวันที่ 9 เม.ย. หลังจาก www.prachatai.com ซึ่งเป็นโดเมนเดิมถูกปิดกั้นตามคำสั่งที่ลงนามโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.)

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรียกดู www.prachatai.com จะถูก redirect ไปที่ http://58.97.5.29/www.capothai.org/ และปรากฎข้อความ "การเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวนี้ ถูกระงับเป็นการชั่วคราว โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน" เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ประชาไทเป็นโจทก์ฟ้อง นายกฯ-นายสุเทพ-กระทรวงไอซีที ที่ปิดกั้น www.prachatai.com หลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งขอให้มีการไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอความคุ้มครองชั่วคราวยกเลิกการปิดกั้น ซึ่งศาลแพ่งได้ยกฟ้องและพิพากษาโดยไม่มีการเบิกความพยาน ระบุจำเลยทั้งหมดมีอำนาจตามพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ
 

ประชาไทเปลี่ยนโดเมน "ดอทคอม" เป็น "ดอทเนต" ติดตามข่าวประชาไท ได้ที่เว็บ www.prachatai.net

‘เจ้าคุณพิพิธ’ เตือนให้ทุกฝ่ายเสียสละ ไม่มีผู้ชนะ ถึงจะจบ

Posted: 04 May 2010 08:12 PM PDT

<!--break-->

เมื่อเช้าวันที่ 4 พ.ค. 53 ที่ผ่านมา ในรายการเช้าข่าวข้น คนข่าวเช้าทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ได้เชิญ พระราชวิจิตรปฏิภาณ หรือ เจ้าคุณพิพิธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร มาร่วมสนทนาถึงปัญหาทางการเมือง

เจ้าคุณพิพิธ เริ่มประเด็นโดยกล่าวว่า แม้อากาศจะสบายแต่บรรยากาศทางการเมืองไม่สบาย แล้วทำไมจึงไม่หาทางออกให้สบาย อาตมาเห็นว่าทางออกของปัญหามี แต่ไม่มีคนฟัง ไม่มีคนเดินไปทางนั้น ซึ่งเป็นข้อสำคัญ ทางออกสำหรับ นปช. นปช.ต้องรู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงเฉลิมฉลอง 60 ปี พระบรมราชาภิเษก ข้อหาของนปช.คือ การล้มเจ้า แต่ นปช.ก็ยืนยันว่าจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น นปช.ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนเพื่อให้คนทั้งประเทศ คนทั้งโลก เห็นว่า นปช.เป็นผู้จงรักภักดี รัฐบาลจัดงานอย่าไปคิดว่าเป็นรัฐบาลอภิสิทธิ์จัดงาน เป็นรัฐบาลไหนก็ต้องจัดงาน 60 ปีทั้งนั้น

"คืนพื้นที่ กลับบ้านไปร่วมการเฉลิมฉลอง จัดงานกิจกรรมแบบ นปช.ถวายสัตย์ปฏิญาณถึงความจงรักภักดี อย่าไปทำตรงพื้นที่ชุมนุม เพราะบรรยากาศตรงนั้นไม่ใช่บรรยากาศของความจงรักภักดีแล้ว ช่วงเฉลิมฉลองรัฐบาลอย่าเพิ่งดำเนินการกับผู้ชุมนุม ปล่อยช่วงว่างช่วงหนึ่ง แล้วมาคุยกันใหม่ นี่คือทางออก"

เจ้าคุณพิพิธ บอกอีกว่า ถ้า นปช.ไม่เอาทางนี้ ข้อหาล้มเจ้าจะกำเริบขึ้น เพราะคนไทยถือว่าประเทศไทยเป็นประเทศของเจ้า แล้วผลที่สุด คนที่เคยนิยม นปช.ก็จะเปลี่ยนแปลงวิธีคิด นปช.อย่าดื้อรั้นครั้งนี้เป็นโอกาสอันสำคัญ ใครๆ ในโลก ถ้าพูดถึงงานในหลวงแล้วเขาจะเว้นให้ เมื่อเว้นแล้วจะอยู่ตรงนั้นทำไม

"กลับบ้านกลับช่องน่า เมียมีชู้ ผัวมีเมียน้อยไปหมดแล้วน่าลูกเต้าเสียผู้เสียคนหมดแล้ว นึกถึงอย่างนี้บ้าง หัดเห็นแก่ลูกเมีย พ่อแม่ เห็นแก่ประเทศชาติบ้าง อันนี้สำหรับ นปช. รัฐบาลอย่างเพิ่งตามขยี้นะ"

ส่วนทางออกสำหรับรัฐบาล เจ้าคุณพิพิธเห็นว่า อย่าเอาเฉพาะหน้าตัวเอง ในการเจรจา 2 ครั้งที่ผ่านมา อาตมาคิดว่ารัฐบาลคิดผิดที่เลื่อนเวลายุบสภาไกลไป จริงๆ 3 เดือนก็พอ 1.แก้รัฐธรรมนูญก่อนอย่าคิดว่าแก้เพื่อทักษิณ ไปห่วงใยกับคนชื่อทักษิณทำไม "ถ้าพูดอย่างหยาบๆ มันจะทำอะไรได้มากคนชื่อทักษิณเนี่ย แผ่นดินก็ไม่มีจะอยู่ จะไปตามอะไรมากมาย"

เมื่อถามว่า คนตั้งข้อสังเกตว่าปัญหามากมายเกิดจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เจ้าคุณพิพิธกล่าวว่า ไม่ใช่ จริงๆ เริ่มจากทักษิณเข้ามาในฐานะคนรวย ตอนรวย กว่าจะตั้งโทรศัพท์มือถือได้ เสียเงินให้ราชการเท่าไร เสียเงินใต้โต๊ะเท่าไร เดี๋ยวนี้ก็ยังเลี้ยงอดีตทหาร อดีตรัฐมนตรีกี่ร้อยคน ผลประโยชน์ตรงนั้นก่อน เขาตั้งขึ้นมาได้ ถามว่าพรรคการเมืองไหนข้าราชการไหนไม่ขอเงินทักษิณ กลุ่มนักการเมืองไหนไม่ขอเงินทักษิณ นี่หมายถึงสมัยนั้นนะ ทักษิณก็คิดว่า มาเล่นเองดีกว่า คนเก่งเป็นที่มั่นใจ แต่ก็เป็นที่หวั่นใจของคนบางกลุ่มกลุ่มอำนาจเก่าเมื่อหมดศักดิ์ศรีก็คิดกันเท่านั้นเอง ยอมรับข้อนี้ก่อนถ้าไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ก็จะมองมุมผิด ทักษิณก็ซวย ดันไปขายดาวเทียมตอนชะตาตก เขาเรียกว่าสถานการณ์ไม่อำนวย ประกอบกับข้อหาโกงกินมันมีอยู่แล้ว จะล้มทักษิณได้สำหรับคนไทย ต้องเป็นข้อหาล้มราชบัลลังก์

"ถามว่าหน้าตาอย่างคนทักษิณ เกิดมาก็เจอในหลวงแล้ว เขาจะกล้าคิดขนาดนั้นเชียวหรือ แล้วเขาไม่ดูสารรูปตัวเองว่าจะเป็นประธานาธิบดีได้หรือ ใครเป็นคนใส่ข้อหานี้ นี่คือชนวนของการปฏิวัติ ข้อหาไม่จงรักภักดีเป็นข้อหาที่รุนแรงที่สุดสำหรับคนไทย จึงเป็นการสร้างกระบวนการเงื่อนไขของการปฏิวัติ"

พระราชวิจิตรปฏิญาณ กล่าวอีกว่า นี่เป็นจุดอันตรายที่สุด จะเป็นสงครามกลางเมืองที่ใหญ่สุด ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการใส่ข้อหาล้มเจ้าที่เป็นโครงข่ายโยงใยใหญ่ขนาดนี้ รัฐบาลสร้างคอมมิวนิสต์ สมัยเหมา เป็นคอมมิวนิสต์สู้รบนอกเขต แต่ ณ ขณะนี้การใส่ข้อกล่าวหาเป็นการสร้างคอมมิวนิสต์ในตัวเมืองทุกเมือง ถ้ารัฐบาลพิสูจน์ไม่ได้ถือว่ารัฐบาลสร้างชนวนให้ประเทศชาติ ฉะนั้นต้องเร่งพิสูจน์โดยเร็ว

ปัญหาเรื่องเวลาการยุบสภาใน 3 เดือน รัฐบาลไม่ต้องห่วงงบประมาณ เพราะนักการเมืองทุกพรรครู้อยู่แล้วว่าการทำงบประมาณสมัยหน้าเป็นผลประโยชน์ของประเทศหรือของใคร ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญ แก้ 2 มาตราก็จบ แต่นี่สร้างข้อแม้ อยากอยู่ แต่อยู่แล้วได้อะไร นักการเมืองมี 3 ประเภท 1.นักการเมืองเดินได้ทั่วแผ่นดิน 2.นักการเมืองไม่มีแผ่นดินจะเดิน 3.นักการเมืองไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ถ้านายกรัฐมนตรีเดินไม่ได้ทั้งแผ่นดินอย่าเป็น ทักษิณจะกลับมาก็เดินไม่ได้ ก็อย่าทะลึ่งกลับมา แกนนำ นปช.ถึงมาเป็นก็ต้องโดนตี โดนขว้าง โดนดักยิง เป็นทำไม ที่สำคัญคือนักการเมืองไม่มีแผ่นดินจะอยู่

"วันนี้คุณทักษิณอยู่ไหน คุณสนธิ ลิ้มทองกุล อยู่ที่ไหน เห็นไหมไม่มีแผ่นดินจะอยู่พอกัน เพื่อนกัน กินนอนมาด้วยกัน คุยความลับกัน เอามาฉะกัน ฝ่ายที่ไม่ได้พูดก็เสียเปรียบ อย่าว่าแต่นักการเมืองเลย สื่อมาเล่นการเมืองก็ไม่มีแผ่นดินจะเดิน ไม่มีแผ่นดินจะอยู่"

ผู้ดำเนินรายการถามว่า หลายคนเป็นห่วงเรื่องกฎหมาย ขอให้รัฐบาลใช้กฎหมายให้เด็ดขาด พระราชวิจิตรปฏิภาณ กล่าวว่า เขาพูดกันว่า รัฐบาลนี้สองมาตรฐาน นปช.ท้าทายว่าเข้ามาจับสิแต่ถ้าคุณเป็นรัฐบาลเข้ามาจับผม คุณต้องจับพันธมิตรก่อน เพราะไม่มีอะไรเลยที่ นปช.ทำแล้วไม่เลียนแบบพันธมิตร รัฐบาลไม่จัดการความผิดของกลุ่มพันธมิตร ให้เสมอภาคกัน ณ วันนี้เขาลือกันว่ามีมืออื่นมาห้ามไว้ พันธมิตรก็ลอยนวล ความเสียหายที่ปิดสนามบิน ถ้าจัดการพันธมิตรได้ นปช.ต้องยอมและประชาชนจะเห็นความยุติธรรม ส่วนเรื่องปิดสื่อ ทำไมไม่ปิดเอเอสทีวี ที่สำคัญที่สุดมี 2 ข้อหา ที่รัฐบาลต้องคำนึงถึงคือ ข้อหาที่รัฐบาลและพันธมิตรกระทำต่อคุณทักษิณคือข้อหาจาบจ้วงเจ้าและล้มสถาบันแต่ขณะนี้มีอีกข้อหาหนึ่งที่น่ากลัวมาก คือการโหนสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วมาบดขยี้ฝ่ายตรงข้าม อาตมาถามว่าข้อหาไหนหนักหนากว่ากัน

พระราชวิจิตรปฏิภาณ กล่าวอีกว่า นักธุรกิจที่ราชประสงค์เขาไม่กล้าแตะ ปกติรวมตัวกันไปฟ้องศาลเพื่อขอความคุ้มครองให้ออกจากพื้นที่ได้ แต่ขณะนี้เขากลัวกันว่า มันบ้าไปแล้ว จะมีการเผา มีการบุก แต่จบงานนี้เขาฟ้องเรียกค่าเสียหายแน่ ถาม นปช.ว่าจะไปเอาเงินที่ไหนมาชดใช้ ทุกคนจะมีหนี้อีกเป็นพันล้าน รัฐบาลบอกว่าจะเยียวยา จะไปเอาเงินที่ไหนมาใช้ ต้องมีคนฟ้องว่ารัฐบาลทำความเสียหายต่อธุรกิจ รัฐบาลถึงจะไปเอาเงินมาใช้นักธุรกิจ แต่ถามว่าเป็นเงินใคร ก็เงินเรา

ส่วนทางออกของปัญหา พระราชวิจิตรปฏิภาณ กล่าวว่า ถ้าอาตมาเป็นทหาร จะต้องเผชิญใครมาบ้าง คุยกับ นปช. เอาเหตุผล นปช.คุยกับรัฐบาล เอาเหตุผล รัฐบาลไปคุยกับ นปช.และเอาเหตุผล นปช.ไม่คุยกับรัฐบาลอีกรอบหนึ่ง ถ้าคุยแล้วไม่ตกลง ก็ต้องทำเพื่อชาติ เพราะคนเหล่านี้ก็อยู่ได้ 4 ปี แต่ประเทศชาติต้องอยู่นาน ทหารตำรวจต้องเป็นหลัก ต้องเอาคนกลางเป็นหลัก

ฝากบอก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นอดีตนายกฯ ทั้งคู่ ไปรบกวนในหลวงท่านทำไม ทำไมไม่ไปนอก นปช.บอกทักษิณให้หยุด หรือว่าไม่มีศักยภาพที่จะบอกเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคเขายังไม่ฟังก็อย่ามายุ่งกับพระเจ้าอยู่หัวเพราะคุณอ่อนด้อยทางความคิดหรือเปล่า เขาถึงไม่ฟังคุณ

เจ้าคุณพิพิธยังกล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสลายการชุมนุม การฆ่าคนเพียงคนหนึ่ง ตากล้องเป็นพันๆ ทั่วโลก แล้วศพเป็นหมื่นจะขนไปไว้ไหน สมรภูมิก็ไม่เอื้ออำนวย รัฐบาลที่เด็ดขาดคือรัฐบาลที่ใช้กฎหมายอย่างยุติธรรม

"รัฐบาลที่มีคนเชื่อ คือรัฐบาลที่มีบุญคุณต่อประชาชน เช่น รัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่อยู่มา 8 ปี และอีก 10 ปี ต่อมา คนก็ยังเชื่อ พล.อ.เปรม เพราะเป็นรัฐบาลที่มีบุญคุณต่อประชาชน อดีตนายกฯ ทักษิณ เป็นรัฐบาล 6 ปี ก็มีบุญคุณต่อประชาชน แต่รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย ทำไมคนไม่ฟังรัฐบาลนี้ก็เช่นกัน ยังไม่มีบุญคุณต่อประชาชน ถึงใช้ปืน ใช้ระเบิดตายกันเกลื่อนเขาก็ลุกขึ้นมาสู้ ฉะนั้นต้องลดมาคุยกัน ทหารต้องเป็นคนคุย หรือมีคนกลางคุย ต่อรองกัน ประกาศเป็นปฏิญญา จบงานนี้ปิดวิทยุเอเอสทีวี วิทยุเสื้อแดง รัฐบาลต้องไม่กล่าวโจมตี ทำให้บ้านเมืองสงบ และต้องไม่มีใครเป็นผู้ชนะ แต่ต้องมีผู้เสียสละทุกฝ่าย แล้วมันจะจบ”

 

ดูคลิปได้ที่:

http://www.youtube.com/watch?v=zhd2Ft9FNnA

http://www.youtube.com/watch?v=ah8URqwDLA4

http://www.youtube.com/watch?v=nDp2tc4Jm44

ประชาไทเปลี่ยนโดเมน "ดอทคอม" เป็น "ดอทเนต" ติดตามข่าวประชาไท ได้ที่เว็บ www.prachatai.net

หมอตุลย์เปรยเสื้อหลากสี "บ่นปวดหลังตามๆ กัน"

Posted: 04 May 2010 08:03 PM PDT

หลังได้ยินมาร์คประกาศโรดแมป ชี้ 1 ปี 3 เดือนยังทำอะไรไม่สำเร็จดังนั้นแผน 5 เดือน "ท่านจะทำสำเร็จได้อย่างไร" ลั่นไม่ยอมให้นิรโทษกรรมนักการเมือง ยกคำพูด 'มาร์ค' ข่ม 'มาร์ค' ไม่ยอมให้แก้กฎหมายให้คนพ้นผิด เปรยถ้าเสื้อแดงเลิกชุมนุม เสื้อหลากสีจะชุมนุมในห้องประชุมต่อ

<!--break-->

 

หมอตุลย์ไม่มั่นใจโแผนมาร์ค 5 เดือน ในเมื่อ 1 ปี 3 เดือนก็ยังทำอะไรไม่สำเร็จ

เมื่อวานนี้ (4 พ.ค.) ในช่วงข่าวของสถานีโทรทัศน์ ASTV นายเติมศักดิ์ จารุปราณ ผู้ประกาศข่าว ASTV ได้โทรศัพท์สัมภาษณ์ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะกรรมการพลังแผ่นดิน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และแกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี ต่อแผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

โดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ กล่าวว่า เมื่อวาน (3 พ.ค.) ตอนที่นายกรัฐมนตรีสัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่นว่าอาจจะยุบสภาใน 6 เดือน ตนถามคนเสื้อหลากสีว่าเห็นด้วยไหม คนตอบว่าไม่เห็นด้วย เป็นการตอบเมื่อวานก่อนที่นายกรัฐมนตรีเสนอแผนปรองดอง

"โดยในส่วนตัว ทั้ง 5 ข้อที่นายกรัฐมนตรีประกาศเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรทำ และควรทำมานานแล้ว ทีนี้นานแล้วยังทำไม่ได้ ก็ต้องถามว่าทำไมไม่สำเร็จล่ะ แล้ว 5 เดือนที่เหลืออยู่ท่านจะทำสำเร็จได้อย่างไร เราก็กังขาอยู่ ท่านคงต้องประกาศวิธีปฏิบัติว่าคุณจะทำอะไรแล้วเราค่อยบอกว่า 5 เดือนสำเร็จหรือเปล่า ในเมื่อ 1 ปี 3 เดือนยังไม่สำเร็จ" นพ.ตุลย์กล่าว

 

บ่น 'ปวดหลัง' ลั่นไม่ยอมให้ปัดฝุ่นใต้พรม เลือกตั้งเสร็จฝุ่นกระจายเหมือนเดิม

นายเติมศักดิ์ถามว่า คนเสื้อหลากสีขอถามตรงๆ ดูเหมือนถูกหักหลังหรือเปล่า นพ.ตุลย์ ตอบว่า "โอ้ ได้ยินบ่นปวดหลังตามๆ กันเลยนะครับ" นายเติมศักดิ์ ถามต่อว่า มันเหมือนหมกปัญหาไว้ใต้พรมของรัฐบาลหรือเปล่า ยังไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องขบวนการก่อการร้าย ขบวนการล้มเจ้า ขบวนการก่อการร้ายที่จะสร้างรัฐไทยใหม่ แต่จะก้าวข้ามขั้นตอนไปที่การเลือกตั้งใหม่แล้ว

นพ.ตุลย์ ตอบว่า "ดูเหมือนว่าเขาทนไม่ได้กับการที่มีความรุนแรงกับคนเสื้อแดง โดยที่ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ก็เป็นการปัดฝุ่นไว้ใต้พรม เดี๋ยวพอเลือกตั้งเสร็จ สะบัดพรมพรึบ ฝุ่นก็ฟุ้งกระจายทั่วบ้านทั่วเมืองซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้น รัฐบาลคงจะต้องมุ่งมั่นทำหน้าที่ 5 ข้อ คุณทำให้สำเร็จ โดยกำหนดวิธีปฏิบัติ คุณอย่าเพิ่งเอาเงื่อนไขมารัดคอตัวเอง เพราะแบบนี้เหมือนเอามาโม้ว่า 5 เดือนจะทำให้เสร็จ ซึ่งไม่มีทางเลยครับ แล้วเดี๋ยวคุณก็พ้นจากปัญหาไปแล้ว แต่ประชาชนคนไทยต้องอยู่กับปัญหานี้ต่อไป"

 

เปรยถ้าเสื้อแดงเลิกชุมนุม หลากสีจะชุมนุมในห้องประชุมต่อ

นายเติมศักดิ์ ถามว่า ในเมื่อคุณอภิสิทธิ์ ทิ้งประชาชนไปแบบนี้ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสียังยืนยันจะแสดงพลังต่อไปไหม นพ.ตุลย์ ตอบว่า เราได้ประกาศแล้วว่า ถ้าคนเสื้อแดงยุติการชุมนุม เราก็จะยุติการชุมนุมในที่สาธารณะ แต่ส่วนใหญ่จะชุมนุมในห้องประชุมทางวิชาการ และจะขอความเห็นว่าจะมีมติว่าอย่างไร

 

ลั่นถ้ามีแก้ รธน. เพื่อบางคนไม่ใช่ 'ปรองดอง' แต่ถือว่า 'ซูเอี๋ย'

นายเติมศักดิ์ถามว่า ถ้าต่อไปนี้มันมีการสมยอมกันที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องที่พันธมิตรฯ เอง และหมอตุลย์มีท่าทีคัดค้านมาตลอดว่าถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญ ต้องแก้ให้สังคมได้ประโยชน์  ประเทศได้ประโยชน์ ไม่ใช้แก้รัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมหรือนักการเมืองได้ประโยชน์ ถ้าแนวของการปรองดองเป็นไปแนวนี้กลุ่มคนเสื้อหลากสีจะต่อต้านไหมครับ

นพ.ตุลย์ตอบว่า ถ้าเป็นประโยชน์ต่อคนบางคนหรือคนบางกลุ่ม เขาเรียกว่าซูเอี๋ย ไม่ได้เรียกว่าปรองดอง รัฐธรรมนูญเรายืนยันโดยตลอดว่าต้องแก้แล้วประเทศชาติได้ประโยชน์ เช่นกรองคนทุจริตการเลือกตั้งให้หมดไปจากระบบการเลือกตั้ง จากระบบการปกครอง เราเห็นแล้วว่าบ้านเมืองวุ่นวายทุกวันนี้เพราะมีนักการเมืองทุจริตมากเกินไปแล้วครับ ถ้าเราแก้รัฐธรรมนูญแล้วแต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ดีขึ้น เราได้นักการเมืองหน้าเดิมๆ นักการเมืองที่ทุจริตแล้วทุจริตอีก ดีแต่ดิบ เถื่อน ถ่อย ทำงานไม่เป็น หรือไม่ทำงาน ไปขึ้นเวทีเสื้อแดงแบบนี้ เราก็ไม่อยากได้ครับ

 

ยกคำพูดมาร์คข่มมาร์ค ไม่ยอมให้แก้กฎหมายให้คนพ้นผิด

นายเติมศักดิ์ ถามเป็นคำถามสุดท้ายว่า ท่านนายกรัฐมนตรีพยายามยืนยันว่า คดีอาญาไม่นิรโทษกรรม แต่คดีทางการเมืองท่านส่งสัญญาณชัดเจนอาจจะนิรโทษกรรม ซึ่งหมายถึง 111 คน 109 คน หมอตุลย์ว่าอย่างไร นพ.ตุลย์ กล่าวว่า เราไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว แล้ววันหลังใครจะหลากจำ สิ่งนี้ท่านนายกรัฐมนตรีอาจจะลืมคำที่ท่านพูดว่าการแก้กฎหมายเพื่อให้คนพ้นผิดท่านยอมไม่ได้ ผมอยากเตือนความจำท่าน

ที่มา: mms://tv.manager.co.th/videoclip/radio/1026/1026-3660.wma

ประชาไทเปลี่ยนโดเมน "ดอทคอม" เป็น "ดอทเนต" ติดตามข่าวประชาไท ได้ที่เว็บ www.prachatai.net

'พันธมิตรฯ' รับไม่ได้ไอเดียมาร์ค 'ลูกสนธิ' เย้ยเป็น 'เรดแมป' สู่รัฐไทยใหม่

Posted: 04 May 2010 04:21 PM PDT

'พิภพ' ไม่เอานิรโทษกรรมพันธมิตรฯ ลั่นเพื่อรักษานิติรัฐ อัดมาร์คคิดปรองดองทำให้ นปช. ชนะ 'สุริยะใส' ชี้มาร์คข้ามขั้นตอน ต้องจัดการ 'กลุ่มก่อการร้าย' และ 'ขบวนการล้มเจ้า' ก่อนปฏิรูป แย้ม พธม. ประชุม 6 พ.ค. ด้าน 'ลูกสนธิ' อัดมาร์คเป็นนักการเมืองเห็นแก่พรรคการเมืองตนเป็นหลัก ประชาชนเป็นรอง เชื่อจะเล่นงานพันธมิตรฯ ด้วยเพื่อแก้ปัญหาสองมาตรฐาน

<!--break-->

 

พิภพไม่เห็นด้วยนิรโทษกรรมพันธมิตรฯ ขอให้ดำเนินตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อรักษานิติรัฐ

ASTVผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวานนี้ (4 พ.ค.) นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวให้สัมภาษณ์ในรายการสภากาแฟ สภาประชาชนถึงการประกาศโรดแมป 5 ข้อของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยมีประเด็นหลักคือ ยุบสภาก่อนจัดเลือกตั้งใหม่ 14 พ.ย.โดยอ้างว่า เพื่อให้เกิดความปรองดองของคนทั้งชาติเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลใจว่าน่าจะมีนัยแอบแฝง โดยเฉพาะการตั้งธงเรื่องนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แกนนำ นปช.หรือคำสั่งตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปก่อนหน้านี้ รวมกระทั่งมีความพยายามพ่วงการนิรโทษกรรมให้พันธมิตรฯด้วยนั้น ซึ่งเรื่องนี้แกนนำพันธมิตรฯได้ปฏิเสธไปแล้วว่าไม่ขอเกี่ยวข้องและขอให้มี ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมอย่างตรงไปตรงมา เพราะต้องการรักษาหลักนิติรัฐ

 

อัดมาร์คเสนอหลักปรองดองเป็นการทำให้ นปช. ได้รับชัยชนะ

นายพิภพ กล่าวว่า รัฐบาลนี้เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาขบวนการก่อการร้าย หรือขบวนการล้มเจ้าต่อกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งถือว่ากำลังเดินหมากได้เปรียบแต่กลับล้มเหลวในระบบการจัดการหรือใช้กลไก ตามอำนาจรัฐที่มีอยู่ และเมื่อออกมาแสดงความกล้าแต่เขลาด้วยการเสนอหลักปรองดอง ทำให้แกนนำนปช.ได้รับชัยชนะทันที และเชื่อว่าจะต้องเห็นชอบตามข้อเสนอนี้ เพราะจะทำให้สามารถคุมเกมการเมืองและนำไปสู่การได้รับชัยชนะในเลือกตั้ง 14 พ.ย. ต่อไป ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งหน้าจะมีการซื้อสิทธิขายเสียงกันอย่างมโหฬาร และพรรคเพื่อไทยจะกลับมาถือเสียงข้างมากในสภา เพราะมีความพร้อมทั้งกำลังเงินและนโยบายประชานิยมสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน ขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆยังไม่มีหลักประกันว่าจะเข้าเข้าไปหาเสียงหรือเปิด เวทีปราศรัยได้อย่างไร ซึ่งหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น การเมืองก็จะกลับเข้าสู่วังวนเดิมเหมือนสมัยรัฐบาล ทักษิณ สมัคร และ สมชาย ปัญหาความขัดแย้งประชาชนระลอกใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาอีก

รัฐบาลนี้นิ่งดูดาย จากปัญหาการชุมชุมเล็กๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่โต จนทำให้มีคนต้องบาดเจ็บล้มตาย เพราะปัญหาถูกสั่งสมมาตั้งแต่ยุค คมช.รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ วันนี้ นายอภิสิทธิ์ ทิ้งโอกาสปฏิรูปการเมือง กลับไปกำหนดเกณฑ์แก้เกมการเมืองของตัวเอง จึงถือเป็นนักการเมืองที่เห็นแก่ตัว นายพิภพ กล่าวและว่า ส่วนคดีความที่กำลังจะเดินหน้าไปนั้นก็อาจจะสะดุดเมื่อรัฐบาลประกาศวันยุบ สภา เพราะหน่วยงานและข้าราชการจะเกียร์ว่างทันที

 

สุริยะใสติงโรดแมปอภิสิทธิ์ไม่ตรงกับนโยบายที่ประกาศในวันรับตำแหน่งนายกฯ

ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ กล่าวถึงแผนปรองดองแห่งชาติของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่า เป็นเพียงแนวคิดและหลักการกว้างๆ ซึ่งก็ไม่ต่างกับแนวนโยบายของรัฐบาลและคำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีในวันรับตำแหน่งนายกฯ วันแรก ซึ่งผ่านมากว่าปีครึ่ง รัฐบาลก็ยังไม่ได้ทำอะไรเท่าที่ควรตามนโยบายที่แถลงไว้ ฉะนั้น แนวคิดโรดแมป 5 ข้อ จึงยังไม่ใช่เรื่องใหม่

ที่สำคัญ การประกาศโรดแมปครั้งนี้เกิดขึ้นบนสภาวะที่สังคมกำลังถูกคุกคาม จากกลุ่มก่อการร้ายและขบวนการล้มเจ้า ซึ่งรัฐบาลก็เป็นผู้ยืนยันเองว่ามีขบวนการดังกล่าวอยู่จริง และขบวนการดังกล่าวก็เชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมที่ผิดกฎหมายของคน เสื้อแดง แต่รัฐบาลยังไม่สามารถจัดการกับกลุ่มก่อการร้ายและขบวนการล้มเจ้า นอกจากนี้ยังไม่มีหลักประกันให้กับสังคมไทยว่าจะรอดพ้นจากการคุกคามของเครือข่ายดังกล่าว แต่นายกฯ กลับมาชิงเสนอโรดแมปประเทศไทยซึ่งเป็นการก้าวข้ามขั้นตอน และอาจจะเสียโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาล ในการจัดการกับกลุ่มก่อการร้ายและขบวนการล้มเจ้าก่อนไปปฏิรูปประเทศไทย

“ที่สำคัญ กลุ่มก่อการร้าย และขบวนการล้มเจ้า จะยังไม่เลิกเคลื่อนไหวแน่นอน และจะได้โอกาสปรับตัวเพื่อเคลื่อนไหวต่อไป เวทีปรองดองก็จะกลายเป็นเวทีของกลุ่มการเมืองที่นำเอาประเด็นที่เป็น ประโยชน์ส่วนตนเข้ามาเสนอ เช่น การนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลุ่มก่อการร้าย ขบวนการล้มเจ้า แกนนำ นปช.อดีต ส.ส.บ้านเลขที่ 111 การเสนอร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ คปพร.นอกจากนี้ การประกาศวันเลือกตั้งล่วงหน้าไว้จะทำให้พรรคการเมืองหันไปสนใจและ เตรียมการเลือกตั้งมากกว่า ซึ่งจะทำให้อารมณ์ของประชาชนและบรรดาข้าราชการประจำไปจดจ่ออยู่กับผลการ เลือกตั้งและรัฐบาลชุดใหม่ ทำให้แผนปรองดองถูกลดความสำคัญลงในที่สุด และหากหลังเลือกตั้งได้รัฐบาลนอมินิทักษิณหรือรัฐบาลที่ไม่เอาไหน แผนปรองดองก็จะเป็นเพียงของเล่นนักการเมืองเท่านั้น” นายสุริยะใสกล่าว

 

โรดแมปผิดที่ผิดเวลา ยากประสบความสำเร็จ แย้ม พธม.จะประชุม 6 พ.ค.

ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า ฉะนั้น แม้แนวคิดโรดแมปของนายกฯ จะเป็นแนวคิดที่ดีหลายฝ่ายเห็นด้วยก็ตาม แต่มาเสนอผิดที่ผิดทาง ผิดจังหวะและเวลา ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะประสบความสำเร็จได้ ผมไม่เคยปฏิเสธแนวทางปรองดองและสมานฉันท์แต่ถ้าสังคมยังไม่สามารถแยกแยะถูก ผิดได้ กระบวนการปรองดองแห่งชาติก็จะไม่บรรลุจุดมุ่งหมาย จะเป็นเพียงการหาทางลงหรือทางออกให้กับแกนนำม็อบและรัฐบาลอภิสิทธ์เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ทางออกของสังคมไทย ส่วนท่าทีและจุดยืนของพันธมิตรฯ นั้น แกนนำทั้ง 2 รุ่นจะประชุมกันในวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคมนี้ ที่บ้านพระอาทิตย์ โดยจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเวลา 12.00 น.

 

ลูก 'สนธิ ลิ้ม' ติงโรคแมปมาร์คมีเบื้องหลัง เจรจากับทักษิณไว้ก่อนน่าจะจริงเพราะมีการออกมาขานรับ

ASTVผู้จัดการออนไลน์ ยังรายงานด้วยว่า นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเอเอสทีวี-ผู้จัดการ บุตรชายนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ให้สัมภาษณ์นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ทางรายการ “คนในข่าว”ออกอากาศทางเอเอสทีวี เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา ถือการเสนอโรดแมปเพื่อสร้างความปรองดองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่า รู้สึกว่ามีความผิดปกติบางอย่าง แม้จะเป็นการหาทางลงที่สวยหรู แต่มีเบื้องหลังอะไรหรือไม่ และใครจะได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้เหนือความคาดหมาย เพราะโดยคาแรกเตอร์ของนายกฯ และผู้เกี่ยวข้องรวมถึงผู้คุมกำลังก็ดี สามารถคาดเดาได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวลาแก้ปัญหาอะไรจะใช้การเมืองนำ ซึ่งไม่แปลกที่ออกมาเช่นนี้

นายจิตตนาถ กล่าวต่อว่า มีคนรู้จักหลายคนโทรศัพท์มาบอกว่าทำแบบนี้เพื่ออะไร เหมือนเตะฟุตบอลจะชนะอยู่แล้ว อยู่ๆ มาล้มบอล คนจะตั้งคำถามว่าทำไปเพื่ออะไร ภาคธุรกิจบางคนอาจมอบว่าดี หุ้นจะได้ขึ้น ปัญหาที่ราชประสงค์จะได้จบ แต่มันจะจบจริงหรือไม่ ข่าวที่ว่ามีการส่งคนไปเจรจากับคนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรก่อนก็น่าจะเป็นความจริง เพราะฝ่ายนั้นรีบออกมารับกันเป็นแถว ทั้งที่เรื่องแบบนี้ต้องประชุมกันหลายๆ ฝ่ายก่อน

 

เข้าใจว่าอภิสิทธิ์เป็นนักการเมืองเห็นแก่พรรคการเมืองตัวเองเป็นหลัก ประชาชนเป็นรอง

ส่วนจะถือว่า เป็นการหักหลังประชาชนที่สนับสนุนให้ไม่ยุบสภาหรือไม่นั้น นายจิตตนาถ กล่าวว่า ต้องเข้าใจว่านายกฯ เป็นนักการเมือง ต้องแก้ปัญหาแบบการเมือง คือเห็นแก่พรรคและเกมการเมืองของตัวเองเป็นหลัก ส่วนประชาขนนั้นเป็นรอง

นายจิตตนาถกล่าวต่อว่า การที่ นปช.ตอบรับโรดแมปน่าจะเป็นปาหี่ โดยอ้างว่าไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียชีวิตอีก แต่ย้อนกลับไปว่า 1.ใครทำให้เสียชีวิต ใครเป็นคนฆ่า นปช.ด้วยกันเอง หรือทหาร ซึ่งเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายมาจาก นปช. 2.นปช.พูดเหมือนกับว่า ถ้าไม่ยอมรับในหลักการนี้รัฐบาลจะสลายการชุมนุมแน่นอน แต่จับโกหกได้ว่า ก่อน นปช.จะแถลงนั้น นายกฯ บอกว่าถ้า นปช.ไมรับข้อเสนอ ก็จะดำเนินการตามโรดแมปต่อไป แสดงว่าถึงแม้ นปช.จะไม่รับ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นายจิตตนาถระบุว่า การเสนอโรดแมป นายกฯ จะได้ประโยชน์ เพราะเป็นคนมีต้นทุนสูง ไม่อยากได้ชื่อว่ามือเปื้อนเลือด เพราะได้ข้อมูลจากข่าวกรองว่า ถ้าสลายการชุมนุมอาจจะมีการนองเลือด นายกฯ จึงเลือกใช้วิธีการทางการเมือง ถ้าฝ่ายผู้ชุมนุมรับข้อเสนอ ก็ได้ชื่อว่า สลายการชุมนุมเพราะฝีมือนายกฯ และเข้าทาง ผบ.ทบ.และรัฐมนตรีกลาโหม เพราะตัวเองก็ไม่อยากลงมือ อยากจะรอวันเกษียณแบบสลายๆ อยู่แล้ว และอาจร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาลผสมที่มีคนคิดขึ้นในอนาคตได้อีก

 

การนิรโทษกรรมได้ประโยชน์ทุกฝ่าย ประชาชนไม่ได้อะไร

ในส่วนของแกนนำเสื้อแดงไม่มีเหตุที่จะไม่รับ เพราะมีทางลงให้แล้ว แม้ว่าอาจไม่ได้รับประโยชน์ในการนิรโทษกรรม แต่คดีการเมือง ก็มีการนิรโทษได้ ดังนั้นแกนนำอย่างนายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อาจไม่โดนอะไร แต่แกนนำฮาร์ดคอร์ เช่นนายอริสมันต์ แรมโบ้อีสาน หรือนายพายัพ อาจโดน ซึ่งแกนนำต้องการเขี่ยสายฮาร์ดคอร์ออกจากวงโคจรอยู่แล้ว

ขณะที่การนิรโทษกรรมทางการเมืองไม่ได้จบแค่แกนนำเสื้อแดง แต่อาจไปถึงคดีการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ในอนาคต แม้แต่กลุ่มบ้านเลขที่ 111 อาจมีการเจรจาในระดับนี้ มันมีนัย และสมประโยชน์กันทุกฝ่าย คนที่ได้ประโยชน์จากกรณีนี้คือกลุ่มอำนาจทางการเมืองและนักการเมือง ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร

 

กังขา นปช.จะตั้งรัฐไทยใหม่ ก่อการร้าย ล้มสถาบัน ทำไมนายกฯ ต้องไปคุย

นายจิตตนาถกล่าวว่า การเจรจาหรือการทำโรดแมปเป้นแนวทางที่ดีตราบใดที่มีการชุมนุมอย่างสันยติ อหิงสา แต่คำถามคือว่า ความเคลื่อนไหวของ นปช.เลยจุดที่อหิงสา-สันติวิธีหรือยัง มันมีการก่อการร้าย มีความรุนแรงมาจากใคร แม้แต่ ผบ.ทบ.ยังบอกว่าประเมินกลุ่ม นปช.ติดอาวุธต่ำไป แม้แต่ศาลก็ยืนยันว่าแกนนำ นปช.หลายคนเป็นกบฏ จึงอนุมัติหมายจับ ไม่ว่าจะเป็นกรณีการปิดด่าน ปิดโรงพยาบาล เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อสถาปนารัฐไทยใหม่ ล้มสถาบันกษัตริย์ เข้าขั้นผู้ก่อการร้าย ทำไมนายกต้องไปคุยกับคนเหล่านี้ เพราะจุดของการเจรจามันเลยมาเรียบร้อยแล้ว ประโยคที่นายกฯ เคยพูดว่า จะไม่ให้ใครมาข่มขู่เรื่องเวลาการยุบสภาไปไหน นายกฯ กลืนนำลายตัวเองไปแล้ว

ส่วนประชาชนได้อะไรจากโรดแมปนี้ นายจิตตนาถกล่าวว่า ต้องแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มหลากสีที่ออกมาให้กำลังใจนายกฯ ไม่ยอมโดน นปช.กดดันให้ยุบสภา และออกมาเพื่อพิทักษ์สถาบัน แต่การที่นายกฯ เดินตามโรดแมป ยอมยุบสภา จะตอบคำถามคนเสื้อหลากสีอย่างไร พวกเขาเป็นที่พึ่งของนายกฯ ยามที่กลุ่มอำนาจใหม่หรือทหารลอยแพ แต่กลับไปหักหลังประชาชนกลุ่มนี

ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ ประชาชนคนเสื้อแดง ในส่วนที่รักสันติที่มาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความยากจน ที่ดินทำกิน เรื่อง 2 มาตรฐาน แต่การยุบสภาจะแก้ปัญหาเรื่องปากท้อง ที่ดินทำกิน หรือเรื่อง 2 มาตรฐานหรือไม่ ดังนั้นการยุบสภา จึงแก้ปัญหาทางการเมืองอย่างเดียว ประชาชนไม่ได้อะไร คนที่ได้คือไม่กี่คนที่คุยกัน

 

เสนอสลายแนวคิดรัฐไทยใหม่ ขบวนการล้มเจ้า ก่อนประกาศเลือกตั้ง

นายจิตตนาถ เสนอว่า แทนที่นายกฯ จะประกาศว่า 14 พ.ย.คือเลือกตั้ง น่าจะเอาเรื่องหลักๆ มาตั้งธงว่า เรื่องเหล่านี้ควรได้รับการแก้ไขภายในวันดังกล่าว เช่น วันที่ 14 พ.ย. ขบวนล้มเจ้าต้องโดนสืบพยานส่งฟ้องศาล เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม วันที่ 14 พ.ย.ต้องสลายแนวคิดรัฐไทยใหม่ หรือ เรื่องปากท้องของพี่น้องที่มาชุมนุมต้องได้รับการแก้ไข ภายในวันดังกล่าว ซึ่งถ้าวันที่ 14 พ.ย.สามารถทำตามโรดแมปสำเร็จ แล้วค่อยกำหนดวันยุบสภาก็ได้ แต่เมื่อนายกฯ ทำอย่างนี้ก็ไม่ต่างจากรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ที่กำหนดวันเลือกตั้งทั้งที่ตัวเองไม่ได้เปรียบ

นอกจากนี้ การที่นายกฯ บอกว่า จะทำให้เกิดนิติรัฐขึ้นให้ได้ แต่ถ้าข้าราชการไม่สนใจประโยชน์ของบ้านเมือง เขาเห้นว่าอำนาจนายกฯ อยู่แค่เดือนตุลาฯ เมื่อเลือกตั้งเสร็จ พรรคฝั่งตรงข้ามก็จะได้รับเลือกตั้งเข้ามาอย่างท่วมท้น ข้าราชการเหล่านี้ก็จะปล่อยเกียร์ว่าง แม้กระทั่งยังไม่ประกาศวันยุบสภา ตำรวจยังเป็นมะเขือเทศ แต่นี่คือการแก้ปัญหาทางการเมืองเท่านั้น ตอนนี้ ไม่ประชาชขนไม่ได้ทิ้งนายก แต่นายกฯ ทิ้งประชาชนไปเอง

 

ไม่ได้เสนอให้ใช้วิธีนองเลือด แต่สามารถจำกัดพื้นที่ชุมนุม และจับกุมแกนนำได้

ส่วนความกังวลที่ว่าถ้าไม่ทำแบบนี้ บ้านเมืองจะนองเลือด นายจิตตนาถ กล่าวว่า ตนไม่ได้เสนอให้สลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ และไม่จำเป็นต้องสลาย แค่จำกัดเขต คนในออกได้ คนนอกเข้าไม่ได้ และอย่าให้ขยายไป พื้นที่อื่น รวมทั้งต้องหาทางจับกุมแกนนำ และบังคับใช้กฎหมายอย่างแท้จริงก็พอแล้ว แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการตั้งข้อหาพวกที่บุกรพ.จุฬาฯ เลย ทั้งที่มีหลักฐานกล้องวงจรปิด และมีพยานพร้อมให้ปากคำมากมาย และจำนวนผู้ชุมนุมก็ไม่มากแล้ว เมื่อคนทั่วไปทนพฤติกรรมการบุก รพ.จุฬาฯ ไม่ได้

นายจิตตนาถยังได้ตำหนิศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ตั้งขึ้นมาแล้วไม่ได้ทำอะไร แทนที่จะใช้อำนาจที่มีอยู่จับกุมแกนนำ แต่กลับรอเป็นเดือน ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่ต้องตั้งก็ได้ เพราะใช้กระบวนการปกติได้อยู่แล้ว แต่เมื่อตั้งขึ้นมา ก็ยังไปเจรจากับคนที่เป้นผู้ก่อการร้าย ในเมื่อนายกฯ มีอำนาจพิเศษในมืออยู่ถึง 2 เดือนแล้วไม่ทำอะไร อำนาจปกติที่เหลืออีก 5 เดือน ข้าราชการจะเชื่อฟังหรือ และจากนี้ไปนายกฯ ไม่มีโอกาสที่จะแสดงความเข้มแข็งอีกแล้ว เพราะคดีต่างๆ ก็โยให้คนอื่นหมดแล้ว

 

หากเพื่อไทยประชาธิปัตย์จับมือตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง จะเป็นซุปเปอร์หายนะ

นายจิตตนาถกล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่า หลังการเลือกตั้งพรรคที่ได้คะแนนอันดับ 1 และ 2 ซึ่งก็คือเพื่อไทยและประชาธิปัตย์จะจับมือกันตั้งรัฐบาล โดยมีข้อแม้ว่านายจาตุรนต์ ฉายแสง ต้องเป็นนายกฯ ว่า หากเป็นเรื่องจริงก็จะเป็นหายนะของประเทศ ตอนพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็หายนะมาแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้า 2 พรรครวมกันก็เป็นซุปเปอร์หายนะ ที่จริงถ้าตนเป็นพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่ร่วมกับพรรคเพื่อไทย แต่จะเสนอยุบพรรคเพื่อไทย เพราะแนวคิดการตั้งรัฐไทยใหม่และล้มสถาบัน จากการที่คนของพรรคเพื่อไทยไปพูดบนเวทีคนเสื้อแดงหลายคน เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องกลัวพรรคเพื่อไทย

 

เชื่อมาร์คจะเล่นงานพันธมิตรฯ ด้วยเพื่อแก้ปัญหาสองมาตรฐาน ดังนั้นน่าจะเรียก "เรดแมป" ไปสู่รัฐไทยใหม่

นายจิตนาถกล่าวต่อว่า หลังจากนี้รัฐบาลจะหาทางเล่นงานคนเสื้อเหลือง หรือ พันธมิตรฯ ด้วย โดยอ้างว่าเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา 2 มาตรฐาน ประชาชนที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ก็จะเป็นผู้ร้าย เพราะเขาไม่อยากให้มีมวลชนที่ตัวเองคุมไม่ได้ ตอนนี้นายกฯ จะไม่มีประชาขนของตัวเองที่สันบสนุน อาจมีแม่ยกฯ หรือพวก ปชป.จ๋าแค่กลุ่มเดียว

โรดแมปนี้ขอใช้คำว่า “เรดแมป” ไปสู่รัฐไทยใหม่ คนทีแฮปปี้อีกกลุ่ม คือนายเนววิน จะมีการใช้งบประมาณอย่างสนุกสนาน และอ้างความมั่นคงในการย้ายข้าราชการในสังกัด นิติรัฐในมุมมองของนายกฯ จึงเป็นนิติรัฐในมุมมองที่ทำให้ตนเองไม่โดนตดีความแค่นั้น แต่ไม่ได้มีการบังคับใช้กฎหมายแม้แต่นิดเดียว

 

ที่มา: เรียบเรียงจาก ASTVผู้จัดการออนไลน์ [1] [2] [3]

ประชาไทเปลี่ยนโดเมน "ดอทคอม" เป็น "ดอทเนต" ติดตามข่าวประชาไท ได้ที่เว็บ www.prachatai.net

คนงานซับคอนแทรค บ.ยูนิลีเวอร์ ร้อง ก.แรงงาน ถูกนายจ้างเบี้ยวค่าแรง

Posted: 04 May 2010 04:08 PM PDT

<!--break-->

 

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 53 ที่ผ่านมา คนงานกว่า 300 คนจาก 2 บริษัทประกอบด้วย บริษัททองพูล จำเริญ เซอร์วิส จำกัด และบริษัท วงศ์ไพฑูรย์ กรุ๊ป เดินทางมาร้องเรียนที่กระทรวงแรงงาน เพื่อขอความช่วยเหลือหลังถูกนายจ้างเลิกจ้างและไม่จ่ายเงินเดือน โดยในส่วนของคนงานบริษัททองพลู จำนวนกว่า 230 คน ซึ่งเป็นบริษัทซับคอนแทรค ของบริษัท ยูนิลีเวอร์ไทยโฮลดิ้ง จำกัด ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ผลิต ไอครีม ผงซักฟอก และแชมพูยี่ห้อดัง ถูกนายจ้างโอนย้ายให้ไปทำงานกับบริษัทซับคอนแทรคแห่งใหม่ โดยไม่บอกเลิกสัญญาจ้าง

นายยอดยิ่ง แวงวรรณ กรรมการสหภาพแรงงานลูกจ้างเหมาค่าแรง กล่าวว่า สาเหตุที่พนักงานไม่พอใจการโอนย้ายครั้งนี้ เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่ที่มีอายุงานตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป กลับต้องไปเริ่มต้นฐานค่าแรงและสวัสดิการเหมือนเป็นพนักงานใหม่ โดยไม่มีการจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย เมื่อพวกตนไม่ยินยอม นายจ้างจึงไม่ให้เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้เชื่อว่าสาเหตุที่นายจ้างทำเช่นนี้เพราะต้องการล้มล้างสหภาพแรงงาน หลังจากคนงานเพิ่งจะรวมตัวกันตั้งสหภาพได้เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา

ส่วนคนงานบริษัทวงศ์ไพฑูรย์ที่รับผลิตรองเท้ากีฬา ยี่ห้อเคสวิส ตั้งอยู่ย่านบางบอน มีคนงานกว่า 800 คน ได้รับความเดือดร้อน นายจ้างไม่มีงานให้ทำ ไม่จ่ายค่าจ้างและไม่มีการบอกเลิกจ้างกว่า 2 เดือนแล้ว ด้านนายสัญญา ทองไทย เจ้าหน้าที่ควบคุมวัตถุดิบ กล่าวว่า อยากเรียกร้องให้นายจ้าง จ่ายค่าจ้าง และแจ้งความชัดเจนว่าจะมีการปิดกิจการเมื่อใด จะได้ขอรับเงินชดเชยตามกฎหมาย

ด้านนางอัมพร นิติสิริ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวถึงผลการเจรจาว่า จากการเจรจากว่า 3 ชั่วโมง ระหว่างตัวแทนลูกจ้าง ตัวแทนนายจ้าง คือนายจ้างบริษัทวงศ์ไพฑูรย์ จะจ่ายเงินค่าจ้างให้พนักงานรายเดือนงวดเดือนมี.ค.ทันที และบริษัทจะโอนพนักงานรายวันจำนวน 300 คน ไปทำงานกับ บริษัท บางกอกรับเบอร์ จำกัด โดยยังคงอายุงานให้ตามเดิม พร้อมจะจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายให้ภายหลัง อย่างไรก็ตามบริษัทวงศ์ไพฑูรย์ จะมีการนัดประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 พ.ค. นี้ เพื่อเสนอขอให้ผู้ถือหุ้นลงนามให้บริษัทปิดกิจการ ทั้งนี้หากผู้ถือหุ้นยินยอมลงนามให้ปิดกิจการก็จะนัดลูกจ้างมาเจรจาเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างที่จะได้รับในวันที่ 21 พ.ค.นี้ ที่บริษัท เวลา 9.30 น. ส่วนการเจรจาของบริษัททองพูล จำเริญ เซอร์วิส จำกัด นางอัมพร กล่าวว่า ยังไม่ได้ข้อสรุปเนื่องจากฝ่ายนายจ้างผิดข้อตกลงว่าจะบอกเลิกจ้างคนงานตามที่ตกลงไว้ในวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา

 

ที่มา: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ

ประชาไทเปลี่ยนโดเมน "ดอทคอม" เป็น "ดอทเนต" ติดตามข่าวประชาไท ได้ที่เว็บ www.prachatai.net

อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน

Posted: 04 May 2010 02:18 PM PDT

โสภณ พรโชคชัย เขียนบทความ กรณีที่รัฐบาลระบุว่ามีคนคิดจ้องล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงที่กำลังมีการต่อสู้ทางการเมือง โดยเตือนว่า “สำหรับผู้ที่ศรัทธารัฐบาลก็คงไม่คิดมากอะไร แต่สำหรับฝ่ายตรงข้าม คนกลางๆ หรือประชาคมโลก อาจคิดเป็นอื่นว่ารัฐบาลพยายามเบี่ยงเบนและใช้ข้อหาเหล่านี้เป็นอาวุธในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามเพื่อรักษาอำนาจทางการเมือง”

<!--break-->

การที่รัฐบาลออกมาระบุว่ามีคนคิดจ้องล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงที่กำลังมีการต่อสู้ทางการเมืองอย่างเข้มข้นระหว่างนักการเมืองสองฝ่ายคือฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายตรงข้ามนั้น สำหรับผู้ที่ศรัทธารัฐบาลก็คงไม่คิดมากอะไร แต่สำหรับฝ่ายตรงข้าม คนกลาง ๆ หรือประชาคมโลก อาจคิดเป็นอื่นว่ารัฐบาลพยายามเบี่ยงเบนและใช้ข้อหาเหล่านี้เป็นอาวุธในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามเพื่อรักษาอำนาจทางการเมือง

ก่อนหน้าการชุมนุมประท้วง รัฐบาลก็ไม่เคยระบุว่ามีขบวนการล้มล้างสถาบัน แต่พอการชุมนุมดำเนินมาถึงจุดสำคัญ รัฐบาลก็ประกาศออกมาเช่นนี้ ในแง่หนึ่งอาจดูคล้ายเป็นความบังเอิญ แต่ประชาคมโลก คงไม่มองเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นในฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลก็ได้แสดงการหมิ่นต่างกรรมต่างวาระ แต่รัฐบาลก็ไม่เคยจับกุม

รัฐบาลพึงระมัดระวังเรื่องภาพพจน์ เพราะที่ผ่านมาได้ปิดสื่อหลายแขนงโดยอ้างข้อหาต่าง ๆ ทั้งที่ในช่วงเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็ยังไม่เคยทำเช่นนี้ นานาชาติอาจมองไทยติดลบ ทำให้ไทยถูกจัดอันดับเครดิตต่ำลง ส่งผลต่อธุรกิจโดยรวม ยิ่งรัฐบาลไปบริหารราชการแผ่นดินอยู่ในค่ายทหาร ยิ่งทำให้ชาวบ้านเข้าใจได้ว่า หากไม่ได้รับการหนุนหลังจากทหาร รัฐบาลนี้ก็คงอยู่ไม่ได้

การสาดโคลนกันทางการเมืองนั้น จะส่งผลเสียหายต่อประเทศ 3 ประการ คือ ประการแรกเป็นการสร้างบรรยากาศการเกลียดชัง และหวาดระแวงกันในหมู่คนไทยด้วยกันเอง ประการที่สอง เป็นการทำลายระบบตุลาการของชาติ ถ้ามีผู้คิดร้ายต่อสถาบัน รัฐบาลต้องทำสำนวนให้รัดกุมและสั่งฟ้องศาลให้มีคำพิพากษาโดยเร็วที่สุด ไม่ใช่ใช้อำนาจพิเศษ และประการที่สามเป็นการทำให้สถาบันมัวหมองเพราะถูกนำไปใช้ในทางการเมือง

สถาบันของเรามั่นคง อยู่ยั้งยืนยงเพราะคนไทยรักในหลวง ในสังคมอาจมีคนเห็นต่างบ้าง แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังมีคนเกลียด ทองรูปพรรณก็ยังไม่สามารถใช้ทองทั้ง 100% ทำขึ้นได้ คนไทยส่วนใหญ่ยอมพลีชีพเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ถ้ามียกเว้นก็คงไม่ใช่ตาสีตาสา แต่เป็นคนรวย ๆ ที่มีสมบัติพัสถานมากมายต่างหากที่อาจไม่ยอมเสียสละ

ทั้งประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์โลกต่างชี้ให้เห็นว่า สถาบันมักไม่เคยถูกล้มล้างโดยคนนอก แต่เป็นเพราะคนใกล้ชิดในลักษณะ “สนิมเกิดแต่เนื้อในตน” มากกว่า แต่โดยที่ในหลวงของเราทรงไว้ซึ่งทศพิศราชธรรม ให้ความเป็นธรรมและเป็นที่พึ่งแก่ทุกฝ่าย สถาบันที่เราเทิดทูนนี้จึงไม่อาจถูกใครมาทำลายได้ สิ่งที่เราคนไทยพึงระวังเพื่อปกป้องสถาบัน จึงไม่ใช่คนภายนอกแต่อย่างใด

การจาบจ้วงสถาบันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและต้องถูกลงโทษ ในขณะเดียวกัน การผูกขาดและอ้างความจงรักภักดีมาทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ก็เป็นอาชญากรรมเช่นกัน ต่อไปนี้ไม่ว่าฝ่ายใดก็ต้องไม่ดึงสถาบันมาทำลายล้างทางการเมืองหรือมารักษาอำนาจของฝ่ายตน การต่อสู้ทางการเมืองต้องไม่ใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นประเทศจะเข้าสู่ทางตัน และนำไปสู่ความวิบัติในที่สุด

การทำงานทางการเมืองต้องไม่ “ดึงฟ้าทำ ทำหินแตก แยกแผ่นดิน” ถ้าเราทำการเมืองให้สะอาดได้เช่นนี้ ประเทศไทยก็ไปต่อได้

เราคนไทยมาร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีกันเถิด:

“ข้าวรพุทธเจ้า เอามโนและศิระกราน
นบพระภูมิบาล บุญญดิเรก
เอกบรมจักริน พระสยามินทร์
พระยศยิ่งยง เย็นศิระเพราะพระบริบาล
ผลพระคุณ ธ รักษา ปวงประชาเป็นสุขศานต์
ขอบันดาล ธ ประสงค์ใด
จงสฤษฏ์ดัง หวังวรหฤทัย
ดุจจะถวายชัย ชโย”

ประชาไทเปลี่ยนโดเมน "ดอทคอม" เป็น "ดอทเนต" ติดตามข่าวประชาไท ได้ที่เว็บ www.prachatai.net

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น