โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai.info

ประชาไท | Prachatai.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

การใช้กลไกของรัฐในการเผยแผ่ศีลธรรมทางศาสนา

Posted: 13 May 2010 01:39 PM PDT

<!--break-->

ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ สิ่งที่พิสูจน์ความจริงข้อนี้อาจมองได้ 2 ระดับ คือ 

1) ข้อเท็จจริงทางชีววิทยาที่ระบุว่ามนุษย์เรามีสมอง 2 ซีก สมองซีกซ้ายคิดเรื่องตรรกะเหตุผล ความจริง เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสองซีกขวาทำหน้าที่จินตนาการ ซาบซึ้งและสร้างสรรค์ความงาม ความดี เช่น ศิลปะ ศาสนา ศีลธรรม

2) ความจริงเชิงปรัชญา (และศาสนา) ที่ว่ามนุษย์นั้นประกอบด้วยกายกับจิต หรือในการดำรงอยู่ของมนุษย์นั้น มนุษย์มีกิจกรรมที่ต้องทำเพื่อตอบสนองความต้องการสองด้านหลักๆ คือความต้องการทางกายภาพ (ที่ขยายออกเป็นความต้องการทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และอื่นๆ) และความต้องการทางจิตวิญญาณ เช่น ความพ้นทุกข์ ความสงบ การหยุดความดิ้นรนภายใน

ฉะนั้น สมองซีกขวากับความต้องการทางจิตวิญญาณอันเป็นธรรมชาติทางชีววิทยาและธรรมชาติทางจิตใจของมนุษย์ คือบ่อเกิดของศาสนาและศีลธรรม (ทางศาสนาและในความหมายที่กว้างกว่าศีลธรรมทางศาสนาด้วย) จึงกล่าวอย่างถึงที่สุดได้ว่า ศาสนาและศีลธรรมเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ หากตัดศาสนาและศีลธรรมออกไปจากชีวิตเท่ากับมนุษย์จงใจที่จะตัดธรรมชาติอีกด้านหนึ่งของชีวิต (อันเป็นด้านที่ดีงาม) ออกไป ชีวิตที่เหลืออยู่เพียงเพื่อตอบสนองความต้องการด้านกายภาพย่อมเป็นชีวิตที่ขาดวิ่น ไม่อาจประเมินค่าในเชิงความดีงามใดๆได้

เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษย์จึงต้องมีศาสนาและศีลธรรม และเมื่อมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ใน “สังคมการเมือง” ศาสนาและศีลธรรมจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมการเมืองไปด้วย และเมื่อสังคมการเมืองพัฒนามาสู่ความเป็น “รัฐ” ศาสนาและศีลธรรมก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ และมีการใช้กลไกของรัฐในการเผยแพร่ ปลูกฝังความเชื่อ และศีลธรรมทางศาสนา

การใช้กลไกของรัฐในการเผยแผ่และปลูกฝังความเชื่อและศีลธรรมทางศาสนาในแต่ละรัฐและแต่ละยุคสมัยอาจแตกต่างกันไป บางรัฐที่เป็น “รัฐศาสนา” (เช่น รัฐอิสลาม) ก็สามารถใช้กลไกของรัฐทุกระดับในการเผยแผ่และปลูกฝังศีลธรรม ตั้งแต่การออกกฎหมาย นโยบายและการจัดการศึกษา หรือแนวทางการพัฒนาประเทศโดยทั่วไปจะต้องเป็นไปเพื่อส่งเสริมหรือไม่ทำลายหลักความเชื่อและศีลธรรมทางศาสนาแห่งรัฐ

ในบางยุคศาสนาใช้แม้กระทั่งกองทัพในการเผยแผ่คำสอน เช่น กองทัพล่าอาณานิคมก็อาจนำศาสนาเข้าไปเผยแผ่ด้วย เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนา (หรือนิกายศาสนา) ก็มีการใช้กองทัพเพื่อต่อสู้เอาชนะฝ่ายตรงข้าม หรือปกป้องศาสนาของฝ่ายตน

รัฐไทย (ทั้งรัฐสมัยโบราณและรัฐสมัยใหม่) ตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์จนปัจจุบันก็มีการใช้กลไกของรัฐในการเผยแผ่พุทธศาสนามาตลอด (ต่างกันเพียงรายละเอียดและระดับความเข้มข้น) เช่น การที่พ่อขุนรามคำแหงแสดงธรรมแก่ข้าราชบริพาร การปลูกฝังโลกทัศน์และศีลธรรมแบบ “ไตรภูมิ” ของพญาลิไท การใช้กลไกของรัฐในการขยายการจัดการศึกษาแบบคณะสงฆ์ส่วนกลางไปสู่ภูมิภาค สมัย ร.5 เทศนา “เสือป่า” และการปลูกฝังอุดมการณ์ “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” สมัย ร.6 (ที่ยังมีอิทธิพลมาถึงยุครัฐประชาธิปไตยในปัจจุบัน)

ย้อนไปสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเองก็น่าจะมีการใช้กลไกของรัฐในการเผยแผ่พุทธธรรมด้วยเช่นกัน เช่น ในช่วงแรกเริ่มของการเผยแผ่พุทธธรรม พระองค์เลือกที่จะไปพบพระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์แห่งมคธรัฐ (หนึ่งในรัฐมหาอำนาจในเวลานั้น) ที่เป็นพระสหายเก่า ฉากในคัมภีร์พุทธประวัติบรรยายว่า พระองค์แสดงธรรมแก่กษัตริย์ที่แวดล้อมด้วยบรรดาขุนนางบริวารและชาวเมืองจำนวนมาก เมื่อจบการแสดงธรรม กษัตริย์ บริวารและชาวเมืองจำนวนมากเกิดความเลื่อมใสประกาศตัวนับถือพระรัตนตรัย แล้วกษัตริย์ก็ถวายที่ดินให้เป็นวัดแห่งแรกในพุทธศาสนาชื่อ “เวุฬุวนาราม”

จากนั้นการเผยแผ่พุทธธรรมของพระพุทธองค์ก็ดูเหมือนจะได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากรัฐมหาอำนาจ 2 รัฐ คือ มคธ และโกศล และยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า การที่กษัตริย์จะขอคำปรึกษา “ทางการเมือง” กับพระพุทธเจ้านั้น ก็ดูเหมือน (กษัตริย์จะเชื่อว่า) เป็นเรื่องที่กระทำได้อย่างไม่ผิด เช่น แม้กระทั่งการทำศึกสงคราม พระเจ้าอชาตศัตรูก็ยังส่งปุโรหิต (ที่ปรึกษา) ไปขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า (แต่พระองค์ไม่ได้บอกวิธีการทำสงครามให้ชนะ เพียงแต่เล่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจุดแข็งทางศีลธรรมของฝ่ายตรงกันข้าม ทำให้ที่ปรึกษากษัตริย์นำเรื่องที่พระพุทธเจ้าเล่านั้นไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนในการทำสงครามจนประสบชัยชนะ)

นอกจากนี้กระบวนการเผยแผ่หลักปรัชญา ความเชื่อ และศีลธรรม ของพระพุทธเจ้า ในบางด้านก็อาจมองได้ว่าเป็นกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมการเมืองแบบหนึ่งที่พยายามหาทางออกจากปัญหาความเหลื่อมล้ำของสังคมยุคนั้น เช่น การปฏิเสธระบบชนชั้น การตั้งชุมชนสงฆ์ ที่กำหนดรูปแบบในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันว่า ทุกคนเสมอภาคกันตามกติกาพระธรรมวินัยไม่ว่าใครจะมาจากชนชั้นไหนก็ตาม การก่อตั้งสังคมชาวพุทธที่เรียกว่า “พุทธบริษัท 4” ที่ให้สิทธิแก่สตรีในการศึกษาและปฏิบัติธรรม และอนุญาตให้สตรีบวชได้ (ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้ามากสำหรับสังคมเมื่อกว่าสองพันปีก่อน ที่สังคมศาสนาพราหมณ์ในยุคเดียวกันยึดถือระบบชนชั้นอย่างเคร่งครัด และปฏิเสธสิทธิสตรีแม้แต่การท่องจำหรือเรียนคัมภีร์ทางศาสนา)

ฉะนั้น การที่สังคมไทยปัจจุบัน พยายามที่จะสร้างความเชื่อว่า พุทธศาสนาให้คำตอบเฉพาะเรื่องทางธรรม ไม่เกี่ยวกับทางโลก หรือพุทธศาสนาและพระสงฆ์อยู่เหนือการเมือง อยู่เหนือปัญหาทางโลก จึงน่าจะไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ทั้งประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในสังคมไทย และประวัติศาสตร์พุทธศาสนายุคพุทธกาล

อย่างไรก็ตาม ถึงจะยอมรับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว แต่ปัจจุบันสังคมไทยอยู่ในยุคของ “รัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่” ที่ยึดหลักความเสมอภาคทางศาสนา และเคารพเสรีภาพในการนับถือศาสนา นิกายศาสนา การปฏิบัติพิธีกรรมและศีลธรรมทางศาสนา ซึ่งหมายความว่ารัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่เป็นรัฐที่ยอมรับ และให้หลักประกันความหลากหลายทางศาสนา ความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม ฯลฯ

ฉะนั้น การใช้กลไกของรัฐในการเผยแผ่ศาสนา จึงต้องเผชิญกับคำถามพื้นฐานของรัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่ อย่างน้อย 3 ประการ คือ

1. กระทบต่อหลักความเสมอภาคทางศาสนา และสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือไม่

2. เป็นการใช้กลไกของรัฐเป็นเครื่องมือขยายการครอบงำทางความเชื่อของศาสนา นิกายศาสนา หรือลัทธิพิธีกรรมในแบบใดแบหนึ่งโดยเฉพาะ ที่อาจส่งผลให้เกิดการลดทอนความหลากหลายทางปรัชญา ความเชื่อ ค่านิยม ประเพณี วิถีชีวิตทางศาสนาที่มีอยู่แล้ว และความหลากหลายนั้นก็ทำหน้าที่ทางศีลธรรมตอบสนองต่อความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรมตามที่เป็นอยู่แล้วหรือไม่

3. การใช้กลไกของรัฐดังกล่าว หากมีการใช้งบประมาณของรัฐซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชนจากทุกศาสนา จะทำให้เกิดปัญหาเรื่อง “ความยุติธรรม” หรือไม่

ผู้เขียนคิดว่า กรณีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ สมาคมพุทธศาสตร์สากล ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระมหามังคลาจารย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัดพระธรรมกาย ถือเป็นการใช้กลไกของรัฐ (รัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่) ในการเผยแผ่ศีลธรรมทางศาสนา จึงนอกจากอาจต้องตอบข้อคัดค้าน (เชิงตรวจสอบ) ของปัญญาชน และเอ็นจีโอจำนวนหนึ่งที่ออกมาคัดค้านเรื่องนี้แล้ว ยังต้องเผชิญกับคำถามทั้ง 3 ข้อดังกล่าวด้วย

แม้ผู้เขียนจะไม่เห็นด้วยกับทัศนะที่แยกเรื่องศาสนาให้เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลโดยสิ้นเชิง และเห็นว่าศาสนาทั้งมีมิติและควรมีบทบาททางสังคมการเมืองอย่างเอื้อต่อสันติวิธี และสันติภาพในการอยู่ร่วมกันอย่างเหมาะสมกับบริบทของยุคสมัยด้วย แต่ก็เห็นว่าการใช้กลไกของรัฐในการเผยแผ่ศีลธรรมทางศาสนา มีความจำเป็นต้องตอบคำถามพื้นฐานของรัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่ดังกล่าวให้ได้ด้วย

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ลูก เสธ.แดง ไม่ยื้อพ่อหากหมดหวัง - มะกันฟันธงยิงโชว์แกนนำ

Posted: 13 May 2010 01:29 PM PDT

ย้าย "เสธ.แดง" รักษาที่วชิระ ลูกสาวชี้หากหมดหวัง ไม่ขอยื้อชีวิตพ่อ ที่ปรึกษากลาโหมสหรัฐฟันธงยิง เสธ.แดง โชว์แกนนำ – ด้านดีเอสไอ ขออายัดตัวแม้โคม่า ‘ทักษิณ’ ทวิตประณามรัฐ

<!--break-->

ทหารยิงกระสุนยางไล่ม็อบ หลังระดมคนปิดทางไม่ให้เจ้าหน้าที่ออกจากสวนลุมพินี
ทีวีไทยรายงานว่า บริเวณแยกสวนลุมพินี เมื่อเวลา 20.40 น.มีการกระทบกระทั่งกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับกลุ่มผู้ชุมนุม หลังจากที่ผู้ชุมนุมนำกรวยสีส้มที่เจ้าหน้าที่นำมาปิดเส้นทางการจราจรออก เพื่อเปิดเส้นทางให้ประชาชนสัญจรไปมา พร้อมกับนำกระถางต้นไม้มาขวางประตูทางออกสวนลุมพินี และผลักดันเจ้าหน้าที่ทหารไม่ให้ออกมาจากสวนลุมพินี

หลังจากนั้นไม่นานได้มีเสียงปืนดังติดต่อกันหลายนัด โดยเจ้าหน้าที่ได้ยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุม ทำให้มีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บหลาย มีรายหนึ่งถูกยิงด้วยกระสุนยางเข้าที่ต้นคอ ผู้ชุมนุมได้นำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว

เวทีประกาศขอรับบริจาคเลือด กรุ๊ป AB ช่วยเสธ.แดง
เวลา 20.50 น.พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) เดินทางไปที่โรงพยาบาลหัวเฉียว ซึ่งมีผุ้ชุมนุมรอรับทราบอาการของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกที่ถูกยิงในช่วงค่ำ

ผู้สือข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนหน้าการเดินทางมาถึงของ ผบช.น.และผบก.น.1 เพียงเล็กน้อย มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจปราบจราจลจำนวนหนึ่งเข้ามาบริเวณโรงพยาบาลและได้เกิดการปะทะคารมกับผุ้ชุมนุม จนเกือบเกิดการปะทะ ทั้งนี้ ผู้ชุมุนได้ร้องขอให้ทางเจ้าหน้าที่ออกห่างจากบริเวณดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ยินยอมโดยออกไปตั้งจุดตรวจอยู่บริเวณหน้าโรงพยาบาล

พล.ต.ท.สัณฐานและพล.ต.ต.วิชัยได้เดินทางเข้าไปในอาคารโรงพยาบาลและขึ้นลิฟท์ไป ขณะที่หน้าโรงพยาบาลมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 1 กองร้อย และ ตำรวจปจ.1กองร้อย ทหารจำนวน 10 นายและหน่วยอรินทราช 5 คน สังเกตุการอยู่หน้า รพ.เพื่อดูแลความเรียบร้อย

ส่วนเวทีที่ราชประสงค์มีการประกาศขอรับบริจาคเลือด กรุ๊ป AB ที่โรงพยาบาลหัวเฉียว เพื่อใช้ในการผ่าตัดเสธ.แดง และมีการเปิดรับบริจาคหลังเวที

ทั้งนี้ เหตุการณ์ความวุ่นวายครั้งนี้ เบื้องต้นมีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 22 คน โดยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหัวเฉียว 20 คน โรงพยาบาลตำรวจ 1 คน โรงพยาบาลจุฬาฯ 1 คน แต่ยังไม่มีรายงานความคืบหน้าจากหน่วยงานรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ 

ย้าย "เสธ.แดง" รักษาที่วชิระ
เมื่อเวลา 23.00 น.พ.ค.นพ.เพชรพงษ์ กำจรกิจการ ผู้อำนวยการศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์ฉุกเฉิน กทม.เปิดเผยว่า จะทำการย้าย พล.ต.ขัตติยะไปยังวชิระพยาบาล เพื่อทำการรักษาต่อไป ทั้งนี้ แพทย์ของวชิระพยาบาลจะทำการพิจารณาเพื่อรักษาอาการเนื้อสมองตาย เนื้อสมองบวมของ พล.ต.ขัตติยะ

เวลา 23.45 น. คณะแพทย์โรงพยาบาลหัวเฉียว ได้นำตัว พล.ต.ขัตติยะ ส่งไปรักษาตัวที่วิชรพยาบาล โดยขนย้ายผู้ป่วยออกทางด้านหลังของอาคารรักษา โดย นพ.ชัยวัน เจริญโชคทวี ผอ.วชิรพยาบาล เดินทางมารับตัวผู้ป่วยด้วยตนเอง

ด้าน น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาวพล.ต.ขัตติยะ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางสถานีสปริงนิวส์ ถึงอาการบาดเจ็บของ พล.ต.ขัตติยะ ว่า อาการค่อนข้างสาหัส และหากไม่ไหวจริงๆ คงต้องตัดสินใจกันอีกทีว่าจะยื้อต่อไปหรือไม่

ข่าวแจ้งว่าการย้าย พล.ต.ขัตติยะ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลวชิระ เนื่องจากอุปกรณ์การแพทย์ในการช่วยชีวิตเร่งด่วน แม้ว่าแพทย์จะประเมินอาการแล้วว่า พล.ต.ขัตติยะ มอาการสาหัส จากเนื้อสมองที่ถูกกระสุนยิงเข้าไปทำลาย ทั้งนี้ เหตุผลในการย้ายโรงพยาบาล คนใกล้ชิด พล.ต.ขัตติยะ อ้างว่า เพื่อความปลอดภัยและให้คณะแพทย์ได้รักษาอาการเสธแดงอย่างใกล้ชิด

ก่อนหน้านี้ เวลา 23.30 น.มีการเคลื่อนไหวของกองกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้สนธิกำลังเพื่อดูแลพื้นที่โรงพยาบาลหัวเฉียว ได้เคลื่อนย้ายกำลังพล โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนย้าย พล.ต.ขัตติยะ ไปโรงพยาบาลวชิระกองกำลังทหารและตำรวจก็ได้ถอนตัวออกไปเหลือเพียงเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเวลาประมาณ 22.20 น.บริเวณหน้าโรงพยาบาลหัวเฉียว มีคนจำนวนมากทะยอยกันมา เพื่อให้กำลังใจเสธแดงจนเกิดเหตุชุลมุน ทั้งนี้ได้มีการตั้งด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร โดยทหารได้ตรวจค้นรถยนต์ที่วิ่งผ่านหน้าโรงพยาบาลอย่างเข้มงวด อ้างว่าเพื่อป้องกันคนร้ายที่อาจแฝงตัวเข้ามา เป็นเหตุให้ผู้ขับขี่รถยนต์ไม่พอใจและมีปากเสียงกันช่วงหนึ่ง ทำให้ทหารนายหนึ่งยิงปืนขึ้นฟ้า ทำให้ผู้คนที่อยู่หน้าโรงพยาบาลหัวเฉียวและย่านใกล้เคียงต่างตกใจพากันหลบเพื่อความปลอดภัย

รอยเตอร์ฟันธง แผนเด็ดหัว หลังยิงเสธ.แดง
เว็บไซต์ไทยรัฐ รายงานอ้างสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่เผยแพร่คำกล่าวของนายแอนโธนี เดวิีส์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำวารสารด้านกลาโหม "ไอเอชเอส-เจน’ส" ระบุว่า เหตุการณ์ที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ถูกยิง เป็นความพยายามที่เห็นได้ชัดว่า มุ่งกำจัดผู้นำฝ่ายทหารของกลุ่มคนเสื้อแดง และถือเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด เพื่อสร้างความสับสนในแกนนำฝ่ายทหารและส่งสารถึงแกนนำอื่นๆ ของฝ่ายเสื้อแดงให้ทราบว่า ถ้าไม่ต้องการเจรจาและยุติการชุมนุม ก็จะเผชิญผลลัพธ์ร้ายแรง

ขณะที่สำนักข่าวเอพี ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ พล.ต.ขัตติยะ  ซึ่งมีขึ้นประมาณ 90 นาทีก่อนถูกยิง โดย พล.ต.ขัตติยะ  คาดว่าจะมีการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในเร็วๆ นี้ โดยอาจเป็นช่วงค่ำของวันที่ 13 พ.ค. หรือช่วงเช้าตรู่วันที่ 14 พ.ค.  นอกจากนี้กล่าวหากลุ่มแกนนำคนเสื้อแดง รับสินบนจากรัฐบาลเพื่อให้ยอมรับแผนสมานฉันท์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แต่เมื่อตัวเขาเข้ามาแล้วและจะกลายเป็นคนสำคัญทันที โดย ณ เวลานี้ กองทัพประชาชนจะต่อสู่กับกองทัพ โดยไม่จำเป็นต้องสอนวิธีการต่อสู่ เพราะจะเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีรูปแบบหรือแผนการ กลุ่มคนเสื้อแดงจะต่อสู้ด้วยกลยุทธ์ของตัวเอง

ส่วนที่มาที่ไปของคนลงมือยิง พล.ต.ขัตติยะ นั้น คนสนิทที่ไม่เปิดเผยชื่อคนหนึ่งของ พล.ต.ขัตติยะ อ้างว่า พล.ต.ขัตติยะ ถูกยิงโดยสไนเปอร์ หรือพลแม่นปืน แต่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไหนยืนยันในเรื่องนี้ 

เที่ยงคืน บึมหน้า รร.ดุสิตฯ -รพ.จุฬาฯประกาศปิด 14 พ.ค.
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อเวลา 00.02 น. 14 พ.ค. เกิดเสียงดังคล้ายระเบิดขึ้นบริเวณลาดจอดรถโรงแรมดุสิตธานี 1 ครั้ง จากนั้นได้มีการตอบโต้กันด้วยปืนอีกจำนวนกว่า 10 นัด ก่อนจะสงบลง ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ขณะที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ได้ออกมาปฏิเสธตามที่มีข่าวลือว่า มีทหารเข้าไปประจำการอยู่ภายในโรงพยาบาลนั้น ไม่เป็นความจริง มีเพียงเจ้าหน้าที่ที่ถอยกำลังเข้ามาหลบจากเหตุปะทะข้างต้นเท่านั้น อย่างไรก็ดีในวันที่ 14 พ.ค. ทางโรงพยาบาลประกาศปิดให้บริการเป็นเวลา 1 วัน 

‘จตุพร’ ไม่หวั่น ขอสู้ต่อไป
ต่อมาเมื่อเวลา 00.30 น. กลุ่มคนเสื้อแดงได้ทำการยึดรถน้ำจากทหารจำนวน 2 คัน จากบริเวณถนนสาทรนำไปยังที่เวทีราชประสงค์ ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดง ได้ขึ้นปราศรัยว่า จากการเหตุการลอบยิง พล.ต.ขัตติยะ ไม่ทำให้กลุ่ม นปช.ยุติการชุมนุมแน่นอน แต่จะขอต่อสู้ต่อไป จากนี้คนนามสกุล "เวชชาชีวะ" และ "เทือกสุบรรณ" จะอยู่อย่างลำบาก

ดีเอสไออายัด "เสธ.แดง" แม้โคม่า – ปณิธานแจงไม่ใช่ฝีมือรัฐ
รายงานข่าวจากเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์เมื่อเวลา 01.00 น. ระบุว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เตรียมอายัดตัว "เสธ.แดง" ขณะที่อาการยังโคม่า ก่อนหน้านี้ เวลา 23.30 น. นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก หรือ เสธ.แดง ถูกลอบยิง ที่บริเวณพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า เบื้องต้นคงต้องสอบสวนและนำคนผิดมาลงโทษตามกฎหมายต่อไป แต่คงไม่ใช่เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ เนื่องจากรัฐบาลได้สั่งการอย่างชัดเจนว่า จะไม่ใช้แนวทางความรุนแรง 

ทั้งนี้ ส่วนจะมีการสลายการชุมนุมในคืนนี้หรือไม่ คงต้องขึ้นอยู่หลายองค์ประกอบ และเจ้าหน้าที่มีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และ ศอฉ.ได้มีการสั่งกระชับกำลังโดยรอบพื้นที่แยกราชประสงค์ นอกจากนี้ ยังได้วางมาตรการเพิ่มมากขึ้น เพื่อไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางเข้า-ออก เพราะจะเป็นการเพิ่มจำนวนของผู้ชุมนุม

“ทักษิณ” ทวิตประณามใช้อาวุธหนักกับผู้ชุมนุม
14 พ.ค. เวลาประมาณ 2.43 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทวีตข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ (http://twitter.com/Thaksinlive) ระบุ "ผมขอประณามการใช้กำลังทหารและการใช้อาวุธหนักกับพี่น้องผู้ชุมนุมอย่างสันติจนเสียชีวิตไปหลายคนอีกครั้งหนึ่งของรัฐบาลที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย" "ผมเคยบอกว่าการปรองดองไม่ใช่เป็นเพียงภาษาสวยๆ ต้องอยู่บนพื้นฐานของใจเป็นธรรมมีเมตตาธรรม มีความจริงใจที่จะปรองดอง เห็นแล้วยังความโหดเหี้ยมใจดำ" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รายงานของ 'ไมดันส์' ผู้สื่อข่าวที่สัมภาษณ์ เสธ.แดง ก่อนถูกยิง

Posted: 13 May 2010 12:46 PM PDT

<!--break-->

เซธ ไมดันส์ ผู้สื่อข่าวของอินเตอร์เนชั่นแนล เฮอราด ทริบูน (International Herald Tribune-IHT) ซึ่งเป็นส่วนนำเสนอเรื่องราวต่างประเทศของนิวยอร์กไทม์ คือนักข่าวที่กำลังสัมภาษณ์เสธ.แดง หรือพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เวลาเดียวกับที่เสธ.แดง ถูกยิงโดยลูกกระสุนปริศนาเข้าที่ศรีษะ 

เซธ รายงานข่าวชิ้นนี้ใน IHT โดยระบุว่า เสธ.แดง ถูกยิงที่ศรีษะขณะที่ผู้สื่อข่าวของ IHT กำลังสัมภาษณ์เขาอยู่ในช่วงเวลาราว 1 ทุ่,

โดยหลังจากที่ได้ยินเสียงปืนที่ไม่เหมือนเสียงประทัดดังปัง เสธ.แดง ก็ล้มลงที่พื้น ตาเขาเบิกกว้าง มีผู้ชุมนุมพยายามแบกร่างที่ไม่รู้สึกตัวของเขาไปที่โรงพยาบาล พร้อมตะโกนว่า "เสธ.แดง ถูกยิง เสธ.แดงถูกยิง" ขณะที่กำลังวุ่นวาย

หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาทีก็มีเสียงปืนดังขึ้นอีกนัด มีรายงานว่ามีผู้ได้รับบkดเจ็บ 20 ราย อาจจะจากกระสุนปืน จากการล้มเหยียบกัน หรือจากสาเหตุอื่นที่ยังไม่มีการระบุ ภายในไม่กี่ชั่วโมงต่อมาผู้ชุมนุมก็ปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่สวนลุมพินี

IHT รายงานอีกว่า ในขณะที่เสธ.แดงถูกยิงนั้น เขาใส่ชุดทหารลายพรางเช่นปกติ และกำลังให้สัมภาษณ์ตอบคำถามเรื่องที่ว่า ทหารไทยจะสามารถเจาะทะลวงเข้ามาในพื้นที่ชุมนุมได้หรือไม่ โดยคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดก่อนถูกยิงคือ "ทหารเข้ามาในนี้ไม่ได้หรอก" (The military cannot get in here) ซึ่งเขากล่าวเป็นภาษาไทย โดยบางครั้งเขาก็พูดภาษาอังกฤษแบบผิดๆ ถูกๆ

จากการสัมภาษณ์ในวันอาทิตย์ มีการถามถึงเรื่องเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และชายเสื้อดำลึกลับ เสธ.แดง ปฏิเสธว่า เขาไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆ กับความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยกล่าวเป็นภาษาอังกฤษว่า "I deny!" จากนั้นก็หัวเราะ

ในวันนี้ (13) ก่อนหน้าที่เขาจะถูกยิงเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เขากำลังพูดคุยกับนักข่าวที่รุมล้อมอยู่ใกล้ ๆ กับด่านตรวจ หลายคนผละตัวออกไปจนเหลือแต่ผู้สื่อข่าวของ IHT ที่มีโอกาสได้สัมภาษณ์

เสธ.แดง กล่าวเกี่ยวกับชุดยูนิฟอร์มของเขา บอกว่ามันเป็นตัวเดียวกับที่เขาเคยใส่ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์เมื่อราว 30 ปีที่แล้ว เขาได้พูดคุยเกี่ยวกับบทบาทในการทำงานร่วมกับผู้ชุมนุมและบอกว่า มันต่างจากการปฏิบัติภารกิจในกองทัพที่เขาเคยทำมาก่อนอย่างไร

เขาเรียกตัวเองว่าเป็น "กองทัพประชาชน" (People's army) ที่เตรียมพร้อมป้องกันการสลายการชุมนุม

เสธ. บอกอีกว่า การปะทะในครั้งนี้อาจจะ "ไร้รูปแบบ" และ "ไร้กติกา"

 

ที่มา
Dissident Thai General Shot; Army Moves to Face Protesters, Seth Mydans, International Herald Tribune
http://www.nytimes.com/2010/05/14/world/asia/14thai.html?ref=global-home

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สหรัฐฯสั่งปิดสถานทูตในกรุงเทพฯ

Posted: 13 May 2010 12:41 PM PDT

<!--break-->

 
13 พ.ค.53 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายฟิลิป โครว์ลีย์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ แถลงในกรุงวอชิงตันว่า สหรัฐฯ ได้สั่งปิดสถานทูตในกรุงเทพฯ เพราะตั้งอยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุรุนแรง สหรัฐฯ รู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก และกำลังจับตาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ คำแถลงของนายโครว์ลีย์ มีขึ้นหลังสถานทูตอังกฤษและเนเธอร์แลนด์ในกรุงเทพฯ สั่งระงับบริการเกี่ยวกับวีซ่าด้วยเหตุผลความกังวลเกี่ยกับเหตุความรุนแรงในประเทศไทย
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศอฉ.อ้างศาลตัดมือถือ-น้ำ-ไฟ ห้ามใช้ทาง ฝ่าฝืนจำคุก

Posted: 13 May 2010 11:56 AM PDT

<!--break-->

13 พ.ค. 53 ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ประกาศว่า ศอฉ.ได้ยื่นคำร้องถึงศาลอาญา และศาลมีคำสั่งให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตัดสัญญาโทรศัพท์ บริเวณพื้นที่ชุมนุมแยกราชประสงค์และบริเวณโดยรอบ เริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 18.00 น.เศษ โดยให้ตัดสัญญาณคราวละไม่เกิน 6 ชั่วโมง จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

ศอฉ.ยังประกาศคำสั่งให้การประปานครหลวง ระงับการให้บริการในพื้นที่ แยกศาลาแดง ตั้งแต่แยกราชประสงค์, ถ.พระราม 1 ตั้งแต่แยกเฉลิมเผ่า แยกอังรีดูนัง ถ.ราชดำริ ถ.เพลินจิต และ ถ.วิทยุ เริ่มเวลา 21.00 น.

นอกจากนี้ ให้ตัดกระแสไฟฟ้าโดยรอบพื้นที่แยกราชประสงค์ ได้แก่ ชั้นล่างอาคารจอดรถห้างเซ็นทรัลเวิลด์, รร.แกรนด์ไฮแอท เอราวัณ, อัมรินทร์พลาซ่า, ลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6, ไฟส่องสว่างที่แยกเพลินจิตถึงแยกราชประสงค์, ไฟส่องสว่างตั้งแต่แยกศาลาแดงถึงแยกประตูน้ำ, ไฟส่องสว่างตั้งแต่แยกพระราม 1 ถึงแยกประตูน้ำ และโดยรอบพื้นที่ราชประสงค์

อีกทั้ง ห้ามใช้เส้นทางการจราจรโดยรอบแยกราชประสงค์ ยกเว้นแต่จะได้รับอนุญาตเท่านั้น ประกอบด้วย ก. ถนนเพชรบุรี ตั้งแต่แยกทางด่วนเพชรบุรี ถึงแยกราชเทวี, ข. ถนนพญาไท ตั้งแต่แยกราชเทวี ถึงสามย่าน ค.ถนนวิทยุ ตั้งแต่แยกวิทยุถึงทางด่วนเพชรบุรี ง.ถนนในพื้นที่ ก.-ค. จนถึงแนวถนนพระราม 4 จ.ถนนราชปรารภ ตั้งแต่สี่แยกประตูน้ำจนถึงแยกมักกะสัน ฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

การ์ด นปช. ถูกวางยาในกาแฟกว่า 30 ราย

Posted: 13 May 2010 11:42 AM PDT

<!--break-->

01.00 น. ของวันที่ 14 พ.ค. 53  ผู้สื่อข่าวประชาไทรายงานจากแยกสารสินว่า การ์ด นปช. ที่รักษาพื้นที่ประมาณ 30 ราย ส่วนใหญ่เป็นการ์ดจากจังหวัดขอนแก่นมีอาการอ่อนเพลีย แขนขาไม่มีแรง หลังดิ่มกาแฟที่บรรจุในแก้วของร้านสะดวกซื้อซึ่งมีคนนำมาแจก จากการสอบถามจากการ์ดคนอื่นๆ ระบุว่า ก่อนหน้านี้ มีคนนำกาแฟใส่แก้วดังกล่าวมาแจกจ่ายการ์ด นปช. เพื่อให้กำลังใจ ก่อนจะมีอาการดังกล่าว โดยระบุด้วยว่า ผู้ที่นำมาแจกจ่ายนั้น มีบัตรนักข่าวช่อง 3 ด้วย จึงไม่มีใครสงสัยแต่อย่างใด ทั้งนี้การ์ดทั้งหมดได้นำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจแล้ว เบื้องต้นสันนิษฐานว่า ถูกวางยานอนหลับอย่างแรง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศอฉ.ประกาศให้ 17 จังหวัดเป็นพื้นที่ในเขตสถานการณ์ฉุกเฉิน

Posted: 13 May 2010 11:25 AM PDT

<!--break-->

17 จังหวัดภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ประกาศเมื่อ 13 พ.ค. 53 โดย ศอฉ. (ที่มาของภาพ: Prachatai Graphic)

 

ประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ฉบับที่ 2

ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดปทุมธานีจังหวัด นครปฐม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดชลบุรี จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงรายจังหวัด ลำปาง จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดน่าน จังหวัดขอนแก่น จังหวัดอุดรธานี จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดศรีสะเกษ

ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี อำเภอพระประแดง อำเภอพระสมุทรเจดีย์ อำเภอบาง บ่อ อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอธัญบุรี อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอสามโคก อำเภอลำลูกกา และอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และอำเภอวังน้อย อำเภอบางปะอิน อำเภอบางไทร และอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553 แล้วนั้น โดยที่ปรากฏว่า ได้มีกลุ่มบุคคลดำเนินการที่ก่อให้เกิดความ วุ่นวายหรือเตรียมการจะก่อเหตุร้ายในพื้นที่ต่าง ๆ เพิ่มเติม จากพื้นที่ที่เคยมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เพื่อมุ่งให้เกิดความเสียหายและความไม่ปลอดภัยต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำที่มีความรุนแรงกระทบต่อความมั่นคงของรัฐยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ อันเป็นการกระทำที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ และกระทบต่อการใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนผู้บริสุทธิ์ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขปัญหาในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มเติมให้ยุติโดยเร็ว

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 และมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 36 มาตรา 38 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 45 และมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายนายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจึงให้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ฉบับที่ 2 ดังต่อไปนี้

ข้อ 1. ให้พื้นที่เขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนครปฐม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดชลบุรี จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดลำปาง จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดน่าน จังหวัดขอนแก่น จังหวัดอุดรธานี จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดศรีสะเกษ เป็นพื้นที่ในเขตประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ฉบับที่ 2

ข้อ 2 ให้บรรดาข้อกำหนด ประกาศ และคำสั่งที่ออกตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อดำเนินการตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมืองจังหวัดสมุทรปราการ อำเภอบางพลี อำเภอพระประแดง อำเภอพระสมุทรเจดีย์ อำเภอบางบ่อ อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอธัญบุรี อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอสามโคก อำเภอลำลูกกา และอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และอำเภอวังน้อย อำเภอบางปะอิน อำเภอบางไทร และอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลงวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2553 ประกาศและคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ประกาศและคำสั่งของหัวหน้าผู้รับผิดชอบประกาศและคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มีผลบังคับใช้กับเขตพื้นที่ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ฉบับที่ 2 ด้วย

ข้อ 3 ให้ผู้กำกับการปฏิบัติงาน หัวหน้าผู้รับผิดชอบ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ผู้ปฏิบัติงานในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในเขตพื้นที่ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ลงวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553 มีอำนาจหน้าที่ในเขตพื้นที่ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ด้วย

ในกรณีที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มอบหมายให้บุคคลใดปฏิบัติหน้าที่ในเขตพื้นที่ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 ให้บุคคลนั้นเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป 
 

                                                       ประกาศ ณ วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
 

                                                                    (นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)
                                                                              นายกรัฐมนตรี

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

'เยาวชนสันติวิธี' เสนอ สลายการชุมนุมแบบไม่รุนแรง

Posted: 13 May 2010 10:50 AM PDT

<!--break-->

13 พ.ค. 53 กลุ่มเยาวชนศึกษาสันติวิธี ออกแถลงการณ์ลงวันที่ 12 พ.ค. เรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนที่เกี่ยวข้องให้มีมาตรการป้องกันเมื่อมีการสลายการชุมนุม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

0 0 0

แถลงการณ์เครือข่ายสันติวิธี

สืบเนื่องจากสถานการณ์ล่าสุด ณ วันที่ 12 พค 2553 ที่มีการแถลงจากนายกรัฐมนตรี และ ศอฉ. ในเรื่องการที่จะดำเนินการตัดน้ำตัดไฟ และการเข้าสลายการชุมนุมที่บริเวณถนนราชประสงค์ ซึ่งทางเครือข่ายสันติวิธีมีความเป็นห่วงความรุนแรงและการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นอีก ทางเครือข่ายสันติวิธีจึงขอเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนที่เกี่ยวข้องให้มีมาตรการป้องกันตามข้อเสนอดังนี้คือ 

  1. ต้องไม่สลายการชุมนุมในช่วงกลางคืน และต้องประกาศขั้นตอนดำเนินการของเจ้าหน้าที่ในทุกขั้นตอน และเปิดโอกาสให้ผู้ชุมนุมสามารถแจ้งความจำนงได้ทุกเมื่อหากต้องการจะออกจากพื้นที่หรือต้องการจะกลับบ้าน

  2. หากจะทำการตัดไฟฟ้าในพื้นที่ ต้องไม่ดับไฟส่องสว่างในพื้นที่ทั้งหมด เพื่อไม่เปิดโอกาสให้มีใครฉวยโอกาสในความมืดก่อเหตุวุ่นวายได้ และเพื่อให้ประชาชนและสื่อมวลชนสามารถร่วมรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโปร่งใสชัดเจน

  3. ต้องไม่ตัดสัญญาณโทรศัพท์ เนื่องจากจะทำให้ประชาชนในพื้นที่ชุมชุมขาดการติดต่อสื่อสารกับคนภายนอกโดยสิ้นเชิง และขาดข้อมูลจริงที่จะเป็นประโยชน์สำหรับการดูแลความปลอดภัยของผู้ที่อยู่ในพื้นที่เอง

  4. ในการจะปิดทางเข้าออกของคนในพื้นที่นั้น ต้องเปิดทางให้ประชาชน หรือผู้ชุมนุมสามารถออกจากที่ชุมนุมได้

  5. เตรียมรถบริการรับส่งผู้ชุมนุมที่ต้องการกลับบ้านหรือภูมิลำเนา

  6. มีการอำนวยการให้เจ้าหน้าที่ด้านการพยาบาลสามารถทำงานได้สะดวก และปลอดภัย

  7. มีการอำนวยการให้เจ้าหน้าที่นักข่าวสามารถทำงานได้สะดวก และปลอดภัย

ทั้งนี้ เครือข่ายสันติวิธีขอยืนยันจุดยืนที่ไม่ต้องการความรุนแรงไม่ว่าจากฝ่ายใดทั้งสิ้น รวมทั้งไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม และการไม่ยอมรับเงื่อนไขการปรองดองของแกนนำ นปช. และขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกลับมาใช้การเปิดโต๊ะเจรจาในการแก้ปัญหา โดยไม่ใช้ชีวิตคนเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง

 

                                                       กลุ่มเยาวชนศึกษาสันติวิธี
                                                                 12 พ.ค. 2553

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ยิงผู้ชุมนุมที่สวนลุม บาดเจ็บระนาว ยิงศีรษะเสียชีวิตแล้ว1

Posted: 13 May 2010 10:43 AM PDT

เกิดเหตุทหารยิงผู้ชุมนุมแถบสวนลุม เจ็บระนาว มีประชาชนรายหนึ่งถูกยิงศีรษะอาการสาหัส 1 ราย ล่าสุดเสียชีวิตแล้วเมื่อเวลาประมาณ 02.20 น

<!--break-->


ที่มาภาพ:เว็บไซต์มติชน

เวลาประมาณ 23.20 น. สำนักข่าวสปริงนิวส์รายงานการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่กู้ภัยของหน่วยแพทย์วชิระพยาบาลซึ่งนำคนเจ็บบริเวณสีลม หน้าอาคารอื้อจือเหลียง ถ.พระราม 4 ส่ง รพ.จุฬาฯ โดยระบุว่าเกิดเหตุยิงผู้ชุมนุมเมื่อราวครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ขณะนี้นำผู้บาดเจ็บคือนายชาติชาย ชาเหลา อายุประมาณ 25 ปี สวมกางเกงขายาวสีดำ เสื้อสีแดง บาดเจ็บสาหัสถูกยิงที่ศีรษะ ส่งโรงพยาบาลจุฬาฯ แล้ว โดยเบื้องต้นรายงานว่าหัวใจหยุดเต้น แต่เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยแจ้งว่าแพทย์สามารถปั๊มหัวใจขึ้นมาได้

เวลาประมาณ 02.20 น. ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวสปริงนิวส์รายงานเพิ่มเติมจากรพ.จุฬาฯ ว่า นายชาติชายเสียชีวิตแล้ว ญาติอยู่ในอาการเศร้าสลด พร้อมระบุว่านายชาติชายนั้นมาร่วมชุมนุมทุกวันหลังจากเสร็จจากการขับแท็กซี่ และญาติไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

ด้าน UDDThailand รายงานว่า ผู้ถูกยิงดังกล่าวเป็นช่างภาพอิสระ คอยถ่ายภาพเหตุการณ์ชุมนุมและการสลายการชุมนุม ทั้งนี้มีรายงานว่า บริเวณดังกล่าวถูกทหารดับไฟจนมืด และไม่มีใครกล้าเดินผ่าน

ด้านเจ้าหน้าหน่วยกู้ภัยกล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้มีผู้ชุมนุมบริเวณดังกล่าวประมาณ 100 คน จากนั้นมีเหตุการณ์วุ่นวายโดยมีการนำข้าวของปาใส่กลุ่มทหาร ซึ่งตั้งบังเกอร์อยู่ห่างออกไปประมาณ 150 เมตร จากนั้นเกิดเสียงปืนดังขึ้น หน่วยกู้ภัยซึ่งอยู่บริเวณดังกล่าวจึงได้เข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บในที่เกิดเหตุ ขณะเข้าไปยังมีเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะ ซึ่งคาดว่าเป็นการยิงจากฝั่งทหาร ทั้งนี้ หน่วยกู้ภัยระบุว่ายังมีคนเจ็บอีกคนหนึ่งที่ถูกยิงจากบริเวณดังกล่าวเช่นเดียวกันนำส่งโรงพยาบาลจุฬาฯ แล้วแต่ยังไม่ทราบชื่อ

ด้านเว็บไซต์มติชนรายงานว่าเวลา 23.00 น.สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสรายงานว่า มีกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่ได้เดินเท้าจากแยกวิทยุผ่านหน้าสวนลุมพินีมุ่งหน้าไปสี่แยกศาลาแดงซึ่งมีด่านเจ้าหน้าที่ตั้งอยู่ จากนั้นได้มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดมีกลุ่มเปลวไฟจากทางฝั่งเจ้าหน้าที่ ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมวิ่งย้อนกลับไปพบว่ามีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุพบชายถูกยิงที่ศีรษะ เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์แล้ว รวมทั้งผู้บาดเจ็บจำนวนมากถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเช่นเดียวกัน

มีรายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า ในเหตุการณ์นี้ยังมีผู้บาดเจ็บคือนายรังษี ลาช้อน ซึ่งเป็นวินมอเตอร์ไซด์ที่มาส่งผู้โดยสารแล้วแวะสอบถามสถานการณ์กับผู้ชุมนุมบริเวณแยกวิทยุ หันหน้าเข้าทางสวนลุมซึ่งมีทหารประจำการอยู่ จากนั้นมีเสียงปืนดังขึ้นโดยมีทิศทางมาจากสวนลุม และระหว่างนั้นเอามือไว้ที่ออก ปรากฏว่าโดนกระสุนจริงยิงทะลุมือ กระสุนถากใต้ราวนมซ้าย รักษาตัวที่รพ.จุฬาฯ อีกคนหนึ่งคือนายสมผัด ถาปัน โดนกระสุนยางเข้าที่ลำคอด้านซ้าย รักษาตัวที่ รพ.จุฬาฯ เช่นกัน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ACHR ร้องรัฐหยุดปราบแดง ชี้เข้าข่ายอาชญากรสงคราม

Posted: 13 May 2010 10:15 AM PDT

<!--break-->

ศูนย์สิทธิมนุษยชนเอเชีย (ACHR) ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับกรณีที่ทางกองทัพยิงปืนใส่ผู้ชุมนุมเสื้อแดงเมื่อเย็นวันนี้ (13 พ.ค.) โดยมี ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง และคนอื่น ๆ อีก 2 รายถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเป็นผลมาจากการที่กองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ประกาศใช้ "ปฏิบัติการราชประสงค์" เพื่อสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์

โดย ACHR ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกให้แก่นายกรัฐมนตรี เตือนให้หยุดใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์  มิเช่นนั้นแล้วนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะตกเป็นผู้รับผิดชอบตามมาตรา 25(3)(a) ของธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (Rome Statute of the International Criminal Court) ในการจงใจใช้กำลังจู่โจมผู้ชุมนุมที่เป็นประชาชนโดยตรง ซึ่งการใช้กำลังกับผู้ชุมนุม นปช. ที่ราชประสงค์นั้นถือเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อมาตราที่ 8 (2)(e)(i) ของ ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ

ทาง ACHR เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียกเลิกการใช้กำลังทหาร และกลับมาใช้วิธีการเจรจากับผู้ชุมนุม เนื่องจากไม่อยากให้เกิดเหตุการที่มีการสังหารผู้ชุมนุมเช่นวันที่ 10 เม.ย. อี

 

 

ที่มา
http://www.achrweb.org/press/2010/THAI02-2010.html


ข้อมูลเพิ่มเติม

ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ

มาตราที่ 25 ว่าด้วย "ความรับผิดชอบต่อความผิดในฐานะปัจเจกบุคคล"
ข้อ 3 ระบุว่า อ้างจากธรรมนูญนี้แล้ว ผู้ที่จะถือว่าต้องรับผิดชอบและต้องโทษทางอาญาภายใต้การตัดสินของศาลก็ต่อเมื่อ:

วรรค a ระบุถึง กระทำความผิดทางอาญา ไม่ว่าจะโดยปัจเจกบุคคลหรือร่วมมือกับผู้อื่น หรือดำเนินการผ่านทางผู้อื่น โดยไม่ว่าบุคคลอื่นๆ นั้นจะต้องรับผิดชอบต่อความผิดด้วยหรือไม่

มาตรา 8 ว่าด้วย "อาชญากรรมสงคราม" 
ข้อ 2 ระบุถึง "อาชญากรรมสงคราม" หมายความว่า:

วรรค e ระบุถึง การละเมิดอย่างร้ายแรงต่อกฏหมายและวิถีปฏิบัติที่ใช้ในเรื่องความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธโดยไม่ใช่เรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศ แต่อยู่ภายใต้ขอบข่ายของกฏหมายข้อตกลงนานาชาติ อาทิ

วรรคย่อย i ความจงใจใช้กำลังโจมตีประชาชนโดยตรงหรือกับปัจเจกบุคคลเป็นราย ๆ โดยที่พวกเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับสงครามโดยตรง

อ้างอิงจาก
http://untreaty.un.org/cod/icc/statute/romefra.htm
http://untreaty.un.org/cod/icc/statute/99_corr/3.htm

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศูนย์สิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียเตือนอภิสิทธิ์หยุดละเมิดหลักสากล หยุดใช้ทหารสลายการชุมนุม

Posted: 13 May 2010 10:06 AM PDT

ศูนย์สิทธิมนุษยชนเอเชีย (ACHR) ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับกรณีที่ทางกองทัพยิงปืนใส่ผู้ชุมนุมเสื้อแดงเมื่อเย็นวันนี้ (13 พ.ค.) โโยมี ขัตติยา สวัสดิผล หรือเสธ.แดง และคนอื่น ๆ อีก 2 รายถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเป็นผลมาจากการที่กองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ประกาศใช้ "ปฏิบัติการราชประสงค์" เพื่อสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์

<!--break-->

โดย ACHR ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกให้แก่นายกรัฐมนตรี เตือนให้หยุดใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์  มิเช่นนั้นแล้วนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะตกเป็นผู้รับผิดชอบตามมาตรา 25(3)(a) ของธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (Rome Statute of the International Criminal Court) ในการจงใจใช้กำลังจู่โจมผู้ชุมนุมที่เป็นประชาชนโดยตรง ซึ่งการใช้กำลังกับผู้ชุมนุม นปช. ที่ราชประสงค์นั้นถือเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อมาตราที่ 8 (2)(e)(i) ของ ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ

ทาง ACHR เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียกเลิกการใช้กำลังทหาร และกลับมาใช้วิธีการเจรจากับผู้ชุมนุม เนื่องจากไม่อยากให้เกิดเหตุการที่มีการสังหารผู้ชุมนุมเช่นวันที่ 10 เม.ย. อีก

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คลิป CNN: หลัง "เสธ.แดง" ถูกยิง

Posted: 13 May 2010 09:38 AM PDT

สถานีโทรทัศน์ CNN ของสหรัฐอเมริกาแพร่ภาพ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ "เสธ.แดง" ผู้สนับสนุน นปช. ในขณะเคลื่อนย้ายไปยังโรงพยาบาลหัวเฉียว หลังจาก พล.ต.ขัตติยะ ถูกยิงขณะให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวต่างประเทศ

<!--break-->

ที่มา: CNN (หมายเหตุ: ภาพมีเนื้อหาส่วนหนึ่งไม่เหมาะสม)

วันนี้ (13 พ.ค.) สถานีโทรทัศน์ CNN ของสหรัฐอเมริกาแพร่ภาพ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ "เสธ.แดง" ผู้สนับสนุน นปช. ในขณะเคลื่อนย้ายไปยังโรงพยาบาลหัวเฉียว หลังจาก พล.ต.ขัตติยะ ถูกยิงขณะให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวต่างประเทศ

รอยเตอร์ฟันธง แผนเด็ดหัว หลังยิงเสธ.แดง

เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานอ้างคำกล่าวของนายแอนโธนี เดวิีส์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำวารสารด้านกลาโหม "ไอเอชเอส-เจน’ส" ระบุว่าเหตุการณ์ที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ถูกยิง เป็นความพยายามที่เห็นได้ชัดว่ามุ่งกำจัดผู้นำฝ่ายทหารของกลุ่มคนเสื้อแดง และถือเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด เพื่อสร้างความสับสนในแกนนำฝ่ายทหารและส่งสารถึงแกนนำอื่นๆ ให้ทราบว่า ถ้าไม่ต้องการเจรจาและสลายการชุมนุม ก็จะเผชิญผลลัพธ์ร้ายแรง

ด้านสำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า หลัง พล.ต.ขัตติยะ  ถูกยิงนั้น ทาง "อินเตอร์แนชนัล เฮอราลด์ ทรีบูน" (IHT) หนังสือพิมพ์ในเครือของหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส ของสหรัฐฯ ได้รายงานว่าพล.ต.ขัตติยะ ถูกยิงที่ศีรษะระหว่างให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวคนหนึ่งของ IHT และผู้สื่อข่าวจากสื่อสำนักอื่นๆ ใกล้ใจกลางสถานที่ชุมนุม

ขณะที่สำนักข่าวเอพี ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ พล.ต.ขัตติยะ  ซึ่งมีขึ้นประมาณ 90 นาทีก่อนถูกยิง โดย พล.ต.ขัตติยะ  คาดว่าจะมีการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในเร็วๆ นี้ โดยอาจเป็นช่วงค่ำของวันที่ 13 พ.ค. หรือช่วงเช้าตรู่วันที่ 14 พ.ค.  นอกจากนี้กล่าวหากลุ่มแกนนำคนเสื้อแดง รับสินบนจากรัฐบาลเพื่อให้ยอมรับแผนสมานฉันท์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แต่เมื่อตัวเขาเข้ามาแล้วและจะกลายเป็นคนสำคัญทันที โดย ณ เวลานี้ กองทัพประชาชนจะต่อสู่กับกองทัพ โดยไม่จำเป็นต้องสอนวิธีการต่อสู่ เพราะจะเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีรูปแบบหรือแผนการ กลุ่มคนเสื้อแดงจะต่อสู้ด้วยกลยุทธ์ของตัวเอง

ส่วนที่มาที่ไปของคนลงมือยิง พล.ต.ขัตติยะ นั้น คนสนิทที่ไม่เปิดเผยชื่อคนหนึ่งของ พล.ต.ขัตติยะ อ้างว่า พล.ต.ขัตติยะ ถูกยิงโดยสไนเปอร์ หรือพลแม่นปืน แต่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไหนยืนยันในเรื่องนี้.

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จาตุรนต์ชี้ยกเลิกวันยุบสภาผิดหนัก ถาม..จะปรองดองจริงก็ต้องประนีประนอม

Posted: 13 May 2010 07:42 AM PDT

จาตุรนต์แนะ นายกฯ ต้องเป็นผู้ใหญ่และจริงใจ อย่าตุกติก วอนเสื้อแดง ข้อเรียกร้องต้องชัด เมื่อบรรลุก็ต้องยุติการชุมนุมโดยเร็ว

<!--break-->

13 พ.ค.53 นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมือง การเจรจาระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับ นปช.เพื่อหาทางออกจากวิกฤตว่า วิกฤตการเมืองที่ดำรงอยู่ขณะนี้เกิดจากความไม่เป็นประชาธิปไตยและปัญหา 2 มาตรฐานที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา กลุ่มคนเสื้อแดงเสนอทางออกด้วยการเรียกร้องให้ยุบสภา ส่วนรัฐบาลได้เลือกใช้วิธีการการสลายการชุมนุมด้วยกำลังอาวุธภายใต้ข้ออ้างว่าขอพื้นที่คืน เหตุการณ์จึงบานปลายมาถึงทุกวันนี้

เมื่อรัฐบาลเห็นว่าไม่สามารถใช้กำลังสลายการชุมนุมได้ จึงเปลี่ยนมาเสนอแผนปรองดองตามคำเรียกร้องของหลายฝ่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ การปรองดองจะเกิดขึ้นได้ สังคมต้องเดินหน้าสู่การเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนช่วยแก้ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตย ขณะเดียวกันการใช้กฎหมาย รักษากฎหมายต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม ต้องทำให้ระบบยุติธรรมของประเทศไม่เป็นสองมาตรฐาน แล้วให้ทุกฝ่ายเข้าสู่ระบบยุติธรรมอย่างเท่าเทียม

ในช่วงวันสองวันนี้มีแนวโน้มว่าสังคมไทยอาจจะถลำลึกสู่วิกฤตที่รุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเพราะการแก้ปัญหาที่ถูกทางและการเจรจาประนีประนอมที่มีมาอย่างต่อเนื่องกำลังจะสะดุดหยุดลงเสียแล้ว

สิ่งที่นายกฯอภิสิทธิ์กำลังทำอยู่จะเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงชนิดที่จะเสียใจตลอดไป อยากเสนอให้นายกฯทบทวนท่าทีล่าสุดของตนเสียใหม่ นายกฯต้องแสดงความเป็นผู้ใหญ่และจริงใจ เลิกตุกติกและทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับการปรองดอง นายกฯต้องเลิกล้มความคิดที่จะซื้อเวลาให้นานออกไปกว่าที่พูดไว้ โดยควรจะประกาศให้ชัดเจนว่าจะยุบสภาตามที่ได้ประกาศไว้อย่าโยกโย้ บิดพลิ้วต่อไป เลิกล้มแผนตัดน้ำตัดไฟ และการใช้รถถังยานเกราะกับกองกำลังอาวุธเข้าคุกคามหรือสลายการชุมนุม รวมทั้งการเตรียมที่คุมขังแกนนำ นปช.ทั้งๆ ที่ได้รับปากไว้แล้วในการเจรจาว่าจะไม่คัดค้านการประกันตัว สิ่งที่รัฐบาลและ ศอฉ.กำลังทำอยู่ มีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก

ผมไม่เชื่อว่าทหารจะยอมเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการปราบปราม เข่นฆ่าประชาชนอีก แต่พฤติกรรมของรัฐบาลและ ศอฉ.ก็กำลังเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความรุนแรง สูญเสีย รวมทั้งทำให้เหตุการณ์บานปลายไม่สิ้นสุด

สำหรับการชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้น เข้าใจว่าข้อห่วงใย ที่สำคัญที่สุดของคนเสื้อแดงในขณะนี้คือ ต้องการหลักประกันว่านายกฯและ รองนายกฯสุเทพ จะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สิ่งที่ควรทำก็คือ ทำข้อเรียกร้องนี้เป็นข้อสรุปที่ชัดเจน เมื่อบรรลุข้อเรียกร้องนี้แล้วก็ควรยุติการชุมนุมโดยเร็ว ไม่ควรมีข้อเรียกร้องอื่นๆเพิ่มเติมที่จะทำให้การชุมนุมยืดเยื้อต่อไป

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กลุ่มต้านสงคราม เรียกร้อง 'แดงพิราบ' อย่าเฉย รัฐบาลอย่าตกหลุมพราง

Posted: 13 May 2010 07:15 AM PDT

<!--break-->

กลุ่มประชาชนผู้ไม่เอาสงครามกลางเมือง ออกแถลงการณ์เรียกร้องสายพิราบในกลุ่มเสื้อแดง พิสูจน์ขบวนสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง เตือนรัฐบาลอย่าตกหลุมความรุนแรง โยนชัด ทักษิณ ชินวัตร กำหนดการเคลื่อนไหว โดยมีรายละเอียด ดังนี้

0 0 0 

ขณะนี้ สถานการณ์การเมืองกำลังดำเนินมาจนถึงจุดอับตันอย่างที่สุดแล้ว ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ อาจจะเกิดการปะทะกันของกองกำลังฝ่ายรัฐ และกองกำลังติดอาวุธที่แฝงตัวในที่ชุมนุมแยกราชประสงค์ โดยมีประชาชน ลูกเด็กเล็กแดง และผู้บริสุทธิ์จำนวนมากจะต้องสังเวยชีวิต

เรา กลุ่มประชาชนผู้ไม่เอาสงครามกลางเมืองขอเรียกร้องต่อมโนธรรมสำนึกของสายพิราบในกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งที่เป็นแกนนำ แนวร่วม และมวลชน โปรดออกมาดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อแก้ไขสถานการณ์ โดยจะต้องไม่ยอมปล่อยให้สายเหยี่ยวพาคนไปตาย

ที่ผ่านมา ทั้งนักวิชาการและแนวร่วมจำนวนหนึ่งที่เข้าอกเข้าใจการชุมนุมของคนเสื้อแดงมาตลอดได้ทักท้วงตักที่เป็นนเรื่องที่ไม่คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง้านเมืองลุกเป็นไฟนั้น ไม่เป็นเตือนกลุ่มคนเสื้อแดงให้ยุติการชุมนุมเพื่อเก็บชัยชนะแล้วสานต่อไปในอนาคต ไม่ใช่หวังแต่เอาชนะในเวลาอันรวดเร็วโดยยอมเอาชีวิตมวลชนเข้าแลก อย่างไรก็ตาม เสียงตักเตือนเพียงไม่กี่เสียงเหล่านี้ไม่มีพลังพอที่จะทำให้แกนนำเสื้อแดงสายเหยี่ยวตระหนัก ดังนั้น สายพิราบในเสื้อแดงทั้งในกลุ่มแกนนำ แนวร่วม และมวลชนจะต้องรวมพลังคัดค้านการนำของสายเหยี่ยว

สถานการณ์ขณะนี้ชัดเจนมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำหนดแนวทางการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง นั่นเอง ห้วงเวลาชี้เป็นชี้ตายนี้ จะเป็นการพิสูจน์ว่า “นปช.แดงทั้งแผ่นดิน” เป็นกระบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริงที่ไม่ได้ขึ้นกับใคร หรือเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใครคนใดคนหนึ่ง 

เราขอเรียกร้องต่อสายพิราบในเสื้อแดงทั้งในกลุ่มแกนนำ แนวร่วม และมวลชนว่า ... คุณต้องไม่อยู่ยิ่งเฉย  ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับทิศทางของการชุมนุมภายใต้การนำของแกนนำสายเหยี่ยวที่มีพ.ต.ท.ทักษิณอยู่เบื้องหลัง  คุณต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่แค่กลัวเสียภาพพจน์ของขบวนการ หรือกลัวถูกแกนนำสายเหยี่ยวโจมตี   คุณต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดยั้งไม่ให้แกนนำสายเหยี่ยวพาผู้ชุมนุมไปสู่หายนะ  เพราะมันหมายถึงชีวิตเลือดเนื้อของผู้คน

เราขอวิงวอนต่อสายพิราบในเสื้อแดงทั้งในกลุ่มแกนนำ แนวร่วม และมวลชนว่า ...คุณต้องคำนึงถึงความถูกต้องมากกว่าภาพลักษณ์ของขบวนการ จงอย่าดำเนินรอยตามฝ่ายซ้ายในยุโรปที่ปิดปากเงียบ ทั้งๆที่รู้ว่า เผด็จการสตาลินกำลังก่อกรรมทำเข็ญกับประชาชน เพียงเพราะแค่กลัวเสียขบวนการหรือเพราะกลัวว่าจะเป็นแกะดำของขบวนการ

พร้อมกันนี้เราขอเรียกร้องต่อ ศอฉ. อย่าตกหลุมพรางของแกนนำเสื้อแดงสายเหยี่ยวที่ต้องการให้มีการใช้ความรุนแรงเข้าสลายฝูงชน  เพราะนั่นจะเป็นการเข้าทางของแกนนำสายเหยี่ยวและพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการให้เกิดการจลาจลในบ้านเมือง  การอดกลั้นที่จะใช้อำนาจในมือ ท่ามกลางการยั่วยุนั้น แม้เป็นเรื่องยากมากแต่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำในเวลาคับขันเช่นนี้  อย่าคิดถึงแต่ชัยชนะหรือคล้อยตามข้อเรียกของบางฝ่ายที่ต้องการให้ใช้ความรุนแรง ซึ่งมีแต่จะทำให้แกนนำเสื้อแดงสายเหยี่ยวเข้มแข็งและกุมอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ 

การได้พื้นที่ ราชประสงค์คืนมาแต่ต้องสูญเสียชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก และเสี่ยงต่อการที่บ้านเมืองลุกเป็นไฟ นับเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศอฉ.เล็งเสนอพื้นที่ฉุกเฉินเพิ่ม 15 จังหวัด

Posted: 13 May 2010 06:59 AM PDT

ศอฉ.หารือมาตรการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง แจงเพิ่มเติมใน 4 ประเด็น รวมทั้งเสนอรัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินเพิ่มอีก 15 จังหวัด ในภาคกลาง-เหนือ-อีสาน สกัดม็อบสมทบเข้ากรุง และพื้นที่ห้ามบินรัศมี 3.6 กิโลเมตร

<!--break-->

 

13 พ.ค.53 พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงว่า ที่ประชุม ศอฉ.ในเย็นนี้ มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เป็นประธาน ได้มีการประชุมหารือถึงมาตรการในการดำเนินกลับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ราชประสงค์ ซึ่งจะมีการชี้แจงเพิ่มเติมใน 4 ประเด็นได้แก่ คือ

1.การดำเนินการกดดัน โดยเจ้าหน้าที่ทหารจะดำเนินการโอบล้อมในพื้นที่เพิ่มเติม จากเดิมตั้งแต่แยกราชเทวี ถนนเพชรบุรี ถนนมิตรสัมพันธ์ ถนนวิทยุ ถนนพระราม 4 แยกสามย่าน พญาไท โดยถนนเส้นพระราม 4 จะไม่มีการปิดการจราจร แต่จะมีการปิดถนนเพิ่มเติมคือ ถนนพระราม 1 จนถึงปทุมวัน และถนนราชปรารภถึงมักกะสัน

2.ศอฉ. ขอชี้แจง ข่าวที่คลาดเคลื่อนที่แกนนำนปช. ได้ขึ้นเวทีระบุว่า ในคืนวันที่ 12 พ.ค. เชื่อมต่อไปยังคืนวันที่ 13 พ.ค. มีเจ้าหน้าที่ทหารทำร้ายร่างกายสมาชิกนปช.ที่ศาลาแดง ตรงข้ามห้างโรบินสัน ซึ่ง นปช.คนดังกล่าว ซึ่งจากการตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว พบว่า นปช.คนดังกล่าว ชื่อนายวีระศักดิ์ สังข์ทอง มีอาการมึนเมาสุรา เดินข้ามมาซื้อของที่ฝั่งสีลม และกระทบกระทั่งกับชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่ทหาร ก็ได้เข้าไปช่วยห้ามปราม และส่งนายวีระศักดิ์ ส่งตัวไปยังสถานีตำรวจ เพื่อดำเนินคดี โดยสาเหตุที่ ศอฉ.ต้องออกมาชี้แจง เนื่องจาก หลัง 18.00 น.ของวันนี้ ศอฉ.จะส่งกำลังเข้าพื้นที่ ทำให้ แกนนำนปช.บิดเบือนข้อเท็จจริงว่า ทหารที่ดูแลความปลอดภัยที่บริเวณราชประสงค์ และสีลม ใช้อำนาจเกินกว่าที่จำป็น

3. ศอฉ.เตรียมเสนอรัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพิ่มเติม 15 จังหวัด ในจังหวัดภาคกลางได้แก่ ชลบุรี นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี อยุทธยา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ อุดรธานี ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา ศรีสะเกษ ภาคเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน ลำปาง นครสรรค์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ป้องกันการเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดดังกล่าว เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางมาสมทบกับผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์

4. แต่งตั้งให้แม่ทัพภาคที่ 3 ทำงานควบคู่กับ ผู้ว่าราชการจังหวัดใน 15 จังหวัดดังกล่าว เพื่อควบคุมรักษาความสงบในพื้นที่ นอกจากนี้ยังกำหนดพื้นที่เขตห้ามบิน เครื่องบิน เครื่องร่อนทุกชนิด มีศูนย์กลางที่แยกราชประสงค์ มีความสูง 6,000 ฟุต รัศมี 3.6 กิโลเมตร โดยทิศเหนือจรด ททบ.5 , ทิศใต้จรดสีลม , ทิศตะวันออก จรดแยกอโศก ทิศตะวันตก จรดแม่น้ำเจ้าพระยา

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น