โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai.info

ประชาไท | Prachatai.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

ยุกติ มุกดาวิจิตร: จดหมายถึง อ.อมรา พงศาพิชญ์

Posted: 29 May 2010 11:04 AM PDT

<!--break-->

เรียนอาจารย์อมรา พงศาพิชญ์ที่นับถือ

ผมเฝ้าติดตามการทำงานในหน้าที่ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของอาจารย์อมรามาโดยตลอด ในฐานะที่เป็นผู้ศึกษามาทางมานุษยวิทยาด้วยกัน นักมานุษยวิทยารุ่นเยาว์ผู้ห่วงใยสังคมไทยอย่างผมย่อมยินดีที่วิชาชีพทางมานุษยวิทยาจะได้มีส่วนสร้างสรรค์สังคมที่ยุติธรรม ด้วยความละเอียดอ่อน ลึกซึ้งและกว้างขวางของสาระในวิชามานุษยวิทยาเพื่อการทำความเข้าใจมนุษย์ ผมเชื่อว่าวิชามานุษยวิทยาจะช่วยให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเล็งเห็นถึงปัญหาสิทธิมนุษยชนอย่างละเอียดอ่อนตามไปด้วย

อย่างไรก็ดี ขณะนี้เห็นได้ชัดว่าเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงในประเทศไทย แต่ผมสงสัยว่า อาจารย์อมราได้แสดงบทบาทของการเป็นนักสิทธิมนุษยชนที่เห็นแก่มนุษยธรรมอย่างลึกซึ้งจากการฝึกฝนให้ทำงานกับเพื่อนมนุษย์แบบนักมานุษยวิทยาหรือไม่

มานุษยวิทยากับสิทธิมนุษยชน
พวกเรานักมานุษยวิทยาคงไม่ค่อยได้ศึกษาเรื่องสิทธิมนุษยชนกันอย่างจริงจังหรอก แต่ในขณะที่โลกก้าวมาสู่ยุคปัจุบัน ที่ความเป็นสากลของหลักการหลายๆ ประการเป็นที่ยอมรับ เป็นบรรทัดฐานสำหรับมนุษยชาติ พวกเรานักมานุษยวิทยาก็ยอมรับหลักการเหล่านั้นมาโดยตลอด อาจารย์อมราคงมิได้จะต้องมาถกเถียงกับผมในประเด็นปลีกย่อยเหล่านี้หรอกนะครับ

เช่น การที่มานุษยวิทยาหลังฟราซ โบแอส บิดามานุษยวิทยาอเมริกันที่ผมมั่นใจว่าอาจารย์อมราก็จะต้องได้ศึกษามาไม่มากก็น้อย หรืออย่างน้อยอาจารย์ก็ต้องนับได้ว่าเป็นหลานศิษย์ของลูกศิษย์คนใดคนหนึ่งของโบแอส ได้ต่อสู้กับแนวคิดวิวัฒนาการที่หลงใหลในความสูงส่งชนชาติตนเอง (ethnocentrism) แล้วเขาเสนอให้ยอมรับว่า ความแตกต่างของมนุษย์ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเหนือหรือด้อยกว่ามนุษย์อีกกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อาจารย์ก็คงเคยสอนนักศึกษาว่า หลักการนี้พวกเราเรียกกันว่าวัฒนธรรมสัมพัทธ์ (cultural relativism) นอกจากนั้น หากใครร่ำเรียนมาทางมานุษยวิทยาแบบอาจารย์ ก็ย่อมทราบเช่นกันว่า โบแอสเป็นชาวยิว การที่เขาอพยพมาสหรัฐอเมริกานั้น ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากการเริ่มเกิดกระแสคุกคามชาวยิวในเยอรมนีในต้นศตวรรษที่ 20

หรือการที่นักมานุษยวิทยาอย่างโคลด เลวี-สโตรสส์ ได้รับการยกย่องจากแวดวงนักมานุษยวิทยาโลก ก็มิได้เพียงเพราะเขาแสดงความปราดเปรื่องแบบที่หลายๆ คนในโลกนี้ไม่สามารถทำได้ ด้วยการวิเคราะห์โครงสร้างความสัมพันธ์ของสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ปรากฏในนิทานที่ดูไร้เหตุผลของคนทั่วโลกเท่านั้น หากแต่ด้วยความที่เขายืนยันมาตลอดถึงการที่มนุษย์ทั้งผองมีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน อันแสดงให้เห็นจากความสลับซับซ้อนของวิธีคิดในบรรดานิทานต่างๆ ตลอดจนความสลับซับซ้อนของระบบความคิดของมนุษย์ทั่วโลก ที่แสดงในระบบต่างๆ ของวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ การแต่งงานและเครือญาติ หรือแม้แต่อาหารการกิน

หากจะเล่าต่อไปเรื่อยๆ ถึงเกียรติประวัติของนักมานุษยวิทยาท่านต่างๆ ต่อการสร้างสรรค์ความเข้าใจกันและกันระหว่างมนุษย์ ผมและอาจารย์อมราก็คงจะแลกเปลี่ยนต่อกันไปได้ไม่มีวันสิ้นสุด แต่สิ่งที่อาจารย์น่าจะเห็นตรงกับผมคือ มานุษยวิทยามิได้แยกตนเองจากกระแสโลก หลักการสำคัญๆ ของมานุษยวิทยาสอดคล้องไปกับหลักการสากล ในเรื่องของสิทธิมนุษยชนพื้นฐานก็เช่นเดียวกัน นักมานุษยวิทยาย่อมเห็นตรงกันว่า การทำลายชีวิตมนุษย์ และการปิดกั้นสิทธิในการแสดงตัวตนของมนุษย์ ย่อมเป็นสิ่งที่มิอาจยอมรับได้ ไม่ว่าจะใช้มาตรฐานทางวัฒนธรรมใดๆ ประเทศไทยจึงไม่ควรได้รับการยกเว้นจากคำวิพากษ์วิจารณ์ของหลักการสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน


บทบาทต่อเหตุการณ์รุนแรง

แต่กระนั้นก็ตาม ผมยังไม่ได้เห็นบทบาทที่เหมาะสมของอาจารย์อมราต่อเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นเลย เรื่องที่เห็นได้ชัดในลำดับแรกเลยคือการที่มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากในการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของรัฐบาลเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เป็นต้นมา กระทั่งข้อเท็จจริงจำนวนมากที่ต้องการการสืบสาวหาข้อสรุป ในกรณีการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 13 - 20 เมษายน 2553

อาจารย์อมราที่นับถือ ผมหวังว่าอาจารย์จะไม่ใช้วาทศิลป์ทำนองเดียวกันกับถ้อยคำที่รัฐบาลใช้เรียกปฏิบัติการเหล่านี้เลย เพราะนักเรียนมานุษยวิทยารุ่นเยาว์อย่างผม ที่คิดด้วยหลักการง่ายๆ ทางมานุษยวิทยา ก็ยังเห็นได้ไม่ยากว่า คนที่ยืนอยู่บนพื้นที่เหล่านั้นย่อมสำคัญกว่าพื้นที่และที่ว่าง หรือหากจะให้ผมอ้างนักทฤษฎีหรือใครต่อใครมายืนยันว่าคนสำคัญกว่าพื้นที่ ก็คงจะต้องยกชื่อนักมานุษยวิทยามาหมดโลกนั่นแหละ แต่คนที่จะตอบคำถามนี้ได้ดีและลึกซึ้งที่สุดคงไม่พ้นนักภูมิศาสตร์ชื่ออองรี เลอร์แฟบวร์ ที่วิพากษ์การทำพื้นที่ให้ไร้ความเป็นมนุษย์ เพื่อการที่ผู้มีอำนาจจะได้สามารถแปลงพื้นที่เหล่านี้ไปเป็นผลผลิตและการขูดรีดมนุษย์ ถ้าพูดแบบเลอร์แฟบวร์ ซึ่งอาจารย์ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย ถ้อยคำแบบ ศอฉ.และรัฐบาลเป็นภาษาที่นายทุนอำมหิตใช้เข่นฆ่าผู้คนอย่างไม่เห็นหัวมนุษย์ชัดๆ

ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ผมเห็นบทบาทอาจารย์อย่างชัดเจน ว่ามิได้แสดงความกระตือรือล้นที่จะประณามการกระทำของทุกฝ่าย และมิได้พยายามมุ่งค้นหาความจริง โดยเฉพาะการตั้งคำถามกับฝ่ายรัฐบาลว่าได้ใช้กำลังติดอาวุธสงครามเข้าสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตหรือไม่ แต่อาจารย์อมราในฐานะประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกลับให้ท้ายคำอธิบายของรัฐบาลอย่างน่าละอาย


บทบาทต่อการปิดกั้นสื่อ

ที่น่าละอายอย่างยิ่งคือ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกำลังปล่อยให้บทบาทในการค้นหาความจริงในประเทศนี้ ตกอยู่ในมือของคนส่วนน้อยของสังคมบางคน ที่นั่งอยู่บนโพเดียม เป็นนักวิชาการติดเก้าอี้ แบบที่นักมานุษยวิทยาต้นศตวรรษที่ 20 วิจารณ์นักมานุษยวิทยาวิวัฒนาการในสมัยวิคทอเรียน แต่เที่ยวไปไล่ตัดสินใครต่อใครโดยมิได้พยายามทำความเข้าใจพวกเขาจากมุมมองของพวกเขาเอง

ผมคงไม่ต้องเท้าความไปมากมายนักถึงเรื่องการปิดกั้นสิทธิในการแสดงออก ด้วยการปิดสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล หากเราจะไม่ยินดียินร้ายกับสื่อของ นปช. ผมก็ไม่เห็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนยินดียินร้ายกับการปิดสื่อที่เสนอความจริงหลายด้าน หลายระดับความลุ่มลึก อย่าง “ประชาไท” แต่ประชาไทก็คงจะไม่ยินดีนักหรอกหากเขาจะได้รับการยกเว้นแต่ผู้เดียว เพียงเพราะพวกเขาเสนอมุมมองหลายด้านหลายระดับความลุ่มลึก เพราะทุกวันนี้ ศอฉ.เองนั่นแหละที่เสนอข่าวปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชัง ให้เกิดความแตกแยก อันเป็นภัยต่อความมั่นคงของชีวิตและทรัพย์สินของผู้คน และเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ โดยปราศจากคำประณามของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน

หากอาจารย์อมราเห็นว่าการประกาศแต่ละครั้งของ ศอฉ.จะก่อให้เกิดความมั่นคง ความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติขึ้นมาได้ อาจารย์คงจะยังไม่ได้อ่านงานที่ศึกษาเหตุหนึ่งแห่งความรุนแรงในรวันดา รวมทั้งความสลับซับซ้อนของการทำให้คนดำกลายเป็นคนอื่นจนกระทั่งสามารถถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมได้อย่างสม่ำเสมอบนท้องถนนในสหรัฐอเมริกา หากจะยกเรื่องราวในสหรัฐฯ ประเทศที่อาจารย์อมราร่ำเรียนมาทางมานุษยวิทยาเอาไว้ก่อน เพราะต้องอาศัยกลวิธีการวิเคราะห์สื่ออย่างแยบยลพอสมควร แล้วมามองเฉพาะที่รวันดา การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่การปลุกปั่นของสื่อมวลชนมีส่วนรับผิดชอบอย่างยิ่งนั้น ให้บทเรียนกับคนทั่วโลกอย่างตรงไปตรงมาแก่ประเทศไทย

กรณีการเสนอข่าวของ ศอฉ. ก็มีทิศทางที่เป็นไปได้ว่าจะสร้างเงื่อนไขให้เกิดความแตกแยกที่นำไปสู่การทำลายง้างชีวิตกันอย่างในรวันดา หากว่าสื่อมวลชนไทย คณะวารสารศาสตร์ และคณะนิเทศศาสตร์ของสถาบันอันทรงเกียรติทั้งหลายในประเทศไทย ที่แสดงออกอย่างสม่ำเสมอว่าพวกเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการนำเสนอข่าวด้านเดียวของสื่อมวลชนไทย ไม่อยากเรียนรู้บทเรียนอะไรจากเพื่อนร่วมโลก ผมก็ยังหวังว่าอาจารย์อมราและคณะกรรมการสิทธิที่อาจารย์เป็นประธานอยู่ จะเข้าใจปัญหานี้เป็นอย่างดี

การที่ผมอ้างเรื่องราวในรวันดา คงไม่ทำให้อาจารย์อมราคิดเห็นเป็นว่า เรื่องที่รวันดาจะมาเทียบกับสังคมพุทธที่รักสงบอย่างเมืองไทยของเราได้อย่างไร แต่เพราะวิธีการทางมานุษยวิทยาย่อมสนับสนุนให้มีการศึกษาเปรียบเทียบบทเรียนจากสังคมต่างๆ เพื่อส่องสะท้อนแก่กัน และเพื่อให้ตระหนักว่าเราก็ไม่ได้ดีเด่นต่างจากเขาเท่าไรนัก

แต่หากอาจารย์จะอ้างแบบที่ใครต่อใครมักพูดกันว่า ประเทศของเรามีลักษณะพิเศษแตกต่างอย่างที่อื่นอย่างยิ่ง เพราะเรามีใครต่อใครที่ค้ำจุนหลักธรรมของประเทศอยู่ อาจารย์อมราก็ควรเลิกใช้ตำแหน่งศาสตราจารย์ทางมานุษยวิทยาเสียเถิด เพราะนั่นเท่ากับว่าอาจารย์อมราเลิกเชื่อในหลักการทางมานุษยวิทยาว่าด้วยความเท่าเทียมกันของมนุษย์ต่างสังคมไปแล้ว ผมเห็นว่า วิธีคิดในเชิงสัมพัทธ์นิยมดังกล่าวเป็นการบิดเบือนสัมพัทธ์นิยมมารับใช้อำนาจนิยมอย่างสามานย์ หาใช่สัมพัทธ์นิยมเพื่อมนุษยธรรมไม่


บทบาทต่อการคุกคามนักวิชาการ

อาจารย์อมราที่นับถือ อาจารย์คงมิได้ทำงานปกป้องสิทธิมนุษยชนจนมือเป็นระวิง จนกระทั่งไม่ทราบว่าขณะนี้มีเพื่อนนักวิชาการหลายคนกำลังถูกคุกคาม ถูกกักขัง ถูกไล่ล่า หลายคนในจำนวนนั้นอาจไม่ได้มีความผิดจริงตามข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่รัฐหรือ ศอฉ. หลายคนยังไม่ได้ถูกตั้งข้อกล่าวหาด้วยซ้ำ แต่กลับถูกตัดสินด้วยวิธีการประโคมข่าวให้เกิดความเกลียดชังผ่านการสื่อสารทางเดียวของรัฐบาล และถูกกักขัง หน่วงเหนี่ยว โดยมิได้ดำเนินคดี หากนี่จะยังมิได้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างรุนแรง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนที่มีอาจารย์อมราผู้เป็นศาสตราจารย์ทางมานุษยวิทยาเป็นประธานอยู่ควรเปลี่ยนชื่อ ด้วยการใส่สร้อยท้ายอะไรก็ตาม ให้หมดความเป็นสากลของแนวคิดสิทธิมนุษยชนไปเสียดีกว่า

แน่นอนว่าประเทศต่างๆ ย่อมมีกฎหมายที่รับรองหรือปกป้องอำนาจอธิปไตยของประเทศ หากใครละเมิดอำนาจอธิปไตย ก็เท่ากับว่ากำลังทำลายสังคมนั้นอยู่ แต่ในฐานะนักมานุษยวิทยาที่ปวารณาตนเองว่าจะปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนในประเทศ เราก็ต้องยอมรับได้ว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างกันของบุคคลต่างๆ ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการแสดงออกและได้รับการรับฟัง ตราบเท่าที่ความคิดเห็นเหล่านั้นมิได้ละเมิดสิทธิของผู้อื่น การอ้างหลักการความมั่นคงของอำนาจอธิปไตยมาเพื่อกำจัดความคิดเห็นที่แตกต่าง เท่ากับไม่เคารพในความเป็นมนุษย์ของคนบางกลุ่ม

ผมสู้อุตส่าห์ใช้ความพยายามมากโข ในการศึกษางานรุ่นหลังทศวรรษ 1970 ที่นักมานุษยวิทยาอย่างเชอร์รี ออร์ตเนอร์ ประกาศให้พวกเราสืบสาวถึงบทบาทของมนุษย์ในการสรรค์สร้างพร้อมๆ กับถูกกระทำจากโครงสร้าง มานุษยวิทยาหลังแนวคิดมาร์กซิสม์ หลังแนวคิดโครงสร้างนิยม หลังแนวคิดสตรีนิยม จึงรุ่มรวยด้วยการยกย่องพลังในการต่อสู้กับระบบและโครงสร้างที่กดทับมนุษย์ หากนั่นจะไม่ถึงกับทำให้มานุษยวิทยากลายเป็นปัจเจกชนนิยมไปในชั่วข้ามทศวรรษ อาจารย์อมราคงเห็นด้วยกับผมว่า แนวโน้มใหม่ๆ ของมานุษยวิทยายิ่งทำให้เราเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ คุณค่าของความแตกต่างหลากหลายที่ไม่เพียงจำกัดเฉพาะความหลากหลายทางวัฒนธรรม ไปสู่การยกย่องคุณค่าความหลากหลายของการสร้างสรรค์ของผู้กระทำการทางสังคมในโครงสร้าง (human agency) และคงไม่ใช่เฉพาะคนเล็กคนน้อยที่ยากจน ไร้อำนาจต่อรองใดๆ อยู่ชายขอบหรือใต้ถุนสังคมเท่านั้น ที่เราจะประยุกต์ใช้หลักการนี้ด้วย

หากเราในฐานะนักมานุษยวิทยาจะยอมรับร่วมกันถึงความเท่าเทียมกันของความคิดเห็นที่แตกต่าง เราก็ไม่สามารถตัดสินคนอื่นๆ หรือความคิดที่แตกต่างอื่นๆ จากความคิดที่แตกต่างของเราได้ ความอดกลั้นต่อความเห็นที่แตกต่าง คือมาตรฐานทางศีลธรรมแบบมานุษยวิทยาที่พวกเราสู้อุตส่าห์ฝึกฝนกันมาอย่างยากเย็นมิใช่หรืออาจารย์อมราที่นับถือ ผมเฝ้ารอดูอยู่ว่า ในเวลานี้อาจารย์อมราจะปกป้องสิทธิมนุษยชนในด้านการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นที่แตกต่างของเพื่อนนักวิชาการอย่างไร อย่างน้อยที่สุด จะทำอย่างไรที่จะให้พวกเขาได้รับความยุติธรรมตามกระบวนการยุติธรรมแบบปกติของประเทศ มิใ่ช่กระบวนการยุติธรรมที่รัฐธรมนูญที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกงดเว้นในสภาวะที่ใช้ พรก. ฉุกเฉินอยู่อย่างทุกวันนี้


บทสรุป

อันที่จริงผมไม่เคยลืมเลยว่า ผมสงสัยในความเป็นนักสิทธิมนุษยชนของอาจารย์อมรามานานแล้ว ดังที่ได้เห็นจากเมื่อหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อาจารย์อมรารับตำแหน่งในสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ผมไม่สามารถยอมรับได้ว่าการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 จะอยู่บนหลักการใดๆ ของหลักสิทธิมนุษยชน หรืออยู่บนหลักการใดๆ ของหลักมานุษยวิทยา แต่ผมก็ยังมิได้แสดงออกแต่อย่างใด เนื่องจากหวังว่า อาจารย์อมราในขณะนั้น อาจจะตัดสินใจอย่างบริสุทธิ์ใจด้วยความหวังว่าจะได้นำเอาวิชาความรู้ทางมานุษยวิทยาเข้าไปหน่วงรั้งความเลวร้ายอันอาจจะเกิดขึ้นจากระบอบรัฐประหาร

แต่เมื่อเกิดการประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ซึ่งจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ด้วยการยกเว้นบทบัญญัติต่างๆ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พรก.ฉุกเฉินจึงละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างร้ายแรง แต่อาจารย์อมราและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนก็มิได้ประณาม หรือแม้แต่ทัดทาน ท้วงติง หรือมิได้แม้จะแสดงความเห็นตักเตือนรัฐบาลสักเพียงเล็กน้อย จนขณะนี้รัฐบาลได้บริหารประเทศในสถานการณ์ที่เรียกว่า “ภาวะฉุกเฉินร้ายแรง” ในพื้นที่เกือบครึ่งประเทศ มาเนิ่นนานจนในบางพื้นที่ อย่างกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ถูกปกครองด้วยระบอบภาวะฉุกเฉินมาเป็นระยะเวลาเกินกว่า 50 วันแล้ว อาจารย์อมราและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนจะปล่อยให้ระบอบภาวะฉุกเฉิน ที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง กลายเป็นบรรทัดฐานในการปกครองประเทศไปหรืออย่างไร

วิชามานุษยวิทยาในปัจจุบันมิได้มุ่งเพียงเพื่อให้มนุษยชาติมีความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ต่างๆ ทั่วโลก แต่มานุษยวิทยาปัจจุบันให้ความสำคัญกับการที่มนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์ ต่างสังคม ต่างระบบคุณค่าทางวัฒนธรรม ต่างชนชั้น จะรู้สึกถึงความสุข ความทุกข์ ของเพื่อนร่วมโลก ของมนุษยชาติ หากอาจารย์อมราจะไม่รู้สึกรู้สากับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลในขณะนี้ ผมก็ยังหวังว่าอาจารย์จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะต้องดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนโดยไม่เคารพหลักการของวิชามานุษยวิทยา แต่หากอาจารย์ไม่รู้สึกรู้สากับประเด็นต่างๆ เหล่านี้ ผมก็สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าอาจารย์จะยังคงเรียกตนเองว่านักมานุษยวิทยาได้หรือไม่

ด้วยความห่วงใยประเทศชาติและมนุษยชาติ
29 พฤษภาคม 2553
ยุกติ มุกดาวิจิตร

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กรณีศึกษาจากอิยิปต์ ต่ออายุประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทำการเมืองไร้เสถียรภาพ

Posted: 29 May 2010 08:35 AM PDT

<!--break-->

เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2010  กรุงไคโร, ประเทศอิยิปต์ หลังจากปีที่แล้วรัฐบาล อิยิปต์สัญญาว่าจะยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่ผ่านมารัฐบาลก็เรียกร้องให้มีการต่ออายุการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไปอีก 2 ปี และได้รับการอนุมัติจากสภา ซึ่งจะทำให้พวกเขามีสิทธิ์ในการขับกุมใครก็ได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ กักขังหน่วงเหนี่ยวได้ไม่เลือก จำกัดเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการชุมนุม รวมถึงการคงอยู่ของศาลความมั่นคงพิเศษ

อิยิปต์เป็นประเทศที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยาวนานมาก โดยตั้งแต่ 29 ปีที่แล้วหลังจากกรณีประธานาธิบดี อันวาร์ เอล-ซาดัท ถูกลอบสังหาร และผู้นำล่าสุดของอิยิปต์ซึ่งปกติมักปิดปากเงียบก็ใช้ความยากลำบากอย่างมากในการให้เหตุผลถึงการต่ออายุประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ว่ามาจากเรื่องการขนส่งยาเสพติดและเรื่องการก่อการร้าย ทางรัฐบาลบอกอีกว่าอาจมีการผ่อนผันบางมาตราของกฏหมายเกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉิน

แต่คำจำกัดความคำว่า 'การก่อการร้าย' นั้นมีความหมายกว้างมากในกฏหมายของอิยิปต์ และภาษายุคใหม่ก็ดิ้นไปมาได้ ทำให้การตัดสินใจของรัฐบาลในครั้งนี้ถึงถูกวิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษย์ชนและนักกิจกรรมทางการเมืองโดยทันที พวกเขาคาดหวังให้ประเทศมีความเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อยก็ยังดี หลังจากการที่ใช้กำลังตำรวจและคุกเป็นที่เก็บกักปิดกั้นเสียงสะท้อนของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมาโดยตลอด

"แม้จะบอกว่าอำนาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจะจำกัดอยู่แค่ที่การก่อการร้ายและการขนส่งยาเสพติด มันก็เป็นเรื่องแย่อยู่ดี" ฮอสซัม บาห์กัด ผู้อำนวยการองค์กรสิทธิส่วนบุคคลชาวอิยิปต์กล่าว "ที่อันตรายกว่านั้นคือ วัฒนธรรมเว้นโทษแก่ผู้มีอภิสิทธิ์ยังคงอยู่ ด้วยข้อความที่บ่งบอกว่ากลุ่มฝ่ายความมั่นคงนั้นอยู่เหนือกฏหมาย"

ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า อิยิปต์จะมีการเลือกตั้งสภาสูง ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็มีมีการเลือกตั้งสภาล่าง และในปีหน้าก็จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่หลังการขยายการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปก็ทำให้สังคมและการเมืองอิยิปต์ขาดเสถียรภาพ

รัฐบาลอิยิปต์ยังต้องเผชิญกับข่าวลือเรื่องสุขภาพของประธานาธิบดี ฮอสนี มูบารัค มีคนงานประท้วงรายวันเรียกร้องค่าแรงและพรรคฝ่ายค้านที่เข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ จากการสนับสนุนของโมฮัมเม็ด เอลบาราดีย์ อดีตผู้เฝ้าระวังเรื่องนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ ผู้ที่อาจลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยหน้า

จากรายงานของสภาสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติปี 2552 ระบุว่ากฏหมายของอิยิปต์ให้ความหมายของ 'การก่อการร้าย' ไว้ไม่เพียงแต่เรื่องการใช้ความรุนแรง แต่รวมถึง 'การข่มขู่คุกคาม' ที่มีเป้าหมายเพื่อ 'รบกวนความสงบหรือเป็นภัยต่อความมั่นคงปลอดภัยของสังคม' นอกจากนี้แล้วในรายงานยังระบุอีกว่ากฏหมายเกี่ยวกับการก่อการร้ายของอิยิปต์นั้น "มีการนำมาใช้ในวงกว้างและหลายจุดประสงค์ รวมถึง 'การขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ' ด้วย"

ซาราห์ เลียห์ วิธสัน ผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ของตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือบอกว่าขณะที่รัฐบาลตกลงจะไม่ใช้กฏหมายนี้ในการสอดส่องการสื่อสาร แต่จากรัฐธรรมนูญของอิยิปต์ระบุว่ารัฐบาลสามารถกระทำการสอดส่องดังกล่าวได้

"การอ้างของรัฐบาลว่าต้องการใช้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในการต้านการก่อการร้ายนั้นเป็นเรื่องโกหกอย่างเห็นได้ชัด" วิธสันกล่าว "จริง ๆ แล้วพวกเขาใช้กฏหมายนี้เพื่อจับกุมนักกิจกรรมทางการเมืองที่วิจารณ์รัฐบาล"

ไอดา เอลดอว์ลา ผู้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับผู้ที่ถูกทรมานและถูกข่มเหง บอกว่ารัฐบาลอิยิปต์บอกเสมอว่าพวกเขาใช้กฏหมายสถานการณ์ฉุกเฉินในการจับคนค้ายากับผู้ก่อการร้าย แต่พวกเขาก็แค่โกหกกันอย่างเป็นระบบ

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เผาแล้วการ์ด นปช. จ.แพร่ เหยื่อ "กระชับวงล้อม" - คนแห่ทำบุญอุทิศ 6 ศพวัดปทุมฯ

Posted: 29 May 2010 08:25 AM PDT

ประชาชนร่วมทำบุญบังสุกุลให้เหยื่อ 6 ศพแน่นวัดปทุมวนาราม / ชาวแพร่ทำบุญให้การ์ด นปช. ที่ถูกยิงตายหลังทหารกระชับพื้นที่ พ่อแม่ภูมิใจลูกจบรัฐศาสตร์รามฯ สอนให้เรียนรู้การเมืองการปกครอง

<!--break-->

พ่อแม่เก็บข้าวของ "ไก่ สรรพศรี" เหยื่อกระชับวงล้อม กลับอุดร เล็งเก็บศพ 3 ปี

เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 28 พ.ค. ที่บ้านของ น.ส.สัญธะนา หรือไก่ สรรพศรี อายุ 30 ปี ที่บ้านหลังใหม่เลขที่ 199 ม.14 บ้านนาพูลทรัพย์ ต.บ้านธาตุ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี หนึ่งในผู้โชคร้ายที่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าลำคอตัดเส้นเลือดใหญ่ทะลุด้านหลังจนเสียชีวิต เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่บริเวณปากซอยหมอเหล็ง กทม. โดยผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" ได้พบกับนายบุญถม สรรพศรี อายุ 53 ปี และนางวิไลวรรณ สรรพศรี อายุ 48 ปี บิดาและมารดาของน.ส.สัญธะนา ซึ่งมีอาชีพทำนาทำไร่ หลังกลับจากเดินทางขนข้าวของเครื่องใช้ของลูกสาวจากอพาร์ตเมนต์ที่เช่าพักอาศัยกลับไปจ.อุดรธานีบ้านเกิด

นายบุญถม กล่าวว่า น.ส.สัญธะนาเป็นลูกสาวคนโตในจำนวนพี่น้อง 2 คน อีกคนคือ น.ส.นาฏยา สรรพศรี อายุ 25 ปี ก่อนหน้านี้ "น้องไก่" ชอบร้องเพลงเนื่องจากเป็นคนเสียงดี ได้เที่ยวไปร้องตามงานประกวดหลายแห่งได้รางวัลมามากมาย โดยตนได้พาตระเวนร้องเพลงมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ป.6 จนมาจบ ม.6 ที่กศน. หลังจากนั้นเมื่อปี 2544 ลูกสาวได้สมัครกับบริษัทจัดหางานที่หน้าบ.ข.ส.ใหม่อุดรฯ เดินทางไปทำงานเย็บผ้าที่ประเทศไต้หวัน อยู่ที่นั่นนาน 3 ปี จากนั้นไปใช้แรงงานตัดเย็บผ้าต่อที่ประเทศญี่ปุ่น

"ขณะเดียวกันได้ขึ้นร้องเพลงไปด้วย กระทั่งกลับมาบ้านเมื่อปี 2549 ได้เป็นล่ามพาคนญี่ปุ่นเที่ยว ต่อมาได้เข้าทำงานของบริษัทซากุเทรดดิ้ง ของญี่ปุ่น เป็นบริษัทจัดส่งสินค้าไปต่างประเทศ อยู่ย่านมักกะสัน เลื่อนชั้นจนได้ตำแหน่งเป็นผู้จัดการแผนกจัดส่งสินค้า" บิดา กล่าว

นายบุญถม กล่าวต่อว่า ขณะที่ทำงาน ลูกสาวเป็นคนกตัญญูต่อพ่อแม่ จะส่งเงินมาช่วยทางบ้านทุกเดือนอย่างน้อยเดือนละ 5,000 บาทขึ้นไปด้วยบอกว่าไม่อยากให้พ่อแม่ต้องลำบากอยากให้อยู่บ้านเฉยๆ ต่อมาเมื่อเห็นตนกับน.ส.นาฏยาน้องสาว อยากจะมีอาชีพค้าขายเสื้อผ้า เมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา น้องไก่ จึงผ่อนรถยนต์ ปิกอัพโตโยต้า วีโก้ สีดำ ทะเบียน บจ  7363 อุดรธานี ให้และได้ส่งเงินมาเพิ่มถึงเดือนละ 10,000 บาททุกเดือน โดยตนจะไปรับเสื้อผ้าจากอุดรฯ หรือรับจากกทม.ที่น้องไก่ซื้อส่งมาให้ นำไปขายตามตลาดนัด โดยขายมาได้ 3 เดือนแล้วกิจการไปได้ดี

ด้านนางวิไลวรรณ กล่าวว่า ในทุกปีช่วงงานบุญบั้งไฟ ลูกสาวจะกลับมาเยี่ยมบ้านเพื่อร่วมขบวนงาน นอกจากจะไปอยู่ที่ต่างประเทศเท่านั้นที่ไม่ได้มา โดยลูกสาวบอกจะกลับบ้านในวันที่ 19 พ.ค.นี้ ซึ่งงานมีขึ้นในวันที่ 20 พ.ค. แต่น้องไก่มาถูกยิงเสียชีวิตเสียก่อน ตนมารู้ข่าวเรื่องของลูกสาวในเวลา 21.00 น. วันที่ 14 พ.ค. โดยทางร.พ.พญาไท 1 แจ้งให้ทราบ ขณะอยู่ที่ตลาด ถึงกับช็อกทำอะไรไม่ถูก จึงได้พากันขึ้นไปกทม.เพื่อติดต่อขอรับศพ

นางวิไลวรรณ กล่าวต่อว่า โดยทราบจากทางบริษัทว่า วันนั้นน้องไก่เคลียร์งานยังไม่เสร็จ จึงขอผู้จัดการใหญ่ทำต่อจนถึง 2 ทุ่ม จากนั้นได้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของแฟนหนุ่มที่พึ่งคบหาพาไปที่พักของลูกสาว ที่เช่าอยู่คนเดียวในซอยหมอเหล็ง ระหว่างนั้นมีทหารเรียกให้หยุด ต่อมาได้มีเสียงปืนดังขึ้นยิงมาถูกไหล่ซ้ายของแฟนหนุ่ม ทะลุไปโดนต้นคอของน้องไก่ตัดเส้นเลือดใหญ่ทะลุทางด้านหลังออกไป

"ระหว่างนั้นได้มีคนพาทั้ง 2 ไปส่งยังร.พ.  พญาไท 1 และลูกสาวได้เสียชีวิตทันที ส่วนแฟนลูกสาวแพทย์ได้รักษาเย็บถึง 20 เข็มและรอดชีวิตในที่สุด หลังทราบเรื่องดิฉันไม่รู้จะไปเอาอะไรที่ใคร มันมึนไปหมด จากนั้นจึงติดต่อขอรับศพและจ้างรถของโรงพยาบาลในราคา 13,700 บาท นำศพของน้องไก่ มาบำเพ็ญกุศลที่วัดป่าสามัคคีธรรม บ้านโนนสะอาด ต.บ้านธาตุ อ.เพ็ญ" มารดา กล่าวด้วยน้ำตานองหน้า

นางวิไลวรรณ กล่าวอีกว่า หลังจากนำศพลูกสาวมาบำเพ็ญกุศลทางศาสนาตั้งแต่วันที่ 15-17 พ.ค.แล้ว ได้บรรจุศพเก็บไว้ที่วัดตามประเพณีที่เขาห้ามเผาจนกว่าจะครบ 3 ปี และในวันบรรจุศพได้มีนายอำนาจ ผการัตน์ ผวจ.อุดรธานี นายศักดิ์ แตงฮ่อ นายอำเภอเพ็ญ พร้อมด้วยปลัดอำเภอและข้าราชการ มาร่วมงาน พร้อมมอบเงินช่วยศพ 13,000 บาท นอกจากนั้นยังได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวัง 5 หมื่นบาท และทางบริษัทได้ช่วยเหลือมาอีก 1 แสนบาท

"ส่วนทางศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ตั้งอยู่บ้านราชวิถี เพียงขอเบอร์โทร.ไว้ บอกว่าตอนนี้เงินที่จะช่วยเหลือหมด ต้องรอจ่ายให้กับชุดที่ถูกยิงเมื่อเดือน เม.ย.ให้หมดเสียก่อนแล้วจึงจะช่วย ส่วนทางด้านประกันสังคมหลักฐานยังไม่เรียบร้อย จึงยังไม่ได้ยื่น แล้วยังไม่ทราบว่าจะได้เท่าไหร่" มารดา กล่าว

นางวิไลวรรณ กล่าวตอนท้ายว่า ตอนนี้ตนเสียเสาหลักของครอบครัว เพราะน้องไก่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของบ้าน เมื่อเขารู้ว่าที่บ้านอยากได้อะไร ก็จะหามาให้เพราะอยากให้พ่อแม่สบาย ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ตอนนี้อยากให้รัฐบาลได้ช่วยเหลือตนบ้าง เพราะมีหนี้ที่ต้องผ่อนรถยนต์ ส่วนคนที่ยิงลูกสาวยังไม่รู้ว่าจะเอาผิดกับใคร ถือเป็นเวรกรรม ใครทำกรรมไว้ก็จะได้รับผลกรรมเอง และอยากเห็นคนไทยมารักกันให้มาก จะได้ไม่ต้องสูญเสียคนที่เรารักอีก


เผาแล้วการ์ด นปช.แพร่ เสียชีวิตหลังทหารกระชับวงล้อม พ่อแม่ภูมิใจลูกมีความคิดอ่าน

ส่วนที่ จ.แพร่ ที่บ้านเลขที่ 252 บ้านห้วยหม้าย หมู่ 7 ต.ห้วยหม้าย อ.สอง จ.แพร่ ซึ่งเป็นบ้านของนายปิยะพงศ์ กิติวงศ์ อายุ 32 ปี การ์ด นปช.แพร่ ที่เสียชีวิตจากการกระชับพื้นที่เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีนายพูน กิติวงศ์ อายุ 61 ปี และนางพยุง กิติวงศ์ อายุ 51 ปี บิดาและมารดานั่งพักอยู่ในบ้าน

นายพูน กล่าวว่า ตนต้องสูญเสียลูกชายซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว นายปิยะพงศ์เป็นลูกชายคนโตยังไม่มีครอบครัว หลังเรียนจบระดับปวช.วิทยาลัยเทคนิคแพร่ แผนกช่างซ่อมบำรุง ได้เดินทางเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ ไม่ทราบว่าทำงานบริษัทอะไรรู้ว่าเป็นช่าง นอกจากนี้ทราบลูกชายศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ ใช้เวลาเรียน 3 ปีครึ่ง จนสำเร็จและรับปริญญาไปเมื่อปี 2546

นายพูน กล่าวต่อว่า สำหรับการต่อสู้ของกลุ่ม นปช. ซึ่งลูกชายเป็นการ์ด นปช. นั้นตนไม่รู้มาก่อน พึ่งมาทราบเมื่อลูกเสียชีวิตจากการกระชับพื้นที่ของทหาร โดยถึงกับช็อกแต่ไม่รู้จะทำอะไรได้ กระทั่งญาติๆ ที่กรุงเทพฯ ได้นำศพมาที่อ.สอง และมีกลุ่มเพื่อนนปช.หลายจังหวัดมาร่วมเป็นเจ้าภาพงานศพ และร่วมเผาศพเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนภูมิใจที่ลูกชายมีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง หลังจากเรียนจบที่แพร่ แล้วเข้าไปกรุงเทพฯ เพื่อหางานทำและเรียนรามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ เป็นคณะที่สอนให้ลูกชายเรียนรู้เรื่องการเมืองการปกครอง และเมื่อเสียลูกชายไปทางบ้านก็ขาดการช่วยเหลือเนื่องจากทุกเดือนเขาจะส่งเงินมาให้เดือนละ 4 พันบาทเป็นประจำ

ด้านนางพยุง กล่าวว่า ครอบครัวมีด้วยกัน 4 คน นายปิยะพงศ์เป็นคนโต และมีน้องอีกคน คือ น.ส.ภูรินิชา กิติวงศ์ อายุ 21 ปี ที่กำลังศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยพี่ชายเป็นผู้ส่งเสีย เมื่อพี่ชายจากไปไม่รู้จะหาเงินที่ไหนส่งเสีย ส่วนสามีเป็นโรคความดันสูง ร่างกายไม่แข็งแรง ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลูกชายเสียชีวิต มีแต่เพื่อนนปช.มาร่วมงานศพช่วยกันบริจาค      ส่วนหน่วยงานองค์กรการกุศลในจังหวัดไม่มีหน่วยงานใดให้การช่วยเหลือ

วันเดียวกัน เวลา 09.00 น. นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เป็นประธานร่วมทำบุญเมือง และวันวิสาขบูชา ที่วัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ตัวแทนเอกชน หอการค้า และผู้แทนฝ่ายทหารจากค่ายพระยาไชยบูรณ์ ม.พัน 12 อ.เด่นชัย จ.แพร่ พร้อมญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุจลาจลทางการเมืองในกทม. เข้าร่วมพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง

หลังเสร็จพิธี นายสมชัย หทยะตันติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวนายปิยะพงศ์ กิติวงศ์ จากสำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทน มอบให้นายพูน กิติวงศ์ บิดา และ  นางพยุง กิติวงศ์ มารดา เป็นค่าทำศพ 40,000    บาท ส่วนเงินสงเคราะห์กรณีตายได้ทั้งบิดา   และมารดาคนละ 35,508.25 บาท เงินบำเหน็จชราภาพ 31,253.94 บาท รวมเป็นเงินที่   บิดามารดาของนายปิยะพงศ์ได้รับทั้งสิ้น 173,524.38 บาท

นายพันธ์เทพ เปาริก ประกันสังคมจังหวัดแพร่ กล่าวว่า นายปิยะพงศ์ กิติวงศ์ การ์ดนปช.   ได้เสียชีวิตลงจากเหตุการณ์จลาจล ทางประกันสังคมตรวจสอบพบว่าเป็นผู้ประกันตนกับบริษัทที่ทำงานอยู่ในกทม. เป็นผู้มีสิทธิ์ตามกฎหมายประกันสังคม ซึ่งได้ให้การช่วยเหลือตามสิทธิ์ดังกล่าว นอกจากนั้นยังมีค่าทำศพที่รัฐจัดให้ ซึ่งนายปิยะพงศ์เป็นรายเดียวในจังหวัดแพร่ที่มีการเสียชีวิตในเหตุการณ์จลาจล ซึ่งสำนักงานยังเปิดโอกาสให้แจ้งขอรับความช่วยเหลือได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่อาจต้องตกงานหรือออกจากงานเนื่องจากเหตุการณ์จลาจล สามารถแจ้งเพื่อขอรับการช่วยเหลือได้ทันที

 

มาร์คเสียใจ 6 ศพวัดปทุมฯ ปัดเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ตอบคำถาม "อานันท์" เป็นกรรมการตรวจสอบหรือไม่

วันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผู้เสียชีวิต 6 ศพที่วัดปทุมวนารามว่า เหตุการณ์นี้ไม่ควรเกิดขึ้นและเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ แต่ไม่มีเหตุอะไรที่จะให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไปดำเนินการอย่างนั้น และข้อมูลที่เรากำลังรวบรวมอยู่เกี่ยวกับผลการพิสูจน์ในเรื่องต่างๆ ตนคิดว่าน่าจะสอดคล้องกับสิ่งที่รัฐบาลชี้แจงมาตลอด ตัวที่จะเป็นคำตอบได้ดีคือผลการชันสูตรและพิสูจน์ว่าวิถีกระสุนต่างๆ เป็นอย่างไร ตอนนี้กำลังดำเนินการอยู่ ผลตรงนั้นจะทำให้เราสามารถติดตามดูได้ว่าขณะนั้น การเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่อยู่ที่ไหน อย่างไร ซึ่งทุกอย่างตรงไปตรงมา

เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรเป็นนายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งหมดเป็นยุทธศาสตร์ตั้งแต่ต้นของฝ่ายที่กองกำลังติดอาวุธแล้วนำประชาชนที่มาชุมนุมเป็นเครื่องมือ มันไม่ใช่เหตุบังเอิญที่มีการตัดต่อคลิปเสียงของตนตั้งแต่ปีที่แล้ว พยายามวาดภาพว่าตนหรือรัฐบาลประสงค์จะใช้ความรุนแรงกับประชาชน เป็นสิ่งที่เขาเตรียมการมานานแล้ว ตนไม่แปลกใจ แต่หวังว่าความจริงจะเป็นตัวพิสูจน์ได้ เพราะรัฐบาลก็มีความชัดเจนตั้งแต่ต้นของเหตุการณ์ที่ได้แสดงออกถึงความพยายามที่จะรักษาให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด โดยทำทุกวิถีทาง อดทนอดกลั้น เจรจา เสนอแผนต่างๆ แต่รัฐบาลกลับถูกปฏิเสธมาตลอด ตรงนี้เป็นจุดที่คิดว่าสังคมน่าจะเข้าใจในภาพรวม แต่การกล่าวหาจากฝ่ายที่วางแผนเรื่องนี้มันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว

ต่อข้อถามที่ว่า มั่นใจจะก้าวพ้นข้อหาทรราชได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนมั่นใจในความบริสุทธิ์ใจในตัวของตน ผู้ปฏิบัติการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะเรามีแนวทางที่ชัดเจนว่าเราพยายามทำอะไร และเรารู้ว่าอีกฝ่ายที่จะยัดเยียดข้อหาอะไร เพราะฉะนั้น ตนจึงพยายามนำข้อเท็จจริงตรงนี้มายืนยัน

เมื่อถามถึงการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงของสถานการณ์ความไม่สงบ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าในส่วนของตัวประธานนั้นน่าจะเรียบร้อย ใกล้จะได้ตัวแล้วแต่ยังไม่สามารถบอกได้ ทั้งนี้ต้องเป็นที่ยอมรับของหลายฝ่าย ส่วนการสรรหาผู้ที่มาเป็นกรรม   การนั้น ตนจะหารือกับประธานก่อน ถามต่อว่าใครจะมาเป็นประธานคณะกรรมการชุดนี้ และมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเป็นนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ ยิ้ม และปฏิเสธที่จะตอบคำถามแล้วเดินกลับเข้าไปตึกไทยคู่ฟ้าทันที

 

คนแห่เวียนเทียนวัดปทุมวนาราม บริจาคอุทิศเหยื่อ 6 ศพ

วันเดียวกันเวลา 18.00 น. ที่วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน ได้มีพุทธศาสนิกชน เข้าร่วมพิธีเวียนเทียน เนื่องในวันวิสาขบูชา วันที่มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เนื่องจากเป็นวันที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน จึงเป็นวันที่มีการทำพิธีพุทธบูชา เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์ โดยมีพระธรรมธัชมนี เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม เป็นประ  ธานฝ่ายสงฆ์ นำพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน เวียนเทียนรอบพระอุโบสถ เพื่อถวายสักการะพระบรมสารีริกธาตุ เป็นจำนวน 3 รอบตามประเพณีที่สืบทอดกันมา

ทั้งนี้ ในช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบใจกลางเมืองกรุงที่ผ่านมา วัดปทุมวนาราม ได้ดำเนินการเปิดวัดให้เป็นเขตพื้นที่อภัยทาน ให้ผู้ชุมนุมได้ใช้เป็นสถานที่หลบภัยจากเหตุการณ์ร้ายแรงดังกล่าว แต่ปรากฏว่าเมื่อช่วงเย็นวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังแกนนำนปช.ประกาศยุติการชุมนุม ได้มีผู้ชุมนุมบางส่วนเข้ามาหลบภายในวัด ก่อนเกิดเหตุการณ์สลด เมื่อผู้ที่หลบเข้ามาในวัดถูกลอบยิงจากบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส จนมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 6 ราย กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก

สำหรับบรรยากาศกิจกรรมภายในวัดปทุมวนาราม ในช่วงเช้า มีประชาชนมาร่วมทำบุญที่วัดเป็นจำนวนมาก ในการนี้ พระสงฆ์วัดปทุมวนารามและชาวบ้าน ได้ร่วมสวดเจริญพระ  พุทธมนต์และสวดมาติกาบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตภายในวัด 6 รายอีกด้วย ส่วนช่วงเย็นก่อนเริ่มพิธีเวียนเทียนอย่างเป็นทางการนั้น ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มคล้ายกับจะมีฝนตกกระหน่ำลงมา แต่เมื่อถึงเวลาเวียนเทียนกลับไม่มีฝนตกลงมาแต่อย่างใด ทำให้ประชาชนเริ่มพิธีเวียนเทียนอันศักดิ์สิทธิ์กันทันที โดยงานนี้ทางวัดปทุมวนารามได้จัดดอกไม้ ธูปเทียน ให้คนละ 1 ชุด ส่วนตรงทางเข้าพระอุโบสถ ตั้งตู้รับบริจาคเพื่อนำเงินไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเหยื่อผู้เสียชีวิต 6 ราย ในวัดปทุมวนาราม

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ในวันวิสาขบูชาปี 2553 มีพุทธศาสนิกชนที่นับถือศาสนาพุทธ เข้ามาทำบุญที่วัดปทุมวนาราม ในตอนเช้าและเวียนเทียนในตอนเย็นเป็นจำนวนมากกว่าทุกปี โดยจากการสอบถามผู้ที่เข้ามาเวียนเทียนในวัดต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องการทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมา โดยเฉพาะผู้ที่เสียชีวิตในวัด 6 ราย เนื่องจากได้ทราบข่าวแล้วเกิดความสลดหดหู่ อีกทั้งการได้มาร่วมพิธีทางพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ เชื่อว่าจะได้สร้างความสุขทางด้านจิตใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังถือเป็นการสร้างกำลังใจ โดยบางคนหวังว่าความศรัทธาของตนที่มีต่อพระพุทธศาสนาจะส่งผลให้ประเทศชาติกลับคืนสู่ความสงบอย่างถาวรเสียที

ภายหลังจากที่เวียนเทียนครบ 3 รอบแล้ว ทุกคนต่างเข้ารับศีลรับพร พร้อมทำวัตรเย็นและฟังธรรมเทศนา จากเจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ซึ่งใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง ก่อนรีบเดินทางกลับบ้าน เนื่องจากวัดปทุมวนารามจะปิดประตูในเวลา 4 ทุ่ม ก่อนเวลาที่รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวในเวลาเที่ยงคืน
 

ที่มา: ข่าวสด

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"มาร์ค" ปัดคุมสื่อต่างประเทศ เข้าใจว่าปลดบล็อค "ประชาไท"แล้ว

Posted: 29 May 2010 07:27 AM PDT

"มาร์ค" แจงสื่อมวลชนต่างประเทศ บอกไม่ได้พยายามคุมสื่อนอกไม่ได้มีเจตนาปิดประชาไททั้งเว็บ ชี้รัฐบาลใช้คำ ‘ก่อการร้าย’ ตามกฎหมายอาญาและตามนิยามกฎบัตรสหประชาชาติ

<!--break-->

29 พ.ย. 53 - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงข่าวแก่สื่อมวลชนต่างประเทศ พร้อมตอบข้อซักถามเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ 

นายกรัฐมนตรีตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ได้ตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลไม่มีความคืบหน้าในการสร้างความปรองดอง โดยกล่าวว่า แม้รัฐบาลได้พยายามเสนอแผนการปรองดองมาหลายครั้ง แต่ได้รับการปฏิเสธจากกลุ่มผู้ชุมนุมมาตลอด ดังนั้น จึงไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลที่ทำให้แผนการดังกล่าวไม่คืบหน้า  พร้อมยังได้ย้ำถึงการรักษาความสงบเรียกร้อย โดยเชื่อว่า กลุ่มที่ต้องการใช้ความรุนแรงเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ดังนั้น ในการดำเนินการสืบสวนสอบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิด   จึงจำเป็นต้องแยกแยะผู้ที่ใช้ความรุนแรงออกจากผู้ที่มาชุมนุมอย่างสงบ

กรณีการปรับคณะรัฐมนตรี ผู้สื่อข่าวได้ระบุว่ามีผู้ที่เคยมีส่วนร่วมกับกลุ่มคนเสื้อเหลือง หรือ กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ก็อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกับกลุ่ม นปช. ทั้งนี้ ขณะเกิดเหตุ เผาทำลายห้างสรรพสินค้าและสถานที่ต่างๆ ผู้สื่อข่าวได้กล่าวว่า รัฐบาลขาดการวางแผนรับมือที่ดีพอ  ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวยอมรับว่า การดำเนินงานของหน่วยกู้ภัย หรือ หน่วยดับเพลิงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า สำหรับความร่วมมือกับตำรวจสากลในข้อกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ต้องรอให้มีการจับกุมถึงจะดำเนินการส่งตัวกลับประเทศไทยมาดำเนินคดีได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางฝ่ายรัฐบาลก็กำลังอยู่ในระหว่างการประสานงาน ส่งข้อมูลให้กับหน่วยงานตำรวจสากล  

ต่อคำถามที่ว่า รัฐบาลไทยได้มีความพยายามที่จะควบคุมสื่อมวลชนต่างประเทศมากกว่าสื่อมวลชนไทย  นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่เป็นความจริง รัฐบาลเพียงแต่ได้แจกเอกสาร เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจเท่านั้น ไม่ได้เป็นการต่อว่าสื่อต่างประเทศแต่ประการใด

ด้านการท่องเที่ยวนั้น  นายกรัฐมนตรียืนยันว่า คนไทยส่วนใหญ่มีความรักสงบ และพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ มาท่องเที่ยวในไทย  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยืนยันให้เห็นถึงน้ำใจของทุกฝ่าย และความสามารถของคนไทย ที่ได้ออกมาร่วมกันทำความสะอาดบ้านเมือง แต่ยอมรับว่า  การเยียวยาและสมานบาดแผลทางจิตใจจำต้องใช้ระยะเวลา

กรณีการเข้ากระชับพื้นที่นั้น  นายกรัฐมนตรียืนยันต่อสื่อมวลชนว่า ทหารปฎิบัติต่อกฎในการดำเนินการกระชับพื้นที่ ตามหลักสากล มีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน  ตั้งแต่การยิงปืนขึ้นฟ้า การใช้กระสุนยาง  กรณีอาจารย์สุธาชัย ฯ จะมีการตรอบสอบเอกสารหนังสือที่เขียนก่อนว่า เป็นไปในเชิงวิชาการหรือไม่

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลไม่มีหลักฐานเรื่องโม่งดำที่ก่อความรุนแรง  นายกรัฐมนตรีเผยว่า  รัฐบาลได้มีการจับกุมบุคคลดังกล่าวไปแล้วบางส่วน และได้ดำเนินคดีไปบ้างแล้ว  พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้อธิบายนิยามความหมายของ ‘การก่อการร้าย’ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายอาญาไทยและตามกฎบัตรสหประชาชาติ

ผู้สื่อข่าวยังคงถามต่อไปว่า  อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ฯ เป็นอุปสรรคต่อการปรองดองหรือไม่  นายกรัฐมนตรีกล่าวยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ฯ  คือ อุปสรรคสำคัญ แต่อยากให้ทุกฝ่ายทั้งผู้ชุมนุมและผู้ต่อต้าน มองข้ามปัญหาของคน ๆเดียว สู่การปรองดองในชาติ การเลือกตั้ง จำต้องตอบสนองต่อจุดประสงค์ คือ ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมกับการเลือกตั้ง  สำหรับการแสดงความรับผิดชอบนั้น  นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หากต้องการสร้างความรุนแรง คงไม่มีการไปนั่งเจรจาอย่างที่เป็นอยู่ และหากองค์กรตรจสอบ เช่น ปปช. วินิจฉัยว่าตนผิดในการสลายการชุมนุม ก็พร้อมแสดงความรับผิดชอบ เพราะจริงๆ ตนเองเข้ามาทำงานทางการเมือง เพื่ออยากพัฒนาประชาธิปไตย กรณีการเขียนข้อความแสดงความคิดเห็นผ่านทางอินเตอร์เน็ต รัฐบาลไม่ได้ห้ามประชาชนแสดงความคิดเห็น แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบเว็บไซต์หรือสิ่งพิมพ์ที่มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบที่มีเป้าหมายทำลายล้างทางการเมือง

ตอนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ     ผู้สื่อข่าวเอพีถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่า   ทำไมจึงยังมีการ บล็อคเว็บไซต์ประชาไท ขณะที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีที่กำกับ โดยรัฐ ซึ่งแพร่กระจายความเกลียดและความกลัวยังคงออกอากาศได้อยู่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า การถกเถียงในเว็บบอร์ดอาจจะมีเนื้อหาที่เข้าข่าย หมิ่นประมาท อย่างไรก็ตาม เห็นว่าไม่ควรมีการบล็อคทั้งเว็บไซต์ และเข้าใจว่ามีการปลดบล็อคไปแล้ว อย่างไรก็ตามรับว่าจะติดตามเรื่องนี้ ให้

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อนาคตประชาธิปไตยทางตรงกับวุฒิภาวะของสังคมไทย

Posted: 29 May 2010 07:05 AM PDT

<!--break-->

หลังจากรัฐบาลได้สลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)กลางเดือนพฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมาพร้อมกับประเทศไทยได้สถาปณากลุ่มอำนาจใหม่ขึ้นมาทันทีประกอบด้วย กลุ่มนายเนวิน  ชิดชอบ กลุ่มนายประวิตร วงษ์สุวรรณ และกลุ่มนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพรรคประชาธิปัตย์  และการขอคืนพื้นที่ของ ศอฉ.หรือสลายการชุมนุมที่ผ่านมา  คนในสังคมต่างร้องเป็นเสียงเดี่ยวคือรัฐบาลมีความชอบธรรมที่จะสลายการชุมนุม เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมใช้ความรุ่นแรง  มีอาวุธสงคราม  บ้าคลั่ง ปล้น เผาเมือง  ฯลฯ เราจึงเห็นข้อเสนอให้รัฐบาลสลายการชุมนุมด้วยวิธีการต่างๆเสมือนว่า ผู้ชุมนุมไม่ใช่คน แม้แต่การเสนอให้ ฆ่ามัน ยังคงมี ในสังคมไทย

แต่สิ่งที่คนในสังคมได้สถาปนาขึ้นอย่างเงียบๆนั้นคือความเกลียดชัง และมันจะบ่มเพราะเป็นความเคยชินต่อไปและวิธีการแก้ปัญหาโดยใช่ความรุนแรงหรือฆ่ามัน จะเป็นวิธีการที่แสนธรรมดากับฝ่ายตรงข้ามตน  ถ้าเรามองให้เห็นที่มาของการชุมนุมครั้งนี้แน่นอนการเข้าร่วม อาจจะมีเหตุผลที่มาแตกต่างกันหลากหลาย  สิ่งที่เป็นเรื่องหลักคือความเหลื่อมล้ำทางสังคม การเข้าไม่ถึงการใช้ทรัพยากร ,การขาดโอกาสในการบริการของภาครัฐ,หรือเข้าไม่ถึงการพัฒนานั้นเอง และสังคมไทยโดยเฉพาะชนชั้นกลางต้องแยกแยะให้ชัดว่าใครคือผู้ชุมนุมที่เดือดร้อนจากปัญหาการพัฒนา ดังนั้น  ถ้าเราไม่แยกแยะ เหมารวม หรือไม่เข้าใจที่มาของปัญหาหรือมีทัศนะคติด้านลบต่อการชุมนุมเสียแล้ว ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจะไม่ได้รับการแก้ไขช่องว่างของคนในสังคมจะถางขึ้น ดังนั้นความเข้าใจต่อปัญหาการชุมนุมจึงเป็นวาระหลักของคนในสังคมไทยที่ต้องทำความเข้าใจร่วมกัน

ในขณะที่รัฐเอง (กลุ่มอำนาจใหม่) ฉวยโอกาสที่จะเล่นงานฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองทันที่นั้นคือการเสนอ พรบ.ชุมนุมสาธารณะเข้า ครม.เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2553 ที่ผ่านมา  การเสนอ พรบ.ฉบับ ดังกล่าว อาจจะสะใจหรือได้รับแรงสนับสนุนกลุ่มคนที่เบื่อม็อบหรือเรียกร้องหากติกาการชุมนุมแต่โดยเนื้อหาแล้วเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชน ส่วนของชาวบ้านที่ต้องใช้สิทธิการชุมนุมเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมมันคือการมัดมือชก  เพราะการเรียกร้อง คัดค้านโครงการพัฒนาฯ ที่ผ่านระบบตัวแทน ส.ส.หรือข้าราชการ ปัญหามักจะไม่ได้รับการแก้ไข จนทำให้กลุ่มชาวบ้านต้องออกมาเดินขบวนชุมนุมประท้วง ปิดถนน หรือเข้ามาชุมนุมในกรุงเทพฯ เพื่อกดดันรัฐบาล 

กระแสการปฏิรูปประเทศไทยครั้งนี้ คงไม่ใช่การปฏิรูปประเทศไทยเพื่อนำไปสู่การจัดความสัมพันธ์ทางการเมืองของคนชั้นนำที่รวมหัวกับนายทุน ปล้นทรัพยากรจากชุมชนเพื่อตอบสนองความร่ำรวย แต่ปัญหาชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาต้องเป็นวาระหลักในการปฏิรูปครั้งนี้อันจะส่งผลให้สังคมไทยมีความสุขสงบในระยะยาวต่อไป.

 

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"พี่ยิ้ม"

Posted: 29 May 2010 03:07 AM PDT

<!--break-->

เมื่อวันที่ ๙ พ.ค. ศกนี้สำนักข่าวบีบีซีได้สัมภาษณ์นางอิเมลดา มาร์คอสภรรยาม่ายวัย ๘๐ ปีของอดีตประธานาธิบดี-จอมเผด็จการเฟอร์ดินานด์ มาร์คอสแห่งฟิลิปปินส์ (ผู้ชนะเลือกตั้ง ๒ ครั้งนับแต่ ค.ศ. ๑๙๖๕ แต่หันมาประกาศกฎอัยการศึก ระงับรัฐธรรมนูญ ยุบสภาและรวบอำนาจปกครองเบ็ดเสร็จจาก ค.ศ. ๑๙๗๒ – ๘๖ จนถูกการปฏิวัติโดยอำนาจประชาชน – People Power Revolution – โค่นขับออกนอกประเทศ) เธอลงสมัครและเพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัด Ilocos Norte ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตระกูลมาร์คอสในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา

ตอนหนึ่งของคำสัมภาษณ์ อิเมลดาผู้ผ่านประสบการณ์การเมืองมาโชกโชนได้กล่าวสรุปแก่นแท้ของ "อำนาจ" ให้ฟังว่า: -

"เมื่อมาร์คอสประกาศกฎอัยการศึกได้ ๓ ปีและยังไม่สั่งประหารชีวิตใครเลยสักคน ฉันเข้าไปหาเขาแล้วบอกว่า  ′เฟอร์ดินานด์ จะมีอำนาจไว้เพื่ออะไรเมื่อคุณไม่แม้แต่สั่งประหารชีวิตใครเลยสักคน?′"

"เขาบอกกับฉันว่า: ′อิเมลดา ศิลปะในการใช้อำนาจนั้นน่ะคือไม่มีวันที่จะใช้อำนาจ แต่ต้องให้มันเป็นที่รู้สึก มันก็เหมือนปืนที่มีกระสุนพันนัดน่ะแหละ พอเธอใช้ปืนเข้า  เธอก็จะไม่มีกระสุนพันนัดอีกต่อไป เธอจะเหลือแค่ ๙๙๙ นัด ศิลปะในการใช้อำนาจก็คือไม่มีวันใช้อำนาจ แต่ต้องให้มันเป็นที่รู้สึก′"

(ดูวีดิโอสัมภาษณ์นางอิเมลดา มาร์คอสได้ที่ news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/8670594.stm โดยเฉพาะนาทีที่ ๑:๑๒ – ๑:๔๒)
           
รัฐบาลของนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเพิ่งใช้ "อำนาจ" ภาวะฉุกเฉินที่ยังผลให้มีคนตายไปทั้งสิ้น ๘๘ คน บาดเจ็บ ๑,๘๘๕ คน
               
น่าสงสัยว่าตอนนี้รัฐบาลเหลือ "อำนาจ" เท่าไหร่กัน? ไม่เพียงเฉพาะอำนาจยิงของปืนที่สิ้นเปลืองกระสุนไปเท่านั้น แต่ที่สำคัญคืออำนาจในการครองใจประชาชน ให้พวกเขายอมทำตามคำสั่งรัฐบาล เพราะเห็นว่านี่เป็นรัฐบาลของพวกเขาเอง
               
ถ้ามองแบบอิเมลดา "อำนาจ" นั้นก็ลดถอยน้อยลงไป ๘๘ ศพกับอีก ๑,๘๘๕ คน ยังไม่นับญาติมิตรและผู้เห็นอกเห็นใจคนเหล่านั้น อีกทั้งผู้เรียกร้องต้องการความจริงและความยุติธรรมในประเทศและทั่วโลก
               
ดูเหมือนจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายร่วม ๒ พันคนจะเป็น "ความดีความชอบ" เพียงอย่างเดียวของรัฐบาลในการบริหารจัดการความขัดแย้งในบ้านเมืองรอบ ๒ เดือนที่ผ่านมา
           
และรัฐบาลที่มี "อำนาจ" เหลือแค่นี้และมี "ความดีความชอบ" ต่อประเทศและประชาชนไทยอย่างแสนสาหัสขนาดนี้ก็ยังออกอาการลุแก่อำนาจ เที่ยวข่มเหงรังแกไล่ล่าจับกุมคุมขังฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองทั่วประเทศด้วยข้อกล่าวหาร้ายแรงอย่าง "ก่อการร้าย" และ "ล้มเจ้า" โดยที่ในหลายกรณีไม่ปรากฏหรือแสดงพยานหลักฐานอย่างชัดเจน
               
ถามจริง ๆ เถอะผู้บริหารรัฐบาลบ้าอำนาจหรือกลัวผลกรรมตามสนองจนสติแตกไปแล้วหรือไง?
           
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโฆษณาสั่งการประณามถากถางทางทีวีอยู่ปาว ๆ ข้างเดียวดังมีวาจาสิทธิ์วันละหลายเพลานั้นนาน ๆ เข้าอาจส่งผลข้างเคียงให้เคลิบเคลิ้มจนพูดจาเลอะเทอะสมองเละเทะเป็นวุ้นเจเล่ได้!

กรณี "พี่ยิ้ม" หรือผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถูกศอฉ.กล่าวหาจับกุมคุมขังเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของอาการลุแก่อำนาจดังกล่าว
           
ผมรู้จักพี่ยิ้มมานานตั้งแต่ครั้งเรียนหนังสือและทำกิจกรรมร่วมกันที่ธรรมศาสตร์หลัง ๑๔ ตุลาฯ ๒๕๑๖ ได้ผ่านประสบการณ์สารพัดมาด้วยกันไม่ว่ารัฐประหารและฆ่าหมู่ ๖ ตุลาฯ ๒๕๑๙, เข้าป่าต่อสู้เผด็จการ, ออกจากป่ากลับมาเรียนหนังสือ, ทำงานฝ่ายข่าวต่างประเทศกองบก.หนังสือพิมพ์เศรษฐกิจการเมืองที่มีพี่วิชัย บำรุงฤทธิ์เป็นบก.และพี่ปรีดี บุญซื่อเป็นหัวหน้าฝ่าย ฯลฯ

ก่อนจะแยกย้ายไปสอนหนังสือและเรียนต่อคนละที่ละทางโดยผมเข้าสอนที่รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา ส่วนพี่ยิ้มเข้าสอนที่อักษรศาสตร์ จุฬาฯและไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยบริสทอล ประเทศอังกฤษ

ครั้นกลับมาเจอกันที่เมืองไทย ก็ยังได้ร่วมงานวิชาการและกิจกรรมกันเป็นระยะสืบมา

ในฐานะเพื่อนเก่าแก่ ผมมีเรื่องอยากบอกเล่าเกี่ยวกับพี่ยิ้ม ๒ – ๓ อย่างคือ: -

๑) พี่ยิ้มเป็นนักวิชาการทางประวัติศาสตร์ที่มีคุณภาพชั้นแนวหน้าและใส่ใจค้นคว้าวิจัยจริงจัง

ก่อนจะมาเป็นนักวิชาการ พี่ยิ้มเป็นนักหนังสือพิมพ์มาก่อน ผมเห็นว่าจุดเด่นคือพี่ยิ้มได้ใช้ทักษะสืบสวนสอบสวนแกะรอยเส้นสายสัมพันธ์ในกองทัพแบบนักข่าวสายทหารมาประยุกต์วิเคราะห์เครือข่ายสายสัมพันธ์ของกลุ่มทหารในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ตั้งแต่คณะราษฎร ๒๔๗๕ มาจนถึงคณะรัฐประหาร ๒๔๙๐ และคณะปฏิวัติ ๒๕๐๑ ว่าแบ่งกลุ่มแบ่งสายเชื่อมโยงกับนักการเมืองพรรคฝ่ายต่าง ๆ รวมทั้งนักหนังสือพิมพ์และนักเคลื่อนไหวมวลชนอย่างไร

ผลงานค้นคว้าวิจัยที่ว่านี้ปรากฏเป็นวิทยานิพนธ์มหาบัณฑิตด้านประวัติศาสตร์ของพี่ยิ้มเรื่อง "การเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต่อต้านรัฐสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม (พ.ศ. ๒๔๙๑ – ๒๕๐๐)" ซึ่งเสนอต่อบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาฯในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ และต่อมาตีพิมพ์เป็นเล่มชื่อ แผนชิงชาติไทย: ว่าด้วยรัฐและการต่อต้านรัฐสมัยจอมพลป.พิบูลสงครามครั้งที่สอง (พ.ศ. ๒๔๙๑ – ๒๕๐๐) (พิมพ์ ๒ ครั้งในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ และล่าสุด ๒๕๕๐)

ในฐานะที่ผมเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเกี่ยวกับขบวนการปัญญาชน-วัฒนธรรมฝ่ายซ้ายไทยในช่วงดังกล่าวเช่นกัน (Commodifying Marxism: The Formation of Modern Thai Radical Culture, 1927 – 1958) ผมได้ใช้ประโยชน์จากงานของพี่ยิ้มในการค้นคว้าข้อมูลและเข้าใจการเมืองสมัยนั้นมาก และเห็นด้วยเต็มที่กับการประเมินของอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริในคำนำเสนอของหนังสือ แผนชิงชาติไทย ฉบับพิมพ์ครั้งหลังว่างานของพี่ยี้มเล่มนี้:

"น่าจะเป็นหนังสือที่ดีที่สุด ละเอียดลออที่สุด เป็นวิชาการที่สุดที่เรามีอยู่ในภาษาไทยเกี่ยวกับ ′รัฐประหาร ๒๔๙๐′ และ ′ระบอบทหาร/ระบอบพิบูลสงคราม′ กับการเมืองไทยในช่วง พ.ศ. ๒๔๙๑ – ๒๕๐๐ อันมีอำมาตยาธิปไตยทหารเป็นผู้นำ" 
 
งานค้นคว้าวิจัยและเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ในชั้นหลังของพี่ยิ้มก็พยายามสืบสานต่อจากที่ทำไว้เดิมโดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ขบวนการสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์ในประเทศไทยและระดับโลก, ขบวนการนักศึกษาประชาชนช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาฯ ๒๕๑๖, การรับข้อมูลและสืบพยานเหตุการณ์ ๖ ตุลาฯ ๒๕๑๙, การเข้าป่าของนักศึกษาปัญญาชนและความขัดแย้งแตกแยกในขบวนการคอมมิวนิสต์ไทยหลัง ๖ ตุลาฯ เป็นต้น (ดูรายละเอียดได้ที่ www.arts.chula.ac.th/~history/viewteacher.php?id=5)
              
และยังมีวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของพี่เรื่อง  "Portuguese Lançados in Asia in the sixteenth and seventeenth centuries" (ค.ศ. ๑๙๙๘) กล่าวได้ว่าพี่ยิ้มน่าจะเป็นนักประวัติศาสตร์ไทยรุ่นปัจจุบันคนเดียวที่เรียนรู้ภาษาโปรตุเกสและค้นคว้าวิจัยประวัติความสัมพันธ์สยาม-โปรตุเกสสมัยอยุธยามาโดยตรง
 
๒) พี่ยิ้มเป็นผู้รักความเป็นธรรมและสังคมประชาธิปไตยอย่างแน่วแน่มั่นคง

ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะประสบการณ์ครบเครื่องในอดีตในฐานะ "คนเดือนตุลาฯ",ประกอบกับศรัทธามั่นคงต่ออุดมการณ์สังคมประชาธิปไตย (social democracy) และความรู้ความเข้าใจบทเรียนจากประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยพุทธทศวรรษที่ ๒๔๙๐ อย่างลึกซึ้ง ดังนั้นนอกจากสอนหนังสือและทำงานวิชาการแล้ว พี่ยิ้มก็ยังสนับสนุนเข้าร่วมการเคลื่อนไหวประท้วงของชาวบ้าน-ชุมชน-คนงานผู้เสียเปรียบและลุกขึ้นเรียกร้องความเป็นธรรมเป็นนิจศีล ไม่ว่าสมัชชาคนจน, กลุ่มชาวบ้านอนุรักษ์บ่อนอก-บ้านกรูด, คนงานหญิงไทรอัมพ์, พรรคแนวร่วมสังคมประชาธิปไตย เป็นต้น

เดิมทีพี่ยิ้มก็คัดค้านนโยบายและการกระทำบางด้านของรัฐบาลทักษิณ เช่น การส่งทหารไทยไปอิรัก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีฆ่าหมู่ที่ตากใบ เมื่อมีการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลทักษิณระยะแรก พี่ยิ้มจึงเห็นด้วย แต่พอพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและคุณสนธิ ลิ้มทองกุลหันไปเรียกร้องให้ถวายพระราชอำนาจคืนโดยอ้างมาตรา ๗ ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ พี่ยิ้มก็รับไม่ได้และเปลี่ยนท่าที เพราะมันซ้ำรอยวิธีการที่พวกขวาจัด-อนุรักษ์นิยมในอดีตอ้างอิงสถาบันกษัตริย์สมัยรัชกาลที่ ๗ มาขัดขวางทำลายเค้าโครงเศรษฐกิจแนวสังคมนิยมของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๖ และต่อมาก็ฉวยใช้กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ มาใส่ร้ายป้ายสีอาจารย์ปรีดีและก่อรัฐประหารโค่นระบอบประชาธิปไตยลงเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐ อันเป็นบทเรียนเลวร้ายทางประวัติศาสตร์ที่พี่ยิ้มค้นคว้าศึกษามาโดยตรง

รัฐประหารของ คปค. เมื่อ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ที่อ้างเหตุประการหนึ่งว่าเพราะรัฐบาลทักษิณกระทำการ "หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์" จึงย่อมเหมือนตอกย้ำลงไปว่าประวัติศาสตร์รัฐประหาร ๒๔๙๐ กำลังเกิดซ้ำรอยต่อหน้าต่อตาอีกครั้งหนึ่งแล้ว และทำให้พี่ยิ้มออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหารครั้งนั้นร่วมกับขบวนการ นปก.-นปช. ในที่สุด
 
๓) พี่ยิ้มเป็นคนซื่อตรงจริงใจต่อความเชื่อของตัวและมีท่าทีการเมืองแบบเดินสายกลาง
               
พี่ยิ้มเป็นคนจริงใจ ซื่อ ๆ ตรง ๆ การเคลื่อนไหวทางการเมืองของพี่ก็เริ่มจากความเชื่อดังกล่าวข้างต้นอย่างบริสุทธิ์ใจ ทำไปตามความเชื่อและสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายที่พึงมี โดยไม่คำนึงถึงชื่อเสียง อำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัว บ่อยครั้งจึงอาจถูกเข้าใจผิด มองไปทางร้ายและเข้าเนื้อเสียหายได้ แต่เอาเข้าจริงพี่ยิ้มเป็นคนที่เดินสายกลางหรือ moderate ทางการเมือง ไม่ได้ตั้งเป้าเรียกร้องอย่างสุดโต่งสุดขั้วหรือถอนรากถอนโคนแต่อย่างใด พูดจาโต้เถียงออกจะนิ่ม ๆ ทื่อ ๆ ตะกุกตะกักติด ๆ ขัด ๆ บ้างด้วยซ้ำไป
               
การที่ชื่อพี่ยิ้มไปโผล่หราในแผนผังเครือข่ายล้มเจ้าของ ศอฉ. จึงเป็นเรื่องชวนฮาเหลวไหลสิ้นดี เพราะเอาเข้าจริงยังมีนักวิชาการรายอื่นที่แสดงทรรศนะต่อต้านรัฐประหาร คปค. อย่างสุดโต่งสุดขั้วถอนรากถอนโคนดุเดือดเลือดพล่านเสียวไส้กว่าพี่ยิ้มมากและต่อมาเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล เขาก็ได้ลาภยศตำแหน่งตอบแทนตามสมควร จนถึงแก่ ส.ว. คำนูณ สิทธิสมาน เคยร้องทัก แต่เขากลับไม่ปรากฏชื่อในแผนผังศอฉ.
               
หรือจะเป็นเพราะว่าหนังสือต้านรัฐประหารเล่มโด่งดังของนักวิชาการท่านนั้น ตีพิมพ์เผยแพร่โดยสำนักพิมพ์ "อะอาอั๊ด" ซึ่งว่ากันว่าได้เม็ดเงินหนุนหลังทั้งที่ขาดทุนเดือนละเป็นแสนจากบิ๊กการเมืองชื่อ  "เออิน" คนเดียวกับที่มีภาพถ่ายยืนโอบกอดเล้าโลมกับ ฯพณฯ ผู้นำรัฐบาลผสมชุดนี้เมื่อแรกตั้งรัฐบาลลงหราในหนังสือพิมพ์หลายฉบับนั่นแหละ?
               
ใครจะไปรู้ว่าขืนใส่ชื่อนักวิชาการท่านนั้นลงแผนผังฯไปด้วย ก็อาจมีคนทะลึ่งลากเส้นเชื่อมโยงต่อจนเลยเถิดถึง ฯพณฯ ผู้นำรัฐบาลเข้าให้จนได้ มันก็จะ "อิ๊บอ๋าย" กันไปใหญ่เท่านั้นเอง!?!
               
การเล่นรังแกพี่ยิ้มด้วยการเอาชื่อแกใส่แผนผังฯ, จับกุมคุมขัง, และยึดหนังสือตำราวิชาการไม่ให้แกอ่านเตรียมสอนตามหน้าที่รับผิดชอบของอาจารย์ จึงสะท้อนลักษณะ "เจเล่" ของมันสมอง ศอฉ. ยิ่งกว่าอื่น
               
ไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือวิธีการใช้อำนาจของคนที่เคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเดียวกับผม!
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"มาร์ค" ยกเลิกประกาศเคอร์ฟิว แต่ยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อ

Posted: 29 May 2010 01:05 AM PDT

<!--break-->

29 พ.ค. 53 - เวลา 13.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายหลังจากที่สิ้นสุดการประกาศเคอร์ฟิล ไปเมื่อ 04.00 น.วันที่ 29 พฤษภาคม จะไม่มีการประกาศเคอร์ฟิวส์เพิ่มเติมอีกในทุกพื้นที่ สิ้นสุดไปเมื่อคืนแล้วก็ไม่ต่อแล้ว ส่วนการประกาศใช้ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นจะยังคงอยู่ ฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้เสนอเหตุผลมา

ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าเป็นการเสนอมาโดยฝ่ายความมั่นคง โดยมีเหตุผลว่าคิดว่าสถานการณ์สามารถควบคุมได้ และเจ้าหน้าที่ก็เป็นฝ่ายประเมินมาเองว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และกับตนนั้นก็เห็นด้วย และจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันนี้ เพราะทุกอย่างได้จบไปตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: ไทยรัฐ, มติชน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"หมอตุลย์" เตรียมนำเสื้อหลากสีทำบุญให้ทหารเสียชีวิตจากการสลายเสื้อแดงพรุ่งนี้

Posted: 29 May 2010 12:46 AM PDT

"นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์" เตรียมยื่น 20,000 ชื่อถอดถอน "จตุพร-อภิวันท์" ฐานขัดรัฐธรรมนูญ เผยพรุ่งนี้เสื้อหลากสีจะทำบุญให้ทหารที่เสียชีวิต พร้อมมอบเงินช่วยเหลือให้ญาติทหารที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ

<!--break-->

ASTVผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานงานกลุ่มเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน หรือกลุ่มเสื้อหลากสี กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 31 พ.ค.นี้ กลุ่มคนเสื้อหลากสี ที่รวบรวมรายชื่อได้ 20,000 รายชื่อ พร้อมที่จะไปรัฐสภาเพื่อยื่นหนังสือขอถอดถอน นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะ ส.ส.นนทบุรี และนายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย ฐานเป็น ส.ส.กระทำตัวขัดรัฐธรรมนูญ

นพ.ตุลย์ กล่าวด้วยว่า กลุ่มเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน ได้เตรียมจัดกิจกรรมทำบุญเลี้ยงพระ ( ถวายเพล) เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับทหารที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ พร้อมกับมอบเงินช่วยเหลือให้กับญาติของทหารที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2553 เวลา 09.00 น. ที่บริเวณพระตำหนักเทวราชสภารมย์ ฝั่งพระราชวังพญาไท โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

ASTVผู้จัดการออนไลน์ รายงานด้วยว่า ผู้ใช้ “ทวิตเตอร์” นัดรวมพลกันวันอาทิตย์ที่ 30 พ.ค.2553 นี้ที่ร้านกาแฟวาวี ซอยอารีย์ ตั้งแต่เวลา 13.30 น.เป็นต้นไป เพื่อมาร่วมกันระดมสมองช่วยกันคิดหาทางออกให้กับสังคมไทย ในงาน "ระดมสมองทวิตเตอร์แก้วิกฤตชาติ" หรือ TWT FOR THAILAND ด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่า “เราจะเป็นส่วนหนี่งที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่เพื่อสร้างสรรค์สังคมไทยให้ดีขึ้น”

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ตำรวจตามหาญาติเด็กชายที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายชุมนุม 15 พ.ค. 53

Posted: 29 May 2010 12:40 AM PDT

<!--break-->

29 พ.ค. 53 - กลุ่มเฟซบุ๊คกิจกรรมพาน้องกลับบ้าน รายงานว่า พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ แสงกล้า พนักงานสอบสวน(สบ ๒) สถานีตำรวจนครบาลพญาไท ขอความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์ว่า เด็กชายไม่ทราบชื่ออายุระหว่าง ๑๓ - ๑๔ ปี ถูกยิงด้วยกระสุนทะลุผ่านหน้าท้องเสียชีวิตบริเวณปากซอยหมอเหล็ง (ซอยบ้านพักอดีตนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย) เมื่อคืนวันศุกร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เวลาประมาณ ๒๓.๓๐ น. เด็กชายดังกล่าวใส่เสื้อเชิ้ตคอโปโลสีขาว ปัก SR Telecom ที่หน้าอกเสื้อข้างซ้าย ผู้ใดสามารถระบุรูปพรรณ หรือเป็นญาติมิตร กรุณาติดต่อ พ.ต.ท. เทพพิทักษ์ แสงหล้า สารวัตรสอบสวนเจ้าของคดี โทรศัพท์ 081-804-2005 หรือที่ saengthep@hotmail.com หรือที่ สน.พญาไท ทุกวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันจะหาตัวคนผิดมารับผิดชอบจนถึงที่สุด

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

Bangkok Pundit : ข่าวของ CNN มีอคติจริงหรือ?

Posted: 29 May 2010 12:27 AM PDT

<!--break-->

สุทธิชัยจากเครือเนชั่นได้ทวีตว่าจดหมายเปิดผนึกถึง CNN นั้น “เด็ด” จดหมายฉบับนี้ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางทางเฟสบุ๊คและทวิตเตอร์

จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้เขียนโดยนภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ และเผยแพร่ทางเฟสบุ๊ค เราลองมาประเมินสิ่งที่ถูกกล่าวอ้างไว้ในจดหมายดังต่อไปนี้
จดหมายเปิดผนึกถึง CNN
เรียนผู้ที่เกี่ยวข้อง
เมื่อไม่นานมานี้ ผู้สื่อข่าว CNN ประจำประเทศไทย ทั้งแดน ริเวอร์ และ ซาร่าห์ ซไนเดอร์ ทำให้ดิฉันต้องกลับมาพิจารณาอย่างจริงจังว่าสำนักข่าวของคุณนั้นเผยแพร่ข่าวที่เชื่อถือได้ มีความถูกต้อง และไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่ ในขณะที่ดิฉันกำลังเขียนจดหมายฉบับนี้ นอกจากจะตั้งคำถามกับการเสนอข่าวเรื่องเหตุการณ์ในกรุงเทพฯแล้ว ผู้ชมข่าวของ CNN นับพันๆ คนยังได้เริ่มตั้งคำถามถึงความเที่ยงตรง และเชื่อถือพึ่งพาได้ ของการรายงานเหตุการณ์อย่างในอาฟกานิสสถาน ไฮติ อิรัก อิหร่าน อีกด้วย
ในฐานะที่เป็นสำนักข่าวชั้นนำของโลก CNN มีหน้าที่ทางวิชาชีพในการเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านต่อประชาชนทั่วโลกที่มอบความไว้วางใจและควมเชื่อถืออย่างจริงใจกับท่าน สำนักข่าวของท่านซึ่งครอบคลุมหลายประเทศและเข้าถึงข้อมูลกว้างไกล อยู่ในสถานะที่ได้รับความไว้วางใจ นักข่าว ผู้สื่อข่าว และผู้ที่ทำการวิจัยข้อมูลของ CNN ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันในการปฏิบัติตนตามมาตรฐานการปฏิบัติและจริยธรรมของผู้สื่อข่าว เพื่อนำเสนอเรื่องราวและข้อเท็จจริงทุกแง่มุม ไม่ใช่การนำเสนอข่าวด้านเดียว ที่ตื้นเขิน และเสนอความจริงสะเทือนอารมณ์เพียงครึ่งเดียว ความเสียหายที่เกิดขึ้นและที่อาจจะเกิดขึ้นจากการรายงานข่าวอย่างผิดพลาดและไม่ตรงความจริง ที่มีต่อ(หรือยิ่งซ้ำเติมให้แย่ลง)ทั้งกิจการภายในของประเทศ ภาวะเศรษฐกิจ และความเข้าใจของประชาคมโลก และทั้งชีวิตและวิถีชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์และไร้ปากเสียงของประเทศนั้นๆ นั้นมหาศาลมาก CNN ไม่ควรจะละเลยพันธกิจของตนที่มีต่อประชาคมนานาชาติ โดยการนำเสนอข้อเท็จจริงเพียงด้านเดียวหรือที่ไม่ผ่านตรวจสอบยืนยันความถูกต้อง และโดยการบิดเบือนข้อเท็จจริงที่นำมาจากการการวิจัยอย่างผิวเผิน หรือการนำเสนอ/แจกจ่ายรูปภาพที่มีอคติ ที่บันทึกเพียงด้านเดียวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
คุณริเวอร์ และคุณซไนเดอร์ ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดภายใต้ภาวะที่เสี่ยงชีวิตเช่นนี้ เนื่องจากผู้สื่อข่าวต่างประเทศของสำนักข่าวอื่นๆ ทำได้ดีกว่านี้ ทุกสิ่งที่คุณริเวอร์ และคุณซไนเดอร์ อ้างคำพูดและกล่าวถึง ล้วนแต่นำมาจากเพียงปากของแกนนำผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล หรือตัวผู้ชุมนุมและผู้ที่เห็นใจการชุมนุมครั้งนี้เท่านั้น ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับจุดยืนของรัฐบาลนั้นล้วนมาจากแหล่งข่าวทุติยภูมิเท่านั้น ไม่มีการนำเสนอการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่รัฐโดยตรงเลย ไม่มีการสัมภาษณ์หรือเสนอปากคำของชาวกรุงเทพฯทั่วไป หรือพลเรือนที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ชุมนุมเลย โดยเฉพาะผู้ที่ถูกล่วงละเมิดหรือต้องทนทุกข์จากการกระทำของผู้ชุมนุม
Bangkok Pundit (BP): รายละเอียดเกี่ยวกับจุดยืนของรัฐบาลนั้นล้วนมาจากแหล่งข่าวทุติยภูมิเท่านั้นหรือ? ดู ลิงก์ CNN นี้ ซึ่งเป็นการสัมภาณ์นายกรณ์ จาติกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คลิ๊ก ลิงก์ CNN นี้ เพื่อดูการสัมภาษณ์ปณิธาน วัฒนายากร ซึ่งทั้งสองชิ้นนี้เป็นการสัมภาษณ์ในช่วงไม่กี่วันนี้ CNN ได้ถ่ายทอดบทสัมภาษณ์เช่นนี้ซ้ำหลายครั้ง จึงไม่อาจเข้าใจได้ว่าคุณนภัสพลาดไปได้อย่างไร
ที่ด้านซ้ายมือของหน้าลิงก์ที่ให้ไป คุณจะเห็นภาพหน้าของนายกรณ์ และนายปณิธาน คลิ๊กเข้าไปตรงนั้นแล้วจะปรากฏวิดีโอบทสัมภาณ์ขึ้น
ดูเรื่องผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมที่ "Battle for downtown Bangkok hits economy" (การต่อสู้แย่งชิงพื้นที่ใจกลางเมืองส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ) ดูคำให้การของผู้ได้รับผลกระทบที่ CNN:
การขู่ว่าจะใช้ความรุนแรงทำให้ถนนสายที่ปกติวุ่นวายเงียบลงไป ผู้คนอยู่แต่ในบ้านและปิดสำนักงาน โรงเรียน และห้างสรรพสินค้า
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวว่า มีกลุ่มหมอเดินทางไปที่วัดแห่งหนึ่งในวันจันทร์ เพื่อให้การดูแลทางการแพทย์แก่ผู้หญิงและเด็กที่เข้าไปหลบภัยอยู่ที่นั่น
สุภัทรา เย็นสถิตย์วงศ์-อัศวสุกรี กล่าวว่าความรุนแรงทำให้โรงงานผลิตสินค้าและธุรกิจการค้าของเธอต้องย้ายการประชุมกับลูกค้าไปที่ย่านชานเมือง และทำให้โรงเรียนของลูกชายเธอปิด และเธอไม่สามารถไปชอปปิ้งที่ใจกลางเมืองได้
ทุกคนหวังว่ามันจะสิ้นสุดลงเร็วๆนี้ นี่มันทำลายอะไรหลายอย่างจริงๆ” เธอกล่าว
เบธ แสงาว ผู้บริหารโรงเรียนคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เล่าว่าดูเหมือนความรุนแรงจะยกระดับขึ้นเรื่อยๆ
“ปกติแล้วประเทศไทยเป็นประเทศที่สงบ.....ดิฉันมั่นใจว่านี่จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ดิฉันห่วงเศรษฐกิจ” เธอกล่าว

BP: ดู ลิงก์นี้ และคลิ๊กที่วิดีโอเรื่อง "Thai Residents Living in Chaos" (คนในเมืองไทยอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย) CNN สัมภษณ์คนที่ติดอยู่ในบริเวณที่ชุมนุม และไม่มีที่ไป ไม่ได้มีรายงานเช่นนี้เพียงชิ้นเดียว แต่ในช่วงสี่วันที่ผ่านมามีถึงสามชิ้น CNN ทำรายงานเพื่อประเทศไทยหลายเรื่องมาก
จดหมายเปิดผนึกกล่าวต่อไปว่า:
เหตุใดจึงมีความแตกต่างไม่เท่าเทียมกันในเรื่องแหล่งข้อมูล เหตุใดจึงไม่มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับความพยายามหลายต่อหลายครั้งของรัฐบาลในการที่จะเจรจาหรือเชื้อเชิญให้ผู้ชุมนุมกลับบ้าน เหตุใดจึงไม่มีการออกอากาศวิธีการหลากหลายที่ฝ่ายผู้ชุมนุมเสื้อแดงได้สร้างความหวาดกลัวและทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยการเผาห้างร้านของพวกเขา การเผายางรถยนต์ล้อมอาคารที่พักอาศัย การยิงลูกแก้วจากมุมสูงไปที่พลเรือนทั่วไป การทำร้ายพลเรือนที่อยู่ในรถยนต์ตัวเอง และที่ร้ายที่สุดก็คือการขัดขวางการทำงานของหน่วยกู้ชีพและรถพยาบาลที่ลำเลียงพลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บจากระเบิด M79 ในเหตุการณ์วันที่ 24 เมษายน ที่สีลม และทำให้มีพลเรือนหนึ่งคนเสียชีวิต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลำดับทั้งหมดที่บีบบังคับให้ทางฝ่ายรัฐบาลต้องมีท่าทีเช่นนี้นั้นถูกเพิกเฉยอย่างยิ่งและอย่างไร้ความรู้สึกในการพูดถึงคนเสื้อแดงว่าผู้เป็น “เหยื่อของความอยุติธรรม”
BP: ผู้เสียชีวิตเป็นพลเรือนเพียงคนเดียวเช่นนั้นหรือ? แล้ว พลเรือน 34 คน ที่ถูกฆ่าตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 13 เล่า? ข่าวนี้อ้างคำพูดของนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ ที่ว่า:
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าปฏิบัติการของรัฐบาลนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันประเทศไทยจากการจมลงสู่ภาวะไร้ขื่อแป เขากล่าวว่าหน่วยงานความมั่นคงและฝ่ายปกครองของรัฐบาลกำลังพยายามต่อต้านผู้ชุมนุมประท้วงกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงเพื่อทำให้เกิดสงครามกลางเมือง
"รัฐบาลได้เสนอแผนปรองดองแต่ก็ถูกปฏิเสธไป นี่ไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย จะเป็นประโยชน์ก็แต่เพียงกับคนกลุ่มเล็กๆที่ต้องการทำร้ายประเทศ และนำประเทศไปสู่ภาวะสงครามกลางเมือง ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกเขาใช้ชีวิตของประชาชนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง” เขากล่าว
BP: สำหรับในส่วนอื่นๆ เธอได้ให้ลิงก์มามากมาย แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นการเฉพาะกับข้อกล่าวหาของเธอเกี่ยวกับเรื่องที่ CNN ไม่นำเสนอ
จดหมายเปิดผนึกกล่าวต่อไปว่า:
การเลือกใช้คำศัพท์และถ้อยคำปลุกเร้าอารมณ์ในทุกๆ รายการข่าวและการรายงานข่าว และการเลือกภาพเพื่อออกอากาศ ของคุณริเวอร์และคุณซไนเดอร์ ทำให้ทหารที่ปฏิบัติตามกฎหมาย และรัฐบาลไทยที่ถูกกดดันอย่างหนัก ถูกป้ายสีไปในทางลบ มีความโหดร้าย และกดขี่ ในขณะที่ฝ่ายที่รุนแรงอย่างแท้จริงและละเมิดกฎหมายของผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อการกระทำก้าวร้าวอย่างเปิดเผยต่อทหารที่ติดอาวุธและต่อพลเรือนมือเปล่าที่ช่วยตัวเองไม่ได้ และผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงที่เคยรุ่งเรืองนี้ที่ไม่ได้ฝักใฝ่การเมืองฝ่ายใด (และเป็นกลุ่มที่การกระทำของพวกเขาจะถูกเรียกตามกฎหมายอเมริกันว่าเป็นการกระทำที่เป็นการก่อการร้าย) กลับถูกวาดภาพว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพโดยชอบธรรมที่สมควรจะได้รับความเห็นใจและการสนับสนุนจากทั่วโลก นี่เป็นการทำให้กลุ่มผู้เฝ้าระวังสิทธิมนุษยชนในระดับนานาชาติทั้งหลายเข้าใจผิดไปเชื่อว่ารัฐบาลไทยได้ส่งทหารที่ชื่นชอบการลั่นไกปืนไปเข่นฆ่าพลเรือนที่ไม่ได้ติดอาวุธอย่างโหดเหี้ยมโดยปราศจากเหตุอันควร
BP: เป็นการยากที่จะวิจารณ์ในส่วนนี้ เนื่องจากเธอไม่ได้ชี้ไปที่การรายงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งโดยเฉพาะ คุณคงทราบดีว่าเมื่อคุณวิพากษ์วิจารณ์ใคร คุณก็จะต้องอ้างคำพูดถึงสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นเรื่องที่กล่าวผิดไป แต่นภัสกลับเพียงอ้างถึงเรื่องบางอย่างโดยที่ไม่ได้มีหลักฐานสนับสนุนสิ่งที่เธอยกขึ้นมา
BP: จากนั้นเธอได้ให้รายการหลักฐานโดยไม่ได้ชี้แจงเฉพาะเจาะลงหรือเน้นให้เห็นว่าหลักฐานที่เธอให้มานั้นดีกว่าอย่างไร ตัวอย่างเช่น บทความของนิวยอร์คไทมส์ (รายการที่ 1) ที่เธอต้องการให้ CNN นำเสนอ กล่าวถึง:
ช่างภาพคนหนึ่งรายงานว่าได้เห็นผู้เสียชีวิตหรือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสองรายที่ไม่มีผู้เข้าไปช่วยเหลือนอนอยู่ข้างถนนเป็นระยะเวลานาน เนื่องจาก(ผู้ที่จะเข้าไปช่วยเหลือ)กลัวพลซุ่มยิง ทหารไม่อนุญาตให้รถพยาบาลผ่านแนวกั้นถนนเข้าไป ช่างภาพคนนั้นกล่าว ซึ่งหมายความว่าหน่วยกู้ชีพต้องคลานเข้าไปพร้อมกับเปลหามเพื่อนำร่างเหยื่อออกมา
BP: การขัดขวางรถพยาบาล นี่คือสิ่งที่เธอกล่าวหาว่าผู้ชุมนุมเสื้อแดงทำ แต่ลิงก์ที่เธอให้มากลับระบุว่าทหารเป็นฝ่ายกระทำเช่นนั้น
เอาล่ะ สมมติว่าเธอกล่าวถูกที่ว่าการรายงานข่าวของ CNN นั้น “เป็นการนำเสนอข่าวด้านเดียว ที่ตื้นเขิน และเสนอความจริงสะเทือนอารมณ์เพียงครึ่งเดียว” แต่เธอกลับไม่ได้แสดงให้เราเห็น
ข้อร้องเรียนของเธอดูเหมือนจะเกี่ยวกับการที่ CNN ออกไปตามท้องถนนแล้วเห็นการปะทะที่เกิดขึ้น อันเป็นสิ่งที่สื่อต่างประเทศทำได้ดีกว่าสื่อไทยมากนัก (ยกเว้นในสื่อไทยอย่างทีวีไทย และ TNN) ตัวอย่างเช่น ในรายงาน Bangkok Street Battles (การปะทะตามท้องถนนในกรุงเทพฯ) CNN เห็นคนใช้หนังสติ๊กยิง CNN เห็นประชาชนที่ไม่มีอาวุธและหน่วยกู้ภัยถูกยิง แล้ว CNN ไปที่ฝั่งทหารเพื่อดูว่าทหารยิงอะไร คุณจะก็ได้เห็นว่าทหารยิงอย่างค่อนข้างไร้ทิศทาง ข้อมูลที่ CNN รายงานผิดไปก็คือเมื่อรายงานว่ามีทหารสองนายเสียชีวิต ที่จริงแล้วมี ทหารเพียงนายเดียว ที่เสียชีวิต
เธอได้ให้หลักฐานต่อไปนี้ไว้ในจดหมาย:
ภาคผนวก
ดิฉันของเสนอตัวอย่างการเสนอข่าวอย่างมีคุณภาพจากสำนักข่าวต่างๆประเทศอื่นๆ โดยนักข่าวต่างชาติที่น่าเคารพ ไว้เป็นข้อมูลให้ท่านพิจารณา เพื่อที่ท่านอาจจะประเมินการทำงานที่คุณภาพต่ำและการเสนอข้อมูลผิดๆ ของการเป็นนักข่าวของคุณริเวอร์และคุณซไนเดอร์ ได้ตามสะดวก:

1. New York Times: http://www.nytimes.com/2010/05/16/world/asia/16thai.html
2. Fox News/Associated Press:
(i) http://www.foxnews.com/world/2010/05/16/chaos-continues-thailand-govt-rejects-talks-continues-crackdown-killed/
(ii) http://www.foxnews.com/world/2010/05/17/thai-red-shirt-general-dies-chaos-continues/
3. Global Post: http://www.globalpost.com/dispatch/thailand/100514/thailand-protests-bangkok
4. NHK: http://www.nhk.or.jp/daily/english/17_15.html
5. Al Jazeera: http://english.aljazeera.net/programmes/listeningpost/2010/04/2010423171540981286.html
6. Deutsche Welle (English media in Germany):
http://www.dw-world.de/dw/article/0,,5575254,00.html
7. ลำดับเหตุการณ์เพื่อวันที่สามของ “สงครามในกรุงเทพฯ” โดยหนังสือพิมพ์รายวันท้องถิ่นในอังกฤษ:
http://www.nationmultimedia.com/home/2010/05/17/politics/What-went-down-30129533.html

วิดีโอในยูทูป ภาพถ่าย บทความ ที่แสดงให้เห็นว่า CNN ไม่ได้เผยแพร่เรื่องราวอะไรบ้าง:
1. http://www.youtube.com/watch?v=F_xg0l6-oHY

[BP: ในวิดีโอนี้คุณจะเห็นภาพคนในชุดดำถือปืนนานประมาณครึ่งวินาที – ชื่อวิดีโอคือ “ผู้ก่อการร้ายเสื้อแดง” วิดีโอไม่ได้แสดงว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นหรือเห็นว่าชายคนนั้นเป็นใคร]
2. http://www.youtube.com/watch?v=6rGqZDvRa_U [BP: วิดีโอนี้มาจากเหตุการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ 14 พ.ค. ที่มีคนกลุ่มหนึ่งเข้าทำร้ายรถทหาร ต่อยทหาร มีเสียงปืนดังขึ้น และทหารล้มลงกับพื้น BP เห็น CNN ออกอากาศวิดีโอนี้บางส่วนเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 16 พ.ค.]
3. http://www.youtube.com/watch?v=r3tfBBSVJdU&feature=player_embedded [BP: วิดีโอเดียวกันกับในข้อที่ 2 แต่ชิ้นนี้มาจากสถานีโทรทัศน์ NBT].
4. http://www.youtube.com/watch#!v=4hmSPbugDAA&feature=related
[BP: ชิ้นนี้เป็นวิดีโอภาพเสื้อแดงคนหนึ่งโชว์ระเบิด M79 ซึ่งพ.อ.สรรเสริญนำมาแสดง ระเบิด M79 ที่กำลังถูกยิงจริงๆแล้วเป็นแบบ
นี้ เนื่องจากอันที่มีควันออกมานั้นจะทำให้สามารถระบุตำแหน่งของผู้ยิงได้]
5. [BP: ไม่มีอะไรในข้อนี้].
6. http://www.youtube.com/watch#!v=XRi6m7QG06M&feature=related [BP: คลิปนี้มาจากเมื่อวันที่ 13 เมษายน ผมไม่มีเวลามาหาในข่าวย้อนหลังของ CNN ดูว่าเมื่อเดือนเมษายน CNN ได้นำเสนอข่าวอย่างไร]
7. http://www.youtube.com/watch#!v=Aws3ZMXzNjs&feature=related [BP
ข่าวทีวีไทย ที่ระบุว่ามีการยิงลูกแก้วใส่คน แต่เราจะไม่ได้เห็นการยิงในภาพ]
8. http://www.youtube.com/watch#!v=giuEOQ62n6E&feature=related [BP: คลิปนี้มาจากเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลจุฬา ผมไม่มีเวลามาหาในข่าวย้อนหลังของ CNN ดูว่าในครั้งนั้น CNN ได้นำเสนอข่าวอย่างไร]
9. http://www.youtube.com/watch#!v=yy3a73Y6fBg&feature=related [BP: คลิปอริสมันต์ เมื่อเดือนมีนาคม]
10. http://www.youtube.com/watch?v=MLuffqnszIY [BP: คลิปคนชุดดำเมื่อวันที่ 10 เมษายน]
11. http://www.youtube.com/watch?v=MqnXV2ltUlE [BP: คลิปเดียวกันกับในรายการที่ 4]
12. http://www.youtube.com/watch#!v=LXMmQReCKVg&feature=related [BP: จากวันที่ 13 เมษายน]
13. http://www.youtube.com/watch#!v=FWN7zYV7_Bo&feature=related [BP: จากวันที่ 13 เมษายน]
14. http://www.youtube.com/watch?v=005jYjmEAVE [BP: จากวันที่ 23 เมษายน จาก Asian Correspondence ด้วย!]
15. http://www.youtube.com/watch?v=ioOrreuQ94c [BP: จากวันที่ 23 เมษายน แต่ในคลิปนี้มีพยานระบุว่า M79 นั้นไม่ได้ยิงมาจากฝั่งเสื้อแดง!]
16. http://tweetphoto.com/22647514 [BP: คำบรรยายภาพระบุว่าเป็น “ที่จุดบุหรี่ เติมโซล่า” แต่มันดูเก่ามากมาก และมีฝุ่นจับเขรอะ]
17. http://www.bangkokpost.com/opinion/opinion/37395/put-an-end-to-this-rebellion?awesm=fbshare.me_AMdZh [BP: เป็นลิงก์ไปสู่หน้าบทความ]
BP: นี่เริ่มไร้สาระไปแล้ว คุณตรวจดูลิงก์ที่เหลือเองได้ ถ้าคุณจะส่งวิดีโอไปยังสำนักข่าว คุณก็ควรจะให้คำบรรยายถึงวิดีโอแต่ละชิ้นและอธิบายด้วยว่ามันเกี่ยวข้องอย่างไร
ถ้าคุณต้องการให้ CNN เสนอวิดีโอจากเมื่อเดือนเมษายน CNN ก็ควรจะเสนอคลิปผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วยเช่นกัน แต่นภัสไม่ได้สนใจในประเด็นนี้ ตัวอย่างที่เหลือที่เธอยกมาคือ:
18. http://www.facebook.com/photo.php?pid=333752&id=118996168116475
19. http://www.youtube.com/watch#!v=El-zPySi9cQ&feature=related
20. http://www.youtube.com/watch#!v=KzcVcHokaVM&feature=related
21. http://www.youtube.com/watch?v=agLBIWDKWkI
22. http://www.youtube.com/watch#!v=34hSEPOC71g&feature=related
23. http://www.youtube.com/watch#!v=kuAQyc5d1HY&feature=related
24. http://www.youtube.com/watch#!v=Pv9Hpfb6gNE&feature=related
25. http://www.youtube.com/watch?v=x7yAVunxw1g&feature=player_embedded
26. http://www.facebook.com/photo.php?pid=328250&o=all&op=1&view=all&subj=122351831122683&aid=-1&id=1785951766
27. http://www.facebook.com/photo.php?pid=5959829&o=all&op=1&view=all&subj=122351831122683&aid=-1&id=506055218
28. http://www.facebook.com/photo.php?pid=5960844&o=all&op=1&view=all&subj=122351831122683&aid=-1&id=506055218
29. http://news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/8684405.stm
30. http://www.facebook.com/video/video.php?v=428905841067&ref=mf
 

 
จดหมายเปิดผนึกฉบับเต็ม
จดหมายเปิดผนึกถึง CNN
เรียนผู้ที่เกี่ยวข้อง
เมื่อไม่นานมานี้ ผู้สื่อข่าว CNN ประจำประเทศไทย ทั้งแดน ริเวอร์ และ ซาร่าห์ ซไนเดอร์ ทำให้ดิฉันต้องกลับมาพิจารณาอย่างจริงจังว่าสำนักข่าวของคุณนั้นเผยแพร่ข่าวที่เชื่อถือได้ มีความถูกต้อง และไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่ ในขณะที่ดิฉันกำลังเขียนจดหมายฉบับนี้ นอกจากจะตั้งคำถามกับการเสนอข่าวเรื่องเหตุการณ์ในกรุงเทพฯแล้ว ผู้ชมข่าวของ CNN นับพันๆ คนยังได้เริ่มตั้งคำถามถึงความเที่ยงตรง และเชื่อถือพึ่งพาได้ ของการรายงานเหตุการณ์อย่างในอาฟกานิสสถาน ไฮติ อิรัก อิหร่าน อีกด้วย

ในฐานะที่เป็นสำนักข่าวชั้นนำของโลก CNN มีหน้าที่ทางวิชาชีพในการเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านต่อประชาชนทั่วโลกที่มอบความไว้วางใจและควมเชื่อถืออย่างจริงใจกับท่าน สำนักข่าวของท่านซึ่งครอบคลุมหลายประเทศและเข้าถึงข้อมูลกว้างไกล อยู่ในสถานะที่ได้รับความไว้วางใจ นักข่าว ผู้สื่อข่าว และผู้ที่ทำการวิจัยข้อมูลของ CNN ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันในการปฏิบัติตนตามมาตรฐานการปฏิบัติและจริยธรรมของผู้สื่อข่าว เพื่อนำเสนอเรื่องราวและข้อเท็จจริงทุกแง่มุม ไม่ใช่การนำเสนอข่าวด้านเดียว ที่ตื้นเขิน และเสนอความจริงสะเทือนอารมณ์เพียงครึ่งเดียว ความเสียหายที่เกิดขึ้นและที่อาจจะเกิดขึ้นจากการรายงานข่าวอย่างผิดพลาดและไม่ตรงความจริง ที่มีต่อ(หรือยิ่งซ้ำเติมให้แย่ลง)ทั้งกิจการภายในของประเทศ ภาวะเศรษฐกิจ และความเข้าใจของประชาคมโลก และทั้งชีวิตและวิถีชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์และไร้ปากเสียงของประเทศนั้นๆ นั้นมหาศาลมาก CNN ไม่ควรจะละเลยพันธกิจของตนที่มีต่อประชาคมนานาชาติ โดยการนำเสนอข้อเท็จจริงเพียงด้านเดียวหรือที่ไม่ผ่านตรวจสอบยืนยันความถูกต้อง และโดยการบิดเบือนข้อเท็จจริงที่นำมาจากการการวิจัยอย่างผิวเผิน หรือการนำเสนอ/แจกจ่ายรูปภาพที่มีอคติ ที่บันทึกเพียงด้านเดียวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
คุณริเวอร์ และคุณซไนเดอร์ ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดภายใต้ภาวะที่เสี่ยงชีวิตเช่นนี้ เนื่องจากผู้สื่อข่าวต่างประเทศของสำนักข่าวอื่นๆ ทำได้ดีกว่านี้ ทุกสิ่งที่คุณริเวอร์ และคุณซไนเดอร์ อ้างคำพูดและกล่าวถึง ล้วนแต่นำมาจากเพียงปากของแกนนำผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล หรือตัวผู้ชุมนุมและผู้ที่เห็นใจการชุมนุมครั้งนี้เท่านั้น ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับจุดยืนของรัฐบาลนั้นล้วนมาจากแหล่งข่าวทุติยภูมิเท่านั้น ไม่มีการนำเสนอการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่รัฐโดยตรงเลย ไม่มีการสัมภาษณ์หรือเสนอปากคำของชาวกรุงเทพฯทั่วไป หรือพลเรือนที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ชุมนุมเลย โดยเฉพาะผู้ที่ถูกล่วงละเมิดหรือต้องทนทุกข์จากการกระทำของผู้ชุมนุม
เหตุใดจึงมีความแตกต่างไม่เท่าเทียมกันในเรื่องแหล่งข้อมูล เหตุใดจึงไม่มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับความพยายามหลายต่อหลายครั้งของรัฐบาลในการที่จะเจรจาหรือเชื้อเชิญให้ผู้ชุมนุมกลับบ้าน เหตุใดจึงไม่มีการออกอากาศวิธีการหลากหลายที่ฝ่ายผู้ชุมนุมเสื้อแดงได้สร้างความหวาดกลัวและทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยการเผาห้างร้านของพวกเขา การเผายางรถยนต์ล้อมอาคารที่พักอาศัย การยิงลูกแก้วจากมุมสูงไปที่พลเรือนทั่วไป การทำร้ายพลเรือนที่อยู่ในรถยนต์ตัวเอง และที่ร้ายที่สุดก็คือการขัดขวางการทำงานของหน่วยกู้ชีพและรถพยาบาลที่ลำเลียงพลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บจากระเบิด M79 ในเหตุการณ์วันที่ 24 เมษายน ที่สีลม และทำให้มีพลเรือนหนึ่งคนเสียชีวิต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลำดับทั้งหมดที่บีบบังคับให้ทางฝ่ายรัฐบาลต้องมีท่าทีเช่นนี้นั้นถูกเพิกเฉยอย่างยิ่งและอย่างไร้ความรู้สึกในการพูดถึงคนเสื้อแดงว่าผู้เป็น “เหยื่อของความอยุติธรรม”
การเลือกใช้คำศัพท์และถ้อยคำปลุกเร้าอารมณ์ในทุกๆ รายการข่าวและการรายงานข่าว และการเลือกภาพเพื่อออกอากาศ ของคุณริเวอร์และคุณซไนเดอร์ ทำให้ทหารที่ปฏิบัติตามกฎหมาย และรัฐบาลไทยที่ถูกกดดันอย่างหนัก ถูกป้ายสีไปในทางลบ มีความโหดร้าย และกดขี่ ในขณะที่ฝ่ายที่รุนแรงอย่างแท้จริงและละเมิดกฎหมายของผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อการกระทำก้าวร้าวอย่างเปิดเผยต่อทหารที่ติดอาวุธและต่อพลเรือนมือเปล่าที่ช่วยตัวเองไม่ได้ และผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงที่เคยรุ่งเรืองนี้ที่ไม่ได้ฝักใฝ่การเมืองฝ่ายใด (และเป็นกลุ่มที่การกระทำของพวกเขาจะถูกเรียกตามกฎหมายอเมริกันว่าเป็นการกระทำที่เป็นการก่อการร้าย) กลับถูกวาดภาพว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพโดยชอบธรรมที่สมควรจะได้รับความเห็นใจและการสนับสนุนจากทั่วโลก นี่เป็นการทำให้กลุ่มผู้เฝ้าระวังสิทธิมนุษยชนในระดับนานาชาติทั้งหลายเข้าใจผิดไปเชื่อว่ารัฐบาลไทยได้ส่งทหารที่ชื่นชอบการลั่นไกปืนไปเข่นฆ่าพลเรือนที่ไม่ได้ติดอาวุธอย่างโหดเหี้ยมโดยปราศจากเหตุอันควร
ในฐานะที่เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ใน "เขตสงคราม" ของกรุงเทพ และมีประสบการณ์ตรงเรื่องผลกระทบจากการชุมนุมเสื้อแดง และกำลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวและกังวลตลอดเวลาว่าครอบครัวของเรา เพื่อนฝูง และบ้านเรือนของเราจะถูกระเบิดหรือถูกโจมตีจากกลุ่มคนต่อต้านรัฐบาลที่ตั้งตนเป็นศาลเตี้ย/เป็นกองกำลังติดอาวุธ ดิฉันขอเรียกร้องไปยังความเที่ยงธรรมทางวิชาชีพของ CNN ให้มีการสืบสวนอย่างวิเคราะห์วิจารณ์และการตรวจสอบการรายงานข่าวที่บิดเบือนของผู้สื่อข่าวทั้งสองของท่าน หากพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะหาข้อเท็จจริงที่จริงแท้จากแหล่งข่าวอื่นๆที่นอกเหนือจากแกนนำผู้ชุมนุมเสื้อแดงและล่ามหรือคนใกล้ชิดคนไทยที่เห็นใจคนเสื้อแดง หรือจากนักข่าวอื่นๆ ที่ไม่ได้พูดภาษาไทยที่ก็ไม่เข้าใจภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสังคม ของไทยเช่นเดียวกันแล้วล่ะก็ CNN ก็ควรจะพิจารณามอบหมายให้ผู้สื่อข่าวคนอื่นมาทำข่าวในประเทศไทย
ดิฉันขออ้อนวอนและกระตุ้นเตือนให้สำนักข่าวของท่านดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขหรือย้อนคืนความอยุติธรรมที่ได้ถูกกระทำกับชาติไทย รัฐบาลไทย และประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติตามกฎหมาย และคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย อันเกิดจากการที่ได้รับรองและนำเสนอข่าวที่ไม่ผ่านการค้นคว้าข้อมูลและนำเสนออย่างผิดๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้น และความรุนแรงที่กำลังยกระดับขึ้นในประเทศไทย
ได้มีการแจกจ่ายสำเนาของจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ไปยังสื่อและเครือข่ายสังคมทั้งของท้องถิ่นและในระดับนานาชาติ เพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้ หากท่านต้องการหลักฐานที่เป็นรูปธรรมและเชื่อถือได้ ที่สนับสนุนและสอดคล้องกับข้อร้องเรียนและข้อกล่าวหาของดิฉันดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น กรุณาติดต่อดิฉันได้เสมอ
ขอบคุณ
ขอแสดงความนับถือ
นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์, นิติศาสตร์มหาบัณฑิต (ลอนดอน)
กรุงเทพฯ
17 พฤษภาคม 2553

 

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รำลึก 18 ปี พฤษภาทมิฬ "โคทม" แนะทุกฝ่ายร่วมปรองดอง

Posted: 28 May 2010 11:46 PM PDT

<!--break-->

29 พ.ค. 53 - สำนักข่าวไทย รายงานว่า ที่สวนสันติพรมีการจัดงานรำลึก 18 ปี 17 พฤษภา “วันพฤษภาประชาธรรม” ที่สวนสันติพร ข้างสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ถนนราชดำเนิน คณะกรรมการจัดงานฯ พร้อมด้วย ญาติวีรชน ร่วมกัน ทำพิธีวางพวงมาลา กล่าวสดุดีวีรชนและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับวีรชนที่สละชีวิต โดยมีบุคคลสำคัญ ร่วมพิธีบางตา โดยส่วนใหญ่ให้ตัวแทนนำพวงมาลา มาร่วมงาน อาทิ นายจาตุรงค์ ปัญญาดิลก ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทน นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายวัลลภ สุวรรณดี ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นตัวแทน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.

นายโคทม อารียา ประธานมูลนิธิพฤษภาประชาธรรม และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การจัดงานนี้ถูกเลื่อนจากกำหนดเดิม ในวันที่ 17 พฤษภาคม เพราะเหตุการณ์ความไม่สงบช่วงที่ผ่านมา  ทั้งนี้ บทเรียนจากเหตุการณ์พฤษภาปี 2535 กับเหตุการณ์พฤษภา ปี 2553 มีทั้งสิ่งที่เหมือนกันและต่างกัน สิ่งที่เหมือนคือทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นบทเรียนของประชาธิปไตยรูปแบบหนึ่ง ส่วนที่ต่างคือการต่อสู้ ซึ่ง พฤษภาปี 2535 เป็นการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ของคนในกรุงเทพฯ เป็นหลัก แต่พฤษภาปี 2553 เป็นการต่อสู้ของฝ่ายเหลืองและแดง ที่กระจายความรุนแรงไปยังต่างจังหวัด ซึ่งน่าเสียดายที่ทั้ง 2 ฝ่าย มีจุดร่วมเรียกร้องประชาธิปไตยเหมือนกัน

นายโคทม กล่าวถึงจุดจบของสถานการณ์ โดยยอมรับว่า คงต้องใช้เวลา  แต่อยากให้สถานการณ์จบลงทันที แต่เป็นสิ่งที่อาจจะไม่เกิดขึ้นเพราะขณะนี้อารมณ์ของคนยังไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาของการปรองดอง ซึ่งต้องเร่งเยียวยาความรู้สึก หากพบข้อเท็จจริงว่ามีการละเมิดผู้อื่น ก็จะต้องมีการลงโทษ หรือขอโทษกัน เพราะที่ผ่านมาแม้จะมีความเห็นหรือการเสนอเรื่องราวดี ๆ ที่เป็นทางออกจากอีกฝ่าย ก็จะถูกปฏิเสธ  พร้อมเสนอให้ระดับผู้นำของทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านและวุฒิสภา แสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ว่าจะร่วมกันปรองดองและหาทางออกให้กับประเทศ เช่น ในวันพรุ่งนี้ เวลา 08.00-10.00 น. เครือข่ายสันติวิธีฯ จะร่วมกันเดินธรรมยาตรา จากแยกราชประสงค์ไปยังแยกคอกวัว เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิต และสู่ขวัญผู้ได้รับผลกระทบที่ยังมีชีวิตอยู่

นายโคทม ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่มีผู้ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม จำนวน 6 ศพ ว่าเป็นเรื่องน่าเสียใจ ตามหลักสากล พื้นที่ในเขตวัด โรงเรียน หรือโรงพยาบาล จะต้องเป็นพื้นที่เขตอภัยทาน หรือความรุนแรงโดยธรรมชาติ  ตนไม่ทราบว่าฝ่ายใดเป็นผู้ลงมือทำ อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากคำสั่งจากทางราชการ และหากเป็นฝั่งรัฐทำก็คงเป็นการปฏิบัติที่เกินคำสั่ง จึงอยากเรียกร้องให้พิสูจน์ข้อเท็จจริงและขอให้ทุกฝ่ายอย่าเพิ่งด่วนตัดสิน

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น