โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai.info

ประชาไท | Prachatai.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

7000 กว่าคนลงนามเรียกร้องทุกชาติกดดันรัฐบาลหยุดฆ่า ยูเอ็นประสานกลับโต๊ะเจรจา

Posted: 18 May 2010 03:03 PM PDT

<!--break-->

18 พ.ค.53 หลังจากมีการล่ารายชื่อออนไลน์ (http://www.petitiononline.com/cgi-bin/petition_html.cgi?10310) ถึง นายบันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ และผู้นำรัฐบาลทุกประเทศ ให้ดำเนินมาตรการให้มีการหยุดสังหารประชาชนในประเทศไทยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขณะนี้มีผู้ร่วมลงชื่อแล้ว 7,105 รายชื่อ และบางประเทศเริ่มกำหนดกิจกรรมซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 20 พ.ค.นี้ ทั้งที่ ออสเตรเลีย อังกฤษ เกาหลี และกำลังคุยรายละเอียดกับอีกหลายประเทศ ความคืบหน้าต่างๆ จะนำมาแจ้งให้ทราบอยู่เรื่อยๆตัวเลขล่าสุดคนลงชื่อ

รายละเอียดมีดังนี้

โปรดช่วยประเทศไทยด่วน
เรียน ฯพณฯ บันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ
และผู้นำรัฐบาลทุกประเทศ
โปรดดำเนินมาตรการให้มีการหยุดสังหารประชาชนในประเทศไทย

พัฒนาการประชาธิปไตยของประเทศไทยถูกเหยียบย่ำอีกครั้งด้วยรัฐประหาร เมื่อปี 2549 เพื่อกำจัดรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นการทำรัฐประหาร/ปราบปรามประชาชนครั้งที่ 26 ในประเทศไทยนับตั้งแต่ปี 2475

ภาพลักษณ์ทางการเมืองของประเทศไทยตกต่ำถึงขีดสุดในปี 2551 เมื่อการประท้วงของคนเสื้อเหลืองที่ไม่ได้ถูก ขัดขวางแต่ ประการใด สามารถเคลื่อนเข้าไปปิดสนามบินนานาชาติของประเทศไทย ซึ่งเป็นการประท้วง ที่เปิดทางให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนธันวาคม 2551

ประชาชนคนยากคนจนในประเทศไทยทั้งคนจนเมืองและคนจนชนบทหลายสิบล้านคนต่างก็ไม่สามารถทนนิ่งเฉยต่อ ระบบสองมาตรฐานในสังคมไทยได้อีกต่อไป จึงได้ลุกขึ้นมาประท้วงเพื่อให้เกิดรัฐสภาเป็นตัวแทนของพวกเขา ตามครรลองประชาธิปไตยที่แท้จริง

วันที่ 14 มีนาคม 2553 คนเสื้อแดงปกคลุมท้องถนนหลายแห่งในกรุงเทพ พวกเขาลุกขึ้นมาเรียกร้องให้รัฐสภายุบสภา และจัดให้มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิยุติธรรม

การปราบปรามประชาชนของกองกำลังทหารได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ที่มีทั้งเด็กผู้หญิง และผู้ชาย จำนวนประมาณ 60 คน ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการถูกยิงที่ศีรษะ และอีกกว่า 1,500 คน ที่มีทั้งทีม พยาบาล นักข่าว และประชาชนทั่วไป ได้รับบาดเจ็บ(ส่วนใหญ่จากอาวุธ) ตัวเลขผู้เสียชีวิตได้เพิ่มขึ้นทุกวัน ทั้งนี้เป็นผลจากการที่รัฐบาลระดมกองกำลังทหาร 50,000 นาย และอนุญาตให้ทหาร ‘ป้องกันตัว’ ด้วยการยิงและสังหารประชาชนที่ลุกขึ้นมาประท้วงรัฐบาลที่ไร้ความยุติธรรมและไม่มีธรรมาภิบาล

การกระทำของรัฐบาลไทยที่ประกาศอย่างเปิดเผยว่าอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงกับประชาชน ยิงทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก ปู่ย่า ตายาย ยิงประชาชนทั้งครอบครัว ประชาชนที่มารวมตัวกันที่กรุงเทพฯ เพื่อแสดงความคับค้องใจและความไม่พอใจต่อรัฐบาล เป็นความป่าเถื่อนที่จะต้องถูกประนาณ และเป็นอาชญากรรม ไม่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะซับซ้อนแค่ไหนก็ตาม การใช้กระสุนจริงไม่มีทางและจะต้องไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้บนท้องถนนกรุงเทพหรือที่ไหนก็ตาม

ชุมชนนานาชาติ ไม่ควรร่วมยืนเคียงข้างและเฝ้ามองรัฐบาลไทยทำการสังหารประชาชนของตัวเองอย่างเหี้ยมโหด ทำการเข่นฆ่าประชาชนในนามของคำว่า ‘เพื่อประชาธิปไตย’ และยิ่งไม่สามารถอ้างได้เลยว่า ‘เพื่อปกป้องสถาบัน’

ความรุนแรงบทท้องถนนกรุงเทพในวันนี้มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ณ ขณะนี้ประชาชนผู้กล้าหาญหลายพันคนติดอยู่ในวงล้อมของทหารร่วม 30,000 คน พวกเขาพร้อมจะสละชีวิต

ประชาสังคมโลกจะต้องประนาณรัฐบาลอภิสิทธิที่อนุญาตให้ใช้กระสุนจริงต่อผู้ประท้วงฝ่ายตรงข้าม ผู้ประท้วงที่รัฐบาลจะไม่สามารถเอาชนะได้เลยในสนามการเลือกตั้ง

ในแผ่นดินแห่งรอยยิ้ม การคอรัปชั่นและภาวะการไร้ซึ่งความยุติธรรมได้ปรากฎเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ และส่งเสียงดังมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน การอนุญาตให้ทหารปราบปรามประชาชน คนยากจนจากชนบทและในเมือง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ไม่สามารถนำมาซึ่งการพัฒนาที่ยั่งยืนและความมั่นคงในอาเซียน แต่กลับจะบันทอนพัฒนาการด้านประชาธิปไตยในอาเซียน

พวกเราขอเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกประนาณการใช้กำลังทหารและกระสุนจริงเป็นเครื่องมือในการปราบปรามการประท้วงของคนยากคนจนที่ถูกกดขี่ ที่ต้องการนำเสนอปัญหาของพวกเขา

พวกเราเรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติยุติความรุนแรงในประเทศไทย
และเป็นองค์กรกลางในการนำทุกฝ่ายมาสู่โต๊ะเจรจา
ดำเนินจัดการเลือกตั้งในประเทศไทยที่โปร่งใสและยุติธรรม
รวมทั้งขอให้มีการตั้งทีมสอบสวนจากนานาชาติ เพื่อสอบสวนกรณีการสังหารพลเรือนที่บริสุทธิ์โดยกองกำลังของทหารไทย

 

Sincerely,

----------------------------

To:  United Nation
URGENT CALL
to Ban Ki-Moon, General Secretary of the United Nations
and all Governments and leaders around the world to . .
STOP THE BLOODSHED IN THAILAND

Progress towards democracy in Thailand was devastated by the military coup that ousted an elected Government in 2006. This was Thailand’s 26th military coup / crackdown since the country attempted to abolish Absolute Monarchy in 1932.

The country was further reduced to a complete, political shambles in 2008 by the Yellow Shirt demonstrations that were allowed, without repercussion, to close-down Thailand’s international airports, creating a situation that allowed Abhisit Vejjajiva to become Prime Minister in December 2008.

Thailand’s ten’s of millions of rural and urban poor can tolerate no longer the double standards that dominate their struggle for representational parliamentary democracy. On 14 March 2010 they converged on the streets of Bangkok demanding primarily the dissolution of parliament and a proper General Election.

Since the current military crackdown was launched on 10 April 2010 about 60 men, women and children have died, many by military sniper-fire with a single bullet to the head. About 1500 have been wounded - many by gunshot, including medics, journalists and bystanders. The death toll is rising daily. Some 50 000 soldiers, with permission to shoot to kill ‘in self-defence’, have been mobilised to crush the people’s protest against clear injustice and corrupt governance.

The Thai Government’s sanctioning of the use of live ammunition against the people of Thailand, against men, women, children, against grandfathers and grandmothers that have gathered in Bangkok to express their legitimate frustration and grievances, is an outrage that must be condemned as the crime that it is. No matter the complexity of the political situation, the use of live ammunition against ordinary civilians cannot and must not be permitted on the streets of Bangkok, or anywhere. The International Community cannot stand-by and watch the Thai Government murder Thai citizens in the name of democracy, not to mention monarchy.

The state violence on the streets of Bangkok today has a long history. In the centre of Bangkok, a few thousand brave civilians - ordinary men, women and children are cut off from food and water, surrounded and targeted by about 30,000 soldiers. They are preparing to sacrifice their lives.
The International Community must condemn the Abhisit Government for using live ammunition against those who oppose it, against those who, in a General Election, would defeat it.

In the ‘Land of Smiles’ corruption and injustice is ringing load and clear. Allowing military violence to crush the rural and urban poor in Thailand will not enhance regional stability, it will not enhance the future of the ASEAN or sustainable development. It will drag down the development of democracy throughout South-East Asia.

We call for all Governments around the world to condemn the use of military force and live ammunition as a means to oppose and suppress the right of the poor to express their grievances.

WE CALL FOR UNITED NATIONS INTERVENTION
to end the violence and bring all parties to the negotiating table and
to oversee proceedings for a General Election in Thailand.
WE CALL FOR THE UNITED NATIONS
to appoint an independent commission to investigate
the murder of innocent civilians by Thai military forces.

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นายกฯโวยกาชาดนำทำม็อบยืดเยื้อ ฐานนำอาหารช่วยผู้ชุมนุม

Posted: 18 May 2010 02:18 PM PDT

ด้าน “สุเทพ” เซ็งนำคนแก่กับเด็กไปพักที่วัด ช่วยอำนวยความสะดวกให้มีที่พักพิง  แต่กลับเข้าไปชุมนุมใหม่ในช่วงค่ำ

<!--break-->

ที่กรมทหารราบ ที่ 11 รักษาพระองค์ เมื่อวันที่ 18 พ.ค. นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงต่อ ครม.ว่า ต้องการให้บ้านเมืองเข้าสู่ความสงบสันติโดยเร็ว เพราะเวลานี้มีองค์กรระหว่างประเทศพยายามเข้ามาให้ความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามการที่สภากาชาดไทยเข้าไปช่วยเหลือผู้ชุมนุม โดยนำอาหารไปสนับสนุนให้ผู้ชุมนุม เท่ากับเป็นการต่ออายุให้การชุมนุมยืดเยื้อ เป็นผลเสียในการแก้ปัญหา แต่การให้การชุมนุมยุติโดยเร็ว ไม่ให้ยืดเยื้อเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด จึงต้องอธิบายให้องค์กรสากลเหล่านี้เข้าใจ และยืนยันว่า ถ้ามีการยุติการชุมนุมก็พร้อมจะพูดคุยเพื่อสร้างความปรองดอง และยังขอความร่วมมือให้พรรคร่วมรัฐบาลไปทำความเข้าใจกับ ส.ส. เพื่อช่วยชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจถึงสถานการณ์ในขณะนี้ และกำชับให้รัฐมนตรีช่วยชี้แจงสถานการณ์ต่างๆ พร้อมให้ช่วยแวะเวียนมาที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เพื่อรับฟังคำสั่งจากนายกฯด้วย

 

 

ที่มา : เว็บไซต์ไทยรัฐ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ด่วน รถหุ้มเกราะเคลื่อนประชิดผู้ชุมนุมราชประสงค์-อนุสาวรีย์แล้ว

Posted: 18 May 2010 02:05 PM PDT

3.50 รถหุ้มเกราะ 30 คันพร้อมด้วยทหารติดอาวุธเคลื่อนเข้าประชิดพื้นที่ เวทีย่อยของผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งมีผู้ชุมนุมอยู่ในบริเวณดังกล่าวประมาณ 300 คน

<!--break-->

4.00 น. นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ประกาศที่เวทีราชประสงค์ ว่ารถถังและรถหุ้มเกราะจำนวน 40 คัน จากเกียกกายเคลื่อนมาถึงสีลมแล้ว และรถถังจาก ร.พัน 1 จะเดินทางมาประตูน้ำกำหนดล้อหมุน 6.00 น. และสั่งการให้หน่วยรักษาความปลอดภัย และเรียกร้องให้ประชาชนที่ติดตามการถ่ายถอดสด กระจายข่าว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ปฏิกิริยาจากบทความ"จุดจบคนเสื้อแดง"

Posted: 18 May 2010 02:00 PM PDT

นี่คือปฏิกิริยาที่ร้อนแรงจาก เก่งกิจ กิติเรียงลาภ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ที่มีต่อบทความ"จุดจบคนเสื้อแดง"ที่เขียนโดย ประภาส ปิ่นตบแต่ง นักวิชาการผู้บัญญัติคำว่าการเมืองบนท้องถนน 

<!--break-->

จุดจบของขบวนการคนเสื้อแดง

โดย : ประภาส ปิ่นตบแต่ง

บทความนี้ เขียนในสถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่ยังคงอยู่ในป้อมค่ายถนนราชประสงค์

แต่ท่ามกลางการยกระดับไป สู่ความสุดโต่งด้วยกันทุกฝ่าย อาจจินตนาการได้ไม่ยากนักว่า ชะตากรรมของผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง และแกนนำคงจะเหมือนดังกบฏผู้มีบุญ

พระราชพงศาวดารอยุธยาฉบับหมอบรัดเล ได้บันทึกกบฏผู้มีบุญที่เกิดขึ้นหลายครั้งในตอนปลายรัชสมัยพระเพทราชา ที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ คือ กบฏบุญกว้างกับพวก 28 คน ซึ่งมีการกล่าวเอาไว้ชัดเจน ว่า คิดอ่านตั้งตนเป็น "ผู้มีบุญ"

กบฏบุญกว้างผู้มีอำนาจคุณวิชา กับพวกแค่ 28 คนได้เข้าบุกยึดเมืองนครราชสีมาอยู่หลายเดือน จนทำให้ฝ่ายเมืองหลวงตั้งคำถามว่า เพียงคนแค่หยิบมือ หากชาวเมืองหยิบเพียงดินคนละก้อนโยนเข้าไป อ้ายพวกกบฏก็พ่ายจนสิ้นแล้ว

เมืองหลวงจึงได้ยกทัพถือพลฉกรรจ์ลำเครื่อง 5,000 สรรพด้วยเครื่องศาสตราวุธทั้งปวง แต่ก็หาได้สามารถจัดการกับอ้ายกบฏลาวได้ไม่ การล้อมปราบกบฏบุญกว้างที่ยึดศาลากลางนครราชสีมาดำเนินอยู่อีกเป็นเวลานาน แต่สุดท้าย ก็หาได้รอดไปไม่เหมือนดังขบวนการผีบุญอื่นๆ

เหตุใดขบวนการผู้มีบุญหรือกบฏผีบุญมักต้องพบจุดจบเช่นนี้

ประการแรก ขบวนการผู้มีบุญมีจุดหมายทางการเมืองที่สำเร็จรูป คือ การโหยหาธรรมสังคมในยุคพุทธกาลที่เคยเจริญรุ่งเรือง การกล่าวถึง ความเลวร้ายของสังคมปัจจุบัน จึงเป็นการเปรียบเทียบกับความรุ่งโรจน์ในอดีต

แกนนำคนเสื้อแดงได้ยกระดับการต่อสู้จนแทบจะเหมือนกบฏผู้มีบุญไปเสียแล้ว กล่าวคือ การพาผู้คนกลับสู่ความอุดมสมบูรณ์พูนสุขของอดีตกาลยุครัฐบาลทักษิณ

เมื่อเป็นเช่นนี้ แกนนำและนักเคลื่อนไหวคนเสื้อแดง จึงมักออกมาประณามเครือข่ายองค์กร และรายการทีวีที่นำพาผู้คนมาพูดกันเรื่องปฏิรูปประเทศไทย หรือประเด็นในการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างที่จะพาสังคมก้าวเดินไปข้างหน้า

เพราะตรรกะการเปลี่ยนแปลงสังคมของขบวนการผู้มีบุญมีลักษณะเป็นวัฏจักร ไม่ใช่มีลักษณะก้าวไปข้างหน้า กล่าวคือ สิ่งที่ดีงาม คือ การกลับคืนสู่อดีตกาล ประชาธิปไตยและสังคมที่อุดมสมบูรณ์ได้เกิดขึ้นแล้วในยุคทักษิณ

ประการที่สอง ขบวนการผู้มีบุญมีลักษณะสุดโต่ง ไม่ประนีประนอม ไม่มีข้อเรียกร้องแบบยืดหยุ่น ต่อรองไม่ได้ และพร้อมที่จะตาย ขบวนการต่อสู้ในลักษณะเช่นนี้ จึงรอคอยและเชื้อเชิญให้ฝ่ายอำนาจรัฐเข้ามาล้อมปราบ นั่นคือ จุดจบของผีบุญทุกครั้ง

แน่ละว่า ขบวนการคนเสื้อแดงมีบริบทที่แตกต่างไปจากขบวนการผู้มีบุญในอดีตเป็นอย่างมาก แต่ก็น่าสนใจว่า การเคลื่อนไหวต่อสู้แบบสุดโต่ง ไม่รู้จักสะสมชัยชนะระยะยาวไม่เคยประสบความสำเร็จ

การมีอุดมการณ์หรือจุดหมายที่สำเร็จรูป และการระดมผู้คนด้วยคาถาอาคม อำนาจวิชาแบบโบราณ หรือการระดมปลุกเร้าสร้างอารมณ์โดยอาศัยองค์ศาสดานักรบหน้าไมค์ ที่กระทำเหมือนกันทุกสีเสื้อ

แม้จะมีพลังการเคลื่อนไหวกดดัน แต่ไม่ได้เกิดประโยชน์ในระยะยาว เพราะพลังเช่นนี้ทำงานในด้านลบ สร้างความเป็นพวกเขา พวกเรา และขับเคลื่อนด้วยตรรกะของความเกลียดชัง ความโกรธเกรี้ยวด้วยกันทั้งสิ้น

ดังนั้น พลังของขบวนการผีบุญจะมีเพียงใด ก็จะมีอย่างจำกัดในหมู่ศาสดาและสาวกหรือสมาชิก แต่ไม่สามารถขยายผู้เข้าร่วมที่กว้างขวางออกไปได้มากกว่าความเป็นพวกเดียว กันที่สุดโต่ง

บริบทสังคมการเมืองปัจจุบันอาจจะมีลักษณะที่แตกต่างออกไปมาก แต่ลองพิจารณาการปิดล้อมตัวเองของคนเสื้อแดงผ่านยุทธวิธีการเคลื่อนไหว และการวางท่าทีต่อพื้นที่สาธารณะ ก็จะพบว่า ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก

กล่าวคือ การใช้ยุทธวิธีขัดขวางระบบปกติทั้งด้านเศรษฐกิจ และชีวิตทางสังคม ด้วยการบุกยึดราชประสงค์ การปิดถนนบ่อยครั้ง การตั้งด่านค้นรถยนต์ของแกนนำตามถนน การระรานชีวิตของผู้คน ฯลฯ หรือแม้แต่การไม่ระมัดระวัง ด้วยการทะเลาะกับสื่อบ่อยครั้ง

กระทำการเหล่านี้มีหลายเรื่องที่ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจแน่ๆ แต่โดยภาพรวมแล้วเกิดขึ้น ภายใต้ยุทธวิธีหลักที่ใช้ในการเคลื่อนไหว ขบวนการคนเสื้อแดงไม่ได้มุ่งที่จะดึงเอาสาธารณชน ผู้เฝ้ามองอย่างกลางๆ เข้ามาร่วมสนับสนุนได้

ยุทธวิธีเช่นนี้ดูเหมือนจะมีพลัง สามารถทำให้ระบบชีวิตเศรษฐกิจและสังคมพังทลาย แต่ก็สามารถสร้างความเป็น "พวกเรา" เพียงด้านเดียว และกลับมีต้นทุนสำคัญ คือ สร้างศัตรูรอบทิศทาง นับตั้งแต่ภาคธุรกิจ คนชั้นกลาง คนใช้รถใช้ถนน รถไฟฟ้าฯ ฯลฯ

อีกด้านหนึ่ง ต้นทุนดังกล่าวนี้ทำให้การสร้างวาทกรรม "ผู้ก่อการร้าย" ของรัฐบาลสามารถขยายออกไปอย่างรวดเร็ว คนเสื้อแดงจึงอยู่ในวงล้อมปราบจากสังคมรอบทิศไปหมด

การเข้าใจว่าผู้คนที่ออกมาชุมนุมต่อต้านเป็นพวกรัฐบาลแต่เพียงด้านเดียว ยิ่งนำมาสู่ความหายนะมากยิ่งขึ้น เพราะทำให้คนเสื้อแดงไม่ปรับยุทธวิธี ไม่ประนีประนอมข้อเรียกร้องหรือไม่กลับไปสู่โต๊ะเจรจา

โดยเฉพาะบรรดานักรบหน้าไมค์หรือแกนนำบนเวที ยิ่งนานวันพวกเขายิ่งเหมือนผีบุญเข้าไปทุกทีๆ

ทั้งหมดนี้ เป็นการพิจารณาจากแง่มุมของขบวนการประชาสังคมหรือขบวนการทางสังคม ซึ่งบอกได้ว่า ไม่เคยมีขบวนการเคลื่อนไหวใดที่จะประสบความสำคัญได้ หากไม่สามารถสร้างหรือรบในพื้นที่ทางสังคม

แต่หากจะประเมินคนเสื้อแดงจากขบวนการปฏิวัติประชาชนแบบที่แกนนำบางคน แพลมๆ ออกมาบ่อยๆ ก็ต้องประเมินกันอีกแบบหนึ่ง

 

 

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 11 พฤษภาคม 2553
 

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/prapas/20100511/114652/%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87.html

*******************************************************************************************************

 

โต้บทความ “จุดจบของขบวนการเสื้อแดง” ของ ประภาส ปิ่นตบแต่ง

เก่งกิจ กิติเรียงลาภ
14.00 น. วันที่ 18 พ.ค. 2553

1. ประภาสคิดไม่ต่างจากรัฐบาล และพวก Establishment ทั้งหลายที่มองว่า มวลชนเสื้อแดงสู้เพื่อ “ทักษิณ” หรือโหยหาอดีตแบบช่วงที่ทักษิณเป็นรัฐบาลอยู่ – ใช่ พวกเขาอาจโหยหาอดีตที่หมายถึงการเมืองไทยช่วงที่ทักษิณอยู่ แต่พวกเขาไม่ได้คิดถึงทักษิณในฐานะตัวบุคคลเพียงอย่างเดียวแน่นอน และถึงพวกเขาคิดเช่นนั้นมันผิดตรงไหน ในเมื่อประชาชนมีสิทธิ์ที่จะนิยมผู้นำที่มาจาก “การเลือกตั้ง” ไม่ใช่หรือ -- อีกประเด็นที่สำคัญการต่อสู้ของเสื้อแดงประกาศมาตลอดว่า ต้องการประชาธิปไตยแบรัฐสภาที่ทุกส่วนของสังคมเคารพว่ารัฐบาลต้องมาจากการเลือกตั้ง ผู้เขียนไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า ประภาสเอาอะไรมาพูดว่า เสื้อแดงทำทุกอย่างเพื่อทักษิณ – การเรียกร้องประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) หรือ ประชาธิปไตยชาวบ้านที่ปฏิเสธระบบตัวแทน ซึ่งเป็นข้อเสนอของขบวนการทางสังคม/ภาคประชาชนไทยจำนวนมากหลังการล่มสลายของ พคท. ต่างหากที่เป็นการกลับไปหาอดีต ด้วยเชื่อว่า ประชาธิปไตยแบบรากหญ้า/ชาวบ้านมีอยู่ในสังคมอดีต และเป็นธรรมชาติของสังคมชาวนาที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงแค่ไหน (ประภาสอ้างว่า นปช. คล้ายกับกบฏผู้มีบุญ ซึ่งเป็นการอ้างที่ผิดฝาผิด
ตัว) – การเรียกร้องให้มีประชาธิปไตยแบบตัวแทนที่สมบูรณ์ ซึ่งยังไม่เคยบรรลุผลจริงๆในสังคมการเมืองไทยและไม่เคยเป็นอดีต แต่มันคือ การเดินหน้าและอนาคตที่ยังไม่เคยมาถึงต่างหาก
 

2. ในมิติทางอุดมการณ์ ซึ่งประภาสวิจารณ์ว่า แข็งตัว/ตายตัวจนเกินไป/ไม่ยืดหยุ่น -- ปัญหาของประภาสและปัญญาชน “ภาคประชาชนหัวเก่า” ทั้งหลายก็คือ มีมุมมองทางทฤษฎีอยู่แบบเดียว คือ “การต่อสู้แบบเครือข่าย-สร้างแนวร่วมวงกว้างข้ามชนชั้น” (อ้างว่าต้องหาแนวร่วมคือชนชั้นกลาง โดยไม่เคยมีแผนช่วงชิงชนชั้นล่างอันไพศาลจริงๆ) ซึ่งพิสูจน์มาแล้วในหลายกรณีว่าล้มเหลวและพ่ายแพ้ในระยะยาว – แนวร่วมที่ว่า “กว้าง” เสียจนไม่รู้ว่ามีใครบ้าง และ “ข้าม” ชนชั้นเสียจนรวมเอาอำมาตย์เข้าไปด้วยอยู่เนืองๆ -- ไม่พักจะต้องพูดถึงการที่ขบวนการเหล่านี้ยืดหยุ่นเสียจนหาอุดมการณ์อะไรไม่ได้ และต้องสูญเสียมวลชนให้กับชนชั้นนำในระยะยาวดังที่เห็นอยู่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา (ดูบทความของ เควิน ฮิววิสัน และผู้เขียนในฟ้าเดียวกัน) -- “พื้นที่ทางสังคม” ที่ประภาสพูดถึง หมายถึงแต่เพียงชนชั้นกลางและสื่อกระแสหลัก แต่ไม่ได้หมายความถึง ชนชั้นล่างจำนวนมากที่มีอยู่กว่า 80 เปอร์เซ็นของประเทศไทย ซึ่งเอาเข้าจริงเขาเหล่านั้นมีหัวใจสีแดง แต่ด้วยข้อจำกัดหลายอย่างที่เขาไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุม – องค์กรภาคประชาชนแบบเก่าและปัญญาชนภาคประชาชนหัวเก่าต่างหากที่ไม่เคยมีมิติทางชนชั้นอยู่ในหัว พวกเขารอคอยแต่ว่า สักวันชนชั้นกลางมาสนับสนุน หรือสักวันจะมีรัฐบาลใจดีที่อ่อนแอมาแก้ปัญหาให้ – บทเรียนในอดีตสอนเราว่า มันไม่มี – ทุกอย่างล้วนมาจากสองมือสองตีนของพี่น้องประชาชน
 

3. เป็นเรื่องตลกที่ประภาสเรียกร้องให้เสื้อแดงเข้าร่วมโครงการปฏิรูปประเทศไทยกับ “เอ็นจีโออำมาตย์” ทั้งๆที่คนเหล่านี้ประณามหยามเหยียดการต่อสู้และข้อเรียกร้องที่เป็นประชาธิปไตยระดับพื้นฐานของคนเสื้อแดงมาโดยตลอด – ปัญหาร่วมกันของพวก “เอ็นจีโออำมาตย์” และ “ปัญญาชนภาคประชาชนหัวเก่า” ก็คือ พวกเขาชอบอ้างว่าปฏิเสธอำนาจรัฐ และปฏิเสธประชาธิปไตยแบบตัวแทน แต่พวกเขาก็วิ่งหาอำนาจรัฐและหาทางประนีประนอมกับอำนาจรัฐจากประตูหลังของพวกเขาอีกที ทั้งนั่งโต๊ะเจรจา ลอบบี้อย่างลับๆ เข้าร่วมกลไกรัฐด้านการพัมนาบางส่วนอย่างสภาพัฒน์ฯ เข้าร่วมปฏิรูปประเทศไทย ฯลฯ – ที่สำคัญคนพวกนี้สามารถพูดถึงชุมชน/ท้องถิ่น/ประชาธิปไตยทางตรง/ปฏิรูปสังคม (รวมถึงการเป็นอิสระจากรัฐและทุน) ได้โดยไม่ต้องบอกว่า พวกเราจะเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองและโครงสร้างอำนาจรัฐในรูปธรรมได้อย่างไร บ่อยครั้งพวกเขาอ้างว่า ปฏิรูปสังคมเพื่อ “ลดอำนาจรัฐ” แต่พวกเขาก็สนับสนุนรัฐประหารและอำนาจของทหารในการเมืองไทย
 

4. ปัญหาเหล่านี้น่าจะย้อนกลับมาทิ่มแทงพวก “ปัญญาชนภาคประชาชนหัวเก่า” ทั้งหลายว่า องค์กร “ภาคประชาชน” แบบเก่าๆ เช่น สมัชชาคนจน และสหภาพแรงงาน ซึ่งนับวันยิ่งหมดบทบาทลงไปสามารถตอบโจทย์ความขัดแย้งทางการเมืองหรือความไม่พอใจทางการเมืองของชนชั้นล่างได้มากน้อยแค่ไหน -- ทำไมชนชั้นล่างจำนวนมากทั้งที่เป็นแรงงานและเกษตรกรถึงไม่เข้าร่วมการต่อสู้ผ่านองค์กรจัดตั้งแบบเดิม เช่น สมัชชาคนจนและสหภาพแรงงาน แต่กลับเข้าร่วมกับ นปช. โดยตรงโดยไม่ผ่านองค์กรเหล่านี้ – การพูดเช่นนี้ไม่ได้แปลว่า ต้องชื่นชมหรือยกย่อง นปช. โดยไม่ต้องวิจารณ์ แต่นี่คือคำถามที่องค์กร “ภาคประชาชน” เดิมต้องพิจารณาตัวเองด้วย และมันจะมีส่วนสำคัญให้เราหาทางปรับตัวเราเองให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันได้อย่างไร
 

5. หลายครั้งที่ “ปัญญาชนภาคประชาชนหัวเก่า” (เอียงมาด้านแดงๆ) คุยกัน ผู้เขียนมักได้ยินว่า ที่ไม่สนับสนุนมวลชนเสื้อแดงตอนนี้ (นี่คือก่อนที่จะมีการต่อสู้รอบนี้ด้วยซ้ำ) เพราะกลัวเสียการเมือง เพราะข้อเรียกร้องประเด็นย่อยๆของตนเอง ของชุมชนตนเอง ขององค์กรตนเอง ซึ่งกำลังจะเจรจากับรัฐอยู่ และกลัวว่ารับบาลจะหาว่าแดงเกินไปและจะไม่ได้รับการตอบสนอง หรือรัฐบาลจะเพิกเฉย – ฟังแล้วแปลกมั๊ยที่ปัญญาชนเหล่านี้มองโลกแยกส่วนได้ถึงเพียงนี้ การเมืองระดับชาติกับการเมืองส่วนตน/ท้องถิ่น/ชุมชน มันทำไมแยกขาดกันได้ถึงเพียงนี้ – ชุมชนกู/ท้องถิ่นกู/ประเด็นกู ไม่เกี่ยวอะไรกับการต่อสู้ประชาธิปไตยภาพรวมจริงหรือ – หรือจะแปลว่าให้ บ้านกูได้ก่อน ส่วนภาพรวมค่อยรอทีหลัง – อะไรมันจะแยกส่วนได้เพียงนี้ (ปัญหานี้เชื่อมโยงกับข้อต่างๆข้างต้น ซึ่งผู้เขียนฟันธงว่า ปัญญาชนเหล่านี้ละเลยและขาดทฤษฎีรัฐ- Theory of the State ที่แหลมคมพอที่จะเข้าใจความซับซ้อนของอำนาจรัฐและกลไกอำนาจรัฐ)
 

6. มาถึงประเด็นที่ว่า นปช. ไม่กลับสู่โต๊ะเจรจาบ้าง – ผู้เขียนได้วิเคราะห์มาในบทความก่อนหน้านี้แล้วว่า “รัฐบาลและอำมาตย์ไม่มีทางประนีประนอม – ไม่มีทางยุบสภาแน่นอน” ถึงแม้จะมีการประนีประนอมได้ อำมาตย์ก็จะใช้โอกาสและเวลาที่เหลือในการปราบปรามผู้ชุมนุมและจับกุมแกนนำอย่างโหดเหี้ยมต่อไป เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งที่จะมาถึง – ลองย้อนกลับไปดูข้อเสนอโรดแมพปรองดองของอภิสิทธิ์ในช่วงก่อนหน้านี้ มันชัดเจนมากว่า รัฐบาลไม่ได้มีเจตนาที่จะปรองดอง อภิสิทธิ์ต้องเงื่อนไขเต็มไปหมดที่จะทำให้ข้อตกลงว่าด้วยการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งเป็นไปไม่ได้ เช่น ห้ามเสื้อแดงเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกจนกว่าจะเลือกตั้ง ซึ่งรัฐบาลรู้อยู่แล้วว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก แต่การยื่นเงื่อนไขทำนองนี้ก็คือ กับดักล่อให้ นปช. ยอมถอยในรอบนี้
 

7. การพูดเช่นนี้ไม่ได้แปลว่า ผู้เขียนไม่ต้องการยับยั้งการเสียชีวิตหรือสนับสนุนให้มวลชนสู้จนตาย แต่เราต้องเข้าใจและกล้าฟันธงว่า “การตายเกิดขึ้นจากน้ำมือรัฐ” -- ผู้ที่ต้องถูกประณามก็คือ “รัฐ” ที่ผูกขาดกองกำลังและกลไกด้านการปราบปราม/การใช้ความรุนแรงเอาไว้ – คนเสื้อแดงชุมนุมมานานกว่า 2 เดือน โดยไม่มีการสูญเสียชีวิต ยกเว้นวันที่ 10 เมษา และในรอบหลายวันที่ผ่านมา (ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม) ซึ่งรัฐบาลอ้าง การขอคืนพื้นที่ การกระชับพื้นที่ จนนำมาสู่การเสียชีวิตของผู้คนจำนวนมาก – และตอนนี้รัฐบาลประกาศว่า ไม่ยอมเจรจาแล้ว – นี่แปลว่าอะไร -- ไม่ใช่รัฐที่เป็นผู้ใช้ความรุนแรงและไม่ยืดหยุ่น/แข็งตัวก่อนหรือ – ปัญหาคือ เรายังช่วยกันเปล่งเสียงว่า “รัฐเป็นอาชญากร” ไม่ดังพอ – หน้าที่ของเราตอนนี้คือ จะช่วยกันเปล่งเสียงของชนชั้นล่างหรืออยู่บนหอคอยงาช้างแคบๆที่มองแต่อดีตดี??

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พงษ์พัฒน์, คนชั้นกลาง, และใบอนุญาตฆ่า

Posted: 18 May 2010 12:56 PM PDT

<!--break-->

ช่วงหลายวันมานี้ผมดูข่าวเมืองไทยแล้วก็เครียดมาก เปิดดูทีไรก็คิดกลุ้มจนไม่เป็นอันทำรายงาน จนเมื่อคืนก่อนตัดสินใจจะไม่เปิดดูข่าวการเมือง เพราะเดี๋ยวจะทำรายงานที่ต้องส่งไม่ทัน แต่พอนั่งทำรายงานไปแล้วก็เครียดไปอีกแบบ ก็เลยเปิดเว็บบอร์ดวาไรตี้เจ้าประจำที่ผมชอบ เพราะมักมีเรื่องผ่อนคลายมาให้ได้อ่าน ก็ปรากฏพบว่ามีกระทู้จำนวนมากกล่าวถึงสุนทรพจน์ของคุณพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ว่าซึ้งกินใจ ทีแรกผมไม่ได้เปิดดู เพราะไม่ได้สนใจ แต่ดูไปดูมาก็สงสัยว่า ทำไมมีคนตั้งกระทู้เยอะขนาดนี้เนี่ย ก็เลยตัดสินใจเปิดดูว่าจะน่าสนใจอย่างไร

กระทู้ดังกล่าวแนบมาด้วยคลิปวีดีโอสุนทรพจน์ในการประกาศรางวัลเกี่ยวกับละคร คุณพงษ์พัฒน์ได้รับรางวัลจากการเล่นบทบาทของพ่อ ก็เลยถือโอกาสกล่าวโยงเข้ากับเรื่องของพ่อ
 

“... เป็นรางวัลที่ได้รับบทบาทจากผู้ที่เป็นพ่อนะฮะ ก็ขออนุญาตพูดถึงพ่อนิดหนึ่งก็แล้วกันครับ พ่อเป็นเสาหลักของบ้านนะครับ บ้านของผมหลังใหญ่นะครับ ใหญ่มาก เราอยู่กันหลายคน ผมเกิดมานี่บ้านหลังนี้ก็สวยงามมากแล้ว สวยงามและอบอุ่น แต่กว่าจะเป็นแบบนี้ได้ บรรพบุรุษของพ่อ เสียเหงื่อ เสียเลือด เอาชีวิตเข้าแลก กว่าจะได้บ้านหลังนี้ขึ้นมานะครับ จนมาถึงวันนี้ พ่อคนนี้ก็ยังเหนื่อยที่จะดูแลบ้าน และก็ดูแลความสุขของทุกๆ คนในบ้าน” 
                                                          (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง, 16 พ.ค. 2553สุนทรพจน์การประกาศผลรางวัลนาฏราช)
 

พูดมาถึงตอนนี้ก็ทำให้ผมคิดถึงการเมืองไทย เพราะการเลือกกล่าวสุนทรพจน์ในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งทางการเมืองเช่นนี้ ประกอบกับเนื้อหาเชิงอุปลักษณ์ที่ใครๆ ก็ฟังออก (เช่น บ้าน = ประเทศ, พ่อผู้เป็นเสาหลักของบ้าน = ในหลวงฯ, บรรพบุรุษของพ่อ = พระมหากษัตริย์ในอดีต) และเมื่อคิดถึงการเมืองไทยก็ทำให้ผมกลับมาคิดหดหู่ใจอีกครั้ง เพราะนับตั้งแต่วันที่เสธฯแดงถูกลอบยิง แล้วรัฐบาลประกาศมาตรการใช้กระสุนจริงในการ “ขอพื้นที่คืน” อีกครั้ง ก็มีประชาชนทยอยถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก มีการวิเคราะห์กันว่าฆาตกรรมหมู่ที่เกิดขึ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ โดยมากเป็นผลจากการยิงระยะไกล เพราะไม่มีการปะทะกันในลักษณะประชิดตัว หลายๆ คนพิจารณาถึงบาดแผลจากศพ ก็คาดการณ์กันว่า เป็นผลของปืนซุ่มยิงไกลหรือสไนเปอร์ ซึ่งการตายของเสธฯแดงก็มีลักษณะเดียวกัน

ผมจะไม่พูดเน้นถึงในที่นี้ ว่าใครเป็นคนยิง เพราะผมสับสน ผมสับสนเพราะว่า ในขณะที่ทาง ศอฉ.ประกาศส่งพลซุ่มยิงประจำตามตึกสูงรอบพื้นที่ชุมนุม และไม่อนุญาตให้การ์ดเสื้อแดงขึ้นไปร่วมตรวจสอบ ทาง ศอฉ. ก็ประกาศตามสื่อไทยว่า การซุ่มยิงเช่นนั้นเป็นฝีมือของผู้ “ก่อการร้าย” ผมไม่รู้จริงๆ ว่า ใครยิง เพราะแม้ทางสำนักข่าวต่างประเทศจะถ่ายภาพวีดีโอทหารไทยใช้ปืนติดกล้องส่องยิงไปทางผู้ประท้วง แล้วก็ปรากฏภาพผู้ประท้วงล้มลง แต่สายตาผมก็มองไม่ทันว่า กระสุนที่ออกจากลำกล้องมันใช่อันเดียวกันกับที่กระทบร่างผู้ประท้วงที่ร่วงลงไปกองคนนั้นหรือเปล่า

แม้สำนักข่าวต่างประเทศอีกแห่งหนึ่งก็รายงานภาพวีดีโอหน่วยซุ่มยิงของทหารไทย ที่คนล็อกเป้ากล่าวกับพลแม่นปืนคู่หูของเขาว่า “ล้ม... ล้มแล้ว อย่าๆๆๆ อย่าซ้ำ” พร้อมทั้งใช้มือตบหัวเพื่อนเบาๆ หลังจากที่เพื่อนคนนั้นยิงซ้ำ แต่เพื่อนผมคนหนึ่งที่ติดตามข่าวในไทยก็บอกว่า คนเสื้อแดงยิงกันเอง และทาง ศอฉ.เองก็ยืนยันผ่านสื่อว่า ทหารไม่ได้ยิงประชาชน หากแต่เป็นพวก “ผู้ก่อการร้ายเสื้อแดง” เป็นคนซุ่มยิง แล้วผมก็ยิ่งสับสนขึ้นไปอีก เมื่อมีแหล่งข่าวจากวอร์รูมพรรคประชาธิปัตย์คนหนึ่งออกมาบอกว่า ยอดตัวเลขประชาชนผู้เสียชีวิตที่เป็นอยู่นี้ยังพอรับได้ เพราะทีแรกทางพรรคคาดดารณ์ว่า น่าจะประมาณ 200-500 คน (มติชนออนไลน์,วันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553. อ้างจาก: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1274104360&catid=01)

แม้ผมจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิงให้ประชาชนต้องบาดเจ็บล้มตายมากขนาดนี้ แต่ผมรู้ว่า ความตายอันน่ากลัวเหล่านี้มันทยอยเกิดขึ้นนับตั้งแต่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นับตั้งแต่นายกฯอภิสิทธิ์ประกาศ “เส้นตาย” ให้ยุติการชุมนุม มิฉะนั้นจะดำเนินการอย่าง “เด็ดขาด” เพราะนับตั้งแต่การประกาศกฎหมาย “พิเศษ” ที่ยกเว้นยกเลิกกฎหมาย “ปกติ” เช่นนี้ บ้านเมืองก็ “มั่วซั่ว” ไปหมด การชุมนุมที่เดิมทีรัฐธรรมนูญให้สิทธิรับรองก็กลายเป็น “การก่อความไม่สงบ” (ภายหลังก็กลายเป็น “การก่อการร้าย”) มาตรการสากลในการควบคุมฝูงชนที่ไม่ควรจะเกินเลยไปกว่ากระบอง, แก็สน้ำตา, และรถฉีดน้ำก็กลายเป็นกระสุนยางและกระสุนจริง เขตอันตรายต่างๆ ที่พรก.ฉุกเฉินนี้กำหนดจากที่เป็นถนนปกติก็กลายเป็นเขตอันตรายจริงๆ และเมื่อเป็นถนนปิด ไร้ผู้คน ตึกต่างๆ ที่ว่างนั้นก็อาจเป็นจุดมั่นแหมาะแก่การซุ่มยิง (ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใดก็ตาม)
 

“สวนดุสิตโพลล์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้เปิดเผยผลสำรวจความเห็นประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 1,387 คน ต่อสถานการณ์วิกฤติการเมืองในขณะนี้ ประชาชนร้อยละ 51.33 เห็นด้วยที่รัฐบาลส่งทหารเข้าควบคุมการชุมนุม” (มติชนออนไลน์, วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553.

                                  อ้างจาก: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1273979605&catid=01)
 

แม้ว่าผมจะรู้สึกหดหู่ใจว่า คนที่ซุ่มยิงประชาชนไม่มีอาวุธ มันตัดสินใจทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นไปได้อย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่ผมรู้สึกหดหู่ใจยิ่งกว่า กลับเป็นปฏิกริยาท่าทีของคนชั้นกลางทั้งหลาย ซึ่งเป็นคนกลุ่มที่เสียงของพวกเขามีพลังต่อรัฐบาลมากที่สุด กลุ่มคนที่มักจะคิดว่า ตนมีการศึกษา มีฐานะพอที่จะทำให้พวกตนเป็นอิสระทางการเมือง ไม่ได้ถูกใครบงการ สามารถเข้าถึงข่าวสารข้อมูลได้มากกว่าคนอื่น ผมหดหู่ใจว่าพวกเขาปล่อยให้รัฐบาลดำเนินกฎหมายพิเศษที่ทำให้มีคนตายมากขึ้นเรื่อยๆ ขนาดนี้ได้อย่างไร ผมอึ้งกับการที่ “คนกรุงฯ” จำนวนมากเห็นด้วยกับมาตรการรัฐบาลที่ทำให้มีคนถูกยิงตายนับสิบๆ ศพ ผมยิ่งอึ้งขึ้นไปอีกกับการที่เพื่อนของผมคนหนึ่งโพสต์ข้อความทาง MSN ว่า

“ฆ่ามัน (คนเสื้อแดง) ให้ตายๆไปให้หมดเลย”

เพื่อนอีกคนหนึ่งก็บอกคล้ายๆ กันว่า “เอาระเบิดลงให้มัน (คนเสื้อแดง) ตายให้หมดเลย” ด้วยช่วงเวลาเดียวกันนี้ก็มีข้อความส่งต่อทางอีเมล์มากมายที่พยายามกล่าวหาว่า คนเสื้อแดงมุ่งล้มสถาบันกษัตริย์ พร้อมกันนั้นก็พยายามลดทอนความเป็นมนุษย์ของคนเสื้อแดง บ้างก็เรียกพวกเขาเป็น “สัตว์” แล้วก็เขียนกำกับว่า ถ้าไม่ส่งอีเมล์ต่อก็ “ไม่ใช่คนไทย” จนบางฉบับพูดถึงขั้นว่า ถ้าไม่ส่งต่อก็ “ไม่ใช่คนแล้ว”
 

 “ถ้ามีใครสักคนโกรธใครมาก็ไม่รู้ ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้ แล้วก็พาลมาลงที่พ่อ เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน ผมจะเดินไปบอกกับคนๆ นั้นว่า ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ เพราะที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ ... ผมรักในหลวงครับ ...และผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้ รักในหลวงเหมือนกัน พวกเราสีเดียวกันครับ ศีรษะนี้มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน””
                                                   (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง, 16 พ.ค. 2553สุนทรพจน์การประกาศผลรางวัลนาฏราช)

ถ้อยแถลงของคุณพงศ์พัฒน์ภายใต้ช่วงเวลาเช่นนี้ ยากที่คุณพงศ์พัฒน์จะปฏิเสธว่า คนที่ “ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้ แล้วก็พาลมาลงที่พ่อ เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน” นั้นหมายความถึงคนเสื้อแดง และเมื่อพิจารณาถึงตอนที่กล่าวสุนทรพจน์จบ เพื่อนดารานักแสดงต่างซาบซึ้งตื้นตัน บางคนถึงกับหลั่งน้ำตา ทุกคนชื่นชม ลุกขึ้นปรบมือเห็นด้วยสุดใจกันพร้อมเพรียงทั้งห้องจัดงาน (จนผมรู้สึกว่า ถ้าผมนั่งอยู่ในห้องนั้นแล้วไม่ปรบมือตาม คงถูกรุมประชาทัณฑ์ตาย) กระทู้ต่างๆ ในเว็บบอร์ดก็ชื่นชมในสุนทรพจน์นี้มากมาย หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับก็กระหน่ำลงข้อความสุนทรพจน์นี้ เราจึงอาจอนุมานอย่างหยาบๆ ได้ว่า สุนทรพจน์ครั้งนี้อาจเป็นตัวแทนความความคิดความรู้สึกของคนชั้นกลางจำนวนมากในสังคม ที่เข้าใจไปว่า คนเสื้อแดงต้องการจะ “ไล่พ่อออกจากบ้าน” และดังนั้นจึงทำให้คนชั้นกลางเหล่านี้ต่างเห็นด้วยที่จะประกาศต่อคนเสื้อแดงว่า “จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ ...”

ฉันทามติทางการเมืองของคนชั้นกลางเหล่านี้แสดงถึงความสำเร็จของ ศอฉ.ในการวาดกระดานโยงเครือข่ายล้มเจ้าได้เป็นอย่างดี เป็นความสำเร็จที่ทำให้รัฐบาลได้รับ “ใบอนุญาตฆ่า” (คนเสื้อแดงไม่มีวิธีอื่นที่จะ “ออกไปจากบ้านหลังนี้” นอกจากให้พวกเขาไปตายซะ) ใบอนุญาตที่ให้รัฐบาลสามารถสร้างสภาวะที่ทำให้เกิดการตายต่อเนื่องอย่างยากที่จะสืบสวนของประชาชนผู้ต่อต้านรัฐบาล เพราะไม่มีทางเลยที่รัฐบาลจะสามารถดำเนินนโยบายที่สร้างความตายได้มากขนาดนี้ หากปราศจากการยินยอมของฐานเสียงหลักของตน

สุดท้ายนี้ ผมอยากจะชวนคนชั้นกลางเหล่านี้คิดในสองสามเรื่อง เรื่องแรกคือไม่มีข้อเรียกร้องใดเลยของคนเสื้อแดงที่ไปแตะต้องสถาบันกษัตริย์ตามระบอบประชาธิปไตย เรื่องที่สอง ผมอยากจะชวนให้พวกคุณตั้งคำถามเวลาที่คุณบริโภคสื่อ ว่าอะไรคือเกณฑ์ในการที่คุณตัดสินใจที่จะเชื่อ/ไม่เชื่อในข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่ได้รับ (หลักฐาน, เหตุผล, หรือผู้พูด ???) เรื่องสุดท้าย ผมอยากจะเสนอหลักการพื้นฐานง่ายๆ ว่า การให้คุณค่าในชีวิตคน เป็นเรื่องที่ควรอยู่เหนือความเห็นต่างทางการเมือง

                                                                                               

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แอมเนสตี้สากลกล่าวโทษกองทัพไทย ‘ใช้อาวุธหนักโดยไม่ไตร่ตรอง’

Posted: 18 May 2010 11:52 AM PDT

องค์กรแอมเนสตี้สากลกล่าวโทษกองทัพไทย ‘ใช้อาวุธหนักโดยไม่ไตร่ตรอง’ ในการต่อสู้ยับยั้งผู้ชุมนุมบนท้องถนนที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 38 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 279 คน

<!--break-->

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานข่าวเมื่อวันที่ 18 พ.ค.2553 โดยอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของตัวแทนจากองค์กรแอมเนสตี้สากล (Amnesty International) หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอนของอังกฤษ ระบุว่ากองกำลังทหารไทยละเมิดกฎหมายเนื่องจากใช้กระสุนปืนจริงในหลายพื้นที่รอบกรุงเทพฯ ตลอดระยะเวลา 5 วันที่เหตุการณ์ความรุนแรงได้ก่อตัวขึ้น หลังมีความพยายามที่จะปิดกั้นพื้นที่ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงมาก่อนหน้านี้

“จากการให้ปากคำของผู้เห็นเหตุการณ์และวิดีโอที่บันทึกไว้ได้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่ากองทัพยิงกระสุนจริงเข้าใส่ประชาชนที่ปราศจากอาวุธ ผู้ซึ่งมิได้ใช้ความรุนแรงใดๆ ต่อทหารหรือประชาชนคนอื่นๆ” นายเบนจามิน ซาแวคกี ผู้เชี่ยวชาญประจำประเทศไทยของแอมเนสตี้สากลกล่าว

“นี่คือการการกระทำอันเลวร้ายซึ่งล่วงละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ -- สิทธิที่จะดำรงชีวิต” ซาแวคกีได้กล่าวไว้ในแถลงการณ์ขององค์กรด้วย

หลังจากการชุมนุมดำเนินมาได้นานกว่า 2 เดือนและเกิดการปะทะขึ้นประปราย ความรุนแรงได้ยกระดับขึ้นครั้งล่าสุดในสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากรัฐบาลสั่งให้ทหารปฏิบัติการจำกัดพื้นที่ของผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งปักหลักชุมนุมกันใจกลางย่านที่เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าและโรงแรมหรู

รัฐบาลยังระบุอีกด้วยว่านี่คืการต่อสู้กับ ‘กลุ่มก่อการร้าย’ จำนวนนับร้อยนายที่แฝงตัวอยู้ในหมู่ผู้ชุมนุม และกลุ่มก่อการร้ายเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบต่อการพุ่งเป้าโจมตีพลเรือนหลายต่อหลายคน

อย่างไรก็ตาม แอมเนสตี้สากลได้กล่าวประณามเหตุการณ์ที่หน่วยแม่นปืน (สไนเปอร์) ของกองทัพไทย มีส่วนในการสังหารเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ 2 รายที่สวมชุดเครื่องแบบสีขาวให้เห็นอย่างชัดเจน รวมถึงการสังหารเด็กชายอายุ 17 ปีอีกรายหนึ่ง

ขณะเดียวกัน องค์กรพิทักษ์สิทธิมนุษยชนจากสหรัฐอเมริกา ‘ฮิวแมนไรท์วอทช์’ ได้โจมตีการประกาศของเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยที่ระบุให้พื้นที่ชุมนุมบางส่วนเป็น ‘เขตใช้กระสุนจริง’ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรง และทหารไทยก็ได้ยิงกระสุนจริงเพื่อที่จะควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุม เมื่อวันเสาร์ที่ 15 พ.ค. ที่ผ่านมา

วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมประมาณ 67 ราย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 1,700 คน ถือเป็นสถิติรวมผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการใช้กำลังสลายการชุมนุมที่ล้มเหลวของฝ่ายทหารเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา

ที่มา: http://www.mysinchew.com/node/39200
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รายงานการปะทะ 19พ.ค.53(04.00น.)

Posted: 18 May 2010 11:44 AM PDT

<!--break-->

4.00 น. มีรายงานข่าวแจ้งว่าที่บริเวณหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีรถหุ้มเกราะราว 30 คันจอดอยู่ และมีทหารเข้ามาลาดตระเวนยังบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่มีการชุมนุม ผู้ชุมนุมยังมีอยู่ราว 300 คน ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้ถอนออกหมดแล้ว

02.00 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีเสียงปืนดังขึ้นบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย

01.15 น. รายงานข่าวจากทวิตเตอร์ของ ฐปนีย์ เอียดศรีชัย นักข่าวช่อง 3 แจ้งว่า มีเสียงระเบิดคล้ายเอ็ม 79 บริเวณ ซ.งามดูพลี บ่อนไก่ 1 ลูก มีรายงานผู้บาดเจ็บ กู้ภัยทำงานลำบาก เพราะมืดและอันตรายมาก

01.15 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง มีการ์ด นปช. ถูกจับตัวขึ้นรถตู้ไม่ทราบฝ่าย ไม่ทราบสังกัดไปหนึ่งคน  นอกจากนี้ มีผู้บุคคลได้นำกาแฟมาแจกการ์ด ต่อมาผู้ดื่มมีอาการอาเจียนอย่างรุนแรง ขณะนี้นำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศูนย์เอราวัณรายงานเสียชีวิตแล้ว 37 ราย บาดเจ็บ 302 ราย (24.00)

Posted: 18 May 2010 10:29 AM PDT

<!--break-->

(18 พ.ค.) เวลา 24.00น. ศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพมหานคร (ศูนย์เอราวัณ) สรุปข้อมูลตั้งแต่วันที่ 14 -18 พ.ค.  มีจำนวนผู้บาดเจ็บ 302 ราย เสียชีวิต 37 ราย รวมทั้งสิ้น 339 ราย รับการรักษาในหอผู้ป่วยทั่วไปจำนวน 91 ราย ห้อง ICU 14 ราย รับยากลับบ้าน 197 ราย

ทั้งนี้ สรุปข้อมูลตั้งแต่วันที่ 14 -17 พ.ค. 53 เวลา 15.00 น. มีผู้บาดเจ็บ 256 ราย เสียชีวิต 35 ราย รวมทั้งหมด 291 ราย

สรุปข้อมูลหลังเวลา 15.00 น. ของวันที่ 17-18 พ.ค. 53 มีผู้บาดเจ็บ 46 ราย เสียชีวิต 2 ราย รวมทั้งหมด 48 ราย เสียชีวิต 2 ราย คือ นายสมพาน หลวงชม อายุ 35 ปี (17 พ.ค.), นายมูฮัมหมัด อารี อายุ 35 ปี (18 พ.ค.)

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ตั้งศูนย์อิสระเพื่อมนุษยธรรม ประกาศรับอาสาสมัคร

Posted: 18 May 2010 10:29 AM PDT

ศูนย์ประสานงานอิสระเพื่อมนุษยธรรม (ศอม.) ประกาศให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม พร้อมรับอาสาสมัคร 24 ชม.

<!--break-->

18 พ.ค.53 อาสาสมัครสันติวิธีด้านมนุษยธรรมสากล ได้ร่วมกันจัดตั้งศูนย์ประสานงานความช่วยเหลือทุกรูปแบบ เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้เดือดร้อนจากสถานการณ์นี้ ในชื่อ “ศูนย์ประสานงานอิสระเพื่อมนุษยธรรม” หรือ “ศอม.” โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ (1) รับเรื่องราวร้องขอจากผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนทุกกรณี (2) ประสานงานเพื่อให้หน่วยงาน บุคคลที่เกี่ยวข้องให้ความช่วย เหลือผู้ที่ได้รับความเดือด ร้อนเหล่านั้นจน ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นกลาง และ (3) ปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมอื่นๆ เท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาชีวิต คนทุกคนไว้ให้มาก ที่สุดโดยไม่มีฝักฝ่าย ไม่แบ่งสี และมิใช่เป็นเครื่องมือของฝ่าย ใดฝ่ายหนึ่งเพื่อจุดประสงค์ ทางการเมืองใดใด

ทั้งนี้ทาง ศอม. ได้ประกาศรับสมัครอาสาสมัครมาช่วยทำงานปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมสากคล โดยขอให้ระบุชื่อ-นามสกุล อีเมลและเบอร์โทร.ติดต่อกลับ สิ่งที่อยากเข้ามาช่วยเหลือ และชื่อบุคคลอ้างอิงมาที่ หมายเลขโทรศัพท์ 02 622 1014 – 5 , 081 626 5666 , 086 326 3994 , 089 477 9512 หรือที่อีเมล humanitarian@all-i-do.com แล้วรอการติดต่อกลับไปจาก ศอม.

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สำนักข่าวอิระวดี : ลงพื้นที่กับผู้ชุมนุมเสื้อแดง

Posted: 18 May 2010 10:00 AM PDT

<!--break-->


 

กรุงเทพฯ – พวกเราเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้สื่อข่าวที่เรียงแถวรับการตรวจจากการ์ดเสื้อแดง ก่อนจะผ่านด่านเข้าไปด้านในพื้นที่การชุมนุมราชประสงค์

แม้จะอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ แต่เมื่อเข้ามาถึงด้านในของด่านป้องกัน เราก็เหมือนอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ผู้ชุมนุมเสื้อแดงหลายร้อยคนนั่งอยู่่ทั่วไป มีทั้งผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุ บ้างนั่งคุยกัน บ้างนอนหลับ บ้างชมข่าวจากโทรทัศน์

เราเข้าไปพูดคุยและขอสัมภาษณ์หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังนอนอยู่บนเสื่อกับลูกน้อยของเธอ เธอตกลง เธอบอกว่า เธอมาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม

“เราไม่อยากถูกฆ่า แต่ถ้าทหารมายิงเรา เราก็พร้อมจะตายเพื่อประชาธิปไตยอยู่ที่นี่”

หลังจากนั้นไม่กี่นาที สามีของเธอก็ปรากฏกายขึ้น เมื่อเขาได้ยินว่า ภรรยากำลังให้สัมภาษณ์ เขาก็โกรธเป็นอย่างมาก เขาตบหน้าเธอและฉุดเธอออกไป และบอกเราให้ลบภาพและวิดีโอที่เราถ่ายไปให้หมด เมื่อรู้สึกว่าถูกคุกคามดังนั้น เราจึงหลีกออกมา
ถึงแม้จะถูกขัดจังหวะด้วยพฤติกรรมรุนแรง เรายังคงสัมภาษณ์ผู้ร่วมชุมนุมต่อไป

หญิงวัย 60 ปี ซึ่งกำลังเตรียมอาหารให้ผู้ชุมนุมกล่าวว่า “มันไม่ใช่ประเด็นว่าเราสนับสนุนทักษิณหรือรัฐบาลปัจจุบัน เรามาเรียกร้องประชาธิปไตย”

ภายในพื้นที่ชุมนุมถูกตัดกระแสไฟฟ้า น้ำประปา และเสบียงอาหาร ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และปั๊มน้ำมันใกล้ล้วนปิดตัวลงทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าไม่มีผู้ชุมนุมคนใดภายในบริเวณนั้นเตรียมตัวจะออกจากที่ชุมนุม

นายแพทย์เหวง โตจิราการ กล่าวกับผู้สื่อข่าวและช่างภาพจำนวนมากว่า “มีผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องเสียชีวิต รัฐบาลจะต้องหยุดการฆ่าโดยทันที”

มีหลายคนบอกเราว่า เมื่อถึงเวลาค่ำ เราควรจะไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย พวกเขายังบอกอีกว่า ผู้สื่อข่าวเริ่มไม่เป็นที่ชื่นชอบของทั้งผู้ชุมนุมและกองกำลังของรัฐ และเราจะต้องระมัดระวังให้ดี

เพื่อนร่วมงานชาวไทยของเราคนหนึ่ง ซึ่งเป็น “ผู้ประสานงาน” อิสระให้กับสำนักข่าวอิระวดี แต่ในวันอังคาร (ที่ 18 พฤษภาคม) ได้ไปร่วมงานกับผู้สื่อข่าวจากสถานีโทรทัศน์ France 24 ถูกการ์ดเสื้อแดงให้ออกจากพื้นที่ พวกเขากล่าวหาผู้ประสานงานหญิงคนนี้ว่าบิดเบือนข้อเท็จจริง การ์ดตัวใหญ่ๆ สองคนจับตัวเธอไว้และตบหัวเธอ พวกเขาลากตัวเธอห่างออกไปเพื่อจะไต่สวนเธอ ก่อนที่เธอจะได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา

พงษ์ศักดิ์ ชานนท์ ผู้สังเกตการณ์ซึ่งเข้าไปในพื้นที่ใช้กระสุนจริง (live firing zone) เมื่อวันจันทร์ กล่าวว่าพื้นที่นั้นเป็นเสมือนพื้นที่ของการสังหาร

“ผมได้ยินเสียงกระสุนผ่านตัวผมไป ผมเห็นเขาเคลื่อนย้ายร่างคนบาดเจ็บออกไปต่อหน้าต่อตาอย่างกับหนังฮอลลีวู้ด

เวลาที่ผมไปอยู่แนวหน้า ผมรู้สึกว่า ผมอาจจะถูกยิงได้ทุกเมื่อ เพราะเราไม่รู้ว่าสไนป์เปอร์อยู่ตรงไหนกันแน่

พวกเขา (รัฐบาลและแกนนำเสื้อแดง) ควรจะต้องยอมประนีประนอม ไม่มีใครควรต้องมาตายอย่างนี้”

 

ต้นฉบับข่าว
http://www.irrawaddy.org/article.php?art_id=18496
ข่าวเหตุการณ์ในวัดปทุมฯ จากโพสต์ทูเดย์
http://www.posttoday.com/ข่าว/การเมือง/29260/แดงเหิมรุมทำร้ายสื่อต่างชาติ
ข่าวเหตุการณ์ในวัดปทุมฯ จากข่าวสด
นปช.เข้าใจผิด จิกผมผู้ช่วยนักข่าวต่างชาติ หวาดระแวง ยุผู้ชุมนุมกลับ
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRJM05ERTNNalE1T1E9PQ==
 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สรุปข่าวพม่ารอบสัปดาห์ (11-17 พ.ค.53)

Posted: 18 May 2010 09:37 AM PDT

<!--break-->

12 พ.ค.53
สหรัฐกังวลความสัมพันธ์พม่า –เกาหลีเหนือ
การเยือนของนายเคิร์ต แคมป์เบลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐด้านกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก แสดงให้เห็นท่าทีของสหรัฐที่มีความกังวลต่อความสัมพันธ์และโครงการนิวเคลียร์ระหว่างเกาหลีเหนือและพม่า โดยคณะของนายแคมป์เบลล์ได้ร่วมประชุมกับ อูถ่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของพม่า อดีตเอกอัครราชทูตพม่าประจำสหรัฐอเมริกา และคาดว่าจะเป็นผู้ดูแลแผนพัฒนานิวเคลียร์ของพม่า  

นายแคมป์เบลล์ได้เตือนและแสดงความวิตกกังกลอย่างมากเรื่องการจัดซื้ออาวุธจากเกาหลีเหนือของรัฐบาลพม่า ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าอาจรวมถึงอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งนี้ หลังการเยือนพม่า นายแคมป์เบลล์ได้เดินทางต่อไปยังประเทศจีนทันที โดยได้หารือกับเจ้าหน้าที่ของจีนถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลจีนและพม่า 

ด้านที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐได้ออกมาเตือนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและพม่าอาจสะเทือนถึงความมั่นคงของภูมิภาค ตามรายงานของ Desmond Ball ผู้เชียวชาญเรื่องพม่าชาวออสเตรเลียระบุว่า ความช่วยเหลือเรื่องเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือต่อพม่าจะสิ้นสุดลงในปี 2012 ที่จะถึงนี้ โดยพม่าจะสามารถพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ด้วยตัวเองภายในปี 2020 (Irrawaddy) 

ชาวนาส่งจดหมายร้องเรียนถูกยึดที่นาไปยังตานฉ่วย 
ชาวนาจำนวน 5 รายที่อาศัยอยู่ในเมืองกะเลเมียว ภาคสะกาย ส่งจดหมายร้องเรียนไปยังนายพลอาวุโสตานฉ่วย ผู้นำอันดับหนึ่งของรัฐบาลเผด็จการทหาร ระบุถูกทางการยึดที่นาไปทำสนามบิน โดยเรียกร้องให้คืนพื้นที่ทำกิน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถประกอบอาชีพทำมาหากินได้ 

ด้านเจ้าหน้าที่พยายามเจรจาจ่ายเงินชดเชยให้ในราคาที่นาต่ำกว่าตลาด ทั้งนี้ ทางการในพื้นที่ได้เริ่มก่อสร้างโครงการขยายสนามบินบนที่นาของชาวบ้านแล้ว และจนกึงขณะนี้ก็ยังไม่มีท่าทีใดจากนายพลอาวุโสตานฉ่วย (Mizzima)

13 พ.ค.53
DKBA จำใจเปลี่ยนสถานะเป็น BGF 
กองพลน้อยที่ 5 ของกลุ่มกะเหรี่ยงพุทธ หรือ ดีเคบีเอ จำยอมเปลี่ยนสถานะกองกำลังไปเป็นกองกำลังรักษาชายแดน (Border Guard Force) ตามคำสั่งของผู้บัญชาการสูงสุดแล้วเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา

โดยก่อนหน้านี้กองพลน้อยที่ 5 ภายใต้การบังคับบัญชาของ พ.อ.จอลาปอย ไม่ยอมเข้ารายงานตัว และขัดขืนคำสั่งผู้บัญชาการในการแปรเปลี่ยนสถานะไปเป็น BGF ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกองพลน้อยที่ 5 กับผู้บัญชาการสูงสุดของกลุ่ม DKBA ตึงเครียดอยู่พักหนึ่ง ขณะนี้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ขณะที่พบว่า กองพลน้อยที่ 5 มีกำลังทหารอยู่จำนวน 1,000 นาย (ที่มา เว็บไซต์ Tai Freedom)

14 พ.ค.
นักร้องชื่อดังอังกฤษเยือน อ.แม่สอด
มีรายงานว่าเจน เบอร์กิน(Jane Birkin) นักร้องและนักแสดงชื่อดังชาวอังกฤษได้เดินทางเยี่ยมคลินิกแม่ตาวคลินิก ซึ่งเคยนำเงินที่ได้จากการเล่นคอนเสิร์ตในนิวยอร์กและในวอชิงตันมาบริจาคให้แก่คลินิกแม่ตาว นอกจากนี้ยังได้พบกับนายโบจี เลขาธิการร่วมสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองพม่า (AAPP) กลุ่มเคลื่อนไหวใต้ดินอย่าง Youth Group Generation Wave รวมถึงเข้าเยี่ยมผู้ลี้ภัยในค่ายผู้ลี้ภัยแม่หละ

ก่อนหน้านี้เจน เบอร์กินเคยร่วมรณรงค์ต่อต้านการบริษัทน้ำมันสัญชาติฝรั่งเศสอย่าง Total ที่เข้าไปลงทุนในธุรกิจน้ำมันในพม่า โดยเธอกล่าวว่า จะนำสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในพม่าไปบอกต่อให้คนอื่นๆ (Irrawaddy)

16 พ.ค. 53
ข่าวลือว้าเตรียมรบพม่า ทำงานบุญฉลองพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ยกเลิก
(SHAN 16 พ.ค. 53) - งานบุญประจำปีฉลองพระรูปศักดิ์สิทธิ์ “พระเจ้าอินสาน” ของชาวเมืองขาก เมืองนุง รัฐฉานตะวันออก ถูกยกเลิกกลางคัน เหตุมีกระแสข่าวลือกองกำลังว้า UWSA เตรียมยกทัพถล่มทหารพม่า ….

มีรายงานว่า ระหว่างวันที่ 11 – 13 พ.ค. ที่ผ่านมา ชาวเมืองขาก เมืองนุง ในรัฐฉานภาคตะวันออก อยู่ทางทิศเหนือของเมืองเชียงตุง มีกำหนดจัดงานบุญฉลองพระพุทธรูปอินสาน หรือ พระเจ้าอินสาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมือง โดยมีการเตรียมงานกันอย่างคึกคักก่อนหน้า 2 – 3 อาทิตย์ แต่ทว่า ก่อนวันเริ่มงานเพียง 1 วัน ทางคณะกรรมการจัดงานได้ประกาศยกเลิกการจัดงานอย่างกะทันหัน เหตุเนื่องจากมีกระแสข่าวลืออาจเกิดการสู้รบระหว่างกองทัพพม่ากับกองกำลังว้า UWSA ช่วงระหว่างการจัดงาน 

ชาวเมืองเชียงตุง คนหนึ่งเปิดเผยว่า เมื่อสามสัปดาห์ก่อน ชาวเมืองขาก เมืองนุง ได้รวมตัวเตรียมจัดงานบุญฉลองพระเจ้าอินสานที่วัดเมืองนุง ซึ่งจัดกันมาเป็นประจำทุกปี แต่ก่อนหน้าวันงานไม่กี่วัน ได้เกิดมีกระแสข่าวลือหนาหูว่า กองกำลังว้า UWSA ที่มีพื้นที่เคลื่อนไหวติดกับพื้นที่เมืองขาก เมืองนุง เตรียมเคลื่อนกำลังพลมายังเมืองขาก เมืองนุง อันเป็นพื้นที่ควบคุมของทหารพม่า ทำให้การจัดงานต้องยกเลิกไป ขณะที่ทราบว่าพ่อค้าแม่ค้ารวมทั้งประชาชนจากที่ต่างๆ ที่ไปถึงที่งานก็ต่างตื่นตกใจและรีบเก็บข้าวของเดินทางกลับเช่นกัน

ทั้งนี้ ช่วงเดือนหกของทุกปี ชาวเมืองขาก เมืองนุง จะมีการจัดงานบุญฉลองพระพุทธรูปอินสาน พระพุทธรูปสานด้วยไม้ไผ่ซึ่งเป็นองค์เก่าแก่ที่สุดของรัฐฉาน มีการค้นพบเมื่อ พ.ศ.1881 ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดเมืองนุง อำเภอเมืองขาก แต่งานในปีนี้ได้ถูกยกเลิกกลางคันจากเหตุกระแสข่าวลือดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้ประชาชนที่มีความตั้งใจไปร่วมงานต่างผิดหวังไปตามๆ กัน

ขณะเดียวกัน มีรายงานด้วยว่า ก่อนหน้าการจัดงาน 2 – 3 วัน มีคนร้ายใช้จรวดอาร์พีจี ยิงเข้าใส่สถานีตำรวจพม่าในเมืองยุ (อยู่ทางทิศเหนือของเมืองขาก) แต่ไม่มีรายงานความเสียหายรวมถึงการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด ขณะที่กองกำลังหยุดยิงเมืองลา NDAA ที่มีพื้นที่เคลื่อนไหวใกล้กับเมืองยุ ออกมาปฏิเสธถึงเหตุที่เกิดขึ้น

17 พ.ค.53
ผู้เสียชีวิตจากอากาศร้อนในพม่าพุ่ง 
อุณหภูมิบริเวณภาคกลางของพม่าในบางพื้นที่สูงขึ้นถึง 47 องศาเซลเซียสแล้ว ส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำ ประชาชนขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้อย่างต่อเนื่อง น้ำบาดาลบางแห่งเหือดแห้งไม่สามารถสูบขึ้นมาใช้ได้ นอกจากนี้ ชาวบ้านยังขาดแคลนไฟฟ้า ทำให้ไม่สามารถใช้เครื่องปรับอากาศหรือแม้แต่พัดลมคลายร้อน 

สื่อท้องถิ่นของรัฐบาลพม่ารายงานว่า มีผู้ป่วยจำนวน 11 รายถูกส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลตอง ดวิน จี ในภาคมะกวยเนื่องจากอากาศร้อย ในจำนวนนั้นเสียชีวิตไป 7 ราย ขณะที่เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานฌาปนกิจสงเคราะห์เปิดเผยว่า มีผู้เสียชีวิตจากอากาศร้อนในย่างกุ้งสูงถึง 76 รายแล้ว ขณะที่ในโรงพยาบาลหลักในภาคมัณฑะเลย์มีผู้ป่วยเสียชีวิต 200 ราย ต่อวัน ส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้สูงอายุ ขณะที่ทางการพม่าเตือนประชาชนห้ามออกแรง หรืออาบน้ำทันทีหลังเผชิญอากาศร้อนจากนอกบ้าน รวมถึงงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (DVB/Irrawaddy)

ทัพพม่าสั่งกองพลน้อยที่ 1 ทัพรัฐฉานเหนือถอนกำลังพ้นถนนสายหลัก
(SHAN 17 พ.ค. 53) - พม่าสั่งกองพลน้อยที่ 1 ทัพรัฐฉานเหนือ SSA-N ที่ดื้อตั้งหน่วยรักษาดินแดน ถอนกำลังพ้นเส้นทางสายหลัก อ้างเกรงไม่งามตาผู้นำ ขณะที่ทหารพม่ายังคงเสริมทัพกดดันต่อเนื่อง ส่วนกองพลน้อยที่ 1 ของ SSA-N สั่งถอนกำลังดูแลเหมืองพลอยเมืองสู้เตรียมรับมือ ...

มีรายงานจากแหล่งข่าวว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ที่ผ่านมา พ.อ.ชิตอู ผบ.ยุทธการของพม่าประจำอำเภอกุ๋นฮิง รัฐฉานภาคกลาง ได้ประสานไปยังกองพลน้อยที่ 1 ของกองทัพรัฐฉานเหนือ SSA-N ที่ยังไม่ยอมรับข้อเสนอจัดตั้งเป็นหน่วยพิทักษ์ดินแดน Home Guard Force – HGF โดยขอให้ถอนกำลังพลที่ประจำอยู่ตามเส้นทางสายหลัก ระหว่างเขตรอยต่อพื้นที่ควบคุมของทหารพม่าและกองทัพรัฐฉานเหนือ ออกทั้งหมด

ทั้งนี้ พ.อ.ชิตอู อ้างว่า หากมีทหารกองพลน้อยที่ 1 ของ SSA-N ประจำอยู่ตามเส้นทาง เกรงว่าจะไม่เป็นที่งามตาต่อบรรดาผู้นำที่สัญจรผ่านไปมา พร้อมกับระบุว่า ตามสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายควรหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน

สำหรับกองพลน้อยที่ 1 ของกองทัพรัฐฉานเหนือ SSA-N ภายใต้การนำของ พล.ต.ป่างฟ้า ยังคงปฏิเสธที่จะรับข้อเสนอของรัฐบาลทหารพม่า จัดตั้งเป็นหน่วยรักษาดินแดน แม้ว่าจะมีการพยายามกดดันหว่านล้อมจากกองทัพพม่าอย่างต่อเนื่องก็ตาม

มีรายงานด้วยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กองทัพพม่าได้เสริมกำลังพลหลายร้อยนาย จากเมืองล่าเสี้ยว รัฐฉานภาคเหนือ ไปยังพื้นที่บ้านหัวยะ บ้านช้าง ใกล้พื้นที่เคลื่อนไหวของกองพลน้อยที่ 1 โดยมี พ.อ.ละมิ้น รองแม่ทัพภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ไปปักหลักคอยสั่งการด้วยตนเองอยู่ที่เมืองไหย๋ ทั้งนี้ คาดว่ากองทัพพม่ามีแผนส่งกำลังพลโอบล้อมพื้นที่เคลื่อนไหวของกองพลน้อยที่ 1 ที่มีบก.อยู่ที่บ้านไฮ

ขณะเดียวกัน มีรายงานด้วยว่า กองพลน้อยที่ 1 ของ SSA-N ได้เรียกกำลังพลที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาความปลอยภัยให้กับผู้ทำเหมืองพลอยในพื้นที่เมืองสู้ (เมืองเหมืองพลอยขึ้นชื่อ อยู่ฝั่งตะวันตกแม่น้ำสาละวิน ภาคกลางรัฐฉาน) กลับต้นสังกัด ทั้งยังมีคำสั่งให้ทหารที่ประจำอยู่ที่ฐาน ห่างจากตัวเมืองสู้ ประมาณ 18 ไมล์ ทิ้งฐานเข้าป่าเตรียมรับมือการบุกโจมตีของกองทัพพม่าด้วยเช่นกัน

ผู้ประกอบธุรกิจเหมืองพลอยในเมืองสู้คนหนึ่งเผยว่า หลังทหารกองพลน้อยที่ 1 ของ SSA-N ถูกสั่งถอนออกจากพื้นที่ ทำให้ผู้ประกอบการเหมืองพลอยรวมทั้งประชาชนต่างเกิดความวิตกกังวลกันถึงความไม่ปลอยภัยทางทรัพย์สินเช่นที่ผ่านมา

ตั้งแต่เดือนเมษายน 2552 รัฐบาลทหารพม่าได้เสนอกดดันให้กลุ่มหยุดยิงที่มีอยู่กว่า 10 กลุ่ม เปลี่ยนสถานะเป็นหน่วยพิทักษ์ชายแดน (Border Guard Force - BGF) หรือกองกำลังรักษาดินแดน (Home Guard Force - HGF) เพื่อเตรียมรับการเลือกตั้งทั่วไปในปีนี้ ซึ่งในส่วนของรัฐฉานมีกองกำลังหยุดยิงใหญ่อยู่ 4 กลุ่ม ได้แก่ กองทัพรัฐฉานเหนือ SSA-N กองทัพสหรัฐว้า (UWSA) กองกำลังโกก้าง (MNDAA) และกองกำลังเมืองลา (NDAA) อย่างไรก็ตาม กองกำลังหยุดยิงทั้งหมดต่างปฏิเสธ ขณะที่รัฐบาลทหารพม่าพยายามกดดันพร้อมกำหนดเส้นตายมาอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา พล.ต.หลอยมาว ผู้นำสูงสุดกองทัพรัฐฉานเหนือ SSA-N ได้ยอมรับข้อเสนอของรัฐบาลทหารพม่า โดยนำกำลังพลในสังกัดกองพลน้อยที่ 3 และ 7 รวมจำนวนกว่า 1 พันนาย เปลี่ยนสถานะเป็นหน่วยรักษาดินแดน Home Guard Force – HGF เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเหลือเพียงกองพลน้อยที่ 1 ที่ยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง ขณะที่กองทัพพม่าได้มอบเครื่องแบบหน่วยรักษาดินแดนให้กับทหาร SSA-N ที่รับเปลี่ยนสถานะแล้ว โดยบนหน้าอกเสื้อด้านซ้ายมีข้อความอักษรพม่าเขียนว่า “หน่วยรักษาพื้นที่แสงแก้ว 2” ส่วนบนสัญลักษณ์ติดไหล่เสื้อทั้งสองข้างเขียนว่า "ปิตูจี้ด" หรือ อาสาสมัคร

 

 

 

 

 

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สหประชาชาติมีอำนาจมากน้อยแค่ไหนในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในไทย

Posted: 18 May 2010 09:26 AM PDT

<!--break-->

ข้อถกเถียงถึงการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลในการเข้าขอพื้นที่คืนบริเวณผ่านฟ้าและราชประสงค์ว่าจะสามารถถูกตรวจสอบจากองค์กรนอกรัฐไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากองค์การสหประชาชาติว่าจะสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหนเพียงใด บ้างก็ว่าทำไม่ได้หากรัฐบาลเจ้าของประเทศไม่อนุญาต บ้างก็ว่าเข้ามาได้เลยหากคณะมนตรีความมั่นคงอนุมัติโดยไม่มีสมาชิกถาวรในห้าประเทศวีโต บ้างก็ว่าประเทศนั้นต้องอยู่ในสภาพรัฐล้มเหลว(failed state)เสียก่อนจึงจะเข้ามาได้

ข้อเรียกร้องต่างๆของเราที่ผ่านมานั้นสามารถสรุปได้เป็นประเด็นใหญ่ได้ 3 ประเด็นคือ

1)การส่งกองกำลังของสหประชาชาติเข้ามาในประเทศไทย

2)การฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ

3)การใช้สิทธิ์ตามกระบวนการ 1503

ในเรื่องของการเรียกร้องให้สหประชาชาติส่งกองกำลังเข้ามาระงับศึกภายในประเทศนั้นมีความเป็นไปได้น้อยที่สุด เพราะขึ้นอยู่กับรัฐบาลเจ้าของประเทศจะยินยอมหรือไม่ ซึ่งปกติแล้วมักไม่ยินยอม ดังเช่น ในเนปาลเมื่อครั้งที่เกิดการประท้วงขับไล่ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งกลุ่มเมาอิสต์ได้ร้องเรียนไปยังสหประชาชาติ แต่รัฐบาลเนปาลในสมัยนั้นไม่ยินยอมก็เข้าไม่ได้ หรือสงครามกลางเมืองในศรีลังกาที่ฝ่ายรัฐบาลใช้ระเบิดโจมตีฝ่ายที่ต่อต้านตายเป็นเบือ สหประชาชาติก็ยังเข้าไปไม่ได้เพราะรัฐบาลไม่ยินยอม แม้กระทั่งติมอร์เลสเตตอนแรกๆรัฐบาลอินโดนีเซียก็ไม่ยินยอมเพิ่งมายินยอมในตอนหลังแต่ก็ต้องสูญเสียอธิปไตยให้แก่ติมอร์เลสเตไปซึ่งเราจะเอาอย่างนั้นหรือ

อย่างไรก็ตามหากเกิดสภาวะรัฐล้มเหลว(failed state)โดยรัฐบาลไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้แล้วหรือ ผลที่เกิดขึ้นกระทบต่อประเทศข้างเคียงหรือประเทศอื่นอย่างรุนแรง สหประชาชาติโดยมติของคณะมนตรีความมั่นคงซึ่งจะต้องไม่ได้รับการคัดค้านหรือวีโตจากประเทศใดประเทศหนึ่งหรือหลายประเทศจากสมาชิกถาวรห้าประเทศซึ่งได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน และรัสเซีย จึงจะสามารถนำกองกำลังเข้าประเทศได้ แม้ว่าประเทศนั้นจะไม่ยินยอมก็ตาม

แต่กระบวนการนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วย เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของหลายๆประเทศที่มีกองกำลังสหประชาชาติเข้าไปนั้นสร้างความยุ่งยากมากว่าที่จะเป็นผลดี เพราะเป็นทหารที่มาจากร้อยพ่อพันแม่ จากหลากหลายวัฒนธรรม มีการละเมิดระเบียบวินัยอยู่เป็นประจำ และเราจะยิ่งช้ำมากขึ้นหากเราเห็นทหาร   ต่างด้าวสวมหมวกสีฟ้าไล่ยิงหรือไล่ฆ่าประชาชนของเราที่ถึงแม้ว่าจะคิดต่างจากเราก็ตาม ขนาดทหารไทยด้วยกันเองพูดจาภาษาเดียวกันยังมีปัญหาขนาดนี้ แล้วยิ่งเป็นทหารต่างชาติเข้าแล้วจะยุ่งยากขนาดไหน

ส่วนกระบวนการฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศหรือ ที่จัดตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2545 โดยธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือที่เรียกว่า "Rome Statute" ตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาคดีอาญาที่เกี่ยวกับการล้างเผ่าพันธุ์และคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ คดีอาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรม ที่เป็นการรุกราน นั้น

ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) แตกต่างจาก ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice-ICJ) ก็คือ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มีอำนาจพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับรัฐ แต่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) มีอำนาจพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคล และมีอำนาจไต่สวน ดำเนินคดี และพิพากษาคดีบุคคล โดยเป็นการฟ้องบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐให้รับผิดเป็นการส่วนตัวในการใช้อำนาจ

ที่น่าสนใจก็คือการใช้สิทธิตามข้อร้องเรียนตามกระบวนการ 1503 ของ Human Rights Council ซึ่งที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2006 เพื่อแทนที่ Human Rights Commission  ที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้ออกมาเรียกร้องไปยังสหประชาชาติ โดยให้เหตุผลว่าจากการที่รัฐบาลไทยได้ดำเนินการเพื่อสลายการชุมนุมของทางกลุ่มเสื้อแดง นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องอีกหลายครั้ง เหตุการณ์ล่าสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นมา การดำเนินการของรัฐบาลภายใต้อำนาจของพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้มีการใช้กำลังทางทหารที่นำมาซึ่งความสูญเสียอย่างกว้างขวางทั้งชีวิตของผู้ร่วมชุมนุม ประชาชนทั่วไป ทรัพย์สิน รวมทั้งทหารซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติการในเหตุการณ์คราวนี้

ภายใต้ความสูญเสียอันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้น มีภาพข่าวและข้อมูลเป็นจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าได้มีการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งมิได้เป็นไปอย่างระวังระวังโดยมีการคำนึงถึงชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนอย่างเพียงพอ และอีกทั้งก็มีแนวโน้มว่าจะมีผู้สูญเสียเพิ่มมากขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่เป็นอยู่

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายรัฐบาลได้มีการใช้สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ข้อมูลของตนแต่เพียงด้านเดียว เพื่อชี้แจงว่าการกระทำทั้งหมดของทางฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย โดยไม่เปิดให้มีการใช้สื่อจากฝ่ายอื่นๆ ในการโต้แย้ง ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ทางรัฐบาลได้กล่าวอ้างแต่อย่างใด ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งมีประชาชนเป็นจำนวนมากที่ไม่ไว้วางใจและไม่เชื่อถือในข้อมูลข่าวสาร ด้านเดียวจากทางด้านรัฐบาล การดำเนินการในลักษณะดังกล่าวจึงไม่อาจเป็นหนทางในการสร้างความสันติกลับคืนสู่สังคมไทยได้แม้แต่น้อย

เพื่อไม่ให้เกิดการใช้อำนาจรัฐอย่างไร้กฎเกณฑ์ปราศจากการตรวจสอบ และในสถานการณ์เช่นนี้มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจึงร้องเรียนต่อองค์การสหประชาชาติตามกระบวนการ 1503 อันเป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถร้องเรียนกับสหประชาชาติได้โดยตรงในกรณีที่เห็นว่ามีสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงเกิดขึ้น

โดยให้มีการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการใช้อำนาจของรัฐบาลในครั้งนี้ว่าได้ดำเนินการไปในลักษณะดังที่ได้กล่าวอ้างมาอย่างต่อเนื่องหรือไม่ อันเป็นการดำเนินการจากองค์กรในระดับสากลซึ่งเป็นที่ยอมรับได้ว่าไม่ได้มีอคติหรือเอนเอียงเข้าหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้งที่กำลังปะทุอยู่ในปัจจุบัน และทำให้เกิดการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐว่ามิได้กระทำไปตามใจของผู้มีอำนาจและไม่ให้การสูญเสียชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นความสูญเปล่าที่ปราศจากความรับผิดชอบใดๆ

ซึ่งการใช้สิทธิตามกระบวนการนี้สหประชาชาติ จะเป็นผู้พิจารณาเองว่ามีเหตุการณ์และข้อเท็จจริงใดเกิดขึ้นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นส่วนความรุนแรง และส่วนของกระบวนการภายในว่าสามารถคุ้มครองสิทธิประชาชนในรัฐได้หรือไม่ คือ สหประชาชาติจะทำการสืบสวนในทางลับ คู่ขนานกับกระบวนการอื่นไปด้วย ซึ่งจะเป็นการกดดันรัฐไปในตัว ซึ่งจริงๆ ผมคาดว่าสหประชาชาติ ได้ดำเนินการไปแล้ว และ รัฐไทยเราเคยใช้ตอน พฤษภาทมิฬ โดยศาสตราจารย์วิทิต มันตราภรณ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ยื่น หลังจากนั้นสหประชาชาติได้กดดันรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุนให้ไต่สวนข้อเท็จจริง พร้อมกับการกับตั้งกองทุนเยียวยา

ส่วนใครจะต้องรับผิดในศาลอาญาระหว่างประเทศหรือตามกระบวนการ 1503 นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง ซึ่งกรรมจะเป็นเครื่องชี้เจตนา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลอภิสิทธิ์หรือฝ่ายแกนนำเสื้อแดงและผู้บงการ ตลอดจนสื่อมวลชนและผู้ที่มีส่วนยุยงให้เกิดการรบราฆ่าฟันก็ตาม จะต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทำตนในที่สุด ดังเช่น กรณีของรวันดา เขมรแดงหรืออดีตยูโกสลาเวีย ฯลฯ นั่นเอง

 

..................................
เผยแพร่ครั้งแรก : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 18 พ.ค.53

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“เปลือยเพื่อชีวิต” ถอดผ้าบอกโลก เสื้อแดงก็ 'คน' - ไร้อาวุธ

Posted: 18 May 2010 09:26 AM PDT

<!--break-->

 
17 พ.ค.53   เวลา 16.00 น. ผู้ชุมนุมและผู้สนับสนุนเสื้อแดงชายหญิงที่ปักหลักอยู่บริเวณใต้ทางด่วนดินแดงกว่าห้าสิบคนทำกิจกรรม “เปลือยเพื่อชีวิต” (Naked for Life) โดยการถอดเสื้อเหลือเพียงชุดชั้นใน เพื่อสื่อให้สังคมไทยและทั่วโลกรับรู้ว่าผู้ชุมนุมเสื้อแดงมีเพียงตัวเปล่า ไร้อาวุธ และไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายตามที่รัฐบาลและศอฉ.กล่าวหา
“เราต้องการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อให้สังคมเห็นว่าเราต่างมีเลือดมีเนื้อ เป็นมนุษย์เหมือนๆกันกับคนอื่นๆ และที่สำคัญเรามาชุมนุมด้วยมือเปล่า เหตุใดจึงต้องระดมกำลังทหาร และอาวุธสงครามจำนวนมากเพื่อมาปราบปรามประชาชน ชีวิตของคนเสื้อแดงมีค่าน้อยกว่าคนอื่นๆอย่างนั้นหรือ? ” ขวัญระวี วังอุดม ผู้ประสานกิจกรรมกล่าว
“เราอยากรู้ว่าทำไมรัฐบาลต้องฆ่าประชาชน หากรัฐบาลอ้างว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธ หรือมีผู้ก่อการร้ายแฝงมาในผู้ชุมนุม ทำไมรัฐบาลไม่ลองมาในที่ชุมนุม มาลองพูดคุยกับชาวบ้านดูบ้าง” ป้าน้อยกล่าวกับสื่อมวลชนที่มาถ่ายภาพ “เราต้องการเพียงให้รัฐบาลต้องถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ทั้งหมด เพราะว่าความรุนแรงเกิดจากอาวุธของทหาร และต้องหยุดฆ่าประชาชนทันที”
 
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศอฉ.สั่งห้ามอีก 43 รายชื่อ ทำธุรกรรมทางการเงิน

Posted: 18 May 2010 09:24 AM PDT

ศอฉ.เผยรายชื่อบุคคล-นิติบุคคล ห้ามทำธุรกรรมการเงินรอบ 2 กว่า 43 ราย มี "บิ๊กจิ๋ว-จตุพร-จักรภพ" รวมเหยียนปิน เจ๊เกียว ญาติตระกูลชินฯ จี้ให้แจ้งและส่งข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกิจภายใน 22 พ.ค.นี้

<!--break-->

วันนี้ (18 พ.ค.) ศอฉ.ได้ออกคำสั่งที่ 58/2553 ลงวันที่18 พ.ค.ลงนามโดยพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน เรื่องห้ามมิให้กระทำการใดๆ หรือสั่งให้กระทำการใดๆ เกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงิน หรือดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคลหรือนิติบุคคลเท่าที่จำเป็นแก่การรักษาความมั่นคงของรัฐความปลอดภัยของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน (ฉบับที่2) โดยให้แจ้งและส่งข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกิจของบุคคลหรือนิติบุคคลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2552-19 พ.ค.2553 มายัง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินภายในวันที่ 22 พ.ค.นี้ 

ทั้งนี้คำสั่งข้อที่ 1.ระบุว่า ให้แก้ไขเพิ่มเติมบัญชีรายชื่อฯ แนบท้ายคำสั่ง ศอฉ.ที่49/2553 ลงวันที่ 16 พ.ค.2553 ในส่วนรายละเอียดอื่นๆ เหมือนฉบับแรกที่แถลงเมื่อวันที่ 16 พ.ค.53 โดยรายชื่อบัญชีรายชื่อบุคคลแนบท้ายคำสั่งแบ่งเป็นนิติบุคคล 6 บริษัท บุคคลธรรมดา 37 ราย รวม 43 รายชื่อบุคคลและนิติบุคคล

 

บุคคลธรรมดา 37 ราย มีดังนี้ 

1.นายวิชาญ มีนชัยนันท์

2.คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์

3.นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา

4.นางพิมพา จันทร์ประสงค์

5.นายเจริญ จรรย์โกมล

6.นายเรืองเดช สุพรรณฝ่าย

7.นายไพโรจน์ อิสระเสรีพงศ์

8.นายจิรศักดิ์ เตชะทวีกุล

9.นายพันธ์เลิศ ใบหยก

10.นายสมหวัง อัสราษี

11.นางสาวจุฑารัตน์ เมนะเศวต

12.นางสาวชินณิชา วงศ์สวัสดิ์

13.นางอรุณี ชำนาญยา

14.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

15.นายวีระ มุสิกพงศ์

16.นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง

17.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท

18.นายยศวริศหรือประมวล ชูกล่อม

19.นางดารุณี กฤตบุญญาลัย

20.นายธนกฤต ชะเอมน้อย หรือ ชัยชนะ เกิดดี

21.นายอารี ไกรนรา

22.นายวรวุทธ วิชัยดิษฐ์

23.พลโทพฤณฑ์ สุวรรณทัต

24.พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค

25.พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ

26.นางเยาวเรศ ชินวัตร

27.นายจตุพร พรหมพันธุ์

28.นายจักรภพ เพ็ญแข

29.นายสุธรรม แสงประทุม

30.นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ

31.นายไพจิตร ธรรมโรจน์วินิจ (ปอ ประตูน้ำ)

32.นายพศิน หอกลาง

33.นายชาญชัย รวยรุ่งเรือง (เหยียนปิน)

34.นางสุกัญญา ประจวบเหมาะ

35.นางสุจินดา เชิดชัย (เจ๊เกียว)

36.นายอัสนี เชิดชัย

37.นายสุรวุฒิ เชิดชัย

 

นิติบุคคล 6 ราย

1.บริษัท เวิร์ธซัพพลาย จำกัด

2.บริษัท บี.บี.ดี. ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด

3.บริษัท บี.บี.ดี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

4.บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)

5.บริษัท รวยชัย อินเตอร์เนชั่นแนล กรุป จำกัด

6.บริษัท รวยชัย เมอร์แชนไดส์ จำกัด

สำหรับรายชื่อนิติบุคคล 6 ราย ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจในตระกูลชินวัตร ดามาพงศ์ และของนายชาญชัย (เหยียนปิน) ขณะที่ เอสซี แอสเสท นั้นเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 16 พ.ค.53 ศอฉ.ได้มีคำสั่งที่ 49/2553 เรื่อง ห้ามมิให้กระทำการใดๆ หรือสั่งให้กระทำการใดๆ เกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงิน หรือการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคลหรือนิติบุคคลเท่าที่จำเป็นแก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ ใน 106 บุคคลและนิติบุคคล มีรายชื่อ ดังนี้

 

นิติบุคคล 13 ราย

1.บริษัท ทุนนวัตกรรม จำกัด

2.บริษัท นิวโอ๊ค จำกัด

3.บริษัท บี.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

4.บริษัท ประไหมสุหรี พร้อมเพอร์ตี้ จำกัด

5.บริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น จำกัด

6.บริษัท เอส ซี เค เอสเทต จำกัด

7.บริษัท เอส ซี ออฟฟิซ ปาร์ค จำกัด

8.บริษัท เอส ซี ออฟฟิซ พลาซ่า จำกัด

9.บริษัท โอ เอ ไอ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด

10.บริษัท โอเอไอ คอนซัลแต้นท์แอนด์แมนเนจเม้นท์ จำกัด

11.บริษัทโอเอไอ แมนเนจเม้นท์ จำกัด

12.บริษัท โอเอไอ ลีสซิ่ง จำกัด

13.บริษัท โอเอไอ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด

 

บุคคลธรรมดา 83 ราย

1.พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร

2.คุณหญิงพจมาน ชินวัตร หรือดามาพงศ์ หรือ ณ ป้อมเพชร 

3.นายพานทองแท้ ชินวัตร 

4.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร 

5.น.ส.พินทองทา ชินวัตร 

6.น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 

7.นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ 

8.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 

9.นายเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ 

10.นางกาญจนาภา หงส์เหิน 

11.นายชานนท์ สุวสิน 

12.นายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช 

13.นายเอกราช ช่างเหลา 

14.นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ 

15.นายการุณ โหสกุล 

16.นายนพดล ปัทมะ

17.นายวิชาญ มีนชัยนันทน์ 

18.คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ 

19.นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา 

20.นางพิมพา จันทรประสงค์ 

21.นายสันติ พร้อมพัฒน์ 

22.นายเชิดชัย ตันติศิรินทร์

23.นายประชา ประสพดี 

24.นายไชยา สะสมทรัพย์ 

25.นายวุฒิชัย กิตติธเนศวร 

26.นายยงยุทธ ติยะไพรัช 

27.นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ 

28.นายเจริญ จรรย์โกมล 

29.นายสุทิน คลังแสง 

30.นายเรืองเดช สุวรรณฝ่าย 

31.นายเรืองยุทธ ประสาทสวัสดิ์ศิริ 

32.นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ 

33.นายสมบุญ ขุนทองไทย 

34.นางมยุรี เศวตาศัย 

35.นายอุดมเดช รัตนเสถียร 

36.นายไพโรจน์ อิสรเสรีพงษ์

37.นายพายัพ ชินวัตร 

38.นายจิระศักดิ์ เตชะทวีกุล 

39.น.ส.พนิดา ปัญจาบุตร 

40.นางวิยดี สุตะวงศ์ 

41.นายเจริญ คัมภีรภาพ 

42.นายทัศ เชาวนเสถียร

43.พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก 

44.นายสุชน ชาลีเครือ

45.นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล 

46.นายอนุสรณ์ ปั้นทอง 

47.น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ 

48.นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ 

49.นายพันเลิศ ใบหยก 

50.นายสมหวัง อัสราศี 

51.น.ส.จุฬารัตน์ เมนะเศวต 

52.นายสมชาย ไพบูลย์ 

53.พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร 

54.นายสงวน พงษ์มณี 

55.น.ส.ชินณิชา ชินวัตร 

56.พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์

57.นายไพโรจน์ ตันบรรจง 

58.นางอรุณี ชำนาญยา

59.นายวิเชียร ขาวขำ 

60.นายพีระพันธ์ พาลุสุข 

61.นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ 

62.พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ 

63.นายพายัพ ปั้นเกตุ 

64.นายสุชาติ ลายน้ำเงิน 

65.นายนิยม วรปัญญา 

66.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 

67.นพ.เหวง โตจิราการ 

68.นายวีระ มุสิกพงศ์ 

69.นายขวัญชัย สาราคำ 

70.นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง 

71.นายจรัล ดิษฐาอภิชัย 

72.นายนิสิต สินธุไพร 

73.นายก่อแก้ว พิกุลทอง 

74.นายชินวัตร หาบุญพาด 

75.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย 

76.นายอดิศร เพียงเกษ

77.นายวรพล พรหมิกบุตร 

78.นายสำเริง ประจำเรือ 

79.นายวิสา คัญทัพ 

80.นายยศวลิต ชูกล่อม 

81.นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ 

82.นางดารุณี กฤตบุญญาลัย 

83.พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ 

84.นายวันชนะ เกิดดี 

85.นายอารีย์ ไกรนรา 

86.นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ 

87.นายเมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ 

88.นายประชัญ หรือ ฌอน บุญประคอง 

89.พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี 

90.พล.ท.มนัส เปาริก 

91.พล.ท.พฤณฑ์ สุวรรณทัต

92.พล.ต.ท.สล้าง บุนนาค 

93.พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล

 

ทั้งนี้ประกาศดังกล่าวกำหนดข้อห้าม

ดังนี้

1.ห้ามมิให้สถาบันการเงิน ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย และสหกรณ์ นิติบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน นิติบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้บริการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ทำนิติกรรมสัญญาหรือการดำเนินการใดๆ ทางการเงิน ทางธุรกิจหรือการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินกับบุคคลหรือนิติบุคคลตามบัญชีรายชื่อ 106 คน ซึ่งแบ่งเป็น 13 นิติบุคคลและ 96 บุคคล

3.ให้สถาบันการเงินและนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจแจ้งและส่งข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมของบุคคลหรือนิติบุคคลตามข้อ 1 ได้กระทำขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2552 จนถึงวันที่ 17 พ.ค. 2553 มายังหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินภายในวันที่ 20 พฤษภาคม 2553

4.การขอเพิกถอนคำสั่ง นั้นให้ดำเนินการเป็นรายครั้งแล้วโดยให้ยื่นคำขอและแสดงตนต่อหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินพร้อมด้วยหลักฐานที่แสดงว่า การดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน ไม่ได้เป็นการกระทำหรือสนับสนุนการกระทำเพื่อให้เกิดเหตุสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง

5.ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับตามาตรา 18 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ชุมนุมเพื่อสันติภาพ เที่ยง 19 พ.ค. ที่ยูเอ็น

Posted: 18 May 2010 09:15 AM PDT

<!--break-->

18 พ.ค.53 กลุ่มผู้เรียกร้องความสมานฉันท์ และสันติภาพ ร่อนจดหมายเชิญชวนคนไทย และคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย กลุ่ม บุคคล กลุ่มศาสนาต่างๆ ทั้งชาวพุทธ มุสลิม คาทอลิก ฮินดูและอื่นๆ สื่อต่างๆ เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อความรัก ความสมานฉันท์ และสันติภาพให้กับประเทศไทยผ่านทางอีเมลล์ เฟสบุ๊ค

โดยจดหมายดังกล่าวระบุว่า ความรุนแรงบนท้องถนนสี่วัน นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิต เลือดเนื้อ น้ำตา และทรัพย์สิน มีผู้เสียชีวิตทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ กว่า 36 ศพ บาดเจ็บหลายร้อยคน ประเทศไทยที่สงบร่มเย็น สวยงาม เปลี่ยนเป็นสนามรบ ใจกลางกรุงเทพมหานครเต็มไปด้วยกองกำลังทหาร แนวรบการโอบล้อม การต่อสู้   การตอบโต้จากประชาชนเสื้อแดง สถานการณ์มีแน้วโน้มความรุนแรงเพิ่มขึ้น ขยายพื้นที่ออกไปหลายๆ พื้นที่ในกรุงเทพ และมีโอกาสที่จะขยายขอบเขตไปในจังหวัดต่างๆ อีกหลายๆ จังหวัด

พวกเราวิตกกังวลกับสถานการณ์ที่ดำรงอยู่อย่างมาก จึงขอส่งสาสน์แห่งความรัก เมตตา สันติภาพ และเรียกร้องให้ทั้งรัฐบาลและ นปช ยุติความรุนแรง ถอยกลับมาตั้งสติและกลับคืนสู่การเจรจาอีกครั้งเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่ตึงเครียด เพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และประชาชนชาวไทยทั้งมวล

ในนามของผู้ที่เรียกร้องความสมานฉันท์ และสันติภาพ เราขอเชิญชวนทุกท่าน ทั้งคนไทย และคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย กลุ่ม บุคคล กลุ่มศาสนาต่างๆทั้งชาวพุทธ มุสลิม คาทอลิก ฮินดูและอื่นๆ สื่อต่างๆ เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อความรัก ความสมานฉันท์ และสันติภาพให้กับประเทศไทย

“ร่วมกับเราเพื่อความสมานฉันท์ และสันติภาพสำหรับประเทศไทย” จดหมายวัยนดังกล่าวระบุ และเรียกร้องให้ไปรวมตัวกันในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เวลา 12.30 น. ณ อาคารสหประชาชาติ   ถนนราชดำเนินนอก 

 

กำหนดการ
12.30  น พร้อมกันที่ประตูใหญ่ สหประชาชาติ
13.00  น. บทสวด ภาวนา ๓ ศาสนาเพื่อสันติภาพ ประชาธิปไตยและอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตจากความรุนแรงทุกฝ่าย
13.45 น. อ่านแถลงการณ์ สาส์นสันติภาพ แถลงข่าว
14.00 น. ส่งตัวแทนเข้ายื่นสาส์นให้กับผู้แทนสหประชาชาติ รัฐบาลที่กองพลทหารราบที่ 11 และกลุ่ม นปช. ที่ราชประสงค์

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น