ประชาไท | Prachatai.info |
- ‘อภิชาติพงศ์’ ผู้กำกับมือรางวัล วิพากษ์ ‘ไทย’ ที่เมืองคานส์
- วันกองทัพรัฐฉานปีที่ 52: เจ้ายอดศึกเรียกร้องคว่ำบาตรการเลือกตั้งของทหารพม่า
- เลขาฯเพื่อผู้บริโภครายงานเพลิงไหม้มูลนิธิ ระดมความช่วยเหลือ
- นิเทศน์ จุฬาฯ เรียกร้อง 8 ข้อสร้างสันติภาพสื่อและสังคมไทย
- 9 ศพ ในเซ็นทรัลเวิล์ดยังเข้าตรวจสอบไม่ได้ เบื้องต้นศพแรกบนชั้น 4 ทราบชื่อแล้ว
- รอยเตอร์: สันติภาพที่ยากเย็นในไทยและความไม่แน่นอนเบื้องหน้า
- นักปรัชญาชายขอบ: “อภิสิทธิ์” ต้องรีบคืนอำนาจให้ประชาชน!
- รองผบช.น.แจง “แกนนำ นปช.” ไม่ได้อยู่สบาย แค่ห้องพักไม่พอเลยย้ายไปบ้านพักรับรอง
- พม่าเตรียมเปลี่ยนธงชาติ-ชื่อใหม่หลังเลือกตั้ง
- ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเกอร์: ถึงเวลาแล้วที่ทักษิณและอภิสิทธิ์ต้องแสดงความเป็นรัฐบุรุษ
- ปล่อย “สมยศ” แล้ว เจ้าตัวเผยโดนคุมตัว เหตุขวาง ตร.ยึดภาพ “การชุมนุม-สลายกลุ่มคนเสื้อแดง"
- ปากคำ ‘หน่วยกู้ภัย’ : Q: “ยิงทำไม นี่รถพยาบาล?” A: “ก็พวกมึงขว้างกู”
- วิดีโอคลิป: ห่ากระสุนในเขตอภัยทาน และศพที่ถูกลากขึ้นรถทหาร
- Ground Zero @ Thai Central World Trade Center
- ศอฉ.บล็อคเว็บ-ทวิตเตอร์ประชาไท
‘อภิชาติพงศ์’ ผู้กำกับมือรางวัล วิพากษ์ ‘ไทย’ ที่เมืองคานส์ Posted: 21 May 2010 03:15 PM PDT เอเอฟพี : เมืองคานส์ 21 พ.ค. 53 อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล วิพากษ์หนักต่อการเซ็นเซอร์ในประเทศ เนื่องในโอกาสที่หนังเรื่องล่าสุดของเขาได้เข้ารอบสุดท้ายรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา “ลุงบุญมี ระลึกชาติ”ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ภาพยนตร์ว่ารักษาแนวทางและคงความสร้างสรรค์ได้ดีเยี่ยม “แต่คุณก็ไม่สามารถที่จะตำหนิคนทำหนังชาวไทย” อภิชาติพงศ์ ได้กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวว่า “พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะมีกฎหมายให้เซ็นเซอร์” “เราไม่สามารถสร้างหนังในสถานการณ์ปัจจุบัน” ก่อนที่จะกล่าวเสริมต่อไปว่า “ด้วยกฎหมายละเมิดสิทธิที่คุกคามอยู่โดยอ้างเรื่องความมั่นคงของรัฐ อะไรก็ตามสามารถที่จะจับเข้าไปไว้ด้วยเหตุผลดังกล่าว” ผู้สร้างภาพยนตร์ท่านนี้ยังได้พูดถึงการบินออกจากกรุงเทพฯในขณะที่เพลิงกำลังลุกไหม้ “ประเทศไทยเป็นประเทศที่รุนแรง” ทั้งยังได้กล่าวด้วยว่า “ประเทศนี้กุมอำนาจโดยกลุ่มมาเฟีย” ภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีต้องทรมานกับการป่วยโรคไต อย่างไรก็ดีเขาตัดสินใจที่จะใช้วันเวลาของชีวิตในป่า ที่ซึ่งดวงวิญญาณของภรรยาเขากลับมาหาลูกชายด้วยความคิดถึง ลูกชายที่หายไป ผู้ซึ่งได้กลายเป็นผีลิงขน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในสิบเก้าเรื่องที่ถูกคัดเลือกให้เข้ารอบรางวัลปาล์มทองคำที่จะถูกประกาศผลในวันอาทิตย์นี้
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
วันกองทัพรัฐฉานปีที่ 52: เจ้ายอดศึกเรียกร้องคว่ำบาตรการเลือกตั้งของทหารพม่า Posted: 21 May 2010 01:16 PM PDT กองทัพรัฐฉานจัดรำลึกครบรอบ 10 ปีสภากอบกู้รัฐฉาน และ 52 ปีวันกองทัพรัฐฉาน “เจ้ายอดศึก” เรียกร้องทุกชนชาติในรัฐฉานและพม่าสามัคคีกันโค่นรัฐบาลทหารพม่า อัดการเลือกตั้งพม่าใช้รัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งที่ร่างโดยทหาร ถ้ามีการเลือกตั้งจะเป็นการเลือกทหารพวกเดียวกันเอง พร้อมเรียกร้องให้ “เอ็นแอลดี” และ “เอสเอ็นแอลดี” บอยคอตเลือกตั้ง <!--break--> พล.ท.เจ้ายอดศึก ประธานสภากอบกู้รัฐฉาน และผู้นำกองทัพรัฐฉาน (SSA) ระหว่างพิธีวันกองทัพรัฐฉานปีที่ 52 เมื่อ 21 พ.ค. ที่ดอยไตแลง ฐานทัพของ SSA ทางตอนใต้ของรัฐฉาน สหภาพพม่า ตรงข้ามกับ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน
ประชาชนชาวไทใหญ่ ระหว่างพิธีวันกองทัพรัฐฉานปีที่ 52 เมื่อ 21 พ.ค. ที่ดอยไตแลง ฐานทัพของ SSA ทางตอนใต้ของรัฐฉาน สหภาพพม่า ธงสีฟ้าในภาพคือธงของสภากอบกู้รัฐฉาน (RCSS) ซึ่งเป็นองค์กรทางการเมืองของกองทัพรัฐฉาน ซึ่งในวันนี้ถือเป็นวันครบรอบ 10 ปีของสภากอบกู้รัฐฉานด้วย
ทหารกองทัพรัฐฉาน SSA ระหว่างพิธีวันกองทัพรัฐฉานปีที่ 52 ที่ดอยไตแลง เมื่อ 21 พ.ค. โดยวันนี้เมื่อ 52 ปีที่แล้ว หรือในปี พ.ศ. 2503 ชาวไทใหญ่กลุ่มหนึ่งได้ตั้งกองกำลัง “หนุ่มศึกหาญ” เพื่อเรียกร้องเอกราชจากพม่า และวันนี้ยังเป็นวันครบรอบ 10 ปี การก่อตั้งสภากอบกู้รัฐฉาน (RCSS) ซึ่งเป็นองค์กรทางการเมืองของกองทัพรัฐฉานด้วย
วานนี้ (21 พ.ค. 53) กองทัพรัฐฉาน (Shan State Army – SSA) จัดงานวันกองทัพรัฐฉานปีที่ 52 ณ ฐานที่มั่นดอยไตแลง รัฐฉาน ตรงข้าม อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน โดยมีชาวไทใหญ่มาร่วมงานหลายร้อยคน โดยพิธีเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า มีการแสดงทักษะการใช้อาวุธและการสวนสนามของทหารไทใหญ่ที่สำเร็จการฝึกทหาร นอกจากนี้ในวันนี้ยังเป็นวันครบรอบ 10 ปีการก่อตั้งสภากอบกู้รัฐฉาน (RCSS) ซึ่งเป็นองค์กรทางการเมืองของกองทัพรัฐฉานด้วย พล.ท.เจ้ายอดศึก ประธาน RCSS กล่าวระหว่างแถลงข่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า ในโอกาส 10 ปี ของสภากอบกู้รัฐฉาน งานหลักของสภากอบกู้รัฐฉาน คือพยายามเอาการเมืองแก้ปัญหาในพม่า สอง ประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนไม่ว่าเผ่าไหน ไม่ว่าชาติไหนในรัฐฉานหรือสหภาพพม่าให้สามัคคีกัน ร่วมมือกันต่อสู้โค่นล้มรัฐบาลทหารพม่าหรือ SPDC ให้ได้ และสาม ต้องพยายามสะสมกำลังทหารให้เข้มแข็ง เพื่อป้องกันประเทศของเราให้ได้ พล.ท.เจ้ายอดศึก ยังกล่าวถึงแผนการจัดการเลือกตั้งของรัฐบาลทหารพม่าในปีนี้ว่า ถ้ารัฐบาลทหารพม่ายังดื้อรั้นจัดการเลือกตั้ง และบีบบังคับให้กลุ่มหยุดยิงในรัฐต่างๆ เปลี่ยนสถานะเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ภายใต้การควบคุมของทหารพม่า จะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองทุกหนทุกแห่ง และทำให้ประชาชนประสบความลำบาก ประธาน RCSS กล่าวว่า การเลือกตั้งนี้จะไม่มีผลอะไรและจะยิ่งสร้างปัญหาให้กับประชาชน ที่บอกว่าไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งในปี 2010 ไม่ได้แปลว่าต่อต้านการเลือกตั้ง แต่ต่อต้านความพยายามของทหารพม่าที่จะจัดเลือกตั้ง โดยไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาของรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งที่รัฐบาลทหารพม่าร่าง ถ้ามีการเลือกตั้งก็จะเป็นการเลือกกันเองของคนในกองทัพพม่า โดย พล.ท.เจ้ายอดศึกเสนอว่า ถ้าสองพรรคการเมืองใหญ่คือ พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) และพรรคสันนิบาติแห่งชาติรัฐฉานเพื่อประชาธิปไตย (SNLD) ไม่ลงเลือกตั้ง การเลือกตั้งที่จะจัดโดยรัฐบาลทหารพม่าก็จะไม่มีผลอะไร ส่วนพรรคเล็กที่ตั้งขึ้นใหม่ไปลงเลือกตั้ง จะทำการรณรงค์ดึงดูดให้คนมาเลือกได้อย่างไร พรรคเล็กๆ ในการเลือกตั้งจึงไม่มีพื้นที่เปรียบเหมือนนกในกรงจะบินไปที่ไหน จึงขอเสนอให้คว่ำบาตรการเลือกตั้งให้หมด จะเป็นการล้มรัฐบาลทหารพม่า พล.ท.เจ้ายอดศึก ยังกล่าวว่า เชื่อมั่นว่าชาวไทใหญ่และคนทุกเผ่าในรัฐฉานว่ายังรักชาติ และเชื่อว่าสักวันแต่ละกลุ่มต้องมาร่วมมือกัน ถ้ามีอุดมการณ์การเมืองจะมาร่วมมือกัน แต่ถ้าไม่มี คงไปรวมกับพม่านานแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงสลายกองกำลัง อย่างที่เจ้าจายยี่ ผู้นำกองทัพแห่งชาติรัฐฉาน (SSNA) มาร่วมเมื่อปี 2548 ก็เพราะเขามีอุดมการณ์ทางการเมืองจึงมาร่วมกับกองทัพรัฐฉานและมาต่อสู้จนถึงปัจจุบันนี้ ส่วนกรณีกองพลน้อยที่ 1 ของกองทัพรัฐฉานภาคเหนือ (SSA-N) ยังไม่ตัดสินใจเปลี่ยนสถานะจากกลุ่มหยุดยิงมาเป็นอาสาสมัครรักษาดินแดนนั้น พล.ท.เจ้ายอดศึก กล่าวว่า ยังเชื่อว่าเขามีอุดมการณ์ทางการเมืองอยู่บ้าง เพียงแต่ต้องพิจารณาว่าการอดทนของเขาจะอดทนได้เท่าไหร่ และดูว่าวิธีต่อสู้ทางการเมืองของเขาและจุดยืนของเขาจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ สำหรับวันที่ 21 พ.ค. ของทุกปี ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลพม่าถือเอาวันนี้เป็นวันรำลึกการต่อต้านทหารพม่า โดยวันนี้เมื่อปี พ.ศ. 2501 เจ้าน้อยซอหยั่นต๊ะได้ตั้งกองกำลังต่อต้านรัฐบาลพม่าในนามกลุ่ม "หนุ่มศึกหาญ" ขึ้นที่เมืองหาง เขตอำเภอเมืองโต๋น ในรัฐฉานตอนใต้ ด้านตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน โดยเริ่มต้นมีกำลังพล 30 นาย โดยในปี 2501 นี้ ถือเป็นปีครบกำหนดที่ชาวไทใหญ่ในรัฐฉานและชนกลุ่มน้อยในรัฐอื่นของพม่าสามารถใช้ “สิทธิแยกตัว” (Right of Secession) ตามรัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่ระบุว่าหลังจากพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษไปแล้ว 10 ปี หากรัฐของชนชาติต่างๆ ในสหภาพพม่าต้องการแยกตัวเป็นเอกราช โดยสามารถจัดการลงประชามติขึ้นในรัฐนั้น หากได้รับเสียง 2 ใน 3 จึงจะสามารถแยกตัวเป็นเอกราชได้ แต่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของรัฐบาลพม่าอีกที อย่างไรก็ตามไม่มีชนกลุ่มน้อยรัฐใดในรัฐฉานมีโอกาสใช้สิทธิดังกล่าว เนื่องจากปัญหาสงครามกลางเมืองระหว่างชนกลุ่มน้อยที่ต้องการแยกเป็นอิสระ และทหารพม่ารุกคืบเข้าไปในพื้นที่ของรัฐชนกลุ่มน้อย ปัจจุบันในรัฐฉาน มีกองกำลังที่ต่อต้านรัฐบาลพม่าคือกองทัพรัฐฉาน หรือ SSA นำโดย พล.ท.เจ้ายอดศึก ซึ่งแยกออกมาตั้งกลุ่มใหม่ หลังจากที่ขุนส่านำกองทัพเมืองไต (Mong Tai Army หรือ MTA) วางอาวุธแก่รัฐบาลพม่าในเดือนมกราคมปี พ.ศ.2539 และต่อมาเมื่อเดือน พ.ค. ปี 2548 กองทัพแห่งชาติรัฐฉาน (Shan State National Army – SSNA) ซึ่งได้แยกตัวจากขุนส่า เมื่อปี 2538 และทำสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลพม่านั้น ได้เลิกสัญญาหยุดยิงและ พ.อ.เจ้าจายยี่ ผู้นำ SSNA ได้นำกำลังมารวมกับกองทัพรัฐฉาน SSA ทั้งนี้ กองทัพรัฐฉาน SSA มีพื้นที่อิทธิพลในเขตรัฐฉานตอนใต้ ขนานชายแดนไทย-พม่าตั้งแต่ด้านตรงข้าม อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ผ่าน อ.เวียงแหง และ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ไปจนถึงชายแดนไทยพม่าด้านตรงข้าม อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
เลขาฯเพื่อผู้บริโภครายงานเพลิงไหม้มูลนิธิ ระดมความช่วยเหลือ Posted: 21 May 2010 01:04 PM PDT <!--break--> สืบเนื่องจากเหตุเพลิงไหม้ห้างสรรพสินค้า เซ็นเตอร์วัน ย่านอนุสาวรีย์ จากเหตุจราจลหลังเหตุการณ์ยุติการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ต่อเนื่องวันที่ 20 พ.ค. ทำให้เพลิงที่ลุกไห้มลามติดอาคารของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ส่งผลให้เกิดความเสียหายเกือบทั้งหมด เมื่อวันที่ 21 พ.ค.53 สารี อ๋องสมหวัง เลขามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้เขียนจดหมายแสดงความขอบคุณทุกความห่วงใยที่มีมาถึง พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตลอดจนความเสียหาย นอกจากนี้ยังได้ให้รายละเอียดในภารกิจหน้าที่ของมูลนิธิ และประกาศระดมความช่วยเหลือ โดยมีรายละเอียดในจดหมาย ดังนี้ 0 0 0 ถึงทุกคน ก่อนอื่น ต้องขอบคุณทั้งโทรศัพท์ อีเมล์ SMS วันนี้ที่มีมาถึงทั้งสารี และน้องๆ ทุกคนของสำนักงานมูลนิธิ ฯ และขอบคุณพี่ๆ เพื่อน น้อง ๆ หลายคนที่มาช่วยเหลือที่สำนักงานของมูลนิธิในวันนี้ พวกเราทุกคนปลอดภัย ไม่มีใครได้รับอันตรายใด ๆ ขออนุญาต เล่าเรื่องราวโดยสรุปให้รับทราบกัน ตอนเช้ามืดวันที่ 2O เริ่มมีควันดูเหมือนจะออกมาทางสำนักงานของมูลนิธิ ฯ ได้ประสานงานกับกรุงเทพมหานครเพื่อดับเพลิง พวกเรามาถึงสำนักงานประมาณ 6.30 ได้เปิดประตูของสำนักงาน และวิ่งขึ้นไปบนอาคารชั้นสอง พบว่า กำแพงของมูลนิธิ ฯ ชั้นสองที่ติดกับอาคารเซ็นเตอร์วัน พังลงมา และมีไฟกำลังลุกลามเข้ามาในอาคารของมูลนิธิ ก็ช่วยกันนำน้ำขึ้นไปดับบนอาคารก่อน หลังจากนั้นไม่นานเจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็ได้เข้ามา เราขนของได้จากชั้นหนึ่งของอาคารเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเอกสารของศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค เป็นทั้งไฟล์ และ เอกสารข้อร้องเรียน คดีที่ให้การช่วยเหลือ สามารถนำ CPU ของเจ้าหน้าที่ชั้น 1 ออกมาได้บางส่วน ส่วนชั้นสองเป็นงานสนับสนุนองค์กรผู้บริโภค ส่วนสำนักงาน และชมรมเพื่อโรคไตไม่สามารถขนอะไรได้เลยเนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต เพราะไฟกำลังลุกลาม รวมทั้งอุปกรณืเหล่านั้นถูกความร้อนหลอมละลายจนไม่สามารถใช้งานได้แล้ว ชั้นสามส่วนนิตยสารฉลาดซื้อและรายการกระต่ายตื่นตัว เสียหายมากสุด น้อง ๆ ฝ่าควันไฟที่หนาพอควร ขึ้นไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ขนกล้องทีวี และฐานข้อมูล บางส่วนลงมาได้ ชั้นสี่ไม่สามารถขึ้นไปได้เลย การดับเพลิง ใช้เวลานานมาก และเป็นไปด้วยความยากลำบาก และเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้อยู่ในอาคารหลังจากขนของได้เพียงเล็กน้อย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ตัดสินใจให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงทุบผนังอาคารของตนเองส่วนชั้น 3 และ 4 เพื่อให้สามารถดับเพลิงในเซ็นเตอร์วันให้ได้ เนื่องจากอาคารของเซ็นเตอร์วันเริ่มทรุดและแตกร้าวเพิ่มมากขึ้น ทำให้ทุกคนกังวลเรื่องการทรุดตัว และอาคารรอบด้านของมูลนิธิฯ เป็นบ้านไม้ จำนวน 5 หลัง และหากบ้านไม้เหล่านี้ได้รับเพลิงก็จะทำให้ไฟลุกลามได้ทั้งชุมชนและควบคุมได้ยาก ไฟและควันที่ลุกลามฝั่งมูลนิธิเริ่มลดลงและสงบประมาณ 3 โมงเย็น แต่ฝั่งเซ็นเตอร์วันยังคุกรุ่นอยู่ (จนถึงขณะนี้) ความเสียหายครั้งนี้กระทบกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคในทุกด้าน ทั้งการให้บริการประชาชนทั่วไปที่มารับบริการขอคำแนะนำการละเมิดสิทธิผู้บริโภคที่มูลนิธิ และข้อมูลจำนวนมากที่ขณะนี้ยังไม่ได้ตรวจสอบ งบประมาณการทำงานขององค์กร ความเสียหายด้านกายภาพประเมินโดยสรุปดังนี้ ขั้นหนึ่ง ไม่มีเพลิง แต่ได้รับผลกระทบจากน้ำ ที่ไหลลงมาจากชั้นบน อาคารนี้ได้รับการปรับปรุงด้วยงบประมาณจากการบริจาคของคนที่มาร่วมงานระดมทุนเมื่อปี 2549 และเงินสะสมและเงินบริจาคของมูลนิธิ ฯ ไม่น้อยกว่า 17 ปี อาคารนี้ใช้งบประมาณในการปรับปรุง ไม่น้อยกว่า 6 ล้านบาท เครื่องใช้สำนักงานก็เป็นทรัพย์สินของมูลนิธิ ฯ ที่สะสมจากการทำงานมา พวกเราเข้ามาอยู่ในอาคารนี้ 2 ปีเต็ม ปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ จำนวน 32 คน และชมรมเพื่อนโรคไตอีกประมาณ 4 คน(ไม่รวมอาสาสมัครที่เข้ามาเป็นบางวัน อีกประมาณ 6 คน มูลนิธิ ฯ มีงานสี่ส่วนที่สำคัญที่จะต้องเดินหน้า 2) งานสนับสนุนองค์กรผู้บริโภค ที่สนับสนุนองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ และรณรงค์นโยบาย เช่น องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคตามรัฐธรรมนูญมาตรา 61 เป็นต้น 3) นิตยสารฉลาดซื้อ มีการทดสอบสินค้าและเปรียบเทียบเพื่อให้ข้อมูลผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้า 4) รายการกระต่ายตื่นตัว รายการสิทธิผู้บริโภคสำหรับเด็กในทีวีไทย (TPBS) ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 10.05 น. ความช่วยเหลือที่ต้องการตอนนี้ที่เร่งด่วน คงมีพอประมาณนี้ สถานที่ทำงานของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร ประมาณ 36 คน คอมพิวเตอร์ สำหรับเจ้าหน้าที่ในการทำงาน เนื่องจากที่นำออกมาได้ เป็น CPU ของคอมพิวเตอร์บางเครื่อง อุปกรณ์สำนักงานที่จำเป็น เช่น Printer แรงงานช่วยเคลียร์ของและขนย้าย หลังจากมีการประเมินความเสียหายและความปลอดภัยของตึกเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นก็คงต้องระดมทุนเพื่อหาเงินซ่อมแซมอาคารของมูลนิธิ ฯ เพื่อให้สามารถกลับมาใช้งานได้อีก
หรือสามารถโอนเงินสนับสนุนงานการทำงานในภาวะวิกฤตของมูลนิธิและสามารถหักลดหย่อนภาษีรายได้ประจำปี
ขอขอบพระคุณความห่วงใยและความช่วยเหลือมา ณ โอกาสนี้
---------------------------------- บัญชี "มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค" ธนาคารกสิกรไทย สาขางามวงศ์วาน เลขที่บัญชี 058-2-86735-6 สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
นิเทศน์ จุฬาฯ เรียกร้อง 8 ข้อสร้างสันติภาพสื่อและสังคมไทย Posted: 21 May 2010 12:02 PM PDT คณาจารย์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความห่วงใยสื่อมวลชนในภาวะที่ความรุนแรงยกระดับเป็น "การก่อการร้าย" รวมถึงการข่มขู่คุกคามเสรีภาพสื่อส่งผลต่อสวัสดิภาพและขวัญกำลังใจ พร้อมข้อเสนอเพื่อนำสันติภาพมันสู่สื่อและสังคมไทย <!--break--> มีรายละเอียดดังนี้ จดหมายเปิดผนึก 21 พฤษภาคม 2553 เรียน ท่านบรรณาธิการ และ ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนที่เคารพ จากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบกว้างขวางในสังคมไทย โดยเฉพาะในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา เป็นที่น่าสังเกตว่าสื่อสารมวลชนแขนงต่างๆ และสื่อทางเลือกใหม่ๆ เช่น วิทยุชุมชน เคเบิลทีวี ทีวีดาวเทียม และ อินเทอร์เน็ต มีบทบาทอย่างสูงในการกำหนดการรับรู้ด้านข้อมูลข่าวสาร และในการชี้นำความคิดเห็นทางการเมืองของประชาชน ในหลายกรณี สื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อ และในการระดมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของมวลชนอย่างเข้มข้น บางครั้งสื่อซึ่งมีวาระทางการเมืองชัดเจนได้มีพฤติกรรมอันขัดต่อจรรยาบรรณทางวิชาชีพ ด้วยการใช้ภาษาที่ หยาบคาย ยั่วยุ ปลุกเร้า สร้างความเกลียดชัง และด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวนอกจากจะไม่เหมาะสมแล้ว ยังผิดกฎหมายในหลายๆ ฉบับอีกด้วย ทว่าด้วยภาวะของการขาดองค์กรกำกับดูแลของสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ตลอดจนช่องโหว่ของการบังคับใช้กฎหมายทำให้พฤติกรรมดังกล่าวดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบต่อความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนจิตวิทยาของมวลชนในสถานการณ์ของการแบ่งขั้วทางความคิดในสังคมไทยอย่างมาก ในช่วงตั้งแต่วันศุกร์ที่14 พฤษภาคม จนถึงขณะนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ความรุนแรงในกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้กับการชุมนุมทวีขึ้นถีงขีดสุด สื่อหลายแขนงเองก็ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการก่อวินาศกรรมของกลุ่มที่ได้ยกระดับไปเป็นผู้ก่อการร้าย เช่นในกรณีของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และ สื่อในเครือโพสต์ พับบลิชชิ่ง เป็นต้น หรือ จากการข่มขู่คุกคามตามที่ทำการและกองบรรณาธิการต่างๆ และในสนามข่าว ทำให้สื่อไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เตามที่ควรจะเป็น ส่งผลให้สวัสดิภาพ ขวัญ และกำลังใจของนักวิชาชีพข่าวยิ่งอ่อนล้าลงไปอีกในช่วงแห่งสถานการณ์อันตึงเครียดนี้ ทางคณาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเป็นห่วงเสรีภาพ และสวัสดิภาพของผู้สื่อข่าวและนักปฏิบัติการด้านข่าวสาร อีกทั้งยังมีความกังวลใจต่อปรากฏการณ์ข้างต้นเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงขอนำเสนอ “แนวทางการสร้างสรรค์สันติภาพแก่สื่อและสังคมไทย” โดยมีสาระสำคัญดังนี้ 1)การนำเสนอข่าวในสื่อทุกประเภทพึงยึดหลักความถูกต้อง จรรยาบรรณวิชาชีพ และประโยชน์แห่งสาธารณะเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะการแสวงหาข้อมูลที่ตรวจสอบได้และนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง ปราศจากความเป็นฝักเป็นฝ่าย 2)สื่อไม่ควรให้ความสำคัญกับสถานการณ์ความรุนแรง ที่แบ่งฝักฝ่ายสองขั้วอย่างชัดเจน และความขัดแย้งที่มีเป้าหมายเดียวเพื่อเอาชนะ โดยเน้นหาผู้ชนะและผู้แพ้ แต่สื่อควรให้ความสำคัญกับสเหตุและผลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความรุนแรงและความขัดแย้ง เช่น ความชอกช้ำทางจิตใจ และความสูญเสียของสังคมและประเทศชาติ โดยภาพรวม มากกว่า การนำเสนอภาพความสูญเสียที่กระทบอารมณ์ความรู้สึก การสอดแทรกวาระทางการเมือง การกระตุ้นยอดขาย หรือ การแสวงผลประโยชน์ทางการตลาด 3)การนำเสนอข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อควรแยกแยะให้ชัดเจนระหว่างข้อเท็จจริงและความคิดเห็น และต้องหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่ส่อเสียด ยุยง หยาบคาย และการปลุกเร้าให้เกิดความเกลียดชัง หรือ พฤติกรรมที่ใช้ความรุนแรงใดๆ 4)สื่อควรมุ่งเน้นบทบาทของการเปิดพื้นที่สาธารณะ เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องนำเสนอเหตุผลเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุแห่งความขัดแย้ง และเพื่อหาทางออกในการคลี่คลายปัญหา และสร้างความสมานฉันท์ในสังคม 5)ในกรณีที่มีการละเมิดกฎหมายหรือจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพจากการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเมือง องค์กรกำกับดูแลที่เป็นอิสระของรัฐ และองค์กรกำกับดูแลตนเองในวิชาชีพสื่อ จำเป็นต้องแสดงบทบาทที่ชัดเจนและเคร่งครัดโดยไม่เลือกปฏิบัติ และไม่จำเป็นต้องรอการร้องเรียน 6)การใช้สื่อเพื่อเป็นช่องทางในการก่อการร้าย ก่อวินาศกรรม อันอาจนำไปสู่ความสูญเสียทั้งทางร่างกาย ทรัพย์สิน และจิตใจ จำเป็นต้องมีการจัดการตามกฎหมาย และ กระบวนการยุติธรรมให้เด็ดขาด 7)รัฐ ควรสร้างความเชื่อมั่นว่าผู้สื่อข่าวในภาวะวิกฤตินี้จะได้รับเสรีภาพ และ สวัสดิภาพในการทำหน้าที่ผู้แจ้งข่าวสารให้ประชาชน โดยไม่ตกเป็นเป้าหมายในการก่อวินาศกรรม หรือ การข่มขู่ คุกคาม และปองร้ายใดๆ ในขณะเดียวกัน องค์กร/สมาคมวิชาชีพสื่อและ องค์กรที่เป็นเจ้าของสื่อควรส่งเสริมและดูแลสวัสดิภาพของผู้สื่อข่าว และผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการใช้ความรุนแรงให้เพียงพอและเป็นมาตรฐานเดียวกัน 8)องค์กรภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องกับสื่อ และสิทธิเสรีภาพ ควรรณรงค์ในประเด็นของความรับผิดชอบต่อสังคมไปพร้อมๆกับการใช้เสรีภาพสื่อที่สร้างสรรค์และ สอบทานได้ คณาจารย์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจักษ์ถึงความอุตสาหะ ความอดทน และความกังวลของสังคมในภาวะการณ์อันอ่อนไหวนี้ และหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยพยายามขับเคลื่อนร่วมกับ ภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ภาครัฐ สื่อทุกแขนงทุกประเภท กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง และ นักการเมือง ภาคประชาสังคม ได้ตระหนักถึง “แนวทางการสร้างสรรค์สันติภาพแก่สื่อและสังคมไทย” และร่วมผลักดันให้นำไปสู่การปฎิบัติจริง เพื่อช่วยเยียวยา และบูรณะสังคมอันบอบช้ำของเราต่อไป คณาจารย์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
9 ศพ ในเซ็นทรัลเวิล์ดยังเข้าตรวจสอบไม่ได้ เบื้องต้นศพแรกบนชั้น 4 ทราบชื่อแล้ว Posted: 21 May 2010 12:02 PM PDT ข่าวพบศพผู้เสียชีวิตอีก 9 ศพ แต่ยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้เหตุหวั่นอาคารทรุดตัว ส่วนศพแรกที่พบทราบชื่อ คือ นายกิตติพงษ์ สมสุข อายุ 20 ปี เป็นชาว จ.ศรีสะเกษ <!--break--> จากกรณีรายงานข่าว เจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงและมูลนิธิที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ พบศพผู้เสียชีวิตอีก 9 ศพ แต่ยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้เนื่องจากขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังต้องฉีดน้ำเลี้ยงไว้ตลอด ทำให้โครงสร้างอาคารอุ้มน้ำไว้มาก จึงเกรงว่าอาจจะมีการทรุดตัวลงมาอีก และจุดที่พบศพอยู่ในบริเวณช่วงกลางพื้นที่ที่ทรุดตัวพอดี ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ชุมนุมใช้พักผ่อนและลงไปใต้ดินได้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ต้องสลับผัดเปลี่ยนกันลงไปปฏิบัติหน้าที่ เพราะไม่มีอากาศหายใจและมืดมาก 00.30 น.มีรายงานข่าวว่า เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้่้าไปดูในพื้นที่ได้เนื่องจากเกรงว่าอาจจะมีการทรุดตัวลงมา อีกทั้งยังสับสนเรื่องผู้ที่จะเข้าพื้นที่ได้ ซึ่งอาจต้องมีเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่ของเซ็นทรัลเวิล์ดด้วย ก่อนหน้านี้เวลาประมาณ 19.00 น.ผู้สื่อข่าวสปริงนิวส์ (Springnews) รายงานว่า พล.ต.ต.สุรพล พินิจชอบ ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ในพื้นที่และให้ข้อมูลว่ายังไม่มีการพบศพแต่อย่างใด ขณะนี้กำลังรอแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ซึ่งบอกว่าจะเข้าตรวจสอบพื้นที่ด้วยตนเอง ทั้งนี้ ทหารยืนยันไม่ให้นักข่าว และบุคคลทั่วไปเข้าไปด้านใน ให้เข้าเฉพาะเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ ชายที่พบศพแรกที่บริเวณชั้น 4 ในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ฝั่งอิเซตัน ในสภาพไม่สวมเสื้อ เสียชีวิตด้วยอาการนั่งคุดคู้ตัวงอ สภาพผิวหนังไหม้เกรียม และมีผ้าพันคอสีเขียว สัญลักษณ์ของการ์ด นปช. ตกอยู่ในบริเวณใกล้เคียง เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ดับเพลิงสันนิษฐานว่าชายคนดังกล่าวอาจสำลักควันจากเพลิงไหม้จึงทำให้เสียชีวิต ทราบชื่อ คือ นายกิตติพงษ์ สมสุข อายุ 20 ปี ชาว จ.ศรีสะเกษ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
รอยเตอร์: สันติภาพที่ยากเย็นในไทยและความไม่แน่นอนเบื้องหน้า Posted: 21 May 2010 11:51 AM PDT (รอยเตอร์) แม้ทางการไทยจะควบคุมสถานการณ์ในกรุงเทพส่วนใหญ่ไว้ได้ แต่สันติภาพในประเทศไทยก็ช่างดูเปราะบาง เนื่องจากความสับสนอลหม่าน การจลาจล และการวางเพลิงที่ปะทุขึ้นหลังจากการกองทัพเข้าควบคุมสถานที่ชุมนุมของผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลได้ <!--break--> ผู้ประท้วงชาวเสื้อแดงหลายพันคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชนบทและคนจนเมืองได้อพยพออกจากพื้นที่ป้อมค่ายการชุมนุมของพวกเขา การปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างรุนแรงและนองเลือดในครั้งนี้สร้างหวาดกลัวและความโกรธแค้นที่ฝังรากลึกในหมู่ชนชั้นล่าง ในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ไม่มีครั้งใดที่ความรุนแรงในเขตเมืองเกิดขึ้นอย่างยาวนาน รุนแรง และก่อให้เกิดความเสียหายมากในวงกว้างมากเช่นนี้ และไม่เคยมีครั้งใดเลยที่ดูเหมือนจะเป็นความขัดแย้งระหว่างพลเรือนด้วยกันเฉกเช่นครั้งนี้ นายแดนนี่ ริชาร์ด นักวิเคราะห์ จาก ดิ อีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนต์ ยูนิต (the Economist Intelligence Unit) กล่าวว่า “ประเทศไทยมีความแตกแยกที่ร้าวลึกไปเสียแล้ว แม้อาจจะยังไม่ถึงขั้นสงครามกลางเมือง แต่ความเสี่ยงที่จะเกิดการลุกฮือของพลเรือนและการเกิดความรุนแรงทางการเมืองยังมีอยู่ตลอดเวลา” การปราบปรามผู้ชุมนุมเริ่มต้นก่อนรุ่งสางของวันพุธที่ผ่านมา โดยมีผู้เสียชีวิต 15 ราย และผู้บาดเจ็บเกือบร้อยราย โดยผู้ชุมนุมราวหนึ่งพันห้าร้อยคนได้เข้าไปหลบภัยในวัด ที่ซึ่งร่างผู้เสียชีวิตหกรายถูกพบในวันรุ่งขึ้น ชาวบ้านหลายร้อยคนในนั้นถูกเกลี้ยกล่อมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาคารหลายสิบแห่งถูกเผา ซึ่งรวมไปถึงธนาคาร ตลาดหุ้น และห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่เป็นที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนรุ่งเช้าความเงียบสงบเริ่มมาเยือน ไม่มีผู้ชุมนุมอยู่ที่ราชประสงค์อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม การลุกฮือของผู้คนยังคงดำเนินอยู่ในเขตดินแดง พื้นที่ที่มีการประทะกันอย่างเข้มข้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ประท้วงหลายสิบคนเผายางรถยนต์และเผาธนาคาร ทหารได้ใช้ปืนยิงสกัดผู้ชุมนุม นักวิเคราะห์ทางรัฐศาสตร์กล่าวว่าก้าวต่อไปของไทยนั้นขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นผู้มีมลทินเนื่องจากเนื่องจากเป็นผู้ควบคุมสั่งการปฏิบัติการทางการทหารที่ส่งผลให้มีคนเสียชีวิตมากถึง 82 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นพลเรือนนับตั้งแต่วันที่สิบเมษายนเป็นต้นมา นับตั้งแต่การไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ในครั้งนี้ระหว่างรัฐบาลซึ่งหนุนหลังโดยชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษ์นิยมและกลุ่มผู้ประท้วงที่ได้รับการสนับสนุนโดยมวลชนจากชนบทและจากอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้จำนวนผู้บาดเจ็บมากแล้วถึง 1,800 ราย ดร. ไมเคิล มอนเทซาโน จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสถาบันสิงคโปร์ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ไม่เพียงแต่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสีย แต่เขาจะต้องถูกจดจำในฐานะของบุคลที่การตัดสินใจอย่งผิดพลาดในการปราบปรามผู้ชุมนุมกระทั่งนำมาสู่การเผาเมืองกรุงเทพในที่สุด แม้ตอนนี้กองทัพจะสามารถควบคุมกรุงเทพและป้อมค่ายของผู้ชุมนุมได้ แต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นแสนแพง ด่านตรวจติดอาวุธจำนวนมากยังคงรักษาพื้นที่ราวหกตารางกิโลเมตรอย่างเข้มงวด กรุงเทพราตรีกลายเป็นเมืองแห่งควันไฟและซากปรักหักพังท่ามกลางการประกาศอัยการศึกยามวิกาล ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กล่าวว่า “คำถามก็คือว่า กองทัพจะต้องเข้ารักษาความสงบอย่างเข้มงวดเช่นนี้ไปอีกนานแค่ไหน ความโกรธของผู้คนยังคงคุกรุ่น” คนเสื้อแดงต้องการการเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากเห็นว่านายอภิสิทธิ์ไม่มีความชอบจากเสียงประชาชนส่วนใหญ่ในก้าวขึ้นสู่อำนาจ ขณะที่อภิสิทธิ์ก็ยกเลิกข้อเสนอของตนเรื่องการจัดการเลือกใหม่ นักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่าความรุนแรงในขณะนี้คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของประเทศไทย ประเทศที่ตามรายงานของธนาคารโลกระบุว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมีมากที่สุดแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม แกนนำผู้ชุมนุมซึ่งขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ได้ขอร้องให้ผู้ประท้วงอยู่ในความสงบ โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช. ได้กล่าวกับผู้ชุมนุมของเขาผ่านทางโทรทัศน์ขณะที่ถูกควบคุมตัวอยู่ว่า “ประชาธิปไตยไม่สามารถสร้างได้บนความโกรธและความพยาบาท” พร้อมทั้งขอร้องให้ผู้ชุมนุมกลับบ้าน การลุกฮือของคนชนบท เหตุการณ์ความไม่สงบส่งผลอย่างมากต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่มากของประเทศและเป็นแหล่งจ้างงานของคนในประเทศกว่า 15 % แหล่งข่าวจากสภาพัฒน์ฯ กล่าวว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจากความไม่สงบทางการเมืองในช่วงเก้าสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อให้เกิดความเสียหายราวสามพันล้านดอลล่าห์สหรัฐ หรือประมาณ 1% ของ GDP ในกรุงเทพ เพลิงที่เผาไหม้ในหลายจุดแม้จะเริ่มดับแต่ก็ยังคงคุกรุ่น ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งได้ถูกทำลายลง ขณะตัวโครงสร้างอาคารได้ล่มลงแล้ว บาดแผลในจิตใจ นักข่าวหกรายถูกยิงจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ รวมทั้งช่างภาพชาวอิตาลีที่เสียชีวิตเมื่อวันพุธที่ผ่านมา การยอมมอบตัวของแกนนำและแนวโน้มของการยุติความรุนแรง ณ ปัจจุบันที่ในรอบหกวันที่ผ่านมามีคนตายแล้วอย่างน้อย 53 รายและบาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 400 ราย สามารถมองย้อนกลับไปได้ถึงการเลือกตั้งที่ผ่านมาและแผนการปรองดองที่นายกรัฐมนตรีเคยเสนอก่อนหน้าที่ความรุนแรงจะเกิดขึ้น “เราอาจจะสามารถฟื้นฟูความเสียหายเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็ว อย่างเช่นการซ่อมถนน แต่ไม่มีใครทราบว่าอีกนานแค่ไหนที่เราจะซ่อมแซมบาดแผลที่อยู่ในใจและในความนึกคิดของผู้คน” นี่คือคำกล่าวของทางโทรทัศน์ของ สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
นักปรัชญาชายขอบ: “อภิสิทธิ์” ต้องรีบคืนอำนาจให้ประชาชน! Posted: 21 May 2010 11:41 AM PDT บทเติมเต็มคำแถลงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ค่ำวันที่ 21 พ.ค. 53 เสนอทาง “ปรองดอง” ที่นายกรัฐมนตรียังไม่เลือก นั่นคือการ คืนอำนาจให้ประชาชน <!--break--> “...ผมอยากจะเรียนกับพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศครับว่า เราอยู่บ้านเดียวกันครับ บ้านของเราได้รับความเสียหาย บัดนี้เราได้แยกแยะคนที่จะมาเผาบ้านของเราออกไป ซึ่งคนเหล่านั้นจะต้องได้รับโทษ แต่พี่น้องประชาชนที่อยู่ในบ้านเดียวกันนี้ อาจจะยังมีความคิดเห็นแตกต่างหลากหลายว่า บ้านของเรานั้นควรจะเป็นอย่างไร ระยะเวลาจากนี้ไปครับ ผมอยากจะเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคนทุกกลุ่ม ว่าเราเป็นคนบ้านเดียวกันครับ อะไรที่เป็นความแตกต่าง เราก็ต้องรับฟังซึ่งกันและกัน และมาช่วยกันไม่เพียงแต่ออกแบบ แต่ช่วยกันสร้าง ลงแรง ลงใจ ทำให้บ้านของเรานั้นกลับมาเป็นบ้านที่น่าอยู่สำหรับพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน...” (บางส่วนของคำแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี, 21 พ.ค. 53 เวลา 13.45 น.) แถลงการณ์ของผมเองแหละ! (ดังต่อไปนี้นะ) คุณอภิสิทธิ์ครับ! 1. “เราอยู่บ้านเดียวกัน” นี่คือความจริง และก็เป็นความจริงว่าเมื่อคนอยู่บ้านเดียวกันมาขอใช้ “กระบวนการประชาธิปไตย” เพื่อช่วยกันสร้างบ้านให้มีความยุติธรรมกับทุกฝ่ายจากคุณ แต่สิ่งที่คนอยู่บ้านเดียวกันได้รับจากคุณคือ “ลูกปืน” และชีวิตของพวกเขาก็ปลิดปลิวราวใบไม้ร่วง! 2. “บ้านของเราได้รับความเสียหาย บัดนี้เราได้แยกแยะคนที่จะมาเผาบ้านของเราออกไป ซึ่งคนเหล่านั้นจะต้องได้รับโทษ” แล้วคนสั่งใช้กำลังทหารเพื่อ “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” ด้วยการใช้ “กระสุนจริง” จนทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ เกิดสงครามกลางเมือง เศรษฐกิจและภาพพจน์ของประเทศพังพินาศ จะต้องรับโทษไหมครับ? มันเป็นใครครับ? มันจะมีวันสำนึกผิด และพร้อมจะยอมรับผิดทั้งทางการเมือง ทางอาญา และทางแพ่งไหม? 3. คุณเชื่อจริงๆ หรือว่า คุณยังมี “ความชอบธรรม” ที่จะอยู่ในอำนาจบนกองเลือดของประชาชนและซากปรักหักพังของบ้านเมือง? และคุณยังเชื่อต่อไปได้อย่างไรว่า คุณมี “เครดิต” พอที่จะชวน “ทุกกลุ่ม” มาเป็น “คนบ้านเดียวกัน” หรือเข้าสู่กระบวนการปรองดองตามความคิดของคุณ? 4. ถ้าแม้แต่การปรองดองง่ายๆ เช่น ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ตั้งแต่แรก ที่ไม่ต้องมีการบาดเจ็บล้มตายมากขนาดนี้ ไม่ต้องเกิดสงครามกลางเมืองเช่นนี้ ไม่ต้องทำให้ภาพพจน์และเศรษฐกิจของประเทศพังพินาศขนาดนี้ คุณก็ยังทำไม่ได้! แล้วตอนนี้คุณจะกวักมือเรียกคนที่ญาติพี่น้องของพวกเขาต้องมาบาดเจ็บล้มตายเพราะการ “ลุแก่อำนาจ” ของคุณ ให้มาปรองดองกับคุณ หรือเข้าสู่กระบวนการปรองดองของคุณได้อย่างไร? เรื่อง “ยากส์” ขนาดนี้คุณจะทำสำเร็จหรือ? หยุดหลอกตัวเอง และเลิกตี “หน้าซื่อ” หลอกประชาชนเสียทีเถอะ! 5. พูดกันอย่างกัลยาณมิตร อย่าฝืนความจริงต่อไปเลยครับ! สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้ว คนต่างจังหวัด คนชนบทก้าวล้ำหน้าไปแล้ว พวกเขาเชื่อมั่นว่าพวกเขาเป็นประชาชนที่เป็น “เจ้าของอำนาจตัวจริง” พวกเขาไม่หงอต่อนักการเมือง ไม่พินอบพิเทาต่อทหาร อำมาตย์ หรือหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนต่อไปอีกแล้ว! พวกเขาต้องการสร้างประชาธิปไตยแบบตัวแทนให้เข้มแข็ง ต้องการเรียกศรัทธาต่อ “ระบบการเลือกตั้ง” คืนมา พวกเขาต้องการใช้อำนาจของพวกเขาเลือกรัฐบาลที่มีนโยบายที่พวกเขาถูกใจ มาทำงานให้เกิดประโยชน์แก่พวกเขาจริงๆ คุณอภิสิทธิ์ครับ! โทษทีนะครับ! นอกจากคุณจะพูดจาให้คนชนบทฟังไม่รู้เรื่องแล้ว คุณยังฟังสิ่งที่พวกเขาพูดไม่รู้เรื่องอีกด้วย! คุณเป็นนักการเมืองมานาน คุณไม่เข้าใจสิ่งที่คนต่างจังหวัด คนชนบทเขาต้องการเลยหรือครับ? ประชาธิปไตยแบบตัวแทนที่เข้มแข็งน่ะ!! พูดอย่างซีเรียส คุณไม่ต้องการประชาธิปไตยแบบเดียวกับที่พวกเขาต้องการหรือครับ? (ถ้าไม่ก็เลิกเป็นนักการเมืองไปเลยครับ!) เวลานี้ “ชีวิตทางการเมือง” ของคุณเหลือแต่ “ร่างไร้วิญญาณ” ถ้าเพียงแต่คุณเป็นนักการเมืองที่มี “หัวใจ” จะไม่มีประชาชนต้องตายเพราะความลุแก่อำนาจของคุณ สิ่งที่ดีเพียงสิ่งเดียวที่คุณสามารถทำได้หลังความตายของประชาชนคือ ต้องยอมรับความจริงว่า “คนชนบทก้าวล้ำหน้าคุณไปแล้วในเส้นทางประชาธิปไตย” คุณต้องเคารพความต้องการของพวกเขา และรีบคืนอำนาจให้พวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาทวงคืน! ปล. หมู่นี้ใครๆ ก็นิยมพูดประโยค “เราอยู่บ้านเดียวกัน” ผมนั่งฟังคุณอภิสิทธิ์แถลงการณ์ ต้องลุ้นแทบแย่ เกรงว่าคุณอภิสิทธิ์จะแย่ง “ซีน” คุณพงษ์พัฒน์ ที่ว่า “…พอไม่พอใจพ่อ โกรธพ่อ ก็ไล่พ่อออกจากบ้าน...” (เรียกว่าดัดจริต “บิด” ได้ซึ้งสุดสุดอะไรประมาณนั้น!) สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
รองผบช.น.แจง “แกนนำ นปช.” ไม่ได้อยู่สบาย แค่ห้องพักไม่พอเลยย้ายไปบ้านพักรับรอง Posted: 21 May 2010 11:39 AM PDT เผยจับผู้ชุมนุมที่ไม่ยอมออกจากพื้นที่กว่า 40 คน เข้าค่ายนเรศวรด้วย พร้อมแจงเผาทรัพย์ของราชการมีโทษประหารชีวิต ส่วนสถานที่ของเอกชนมีโทษจำคุกอย่างสูงถึง 20 ปี แจ้งเตรียมตำรวจชุด “ชุดปะฉะดะ” ไว้แก้ปัญหาอย่างฉับพลัน <!--break--> วันนี้ ( 21 พ.ค.) เวลา 19.00 น. ณ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แหล่งสมาคมนายทหาร กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รองผบช.น.) แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่า ศอฉ.ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ขอแจงประชาชน กรณีคนร้ายออกมาวางเพลิง เผาทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นของทางราชการ หรือเอกชน ชี้การกระทำดังกล่าวเป็นการเผาบ้านเผาเมืองไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง “ในวันนี้จะพูดให้เห็นว่าบุคคลที่ดำเนินการดังกล่าวนั้น มีความผิดมีโทษที่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ถ้าบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ ก็แสดงว่าบ้านเมืองไม่มีขื่อ ไม่มีแป กฎหมายก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ บ้านเมืองก็อยู่ไม่ได้”
แจงเผาทรัพย์ราชการมีโทษประหาร ส่วนสถานที่ของเอกชนโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี ในกรณีเป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์ที่เป็นสถานที่ราชการ อาทิ ศาลากลางจังหวัด สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) โรงมหรสพ ตรงนี้กฎหมายได้บัญญัติโทษไว้สูงมาก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 มีโทษถึงประหารชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี ในส่วนของการวางเพลิงเผาทรัพย์ของเอกชน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ห้างร้าน ที่ไม่ใช่โรงเรือน มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 7 ปี และมีโทษปรับ แม้กระทั่งการวางเพลิงเผาทรัพย์ของตัวเอง เช่น การเผายางรถยนต์ถึงแม้ว่าเป็นยางรถยนต์ของตัวเอง กฎหมายถือว่าเป็นความผิด มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และมีโทษปรับ “จะเห็นว่า ลักษณะของการวางเพลิงเผาทรัพย์ของราชการมีโทษประหารชีวิต วางเพลิงเผาทรัพย์สถานที่ของเอกชนมีโทษจำคุกอย่างสูงถึง 20 ปี และวางเพลิงเผาทรัพย์ของตัวเองก็มีความผิด แม้กระทั่งขั้นตระเตรียมการแต่ยังไม่ได้ลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นการคิด การตัดสินใจ หรือตกลงใจว่าจะทำ จะคนเดียว หรือหลายคนก็แล้วแต่ เช่น ซื้อน้ำมันมาเตรียมไว้ เตรียมไฟแช็คตั้งใจว่าจะไปเผาที่ใดที่หนึ่ง แค่นี้ก็มีความผิดแล้ว ถึงยังไม่ทันลงมือก็ตาม มีโทษจำคุก 2 ใน 3 ของความผิดที่ทำนั้น” พล.ต.ต.อำนวยกล่าว สำหรับนักฉวยโอกาสเมื่อเกิดอัคคีภัย แล้วเข้าไปลักทรัพย์ เข้าไปโจรกรรมทรัพย์สินนั้น กฎหมายได้มีบทบัญญัติวางโทษไว้อย่างสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ถึงแม้ว่าบางคนจะทำเพราะความคึกคะนอง หรือทำเพราะความสะใจ ก็มีความผิดเหมือนกัน
แจงย้ายแกนนำเข้าบ้านพักเพราะที่ไม่พอ เหตุจับผู้ชุมนุมที่ไม่ยอมออกจากพื้นที่ กว่า 40 คน เข้าค่ายด้วย กรณีการควบคุมแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ได้มีการนำตัวไปควบคุมที่ค่ายนเรศวร อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่มีการพูดกันว่าแกนนำอยู่อย่างสุขสบาย พล.ต.ต.อำนวยกล่าวชี้แจงว่า กลุ่มแกนนำคนเสื้อแดงถูกแยกให้มาพักบ้านพักรับรองของนายทหารชั้นสัญญาบัตร เนื่องจากในวันเดียวกันนั้นได้มีการจับกุมกลุ่มผู้ชุมนุมที่ฝ่าฝืนไม่ยอมออกจากพื้นที่ มีพฤติกรรมในการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ จึงได้มีการนำตัวบุคคลกลุ่มดังกล่าวกว่า 40 คน รวมพระสงฆ์ด้วย ไปควบคุมที่ค่ายนเรศวร ซึ่งห้องควบคุมที่ค่ายนเรศวรมีจำนวนแค่ 10 ห้อง ทำให้สถานที่ควบคุมคับแคบไม่เพียงพอ จึงต้องให้ทางแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง พักบ้านพักนายทหารชั้นสัญญาบัตรไปก่อน แต่ในวันนี้ได้นำเอาบุคคลที่ฝ่าฝืนไม่ยอมออกจากพื้นที่ไปฟ้องศาล ทำให้ห้องควบคุมมีเพียงพอสามารถนำแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงมาแยกควบคุม อย่างไรก็ตามยืนยันว่าไม่ได้ขังเดียว ไม่ได้อยู่สุขสบาย ทุกคนถูกควบคุมตามสภาพของผู้ถูกควบคุม
เตรียมตำรวจชุด “ชุดปะฉะดะ” ไว้แก้ปัญหาอย่างฉับพลัน รอง ผบช.น. กล่าวอีกว่า ขณะนี้สถานการณ์การชุมนุมได้คลี่คลายไปแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีเวลามาจัดการกับคนร้าย จัดการกับอาชญากรรม จัดการกับอาชญากรที่ก่อเหตุ คนที่เผาบ้านเผาเมืองเป็นอาชญากรชัดเจน เมื่อเป็นอาชญากร ขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้จัดชุดพิเศษไว้ดำเนินการกับคดีนี้เป็นพิเศษ ในชุดกองบังคับการตำรวจนครบาล ได้จัดชุดไล่ล่า อาทิ ชุดเคลื่อนที่เร็ว ชุดปะฉะดะ ซึ่งชุดดังกล่าวมีการเสริมอาวุธ มีกำลังอย่างน้อย 50 นาย ใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะมีกำลังพลที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี เพื่อเตรียมไว้แก้ปัญหาอย่างฉับพลัน นอกจากนั้น ทาง ศอฉ.ได้เตรียมจัดชุดเพื่อสนธิกำลังกับหลายๆ ฝ่าย เป็นชุดใหญ่ไว้เตรียมการไว้แก้ปัญหานี้เป็นการเฉพาะ พล.ต.ต.อำนวย ลงท้ายด้วยการขอให้ประชาชนที่พบเห็น หรือรู้เบาะแส การวางเพลิงให้แจ้งไปที่เบอร์ 191 เบอร์สำนักงานตำรวจในท้องที่ หรือที่เบอร์ของ ศอฉ. เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะได้ออกไปปฏิบัติการอย่างทันท่วงที สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
พม่าเตรียมเปลี่ยนธงชาติ-ชื่อใหม่หลังเลือกตั้ง Posted: 21 May 2010 11:32 AM PDT รัฐบาลพม่าเตรียมเปลี่ยนมาใช้ธงชาติแบบใหม่หลังการเลือกตั้ง ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้ รัฐบาลพม่าเตรียมลบล้างชนกลุ่มน้อยติดอาวุธในประเทศ <!--break--> ทั้งนี้ ธงพม่าในปัจจุบันมีพื้นสีแดง มีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำเงินอยู่ที่มุมธงด้านบน โดยภายในสี่เหลี่ยมมีรูปฟันเฟืองและรวงข้าวล้อมที่รอบด้วยดาว 14 ดวง ขณะที่ธงชาติแบบใหม่ พื้นธงถูกเปลี่ยนเป็นแถบสีเหลือง เขียว แดง มีรูปดาวสีขาวดวงใหญ่อยู่ตรงกลาง ด้านนักวิเคราะห์เชื่อว่า การลบสัญลักษณ์รูปดาว 14 ดวง ซึ่งหมายถึง 14 เขตการปกครองหรือ 14 รัฐออกไปออกจากผืนธง แล้วแทนที่ด้วยดาวสีขาวดวงใหญ่นั้น แสดงให้เห็นว่า หลังการเลือกตั้ง ประชาชนในพม่าจะอยู่ภายใต้รัฐบาลเผด็จการทหารต่อไป ซอทอวา จากสภาสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union (KNU) Peace Council) นี่คือหนึ่งในนโยบายการแปลงใหเปนพมา (Burmanization) ที่รัฐบาลเตรียมแผนการไว้ตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษ ที่ค่อยดำเนินการไปทีละขั้น ซึ่งการบีบกองกำลังชนกลุ่มน้อยให้เข้าร่วมกองกำลังรักษาชายแดน (Border Guard Force -BGF) ก็เป็นหนึ่งในแผนการ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความแตกแยกภายในรัฐของกลุ่มน้อย เขากล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลพม่าพยายามอย่างหนัก ซึ่งบางครั้งก็เลือกใช้การโจมตี เพื่อให้ชนกลุ่มน้อยหยุดยิงทั้ง 18 กลุ่ม รับข้อเสนอเป็น BGF หากชนกลุ่มน้อยติดอาวุธถ่ายโอนเป็น BGF รัฐบาลจะสามารถควบคุมกลุ่มเหล่านี้ได้โดยตรง นอกจากนี้รัฐบาลยังสนับสนุนเงินและอาวุธให้กับกลุ่มติดอาวุธที่ยืนข้างรัฐบาลอย่างกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ หรือ ดีเคบีเอให้ช่วยกำจัดศัตรูอีกด้วย อย่างไรก็ตาม กองกำลังที่ทำสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลเป็นเวลานับสิบปีส่วนใหญ่ปฏิเสธข้อเสนอ BGF จึงทำให้เหตุการณ์ตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่หลายฝ่ายวิตกกังวลว่า การสู้รบระหว่างกองทัพพม่าและชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนจะปะทุขึ้นอีกครั้ง ด้านขิ่นโอมาร์ ประธานของเครือข่ายเพื่อประชาธิปไตยและการพัฒนา หรือ NDD (Network for Democracy and Development) กล่าวว่า ดวงดาวขนาดใหญ่บนธงชาติผืนใหม่ของพม่า เป็นสัญลักษณ์ของการรวมอำนาจของทุกกลุ่มชาติพันธุ์เป็นหนึ่งเดียว ขิ่นโอมาร์กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามมาตราที่ 338 ของรัฐธรรมนูญปี 2551 (2008) ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเริ่มใช้หลังการเลือกตั้งระบุว่า กองกำลังทั้งหมดจะต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกองทัพป้องกันประเทศ นั่นแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลจะรวมทุกอย่างเป็นหนึ่งโดยการใช้กำลังทางทหารและการกลืนกลาย “เมื่อดิฉันมาพิจารณาความพยายามการดูดกลืนต่อชนกลุ่มน้อยของรัฐบาล นั่นหมายความว่า ทุกชนกลุ่มน้อยจะต้องทำตามวัฒนธรรมและเต้นรำแบบพม่า มันเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ และมันทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยง และมันชัดเจนว่า ดาวดวงใหญ่บนธงชาติผืนใหม่หมายถึงอำนาจของรัฐบาลพม่าโดยตรง” ขิ่นโอมาร์กล่าว นอกจากนี้มีรายงานว่า แม้แต่ชื่อประเทศก็จะต้องถูกเปลี่ยนจากปัจจุบันที่ใช้ว่า สหภาพพม่าเป็นสหภาพสาธารณรัฐพม่าด้วยเช่นกัน ซึ่งซอทอวาเห็นว่า การเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ รัฐบาลจะปฏิเสธสิทธิชาวพื้นเมืองในประเทศอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้ ปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในพม่าได้ฝังรากลึกในสังคมมาเป็นเวลายายนาน ประชาชนนับล้านต้องกลายเป็นคนไร้ที่อยู่ และพื้นที่วิกฤติระหว่างชนกลุ่มน้อยและกองทัพพม่าต้องกลายเป็นสมรภูมิที่เต็มไปด้วยกับระเบิด ความขัดแย้งระหว่างเคเอ็นยูและรัฐบาลพม่าที่ดำเนินมากว่า 60 ปีเป็นความขัดแย้งที่ยาวนานที่สุดในโลกที่ยังคงดำเนินต่อไป (DVB 20 พ.ค.53) สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเกอร์: ถึงเวลาแล้วที่ทักษิณและอภิสิทธิ์ต้องแสดงความเป็นรัฐบุรุษ Posted: 21 May 2010 11:24 AM PDT คนที่กล่าวหาเสื้อแดงอย่างไม่สนสิ่งอื่นใดควรถามตัวเองสักหน่อยว่า ทำไมการประท้วงนี้ถึงมีผู้คนมากมายและดำเนินการประท้วงได้ยาวนานโดยมีความรุนแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจนกระทั่งจบการประท้วง ทำไมพอมีทหารเข้าประชิดก็ยังมีประชาชนถึง 5,000 คนที่ยังคงปักหลักอยู่ในที่ชุมนุมถึงขั้นประกาศว่าพวกเขาพร้อมที่จะตาย <!--break--> สถานการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นการเผาทำลายในใจกลางกรุงเมื่อวันพุธ (19) ที่ผ่านมาถือเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของประวัติศาสตร์ไทยยุคใหม่ มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายใน 6 สัปดาห์ที่ผ่านมามากกว่าเหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า มีทรัพย์สินเสียหายมากขึ้น ความไม่พอใจและความสิ้นหวังก็มากขึ้น และอนาคตก็ถูกทำลายย่อยยับไปเรื่อย ๆ สัปดาห์ที่เลวร้ายนี้ยิ่งทำให้การแบ่งแยกฝ่ายในสังคมไทยเลวร้ายลงไปอีก ฝ่ายหนึ่งที่ต่อต้านรัฐบาลก็มีวีรชนคนใหม่ ๆ ที่ทำให้ต้องต่อสู้แบบเอาตัวเข้าแลก พวกเขามีเรื่องราวนับพันเกี่ยวกับความโหดเหี้ยมของรัฐบาลและทหารที่สังหารประชาชน มีเหตุผลนับล้านเพื่อก่อความไม่สงบและแก้แค้น ในอีกฝ่ายหนึ่งคือรัฐบาลก็จะใช้เหตุวางเพลิงและทำลายทรัพย์สินที่เกิดขึ้นเป็นเครื่องยืนยันว่าเสื้อแดงเป็นพวกป่าเถื่อนมาตลอด และไม่ควรจะต้องจริงจัง ให้ความร่วมมือหรือเมตตาด้วย บทร่ายจากทั้งสองฝ่ายต่างก็มีทุนรอนจากอคติที่ได้รับการตอบรับ และความเกลียดชังที่พัดกระหน่ำ ทั้งสองฝ่ายต่างก็บอกว่าอีกฝ่ายหนึ่งโกหก ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลอ้างว่าการวางเพลิงมีการเตรียมการไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โดยพวกเขาอ้างการที่อดีตนายกฯ ทักษิณ เคยให้ความเห็นไว้ว่าการใช้กำลังทหารปราบปรามผู้ชุมนุมอาจทำให้เกิดกลุ่มกองโจรขึ้น ว่าความเห็นนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่าทักษิณคอบชักใยอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ ส่วนผู้ที่สนับสนุนหรือมีความเห็นใจเสื้อแดงก็จะเถียงว่าเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้นเพื่อป้ายสีเสื้อแดง การกล่าวหากันไปมาแบบนี้ทำได้ง่าย และเป็นเรื่องอันตราย คนที่กล่าวหาเสื้อแดงอย่างไม่สนสิ่งอื่นใดควรถามตัวเองสักหน่อยว่า ทำไมการประท้วงนี้ถึงมีผู้คนมากมายและดำเนินการประท้วงได้ยาวนานโดยมีความรุนแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจนกระทั่งจบการประท้วง ทำไมพอมีทหารเข้าประชิดก็ยังมีประชาชนถึง 5,000 คนที่ยังคงปักหลักอยู่ในที่ชุมนุมถึงขั้นประกาศว่าพวกเขาพร้อมที่จะตาย ใช่ว่ามันอาจเป็นเรื่องความรู้สึกผูกพันธ์หรือเป็นสภาพจิตใจภายใต้การถูกปิดล้อมที่ทำให้ผู้ชุมนุมจำนวนมากยังคงปักหลักกันอยู่จนถึงที่สุด แต่ก็ควรต้องถามอีกคำถามหนึ่งว่า เหตุใดคนไทยธรรมดา ๆ ทั่วไปถึงรู้สึกไม่เกรงกลัวในสถานการณ์จนถึงขั้นบอกว่าพวกเขายอมสละชีวิตได้ ทำไมแม้แต่ในวันสุดท้ายยังคงมีคนที่อยู่ตามข้างถนนคอยส่งเสียงเชียร์เสื้อแดงและเย้ยหยันกองกำลังเจ้าหน้าที่ ทำไมประชาชนจากหลาย ๆ จังหวัดในตอนนี้ถึงพากันทำลายทรัพย์สินของราชการ คำตอบที่ผู้ต่อต้านเสื้อแดงมักจะบอกกันปากต่อปากคือ พวกเสื้อแดงเป็นคนโง่ ไม่ได้รับการศึกษาและถูกทักษิณจ้างมา ซึ่งความคิดแบบนี้เป็นการเลี่ยงตอบคำถามว่าจริง ๆ แล้วมีอะไรเกิดขึ้นในสังคมไทยตั้งแต่รุ่นที่ผ่าน ๆ มา เป็นวิธีการแบบปิดหูปิดตาตัวเอง ซึ่งมัน็ไม่ได้นำไปสู่อะไรเลย หรือไม่เช่นนั้นมันก็อาจนำไปสู่เหตุการณ์แบบ 19 พ.ย. อีกครั้งหนึ่งก็ได้ ไม่ช้าก็เร็ว เหตุการณ์ในวันพุธที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความจริงหลักๆ ของไทยสองอย่างคือ อย่างแรก การที่เศรษฐกิจไทยนั้นผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งกับโลก ความขัดแย้งภายในประเทศก็ถูกภายภาพออกไปให้นานาชาติได้รับชมอย่างเต็มตา และเศรษฐกิจก็จะถูกแผดเผาไปด้วย อย่างที่สองคือคนทั่วไปจำนวนมากที่มีเหตุผลจะโกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับระบอบการเมืองมาก หากพวกเขาไม่ได้รับความพึงพอใจจากการเปลี่ยนแปลงจริงจัง จากนั้นแล้วความหงุดหงิดก็จะยิ่งทำให้เกิดความรุนแรงในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งขยายต่อไป ประเทศไทยจึงควรนำเอาเรื่องการเมืองมาอยู่ในระนาบเดียวกับเรื่องเศรษฐกิจ ในการสำรวจจากโพลล์หลาย ๆ สำนักแสดงให้เห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่เชื่อว่าระบอบศาลที่มีความเป็นธรรม, สื่อที่มีเสรีภาพ และประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสังคม อภิสิทธิ์ต้องทำให้แน่ใจว่าจะต้องมีการดำเนินคดีกับกลุ่มเสื้อเหลืองที่เคยปิดสนามบิน เช่นเดียวกับที่พวกเขาดำเนินคดีกับเสื้อแดง เขายังต้องยกเลิกการปิดกั้นสื่อของเสื้อแดงและเลิกแอบสนับสนุนให้เสื้อเหลืองแก้แค้นเสื้อแดงด้วย เขายังต้องเอาเรื่องการเลือกตั้งล่วงหน้ากลับเข้ามาในกำหนดการ และระงับสภาพต่าง ๆ ที่ทำให้ข้อเสนอก่อนหน้านี้ถูกล้มเลิก เพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์อาจพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาควรทำเพื่อเสียสละ ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคือการหลบซ่อนอยู่หลังกองทัพและทำการยุยงให้เกิดการปราบปรามผู้ชุมนุมมากกว่าเดิม นี่ก็อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับทักษิณด้วย การเคลื่อนไหวที่เขาช่วยปลุกระดมขึ้นมาในตอนนี้กลายเป็นเสือผู้โกรธแค้น เขาจะกลับมาขี่เสือตนนี้ไหม มันอาจจะหันกลับไปขย้ำเขาเองก็ได้ ในใจเขาคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะลงจากหลังเสือ ในประเทศไทยที่เป็นเมืองพุทธ การเสียสละผลประโยชน์ส่วนตนนั้นได้รับการให้คุณค่าอย่างมาก หากเขาประกาศยอมละซึ่งทรัพย์สินที่ถูกยึดไปแล้วกลับมายังประเทศไทยเพื่อถูกลงโทษจำคุก 2 ปีแล้ว จะเป็นการกระทำที่ถือเป็นวีรบุรุษมาก คนไทยหลายคนต้องเสียสละตนเองหรือไม่ก็ถูกบีบให้ต้องเสียสละไปในสัปดาห์นี้ อนาคตของประเทศไทยขึ้นอยู่กับว่าคนสองคนจะใจใหญ่พอยอมสละเรื่องส่วนตัวของตนหรือเปล่า ภายใต้เวลาที่ต้องการกระเสียสละอย่างยิ่งยวดนี้ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ปล่อย “สมยศ” แล้ว เจ้าตัวเผยโดนคุมตัว เหตุขวาง ตร.ยึดภาพ “การชุมนุม-สลายกลุ่มคนเสื้อแดง" Posted: 21 May 2010 10:15 AM PDT ตร.อ้างการแสดงภาพถ่ายยั่วยุให้เกิดการกระด่างกระเดื่องต่อรัฐ ใช้อำนาจ ศอฉ.ยึดรูปทั้งหมด เจ้าตัวเอาบัญชีไปแจงตำรวจด้วย ขู่ฟ้องศาลปกครองรัฐใช้อำนาจเกินขอบเขต พร้อมยันยังกลุ่ม “สมัชชาประชาธิปไตย” ไม่หยุดการชุมนุมใหญ่ 30 พ.ค.นี้ <!--break--> จากรายงานข่าวนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บก.นิตยสาร Voice of Taksin และแกนนำ นปช.รุ่น 2 ถูกตำรวจเข้าควบคุมตัวจากสำนักงานที่อาคารบิ๊กซีลาดพร้าว (อิมพีเรียล ลาดพร้าว) และนำตัวไปสอบสวนที่สถานีตำรวจลาดพร้าว เมื่อช่วงเย็นวันนี้ เวลา 19.50 น.วันนี้ (20 พ.ค.) นายสมยศให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุของการเดินทางไปที่ สน.ลาดพร้าว เนื่องจาก ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เอาหมายค้นมาที่ห้างอิมพีเรียล ชั้น 5 โดยได้เข้าตรวจค้นออฟฟิสสถานีโทรทัศน์พีเพิลแชแนล รวมทั้งออฟฟิสนิตยสาร Voice of Taksin และจะมายึดรูปถ่ายเหตุการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่จัดแสดงอยู่บริเวณหน้าสำนักงานพีเพิลแชแนล แต่เขาได้ทำการโต้แย้ง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ได้อ้างว่าการนำเอามาจัดแสดงถือเป็นการยั่วยุให้เกิดความกระด่างกระเดื่องต่อรัฐ การยึดรูปใช้อำนาจ ศอฉ.ตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และได้ควบคุมตัวเขาไปสอบสวนที่ศูนย์สอบสวนที่สถานีตำรวจลาดพร้าว ทั้งนี้ ที่สถานีตำรวจเขาให้ปากคำและบันทึกไว้เป็นหลักฐาน และได้เอาบัญชีธนาคารไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ด้วย หลังจากนั้นก็ถูกปล่อยตัวโดยไม่ตั้งข้อหาใดๆ อย่างไรก็ตามหากจะถูกแจ้งความดำเนินคดีทางตำรวจอาจออกหมายเรียกอีกครั้งหนึ่ง นายสมยศกล่าวด้วยว่า การจัดแสดงรูปถ่ายนี้ทำมานานแล้ว และบางรูปก็มีการจำหน่าย อีกทั้งบางรูปก็มีการติดชื่อคนถ่ายรูปไว้ ส่วนรูปถ่ายชุดล่าสุดที่กำลังจะจัดแสดงนั้นเป็นการรวมรูปสถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่รวมทั้งเหตุปะทะ การเผายาง และการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหารเมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 ซึ่งมีอยู่ทั่วไปทางอินเตอร์เน็ต แต่ขณะนี้รูปถ่ายทั้งหมดได้ถูกเจ้าหน้าที่ยึดไปแล้ว “การจัดแสดงภาพอีกมันก็ผิด ถือว่าฝ่าฝืน แต่มันก็ก่ำกึ่งระหว่างเรื่องสิทธิพลเมืองและคำสั่ง ศอฉ. เพราะตอนนี้ตำสั่ง ศอฉ.มีอำนาจมาก เรียกว่ามีไม่อั้น แต่ก็มีคำถามถ้าจัดนิทรรศการผิด แล้วรูปที่แพร่กระจายอยู่ทั่วไปในอินเตอร์เน็ตนี่ผิดไหม” นายสมยศตอบคำถามที่ว่าจะจัดนิทรรศการต่อไปหรือไม่ ส่วนการดำเนินการต่อไป นายสมยศกล่าวว่า จะดำเนินการฟ้องศาลปกครองเรื่องการใช้อำนาจหน้าที่เกิดขอบเขตของ ศอฉ.พร้อมกล่าวด้วยว่าคำสั่งห้ามทำธุรกรรมทางการเงินที่ออกโดย ศอฉ.นั้น ส่งผลกระทบมาก เพราะส่วนตัวเป็นคนได้รับเงินเป็นเงินเดือน ต้องใช้จ่ายเดือนต่อเดือน นายสมยศ ยังได้ชี้แจงเกี่ยวกับทุนในการทำนิตยสาร Voice of Taksin ด้วยว่าเป็นการร่วมหุ้นและนิตยสารไม่มีส่วนกับการชุมนุม เพราะผลกำไรไม่มาก มีเงินได้เดือนละเพียง 4-5 หมื่นบาท จึงไม่มีส่วนในการปันเงินไปช่วยในการชุมนุมที่ใหญ่ขนาดนั้น และที่ผ่านมาเพียงก็ได้ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในทางมนุษยธรรมเท่านั้น ส่วนเรื่องการจัดการชุมนุมต่อในชื่อสมัชชาประชาธิปไตยและจะทำการเคลื่อนไหวทั่วประเทศ นายสมยศกล่าวว่า เบื้องต้นถือเป็นการบอกประชาชนให้กระตุ้นรัฐว่าการนำกำลังทหารมาใช้สลายการชุมนุมเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นได้เกิดขั้นเกิดหลังจากการสั่งการให้ทหารลงไปในพื้นที่ ทั้งนี้ เขายืนยันว่าจะยังจัดการชุมนุมต่อไป ยกเว้นจะมีการขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรืออาจมีการสกัดโดยไม่ให้ใช้พื้นที่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องดูสถานการณ์กันต่อไป นายสมยศ แสดงความเห็นด้วยว่า ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ รัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อีกทั้งการชุมนุมก็จะไม่จัดในที่ที่รบกวนกับผู้อื่น อาจเป็นการจัดที่สวนสาธารณะโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเข้ามาดูแลการชุมนุมได้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากมวลชนที่มาชุมนุมเกิดอารมณ์ปะทุขึ้นจะควบคุมได้ไหม นายสมยศตอบว่าคุมได้ โดยรัฐบาลต้องมีมโนสำนึกรับผิดชอบต่อความผิด และหยุดการกล่าวหาว่าผู้ชุมนุมเป็นผู้ก่อการร้าย บ้านเมืองจะสงบสุข ต้องยุติการใส่ร้ายป้ายสี และยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วบ้านเมืองก็จะกลับสู่ประชาธิปไตยตามปกติ ส่วนหลักฐานที่รัฐบาลนำออกมาเสนอต่อสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง นายสมยศแสดงความเห็นว่า รู้สึกลำบากใจ เพราะขณะนี้รัฐบาลใช้อำนาจควบคุมพื้นที่แต่เพียงฝ่ายเดียว และยังเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ ส่วนตัวอยากให้เรื่องคนเจ็บคนตายมีการเปิดเผยข้อมูล ในกระบวนการตรวจสอบอยากให้สื่อมวลชนเข้าไปมีร่วมด้วย ตัวอย่างการประกาศเคอร์ฟิวให้ทหารควบคุมตอนกลางคืน ใครก็ไม่เห็น ไม่รู้ด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“สมยศ-สุธาชัย” แถลงจี้ “อภิสิทธิ์” ลาออกรับผิดชอบการกระทำ ยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเิฉิน วันเดียวกันนี้ เมื่อเวลา 13.00 น.บริเวณด้านหน้าอาคารมูลนิธิ 111 พรรคไทยรักไทย นายสมยศ ในฐานะแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย และแกนนำ นปช.รุ่น 2 พร้อมด้วยนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันแจกแถลงการณ์เรียกร้อง 5 ข้อ คือ 1.ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ ผอ.ศอฉ.ลาออกจากตำแหน่งในรัฐบาลทันทีเพื่อแสดงความรับผิดชอบกรณีสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก 2.ยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ยกเลิกการจัดตั้ง ศอฉ.การประกาศเคอร์ฟิว และถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ 3.ยุติการคุกคามสื่อสารมวลชนทุกประเภท 4.ให้ปฏิบัติต่อแกนนำ นปช.ที่ถูกจับกุมในฐานะที่เป็นนักโทษการเมืองแต่ไม่ใช่ในฐานะอาชญากร และ 5.เปิดเผยความจริงการใช้กำลังทหารปราบปรามและจำนวนผู้เสียชีวิตบาดเจ็บที่แท้จริง โดยมีตัวแทน นปช.เข้าไปร่วมตรวจสอบ
ประกาศตั้งกลุ่ม “สมัชชาประชาธิปไตย” สานต่อภารกิจสร้างประชาธิปไตยต่อ “ขณะนี้กลุ่ม 24 มิถุนาฯ ร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงทุกจังหวัดก่อตั้งขบวนการการต่อสู้รอบใหม่หรือเสื้อแดงภาค 2 ในนามของ 'สมัชชาประชาธิปไตย' เพื่อสานต่อภารกิจสร้างประชาธิปไตยและสร้างความเป็นธรรมในสังคมของคนเสื้อแดง โดยกำหนดมาตรการเคลื่อนไหว” นายสมยศ กล่าว นายสมยศ ให้ข้อมูลด้วยว่า กำหนดการเคลื่อนไหวของกลุ่มสมัชชาประชาธิปไตย มีดังนี้ 1.กลุ่มเสื้อแดงภาคตะวันตกจัดให้มีการชุมนุมใหญ่เพื่อปลอบขวัญและนำเสนอข้อเท็จจริง ในเหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์ ในวันที่ 30 พ.ค.เวลา 15.00-21.00 น.ที่สวนสาธารณะเชิงเขาแก่นจันทร์ จ.ราชบุรี โดยจะทยอยจัดการชุมนุมให้ครบทุกจังหวัด เพื่อดึงแนวร่วมคนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวใหญ่อีกครั้ง เนื่องจากภารกิจการต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด สำหรับการจัดการชุมนุมในพื้นที่กรุงเทพฯ เบื้องต้นกำหนดให้มีการจัดชุมนุมใหญ่ในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. 2.จัดทำซีดีและสิ่งตีพิมพ์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษจำนวน 1ล้านชิ้น เผยแพร่ไปยังองค์กร กลุ่มบุคคลทั้งในและต่างประเทศเพื่อประจานความโหดเหี้ยมของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และ 3.ทำหนังสือถึงองค์การสหประชาชาติ เพื่อเรียกร้องให้นานาชาติงดให้ความช่วยเหลือทางการทหาร งดซื้อขายอาวุธยุทธภัณฑ์กับกองทัพไทย รวมทั้งงดการเชิญตัวแทนรัฐบาลไทยไปร่วมประชุมในทุกเวที อย่างไรก็ตามขณะนี้กลุ่มสมัชชาประชาธิปไตยมีผู้ร่วมก่อตั้ง 4 คน และเชื่อว่าเมื่อเข้าร่วมการขับเคลื่อนไหวใหญ่ จะมีมวลชนเสื้อแดงที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมออกมาร่วมต่อสู้จำนวนมาก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กำหนดการเดิมของการแถลงข่าวในวันนี้ นายสมยศได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่มูลนิธิ 111 เพื่อขอใช้สถานที่แถลงข่าวการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงเวลา พ.ต.อ.รังสรรค์ ประดิษฐผล ผกก.สน.นางเลิ้ง ได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่มูลนิธิฯ แถลงข่าว โดยให้เหตุผลว่า ขัดกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และคำสั่ง ศอฉ.ที่ห้ามมีการชุมนุมทางการเมือง สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ปากคำ ‘หน่วยกู้ภัย’ : Q: “ยิงทำไม นี่รถพยาบาล?” A: “ก็พวกมึงขว้างกู” Posted: 21 May 2010 10:13 AM PDT <!--break-->
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นในกรุงเทพมหานครที่ผ่านมา ทั้งจากปฏิบัติการ ‘ขอพื้นที่คืน’ ปฏิบัติการ ‘กระชับพื้นที่’ การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงของรัฐบาล และปฏิบัติการของกลุ่มบุคคลไม่ทราบฝ่าย ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินตามมาอย่างประเมินค่ามิได้ ในภาวะคับขันที่ดำเนินไประหว่างความเป็นกับความตายเช่นนี้ สิ่งที่มีค่ามากที่สุด คือความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัย แพทย์ พยาบาล ทว่าความปลอดภัยของผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อลดความสูญเสียของมวลมนุษย์เอง กลับลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย ‘ประชาไท’ มีโอกาสเข้าไปสัมภาษณ์ ‘สรายุทธ อำพันธ์’ ชายหนุ่มอายุ 22 ปี พนักงานประจำหน่วยกู้ภัยร่วมกตัญญู – สภากาชาดไทย ขณะรับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ หนึ่งในผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ หลังถูกเจ้าหน้าที่ทหารยิงเข้าใส่ที่มือเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 53 เขาเป็นเจ้าหน้าที่ทางสาธารณสุขที่บาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารรายแรกตั้งแต่เริ่มมีเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้น สรายุทธเล่าว่า ตนและเพื่อน 3 คน ถูกเรียกเข้าไปเสริมพื้นที่บริเวณบ่อนไก่ เลยไปจอดรถไว้ที่ลานจอดรถโรงแรมมิราเคิล ซอยงามดูพลี เวลาประมาณ 16.00 น.ทหารเริ่มต้อนคนเข้ามาในซอยงามดูพลี เมื่อเสียงปืนเริ่มเข้ามาใกล้ เพื่อนกู้ภัยผู้หญิงเลยบอกว่า ให้ไปหลบในรถก่อนดีกว่า จะได้ปลอดภัย ธีรภัทร หัวหน้าหน่วยกู้ภัยที่ทำงานร่วมกับสรายุทธ เล่าว่า ตนได้ลงไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ทหาร แต่กลับไม่สามารถยับยั้งกระสุนปืนได้ และในตอนนั้นไม่มีกลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ในบริเวณนั้นแล้ว เหลือเพียงแค่รถพยาบาลของพวกเขา “มีการขว้างหินขว้างอะไรกันอยู่บนถนนใหญ่ด้านนอก พอมีเสียงปืนไล่ กลุ่มผู้ชุมนุมก็วิ่งเข้ามาในซอยงามดูพลี บางส่วนวิ่งเข้ามาในโรงแรมมิราเคิล สักครู่หนึ่งมีทหารเข้ามา 7-8 นาย ทุกคนถืออาวุธปืน ทหารคนหนึ่งชี้หน้าถามผมว่า ‘มึงด้วยหรือเปล่า!?’ ผมก็เลยเปิดประตูรถ พยายามชูมือแสดงตัว บอกว่า ‘ไม่เกี่ยว นี่พยาบาล’ พอพูดจบเขาก็ยิงเลย เพราะมีทหารบางนายมานั่งประทับปืนรออยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นการตั้งใจยิง” ธีรภัทรกล่าว สรายุทธเสริมว่า ขณะนั้นตนเห็นทหารอีกนายหนึ่งประทับปืนอยู่ที่มุมตึก ระยะไม่เกิน 10 เมตร เมื่อสิ้นคำของธีรภัทร เขาได้กดศีรษะของเพื่อนผู้หญิงให้หลบลง เอื้อมมือซ้ายพยายามจะเปิดไฟในรถเพื่อแสดงตัว แต่กระสุนถูกยิงเข้ามาในทันที “ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าถูกยิง นึกว่าหัวหน้าถูกยิงเพราะเขาอยู่ข้างล่างรถ แต่ปรากฏว่าแขนซ้ายเราเลือดพุ่ง” “เสียใจ.. เพราะวันที่ 10 เม.ย. ผมก็ช่วยพวกเขา (ทหาร) เยอะมาก ผมคิดว่าเราปลอดภัยแล้วที่อยู่บนรถพยาบาลที่มีสัญลักษณ์ทุกอย่างชัดเจน แล้วอีกอย่างก็มีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทหารว่า เราไม่เกี่ยว ในใจตอนนั้นคิดว่า เขาคงมาค้นรถเราเฉยๆ อันนั้นรับได้อยู่แล้ว เพราะถือว่าไม่มาคุกคามเรา ผิดหวังครับ ถ้าวันนั้นผมกดหัวพี่ผู้หญิงไม่ทัน กระสุนคงเข้าที่หัวเขาแล้ว แต่ผมคิดว่า ผมโชคดีกว่าคนอื่น เพราะคนที่โดนทีหลังผมนั้นตายหมด” ธีรภัทรเสริมว่า นี่ไม่ใช่การยิงเพื่อป้องกันตัว และไม่ได้อยู่ในกฎการใช้กำลัง 3 ข้อ ของศอฉ. “จากนั้นผมก็วิ่งไปดูน้องแล้วรีบพาไปส่งโรงพยาบาล ตอนออกจากโรงแรมมิราเคิลก็ต้องผ่านทหารกลุ่มนั้น ด้วยความโมโหและตกใจ ผมเลยถามไปว่า “ยิงทำไม นี่รถพยาบาล?” พวกเขาเลยบอกว่า “ก็พวกมึงขว้างกู” ก็มีบ้านนี้เมืองนี้นั่นแหละ ที่ยิงใส่รถพยาบาล” สรายุทธกล่าวว่า หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็มีการประชุมกันของทางสภากาชาด, ศอฉ. และศูนย์เอราวัณ มีการวางแผนว่า การเข้ารับคนเจ็บจะไม่มีการขับรถเข้าไปรับ เนื่องจากมีความอันตรายสูง นอกจากนี้ยังมีการจัดหาเสื้อเกราะให้แก่เจ้าหน้าที่กู้ภัย แต่ยังไม่สามารถแจกจ่ายได้ครบทุกคน “การทำงานตอนแรกๆ กดดัน เพราะเสื้อแดงหาว่าผมขนทหาร ลำเลียงอาวุธให้ทหาร แยกราชประสงค์ประกาศห้ามรถพยาบาลเข้ามาที่ราชประสงค์ ก็เลยถอยห่างมาพักหนึ่ง พอมีการสลาย ก็มีข่าวอีกว่า รถพยาบาลจะขนอาวุธของเสื้อแดงออกมาด้านนอก สรุปแล้วคือเป็นแพะตลอด อยู่ที่ว่าใครจะปล่อยข่าวเราอย่างไร” สรายุทธกล่าว สรายุทธกล่าวทิ้งท้ายถึงการรายงานข่าวของสื่อมวลชนว่า “พอตูมตามขึ้นมา เจ้าหน้าที่กู้ภัย – สื่อมวลชน บาดเจ็บหรือตายนั้น มีการรายงานข่าวก็จริง แต่สาเหตุที่แท้จริงไม่มีการชี้แจง ว่าทำไมถึงถูกยิง เป็นเพราะสัญลักษณ์เขาไม่ชัดเจนหรืออะไร กลับไม่มีการชี้แจงตรงนี้ สื่อไปรายงานว่า ตรงนี้ตรงนั้นถูกเผา มันก็เหมือนเป็นการตอกย้ำเกินไป”
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
วิดีโอคลิป: ห่ากระสุนในเขตอภัยทาน และศพที่ถูกลากขึ้นรถทหาร Posted: 21 May 2010 09:50 AM PDT <!--break-->
อ่านเพิ่ม: ปากคำ 'เรื่องที่คุณต้องอ่าน': ห่ากระสุนในเขตอภัยทาน ความตายหลังยอมแพ้ และศพที่ถูกลากขึ้นรถทหาร
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
Ground Zero @ Thai Central World Trade Center Posted: 21 May 2010 09:42 AM PDT <!--break--> ข้อเขียนนี้จะลองเขียนแบบไม่มีมนุษย์อยู่ในสำนึก แบบเดียวกับการเรียกปฏิบัติการต่อเนื่องตลอดเดือนที่ผ่านมาว่าการ “ขอคืนพื้นที่” แล้วตามมาด้วยการ “กระชับพื้นที่” ซึ่งมีผลเป็นพื้นที่ที่ได้รับคืนไปประจักษ์แก่สายตาทุกท่านไปทั่วทุกสื่อแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมาทุกพื้นที่อณูอากาศรอบตัวเราเต็มไปด้วยมวลรวมของความสยดสยองในรูปแบบต่างๆ เริ่มตั้งแต่แต่การด่าทอ การประกาศว่ากูเกลียดใครแช่งใคร การยิง ทุบตี เลือดและความตาย การโยนความผิดใส่กัน ลดทอนความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่าย เฉยชากับความตายของเขา เจ็บปวดได้เพียงภาพห้างสรรพสินค้าของเราไหม้ และมลพิษจากยางรถยนต์ ในขณะที่จำนวนความตายที่เคลื่อนไปข้างหน้าเป็นเพียงดั่งตัวเลขผ่านสายตา เราอยากมีชีวิตอยู่ในพื่นที่แบบที่รัฐพยายามจัดหามาคืนให้แบบนี้กันจริงๆ น่ะหรือ? ...เอ่อ...มันไม่ใช่ราชประสงค์หรอกที่ท่านนำมามอบให้เรา ได้ยินมาว่าทั้งนักรัฐศาสตร์ นักกฏหมายต่างเศร้าใจที่วิชาชีพตัวเองดูจะหมดความสามารถในการอธิบายทั้งความชอบธรรมหรือการคลายปมของสิ่งที่เป็นไปนี้ ข้าพเจ้าจึงจะขอลองเพ่งพินิจมันในฐานะนักออกแบบดูสักหน ว่ากันตามทฤษฎีแห่งมนุษย์และที่ว่าง คนหนึ่งหน่วยจะมีฟองอากาศรอบตัวขนาดระยะหนึ่งเรียกว่า private space คนแปลกหน้าจะเข้าใกล้ได้ก็ในระยะรู้สึกปลอดภัยขนาดประมาณร่มกางหรือขอบฟองอากาศนั้น ส่วนคนที่ไว้ใจเราจึงสามารถกอดกันได้ มันจึงน่าตลกมากที่ campaign ก่อนการฆ่าจำนวนมากมายบอกให้ผู้คนในเดือน-ปีแห่งการเกลียดชังมารักกันไว้เถิด ใครมันจะกอดกันลงถ้าไม่ไว้ใจกัน ไม่ต้องรักกันหรอก ขอเพียงรู้จักเคารพที่จะไม่รุกล้ำฟองอากาศส่วนตัวกันนั้นก็เพียงพอแล้ว และในชีวิตประจำวัน เราแต่ละหน่วยฟองอากาศต่างลอยกันอยู่ใน public space บ้าง semi-public (กึ่งสาธารณะ) บ้าง ทุกคนมีสิทธิ์อันสมบูรณ์ที่จะเคลื่อนไปบนพื้นที่สาธารณะใดๆ พร้อมๆ กับปรับเปลี่ยนจากพฤติกรรมส่วนตัวไปเป็นสาธารณะ ด้วยการประนีประนอมซึ่งกันและกันในเสรีภาพส่วนบุคคลภายใต้เงื่อนไขของกาละเทศะ มีตัวอย่างกิจกรรมทางสังคมมากมายที่คนเมืองและชนบทแลกเปลี่ยนกันใช้พื้นที่สาธารณะทางกายภาพ ทั้งที่เป็นประโยชน์ร่วมและทั้งที่เอาเปรียบไม่เป็นธรรมต่อชนบทซึ่งขอละไว้ในที่นี้ ประเด็นแรกคือความเป็นคนในพื้นที่กับการเป็นเจ้าของทางกายภาพของพื้นที่สาธาณะในพื้นที่นั้นๆ (public space) เป็นคนละเรื่องกัน ข้าพเจ้าเป็นคนท่าพระจันทร์เป็นเจ้าของตึกแถวริมน้ำเจ้าพระยา แต่แม่น้ำเจ้าพระยานั้นเป็นของคนมุกดาหารเท่าๆ กับที่เป็นของข้าพเจ้าเช่นกัน แม้ว่าชีวิตนี้เขาจะไม่มีโอกาสเห็นมันเลยก็ตาม คนเมืองซึ่งมีปัจจัยทางเศรษฐกิจในการเคลื่อนย้ายตัวเข้าใช้พื้นที่สาธารณะต่างๆ มักจะมีโอกาสใช้อำนาจนี้มากกว่าคนชนบท แต่นั่นไม่หมายความว่าเขามีสิทธิ์เป็นเจ้าของเมืองหลวงที่ใช้ประกอบกิจวัตรประจำวัน และมีชนบทเป็นเมืองขึ้นเพื่อใช้ในการเดินเล่นวันหยุดพักผ่อน เว้นแต่มันเป็นสำนึกที่ร่วมอุปโลกน์ขึ้นมาในใจตัวเองจนหลงเข้าใจผิด ประเด็นที่สองคือสิทธิ์ในการแสดงออกในที่สาธารณะ ซึ่งรวมความไปตั้งแต่การแสดงความคิดเห็นไปจนถึงการเรียกร้องทางการเมือง หรือการมีปริมณฑลสาธารณะ (public sphere) นั้น ทุกคนต่างมีได้เท่าเทียมกัน แสดงออกได้ทั้งบนพื้นที่ทางนามธรรมเช่นวิทยุ หนังสือพิมพ์ทั้งหลาย หรือบนพื้นที่ทางกายภาพด้วยการทำกิจกรรมร่วมกันของคน ชาวกรุงเทพฯ ไม่มีเอกสิทธิในการถือครองพื้นที่สาธารณะในกรุงเทพว่าเป็นของตัว ไม่มีสิทธิ์เป็นผู้ตัดสินแต่กลุ่มเดียวว่ากาละเทศะใดคนในประเทศจึงจะมีสิทธิในพื้นที่สาธารณะแห่งมหานครนี้ และไม่มีสิทธิ์ที่จะ discriminate การแสดงความเห็นทางการเมืองของเพื่อนร่วมชาติ รัฐมีหน้าที่เป็นกรรมการจัดสรรทรัพยากร แต่น่าเศร้าที่กรณีนี้กรรมการเลือกฟังเจ้าถิ่นที่กร่างว่าเป็นเจ้าของพื้นที่ มิใช่ฟังเจ้าของประเทศ หลังความตายอันเหนื่อยหนักยาวนาน พื้นที่แบบไหนกันแน่ที่รัฐอภิสิทธิ์ขอคืน? ดูราวกับว่าสำหรับสังคมไทยแล้ว ฟองอากาศของบางคน บางกลุ่มนั้นมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะขยายพื้นที่พองออกอย่างยะโสไปเบียดขับ public space ที่ใช้ร่วมกันในนามของผู้ยึดกุมอำนาจ ผู้จัดสรรทรัพยากร ไปจนถึงในนามของศีลธรรมผู้ปราบอธรรม ในสังคมประชาธิปไตยที่มีความเท่าเทียมเป็นกติกา แม้คุณจะมีสิทธิ์ในทางส่วนตัวกล่าวหาคนสักคนว่าเป็นอธรรม ตราบใดที่ยังไม่มีการพิสูจน์ให้แน่ชัดคุณไม่มีแม้แต่สิทธิ์เข้าไปทำลายฟองอากาศของเขา ไม่ต้องพูดถึงการฆ่าแบบสัปดาห์ที่ผ่านมาเลย สิ่งที่คุณทำได้คือปล่อยให้เขาอยู่ในฟองอากาศที่คุณคิดว่าเขาโง่งมนั้นต่อไป แล้วรณรงค์ศีลธรรมแบบของคุณต่อไปสิ เชื่อในพลังธรรมะของคุณให้มากสิ ว่าคุณรวมฟองอากาศได้ใหญ่กว่าฟองอธรรมที่จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องฆ่าเขาเลย (ในระดับprivate space ) และ “ไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะไปขอพื้นที่ของเขาคืน” เพราะมันเป็นของเขา เท่าๆ กับที่เป็นของคุณ (ในระดับpublic space) เว้นแต่ว่าในทางศีลธรรมแบบไทยๆ แล้ว อย่าว่าแต่พื้นที่สาธารณะเลย... ไม่มีแม้แต่พื้นที่ private space ของผู้ถูกข้อกล่าวหาอธรรม? ทางเดียวคือต้องกำจัดทิ้ง? อย่าบอกเราเรื่องการฆ่า...แต่จงทำให้หายไปจากพื้นที่ของเราเถิด...เราจะหลับตาแล้วสวดภาวนาเพื่อที่จะไม่เห็น...แล้วจะช่วยเก็บกวาดบ้านให้สวยดังเดิมนะจ๊ะ และจะไม่มีเรื่องราวให้พูดถึงอีกต่อไป (หนึ่งวันหลังการฆ่า ทีวีไทยอยู่ในโหมดนี้เกือบทั้งสิ้น) นี่ไม่ใช่ยุคที่ศีลธรรมเสื่อมโทรม แต่สามัญสำนึกตะหากที่ถูกมายาแห่งคุณธรรมที่สวมไว้บดบัง ข้าพเจ้านั่งมองการรุกล้ำฟองอากาศส่วนตัว นับแต่การยิงฟองอากาศคนอื่นด้วยการระบุชื่อผู้คิดต่างออกอากาศตามทีวีและหนังสือพิมพ์ อีเมลและข้อความข่มขู่ถูกส่งไปเป็นรายบุคคล และสุดท้ายด้วยการเจาะกระสุนเข้าไป จนวิญญาณแห่งฟองอากาศหนึ่งหน่วยนั้นแตกดับไปทีละอัน ไม่ว่าใครจะเป็นคนลงมือทำในขั้นตอนสุดท้ายของการประหารนี้ก็ตาม พื้นที่ถูกส่งกลับคืนไปสู่คนเมือง...เมื่อทีละหน่วยเล็กๆนั้นดับลง...ทีละจุดๆ มันเป็นสิ่งที่รายงานทางทีวีเรียกว่ามีความ “คืบหน้า” ไปมากแล้ว เหมือนเรามองแผนที่ทางอากาศ เมื่อมนุษย์หายไป...พื้นที่ที่ขยายใหญ่ขึ้นก็เป็นความคืบหน้าสมดังชื่อปฏิบัติการ จะต้องใช้ความไร้เดียงสาอย่างมาก หากยังเข้าใจว่าปฏิบัติการณ์นี้เพียงต้องการ public space ของเมืองคืนเหมือนชื่ออันอ่อนโยนเบาบางของมัน มันเป็นการชวนเล่นเกมเก้าอี้ดนตรีที่มีอาวุธพร้อมฆ่าตะหาก เพียงแต่เกรงว่าคำว่า สลายการชุมนุมนั้นจะระคายเคืองความเห็นชอบจากชนชั้นกลางเมืองหลวงผู้ทรงคุณธรรมเท่านั้นเอง รัฐยึดเอา public space ที่เป็นของใช้ร่วมกันคืนไปรวมถึงสิทธิ์ใน public sphere รัฐรุกราน private space ของบุคคลทั้งด้วยข้อกล่าวหาเหมารวมคนชุมนุมบนถนนเป็นผู้ก่อการร้ายและการล้มเจ้า ปล่อยให้ขบวนการข่มขู่ และศาลเตี้ยกระจายไปทั่วอินเทอร์เนตและอีเมล สุดท้ายที่รัฐเอาคืนไปด้วยคือชีวิต เราสมควรเรียกมันว่าเป็นพื้นที่แบบใดกันดีเล่า? Living space? ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการณ์หรือไม่? คุณมีไม่ได้แม้แต่พื้นที่ที่จะมีชีวิต โดยมีรัฐเป็นผู้ตัดสิน หากบางอย่างนั้นมีความสำคัญกว่า ศีลธรรมการปกครองแบบพ่อปกครองลูกถูกอ้างอิงหนาแน่นไม่เว้นแม้แต่วงการบันเทิง หรือแม้แต่ในงานออกแบบรัฐสภาแห่งใหม่ ณ ปี พ.ศ.หน้าอย่างไร้บริบททางประวัติศาสตร์ ว่าสิ่งที่รัฐโบราณต้องการยึดครองคือแรงงานหรือคนมิใช่พื้นที่ในแบบรัฐอาณานิคม อำนาจทางศีลธรรมเป็นเครื่องมือสำหรับผู้ปกครองเพื่อดำรงสถานะที่สูงกว่า ไม่ว่าตำนานเรื่องเล่าผู้ปกครองผู้ทรงธรรมในอดีตนั้นจริงหรือเท็จก็ตาม... เครื่องมือชิ้นนี้ไม่ได้ถูกใช้เพื่อการครอบครองพื้นที่.... แล้วเกิดอะไรขึ้นกับรัฐสมัยใหม่แบบอภิสิทธิ์? รัฐนี้มีศีลธรรมสูงส่งแต่ต้องการพื้นที่มากกว่าคน? รัฐจึงต้องทำcampaign ว่าเรากำลังถูกรุกรานพื้นที่ด้วยคนในชาติเดียวกันเองที่ถูกทำให้เป็นผู้ก่อการร้ายไปเสียก่อนในขั้นแรก หรืออีกนัยหนึ่งคือทำให้พื้นที่มีค่ามากกว่าคน ชาติสมัยใหม่ได้ให้ความสำคัญกับดินแดนอาณาเขตอย่างสมบูรณ์เสียแล้ว หนึ่งในสามเสาหลักของความเป็นไทยไม่เคยมีประชาชนอยู่ในนิยาม ดังที่จอมพล ป.ต้องระบุเพิ่มเข้าไปในยุคสมัยหนึ่ง ถูกถอดออกในยุคถัดมา และนิยามเด่นชัดยิ่งขึ้นในรัฐอภิสิทธิ์นี้เอง แล้วศีลธรรมก็ทำงานได้ผลกับผู้คนสักครึ่งหนึ่งที่เห็นดีเห็นงามกับความคิดในการออกล่าคืนพื้นที่ ที่แม้จะต้องทำลายมนุษย์หรือความเป็นมนุษย์เพื่อรัฐอันทรงคุณธรรมที่สูงส่งกว่านี้ก็ตาม น่าจะเป็นรัฐที่ประมาทอย่างยิ่งที่ไม่เหลือช่องว่างทางเลือกให้ตัวเองในฐานะพลเมือง ที่หากวันใดคุณคิดต่าง ก็คงจะต้องหาทางกำจัดตัวเองออกไปจากสังคมล่ะหรือ? ช่างเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับพื้นที่ที่น่าหวาดระแวงสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง รัฐแบบนี้สุดท้ายคงเหลือเพียงพื้นที่ว่างเปล่าชิ้นมหึมาที่มีเพียงผู้ปกครองผู้เหลือพื้นที่ในใจอันคับแคบอาศัยอยู่? ภาพการเผาไหม้จนวอดวายหน้า Central World แม้ไม่มีเครื่องบินลำยักษ์ฝังอยู่ด้านใน แต่สังคมไทยได้พื้นที่ที่มีความพินาศพร้อมความเกลียดชังชิ้นมหึมาฝังติดอยู่ในนั้น มันคือการพังทลายของอาคารกลับสู่ ground zero ที่เป็นระดับเริ่มต้นอ้างอิงในการออกแบบ ซึ่งอาจเป็นระดับ+0.00 ของสถาปัตยกรรมแห่งการทำลายล้างที่กำลังเริ่มต้น สร้างขึ้นบนแนวความคิดของศีลธรรมและความรักที่มากล้นเสียจนต้องเกลียดฝ่ายอธรรมจนสามารถมองดูการกำจัดทิ้งกันไปข้างหนึ่งได้อย่างเฉยเมย แล้วข้าพเจ้าก็ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ดังที่เขียนไว้ข้างต้น เพราะในทุกพื้นที่ที่เราอยู่ร่วมกันนั้นมี “มนุษย์”อยู่เสมอ แม้คุณจะทำให้วิญญาณเขาแตกดับไปแล้วก็ตาม แม้แต่ในการออกแบบพื้นที่ที่ไร้มนุษย์โดยสิ้นเชิงอย่างสุสาน พลังของที่ว่างไม่ใช่กายภาพของมัน แต่คือความรู้สึกถึงวิญญาณที่สิงสถิตในนั้น ให้ผู้ที่ผูกพันเข้ามาสื่อสารกันทางจิตใจ เพื่อปลอบโยนหัวใจว่าทุกคนเหล่านั้นยังมีตัวตน หรือเก็บรักษาความเป็นมนุษย์กันไว้ในพื้นที่สัญลักษณ์ ที่ว่างเหล่านี้จึงไม่เคยว่างเปล่าและไม่มีใครบังอาจมาขอคืนไปจากเขาได้ นี่ไม่ใช่คำสรรเสริญวีรชนเชิงนามธรรมเพื่อปลุกเร้าความเจ็บปวด ข้อเท็จจริงคือความทรงจำที่หนักหน่วงในใจมนุษย์ตะหากที่ทำให้คนออกไปสร้างพื้นที่ของตัวเองต่อไปไม่จบสิ้น เพื่อรำลึก ค้นหาความจริง แสดงตัวตนแท้จริงที่เขาเคยถูกกล่าวหาหรือถูกเหยียดหยามอย่างไม่เป็นธรรม ตราบใดที่คำอธิบายไม่พอเพียง เขาและเราก็จะไม่รู้ว่าจะให้อภัยแก่ใคร ตัวอย่างก็มีให้เห็นว่าพิพิธภัณฑ์ชาวยิวยังถูกสร้างกันอยู่เกือบทุกมุมโลกไม่หยุด เพราะทุกชีวิตที่เคยถูกแย่งชิงพื้นที่ความเป็นมนุษย์ไปนั้น ชีวิตในรุ่นถัดๆ มาล้วนพร้อมจะมอบพื้นที่คืนให้เขา เพื่อให้เรื่องเล่าที่ไม่ถูกเล่าได้ปลดปล่อยออกมาจากการกดทับจนหมดสิ้นครบทุกหน่วยชีวิต ส่วนพื้นที่ว่างเปล่าที่คุณได้ครอบครองกลับคืนไป มันคือหัวใจที่ว่างโหวงของตัวเอง ที่คุณผลักเพื่อนมนุษย์ออกไปจนหมด แล้วคุณก็คงจะต้องมีชีวิตอยู่กับมันตลอดไป ขอให้ท่านเหล่านี้โชคดีมีชัย
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ศอฉ.บล็อคเว็บ-ทวิตเตอร์ประชาไท Posted: 21 May 2010 09:34 AM PDT <!--break--> http://www.prachataiboard.com/webboard, http://prachataiboard.com เว็บบอร์ดประชาไท, www.prachatai.info เว็บไซต์ประชาไทและ http://twitter.com/prachatai ซึ่งเป็นทวิตเตอร์ของประชาไท ถูกปิดกั้นการเข้าถึงเมื่อวันที่ 18 (2 URLs), 20 และ 21 พ.ค.ตามลำดับ โดยถูก redirect ไปที่ http://58.97.5.29/www.capothai.org ปรากฎข้อความ "การเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวนี้ ถูกระงับเป็นการชั่วคราว โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน" ทั้งนี้ ผู้อ่านสามารถอ่านประชาไท ได้ที่ www.prachatai1.info
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น